เตรียมตัวให้พร้อม!มันกำลังมา แจ้งข่าวสารการชำระโลก

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย jityim, 23 เมษายน 2018.

  1. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ระทึกฮาวาย! ภูเขาไฟ ‘คิลาเว’ ปะทุแรงจัด จนเกิดแผ่นดินไหว


    ภูเขาไฟคิลาเว บนเกาะบิ๊ก ของรัฐฮาวาย ยังคงปะทุอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนเทียบเท่าแผ่นดินไหวระดับ 5.3 หรือสูงกว่า ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา...
    CiHZjUdJ5HPNXJ92GTNIj4o7Huhs9ZnBPO.jpg

    ตามการเปิดเผยของสำนักสำรวจธรณีวิทยาแห่งชาติสหรัฐฯ (USGS) การปะทุภูเขาไฟ คิลาเว ทำให้เกิดแผ่นดินไหวระดับ 5.3 หรือสูงกว่าแล้วถึง 7 ครั้งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อเวลา 4:49น. วันพฤหัสบดีที่ 28 มิ.ย. ตามเวลาท้องถิ่น ขณะที่การปะทุส่งเถ้าถ่านพุ่งขึ้นฟ้าสูงกว่า 1,000 ฟุต ความเคลื่อนไหวของภูเขาไฟลูกนี้ยังทำให้เกิดแผ่นดินไหวมากกว่า 400 ครั้งนับตั้งแต่ช่วงเที่ยงวันพุธถึงเที่ยงวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา


    USGS อธิบายว่า แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นว่า พลังงานกำลังถูกปลดปล่อย สะท้อนถึงกระบวนการทางฟิสิกส์ที่ทำให้เกิดเหตุการณ์เหล่านี้ และดูเหมือนว่ากระบวนการดังกล่าวจะมีความสอยคล้องกัน และน่าจะถูกควบคุมโดยรูปร่างทางเรขาคณิตของปล่องภูเขาไฟคิลาเวเอง

    อย่างไรก็ตาม USGS ระบด้วยว่า กระบวนการดังกล่าวส่วนใหญ่จะทำให้กลุ่มควันขนาดย่อมพร้อมเถ้าถ่านจำนวนเล็กน้อย หรือเป็นไอน้ำ ทำให้สำนักงานสังเกตการณ์ภูเขาไฟรัฐฮาวาย ลดระดับการเตือนภัยทางการบินลง 1 ระดับ จากสีแดงเป็นสีส้ม เพราะไม่ค่อยเกิดการปะทุทำให้เถ้าถ่านพุ่งขึ้นฟ้าสูงกว่า 10,000 ฟุตแล้ว


    ทั้งนี้ ความเสียหายส่วนใหญ่จากเหตุภัยพิบัติภูเขาไฟบนเกาะบิ๊กจนถึงตอนนี้ มีสาเหตุจากลาวาที่ไหลออกมา ไม่ใช่แผ่นดินไหว โดยนับตั้งแต่ภูเขาไฟคิลาเวเริ่มปะททุครั้งแรกเมื่อ 3 พ.ค. ลาวาที่ถูกปล่อยออกมาหรือแหวกขึ้นมาตามรอยแตกบนดิน ทำลายบ้านเรือนไปแล้ว 657 หลัง ปกคลุมพื้นที่ 24.9 ตารางกิโลเมตร

    จนถึงตอนนี้ รอยแยกที่ 8 ยังปล่อยลาวาไหลลงทะเลของเมืองคาโปโป ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะบิ๊ก และลาวาที่จับตัวแข็งเมื่อถูกน้ำทะเลก็ก่อให้เกิดแผ่นดินใหม่โดยขยายพื้นที่ไปแล้วประมาณ 1.6 ตารางกิโลเมตร

    อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/1321581
     
  2. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ‘ถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน’
    ย้อนตำนาน หุบเขาแห่งรักที่แสนเศร้า

    36038392_10213921734496562_861287684700635136_n (1).jpg

    เทือกเขาดอยนางนอน สถานที่ตั้ง วนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน มีลักษณะเป็นภูเขาขนาดใหญ่หลายลูกเรียงตัวสลับซับซ้อน มองดูคล้ายผู้หญิงนอนเหยียดยาว มีส่วนหัว จมูก หน้าอก และลำตัวชัดเจน ขนานไปกับถนนในเขตอำเภอแม่จัน และแม่ฟ้าหลวง ซึ่งเป็นที่ตั้งของพระธาตุดอยตุง มีจุดสูงสุดคือ ผาช้างมูบ อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลราวๆ 830 เมตร

    ตำนาน ดอยนางนอน มีอยู่หลายเรื่องเล่าด้วยกันจากคนโบราณ แต่เกือบทุกเรื่องมักจบลงด้วยความเศร้า

    บางตำนาน....

    เจ้าหญิงแห่งเมืองเชียงรุ้ง สิบสองปันนา หนีตามชายเลี้ยงม้าในวังไปจนถึงที่ราบใกล้แม่น้ำโขง ขณะนั้นเจ้าหญิงก็ทรงครรภ์ได้หลายเดือนแล้ว เดินทางต่อไม่ไหว จึงขอรออยู่ที่นี่ ส่วนสามีก็อาสาออกไปหาอาหารมาให้ แต่หายไปไม่กลับมาอีกเลย ทราบข่าวอีกทีว่าสามีถูกฆ่าโดยทหารของพระราชบิดา นางเสียใจมาก เลยเอาปิ่นปักผม แทงพระเศียรตนเอง จนเลือดไหลออกมาเป็นสาย กลายเป็นแม่น้ำแม่สาย ร่างที่นอนเหยียดยาวจากทิศใต้จรดทิศเหนือ ก็กลายเป็น ดอยนางนอน และตรงท้องที่นูนขึ้นมาก็เป็นดอยตุง อย่างที่เราเห็นทุกวันนี้


    เปิดที่มาความฝัน ‘เชฟเชียงดาว’ เจ้านางดอยนางนอน ขอเจอ ‘ครูบาบุญชุ่ม’ ช่วยปลดปล่อย

    97878741210-696x392.jpg

    ในเฟสบุ๊คของคุณนัฐนุช ประเสริฐทองได้เล่าความฝันของคนเองถึง 2 ครั้ง ผู้หญิงผมยาวมาก ๆ มายืนหน้าบ้านแต่ไม่ได้พูดอะไรถึง ครั้งแรกวันที่ 22 มิย.61 ก่อนที่น้อง ๆ จะเข้าไป และฝันอีกครั้งคือ ในพระที่ 27 มิ.ย.61 ฝันเห็นผู้หญิงผมยาวมาก ๆ หน้าตาโกรธ อมทุกข์ ทุกอย่างชัดเจนมากเหมือนจริง โดยผู้หญิงยืนที่ผนังถ้า กางมือออก ข้อมือข้อเท้าสวมกำไลกลม สมัยยก่อน นางบอกว่ารอ"บุญชุ่ม" มาโปรดแล้วจะให้เจอน้อง 13 คน ด้วยความที่อยู่อเมริกานาน ไม่รู้จักพระสงฆ์เลยค้นหาในเน็ตจึงนำมาลง เชื่อว่าครูบาบุญบุ่มกับพระนางมีความผูกพันธ์เพื่อจะเจอและรอให้มาปลดปล่อย

    อ่านเพิ่มได้ที่
    https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_1022101

    และได้เล่าความฝันเพิ่ม

    ขนลุก!! เชฟเล่าความฝันเพิ่มเผยพิกัดจุดที่ตั้ง 13 คนอยู่ หลังครูบาชุ่มทำพิธี

    ทำไมนางจึงก่อเหตุในช่วงจังหวะนี้ เชฟเรียบเรียงความฝัน เพราะครูบาตัดขาดจากอดีตทั้งปวง ไม่ยึดติดอะไรทั้งนั้น พระนางรอแล้วรอเล่าที่จะให้ได้พบและปลดปล่อยพระนาง พอเด็กเข้าถ้ำปุ๊บปิดถ้ำด้วยน้ำด้วยโคลน พระนางจะพบเจอให้ได้แม้ว่าจะก่อกรรมทำเข็ญมากเพียงใด นางก็จะทำเพื่อให้พบเจอท่านครูบา เสียงร่ำให้ของพระนางยังก้องเต็มหูเชฟเลย เพื่อให้ปลดปล่อยนางพ้นทุกข์ พ้นจากความทรมานทั้งปวง

    ในปริศนาบอกว่า เด็ก ๆ จะอยู่หลังม่านน้ำ หรือหินงอกหินย้อยที่เป็นรูปม่านน้ำลงมา ด้านบนมีปล่อง ต้องเข้าไปหลังม่านน้ำแล้วเลี้ยวขวา วนเข้าไปแล้วเด็กจะอยู่ที่นั่น อย่าเพิ่งเชื่อความฝันมากมายเลยนะคะ เล่าสู่กันฟัง ก็จะเล่าให้หมดอยากให้วิทยาศาสตร์และความเขื่อไปพร้อม ๆ กัน เพราะทุกคนมีความหวังเดียวกันคือจะได้พบเด็ก ๆ


    อ่านเพิ่มได้ที่ https://www.siamnews.com/view-19764.html

    สิ่งศักดิ์สิทธิ์กล่าวไว้ว่า มนุษย์ต้องรู้ว่ายังคงมีดวงจิตวิญญาณที่ล่องลอยอยู่ในสนามพลังงานของดาวเคราะห์โลกนี้อีกไม่น้อยเลย และดวงจิตวิญญาณที่ถูกจองจำอยู่ในสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งบนผิวดาวเคราะห์โลก ซึ่งเป็นสถานที่แห่งการทิ้งกายสังขารเพื่อการจบชีวิตลงของดวงจิตวิญญาณนั้น ๆ ต่างกำลังถูกจองจำ อันเกิดจากการ "จับจอง" เครื่องยนต์แห่งกรรมผู้อื่น ตั้งแต่ที่ครั้งตนยังมีชีวิตอยู่ ทำให้ไม่อาจไปผุดเกิดในภพภูมิใด ๆ ที่พึงประสงค์ หรือพึงที่ต้องไปได้ เพราะจิตตนเองที่ถูกจองจำไว้ด้วยอารมณ์หยาบ ๆ ทั้งหลายที่มีการยึดติดอยู่กับ การได้รับการตอบสนองทางอารมณ์หยาบ ๆ เท่านั้น ซึ่งการจองจำตนเองไว้เช่นนี้มีแต่ความทุกข์ทรมานในดวงจิตวิญญาณเท่านั้นเอง โอกาสที่จะได้รับการตอบสนองแทบจะเป็นศูนย์ เพราะดวงจิตวิญญาณที่ตนเองเกี่ยวข้องสัมพันธ์ด้วย ต้องก้าวไปตามเส้นทางแห่งตน ในขณะที่มิติต่าง ๆ ของเขาถูกปกปิดไว้ไม่ให้ล่วงรู้ความเป็นจริงของผู้อื่นที่เขาเคยเกี่ยวข้องสัมพันธ์ด้วย เขาจึงไม่รู้ว่ามีใครจับจองเป็นเจ้าของตัวเขาอยู่อีกบ้าง และไม่รู้ว่ามีใครถูกจองจำไว้ด้วยอารมณ์หยาบ ๆ ที่รอคอยการตอบสนองจากตนเองอยู่อีกบ้าง

    ดวงวิญญาณผู้ถูกจองจำจำนวนมากมาย บ้างมีทุกข์ยากก็เพราะภายในแก่นแท้มีคลื่นความถี่การสั่นสะเทือนเป็นกิเลสตัณหาจองจำตนเองไว้จนยากไถ่ถอน เช่น ความโกรธขึ้ง ความเจ็บแค้น ความเจ้าแง่แสนงอน ความถวิลถึงคนึงหา ความโหยหวนทางกามารมณ์ อารมณ์เหล่านี้จะเป็นคลื่นสั่นสะเทือนในจิตที่ค่อนข้างหยาบ ๆ แต่รุนแรงยิ่งนัก ซึ่งจิตวิญญาณจะหลุดพ้นจากการจองจำตนเองไว้ก็ต่อเมื่อ ตนได้รับการตอบสนองความต้องการจากบุคคลที่ตนสร้างสัมพันธ์ด้วยเท่านั้น

    เคยโกรธขึ้งใครก็ขอให้ได้โต้ตอบหรือเอาคืนจน "พอใจ" จากใครคนนั้น

    เคนคิดแค้นใครก็ขอให้ตนได้แก้แค้นเอาคืนจน "สะใจ" จากใครคนนั้น

    เคยแง่งอนกับใครไว้ก็ขอให้ตนได้เง้างอนกับใครคนนั้นจน "เป็นที่พอใจ" เท่านั้น

    เคยถวิลถึงคนึงหาใครก็ขอให้ตนได้อยู่ใกล้ชิดชื่นชมจน "อิ่มเอมใจ" กับใครคนนั้น

    เคยโหยหาทางกามารมณ์กับใครก็ขอให้ได้เสพ "เสพสมอารมณ์หมาย" กับใครคนนั้น


    ตัวอย่างทั้งห้ากรณีนี้ เป็นอารมณ์รู้สึกนึกคิดต้องการของดวงจิตวิญญาณที่ไร้เครื่องยนต์แห่งกรรมมนุษย์แล้ว แต่ไม่สามารถไปเกิดใหม่มีภพชาติใหม่หรือก้าวไกลไปไหน ๆ ได้ มีแต่รอคอยการตอบสนองจากใครคนนั้น ? ซึ่งเป็นผู้ที่ตนมุ่งหวัง หรือรอจังหวะที่จะตอบสนองจากบุคคลเป้าหมายคนนั้นในบทบาทของเจ้ากรรมนายเวรก็สุดแท้แต่สภาวะแห่งจิตนั้น

    ดังนั้นสภาพการถูกจองจำวิญญาณเอาไว้ โดยไม่อาจไปไหน ๆ ได้หรือไร้อิสระก็คือ การกักขังตนเองเอาไว่ด้วยอารมณ์ขยะซึ่งเป็นคลื่นความถี่ของการสั่นสะเทือนด้านลบที่เป็นคลื่นหยาบ ๆ นั่นเอง

    การจะปลดปล่อยวิญญาณของตนเองนั้น ไม่มีวันเป็นไปได้ เหตุเพราะว่า ถ้าจะปลดปล่อยการถูกจองจำด้วยอารมณ์ลบหยาบ ๆซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกิเลสตัณหานั้น มนุษย์จะทำได้เพียง 2 อย่างคือ

    1.ต้องได้รับการตอบสนองความต้องการทางอารมณ์ต่าง ๆ ที่ตกค้างอยู่ โดยใครคนนั้นที่จิตวิญญาณของตนเองยังคงผูกพันอยู่

    2.ต้องร่วมจิตร่วมใจกันละวางอารมณ์ที่ถูกจองจำอยู่นั้นให้เสียสิ้น
     
  3. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ทีมหมูป่าอะคาเดมี่....ต้องรอด

    นับจากวันที่พบเจอน้อง ๆ 13 ชีวิตที่ถ้าขุนน้ำนางนอน เมื่อวันที่ 2 ก.ค 61 จนถึงบัดนี้อุปสรรคที่สำคัญคือ น้ำ

    13boys3761-3.jpg

    เมื่อวานอ่านข่าวและนำไปลงไว้ที่กระทู้ถอดบทเรียนช่วย 13 ชีวิต น้ำในถ้ำยังมีอยู่มากการช่วยเด็กให้ออกมาโดยอาศัยการดำน้ำเป็นไปได้ยากสำหรับผู้ที่ยังดำน้ำเป็น และในขณะนี้มีข่าวว่าหน่วยซีลได้เสียชีวิตแล้ว 1 นาย ประกอบกับมีผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศให้คำแนะนำจาก CNN การที่จะให้เด็กดำน้ำเสี่ยงอันตรายเพราะต้องดำในที่มืด และเป็นช่องเขาแคบ ต้องรอให้น้ำลดลงเพื่อสามารถเดินเท้าออกมาเองน่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด ตามข่ายรายงานอาจต้องใช้ระยะเวลา 4 เดือน ให้เด็กรออยู่ก็มีความเสี่ยงอาจเกิดฝนตกหนักแล้วน้ำอาจท่วมถ้ำมิดหมดภายในไม่กี่ชั่วโมงอาจเกิดหายนะได้ : ตามข่าว

    ขณะนี้ทุกคนได้ช่วยเหลืออย่างเต็มที่ กระทั่งการปิดทางน้ำไหลเข้าถ้ำ การขุดบ่อบาดาลพร่องน้ำออก การสูบน้ำออกที่มีกำลังมากจำนวนหลายเครื่อง รวมทั้งสถานที่รอบรับน้ำท่วมถึง 4 ตำบล สูบเท่าไหร่ ๆ น้ำก็ไม่ค่อยยุบ น้ำยังขุ่นและเป็นอุปสรรคในการนำตัวออกมา ถ้าเปรียบเทียบแล้วเพราะอะไร? สำหรับการนำน้ำออกมาใช้ระยะเวลามาก และจำนวนน้ำที่ออกจากถ้ำก็เยอะ หากเปรียบเทียบขนาดของถ้ำที่รองรับน้ำไว้ กับพื้นที่ 4 ตำบลที่รองรับน้ำจากถ้ำ แต่น้ำภายในถ้ำกลับไม่ลดลงเลย น่าคิดนะค่ะ ทั้ง ๆ ที่ฝนก็เพิ่งจะตกในช่วงที่น้องเข้าถ้ำแล้วทำให้ท่วมจนหาทางออกมาไม่ได้ ปีนี้มิใช่ครั้งแรกที่ฝนตก แต่....น้ำทำไมจึงผุดในช่วงนี้พอดิบพอดี และถ้าบอกว่าถ้ำเหมือนฟองน้ำที่อุ้มน้ำไว้ น่าแปลก! น้ำที่อุ้มไว้กลับมาผุดอย่างไม่หมดในขณะที่ช่วงนี้เท่านั้น แล้วฝนที่ตกก่อนหน้าก็มีมาแต่น้ำในถ้ำช่วงนั้นไม่มี นี่แค่ฝนแรกคือเริ่มฤดูฝน

    ถ้าเราดูตามข่าวที่นักดำน้ำชาวอังกฤษที่พบน้อง ๆ เรื่องปาฏิหาริย์มีจริง ! เพราะเชือกหมดตรงบริเวณที่น้อง ๆ อยู่พอดี หากแม้ว่าเชือกนั้นสั้นกว่าหรือยาวกว่าสัก 15 ฟุต จะไม่เจอน้อง ๆ เพราะถ้ำมืดมากมองไม่เห็นอะไรเลย แต่เพราะเชือกที่หมดตรงที่น้อง ๆ อยู่จึงทำให้โผล่น้ำมาเลยหน้าเจอเด็ก ๆพอดี หลาย ๆ คนกล่าวว่า นั่นเป็น "ปาฏิหาริย์" อาจเป็นเพราะกระแสพลังจิตหนึ่งเดียวกันของคนทั้งประเทศ ที่ทำให้เกิดพลานุภาพ และระยะเวลาที่เจอน้อง ๆ ตั้งแต่เริ่มแรกใช้เวลา 222 ชม. 22 นาที ในวันที่ 2 ก.ค. ในกระทู้นี้

    https://palungjit.org/threads/‘วันชัย’-ถอดบทเรียน-4-ข้อ-จากปฎิบัติการช่วยเหลือ-13-ชีวิต.649898/


    ได้กล่าวไว้สัญญาณเทพที่มากับตัวเลข ได้บ่งบอกหมายเลขที่เราเห็นซ้ำ ๆ มีความหมายมาจากทวยเทพนั่นเอง ความหมายคืออะไร? อ่านเพิ่มได้จากกระทู้ดังกล่าวค่ะ

    ฝากถึงโค้ชเอกและน้อง ๆ ทุกคนค่ะ

    unnamed (1).jpg

    ในเมื่อเราศรัทธาว่า พระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ว่ามีจริง

    ในเมื่อเราศรัทธาและเชื่อว่าสิ่งศักดิ์ทั้งหลายมีจริง การบูชามีผลจริง

    หากเราจะเชื่อและศรัทธาใน "กฎแห่งกรรม" และผลของกรรมนั้นต้องมีจริงบ้างล่ะ

    การพบเจออาจเป็นปาฏิหาริย์ที่มีจริง แต่...มีสิ่งหนึ่งที่ช่วยกันไม่ได้คือ "กรรมของใคร ใครคนนั้นต้องรับเอง" ทำแทนกันไม่ได้

    ก่อนที่จะตัดสินใจเขียนบทความนี้คิดอยู่ว่าจะใช้ช่วงระยะเวลาจังหวะไหนจึงเหมาะสมที่สุด เพราะยากที่จะให้คนเชื่อเรื่องนามธรรมในสิ่งที่มองไม่เห็น คิดว่าเดี๋ยวก็คงออกมาได้เอง แต่พอมาอ่านข่าวแล้วคิดวิเคราะห์ดูแล้ว คงไม่อาจรอเวลาค่ะ อย่างน้อยก็เป็นการช่วยเหลือในอีกแนวทางหนึ่งที่พอจะทำให้เด็ก ๆ ออกมาได้ไวกว่าเดิม เพียงแค่เพราะเชื่อ "กฎแห่งกรรม" ขึ้นมาบ้าง ตนเองเชื่อเช่นนั้นและยังยืนยันด้วยรหัส 12222 ที่ออกมาเจอหมายเลขในกระทู้นี้และได้คำตอบบางประการที่หลังจากออกสมาธิแล้ว แสดงว่าแนวทางในการแก้ยังมีอีกวิธีหนึ่ง ที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์กล่าวไว้ และรหัสเลขนั้นได้บ่งบอกแนวทางนั้นได้จากสมาธิเป็นอีกหนทางหนึ่งที่กำลังเดินทางไปในทางที่ถูกต้องแล้ว...(ตนเองเชื่อมั่นอย่างนั้นค่ะ)

    20180705_170107.jpg

    ในอดีตชาติเราไม่สามารถย้อนระลึกไปได้ว่าเราทำกรรมกับใครมาบ้าง และปัจจุบันนี้เราพอมองภาพออกไหมว่า เราได้ทำสิ่งใดที่ต้องทำให้มีผลเช่นนี้ ทุกอย่างไม่มีบังเอิญ ต้องล้วนมีเหตุที่มาที่ไป


    13boysintham5761-1.jpg

    สิ่งศักดิ์สิทธิ์กล่าวไว้ว่า....พลังกรรมกลุ่มใด ๆ ก็ตาม มนุษย์จะต้องชดใช้มันสถานเดียว กรรมนั้นจึงจะสิ้นสุดได้

    การชดใช้กรรมของมนุษย์ และดับพลังงานกรรมของตนในแต่ละกรรมมี 3 วิธี คือ

    1.ต้องเผชิญและฝ่าฟันมันไป
    2.ต้องทำกรรมนั้นให้เป็นโมฆะให้จงได้
    3.ต้องร้องขอจากจักรวาล คือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในการให้สัจจะความดี


    การเผชิญหน้าและฝ่าฟันมันไป คือ ความอดทนอดกลั้น การยอมรับในสถานการณ์ที่ต้องเผชิญ ด้วยการยอมรับชะตากรรม และเข้าใจบทเรียนเหตุที่มาที่ไปต้องเกิดจากกรรมที่เราได้ทำไว้

    การทำกรรมให้เป็นโมฆะให้จงได้ เป็นกิจกรรมทางจิตวิญญาณอย่างหนึ่งที่สามารถฝึกฝนและจัดการตนเองได้ภายในชาตินี้ มี 2 ขั้นตอน

    ๑.การยอมรับผิดด้วยจิตสำนึกของตน ในการกระทำใด ๆ ที่ตนก่อขึ้น ด้วยวิธีกำหนดรู้ และการหยั่งรู้ คือสิ่งนี้ถ้าตนเองจำได้ว่าผิดด้วยการสำนึกยอมรับผิด ชดใช้กรรมและจะไม่ทำซ้ำเปลี่ยนการกระทำให้ถูกต้องเสียใหม่ ถ้าไม่อาจจดจำได้ให้ปฏิบัติขั้นตอนต่อไปได้เลย

    ๒.วิธีนึกนำ เพื่อปลดปล่อยพลังงานกรรมนั้น

    ในการชดใช้กรรม เพื่อดับพลังงานกรรมของตนเองในวิธีที่สองนี้ เราสามารถกระทำได้ทั้งกรรมเก่าในภพอดีตชาติที่คอยติดตามตัวเราอยู่ ที่เราไม่อาจล่วงรู้มัน รวมทั้งกรรมใหม่ในภพปัจจุบันด้วย ส่วนใหญ่วิธีนี้มักจะใช้เพื่อการดับกรรมที่เรากระทำต่อบุคคลอื่นเท่านั้น

    การกระทำในขั้นตอนที่หนึ่งนั้น ถ้ามนุษย์สามารถจดจำความไม่ถูกต้องที่เรากระทำต่อผู้หนึ่งผู้ใดได้ การดับกรรมนั้นจะยิ่งทรงประสิทธิภาพยิ่งขึ้น แต่เห็นทีจะยากสำหรับมนุษย์เพราะไม่มีใครจดจำอดีตได้ และปัจจุบันก็คงจะยาก เพราะแต่ละวันเราคงไม่ได้จดจำว่าได้กระทำไม่ถูกต้องกับใครต่อใครไว้บ้าง แต่ขั้นตอนที่สองจะเป็นหัวใจสำคัญของกิจกรรมที่น่าสนใจยิ่งกว่า

    หลักการปฏิบัติได้ดังนี้

    1.ทำจิตให้มีสมาธิ ไม่ให้ฟุ้งซ่านสับสนในขณะหลับตาลง

    2.กำหนดเป้าหมายในการทำสมาธิของตนให้ได้ว่าเจตนาที่กำลังกระทำ คือ ความต้องการกำจัดกรรมของเราที่ได้กระทำไว้กับบุคคลอื่น

    3.นึกนำเอาภาพใบหน้าของบุคคลที่เรากระทำผิดต่อเขาไว้ให้เสมือนหนึ่งเขากำลังมายืนเผชิญหน้ากับเราให้ได้ กรณีเราจำหน้าเขาไม่ได้ หรือไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร ก็ให้ทำเช่นเดียวกันโดยสมมุติว่าภาพใบหน้าคนที่มายืนอยู่ตรงหน้าเราในจินตนาการนั้น คือเขาที่เป็นเป้าหมายของเราไม่ใช่ใครอื่น

    4.จงใช้จิตสำนึกที่แท้จริงของเรา กล่าวคำขออภัยและขออโหสิกรรมต่อเขาทันที ก่อนภาพบนใบหน้าของเขาจะหายวับไปภาพที่เห็นนั้นจะปรากฎได้ยาวนานแค่ไหนขึ้นอยู่กับสมาธิและเจตนาเราเป็นสำคัญ

    ขณะที่กล่าวคำขออภัย จงปลดปล่อยพลังงานแห่งความรักที่มีอยู่ในจิตใจเรามอบให้เขาไปด้วย ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ พลังงานความรักที่เรามอบให้เขานั้น จะเป็นพลังงานที่มีอำนาจสั่นสะเทือนสูงสุดในจักรวาล ที่สามารถสั่นสะเทือนเข้าไปภายในจิตใจของเขาผู้นั้น หรือจิตวิญญาณของเขาที่ล่วงลับจากโลกไปแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ห่างไกลจากเราก็ตาม พลังงานแห่งความรักที่เป็นพลังงานด้านบวก ที่จะช่วยให้กลุ่มพลังงานกรรมด้านลบเป็นกลางได้ กรรมกลุ่มนี้จะหายไปทันที

    โปรดระลึกเสมอว่าภาพใบหน้าของคนที่เราเห็นไม่ใช่ภาพจริงแต่เป็นภาพมายาเท่านั้น แต่สามารถสื่อพลังงานถึงผู้นั้นได้ด้วยกิจกรรมทางจิตวิญญาณที่กล่าวนี้ มนุษย์พึงกระทำเช่นนี้บ่อย ๆ เพื่อช่วยกำจัดกรรมที่กระทำต่อบุคคลอื่นไว้ทั้งที่จงใจและไม่รู้ตัวให้น้อยลง เพื่อโอกาสแห่งการหลุดพ้นของตนเองมิใช่ใครอื่น

    ๓.การร้องขอจากจักรวาล เป็นการที่จิตวิญญาณยอมรับและสำนึกผิดตั้งการทำคุณงานความดีเป็นการตอบแทน กำหนดสัจจะไว้ในใจตนเอง ถึงความสำนึกผิดให้ทุกข์โทษต่อตนเองและคนอื่น มุ่งมั่นทำความดีตอบแทนด้วยคำพูดและเจตนาจากจิตใจของเรา

    นี้น่าจะเป็นการกระทำในสิ่งที่ดี กับช่วงระยะเวลาที่รอคอยอยู่กับความหวังกับการรอคอยการออกมาของน้อง ๆ ซึ่งเป็นอีกหนทางหนึ่งดีที่สุดในทางมิติจิตวิญญาณอีกหนทางหนึ่งที่เป็นแสงสว่างช่วยส่องทางให้ออกมาได้เร็ววันค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กรกฎาคม 2018
  4. Mdef

    Mdef เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    1,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,869
    ระหว่าง

    1. จิตที่สามารถพึ่งพาจิตเองได้ โดยมี จิตเป็นที่พื่งแห่งจิต

    2. จิตที่ต้องหาอะไรมาสนับสนุนจิต เพื่อเป็นข้อส่งเสริมตัวจิตเอง
    เช่นมี 111 222 333 444 555 666 มาสนับสนุนจิตอยู่นะ

    จิตแบบไหนคือ จิตที่ตั้งมั่นไว้ดีแล้ว

    จิตที่ตั้งมั่นไว้ดีแล้ว ย่อมมีสมาธิ คำว่า พวกมากลากไป ย่อมใช้กับจิตที่ตั้งมั่นไว้ดีแล้วไม่ได้

    หากสมมุติมีฟ้าผ่าตรงหน้าซัก 3 ทีนี้ตกใจใหม
    หากผ่าแบบตรงๆ นี้ก็คล้ายๆกับเลข 111 อยู่เหมือนกันนะ
    โดยมี 111 นี้หละชักจูงให้หลุดไปตาม จนเกิดการกระเพื่อม สั่นไหว ไปกับ 111 นี้หละ

    การเป็นตัวของตัวเองกับเป็นไปตามสิ่งรอบข้าง
    นี้มีเส้นบางๆบอกถึงความต่างกันชั่วขณะนิดเดียวเอง
     
  5. Mdef

    Mdef เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    1,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,869
    เป็นความคิดที่เหนือความคาดหมายจริงๆ



    :rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes:
     
  6. Mdef

    Mdef เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    1,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,869
    ระหว่าง ผู้สร้างที่พักอาศัย กับ ผู้สัญจร

    หากอะไรๆก็ตามแต่นั้นต้องไปเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันหมด
    เมื่อมีอะไรผ่านเข้ามาในที่พักที่อาศัย ผู้สร้างย่อมสำคัญไว้ว่าเป็นพื้นที่ตัว
    ส่วนผู้สัญจรย่อมสำคัญไว้ว่าเรายึดพื้นที่นี้อยู่ จุดหมายนั้นย่อมเป็นสามัคคียึดกัน ไปโดยปริยาย

    ที่พักที่อาศัยเป็นของชั่วคราว ผู้สัญจรก็เพียงแต่สัญจรผ่านมาชั่วคราว

    ผู้สร้าง กับ ผู้ท่องเที่ยว ย่อมไม่ใช่ตัวเดียวกันสังเกตได้จากเวลาและลำดับที่ต่างกันอยู่

    หากเป็นเวลาเดียวกันหมด ลำดับเดียวกันหมด นั้นจะเป็นการจมแช่ นอนเนื่อง

    หากขาดจากการสังเกต ย่อมเสมอกันหมดผูกพันกันไปหมด เพราะเข้าใจว่าเป็นตัวเดียวกัน

    การสำคัญ ผู้ท่องเที่ยวมีในตน หรือ ตนนั้นหละมีอยู่ในบ้าน ย่อมเป็นข้อผูกมัด เป็น ทุกขัง

    เป็น ภัยที่มาแบบ ไม่ได้บอกเวลา ไม่ได้บอกลำดับ แต่เพราะการยึดมาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
     
  7. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    วิริยะธิกะพิเศษ กับ ปัญญาธิกะ ไม่รู้ว่าพิเศษหรือเปล่ามีหรือเปล่านะค่ะ ย่อมอาจเห็นในสิ่งเดียวกัน แต่ยังไม่อาจร่วมเป็นอันเดียวกันค่ะ Thank you.
     
  8. Mdef

    Mdef เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    1,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,869
    เพียรที่อาศัยการเคลื่อนที่

    เคลื่อนที่ช้า เคลื่อนที่ปานกลาง เครื่อนที่ไว เคลื่อนที่ไวจนมองไม่ทัน

    พระพุทธเจ้าปัญญาธิกะ ไม่ได้มีปัญญาลดลงเพราะอายุร่างกาย

    พระพุทธเจ้าวิริยะธิกะ ไม่ได้ถูกเปลี่ยนแปลงความเป็นวิริยะธิกะเพราะอายุร่างกาย

    สุขภาพร่างกายไม่ได้บอกถึง วิริยะ และ ปัญญา

    ก็จะพอสังเกตได้ว่า วิริยะ และ ปัญญา ไม่ได้ถูกเคลื่อนไปตามร่างกาย

    เคลื่อนตาม กับ คล้อยตามๆกัน นั้นเป็นสมมุติ มีกลางวัน มีกลางคืน
    สลับกันไปมา เกิด ดับ เกิด ดับ เห็น ไม่เห็น เห็น ไม่เห็น

    หากถูกทาง ย่อมไม่เกิด ไม่ดับ ไม่มีอะไรปิดบังอำพรางได้

    โดยส่วนตัวผมไม่ได้เข้าถึงอะไรซักเสี้ยวหนึ่งของ พระพุทธเจ้า เลยนะครับ
    เพียงแต่โยนิโสมนสิการ เรื่อง วิริยะธิกะ กับ ปัญญาธิกะ เฉยๆนะครับ
     
  9. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    17 วันที่โลกต้องจารึก ณ ถ้ำหลวง พาทีมหมู่ป่ากลับบ้าน

    คำของฟ้าเบื้องบน

    "เมื่อเราไม่ทิ้งท่าน ท่านจะไม่มีวันทิ้งเรา"

    เมื่อเราไม่ทอดทิ้งความดี ความดีทั้งหลายนั้นจะกลับมาช่วยเหลือเรา

    ศรัทธา......



    ไม่มี ก็คงต้องมีสักวัน
    ความฝันเป็นจริงต้องทนสู้ไป
    ไม่นาน เราคงจะได้สมใจ
    มุ่งมั่น ทุ่มเทเพียงใดกว่าจะได้มา

    เส้นชัย ไม่มาต้องไปหามัน
    รางวัล มีไว้ให้คนตั้งใจ
    ขวากหนาม ทิ่มแทงก็ผ่านพ้นไป
    โลกนี้ไม่มีอะไรได้มาง่ายดาย

    ใจสู้หรือเปล่า ไหวไหมบอกมา
    โอกาสของผู้กล้า ศรัทธาไม่มีท้อ

    ที่มา รู้ดีไม่รู้ที่ไป คนเรามันเลือกเกิดเองไม่ได้
    แต่เราเลือกได้จะเป็นเช่นไร
    เลือกได้จะทำตามใจด้วยตัวของเรา
    หลายคน เชื่อในเรื่องโชคชะตา
    บางคนเชื่อมั่นในตัวเอง
    ชีวิต เรากำหนดของเราเอง
    จะแพ้ชนะไม่เกรงจะสักเท่าไร

    ใจสู้หรือเปล่า ไหวไหมบอกมา
    โอกาสของผู้กล้า ศรัทธาไม่มีท้อ

    เรื่องราวมากมายที่บีบคั้น ได้ใจโอบก็หวั่นไหว
    แต่ก็มีเหตุผลสำคัญ ให้บางคนยอมถอดใจ เย.......

    ใจสู้หรือเปล่า ไหวไหมบอกมา
    โอกาสของผู้กล้า ศรัทธาไม่มีท้อ

    ...อ้างอิง https://www.siamzone.com/music/thailyric/5851

    unnamed (1).jpg

    มนุษย์ต้องรู้ว่า จิตวิญญาณของตน ซึ่งได้รับหน้าที่มาสู่รูปธรรมมนุษย์นั้น มีหน้าที่สำคัญ 3 ประการ คือ

    ๑.สร้างตนเอง
    ๒.สร้างสังคมเป็นหนึ่งเดียว
    ๓.สร้างโลก


    - สร้างตนเอง คือไม่ทำลาย ทำร้ายหรือเบียดเบียนกัน
    - สร้างสังคมเป็นหนึ่งเดียว เป็นการให้พลังงานความรักต่อกัน เหนี่ยวรั้งกันไว้โดยไม่ผลักใสกัน แบ่งแยกหรือแตกร้าวกัน
    - สร้างโลก เป็นเพื่อนที่ดีของโลก มีความรักโลก ไม่ทำลายความสมดุลของโลก

    หน้าที่สามประการดังกล่าว มนุษย์จะสามารถเข้าถึงมันได้ จักรวาลรู้ดีว่าจะต้องมอบเครื่องมือที่สำคัญให้จิตวิญญาณของมนุษย์แต่ละคนนำถือติดตัวมาด้วย เครื่องมือนั้นคือ

    ๑.แรงบันดาลใจ
    ๒.ความคิดสร้างสรรค์


    ภายในจิตใจ นอกจากความอยาก ความใคร่ หรือเรียกว่า กิเลส กับตัณหาแล้ว มนุษย์ยังพบว่ามันยังมีพลังอำนาจที่ลึกล้ำเร้นอยู่ภายในอีกชนิดหนึ่ง สามารถขับเคลื่อนการแสดงออกและการกระทำของมนุษย์ได้เช่นเดียวกัน พลังอำนาจที่ว่านี้คือ "แรงบันดาลใจในตนเอง"

    เมื่อมนุษย์สามารถกระตุ้นให้เกิดแรงบันดาลใจในตนเองให้เกิดการกระทำและผลของการกระทำ มันจะมีพลังอำนาจมหาศาลในการขับเคลื่อนการกระทำของตนได้ แม้การกระทำนั้นมันจะเต็มไปด้วยอุปสรรคที่ตนเองต้องเสียสละบางอย่างบ้าง มนุษย์พึงพอใจที่ได้กระทำมัน

    ถ้ามนุษย์สามารถใช้แรงบันดาลใจกระทำในสิ่งที่ดีงามได้ การกระทำนั้นจะทำให้มนุษย์หลุดพ้นไปจากการสร้างกรรมในมิติโลกได้ เพราะการกระทำที่เกิดจากแรงบันดาลใจ มันเป็นการกระทำจากความพอใจที่ได้กระทำ โดยไม่ได้ตั้งเป้าหมายหรือคาดหวังผลของการกระทำไว้ล่วงหน้า ไม่ใส่ใจวามกระทำกับใคร? คิดหวังผลตอบแทนอะไร? การกระทำที่แสดงออกต่อผู้อื่น มันเป็นเพียงการแสดงคุณสมบัติของตนที่มีอยู่ภายในออกมาให้ปรากฎเท่านั้น และเป็นการสร้างพลังงานที่มีคุณสมบัติกรรมด้านบวกในมิติคู่ขนานได้เมื่อนั้น เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะว่า

    การสร้างกรรม มันจะต้องมีตัวตนของผู้สร้างเข้ามาเกี่ยวข้อง และมีผลกรรมที่ต้องได้รับเสมอ

    เมื่อแรงบันดาลใจมันได้เกิดขึ้นแล้ว กระบวนการใช้สติปัญญามันจะเกิดขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ ซึ่งมันเป็นเครื่องมืออีกชิ้นหนึ่งที่จิตวิญญาณถือติดตัวมานั่นเอง มันเป็นสติปัญญาเพื่อการคิดรู้อีกระบบหนึ่ง ที่ไม่ใช่กระบวนการคิดรู้ด้วยสติปัญญาแบบปกติ มันเป็นกระบวนการเพื่อการคิดสร้างสรรค์โดยเฉพาะ

    เหตุที่มนุษย์จำต้องมีการคิดสร้างสรรค์ ก็เพื่อใช้มันสร้างตนเอง สร้างสังคม และสร้างโลกที่หน้าที่ที่ทุกคนต้องกระทำ

    หลายพันปีที่ผ่านมามนุษย์ส่วนใหญ่กลับเอาพลังอำนาจที่มอบให้ไปใช้ทางลบ คือ การทำลายระบบหนักขึ้นเรื่อย ๆ จนปัจจุบันได้สร้าวความเสียสมดุลของระบบจนวิกฤติไปอย่างรุนแรง ยากแก่การแก้ไขช่วยเหลืออย่างค่อยเป็นค่อยไป เท่ากับว่ามนุษย์เองเป็นผู้สร้างเงื่อนไขให้จักรวาล จำต้องปฏิบัติการทางเทคนิคชำระโลกเป็นภัยธรรมชาติบนแผ่นดินว่า "หายนะ"

    คำว่า "หายนะ" จึงหมายถึง ปรากฎการณ์อันเป็นผลลัพธ์จากการกระทำทางพลังงาน เพื่อการชำระระบบโลกด้วยกระบวนการเปลี่ยนแปลง เพื่อการสร้างใหม่และเพื่อการดำรงอยู่ของสรรพสิ่งในระบบโลก สู่ระดับความสมดุลระบบใหม่ที่สูงกว่าเก่า

    เหตุแห่งความหายนะ จึงมาจากการที่ระบบโลกขาดความสมดุลไป เพราะการกระทำทางจิตสำนึกของมนุษย์นั่นเอง การเสียสมดุลทางพลังงานอันเกิดจากการกระทำของมนุษย์ในมิติคู่ขนาน ไม่ใช่เกิดจากการเสียสมดุลทางกายภาพที่มนุษย์จะสัมผัสรู้ดูเห็นด้วยตาตนเองได้ สำหรับจักรวาลแล้ว การพิจารณากระทำใด ๆ ที่ปรากฎผลในมิติคู่ขนาน ซึ่งเป็นมิติพลังงานเท่านั้น เพราะจักรวาลจะยึดถือเอาการกระทำของแก่นแท้ของมนุษย์ คือ จิตใจและจิตวิญญาณเป็นหลักเสมอ

    เหตุแห่งหายนะ จึงมาจากการกระทำทางจิตสำนึกมนุษย์ นั่นเอง ถ้าเสียสมดุลไปมากเท่าไหร่ ความรุนแรงหายนะจากการชำระโลกก็จะรุนแรงแห่งหายนะภัยมากขึ้นเท่านั้น

    มายาที่เป็นจริงก็คือ เคราะห์ภัยจากหายนะและของขวัญในการปรับเปลี่ยนกลไกทางชีวภาพ พร้อมด้วยข่าวสารการรู้แจ้งที่จะใช้ขจัดพลังงานกรรมของมนุษย์ นั่นคือความจริงที่ทุกคนจะได้เผชิญอย่างแน่นอน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กรกฎาคม 2018
  10. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    images.jpeg

    การชดใช้กรรมในยุคพลังงานใหม่

    กลุ่มกรรม พันธสัญญา และพันธกรรม ที่เป็นบทเรียนและบททดสอบ เพื่อที่จะสอบผ่านมันไปให้ได้ด้วยจิตใจและจิตสำนึกของรูปธรรมที่ตนอาศัยอยู่นั้น

    นอกจากกรรมแบบอื่น ๆ โดยทั่วไปที่มนุษย์ต้องเผชิญกับมัน ที่เป็นเหตุการณ์สำคัญ ๆ เป็นเรื่องหนัก ๆ ที่ชวนขาดกลัวเรื่องเสี่ยง ๆ หรือที่บีบคั้นจิตใจมาก ๆ เพราะขณะเผชิญหน้ามันยังหาทางออกให้ตนเองไม่ได้ กรรมเหล่านี้หนทางที่จะกำจัดมันได้ มนุษย์ต้องฝ่าฟันมันไปอย่างไม่ท้อแท้ การมองไม่เห็นเห็นทางออกจนไม่อาจคาดเหตุการณ์หรือวางแผนใด ๆ ล่วงหน้าได้ ขณะที่ยังไม่ได้ฝ่าฟันปัญหาเข้าไป มันเป็นอุบายของจักรวาลที่วางหลุมพรางนั้นเอาไว้ เพื่อให้มนุษย์ต้องตัดสินใจ มีสติ และมีความกล้าหาญ ถ้ามนุษย์มีคุณสมบัติเหล่านี้ก็จะสามารถฝ่าฟันปัญหานี้ได้ทันที เมื่อถึงที่สุดแล้วมนัษย์จะพบทางออกได้เอง ขณะกำลังฝ่าฟันมันไป หนทางไม่ได้ตีบตันอย่างที่คิดในทุกสถานการณ์อย่างแน่นอน

    มนุษย์พึงรู้ว่า กลุ่มพลังงานกรรมเหล่านี้ จะมีลักษณะเป็นเมฆหมอกสีดำ ภายในใจกลางจะมีแสงสว่างเร้นอยู่ภายในอันเป็นรางวัลแห่งความสำเร็จที่จิตวิญญาณจะได้รับมันทันทีที่ฝ่าฟันเข้าไปถึงได้ การเผชิญหน้าและการฝ่าฟันปัญหา เสมือนการเดินเข้าไปในกลุ่มเมฆหมอกนั้น เมื่อถึงจุดหมายคือแสงสว่างภายใน เมฆหมอกหนานั้นจะสลายหายวับไปทันที มนุษย์ก็จะอิสระจากกลุ่มกรรมนั้นในทันทีเช่นเดียวกัน

    นี่คือนามที่จักรวาลและรูปธรรมต่าง ๆ เรียกขานมนุษย์ว่าเป็นนักรบแสงสว่าง ซึ่งมาจากกิจกรมมหัศจรรย์ที่กล่าวมานี้ ด้วยการหันมาใช้พลังอำนาจของตนกระทำให้ถูกต้องต่อบุคคลอื่น โลกและทุกสรรพสิ่ง

    มนุษย์ทุกคนที่เป็นนักรบแสงสว่าง จะต้องประกอบด้วยโครงสร้างทางชีววิทยาที่สมบูรณ์ มีสติปัญญาพอตัว มีจิตสำนึกแห่งคุณธรรม และมีจิตใจผ่องใสพิสุทธิ์พร้อมที่จะปลดปล่อยพลังงานแห่งความรักอันบริสุทธิให้ผู้อื่นเสมอ โดยมีข้าศึกศรัตรูแต่เพียงพวกเดียวเท่านั้นบนโลกใบนี้ คือ พลังงานทางอารมณ์ด้านลบจากจิตใจตนเองที่ทุกคนต้องกำจัดมัน เอาชนะมันให้จงได้โดยสิ้นเชิง ไม่ใช่มนุษย์คนอื่นเลย

    ไขรหัสรักจากจักรวาล.....

    ถ้าเหตุการณ์ที่ถ้ำหลวงได้บ่งบอกนัยยะของบทเรียน อาถรรพณ์เลข 13

    ที่โลกต้องเสียสมดุล เพราะมนุษย์กลุ่มหนึ่งอาศัยเลข 13 เป็นอำนาจศักดิ์สิทธิ์ของตนในการบงการจิตวิญญาณของมนุษย์คนอื่น ๆ ให้ตกเป็นทาสจาการชี้นำทุกสิ่ง ติดตามได้จากสถานการณ์โลก

    มนุษย์พึงรู้ว่า ซาตานตัวจริงจะยึดถือเลข 13 เป็นอำนาจของตนเพื่อพยายามให้มีอำนาจเหนือเลข 12 อันเป็นพลังอำนาจสูงสุดของจักรวาลเสมอ

    บทเรียนในถ้ำหลวงนี้ แสดงให้เห็นรหัส 13 มนุษย์ทุกคนทั้งโลก จะร่วมมือร่วมใจชนะ อาถรรพณ์ 13 คือ รหัสซาตานจากบทเรียนนี้ได้อย่างไร พลังแห่งความรักและสามัคคีเป็นหนึ่งเดียวเป็นพลังความรักอันบริสุทธิ์ ที่จะสามารถจะชนะ เพราะอีกไม่นานนี้พลังงานด้านลบของผู้มีจิตใจชั่วร้ายจะถูกชำระด้วยพลังงานด้านบวกที่เข้มข้นกว่าทั้งในระบบและนอกระบบ จนไม่อาจแสดงอำนาจเหนือจิตวิญญาณบริสุทธิ์ของผู้บริสุทธิ์และไร้เดียงสาทั้งหลายต่อไปได้อีกแล้ว เพราะมนุษย์ส่วนใหญ่จะถูกยกระดับสติปัญญาให้สูงขึ้น สามารถเข้าถึงพลังอำนาจสูงสุดในตนเองได้ด้วยวิถีแห่งธรรมะของศาสดา สู่พลังงานยุคใหม่เพื่อความสงบและสันติสุขในวิถีทางที่ถูกต้องต่อไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กรกฎาคม 2018
  11. Mdef

    Mdef เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    1,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,869
    อาทิตย์ = 1 ไปจนถึง เสาร์ = 7

    ธันวาคม = 1 ไปจนถึง พฤศจิกายน = 12
    ชวด = 1 ไปจนถึง กุน = 12

    เมื่อนำ วัน เดือน ปี ที่เกิดมาบวกกัน แล้วเลยเลข 12 ไปเท่าไหร่ให้เอามาลบกับ 12
    เมื่อได้ผลลัพธ์ มาเท่าไหร่ก็นำไปเปรียบเทียบกับ ความน่าจะเป็นจากสถิติ
    แต่หากบวกออกมาแล้วไม่เกิน 12 ก็ไม่ต้องไปลบกับอะไร

    1 / 2 / 7 / 9 = วาสนาไม่ค่อยจะดี
    3 / 5 / 8 / 10 = วาสนาปานกลาง
    4 / 6 / 11 / 12 = วาสนาดี

    อันนี้แนวกราฟชีวิตที่ถือเอาเลข 12 ว่าเป็นเลขในเกณฑ์ตั้งไว้สูงสุด

    ตัวเลขนั้นจะยังไม่ใช่การชี้ชัด เอามาฟันธงว่าเป็นแบบนี้แน่นอน
    เพียงแต่กระบวนการนี้เป็นแต่เพียงค่าสถิติ ที่ใช้การสังเกตและสอบถาม
    อาจจะ 1 : 10 1 : 100 1: 1000 ซึ่งมันก็แค่กระบวนการว่าจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้เท่าไหร่
    และตำราและค่าสถิติ แต่ละเล่มก็ใช่ว่าจะใช้กระบวนการเดียวกัน การชี้ไปในแง่ตัวเลข
    ก็จะพอสังเกตได้ว่า คนหนึ่งชี้ไปแบบหนึ่ง อีกคนหนึ่งชี้ไปเยื้องๆกับอีกแบบหนึ่ง
    แล้วแต่ตำราว่าถือตำราอยู่ที่เล่มไหนและผู้วิเคราะห์ในตำราเพิ่ม ทิฐิ ตัวเองลงไปด้วยเปล่า

    แม้แต่ในตำราก็ยังมีบอกว่าเป็นเพียงแค่ โอกาสน่าจะเป็น

    เปรียบเสมือน เวลาฟังแนวๆทำนาย ราศี ในช่วงนี้ ก็จะประมาณช่วงนี้มีโอกาสเป็นแนวๆนี้
    แต่เขาก็ไม่ได้บอกว่า ต้องเป็นแบบนี้เท่านั้นเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ต้องแบบนี้แน่นอน

    เพราะหากเรานำไปยึดว่าต้องเป็นแบบนี้แน่นอนๆ ก็จะกลายไปเป็นการ ยึดทิฐิ
    ในสิ่งที่คลาดเคลื่อนว่าคงจะไม่คลาดเคลื่อน เมื่อสะสมทิฐิในแง่ชี้ชัดไปมากเข้า
    ก็จะกลายไปเป็น ผู้มี ทิฐิ ที่คลาดเคลื่อนต่อความเป็นจริง พอมีผู้มาบอกกล่าวว่าเป็นแบบหนึ่ง
    แต่ผู้ที่ ยึดอยู่ในทิฐิ นี้ก็จะว่าไม่ใช่ ต้องเป็นไปตาม ทิฐิ แบบตนนี้หละถึงจะใช่


    หากเป็นในแง่ทางหวย ก็จะว่าออกเลขนี้แน่นอน 12 ชัวป๊าบ
    แต่ในความเป็นจริงในอนาคตนั้นใช่ว่าจะออกเลขนี้จริงๆ อาจจะไปออก 14
    เมื่อเห็นอยู่ว่า เลข 12 = 14 ก็คือการคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง
    คนที่มีเลข 12 ว่าเป็น 12 มีเลข 14 ว่าเป็น 14 จะไปคุยรู้เรื่องกับ 12 เท่ากับ 14 ได้ยังไง

    ที่ยกตัวอย่างเรื่อง วัน เดือน ปี นั้นเพื่อแสดง ฐาน ก่อนการคำนวณ

    ทีนี้การกล่าวว่า เด็ก 13 เลข 13 ซานตาน 13 อาธรรพ์ 13
    นี้เราใช้อะไรมาเป็น ฐาน ในการคำนวณก่อนจะออกมาได้ว่าเป็น 13 ?

    จักรวาลมีเลข 12 เป็นเลขสูงสุด เราใช้อะไรมาเป็นฐานคำนวณถึงได้ผลลัพธ์ออกมาเป็น 12 ?
     
  12. ทอนเงิน

    ทอนเงิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    549
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +707
    หารลงตัวหรือยังครับ
     
  13. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    โหราศาสตร์ เป็นศาสตร์ที่สัมพันธ์กับสากลจักรวาล

    หนึ่งในนั้นคือ ศาสตร์ 18 ประการที่พระพุทธเจ้าเรียนจบมีวิชาว่าด้วยโหราศาสตร์ และวิชาดูดาว ด้วยค่ะ



    และ

    ขงเบ้งผู้หยั่งรู้ฟ้าดินมหาสมุทร....

    ขงเบ้ง เป็นผู้ฉลาดปราดเปรื่อง รอบรู้สรรพวิชาอย่างแตกฉาน ทั้งวิทยาศาสตร์ โหราศาสตร์ ดาราศาสตร์ การเมืองการปกครอง การทูต และแม้ กระทั่งไสยศาสตร์ ...

    ส่วนนี้เพื่อพิจารณา.....



    ถ้าผู้ใช้ศาสตร์นี้ สามารถยึดถือศาสตร์ในการคิดคำนวณมุมตรีโกณมิติทางเรขาคณิตอันเป็นความสัมพันธ์ระหว่างดวงดาวหลัก ๆ ในจักรวาล ที่นำมาใช้เป็นตัวตั้งศาสตร์นี้ ให้เป็นเลขฐาน 12 ไม่ใช่เลขฐาน 10 ได้แล้ว จะมีความแม่นยำชัดเจนของภาพใด ๆ ที่แลเห็นได้หลังบานประตูระหว่างมิตินั้น

    มนุษย์ส่วนมาก เรียกผลกรรมจากอดีต ที่กลายมาเป็นบทเรียนของตนในชีวิตปัจจุบันว่า "ชะตาชีวิต"

    ขณะที่มนุษย์ไม่เข้าใจปรัชญาแห่งการเกิดเป็นมนุษย์ ไม่เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม มนุษย์หลายรายกลับหวั่นไหวใน "ชะตาชีวิต" อันเป็นบทเรียนแห่งกรรม จากผลกรรมในอดีตชาติของตนเอง

    ในการกลับชาติมาเกิดใหม่ ก็คือการกลับมาตั้งต้นใหม่พร้อม ๆ กับผลกรรมในอดีตชาติที่ทับซ้อนตัวเราอยู่ พร้อม ๆ กับตัวเลือกและทางเลือกอีกมากมายในการกระทำเพื่อกำจัดกรรมเหล่านั้น จนกว่าจะสิ้นวงเวียนกรรมของแต่ละคน

    ขณะที่ไม่เข้าใจปรัชญาการเกิด ไม่เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม ส่วนมากจึงหวั่นไหวไปกับชะตาชีวิต อันเป็นบทเรียนแห่งกรรม จากผลกรรมในอดีตชาติของตน โดยเชื่อมั่นโชคลาง ยึดถือโชคชะตา แล้วไฝ่หาโหราจารย์ หรือ "หมอดู" ผู้เขี่ยวชาญด้านโหราศาสตร์ เพื่อหยั่งรู้อนาคตพร้อมกับตัวเลือกหรือทางออกใด ๆ ล่วงหน้า ในการที่จะนำตัวเองฟันฝ่าผลกรรมนั้น ๆ ไปด้วยความพร้อม และความมั่นใจกว่าความไม่รู้ โดยหารู้ไม่ว่าการกระทำเช่นนั้นมันแสดงออกถึง ความเป็นมนุษย์ที่มีความสับสนในตนเอง เพราะการเชื่อโชคชะตาหรือโชคลาง พอๆ กับการเชื่อโหราศาสตร์หรือหมอดูนั้น ตัวมนุษย์เองได้ตัดสินใจเชื่อ "วงเวียนกรรม" ไปแล้วตั้งแต่บัดนั้น

    ศาสตร์ด้านโหราศาสตร์จากยุคโบราณจนถึงปัจจุบัน เป็นศาสตร์ที่สัมพันธ์กับจักรวาล มนุษย์สามารถใช้มันเป็นเครื่องมือสู่ การหยั่งรู้ เหตุการณ์ในอนาคตใด ๆ ได้แม้เพียงเลือนรางพร้อม ๆ กับตัวเลือกต่าง ๆในการกระทำของตน เมื่อกรรมนั้นมาถึง

    วิชาโหราศาสตร์ที่แท้จริง มิใช่การคาดคะเน การคาดเดา หรือนึกเอาของผู้ใช้ศาสตร์อันสูงส่วนี้แต่อย่างใด ความถูกต้อง ความชัดเจน หรือเลือนรางใด ๆ ขึ้นกับว่า ผู้ใช้ศาสตร์นี้กำลังยึดถือ ของแท้ หรือ ขยะ ขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์ การพิจารณาของผู้ใช้ศาสตร์ดังกล่าวด้วย กล่าวง่าย ๆ คือ ผู้ที่มีความสามารถพิเศษที่จะมองลอดช่องรูแคบเล็ก ๆ ของบานประตูระหว่างมิติทั้งสองได้อย่างเชี่ยวชาญกว่ามนุษย์ทั่วไป โดยใช้วิธีก้มลงมอดใต้บานประตูจนแลเห็นบางส่วนหรือบางสิ่งบางอย่างขยับขยายหรือเคลื่อนไหวหลังบานประตูนั้น แล้วใช้ความสามารถของตนเองพิจารณาหรือวิเคราะห์ว่ามันคืออะไร ขณะที่พวกเขาใครบางคน อาจสามารถเปิดเผยได้รายละเอียดยิ่งกว่า ทั้ง ๆ ที่เห็นมาเหมือนกัน เพราะศาสตร์นี้เป็นศาสตร์ความจริงที่จริงแท้ แต่ความผิดพลาดคลาดเคลื่อนใด ๆ ขึ้นอยู่กับความสามารถและคุณสมบัติเฉพาะตัวของผู้ใช้ศาสตร์นี้เป็นสำคัญ

    ถ้าผู้ใช้ศาสาตร์นี้ใช้เลขฐาน 12 ไม่ใช่ฐาน 10 ความแม่นยำชัดเจนของภาพใด ๆ ที่แลเห็นได้หลังบานประตูระหว่างมิตินั้นจะคมชัดยิ่งขึ้น และแม่นยำยิ่งขึ้น

    และเชื่อว่าหลังจากการปรับเปลี่ยนความเข้มสนามแม่เหล็กโลกเข้าสู่สภาวะสมดุลใหม่แล้ว ผู้ใช้ศาสตร์นี้จะพบความแม่นยำในการพยากรณ์ของตนเอง จะมีสูงขึ้นได้อย่างน่าประหลาดใจอยู่ไม่น้อยเลย อีกไม่นาน ปรากฎการณ์อันน่าท้าทายสำหรับมนุษย์ จะได้รับการพิสูจน์หนึ่งใน "ความรู้ใหม่" โดยเฉพาะเรื่องนี้กันแล้ว

    นี้ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งค่ะ ว่าวิชาโหรศาสตร์ใช้เลขฐาน 12 ในวิชาโหราศาสตร์ แล้วทำไมจักรวาลจึงมีเลข 12 เป็นเลขสูงสุด มีความสัมพันธ์กับพลังงานในแดนสุญญตา โดยนัยยะประมาณนี้ค่ะ
     
  14. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ยังเลยค่ะ แม้จะเป็นแค่เลข 12 แต่ก็เป็นจุดศูนย์กลางของการสั่นสะเทือนทั้งระบบ

    ปิรามิดพลังงานและความลับของจักรวาล

    images (2).jpeg

    คือกระบวนการสื่อสารสัมพันธ์กันทางพลังงานในมิติแก่นแท้ ด้วยกระบวนการสามเหลี่ยมสัมพันธ์ นั่นเอง

    ฐานสามเหลี่ยมแรก....เป็นการสัมพันธ์ระหว่าง จิตจักรวาลดวงใหญ่ ดาวเคราะห์โลก จิตวิญญาณมนุษย์

    หรืออีกนัยยะหนึ่ง ...สามเหลี่ยมพลังงานในมิติคู่ขนานก็คือ การสื่อสารสัมพันธ์ ระหว่างพลังงานในแดนสุญญาตานอกระบบเอกภพ ผ่านจิตวิญญาณแก่นแท้สู่จิตใจมนุษย์ และสังขารร่างกายมนุษย์

    การเป็น "คนสองมิติ" จึงต้องประกอบด้วย "ฐานพลังแห่ง 3 ภูมิ" คือ ภูมิปัญญา ภูมิรู้ และภูมิธรรม โดยภูมิปัญญาเป็นยอดฐาน

    รูปทรงสามเหลี่ยม จึงเป็นรูปทรงเลขาคณิตที่มีความแข็งแกร่งมากกว่ารูปทรงอื่นใด เพราะเป็นโครงสร้างหลักของทุก ๆ รูปทรงนั่นเอง

    นี้ค่ะ ที่หน่วยซีลผลึกกำลังกันช่วยเหลือน้อง ๆ

    unnamed (2).jpg

    เหตุผลเพราะรูปทรงสามเหลี่ยมแข็งแกร่งมาก เพราะ....
    ตรงมุมแหลมของสามเหลี่ยมด้านเท่าทุกมุม มันจะเป็นจุดที่แข็งแรงที่สุดในบรรดาทุก ๆ จุดบนเส้นที่ลากเชื่อมโยงกันเป็นรูปสามเหลี่ยมนั้น ไม่ว่าจะมีแรงกระทำจากภายนอกต่อมุมใด ๆ แรงที่กระทำนั้นจะถูกถ่ายทอดไปสู่อีกสองมุมที่เหลือในสัดส่วนของการถูกกระทำที่แบ่งเท่า ๆ กันเสมอ

    และช่างเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ว่า การเกิดมุมแต่ละมุมของรูปสามเหลี่ยมด้านเท่าที่อยู่ในวงกลมนั้น 12 เหลี่ยมมุมเป็นคุณสมบัติแท้ของสำนึกแรกที่รู้มาตนเองได้อุบัติขึ้นมาแล้ว

    นี้ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งว่า..จักรวาลทำไม? จึงมีเลข 12 เป็นเลขสูงสุดด้วยค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กรกฎาคม 2018
  15. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    สิ่งนี้ค่ะ ......เจ้ากรรม นายเวร

    downloadfile.jpg

    ประตูมิติเปิดโอกาสให้ชำระความ

    ประตูมิติแห่งโอกาสนี้ จะถูกเปิดออกให้รูปธรรมจิตวิญญาณที่ดำรงตนเองอยู่ในนรกมาอย่างยาวนาน แต่ยังไม่สามารถละวางความอาฆาตพยาบาทและความเจ็บแค้นที่มีต่อคู่กรรมคู่กรณีของตนได้ เพราะเหตุครั้งที่เป็นมนุษย์ตนเคยถูกทำร้ายจนสั่นสะเทือนจิตสำนึกตนเองด้านลบเอาไว้ด้วยความรุนแรงอย่างมาก

    จิตวิญญาณเหล่านีส่วนใหญ่ จะดำรงตนอยู่ในมิตินรกชั้นต้น ๆ ที่ทับซ้อนกับมิติโลกนั่นเอง มี

    ๑.เจ้ากรรมนายเวร
    ๒.ผีโขมด
    ๓.จิตวิญญาณพเนจร คือ สัมภเวสี และกลุ่มจิตวิญญาณที่มีฤทธิ์อำนาจพิเศษด้านอวิชชา

    พวกเขาเหล่านี้จะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการเกิดมหันตภัยธรรมชาติทุกรูปแบบ ซึ่งเป็นบทเรียนสุดท้ายของมวลมนุษย์ในแผนการชำระโลกครั้งสำคัญนี้ด้วย

    การเกิดพายุหมุน ทั้งใต้ฝุ่น เฮอริเคน และทอร์นาโด
    การเกิดคลื่นยักษ์ในทะเล
    การเกิดแผ่นดินไหว แผ่นดินแยก และแผ่นดินยุบตัว
    การเกิดภูเขาไฟระเบิด
    การเกิดพายุฝนถล่มทลายดั่งฟ้ารั่ว
    การเกิดฟ้าผ่าคร่าชีวิต
    การตัดสินใจผิดครั้งสำคัญ ๆ ของคนชั้นผู้นำ ที่จะนำพาผู้คนไปสู่ความตายและหายนะ

    สถานการณ์และปรากฎการณ์เหล่านี้ ล้วนมีกลุ่มเจ้ากรรมนายเวรที่กล่าวถึงเป็นผู้อยู่เบื้องหลังแห่งการเกิดแทบทั้งสิ้น

    จึงเป็นเหตุว่าภัยพิบัติจึงขึ้นอยู่กับกรรมโดยรวมของคนในประเทศนั้น ๆ นอกจากนั้นยังมีผลต่อมนุษย์เองที่ทำให้ได้ประสบภยันอันตรายทั้งอุบัติเหตุตายหมู่คราวละมาก ๆ และภัยที่เกิดจากจิตใจของมนุษย์ด้วยกันที่ทำให้ประสบความยุ่งยากและเดือดร้อนใจและถึงแก่ความตาย

    เช่น กรณีของการเกิดฟ้าร้องเสียงดัง ๆ หลายเดซิเบล จนมนัษย์ตกใจกลัวในแต่ละเปรี้ยง นั่นคือการนัดหมายของบรรดารูปธรรมหลาย ๆ รูปธรรม เพื่อพุ่งเข้าชนกันเองจากทุกทิศทางอย่างรวดเร็วจนทุกรูปธรรมเกิดจากแตกระเบิดขึ้น นี้ก็เป็นการชำระโลกในมิติพลังงาน และจะเป็นผู้ชำระตนเองไปพร้อมกันด้วย เพราะพวกเขาทั้ง 3 กลุ่มเปรียบเสมือนสรรพสิ่งที่เป็นส่วนเกินซึ่งเป็นเหตุทำให้ระบบโลกไม่สมดุล ในการชำระโลกทั้งระบบเพื่อปรับความสมดุล รูปธรรมเหล่านี้ที่อยู่ในบัญชีชำระด้วยอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ โดยเฉพาะจิตวิญญาณที่มีบุรพกรรมด้านลบเป็นจำนวนมาก เพราะได้สั่งสมกรรมด้านลบเอาไว้มาก โดยเฉพาะผลกรรมอันเกิดจากความโกรธแค้นอาฆาตพยาบาทผู้อื่น เพราะรักไม่เป็น อภัยไม่เป็น

    เมื่อเข้าสู่โลกยุคพลังงานใหม่อย่างแท้จริงแลัว ความเปลี่ยนแปลงใหม่ที่จะเกิดขึ้นกับมนุษย์ ประชากรโดยรวมจะน้อยลง คงเหลือแต่ผู้สมดุลทางจิตวิญญาณอย่างแท้จริง มวลมนุษย์และสัตว์โลกทั้งหลายจะมีสำนึกแห่งการเป็นพวกเดียวกันทั่วทั้งโลก ไม่เบียดเบียนทำร้ายกัน ไม่ฆ่าฟันกัน ไม่มีการแบ่งแยก จะรู้จักรักกันได้อย่างแท้จริง เพราะสำนึกในความโชคดีที่รอดตายมาด้วยกัน และสำนึกได้ว่า ถึงจะโลภมากจนร่ำรวยแต่ท้ายที่สุด ความรวยนั้นก็ไม่อาจช่วยให้คนหรือใคร ๆ หนีพ้นจากความตายไปได้เลย มนุษย์จะมีอายุยาวขึ้น มีรูปร่างสวยงาม และมีสติปัญญาสูงขึ้น และสามารถหยั่งรู้สู่การรู้แจ้งได้มากกว่าเดิม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กรกฎาคม 2018
  16. เเสงเทียน

    เเสงเทียน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2017
    โพสต์:
    135
    ค่าพลัง:
    +156
    ผมเชื่อพระพุทธเจ้า มนุษย์จะมีอายุน้อยลงไปเรื่อยๆจนเหลือเเค่ 10 ปี เป็นยุคที่ตำทรามที่สุดของที่สุด ความสูงก็เหลือเเค่ไม่ถึงเมตร เเละมนุษย์จะเริ่มทำความดี อายุจะกลับขึ้นมาเรื่อยๆจนถึง80000 ปีเเละพระพุทธเจ้าองค์ใหม่มาโปรด

    สรุป ผ่าน 2500 ปีภัยพิบัติใหญ่ สงครามโลก พระศรีจะลงมาช่วยเเต่ไม่ใช่เป็นพระพุทธเจ้า คิดว่า มนุษย์จะมีเวลาที่ดี 200-300 ปี เเละต่ำลงเรื่อยจนครบ 5000 ปี

    ต่อจากนี้คือ ทุกๆ 100 ปีอายุจะลดลง 1 ปี ตอนนี้อายุเฉลี่ย 75 ปี ศาสนาพุทธสูญสิ้นป่านนั้นคนก็มีอสุเพียง 50-55 ปี
     
  17. Mdef

    Mdef เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    1,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,869

    คุณเข้าใจคำว่า ชักแม่น้ำทั้ง 5 ใหม

    หากผมถามว่า นครราชสีมา นี้มีอะไรยังไงบ้าง คุณตอบว่า พม่า ลาว กัมพูชา มาเลเซีย
    เป็นเพื่อนบ้านกับประเทศไทย และนครราชสีมา ก็อยู่ในประเทศไทยนั้นหละ

    คนที่เขาอาศัยภูมิ หรือ พื้นที่แห่งนั้นอยู่แล้ว
    เขาต้องอาศัยการค้นคว้ารอบนอกมาตอบใหม

    การชักนำอะไรต่อมิอะไรมา ก็เป็นการแสดงออกอยู่แล้วว่าไม่ได้อยู่ที่ ฐาน นั้น

    แต่มีการค้นคว้า ชักจูง สิ่งต่างๆเอามาเป็น ฐานรองรับ

    ผมถามถึงเรื่อง ฐาน

    หากถามถึงเรื่อง จิตมีฐานที่ตั้งอยู่ที่ไหน แล้วต้องออกไปค้นคว้า ชักจูงสิ่งต่างๆมาเป็นที่ตั้ง

    จิตแบบนั้นคงจะ แส่ส่ายน่าดู คงไม่ต้องไปถามถึงแดนสุญญตาว่าตั้งอยู่ที่แห่งไหน
     
  18. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ถ้าถามเกี่ยวกับเรื่องวิชาโหราศาสตร์ ว่าการคำนวณทำไมจึงใช้เลขด้วยฐาน 12 เพราะอะไร เรื่องนี้ไม่รู้เลยค่ะ เพราะว่าไม่มีความสามารถทางด้านนี้เลย แต่มีข้อมูลของสิ่งศักดิ์ก็เลยนำมาให้ทราบกันค่ะ ว่าทำไมใช้ฐานเลข 12 จึงแม่นยำกว่าฐาน 10

    แต่ถ้าบอกว่า จักรวาลทำไมจึงมีเลข 12 เป็นเลขสูงสุด พอทราบเหตุผลอยู่ค่ะว่าเพราะอะไร?

    และเข้าใจอย่างคาดเดาว่าวิชาโหราศาสตร์ที่ใช้ฐาน 12 น่าจะเกี่ยวข้องกับ เลขสูงสุดของจักรวาลด้วย เพราะเกี่ยวข้องกับพลังของการหยั่งรู้และปัญญา

    วิชาโหราศาสตร์ ป็นเรื่องราวของวิชาที่เกี่ยวกับดวงดาวและโลกมนุษย์ กล่าวถึงอำนาจของดาวที่มีต่อสรรพสิ่งทั้งหลายในโลก เป็นวิชาการทางนามและรูปแสดงกาลเวลาความส่องสว่าง ความรุ่งโรจน์ ความร้อน ความดึงดูด และพลังงานที่มีต่อพฤติกรรมของคนเราด้วย

    เมื่อเลข 12 มีพลังอำนาจสูงสุดที่มีปัญญาลึกล้ำที้สุดในจักรวาล เมื่อใช้เลข 12 นี้มาคำนวน จึงน่าจะแม่นยำที่สุดด้วยประการนี้ค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กรกฎาคม 2018
  19. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ผู้สร้างสรรพสิ่งที่มีอัตตาตัวตนทั้งสิ้น

    images.png

    จุดศูนย์กลางการสั่นสะเทือนของทุก ๆ สรรพสิ่งในทุกย่านความถี่หรือในทุก ๆ มิติของพลังงาน ก็คือ จุดเริ่มต้นแห่งการเกิดขึ้นของทุก ๆ สรรพสิ่ง ตั้งแต่มิติของการเป็นอนัตตาไปจนถึงมิติของสรรพสิ่งที่มีอัตตา

    จึงเรียก จุดศูนย์กลางของการสั่นสะเทือนทั้งระบบว่า "การเป็นผู้เริ่มต้น หรือ จุดเริ่มต้น " ก็ได้

    มิติทางพลังงาน เป็นมิติแห่งแก่นแท้ของทุกสรรพสิ่ง

    การสั่นสะเทือนทางพลังงานของแก่นแท้เกิดขึ้นมาเมื่อใด พลังงานใหม่ ก็จะถูกปลดปล่อยออกมาเมื่อนั้น

    มีความจริงแท้อยู่ประการหนึ่ง การปรากฎขึ้นและการดำรงอยู่ของสรรพสิ่งใดสรรพสิ่งหนึ่งในมิติโลก ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ พืช วัตถุสิ่งของ และเทหวัตถุใด ๆในฟากฟ้า ล้วนเกิดจากกระบวนการสั่นสะเทือนเคลื่อนไหลของตัวตนแก่นแท้ทางพลังงานที่เร้นอยู่ภายในทั้งสิ้น

    เพราะมีกระบวนการสั่นสะเทือนเคลื่อนไหลทางพลังงานของแก่นแท้ที่อยู่ภายในนี่เอง.....หาก

    หากเกิดขึ้นและดำรงเป็นเวลาสั้น ๆ นั่นคือ ปรากฎการณ์
    หากเกิดขึ้นและดำรงอยู่เป็นเวลายาวนาน นั่นคือ วัตถุหรือสรรพสิ่ง หรือเครื่องยนต์แห่งกรรมอันหมายถึงสังขารร่างกาย


    ทั้งปรากฎการณ์และสรรพสิ่งที่เป็นมวลวัตถุ จึงล้วนมีที่มาไม่ต่างกัน ที่ต่างกันก็เพียงเงื่อนไขเวลาเท่านั้น

    มนุษย์จะเห็นได้ว่า มีเพียงพลังงานเท่านั้นที่สามารถดำรงอยู่ไม่สูญหายไปไหน เพราะนั่นเป็นคุณสมบัติของสรรพสิ่งที่เป็นแก่นแท้

    นักวิทยาศาสตร์โลกเองก็รู้กันดีว่า การที่หินก้อนหนึ่งมันดำรงสภาพความเป็นก้อนหินอยู่ได้นั้น เพราะอำนาจการยึดรั้งของ "พลังงาน" ระหว่างเนื้อโมเลกุลของเนื้อหินที่อยู่ภายใน ทำให้มวลเล็ก ๆ ทั้งหลายเกาะเกี่ยวยึดรั้งกันไว้ จนเกิดเป็นสรรพสิ่งหรือมีตัวตนที่มีรูปลักษณ์ของก้อนหินอยู่อย่างนั้น

    พลังงานยึดรั้งระหว่างมวลของเนื้อหิน ได้จากคลื่นความถี่ของการสั่นสะเทือนด้านบวกอย่างต่อเนื่อง ของรูปธรรมทางพลังงานซึ่งเป็น "ตัวตนแก่นแท้" ภายในก้อนหินนั้น เพราะการสั่นสะเทือนภายในก้อนหินเป็นคลื่นความถี่ด้านบวกดังกล่าว จึงทำให้เกิดพลังอำนาจด้านบวกขึ้น ซึ่งเป็นพลังงานแห่งสุญญตาตามคุณสมบัติเดิมแท้ของผู้สร้าง อำนาจด้านบวก คือ "อำนาจการดึงดูดเหนี่ยวรั้ง" ทำให้มวลหยาบ ๆ ส่วนที่เป็นเนื้อหินทั้งหลายเกิดการยึดรั้งซึ่งกันและกันไว้อย่างเหนียวแน่น เปลือกนอกหรือเนื้อหินจึงแสดงความมีตัวตนในมิติทางกายภาพที่มีรูปลักษณ์ให้มนุษย์เห็นว่า มันเป็นสรรพสิ่งหนึ่งที่มีอยู่ ดำรงอยู่

    การหลงมิติทางกายภาพของมนุษย์ ก็คือ การหลงยึดติดในตัวตนรูปลักษณ์ของสรรพสิ่งทั้งหลาย นั่นเอง หากจะให้ความหมายของการยึดติดรูปลักษณ์ของมนุษย์ อันเกิดจากความงมงายที่มีผลสืบเนื่องมาจาก การหลงมิติทางกายภาพของสรรพสิ่ง เกิดความสับสนในตนเองขึ้นมา

    ขณะที่รูปธรรมทางพลังงานที่เป็นแก่นแท้ คือสิ่งที่ดำรงอยู่อย่างนิรันดร์ ไม่ว่าจะมีคุณสมบัติเฉพาะตัวเปลี่ยนแปลงไปเช่นไร พลังงานก็ยังเป็นพลังงานอยู่วันยังค่ำ ผู้ที่ต้องแปรเปลี่ยนตนเองไปตามการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติทางพลังงานของแก่นแท้ก็คือ ตัวตนเปลือกนอก หรือ ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นชั่วขณะ นั่นต่างหาก สรรพสิ่งที่เป็นเปลือกนอกของแก่นแท้ หรือที่เรียกว่า เครื่องยนต์แห่งกรรม/มวลวัตถุ จะเปลี่ยนแปลงตนเองไปตามสภาวะของแก่นแท้เสมอ

    มนุษย์จึงไม่อาจจะไปหลง ยึดติด ตัวตนทางกายภาพของสรรพสิ่งนั้นได้เลย เพราะแม้นมันจะมีให้เห็นอยู่แต่มันก็เป็นสรรพสิ่งที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงตนเองได้เสมอ

    ความเที่ยงแท้แน่นอนในตัวตนรูปลักษณ์ใด ๆที่แลเห็นจึง "ไม่มี" มันพร้อมจะเปลี่ยนแปลงตนเองไปตามกระบวนการของแก่นแท้ภายในของมันอยู่ตลอดเวลา

    เมื่อคุณสมบัติของแก่นแท้เปลี่ยนไปเมื่อใด สรรพสิ่งที่เป็นเปลือกนอกก็ย่อมต้องเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน

    แสดงว่าสิ่งที่มนุษย์รู้เห็นอยู่ มีอยู่ หรือครอบครองมันอยู่ในทางมิติกายภาพของโลก ไม่ว่าสิ่งใด มันล้วนไม่ใช่สรรพสิ่งที่เป็นจริงด้วยกันทั้งสิ้น

    สรรพสิ่งที่ "ไม่จริง" แต่ดูเหมือนว่าจริง เพราะเป็นตัวแทนของ แก่นแท้ที่มีอยู่จริง มันก็คือ "มายา"

    ดังนั้น ทุกสรรพสิ่งในมิติทางกายภาพของมนุษย์ ที่อยู่ใกล้ไปจนถึงไกลสุด ไม่ว่าสรรพสิ่งใดจึงล้วนเป็รนสรรพสิ่งที่ไม่จริง หรือเป็น "มายาของแก่นแท้" ที่มนุษย์เรียกกันว่า "เงา" ทั้งสิ้น

    "โลกนี้จึงคือ มายา" เป็นคำกล่าวที่ถูกต้องเป็นแน่แท้

    การหลงมิติแห่งมายาของจิตมนุษย์ ในที่นี้หมายถึง ความสับสนของจิตในการสัมผัสรู้ดูเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ด้วยอาการหลงผิด คิดว่าถูกต้องแล้ว ทั้ง ๆ ที่ความจริง รูปธรรมทางพลังงาน ทั้งสิ้น เป็นรูปธรรมแก่นแท้ มายา หรือ เงา เป็นสิ่งไม่เที่ยง เพราะต้องแปรผันไปตามคุณสมบัติของแก่นแท้มันเสมอ


    เผื่อเป็นแนวทางในการพิจารณา จตุธาตุววัฏฐาน ๔ พิจารณาร่างกายประกอบด้วยธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นอีกแนวทางเลือกหนึ่งค่ะ
     
  20. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ใช่ค่ะ เคยสงสัยเหมือนกันว่ามนุษย์จะมีอายุสั้นลงไปเรื่อย ๆ จนถึงอายุ 10 ปี แล้วจึงเกิดภัยพิบัติล้างโลก แล้วมนุษย์ที่เหลือจะมารวมตัวกันสร้างคุณงามความดี จนมีอายุขัยยืนยาวไปสมัยมนุษย์อายุ 80,000 ปี ศาสนาพระศรีอาริย์จึงเกิดขึ้น

    แต่ในสมัยกึ่งพุทธันดรขององค์สมณโคดมนี้ ที่ได้กล่าวไว้ว่าหลังจากเข้าสู่ยุคพลังงานใหม่ มนุษย์จะมีอายุยืนยาวขึ้น มีรูปร่างสวยงามและมีสติปัญญารู้แจ้งบรรลุธรรมกันได้มากนั้น อาจเป็นเพราะความไม่เที่ยง หรือ วัฏจักรของสรรพสิ่ง เมื่อจิตใจมนุษย์ตกต่ำมาก จึงมีผลต่อโลก หากไม่มีการยกระดับไปสู่ที่ดีกว่านี้ โลกอาจจะถึงกาลวิบัติก่อนอันควรก็ได้ค่ะ เพราะจิตใจและฝืมือมนุษย์ที่จะเป็นเหตุทำลายโลก เบื้องบนเลยยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ และเป็นการต่ออายุพระศาสนาด้วย ระยะเวลาแห่งความเจริญนี้สิ่งศักดิ์สิทธิ์กล่าวว่าจะมีความเจริญต่อไปอีกนับพันปี แล้วค่อยเกิดความเสื่อมถอยลงไปเรื่อย ๆ อีก จนกว่าจะสิ้นพุทธันดร

    เท่าที่ทราบมานะค่ะ เคยรู้มาค่ะว่า....ทุก ๆ พุทธกัปล์ที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ในทุก ๆ สมัยกี่งพุทธกาลจะมีแสงธรรมโลกุตระส่องสว่างลงมายังโลกมนุษย์ เพื่อเป็นธรรมแสงสว่างส่องให้แก่จิตวิญญาณในการสร้างบารมีเพื่อการหลุดพ้น และเป็นการรักษาพระศาสนาให้ครบอายุศาสนานะค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...