ลำดับพระญาณแห่งการตรัสรู้ธรรมของพระพุทธเจ้า

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย สมถะ, 2 สิงหาคม 2016.

  1. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972
    ลำดับพระญาณแห่งการตรัสรู้ธรรมของพระพุทธเจ้า


    เริ่มต้นตั้งพระหฤทัยเป็นสัตยาธิษฐาน ว่า

    " ถ้ากมลสันดานแห่งอาตมะนี้ ยังไม่พ้นจาก
    อาสวกิเลสกามคุณตราบใด ถึงแม้มาตรว่าหฤทัย
    และเนื้อหนังทั้งเอ็นสมองอัฐิจะแห้งเหือด ตลอดถึง
    เลือดและมันข้นจนทั่วสรีรกายก็ดี ธรรมวิเศษล้ำเลิศ
    อันใดที่เป็นวิสัยอันบุคคลจะพึงได้ด้วยเรี่ยวแรง
    และความเพียรแห่งบุรุษ เมื่อยังไม่บรรลุถึงธรรม
    วิเศษอันนั้น การที่อาตมาะจักคลายจากพับแพนง
    เชิงสมาธิบัลลังก์วิเศษนี้เป็นอันไม่มี อันยังมิได้บรรลุซึ่ง
    พระโพธิญาณแล้วไซร้ อาตมะจักไม่ทำลายสมาธิ
    บัลลังก์วิเศษนี้เลยเป็นอันขาด อาตมะคงเพียรให้
    บรรลุโพธิธรรมเสวยพระพุทธาภิกเษกสมบัตินวชิร
    บัลลังก์อาสน์นี้ให้จงได้ "



    ทรงตั้งพระหฤทัยเป็นสัตยาธิษฐานดังนี้แล้ว ก็ทรงจำเริญพระสมาธิภาวนาเรื่อยมา บังเกิดสมาธิแก่กล้ามีสุวรรณประภาพวยพุ่งออกจากพระวรกาย จวบจนถึงสมัยพระสุริยายอแสงเป็นมหามงคลกาลในขณะนี้

    ครั้นล่วงเข้า ราตรีปฐมยาม พระองค์ผู้มีสมาธิภาวนาอันแก่กล้า ก็สามารถยังฌาณและอภิญญาให้เกิดขึ้น ได้บรรลุ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ = ญาณเครื่องระลึกถึงชาติก่อนได้ คือในขณะนี้พระองค์ทรงสามารถระลึกชาติในอดีตหนหลังได้ตั้งแต่ ๑-๒ ชาติ ๑๐-๒๐ ชาติ ๑๐๐-๑,๐๐๐ ชาติ ๑๐,๐๐๐-๑๐๐,๐๐๐ ชาติเรื่อยไป จนถึงสังวัฏฏกัป-วิวัฏฏกัป-สังวัฏฏวิวัฏฏกัป เป็นอันมาก โดยทรงรู้อย่างแจ้งประจักษ์ว่า ในชาตินั้นพระองค์เกิดในประเทศนั้น มีชื่อและโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณ และมีอาหารอย่างนั้น ดังนี้เป็นต้น


    ครั้งล่วงเข้า ราตรีมัชฌิมยาม พระองค์ก็ได้บรรลุจุตูปปาตญาณ = ญาณเครื่องรู้แจ้งในจุติและอุบัติ เหตุแห่งสัตว์ทั้งหลาย คือในขณะนี้พระองค์ทรงสามารถเห็นสัตว์ทั้งหลายที่กำลังจุติตายไปและกำลังอุบัติเกิดขึ้นใหม่ในโลกทั้งหลาย โดยทรงเห็นอย่างแจ้งประจักษ์ ด้วยอำนาจ ทิพยจักษุอันบริสุทธิ์วิเศษกว่าสามัญมนุษย์จักษุวิสัยว่า สัตว์ทั้งหลายได้พากันล้มตายลงไปแล้ว ต่างผู้ต่างก็ไปเกิดในสภาพต่างๆ กัน เลวบ้าง ประณีตบ้าง มีผิวพรรณงามบ้าง ไม่งามบ้าง ถึงซึ่งความสุขบ้าง ทุกข์บ้าง แตกต่างกันไป ตามสมควรแก่กรรมแห่งตนที่ได้กระทำไว้


    ครั้นล่วงเข้า ราตรีปัจฉิมยาม พระองค์ก็ทรงหยั่งพระญาณลงพิจารณาในปัจจยาการ อันเป็นวิธีการที่ถูกต้อง ซึ่งพระบรมสรรเพชญพุทธเจ้าทุกพระองค์เคยกระทำมา โดยทรงพิจารณาพระ ปฏิจจสมุปบาทธรรมอันล้ำลึกนี้ ก็โดยสาเหตุที่พระองค์ทรงสิ้นความสงสัยในสันดานพระองค์เอง และทรงสิ้นสงสัยในสันดานสัตว์เหล่าอื่น อันเป็นผลแห่งญาณก่อนๆ ที่ได้ทรงบรรลุมาแล้ว คือ


    เมื่อพระองค์ได้ทรงบรรลุปุพเพนิวาสานุสสติญาณในตอนปฐมยามนั้น ได้ทรงเห็นพระองค์เองจุติจากชาตินั้นไปเกิดในชาติโน้น จุติจากชาติโน้นมาเกิดในชาตินี้ แต่ทรงเฝ้าตายเกิดอยู่อย่างนี้หลายชาติหลายภพเป็นนักหนา เมื่อทรงเห็นโดยประจักษ์อย่างแจ้งชัดเช่นนี้ ความสงสัยดังนี้ ย่อมจะหมดไปโดยแท้ นี่แหละเรียกว่าทรงสิ้นความสงสัยในสันดานของพระองค์เอง ด้วยอำนาจแห่ง ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ

    เมื่อพระองค์ทรงบรรลุจุตูปปาตญาณในตอนมัชฌิมยามนั้น ได้ทรงเห็นสัตว์ทั้งหลายซึ่งกำลังตายและกำลังเกิดกันมากมายนักหนาทุกเวลานาที ในสถานที่ต่างๆ กันเป็นอลหม่าน เมื่อทรงเห็นโดยประจักษ์อย่างแจ้งชัดเช่นนี้ ความสงสัยในสันดานแห่งสัตว์เหล่าอื่นในกรณีที่ว่า "สัตว์เหล่าอื่นต้องตายเกิดและเกิดตายกันอยู่เสมอ" ตลอดเวลาไม่ว่างเว้นเป็นเวลานานแสนนานจริงหรือไม่ ? ความสงสัยดังนี้ย่อมจะหมดไปโดยแท้ นี่แหละเรียกว่าทรงสิ้นความสงสัยในสันดานของสัตว์เหล่าอื่น ด้วยอำนาจแห่ง จุตูปปาตญาณ

    เมื่อพระองค์ทรงสิ้นความสงสัยในสันดานแห่งพระองค์เองและสันดานแห่งสัตว์เหล่าอื่น ซึ่งมีความเกิดความตายอยู่เป็นประจำซ้ำซากดังกล่าวแล้ว ก็ ทรงสังเวชสลดพระหฤทัย จึงทรงหยั่งพระญาณลงพิจารณาปัจจยาการหรือปฏิจจสมุปบาทธรรมอันล้ำลึก คือในขั้นแรกทรงปรารภ ชรามรณะ ความแก่และความตายขึ้นเป็นอารมณ์ปฐมเหตุก่อน แล้วก็ทรงทราบเป็นลำดับต่อไปว่า


    ชรามรณะ มีได้ก็เพราะ ชาติ

    ชาติ มีได้ก็เพราะ ภพ

    ภพ มีได้ก็เพราะ อุปาทาน

    อุปาทาน มีได้ก็เพราะ ตัณหา

    ตัณหา มีได้ก็เพราะ เวทนา

    เวทนา มีได้ก็เพราะ ผัสสะ

    ผัสสะ มีได้ก็เพราะ สฬายตนะ

    สฬายตนะ มีได้ก็เพราะ นามรูป

    นามรูป มีได้ก็เพราะ วิญญาณ

    วิญญาณ มีได้ก็เพราะ สังขาร

    สังขาร มีได้ก็เพราะ อวิชชา


    แล้วจึงทรงพิจารณาซึ่งที่ดับแห่งสภาวธรรมเหล่านี้สืบต่อไปว่า...


    เมื่อ อวิชชา ดับสูญแล้ว สังขาร ก็ดับตาม

    เมื่อ สังขาร ดับสูญแล้ว วิญญาณ ก็ดับตาม

    เมื่อ วิญญาณ ดับสูญแล้ว นามรูป ก็ดับตาม

    เมื่อ นามรูป ดับสูญแล้ว สฬายตนะ ก็ดับตาม

    เมื่อ สฬายตนะ ดับสูญแล้ว ผัสสะ ก็ดับตาม

    เมื่อ ผัสสะ ดับสูญแล้ว เวทนา ก็ดับตาม

    เมื่อ เวทนา ดับสูญแล้ว ตัณหา ก็ดับตาม

    เมื่อ ตัณหา ดับสูญแล้ว อุปาทาน ก็ดับตาม

    เมื่อ อุปาทาน ดับสูญแล้ว ภพ ก็ดับตาม

    เมื่อ ภพ ดับสูญแล้ว ชาติ ก็ดับตาม

    เมื่อ ชาติ ดับสูญแล้ว ชรามรณะ ก็ดับตาม



    แล้วก็ทรงพิจารณาทบทวนถอยหลังลงไป เพื่อให้แน่นอนเด็ดขาดอีกสืบไปว่า "ชรามรณะ" นี้มิใช่เกิดจากอะไร โดยที่แท้เกิดขึ้นมาได้ก็เพราะ "ชาติ" เป็นปัจจัย คือเป็นตัวเหตุ และ "ชาติ" นี้ก็มิใช่เกิดมาจากอะไร โดยที่แท้ย่อมเกิดขึ้นมาได้เพราะ "ภพ"........"สังขาร" นั้นมิใช่เกิดมาจากอะไร โดยที่แท้ย่อมเกิดขึ้นมาได้ก็เพราะ อวิชชา เป็นปัจจัย คือเป็นตัวเหตุ" เป็นอันว่า บัดนี้พระองค์ผู้มีพุทธบารมีได้ทรงค้นพบแล้วว่า ตัวเหตุใหญ่ยิ่งสุดยอดที่มีอำนาจบันดาลให้สัตว์ทั้งหลายต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏสงสารอย่างไม่มีวันสิ้นสุดนั้นก็คือ "อวิชชา" นี่เอง


    ขณะนี้ แม้ว่าพระองค์จะได้ทรงค้นพบสภาวธรรมอันล้ำลึก เกินวิสัยคนธรรมดาสามัญจักมีปัญญาหยั่งรู้ได้ดังกล่าวมาแล้วก็ดี ถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังไม่ได้สำเร็จธรรมวิเศษเป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ! ฉะนั้นพระองค์จึงทรงหยั่งพระญาณลงพิจารณาตัวเหตุอันยิ่งใหญ่ที่พระองค์ทรงค้นพบ คือ "อวิชชา" ทรงพิจารณาอย่างถี่ถ้วนถ่องแท้ ในที่สุดก็ทรงทราบว่า "อวิชชา" คือตัวโมหะนี้ ย่อมมีปกติครอบงำจิตสันดานทำให้มืดมนปกปิดกำบังดวงปัญญามิให้เห็นแจ้งในพระ ไตรลักษณญาณ และมิให้เห็นแจ้งในพะจตุราริยสัจธรรม (พระอริยสัจ ๔)


    เมื่อทรงทราบด้วยพระญาณอันประเสริฐสุดเช่นนี้แล้ว พระองค์ผู้มีพระทัยผ่องแผ้ว ใกล้จะได้ตรัสรู้ในชั่วระยะเวลาไม่นานนี้ ก็มีพระมนัสมั่นคง น้อมตรงไปเพื่อที่จะบรรลุ อาสวักขยญาณ = ญาณเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวกิเลส คือในขณะนี้พระองค์ทรงกระทำวิธีการในอันที่จะกำจัดอวิชชาหรือโมหะ ซึ่งเป็นม่านมืดปกปิดกำบังดวงปัญญามิให้เห็นแจ้งในพระไตรลักษณญาณ และพระจตุราริยสัจธรรม (พระอริยสัจ ๔)นั้น โดยวิธีการคือทรงเจริญ พระวิปัสสนาญาณภาวนา เห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปแห่งเบญจขันธ์หรือรูปนาม ตามอำนาจแห่งพระไตรลักษ์แล้ว จนกระทั่งถึงเพลาตามพารุณสมัยไขแสงทองส่องอร่ามฟ้า พระองค์ผู้ทรงพระอุตส่าห์ สร้างพระพุทธบารมีมานานก็ได้ตรัสรู้แก่พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ กำจัดอวิชชาหรือโมหะได้อย่างเด็ดขาด ทรงเห็นแจ้งในพระจตุราริยสัจโดยประจักษ์ ดับสูญสิ้นอาสวกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน สำเร็จเป็นองค์ "สมเด็จพระมิ่งมงกุฏศรีศากยมุนีโคดมบรมศาสดาจารย์" ทรงเป็นผู้ควรแก่การเคารพแห่งเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง


    ทรงพระกรุณาตรัสเล่าถึงประสบการณ์ของพระองค์เองตอนนี้ ไว้ใน บาลีโพธิราชกุมารสูตร และ บาลีมหาวาร ดังต่อไปนี้


    เราตถาคตน้อมจิตไปเฉพาะต่ออาสวขยญาณแล้ว
    เราตถาคตรู้แจ้งชัดตามความเป็นจริงว่า
    "นี่ทุกข์ , นี่เหตุแห่งทุกข์ , นี่ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ ,
    นี่ทางให้ถึงความดับไม่มีเหลือแห่งทุกข์...
    เมื่อเราตถาคตรู้แจ้งอยู่อย่างนี้ เห็นแจ้งอยู่อย่างนี้
    จิตก็พ้นจาก กามาสวะ-ภวาสวะ-อวิชชาสวะ
    ครั้นจิตพ้นวิเศษแล้ว ก็เกิดญาณหยั่งรู้ว่าจิตพ้นแล้ว
    เราตถาคตรู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์จบแล้ว
    กิจที่ต้องทำได้สำเร็จแล้ว กิจอื่นที่จะต้องทำเพื่อ
    ความหลุดพ้นอย่างนี้มิได้มีอีกแล้ว


    "ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสารทั้งหลาย !
    ตราบใดที่ญาณทัศนะเครื่องรู้เห็นตามความเป็นจริง
    ของเราในอริยสัจทั้ง ๔ เหล่านี้ ยังไม่เป็นญาณทัศนะ
    ที่บริสุทธิ์สะอาดด้วยดี
    ตราบนั้นเราตถาคต
    ก็ยังไม่ปฏิญญาว่า ได้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะแล้วซึ่ง
    อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณให้เป็นที่รู้กันในมนุษยโลก
    พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อม
    ทั้งสมณพราหมณ์ พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์

    "ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสารทั้งหลาย !
    เมื่อใดที่ญาณทัศนะเครื่องรู้เห็นตามความเป็นจริง
    ของเราในอริยสัจทั้ง ๔ เหล่านี้ เป็นญาณทัศนะ
    ที่บริสุทธิ์สะอาดด้วยดี
    เมื่อนั้นเราตถาคตปฏิญญาว่า
    เป็นผู้ได้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะแล้วซึ่งอนุตรสัมมา-
    สัมโพธิญาณให้เป็นที่รู้กันในมนุษยโลก
    พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อม
    ทั้งสมณพราหมณ์ พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์" ดังนี้



    //////////////////////////////////////////////////////////////////

    เนื้อหาจาก โพธิธรรมทีปนี : พระพรหมโมลี
    อ่านต่อได้ที่: https://www.gotoknow.org/posts/215950
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972
    กล่าวตามคติพระโบราณาจารย์ที่ว่า สัจจฺ สตฺโต ปฏิสนฺธิ แปลว่า


    ธรรมที่เข้าใจได้ยาก และแสดงได้ยากในพระบวรพุทธศาสนานี้ มีอยู่ ๔ อย่าง คือ

    พระจตุราริยสัจ ๑

    ปรมัตถธรรม คือ ความเป็นอยู่ของสัตว์ทั้งหลาย ๑

    ปฏิสนธิ คือ ความเกิดแห่งสัตว์ทั้งหลาย ๑

    ปฏิจจสมุปบาทธรรม ๑


    ครานี้เรามาสรุปลำดับแห่งการตรัสรู้อีกครั้ง ตามที่ขีดเส้นใต้เอาไว้ ดังนี้


    ปฐมยาม ---> ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ

    มัชฌิมยาม ---> จุตูปปาตญาณ

    ---> พิจารณาปฏิจจสมุปบาทธรรม

    ปัจฉิมยาม ---> อาสวักขยญาณ

    ---> พิจารณาวิปัสสนาญาณ

    ---> พิจาณาลงไปที่เบญจขันธ์หรือรูปนาม เห็นจริงตามอำนาจพระไตรลักษณ์

    ---> เห็นแจ้งในพระจตุราริยสัจธรรม (พระอริยสัจ ๔)

    ---> กำจัดอวิชชาหรือโมหะได้อย่างเด็ดขาด

    ---> ตรัสรู้พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ


    เห็นได้ว่าญาณทั้ง ๒ อันเป็นการตามเห็นการเวียนว่ายตายเกิดทั้งของตนเองและสัตว์อื่น เป็นความรู้สำคัญยิ่งต่อการก้าวสู่ความพ้นทุกข์ ใครที่ประมาทต่อหลักการเวียนว่ายตายเกิดคิดแต่ว่าเป็นเรื่องไกลตัว ไม่น่าสนใจ ลองทบทวนดูเสียใหม่ว่าท่านประมาทในธรรมที่พระผู้มีพระภาคได้รู้แจ้งแล้วหรือไม่

    ในพระญาณทั้ง ๒ นี้ เป็นขั้นโลกียญาณ เพื่อมุ่งไปที่ความหมดข้อสงสัยในการเวียนว่ายตายเกิดและเห็นความจริงในข้อนี้จึงน้อมไปที่ความสังเวชสลดพระหฤทัย หลังจากนั้นจึงทรงเห็นภัยในวัฏฏะ และเบื่อหน่ายในการเวียนว่ายตายเกิด ทรงเริ่มหาเหตุหรือสาวหาเหตุของการเวียนว่ายตายเกิดจึงทรงหยั่งพระญาณลงพิจารณาปัจจยาการหรือปฏิจจสมุปบาทธรรม สาวหาเหตุจนไปเจอตัวการสำคัญที่สุด หรือตัวปฐมเหตุ นั่นคือ อวิชชา นั่นเอง


    จากนั้นจึงพิจารณาอำนาจของอวิชชา ถึงกระนั้นในขั้นตอนนนี้พระองค์ก็ยังไม่ได้สำเร็จธรรมวิเศษเป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ! ทรงพิจารณาอย่างถี่ถ้วนถ่องแท้ ในที่สุดก็ทรงทราบว่า "อวิชชา" คือตัวโมหะนี้ ย่อมครอบงำจิตสันดานทำให้มืดมนปกปิดกำบังดวงปัญญามิให้เห็นแจ้งในพระไตรลักษณญาณ และมิให้เห็นแจ้งในพระจตุราริยสัจธรรม (พระอริยสัจ ๔)


    ใกล้จะได้ตรัสรู้ในชั่วระยะเวลาไม่นานนี้ ก็ทรงตั้งพระทัย น้อมตรงไปเพื่อที่จะบรรลุ อาสวักขยญาณ คือในขณะนี้พระองค์ทรงกระทำวิธีการที่จะกำจัดอวิชชาหรือโมหะ ซึ่งเป็นม่านมืดปกปิดกำบังไม่ให้เห็นแจ้งในพระไตรลักษณ์ และพระจตุราริยสัจธรรม (พระอริยสัจ ๔)นั้น โดยวิธีการคือทรงเจริญพระวิปัสสนาญาณภาวนา เห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปแห่งเบญจขันธ์หรือรูปนาม ตามอำนาจแห่งพระไตรลักษณ์

    ทรงเห็นแจ้งในอริยสัจ ๔ โดยประจักษ์ กำจัดอวิชชาหรือโมหะได้อย่างเด็ดขาด ดับสูญสิ้นอาสวกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน สำเร็จเป็นองค์ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ในที่สุด


    --->>> ตามที่สรุปออกมานี้ มีข้อสังเกตที่ว่า การตรัสรู้ธรรมของพระองค์โดยลำดับพระญาณต่างๆ นั้น มิได้เกิดจากการนึกคิดตรึกตรองไปตามอาการ แต่พระองค์สรุปชัดเจนลงไปความว่า -


    ตราบใดที่ ญาณทัศนะเครื่องรู้เห็นตามความเป็นจริง
    ของเราในอริยสัจทั้ง ๔ เหล่านี้ ยังไม่เป็นญาณทัศนะ
    ที่บริสุทธิ์สะอาดด้วยดี ตราบนั้นเราตถาคต
    ก็ยังไม่ปฏิญญาว่า ได้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะแล้วซึ่ง
    อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ



    พระองค์ทรงตรัสรู้ด้วยญาณทัสสนะอันบริสุทธิ์ ซึ่งตรงนี้เองที่แตกต่างจากนักตำราหรือนักปริยัติทั้งหลายผู้คิดว่าตนเองเข้าใจธรรมของพระพุทธเจ้าได้ดีกว่าใครอื่นด้วยการนึกคิดตรึกตรองพิจารณาไปตามอาการแห่งตัวหนังสือ แต่ความจริงแล้วพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรม ด้วย "ญาณทัสสนะอันบริสุทธิ์" และตราบใดที่เราท่านยังมิได้ถึงซึ่งญาณทัสสนะอันบริสุทธิ์แล้วไซร้ ก็ขออย่าได้ประมาทในธรรมที่ลุ่มลึกเหล่านี้โดยการเห็นเป็นของง่าย แล้วอธิบายไปตามอัธยาสัยแห่งตน แค่เพียงใช้สมองนึกคิดตรึกตรองก็สามารถเข้าใจได้อีกเลย


    ขอให้ทบทวนอีกครั้งว่า

    "ธรรมที่เข้าใจได้ยาก และแสดงได้ยากในพระบวรพุทธศาสนานี้ มีอยู่ ๔ อย่าง คือ

    พระจตุราริยสัจ ๑

    ปรมัตถธรรม คือ ความเป็นอยู่ของสัตว์ทั้งหลาย ๑

    ปฏิสนธิ คือ ความเกิดแห่งสัตว์ทั้งหลาย ๑

    ปฏิจจสมุปบาทธรรม ๑"


    การอธิบายธรรมโดยชั้นสมองนึกคิดตรึกตรองจึงยังไม่ชื่อว่า เห็นธรรมตามความเป็นจริง เพราะการเห็นธรรมตามความเป็นจริงมาจาก การปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรมในระดับ เห็นแจ้ง รู้จริง ด้วยญาณทัสสนะอันบริสุทธิ์ นั่นเอง

    .............................................

    อ่านบทความทั้งหมดได้ที่
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    ความเห็นส่วนตัวนะครับ
    ถ้าดูจากบาลีสูตรชัดเจนในตัวของมัน...

    แต่ที่ขยายความ...มันขุ่นมัว

    ...

     
  4. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972
    ขอให้ยึดพระสูตรในบาลีพระไตรปิฎกเป็นหลัก ส่วนการขยายความนั้น เป็นการสรุปของท่านผู้มีความรู้ ผู้อ่านจะเข้าใจอย่างไร จะตรงกับที่เราเข้าใจหรือไม่ สุดแต่การใช้วิจารณญาณในการวินิจฉัยนะครับ
     
  5. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,044

    ส่วนตัวมองว่า เรื่องนี้ อจิณไตย มากครับ.
    อ่านดูก็รู้สึกแปลกๆขัดๆยังไงไม่รู้ครับ..เพราะ
    บางตำราก็บอกไว้ว่า เรื่องแบบนี้..
    เป็นเรื่องที่ไม่ควรไปให้ความสำคัญ
    เพราะถ้าไม่รู้ด้วยการปฏิบัติอาจเป็นเหตุให้จิตฟั่นเฟือนได้..
    และเรื่องระดับนี้ ถ้าเป็น
    ท่าน พระอนุรุทธะ เอตทัคคะในบรรดาผู้มีทิพยจักษุ
    เป็นผู้ที่ถ่ายทอดมาเอง ส่วนตัวจะถือว่ามีความน่าเชื่อถือสูงครับ...
    เพราะมีเพียงท่านเดียวที่สามารถทราบสภาวะจิตของผู้เป็นเลิศได้
    ลองนึกดูนะครับ ว่ายุคนั้น มีเอตทัคคะด้านอภิญญาไม่ว่า ชาย
    หรือ หญิงไม่ทราบว่าตั้งกี่ท่าน แต่มีท่านพระอนุรุทธะท่านเดียว
    ที่สามารถทราบได้..

    ถ้ามาในยุคหลังๆ
    จะเป็นผู้รู้ หรืออื่นๆ ผู้มากบารมี มีตำแหน่งใหญ่โต
    อะไรหรือเป็นที่นับน่าถือตาก็ตาม..
    หรือต่อให้มีความสามารถเทียบเท่า
    ท่าน พระมหาโมคคัลลานะ ผู้เป็นเอตทัคคะในบรรดาผู้มีฤทธิ์
    มาแต่งเพิ่มเติม ขยายความเพิ่ม ส่วนตัวมองว่า
    อ่านได้ แต่ถ้าให้คะแนน เต็ม ๑๐ ให้ ๐.๕ เปอร์เซนต์ครับ..

    ยิ่งมาเพิ่มในยุคนี้ จากท่านที่สืบมาจากวิชาธรรมกาย
    ซึ่งไม่ได้เคยมีกล่าวไว้ยุค
    ที่ผู้เป็นเลิสทั้ง ๓ ภพท่านยังทรงธาตุขันธ์อยู่
    แต่ถ้าเป็นท่านเจ้าของผู้ค้นพบวิชาธรรมกาย
    มากล่าวเองหรือเป็นบทความที่ถ่ายทอด
    มาจากท่านนั้น ความน่าเชื่อถือจะสูงครับ..


    ทั้งนี้ทั้งนั้นเรื่องที่นำมาลงนี้ อาจมาแต่งมาปรุงเพิ่ม
    ช่วงปลายอุทธยา แล้วก็รับรู้จากสัญญามาก็ได้
    ความน่าเชื่อถือตามส่วนตัวให้ ๐.๑ เปอร์เซนต์จาก ๑๐ ครับ
    แต่ถ้าเป็นท่านที่สืบเชื้อมาจาก ท่านพระอนุรุทธะ
    มีความเป็นเลิศทางด้านทิพย์จักขุในระดับใกล้เคียงกัน
    แล้วมาถ่ายทอดนั้น
    จะมีความน่าเชื่อถือมากกว่าครับ
    ปล.ความเห็นส่วนบุคคลนะครับ
     
  6. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    ครับ ยึดหลักพระสูตรไว้

    แต่การอธิบายของบุคคลก็เป็นสิทธของบุคคลนั้นๆ
    ไม่ว่ากันแหละ ตามความเข้าใจเจ้าของ...

    ..
     
  7. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    ถ้าคุณสมถะไม่ว่ากัน

    ผมก็จะเขียนความเห็นส่วนตัว
    เพื่อแลกเปลี่ยนกันนะครับ

    ถ้ายึดเอาอาสวะกิเลส ในการอธิบายจะง่ายมาก
    คุณเขียนแต่ อวิชชาอาสวะ
    แล้วอาสวะมีอีกสองตัว มันหายไปไหน?...

    ....
     
  8. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972
    พระธรรมเทศนาของหลวงพ่อวัดปากน้ำ คัดมาเฉพาะที่เกี่ยวกับการบรรลุธรรมของพระพุทธองค์ คัดมาบางส่วน ดังนี้...

    กัณฑ์ที่ ๑
    พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ

    สมฺมาสมฺพุทฺโธ

    สมฺมาสมฺพุทฺโธ แปลตามศัพท์ว่า ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยชอบ หรือนัยหนึ่งว่า ตรัสรู้เองโดยถูกต้อง หรือพูดให้สั้นก็ว่า รู้ถูกเอง เพื่อให้ใกล้กับภาษาสามัญที่ใช้กันว่ารู้ผิดรู้ถูก ได้แก่คำที่พูดติเตียนคนที่ทำอะไรผิดพลาดไปว่า เป็นคนไม่รู้ถูกรู้ผิด ทำไปอย่างโง่ๆ ดังนี้เป็นต้น แต่แท้จริง “พุทฺโธ” คำนี้เมื่อพิเคราะห์ให้ลึกซึ้งลงไปตามรูปศัพท์แล้ว มีความหมายลึกซึ้งมาก ต่างกันไกลกับคำว่า ชานะ หรือวิชานะ ซึ่งแปลว่ารู้แจ้งนั้น ดังนั้น พุทฺโธ จึงได้แปลกันว่า “ตรัสรู้” ไม่ใช่รู้เฉยๆ เติมคำว่า “ตรัส” นำหน้า “รู้” ซึ่งสะกิดให้สนใจว่า “รู้” กับ “ตรัสรู้” ๒ คำนี้ มีความหมายลึกตื้นกว่ากันแน่ โดยมิสงสัย เมื่อระลึกถึงพระบาลีในธรรมจักกัปปวัตตนสูตรที่ว่า “จกฺขุ อุทปาทิ ญาณํ อุทปาทิ ปญฺญา อุทปาทิ วิชฺชา อุทปาทิ อาโลโก อุทปาทิฯ” จึงทำให้แลเห็นความว่า คุณวิเศษทั้ง ๕ อย่างดังบาลีที่ยกขึ้นกล่าวนี้ จะเป็นความหมายแห่งคำว่า พุทฺโธ กล่าวคือ จกฺขุํ ญาณํ ปญฺญา วิชฺชา อาโลโก ทั้ง ๕ อย่าง นี้ประมวลเข้าด้วยกันรวมเป็นคำแปลของคำว่า พุทฺโธ หรือจะแปลให้สั้นเข้าอีก คำว่า พุทฺโธ ก็ยังต้องแปลว่า ทั้งรู้ทั้งเห็น ไม่ใช่รู้เฉยๆ อาศัยคำว่า จกฺขุํ ญาณํ ในบาลีที่ยกขึ้นกล่าวมานั้นเป็นเครื่องประกอบ ยิ่งกว่านั้นยังมีคำว่า ชานตา ปสฺสตา ฯ ในมหาสติปัฏฐานสูตรอยู่อีก ซึ่งเป็นเหตุสนับสนุนว่า ที่ว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้นั้นไม่ใช่รู้เฉยๆ เป็นทั้งรู้ทั้งเห็น

    ที่ว่า “เห็น” นั้นมิได้หมายความว่าเห็นอย่างตาเราเห็นอะไรจริงๆ แต่พระองค์เห็นด้วยตาธรรมกาย และ การที่พระองค์เห็นนี้ โดยมิได้มีผู้ใดสอนให้รู้สอนให้เห็น รู้เห็นโดยลำพังพระองค์เอง และ สิ่งทั้งหลายที่พระองค์รู้เห็นนั้น ตรงตามความเป็นจริงทั้งนั้น มิใช่คาดคะเน หรือ อนุมานเอา จึงเป็นองค์สัมมาสัมพุทโธ พระผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ หรือนัยหนึ่งว่าโดยถูกต้องตรงความเป็นจริงทุกประการ จึงได้ชื่อว่า “ตรัสรู้” ยังมีคำว่า “สัม”นำหน้า “พุทธะ” เติมเข้ามาอีกคำหนึ่ง ซึ่งแปลว่า ด้วยพระองค์เอง คือ ไม่ต้องมีผู้สั่งสอน พระองค์ทำอย่างไร จึงตรัสรู้ด้วยพระองค์เองเช่นนั้น ข้อนี้ตอบไม่ยาก พระองค์ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองได้ ก็เพราะความเป็น “อรหํ” ของพระองค์ดังกล่าวข้างต้นแล้วนั่นเอง คือ เมื่ออำนาจสมาธิทำให้จิตของพระองค์หลุดพ้นจากอาสวะแล้ว จิตของพระองค์ก็ใสยิ่ง หยุด และบริสุทธิ์ผุดผ่อง เพราะหยุดนิ่งนั่นเอง จึงมีสิ่งหนึ่งผุดขึ้นในนิ่ง ทำให้รู้ พระองค์ก็รู้ตามนั้นไป น้ำขุ่นแม้อิฐสักก้อนหนึ่งอยู่ก้นโอ่งเราก็มองไม่เห็น แต่ถ้าน้ำนั้นนอนนิ่งใสบริสุทธิ์แล้ว แม้แต่เข็มอยู่ก้นโอ่งเราก็เห็น ฉันใดก็ฉันนั้น

    ยังมีคำว่า “สัมมา” นำหน้า “สัมพุทโธ” อีกคำหนึ่ง คำว่า สัมมา แปลว่า โดยชอบ หรือ โดยถูกต้อง พระองค์ตรัสรู้อะไร มีเหตุผลยันกันได้เสมอ จึงได้ชื่อว่าถูกต้อง เพราะการพูดอะไรไม่มีเหตุผลรับสมหรือยันกันได้แล้วตามหลักธรรมดาเรียกว่าไม่ถูก ต้องมีเหตุผลรับสมกันจึงจะนับว่าถูก พระสัทธรรมคำสอนของพระองค์ มีเหตุผลรับสมกันอยู่เสมอไม่คลาดเคลื่อน จึงสมควรแล้วที่ได้พระเนมิตกนามว่า สมฺมาสมฺพุทฺโธ


    พระพุทธวจนะที่ควรนำมาสาธกในที่นี้ ว่าแต่โดยสั้นๆ ก็ว่า พระองค์ตรัสรู้เหตุตรัสรู้ผลไม่ใช่แต่เหตุหรือรู้แต่ผล พระองค์ตรัสรู้ทั้งเหตุตรัสรู้ทั้งผล ที่ว่านี้คืออะไร เหตุสุข เหตุทุกข์ เหตุไม่สุข ไม่ทุกข์ หรือเรียกว่าอัพยากฤต คือ สภาพเป็นกลางๆ ทั้ง ๓ อย่างนี้ เป็นรากฐานแห่งการตรัสรู้ของพระองค์ กล่าวคือ สุข พระองค์ก็ไม่ทรงรู้แต่สุขเฉยๆ ตรัสรู้ลึกซึ้งเข้าไปถึงว่า อะไรเป็นเหตุให้เกิดสุขด้วย และอีก ๒ ประการนั้นก็เช่นเดียวกัน รู้ทั้งเหตุ รู้ทั้งผลคู่กันไป เป็นต้นว่าสุข เป็นผล คือ ความสบายกาย สบายใจ อะไรเล่าเป็นเหตุที่ให้เกิดผลคือสุขดังกล่าวนั้น พระองค์ตรัสไว้ว่า อโลภะ อโทสะ อโมหะ ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ๓ ประการนี้แหละเป็นเหตุ ดังมีบาลีเป็นที่ยืนยันว่า กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา อพฺยากตา ธมฺมา เป็นอาทิ โลภ โกรธ หลงเป็นฝ่าย อกุศล ตรัสว่าเป็นเหตุแห่งทุกข์ เราปุถุชนมักรู้กันแต่ผล สาวหาเหตุไม่ใคร่ถึง เช่น คนทำโจรกรรมแล้ว ไปต้องโทษอย่างมาก ที่รู้กันว่าไปมักอยู่ในขั้นหยาบๆ ว่า ผลที่ต้องได้รับทุกข์ คือ การต้องโทษนั้น เนื่องมาจากโจรกรรม แต่แท้จริงเหตุเท่านั้นยังไม่พอ ต้องสาวเข้าไปอีก ทำไมเขาจึงทำโจรกรรม ก็จะได้ความว่า เพราะโลภะเป็นมูลเหตุ แต่ก็ยังไม่พอต้องสาวเข้าไปอีกว่าทําไมโลภะจึงครอบงําเขาได้ ก็จะได้ความว่าจิตใจของเขาสกปรก ทําไมจิตใจเขาจึงสกปรก จึงได้เหตุว่าเพราะเขาไม่ประพฤติตามโอวาทพระบรมศาสดา อย่างน้อยก็เป็นคนทุศีล อทินนาทานขาดไปเสียองค์หนึ่งแล้ว เหตุใดเขาจึงเป็นคนทุศีล ก็จะได้ความว่าเขาไม่รู้เรื่องศีลหรือรู้แล้วไม่นําพา ทําไมจึงไม่รู้เรื่องศีล ก็อาจเป็นเพราะเหตุที่เขาไม่เคยอ่านหนังสือทางพระพุทธศาสนาหรือสดับตรับฟังพระธรรมเทศนา ฯลฯ ดังนี้เป็นต้น พระองค์ทรงสอนไว้ละเอียดถี่ถ้วนว่า ให้รู้เท่าถึงเหตุผล รู้ว่าผลนี้เกิดจากเหตุใด พระองค์มีแนวสอนให้ปฏิบัติเพื่อละเหตุที่ให้เกิดทุกข์บําเพ็ญที่ให้เกิดสุขตลอดจนวิถีทางดับเหตุทั้งปวง ซึ่งเรียกว่านิโรธ

    เพื่อรับสนองข้อความดังกล่าวมา ก็มีถ้อยคําของพระอัสสชิเถระเป็นหลักฐานสนองรับรองพระพุทธวจนะดังกล่าวมา คือภายหลังแต่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ๆ พระอัสสชิเถระ ซึ่งเป็นพระสาวก ไปประกาศพระศาสนา ไปพบอะไรเป็นเหตุของความดี โลภะ โทสะ โมหะ เป็นเหตุแห่งความชั่วหรือความเสื่อม กับอุปติสสปริพาชก อุปติสสปริพาชกตั้งกระทู้ถามกันสั้นๆ ถึงเรื่องพระศาสดาว่าทรงสั่งสอนอย่างไร พระอัสสชิได้ตอบว่าทรงสอนถึงเหตุและวิถีทางที่จะดับเหตุเหล่านั้น ดังพระบาลีว่า เย ธมฺมา เหตุปพฺภวา เตสํ เหตุํ ตถาคโต ฯลฯ หรือพูดอย่างสั้นอีกนัยหนึ่งว่า พระองค์สอนให้รู้ว่าอะไรชั่ว อะไรดี อะไรเป็นเหตุของความชั่ว อโลภะ อโทสะ อโมหะ เป็นเหตุแห่งความดีหรือความเจริญ ทรงสอนว่า ก่อนจะพูด คิด หรือทำสิ่งใด จงมีสติหรือที่เรียกว่าใช้ความคิดให้รอบคอบเสียก่อนจึงพูด จึงคิดจึงทำการนั้นๆ แลว่าโดยเฉพาะจงระวังเรื่อง โลภะ โทสะ โมหะ นั้นไว้อย่าให้เข้าครอบงำได้ ในเมื่อจะทำ พูด คิดการสิ่งใด พระองค์ทรงสอนไว้ในทางรมัตถ์ว่า ธรรมดาจิตนั้นใสบริสุทธิ์อยู่เสมอ ซึ่งหมายความว่า จิตที่ไม่มีกิเลสผสม ส่วนพวกกิเลส เช่น โลภะ เรียกว่าเป็นของจรมา เมื่อมาพ้องพานจิตก็ย้อมจิตให้เป็นไปตามสภาพอันชั่วช้าของกิเลสนั้นๆ จิตระคนด้วยราคะ หรือ โลภะ มีสีแดง ระคนด้วย โทสะ สีดำระคนด้วย โมหะ ขุ่น เหมือนตมหรือน้ำล้างเนื้อ สิ่งเหล่านี้พระองค์ใช้ตาธรรมกายมองเห็นจริงๆ พวกเราเหล่าศาสนิกชน เมื่อเรียนภาวนาเพ่งถึงขนาด จะเห็นจริงด้วยตนเอง การปฏิบัติกิจทางภาวนานั้น ก็คือ พยายามกลั่นเอากิเลสออกเสียจากจิต ให้จิตใจบริสุทธิ์ อันได้ชื่อว่ากิริยาจิต กิริยาจิตเช่นนี้เป็นอัพยากฤตแล้ว ต่อนั้นไปจะเป็นจิตที่ควรแก่การทุกอย่าง

    พระธรรมเทศนาของพระองค์เมื่อตอนตรัสรู้ใหม่ๆ หนักไปในทางแสดงเหตุ และการดับเหตุ หรือที่เรียกว่า สมุทัย กับ นิโรธ ดังเช่นในการให้พิจารณาเรื่องสังขารในด้าน สมุทัย ว่า อวิชฺชปจฺจยา สงฺขารา และในด้าน นิโรธ ว่า อวิชฺชายเตฺวว อเสสวิราคนิโรธา

    ในด้าน สมุทัย นั้น แปลความเป็นสยามภาษาว่า อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป นามรูปเป็นปัจจัยให้เกิดอายตนะ ๖ อายตนะ๖ เป็นปัจจัยให้เกิดผัสสะ ผัสสะเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา เวทนาเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา ตัณหาเป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทาน อุปาทานเป็นปัจจัยให้เกิดภพ ภพเป็นปัจจัยให้เกิดชาติ ชาติเป็นปัจจัยให้มีความแก่ ความตาย และความเศร้าโศกต่างๆ สิ่งเหล่านี้จะดับได้ก็เพราะดับชาติ ชาติดับได้ก็เพราะดับภพ ภพจะดับได้ก็เพราะอุปาทานดับ อุปาทานจะดับได้เพราะตัณหาดับ ตัณหาจะดับได้ก็เพราะเวทนาดับ เวทนาจะดับได้เพราะผัสสะดับ ผัสสะจะดับได้ก็ต่อเมื่ออายตนะดับ อายตนะจะดับได้ต่อเมื่อนามรูปดับ นามรูปจะดับได้ต่อเมื่อวิญญาณดับ วิญญาณจะดับได้ต่อเมื่อสังขารดับ สังขารจะดับลงก็เพราะอวิชชาดับ เหตุผลเกิดดับเกี่ยวข้องกันเป็นลูกโซ่เช่นนี้ เรียกว่าปัจจยาการ ที่พระองค์ได้รู้แจ้งแทงตลอดในวันตรัสรู้นั้นทั้งสิ้น พิจารณาตามลําดับ ดังที่ยกขึ้นกล่าวมาข้างต้น เมื่อย่นให้ได้ความเข้าใจอันจะเป็นผลในทางปฏิบัติแล้ว ก็มีตัวสําคัญอันเดียวคือ อวิชชา เป็นมูลรากฝ่ายเกิด หรือที่เรียกว่า สมุทัย และในทางดับ นิโรธ ก็ทํานองเดียวกัน อวิชชาเท่านั้นเป็นตัวการสําคัญ ถ้าดับอวิชชาได้อย่างเดียว อื่นๆ ดับเรียบหมด เพราะอวิชชาเหมือนต้นไฟ แต่ถ้ายังดับอวิชชาไม่ได้แล้ว ก็ไม่มีหวังว่าอย่างอื่นจะดับได้ ที่หมายสำคัญในคำสอนของพระองค์จึงอยู่ที่ว่า ให้ผู้ปฏิบัติเพียรหาทางกำจัดอวิชชาเสีย จึงจะพ้นจากห้วงลึกคือวัฏฏสงสารได้

    อเนกฺชาติสํสารํ ในขณะเมื่อแสงทองเรื่อเรืองแข่งแสงเงินขึ้นมายังขอบฟ้าเบื้องบูรพา อันเป็นสัญญาณว่าดวงอาทิตย์ทำหน้าที่จะส่องโลกอยู่แล้ว เป็นเวลาที่อากาศยะเยือกเย็นสดชื่น ส่งให้เราหวนไประลึกถึงเวลารุ่งอรุณแห่งวันเพ็ญวิสาขมาส อันเป็นวันที่พระบรมโลกนาถ อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณนั้น เราจะแลเห็นโอภาสรัศมีอันรุ่งโรจน์ยิ่งกว่าแสงทองนั้นร้อยเท่าพันทวี ช่วงโชติอยู่ภายใต้โพธิพฤกษ์อันมหาศาล ใบเขียวชอุ่มรับกับรัศมีอันเหลืองอร่ามอยู่ภายใต้นั้น ในใจกลางแห่งรัศมีอันช่วงโชติชัชวาลอยู่นั้น มิใช่อื่นไกล คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ประทับพริ้มอยู่ด้วยพระอาการชื่นบานพระหฤทัยที่ได้เสวยวิมุตติสุข อันเป็นผลแห่งการที่พระองค์ได้ทรงประกอบพระมหาปธานวิริยะมาเป็นเวลาช้านาน จึงได้บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณดังพระหฤทัยประสงค์ พระองค์จึงทรงเปล่งพระอุทานเย้ยตัณหาว่า อเนกชาติสํสารํ ดังที่ได้ยกขึ้นกล่าวไว้ข้างต้นนั้น ซึ่งแปลใจความเป็นสยามภาษาว่า "เราสืบเสาะหาตัวช่างไม้ผู้สร้างปราสาทมานานแล้วเมื่อเรายังหาไม่พบเราต้องท่องเที่ยวอยู่ในสงสาร เวียนตายเวียนเกิดอยู่แทบจะนับชาติไม่ถ้วน การเกิดนำความทุกข์มาให้เราแล้วๆ เล่าๆ ไม่รู้จักจบจักสิ้น นี่แน่ะ ท่านนายช่างไม่กล่าวคือตัณหา! บัดนี้เราเจอะตัวท่านแล้วละ ท่านหมดโอกาสที่จะมาสร้างปราสาท คือ อัตตภาพร่างกายเราต่อไปได้อีกแล้ว กระดูกซี่โครงท่าน กล่าวคือกิเลส เราหักเสียกรอบหมดแล้ว มิหนำซ้ำ ยอดปราสาทกล่าวคืออวิชชา เราก็รื้อทำลายหมดสิ้นแล้วจิตของเราปราศจากเครื่องปรุงแต่งแล้ว เราถึงซึ่งความสิ้นไปแห่งตัณหาแล้ว" พระอุทานนั้นมีข้อความเป็นบุคคลาธิษฐานสั้นๆ แต่มีอรรถรสลึกซึ้งน่าสนใจป็นอย่างยิ่ง ที่แปล เคหกูฏํ ว่ายอดปราสาท ก็เพื่อความเหมาะสมที่พระองค์เป็นกษัตริย์ เพราะบ้านเมืองของพระมหากษัตริย์ เรียกกันว่าปราสาทราชฐาน พระอุทานนั้นมีความความชัดเจนแล้วมิจำต้องอธิบาย

    อ่านเนื้อหาเต็มๆ ได้ที่ : Untitled Document
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    ผมเขียนเปรียบเทียบแบบผมนะครับ

    ดวงจิตของหมู่สัตว์ ผมมองเหมือนเม็ลดข้าวเปลือก...

    เมล็ดข้าวเปลือก มันประกอบด้วย
    แกลบ จมูกข้าว ลำ ตัวข้าวสาร

    ข้าวเปลือกหนึ่งเมล็ด ถ้าไม่เอาเปลือกออก
    เอาไปว่าน มันเจริญเป็นต้นใหม่

    ข้าวเปลือกที่แกะเอาแกลบออก
    มันจะเป็นข้าวสาร เอาไปว่าน มันจะไม่เจริญขึ้นได้อีก

    ....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 สิงหาคม 2016
  10. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    วิชาธรรมกาย เป็นสุดยอดแห่งกรรมฐาน

    วิชาธรรม ทำจิตให้ผ่องใส่ เหมือนขัดเมล็ดข้าวเปลือก
    ให้สะอาดหมดจด ทำให้เกิดญาณทัศนะมากมาย

    แต่มันได้แค่ผ่องใส

    ....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 สิงหาคม 2016
  11. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    ถ้าเป็นวิชาพระพุทธองค์

    ต้องทำจิตให้บริสุทธ์ เหมือนเมล็ดข้าวสาร

    มันไม่ใช่มานั้งขัดเมล็ดข้าวเปลือก
    มันต้องแกะเปลือก(แกลบ)ออก

    มันต้องแกะ...
    ไม่ใช่มานั้งขัด...

    ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 สิงหาคม 2016
  12. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972
    ตามความเข้าใจของคุณมารเดินดินว่า แต่มันได้แค่ผ่องใส
    อันนี้เราก็ไม่ว่ากัน เพราะเป็นเพียงความคิดเห็นของท่าน
    แต่สำหรับผมมันไม่ได้แค่ผ่องใสดอกครับ พระพุทธองค์ทรงรู้เห็นและทำลายกิเลสได้อย่างไร เราก็ฝึกไปตามหลักของพระองค์ เพียงแต่เรายังไม่ถึงพร้อมด้วยบารมีที่เต็มส่วน เราจึงได้เพียงรู้ตามและทำได้บ้างตามกำลังของเรา ยังต้องปฏิบัติให้ถึงซึ่งความสิ้นอาสวะกิเลสต่อไปนั่นเอง
     
  13. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,044
    ถ้าเป็นหลวงพ่อสด ส่วนตัวไม่มีข้อสงสัยใดๆทั้งสิ้นครับ...

    แต่ถ้าเป็น คนที่นำมาลง หรือ คุณ สมถะ นำมาลง
    ส่วนตัวมองว่า เป็นแค่การแสดงความเห็นครับ
    ซึ่งก็เหมือน ที่ คุณมารเดินดิน มาแสดงความเห็นนั่นหละครับ

    ส่วนตัวมองว่า ที่ คุณ มารเดินดิน พูดยังดูมีเหตุมีผลกว่า
    มีความเป็นไปได้มากกว่าครับในทางปฏิบัตินะครับ...

    แต่ผมสังเกตุหลายทีแระ สำหรับคุณ สมถะ
    พอคนอื่นมีความเห็นแย้ง ไม่ตรงกับที่คุณ สมถะ คิดและเข้าใจ
    ในแบบของคุณเอง
    เอ๊ะอะอะไร คุณก็จะอ้างแต่เรื่องบารมีเต็ม ไม่เต็ม
    ถ้าเป็นอย่างนี้นะครับ ไม่ว่า ใครจะฝึกกรรมฐานกองใดๆในโลกนี้
    และจะฝึกกรรมฐานสายๆไหน ก็พูดอ้างได้หมดแระครับ...
    ประมาณว่า คุณไม่เข้าใจ เพราะบารมีคุณมันยังไม่เต็ม
    มันดูตลกมากนะครับ สำหรับผม
    แทนที่ คุณ จะอธิบาย สภาวะที่เกิด จากประสบการณ์คุณเอง
    เพื่อให้ สมาชิกที่มาแสดงความเห็นเข้าใจ
    พอมองเห็นทางได้ เข้าใจนะครับ


    ตัวคุณเอง ยังไม่ค่อยเข้าใจสภาวะกิริยาทางจิต
    ที่เกิดในระหว่างทางของวิชานี้เลยด้วยซ้ำ..
    พอมีคนถาม คุณก็ยกแต่ตำรามาอ้าง มาตอบ
    ซึ่งการอ้างตำรามาตอบมันดีครับ

    แต่สิ่งที่นักปฏิบัติต้องการ ไม่ใช่ในตำราฝ่ายเดียว
    เราต้องการสภาวะ เข้าใจสภาวะนั้นๆ ในระหว่างทาง
    ของการปฏิบัติที่จะทำให้เราต่อยอดได้
    ต่อยอดว่า มันไปถึงปลายทางได้อย่างไร
    ไม่ใช่อ้างแต่บารมี อ้างแต่บารมี สุดท้าย
    แม้แต่คุณ สมถะ ที่ลงเอง และผู้มาถาม ก็ยังงงกันเอง ว่ามันถึงปลายทางยังไง
    ถ้าจะยกแต่ตำรามา จะนำมาลงทำไมให้เสียเวลา
    บอกให้เค้าไปอ่านเองไม่ดีกว่าหรือครับ


    และสำหรับวิชานี้ตัวคุณ สมถะ เองก็ยังไม่มีความ
    สามารถแสดงหรือพิสูจน์ให้ใคร
    รับรู้และเข้าถึงสภาวะแบบคุณได้เลย...
    ตรงนี้คุณมีอะไรจะแย้งไหมครับ

    แต่พูดจังนะครับ เรื่อง บารมีเต็มเนี่ย..
    เอามาอ้างจังนะครับ
    ผมว่า คุณ ยึดติด มากเกินไปหรือเปล่าครับ
    เป็นกลางหน่อยก็ดีนะครับ
    เพราะถ้าคุณยึดมากอย่างนี้ คุณจะคิดว่า ใครก็ตาม
    ที่คิดต่างจากคุณ เค้าผิดหมด และวิธีการอื่นๆไม่ดีเท่า
    วิธีของธรรมกายได้นั่นหละครับ

    ปล.หรือจะแย้งในสิ่งที่ผมพูดครับ.
    เอาทีละเด็นก็ได้นะครับ..
     
  14. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,159
    ค่าพลัง:
    +1,231
    คือผมมานั่งคิดๆดูแล้ว การระลึกชาติได้ เป็นแสน เป็นล้านชาติ อย่างพระพุทธเจ้า
    ทำให้พระองค์ยิ่งเบื่อหน่ายในสังสารวัฏฏ์ เพราะต้องเวียนว่ายตายเกิดซ้ำๆซากอย่างเดิม
    จนเหมือนไม่มีวันจบสิ้น ซ้ำเวลาก็ยาวนานมากจนนับไม่ได้
    ยิ่งมามองเห็นสัตว์โลกพากันเวียนว่ายตายเกิดด้วยญาณที่ ๒ ยิ่งทำให้พระองค์เกิดเบื่อหน่ายยิ่ง

    มันจะต่างกับคนทั่วๆไปที่ระลึกได้เพียงชาติ สองชาติ หรืออย่างมากเพียงสิบชาติ ยี่สิบชาติ
    เพราะแทนที่จะรู้สึกเศร้าสลดเบื่อหน่ายในการเกิด กลับจะพาให้ยึดติดในภพชาตินั้นๆ
    หนักๆเข้า ก็คือความหลงตัวเองว่าเป็นคนวิเศษกว่าคนอื่น เพราะการระลึกชาติได้
    ยิ่งในรายทีี่เคยเป็นใหญ่เป็นโตมาในอดีต เช่นเป็นราชามหากษัตริย์ ที่คนยกย่อง
    กลับจะยิ่งหลงยึดติดมากขึ้น แทนที่จะเกิดความสังเวชและเบื่อหน่าย

    ดังนั้น การระลึกชาติได้เป็นแสนๆชาติแบบพระพุทธเจ้า จึงเป็นคุณ คือช่วยให้เกิดความเบื่อหน่าย เพื่อให้หาทางหลุดพ้นต่อไป

    แต่การระลึกได้แบบปุถุชน ที่ระลึกได้เพียงไม่กี่ชาตินั้น กลับเป็นโทษ เพราะเป็นให้หลงตยึดติดในชาติภพ ยึดติดในชื่อเสียงเก่าๆ ยึดติดในความวิเศษ
    ที่ตนเองระลึกชาติได้ ไม่เป็นไปเพื่อการแสวงหาความหลุดพ้น

    สาเหตุที่ทำให้ผมคิดอย่างนี้ เพราะได้เห็นตัวอย่างจากคนที่เขาอ้างว่า ระลึกชาติได้
    เขาก็มีความยึดติดกันอย่างนี้ และหลงกันอย่างนี้ ไม่เห็นมีใครแสดงท่าทีว่าจะเบื่อหน่ายต่อการเกิด
     
  15. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972
    ใครจะมีความเห็นอย่างไร ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรดอกครับ
    ทุกคนก็ต่างมีความเห็นกันไป จะชอบไม่ชอบ จะเชื่อไม่เชื่อ ก็สุดแต่ท่านจะเห็นสมควร
    เพราะทุกคนก็ต่างทิฏฐิ ต่างปฏิบัติกันมาต่างๆ นานา การที่จะมีความเห็นไปในทางของตนก็เป็นเรื่องธรรมดา สำหรับเรื่องของบารมีนั้น ผมเห็นว่าเป็นเรื่องที่สำคัญในการยังความสำเร็จให้บังเกิด แม้ปัญญาเห็นแจ้งในธรรม ก็เป็นบารมีอย่างหนึ่ง ถ้าท่านใดจะเห็นเป็นเพียงข้ออ้างก็เป็นความเห็นของท่าน แต่ผมเห็นว่าเรื่องของบารมีเป็นพื้นฐานของพระโพธิสัตว์และสัตว์โลกทั้งปวงทีเดียว

    ผมเป็นวิทยากร ฝึกสมาธิวิชชาธรรมกาย ฝึกให้คนเข้าถึงธรรมกายมาพอสมควร พิสูจน์ให้คนทั้งหลายเห็นและเป็นธรรมกายมามากพอสมควร
    ติดตามผลงานการสอนสมาธิวิชชาธรรมกายของผมและวิทยากรใน ชมรมพัฒนาใจให้สว่างใส ได้ที่นี่ ครับ


    เปิดชมภาพผลงานการสอนสมาธิภาวนาได้ที่นี่ : https://web.facebook.com/khunsamatha2557/
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 สิงหาคม 2016
  16. Prasit5000

    Prasit5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +228
    .....พุดถึงเรือง ญาณ
    ....ถ้าสามารถ ทำสมาธิถึงระดับฌาน ใครๆก็มีญาณได้

    ....ญาณ คือความรุ้ของนิพพานธาตุ ญาณแปลว่ารู้ แต่มิได้รู้ด้วยจิต แต่รู้ด้วยตัวนิพพานธาตุ

    ....ญาณมีความแตกต่างกัน แล้วแต่ว่า ผุ้ที่ทำให้เกิดญาณได้แล้ว เอามาทำอะไรละ

    ....พระพุทธองค์ บำเพ็ญบารมี มาอย่างยิ่งยวด เพียงปรารถนา สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า การเป็นพระพุทธเจ้า ก็ต้องได้ อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นญาณ ที่รู้ ตามที่ท่านเอามาลงนั้นแหละ
    ....เป็นญาณ ที่รู้ อดีต อนาคต รู้วิธีแห่งการออกจากวัฏสงสาร
    ....การมีศรัทธา ท่านหมายถึง ศรัทธา ใน สัมมาสัมโพธิญาณ ถ้าสงสัย ก็ไม่ศรัทธา ถ้ายังครองผ้ากาสาวพัตร อยู่แล้วมาบอกว่า ดีกว่าพระพุทธเจ้าเขาเรียกว่า เนรคุณ เป็นโมฆะบุรุษ

    ....ธรรมะที่พระองค์เอามาสอน มิได้ตรึก นึก คิดเอาด้วยใจ ในเนี้อหาล้วนมาจาก พุทธญาณทั้งสิ้น สิ่งนี้แหละผมถึงหลงใหลในความมหัศจรรย์นี้

    ....ว่าถึง สาวก ก็มีญาณได้ แล้วนำญาณไปทำอะไร ตามคำสอนของพระพุทธองค์ ก็ทรงสอน ให้เกิด วิปัสสนาญาณ เกิดการรับรู้เพื่อออกจากวัฏสงสาร เกิดญาณหยั่งรู้ว่า ขันธ์ห้าไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เพื่อเกิดการตัดกิเลสสังโยชน์

    ....การทำวิปัสสนา ก็คือการทำสมาธิให้จิตมีสภาพควรแก่การงาน แล้วน้อมจิต เพื่อให้เกิดญาณ รู้ว่า ขันธ์ห้าเป็นสภาพ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
    ...."ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้ามีใจประเสริฐที่สุด สำเร็จแล้วแต่ใจ ..." ใจจะเป็นผู้จัดการให้เกิดญาณตามเจ้าของต้องการ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 สิงหาคม 2016
  17. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,044

    วิทยากร สายอ่านตำรามามากหรือเปล่าครับ..
    วิชาธรรมกาย ไม่จำเป็นต้องทำได้ก็สอนได้หรอกครับ
    อย่าโม้มาก น่าจะรู้ๆดีอยู่นะครับ..พูดให้ดูหล่อไปได้
    ประเด็นคือ ทำให้เค้ารับรู้เหมือนคุณได้ไหม ณ เวลานั้น
    แยกดีๆนะครับ คือ ถ้าคุณเห็นแบบนี้ คุณทำให้อีกคน
    เห็นแบบคุณได้ไหม แบบที่เค้าไม่ต้องฝึก เข้าใจนะครับ (^_^)

    ยกตัวอย่าง วิทยากรบางคนบอกว่า เห็นโน้นนี่นั้น
    สำหรับผมคือ เห็นอยู่คนเดียวไม่ได้เห็นด้วย
    ส่วนมากจะออกแนวโม้ๆ ดูตอนถามสภาวะธรรม
    มีคนถามสภาวะระหว่างทาง ทำไมคุณไม่ตอบหละครับ..
    พอผมมาแสดงความเห็น แห๋มๆ บอกเลยว่าตัวเองเป็นวิทยากร
    คุณทำไม ไม่ตอบจากประสบการณ์คุณหละครับ
    โม้ว่าเป็นระดับวิทยากร เอาประสบการณ์มาตอบซิครับ
    เอ๊ะอะ อ้างตำรา อ้างจังเรื่องบารมีเต็มไม่เต็ม..
    เพราะอะไร เพราะที่คุณมี คุณทำได้ มันพิสูจน์ไม่ได้ไงครับ
    ถ้าคนนั้นเดินมาแล้วทำให้คนอื่นๆเห็นได้เหมือนกัน
    อย่างนี้คือ คนรู้สภาวะและทำได้จริง..
    ซึ่งก็น่าจะตอบสภาวะได้สบายๆไม่ใช่อ้างแต่บารมี



    สำหรับคุณ สมถะ ก็เลยใช้เรื่องบารมี มาเป็นข้ออ้าง หรือ ข้อแก้ตัว
    เพราะว่า คุณ ไม่เข้าใจสภาวะธรรม หรือ กิริยาต่างๆที่เกิด
    ระหว่างทางของวิชาธรรมกายนี้ เพราะหากมีใครมาถาม
    คุณนอกจะไม่ตอบ และก็จะยกแต่ตำรามา..
    แต่ก็ไม่ใช่คำตอบและทางออก เพราะสภาวะระหว่างทาง
    ไม่ได้มีเขียนไว้ในตำรายังไงหละครับ
    เพราะคุณ ปฏิบัติไม่ได้ ในระดับที่จะแสดงพิสูจน์ให้คน
    อื่นๆรับรู้ได้ และคำตอบคุณ ยังไม่ได้ช่วยแก้สภาวะ
    กิริยาต่างๆของผู้ที่ติดขัดที่สนใจวิชาทางด้านนี้...

    แต่คุณก็จะยึดว่า วิชานี้สุดยอด เพราะคุณคิดว่ามันสุดยอด
    ใครคิดไม่เหมือนคุณ อ่านไม่เข้าใจ ใครมาแย้ง..
    ก็จะพูดประหนึ่งว่า คนนั้นบารมียังไม่เต็ม..(พูดแล้วดูหล่อเนาะ)
    จะบอกคนอื่นๆเป็นนัยๆ ว่าตัวเองบารมีเต็มงั้นเถอะ
    งั้นแสดง และพิสูจน์ ด้วยการตอบสภาวะกิริยา
    ระหว่างทางซิครับ เอาจากการปฏิบัติมาตอบซิครับ
    จะอ้างตำรา อ้างบารมีทำไมครับ

    ล่าสุดแล้วมันไปโยง เกี่ยวข้องกับพระโพธิสัตว์
    และสัตว์โลกทั้งปวงยังไง เกี่ยวอะไรหละ..หรือ
    จะโชว์อะไรๆลึกหรือ..หึหึ
    ก็คนที่ถามคุณ ก็เป็นคนทั้งนั้นหละครับ..
    เป็นสัตว์โลกเหมือนกันหละครับ
    อ้างไปเรื่อยเปื่อยเนาะ
    ..
     
  18. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972
    เรียนคุณnopphakan
    ผมไม่จำเป็นต้องทำตามที่คุณต้องการ เพราะผมไม่ได้รู้จักกคุณมาก่อน
    และไม่ได้สนใจในสิ่งที่คุณพูดมาเลย ผมนำเสนอข้อมูลเฉพาะของผม
    โดยที่ผมไม่จำเป็นต้องมานั่งตามใจใคร มันไม่สำคัญที่ผมจะให้น้ำหนักกับคำพูดของคุณดอกครับ การมาสร้างวิวาทะหาเรื่องสร้างกระแสอะไรแบบนี้ ผมไม่ขอตอบสนองใดๆ

    ผมนำเสนอหัวข้อกระทู้นี้ ไม่ได้ต้องการมาทำตามใจใคร กิริยาการพูดคุยของคุณ มันไม่สื่อให้ผมต้องการสนทนาด้วย เข้าใจนะครับ เจตนาของผมไม่ได้ต้องการทำแบบที่คุณต้องการเลย อย่าพยายามเลยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 สิงหาคม 2016
  19. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,044
    เด่วช่วยสรุปให้อีกรอบนะครับ..
    ส่วนตัวก็ให้เหตุผล ตั้งแต่ #Rep แรกที่ตอบไปแล้วนะครับ
    ไม่ตอบประเด็นที่สงสัย กลับมากล่าวว่า ผมมาหาเรื่องสร้างกระแส
    อีกนะครับ ใจแคบจังเลยนะครับ..ความใจแคบอย่างนี้
    ไม่น่าจะมีในตำราวิชานะครับ


    ๑.คุณ สมถะ ไม่ได้ตามใจใคร จะเอามาลงในมุมของตัวเองเท่านั้น ขนาดพื้นที่สาธารณะนะเนี่ย
    จะลงในมุมตัวเอง ไม่ให้คนอื่นแสดงความเห็นบ้างหรือครับ เกินไปเป่า
    ใครมาถามอะไร มาแย้งอะไร คุณไม่ตอบ
    แต่จะบอกว่า บารมีคนที่มาถามมาแย้ง ยังไม่พอ..

    ๒.กระทู้สาธารณะ คุณ มานำเสนอ วิชานี้ พอมีคนถามสภาวะธรรม
    คุณตอบไม่ได้ เพราะคุณไม่เข้าใจสภาวะระหว่างทางในทางด้านกิริยา
    คุณเลยอ้างตำรา มาตอบ และก็จะอ้างอีกว่า ต้องประมาณว่า บารมีเต็มนะ
    จะเข้าใจ...
    ๓.ผมไม่ได้ให้คุณแสดงให้ใครดู หรือ ต้องทำตามนะครับ
    แต่ผมบอกว่า คุณไม่รู้สภาวะธรรม คุณแสดงพิสูจน์ให้คนอื่นๆ
    รับทราบเหมือนคุณไม่ได้ เข้าใจที่เขียนภาษาไทยนะครับ
    ถึงได้ยกตัวอย่างให้ดูใน #Rep ก่อนหน้าไงครับ


    คุณก็เลยมายกตัวเองใน #Rep 15
    ว่าคุณเป็นวิทยากร "สอนสมาธิวิชชาธรรมกาย ฝึกให้คนเข้าถึง
    ธรรมกายมาพอสมควร พิสูจน์ให้คนทั้งหลายเห็นและเข้าถึงธรรมกาย
    มาพอสมควร'' ในเครื่องหมายคำพูด คุณพูดเองนะครับ...
    ผมไม่ได้ถามสภาวะในทางกิริยาคุณหรอกนะครับ เพราะดูออกว่าคุณไม่เป็นครับ..

    แต่ประเด็นมันคือ พอมีคนถามสภาวะธรรม คุณไม่ตอบใคร มันก็เรื่องของคุณครับ
    คุณไปยกตำรามาตอบก็เรื่องของคุณครับ แต่ไม่เข้าใจว่า การที่คนเค้าถามสภาวะ
    ถามกิริยาระหว่างทาง แล้วคุณตอบคนอื่นๆเค้าไม่ได้ มันเพราะบารมีคนที่ถามคุณ
    ยังไม่เต็มหรือครับ เข้าใจไหมครับ ประเด็นนี้...
    คืองง ว่าอ้างจังเรื่องบารมีเต็มถึงจะเข้าใจ เกทไหมคับ


    และการที่คุณ บอกว่า เป็นวิทยากร สอนคนมาเยอะ ก็จะบอกว่า คุณบารมีเต็ม
    เป็นเลิศเหนือกว่าคนอื่นๆเค้าหรือครับ....
    ถามอีกรอบ ทำไมไม่ตอบสภาวะธรรมเค้าหละครับ เป็นถึงระดับวิทยากร
    สอนคนมามากมาย ตอบคำถามไม่ได้หรือครับ หรือจะบอกว่า เรื่องของผม
    ไม่จำเป็นต้องทำตามใจใคร ทำในมุมผมนี่หละหรือครับ..

    และก็บอกว่า พวกคุณที่มาถาม คุณไม่เข้าใจเพราะบารมีพวกคุณมันไม่เต็ม
    ตลกมากนะครับ สำหรับผม...
    ปล.ผมคงไม่ได้หาเรื่องสร้างกระแสหรอกครับ..
    ส่วนตัวไม่เคยตั้งกระทู้แบบนี้เลยครับ..
    เคยตั้งแต่กระทู้ทำบุญครับ..
    ตัวเองตั้งกระทู้ถ่ายทอดวิชานี้เปาๆ
    ดันมาว่าคนที่ แย้ง มาถามว่าสร้างกระแส
    ช่างไม่ดูตัวเองเลย...

    รู้ดีไปถึง ลำดับพระญาณแห่งการตรัสรู้ธรรมของพระพุทธเจ้า
    พอมีคนถาม สภาวะกิริยา ระหว่างทาง อ้างตำรา อ้างบารมีไม่ถึง
    พวกคุณเลยไม่เข้าใจ ประหนึ่งว่า ถ้าเข้าใจบารมีเต็มว่างั้นเหอะ
    จะว่าไปก็ขำดีนะครับ คุณ สมถะ
    (^_^)

    ปล.ส่วนตัวยังงงว่า ส่วนไปพยายามทำให้
    คุณ สมถะเป็นอะไรครับ หลักๆมี ๒ ประเด็นนั่นหละครับ
    เรื่องสภาวะกิริยาระหว่างทางที่คุณไม่ตอบ แต่คุณบอกไปว่า
    เรื่องของคุณ. และ เรื่องบารมีเต็ม ไม่เต็มมันเกี่ยวอะไรกับ
    การที่เค้าถาม เค้าแย้ง เค้าไม่เข้าใจวิชานี้ครับ...
    เข้าใจนะครับ อย่าเบี่ยงเบนประเด็นซิครับ
     
  20. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972
    ธัมมจักรกัปปวัตนสูตรเป็นพระสูตรแรกที่พระพุทธเจ้าทรงเลือกมาสอนปัจจวัคคีย์ และน่าจะเป็นพระสูตรที่สำคัญมาก เพราะ พระพุทธเจ้าทรงประกาศว่า พระองค์เป็นพระสัมมา สัมพุทธเจ้าแล้ว ด้วยวิธีการใด ในพระสูตรนี้พระองค์ได้ทรงกล่าวกับปัจจวัคคีย์ว่า ไม่ควรทรมาณ ตนเองให้ลำบาก และหมกมุ่นอยู่ในกาม เพราะไม่เป็นประโยชน์ ต่อจากนั้นพระองค์ทรงกล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า พระองค์มีดวงตาเกิดขึ้นแล้ว ญาณ/ความรู้จึงเกิดตามขึ้นมา ดังนี้


    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปฏิปทาสายกลาง ไม่เข้าไปใกล้ที่สุดสองอย่างนั้น นั่นตถาคตได้ตรัสรู้แล้ว ด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำดวงตาให้เกิด ทำญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ปฏิปทาสายกลางที่ตถาคตได้ตรัสรู้แล้ว ด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำดวงตาให้เกิด ทำญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพานนั้น เป็นไฉน?


    -->> จะเห็นได้ว่า พระองค์ตรัสไว้อย่างชัดเจนว่า พระองค์ทรงทำดวงตาให้เกิด หลังจากนั้นมาจึงทรงทำญาน/ความรู้ให้เกิด ทั้งดวงตาและญาน/ความรู้นั้นจะทำให้บรรลุพระนิพพานได้ หลังจากนั้น พระองค์ทรงอธิบายต่อถึงเรื่องอริยสัจ 4 ซึ่งรวมถึงมรรค 8 ด้วย หลังจากพระองค์ตรัสว่า


    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขอริยสัจ.

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขอริยสัจนี้นั้นแล ควรกำหนดรู้.

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขอริยสัจนี้นั้นแล เราก็ได้กำหนดรู้แล้ว.

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขสมุทัยอริยสัจ


    -->> พระองค์ตรัสข้อความดังกล่าว 3 รอบ รอบแรกทรงกล่าวว่า พระองค์รู้จักอริสัจ 4 รอบที่สองทรงกล่าวว่า จะทำอะไรกับอริสัจ 4 และรอบที่สาม ทรงกล่าวว่า ได้ทำอะไรไปแล้วกับอริยสัจ 4 ซึ่งเมื่อกระทำแล้วพระองค์จึงบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ ข้อความในส่วนนี้ก็เช่นเดียวกัน พระองค์ตรัสว่า ดวงตาของพระองค์เกิดขึ้น ลำดับญาณ/ความรู้จึงเกิดขึ้น ต่อจากนั้น ปัญญา วิทยา/วิชา และแสงสว่างจึงเกิดขึ้นมาตามลำดับ


    ต่อจากนั้นมา พระสูตรนี้กล่าวว่า
    ก็แลเมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสไวยากรณภาษิตนี้อยู่ ดวงตาเห็นธรรมปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ได้เกิดขึ้นแก่ท่านพระโกณฑัญญะว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวล มีความดับเป็นธรรมดา.


    -->> จะเห็นได้ว่า ในขณะที่พระพุทธเจ้าตรัสธัมมจักรกัปปวัตรสูตรอยู่นั้น ปัจจวัคคีย์ก็ปฏิบัติธรรมตามไปด้วย เมื่อใจสงบเป็นหนึ่งเดียว/เอกัคคตารมณ์แล้ว พระโกณฑัญญะจึงมีดวงตาเกิดขึ้น และเห็น “ธรรม” ซึ่งผ่องใส ปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน เมื่อพระโกณฑัญญะเห็นธรรมแล้ว จึงกล่าวขอบรรพชาอุปสมบท
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1331038273.jpg
      1331038273.jpg
      ขนาดไฟล์:
      126.1 KB
      เปิดดู:
      9,463
    • hqdefault.jpg
      hqdefault.jpg
      ขนาดไฟล์:
      51.6 KB
      เปิดดู:
      484
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 สิงหาคม 2016

แชร์หน้านี้

Loading...