ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ท่านใดได้รับความเสียหายจากพายุฝนฟ้าคะนองช่วงค่ำที่ผ่านมา แจ้งเข้ามาได้ครับ...

     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #ข่าวภัยพิบัติ #น้ำท่วมฉับพลัน
    // เอเดน ประกาศพื้นที่ภัยพิบัติหลังจากเหตุอุทกภัยครั้งใหญ่คร่าชีวิตไป 10 รายใน #เยเมน //
    22/04/20
    รัฐบาลเยเมนได้ประกาศให้เมืองเอเดนเป็นพื้นที่ภัยพิบัติ เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2563 หลังจากเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ที่เกิดจากฝนตกหนักถึง 125 มม. (5 นิ้ว) ในเวลาเพียง 24 ชั่วโมง
    โดยเฉลี่ยเมืองนี้จะได้รับฝนประมาณ 5 มม. (0.19 นิ้ว) ในเดือนเมษายนและมีปริมาณน้ำฝนประมาณ 37 มม. (1.4 นิ้ว) ตลอดทั้งปี
    เหตุน้ำท่วมได้ทำลายอาคารและที่พักอาศัยส่งผลกระทบต่อผู้คนหลายพันคนและสังหารอย่างน้อย 10 คน
    ถนนได้กลายเป็นแม่น้ำที่โหมกระหน่ำขณะที่น้ำพัดพายานพาหนะไป อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อที่พักพิงชั่วคราวของครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งในประเทศ
    เกือบ 1,000 ครัวเรือนได้รับผลกระทบในเขตปกครอง Sana และมากกว่า 5,000 คนในเขต Marib บ่อน้ำมีการปนเปื้อนด้วยน้ำเน่า ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อการเพิ่มขึ้นของอหิวาตกโรค
    ประเทศเยเมน มีสถิติผู้ป่วยอหิวาตกโรคที่สูงที่สุดในโลกโดยมีผู้ติดเชื้อถึง 1 ล้านคนและมีผู้เสียชีวิตกว่า 2 พันรายตั้งแต่ปี 2560(2017)

    ชาวเมืองกลัวว่าจะมีการระบาดของโรคระบาดในช่วงฤดูฝนท่ามกลางสงครามกลางเมืองที่กำลังดำเนินอยู่ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับระบบสาธารณสุขของประเทศมากกว่าครึ่งหนึ่งและทำให้แหล่งน้ำสะอาดและสุขอนามัยส่วนใหญ่เสียไป

    มีรายงานผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 10 คนขณะที่อีก 30 คนได้รับบาดเจ็บในละแวกใกล้เคียงต่าง ๆ ของ Aden เจ้าหน้าที่ระบุว่ามีผู้บาดเจ็บสองคนอยู่ในเขต Al Mualla และอีกห้าคนอยู่ใน Sirah

    ในบรรดาผู้ที่ตกเป็นเหยื่อมีเด็ก 3 คนจากครอบครัวเดียวกันที่เสียชีวิตเมื่อบ้านของพวกเขาทรุดตัวลงในเขตของปล่องภูเขาไฟ เจ้าหน้าที่กล่าวเพิ่ม ชาวบ้านที่ได้รับบาดเจ็บถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลใกล้เคียงเพื่อรับการรักษา

    **นี่เป็นเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ครั้งที่ 2 ในเอเดนในรอบเกือบเดือน คือเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2020 มีฝนตกมากถึง 75 มม. (3 นิ้ว) ในเมืองทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต2 รายและบาดเจ็บ4ราย
    ภาพเหตุ-https://mobile.twitter.com/nawaljameel2/status/1242783841611395072

    และเหตุฝนตกหนักในวันที่ 13 เมษายน 2020 ทำให้เกิดน้ำท่วมอย่างกว้างขวางและรุนแรงใน Sana'a ส่งผลให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อ ทรัพย์สิน
    flood : http://floodlist.com/asia/yemen-floods-sanaa-april-2020
    น้ำท่วมฉับพลันในเขตอัล - ซาบีนฆ่าคน2คนหลังจากที่พวกเขาถูกกวาดล้างไปโดยกระแสน้ำที่บ้าคลั่ง บ้านอย่างน้อยหนึ่งแห่งพังทลายลงในขณะที่บ้านหลังอื่น ๆ อีกหลาย 10 หลังได้รับความเสียหายทำให้ประชาชนต้องอพยพออกไป วิดีโอที่โพสต์โดยคนในท้องถิ่นบนโซเชียลมีเดียแสดงให้เห็นว่ามีน้ำท่วมฉับพลันรุนแรงทำลายถนนและผู้คนที่ติดกระแสน้ำ -https://mobile.twitter.com/middleclipse/status/1249799736065916933

    Image credit:
    ภาพดาวเทียม - NASA Aqua/MODIS. Acquired April 21, 2020,
    ภาพความเสียหาย -UNHCR Yemen
    ภาพความเสียหาย -Yemen Meteorological Services
    ภาพความเสียหาย-محمدالحجيلي
    News- http://www.xinhuanet.com/english/2020-04/22/c_138998823.htm
    #Watchers

     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สุดท้ายก็กระทบโรงพยาบาล..
    สิ่งที่ สธ.พูดไม่หมด
    กรณีโยกงบบัตรทอง 2,400 ล้าน


    ในที่สุด นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ก็ออกมายอมรับแล้วว่า ร่างพ.ร.บ.โอนงบประมาณพ.ศ.2563 นั้น มีความตั้งใจจะ “โยก” งบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าไปจริง 2,400 ล้านบาท

    สาเหตุสำคัญที่หมอขุมระบุก็คือ เป็นการโยกงบประมาณเพื่อไปอุดหนุนข้าราชการกระทรวงสาธารณสุขบรรจุใหม่ เพื่อต่อสู้กับโรคโควิด - 19 45,684 ตำแหน่ง ที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติเมื่อวันที่ 7 เม.ย. ที่ผ่านมา โดยในงบบัตรทอง มีส่วนที่เป็น “ค่าแรง” อยู่แล้ว สามารถดึงไปจ่ายเงินเดือนได้

    ถ้าพูดแบบคน “ไม่รู้เรื่อง” ก็ต้องบอกว่าเป็นเรื่องปกติ และ Gossipสาสุข นั้น “ดราม่า” เกินเหตุ แต่เอาเข้าจริง เรื่องนี้มีบางอย่างที่กระทรวงสาธารณสุข และรัฐบาล ยังไม่ได้พูด หรือพูดไม่หมด...

    หากย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 7 เม.ย. พูดชัดเจนว่าการบรรจุข้าราชการที่เพิ่มขึ้นนั้น จะใช้เงินบำรุง และเงินเหลือจ่ายของโรงพยาบาล

    “ทั้งนี้ ให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการโอนเงินงบประมาณเหลือจ่ายประจำปีและเงินนอกงบประมาณของกระทรวงสาธารณสุขมาตั้งจ่ายเป็นเงินเดือนและค่าตอบแทนของบุคลากรที่ได้รับการบรรจุเป็นข้าราชการดังกล่าวตามจำนวนวงเงินงบประมาณงบบุคลากรที่จะใช้ เพื่อลดการขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายเงินงบกลาง ตามที่ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเสนอต่อที่ประชุม” คือข้อความที่ระบุชัด จากรายงานการประชุมคณะรัฐมนตรี วันที่ 7 เม.ย.

    ไม่มีข้อความไหน ที่บอกว่าจะนำงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ไปบรรจุข้าราชการใหม่.. แต่ไปๆ มาๆ หมอขุม คงเห็นว่าเงินที่เหลือนั้นไม่พอ เลยต้องไปดึง “ค่าแรง” จากกองทุนบัตรทอง เข้าไปจ่ายเป็นเงินเดือนข้าราชการใหม่เพิ่ม

    จริงอยู่ กองทุนบัตรทองนั้นมีส่วนของเงินเดือนบุคลากร และ “ค่าแรง” ที่ระบุไว้ตั้งแต่ร่างพ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 แต่ก็เป็นค่าแรง ที่คิดตามจำนวนแพทย์ - บุคลากรทางการแพทย์ ที่ฟิกซ์ไว้ตั้งแต่ต้น ไม่ใช่จะดึงไปใช้ได้อย่างไม่มีขีดจำกัด อยู่ดีๆ พอเงินไม่พอ ก็จะเอาไปใช้บรรจุข้าราชการใหม่ได้

    ขณะเดียวกัน งบในส่วน “ค่าแรง” บุคลากรสาธารณสุขที่ปัจจุบัน คิดเป็นตัวเลขกลมๆ อยู่ที่ประมาณ 5 หมื่นล้านบาทจาก 1.73 แสนล้านบาท นั้น ก็มีรายละเอียดแยกย่อยแล้ว ว่าจะลงไปที่หน่วยบริการไหน ลงไปที่สสจ.ไหน ไม่ใช่ว่าเป็นตัวเลขลอยๆ ที่โอนกลับไปที่ “งบกลาง” แล้วจะไม่มีผลกระทบใดๆ เพราะต้องไม่ลืมว่า หากดึงไป 2,400 ล้านบาท ก็ต้องไป “เข้าเนื้อ” หน่วยงาน ที่งบประมาณเตรียมลงไปแล้วอยู่ดี

    โดยปกติค่าแรงบุคลากรนั้น ไม่ใช่กระทรวงสาธารณสุข จะเสนอเท่าไหร่ก็ได้ แต่ต้องมี “สูตรคำนวณ” ซับซ้อน ต้องผ่านอนุกรรมการ และต้องผ่านคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งมีรมว.สาธารณสุข เป็นประธาน แต่รอบนี้กลับมีตัวเลขมาลอยๆ ว่าต้องดึงไป 2,400 ล้านบาท หักล้าง ยกเว้น ทุกกฎเกณฑ์ ที่เคยเป็นมา

    คำถามก็คือ จะมั่นใจได้อย่างไรว่า หากดึงเงินไปจ่ายเป็นเงินเดือนบุคลากร จะไม่กระทบกับโรงพยาบาลที่รอรับเงินและจะไม่กระทบกับการให้บริการประชาชน ที่ใช้บัตรทอง 49 ล้านคน? แล้วจะมั่นใจได้อย่างไรว่า 2,400 ล้านบาทนั้นเพียงพอกับตำแหน่งที่บรรจุใหม่ ไม่ใช่ต้องดึงเงินไปเพิ่มอีก

    ที่น่าสังเกตอีกอย่างก็คือ ในร่าง พ.ร.บ.โอนงบประมาณฯ ในส่วนที่จะตัดเงินบัตรทองไปนั้น ไม่มีเนื้อหา ไม่มีรายละเอียดว่าจะตัดส่วนไหน ต่างจากหน่วยงานราชการอื่นๆ ที่บอกชัดว่า จะดึงอะไรออก

    ส่วนของกองทุนบัตรทองนั้น อย่างที่บอกตอนที่แล้วว่า เหมือนกับการเทียบ “บัญญัติไตรยางค์” เอาดื้อๆ ว่าจะเอาออกเท่านี้ ซึ่งในที่สุด ก็มีความเป็นไปได้ ที่เงินในกองทุนก้อนใหญ่ จะได้น้อยลง และจะส่งผลกระทบกับการให้บริการด้วย

    เพราะฉะนั้น สิ่งที่กระทรวงสาธารณสุขควรต้องจัดการให้ชัดก็คือ

    1.ต้องตอบให้ได้ว่าการที่ไปพูดเมื่อวันที่ 7 เม.ย. ว่า “เงินบำรุง” และ “เงินเหลือ” เพียงพอที่จะบรรจุข้าราชการใหม่นั้นคืออะไร แล้วทำไม พอถึงเวลาจริง เงินกลับไม่พอ ต้องมาเอาเงินกองทุนบัตรทอง

    2.ต้องเขียนรายละเอียดให้ชัดว่า 2,400 ล้านบาท ที่ดึงไปนั้น จะดึงจากส่วนไหน จะเอาไปใช้บรรจุข้าราชการอย่างไร จะจ่ายเงินเดือนได้กี่คน และเพียงพอแล้วหรือยัง

    3.กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงบประมาณ ต้องแจกแจงตัวเลขให้ชัดว่า เงินที่หายไปจากกองทุนบัตรทอง 2,400 ล้านบาท นั้น จะไม่กระทบกับค่าแรงบุคลากรเดิม ไม่กระทบกับโรงพยาบาล และที่สำคัญคือไม่กระทบกับประชาชน ถ้าหากเงินหายไปจริง ก็ควรหาเงินมาโปะ ไม่ใช่ดึงไป โดยอ้างแบบคน “ไม่รู้เรื่อง” ว่าสามารถดึงได้ โดยไม่มีผลกระทบ…

    และ 4.ที่สำคัญก็คือ ต้องตอบคำถามจากหลายโรงพยาบาลให้ได้ด้วยว่า งบประมาณฉุกเฉินเร่งด่วน ที่ไปไม่ถึงโรงพยาบาล และหลายโรงพยาบาล ต้อง “ออกเงิน” ด้วยตัวเองไปก่อนหน้านี้ ต้องโยกเงินกองทุนบัตรทองมาใช้ก่อนหน้านี้ แบบที่ นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจะนะ จ.สงขลา ระบุนั้น หายไปไหน และบริหารจัดการกันอย่างไร ถึงไปไม่ถึง..

    การจัดการงบประมาณในช่วงวิกฤตนั้น แม้จะซับซ้อน และมีโอกาสที่จะ “สับสน” ได้ แต่ก็ควรทำอย่างโปร่งใสที่สุด

    ไม่ใช่วันหนึ่งพูดอย่าง อีกวันพูดอีกอย่าง แล้วไปใส่ “ไส้ใน” ในกฎหมายอีกอย่าง คนละเรื่องกับที่พูด ทำเหมือนประชาชนไม่รู้เรื่อง แล้วมาบอกว่าเป็นเรื่อง “ดราม่า” เกินเหตุ

    หากอยากจะให้ประชาชนอยู่เคียงข้าง ให้กำลังใจ และเดินหน้าไปด้วยกัน ก็ขอความกรุณา “โปร่งใส” กับประชาชนด้วย

    #ดึงงบบัตรทองคืน #โควิด19 #งบกลาง #ครม #กองทุนบัตรทอง #กระทรวงสาธารณสุข #ตัดงบสาธารณสุข

     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #มารู้จักสุดยอดโรงพยาบาลบ้านโสมแดง
    #โรคประจำตัวบ้านตระกูลคิม

    ไม่กี่วันมานี้ หลายคนคงได้ยินข่าวใหญ่เรื่องเกี่ยวกับผู้นำเกาหลีเหนือ คิม จอง-อุน หรือน้องพลับของเรา มีข่าวลือว่าป่วยหนัก ต้องผ่าตัดใหญ่ บางสื่อนั้นก็ลือไกลไปว่าอาการเข้าขั้นตรีฑูต เส้นเลือดในสมองแตก นอนเพียบหนักอยู่ในโรงพยาบาล

    ถึงสื่อต่างชาติจะลงข่าวโครมครามขนาดไหน แต่สื่อของฝั่งเกาหลีใต้นั้น ไม่ให้ความเห็นใดๆ รายงานเพียงแต่ว่า ยังไม่มีรายละเอียดชัดเจนมาจากทางเกาหลีเหนือ และข่าวส่วนใหญ่ ก็อ้างอิงจาก Daily NK ที่เป็นสื่อออนไลน์ของเกาหลีใต้ ที่เน้นข่าวของบ้านโสมแดงโดยเฉพาะ

    ถึงตอนนี้ จะยังไม่ชัดเจน 100% ว่าน้องพลับของเราอาการเป็นอย่างไรบ้าง แต่เท่าที่พอจะยืนยันได้ในตอนนี้คือ ยังอยู่นะคะ และกำลังพักรักษาตัวจากการผ่าตัดหัวใจที่โรงพยาบาล Hyang San Hospital ไปเมื่อวันที่ 12 เมษายนที่ผ่านมา

    ซึ่งโรงพยาบาล Hyang San แห่งนี้สร้างอยู่ในหุบเขา Myohyang ห่างจากกรุงเปียงยางไปทางเหนือราวๆ 160 กิโลเมตร

    เพื่อไขข้อข้องใจว่าทำไม น้องพลับ คิม จอง-อุน ถึงเลือกไปผ่าตัดโรงพยาบาลไกลปืนเที่ยงเช่นนี้ แทนที่จะรักษาตัวในโรงพยาบาลในกรุงเปียงยาง ทางสื่อ Daily NK เจ้าเก่า จึงได้นำเสนอข้อมูลประวัติของโรงพยาบาล Hyang San Hospital ให้ได้รู้จักกัน

    โรงพยาบาล Hyang San เริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปี 1994 ซึ่งเป็นปีเดียวกับผู้นำสูงสุดตลอดกาล คิม อิล-ซุง ปู่ของน้องพลับ เสียชีวิต

    เหตุที่ทางเกาหลีเหนือสร้างโรงพยาบาลแห่งนี้ มีที่มาค่ะ

    ในปีนั้น สุขภาพของปู่คิมนั้น ไม่ดีเลย จากอาการป่วยด้วยโรคหัวใจ

    ในช่วงเดือนกรกฎาคม ปี 1994 ท่านปู่ คิม อิล-ซุง พักผ่อนในคฤหาสถ์ส่วนตัว ที่ตั้งชื่อว่า Hyang San Villa และเกิดอาการโรคหัวใจกำเริบ ทางรัฐบาลเกาหลีเหนือรีบส่งเฮลิคอปเตอร์ไปรับตัวปู่คิม เพื่อไปรักษาตัวด่วนที่โรงพยาบาลในเปียงยาง

    แต่โชคร้าย วันนั้นสภาพอากาศแย่มาก ฝนตกหนัก ทำให้เฮลิคอปเตอร์ขึ้นบินไม่ได้ จึงพาปู่คิมเข้าโรงพยาบาลไม่ทัน ปู่คิมจึงเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายฉับพลันในวันที่ 8 กรกฏาคม 1994

    หลังการเสียชีวิตของปู่คิม คิม จอง-อิล บุตรชาย หรือ พ่อของน้องพลับ ที่มารับตำแหน่งแทน จึงตัดสินใจสั่งให้สร้างโรงพยาบาล Hyang San แห่งนี้ ที่อยู่ไม่ห่างจาก Hyang San Villa ของบ้านตระกูลคิมมากนัก หากเกิดเหตุฉุกเฉิน จะได้พากันเข้าโรงพยาบาลได้ทัน

    แต่ดูเหมือนว่า "โรคหัวใจ" จะเป็นโรคประจำตัวของบ้านตระกูลคิมจริงๆ เพราะหลังจากที่รุ่นปู่คิมเสียชีวิต ต่อมา คิม จอง-อิล ผู้พ่อ ก็มาเสียชีวิตอย่างกะทันหันด้วยโรคหัวใจเช่นกัน ในเดือนธันวาคม ปี 2011 ขณะเดินทางด้วยรถไฟประจำตำแหน่ง

    ส่วนน้องพลับของเรานั้น ก็เริ่มมีอาการของโรคหัวใจมาตั้งแต่ปี 2014 แล้ว ดังนั้นทางเกาหลีเหนือจึงปรับให้โรงพยาบาล Hyang San เป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางด้านโรคหัวใจ ไว้รักษาคนในบ้านตระกูลคิมโดยเฉพาะ

    ที่ตระกูลคิม เลือก โรงพยาบาล Hyang San เพราะความที่มันลับตาผู้คนนี่แหล่ะ จะได้พ้นหู พ้นตาการสอบแนมข้อมูลจากสายข่าวนอกประเทศ และไม่สะดุดตาคนนอกจนเกินไปถ้าผู้นำคิมจะ เดินเข้า-ออก จากโรงพยาบาลในช่วงเวลาใดก็ตาม

    ถึงจะห่างไกลเมืองกรุง แต่ก็เป็นโรงพยาบาลที่มีอุปกรณ์ทันสมัยมากๆ ใช้เครื่องมือแพทย์ระดับสุดยอดที่นำเข้าจากเยอรมัน และญี่ปุ่น และมีคุณหมอมือดีที่สุดระดับประเทศมาทำการรักษา

    นอกจากอุปกรณ์จะครบครันแล้ว ทีมแพทย์ที่ประจำในโรงพยาบาล Hyang San ล้วนเป็นคุณหมอที่จบมาจากเยอรมัน ที่ศึกษาเฉพาะทางด้านโรคหัวใจ และระบบทางเดินหายใจโดยเฉพาะ

    ถึงจะมีทีมแพทย์ชั้นเยี่ยมใน Hyang San อยู่แล้ว แต่คุณหมอที่ทำการผ่าตัดให้แก่ผู้นำคิม ทาง Daily NK รายงานว่า ดึงคุณหมอพิเศษมาจาก Kim Man Yoo Hospital ในกรุงเปียงยาง

    คุณหมอปริศนาท่านนี้ ไม่มีรายละเอียดชื่อเสียงเรียงนาม แต่มีรายงานว่า เป็นคุณหมอประจำตัวให้กับน้องพลับมาได้สักพักแล้ว เป็นมือหนึ่งด้านระบบหลอดเลือดหัวใจ ที่เคยไปฝึกงานในเยอรมันมาแล้ว และรู้สึกว่าน้องพลับจะสนิทกับคุณหมอท่านนี้มาก เวลาคุณหมอจะเดินทางไปไหน จะมีทีมบอดี้การ์ดส่วนตัวติดตามตลอด และต้องพร้อมเสมอ หากมีการเรียกตัวฉุกเฉินเพื่อดูอาการของผู้นำเกาหลีเหนือ

    ถ้าจัดเต็มถึงขนาดนี้ น้องพลับของเราก็น่าจะรอดอยู่ แค่พักฟื้นสักระยะ เดี๋ยวอีกเดือนกว่าๆ ก็น่าจะได้เห็นน้องพลับออกมาสั่งทดลองยิงขีปนาวุธได้อีกนะคะ

    แหล่งข้อมูล

    https://www.dailynk.com/english/hyangsan-hospital-kim-jong-un-heart-care-center/
    https://www.dailynk.com/english/source-kim-jong-un-recently-received-heart-surgery/
    http://english.hani.co.kr/arti/english_edition/e_northkorea/941583.html

     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เหตุการณ์ Double Black Swan ที่เกิดจากไวรัสโควิดที่ระบาดไปทั่วโลกและสงครามราคาน้ำมัน ที่เกิดขึ้นอย่างไม่มีใครคาดคิด ไม่เคยอยู่บนตำราของเทรดเดอร์คนไหนทั้งสิ้นนั้น ไม่ได้แค่เพียงกดดันให้ราคาน้ำมันของโลกที่ดิ่งลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ (หรือเป็นลบในบางที่) และไม่ได้แค่สร้างความเสียหายให้กับแค่บริษัทขุดเจาะน้ำมันในตะวันตกนะครับ แต่...

    การเข้าเก็งกำไรกับตลาดในช่วงเวลาที่เราไม่เคยพอเจอมาก่อน #UnprecedentedTime นั้นกำลังทำให้ บริษัทค้าน้ำมันอันดับหนึ่งของสิงคโปร์ Hin Leong Trading ที่อยู่มากว่า 60 ปีนั้นกำลังจะล่มสลายไปในช่วงไม่กี่เดือน...

    หลายๆท่านอาจจะได้ยินเรื่องราวของ Hin Leong แล้วเพราะว่าเป็นข่าวใหญ่มาซักพักนึงแล้ว แต่ทางเรายังไม่เคยมีโอกาสได้มาอัพเดท ทางเราจึงอยากจะเล่าคร่าวๆว่า

    1️⃣ บทเรียนในครั้งนี้คือบริษัท Trading ทุกบริษัท ไม่ว่าคุณจะเทรดแค่อนุพันธ์หรือเทรดสินค้าจริงๆ หากไม่มีระบบควบคุมความเสี่ยงที่ดีนั้น ไม่ว่าพอร์ตจะใหญ่หรือทำมาได้ดีมานานแค่ไหน.. อะไรๆก็เกิดขึ้นได้เสมอ

    2️⃣ การเทรดหรือเก็งกำไรในช่วงที่ตลาดไม่เคยพบเจอมาก่อนนั้นไม่ควรทำในปริมาณที่มากเกินไป ไม่ว่าคุณจะมั่นใจแค่ไหนกับข้อมูล #เพราะสิ่งที่ไม่เคยพบเจอมาก่อนอาจจะสร้างอีกหลายๆเหตุการณ์ที่เราไม่เคยพบเจอตามมา (เช่นครั้งนี้ไวรัสโควิดก่อให้เกิดสงครามราคาที่ไม่คาดคิด และสงครามนี้ทำให้ถังน้ำมันโลกจะเต็ม) ทำให้ข้อมูลที่เราเคยชินนั้นอาจไม่เป็นจริงอีกต่อไป

    3️⃣ ปัญหาครั้งนี้ไม่ใช่ปัญหาของตลาดน้ำมัน การล้มของ Hin Leong จะไม่ได้กระทบกับราคาน้ำมันโลกโดยรวมแต่จะเป็น #ปัญหาทางการเงินมากกว่า การผิดชำระหนี้จะเกิดขึ้นแน่ๆ

    4️⃣ ต้องติดตามดูว่าผลกระทบเรื่องหนี้นั้นจะกระทบธนาคารไหนและบริษัทคู่ค้าน้ำมันไหนบ้าง ? เหตุการณ์นี้ไม่น่าจะทำให้เป็นปัญหาหนี้ระดับภูมิภาค มีแค่ภายในสิงคโปร์เองจะมีหลายๆบริษัทโดนกระทบแน่ๆ แต่ไม่ควรจะส่งผลกระทบมาถึงไทย

    5️⃣ Hin Leong นั้นมีสินทรัพย์มากมายในตลาดน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลกของเอเชียอย่างสิงคโปร์ โดยหาก Hin Leong จะล้มคงต้องมีการขายสินทรัพย์ออกมาครั้งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นท่าเรือน้ำมันหรือถังน้ำมันในสิงคโปร์นั้นต่างเป็นที่ตองการของบริษัทน้ำมันอื่นๆในภูมิภาค ต้องจับตามองว่า #ใครจะได้เป็นผู้เข้ามาครอบครองสินทรัพย์ เหล่านี้

    6️⃣ ตลาดน้ำมันจะมีโอกาสทางธุรกิจที่เปิดกว้างขึ้นให้อีกหลายบริษัทใหญ่ๆ (เพราะ Hin Leong มี Market Share สูง) ส่วนบริษัทเล็กๆอาจจะทำการค้าได้ยากขึ้นเนื่องจากปัญหาเครดิตในตลาดจะเริ่มเคร่งครัดขึ้น

    ทางด้านเรื่องราวของการล่มสลายของบริษัทน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกนี้ ทางเราได้เห็นบทความจาก Post Today (โพสต์ทูเดย์) จึงนำมาแชร์ให้ทุกคนที่ยังไม่ทราบได้อ่านกันครับ

    1. Hin Leong เป็นบริษัทค้าน้ำมันที่ทรงอิทธิพลที่สุดแห่งหนึ่งในโลกแต่เรารู้เรื่องภายในของบริษัทแห่งนี้น้อยมาก ก่อตั้งขึ้นในปี 2506 โดยผู้อพยพชาวจีนในสิงคโปร์ชื่อว่า OK Lim หรือ Lim Oon Kuin ที่ต่อมาร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี บริษัทนี้คือยักษ์ใหญ่ระดับโลกในด้านการขนส่งเชื้อเพลิงโดยมีฐานบัญชาการอยู่ในสิงคโปร์

    2. ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา Hin Leong (ออกเสียงแบบภาษาจีนกลางว่า ซิงหลง) กลายเป็นหนึ่งในบริษัทค้าน้ำมันที่น่าเชื่อถือที่สุด มีรายได้หลายพันล้านเหรียญสหรัฐ ขึ้นชื่อในเรื่องเหลี่ยมการต่อรองระดับเซียนที่ทำให้คู่เจรจาถึงกับเหงื่อตก

    3. เพราะบริษัทนี้เก็บความลับทางธุรกิจเอาไว้อย่างดีทำให้ยิ่งใหญ่มานาน แต่ความลับไม่มีในโลก เมื่อจู่ๆ ตลาดน้ำมันเจอมรสุมหลายลูกติดๆ กัน รากฐานของบริษัทก็เริ่มสั่นคลอน

    4. ธนาคารต่างๆ เริ่มถามหาเงินที่กู้ไป เพราะบริษัทอื่นๆ เริ่มเจ๊งกันทีละรายๆ จนเกิดหนี้เสีย และแบงก์เหล่านี้เริ่มได้รู้สึกทะแม่งๆ กับ Hin Leong ว่าอาจจะเข้าตาจนเหมือนรายอื่นๆ

    5. ยักษ์ใหญ่ของการเงินระดับโลกหลายแห่งเริ่มร่อนจดหมายถึง Hin Leong เมื่อต้นเดือนเมษายน หนึ่งในนั้นคือ JPMorgan Chase & Coไปจนถึง HSBC เรียกร้องให้มีการชำระคืนเงินกู้เร่งด่วนทันทีหลายร้อยล้านเหรียญสหรัฐ

    6. ปรากฎว่า Hin Leong ทนแรงกดดันได้ระยะหนึ่งแต่ก็ไม่นาน เมื่อแบงก์ต่างๆ ทวงหนักมากขึ้นแต่คว้าน้ำเหลวพวกเขาจึงจ้างทนายมาเร่งรัด เท่านั้นเองความจริงจึงได้กระจ่างออกมา และอาจเป็นครั้งแรกที่บริษัทที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ มาตลอดยอมเปิดเผยความจริง

    7. ในที่สุด OK Lim ก็ยอมรับว่าเขาซ่อนตัวเลขขาดทุนถึง 800 ล้านเหรียญสหรัฐเพราะเก็งกำไรพลาดในตลาดในตลาดน้ำมันฟิวเจอร์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และขอให้ศาลคุ้มครองทรัพย์สิน หรือพูดง่ายๆ คือล้มละลายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

    8. สาเหตุของการเก็งกำไรผิด มาจาก Hin Leong ไม่ได้เก็งว่าราคาจะตกต่อเนื่อง แต่เดิมพันในทางตรงกันข้ามโดยเชื่อว่าจีนจะควบคุมไวรัสได้และความต้องการน้ำมันจะฟื้นตัวจากการตกต่ำในเวลาอันสั้น เป็นการเดิมพันที่สวนทางกับคนส่วนใหญ่ แต่เป็นแนวทางของบริษัทนี้ที่มักจะเก็งกำไรแบบดุดัน

    9. ปรากฎว่า Hin Leong เก็งถูกว่าจีนจะควบคุมไวรัสได้และดีมานด์น้ำมันในจีนกระเตื้องขึ้นในเดือนมีนาคม แต่คาดไม่ถึงว่าโควิด-19 จะลามออกนอกจีนไประบาดทั่วโลกโดยเฉพาะในโลกตะวันตกที่เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก เมื่อโลกหยุดความต้องการน้ำมันก็หยุด

    10. นี่คือสาเหตุที่เงินในบริษัทหมดเกลี้ยง แต่ข่าวร้ายยังไม่จบแค่นั้น OK Lim บอกว่าเขาได้ขายน้ำมันในคลังของบริษัทหลายล้านบาร์เรลอย่างลับๆ ซึ่งเป็นน้ำมันที่จำนองไว้เป็นหลักประกันการกู้ยืมเงิน ทำให้ช่องว่างระหว่างสินทรัพย์ของบริษัทและหนี้สินอยู่ที่ราว 3,340 ล้านเหรียญสหรัฐ

    11. ตอนนี้ Hin Leong มีหนี้จำนวน 3,850 ล้านเหรียญสหรัฐ มีเจ้าหนี้ 23 รายรวมถึง HSBC, Societe Generale SA, Standard Chartered Plc และ Deutsche Bank AG โดย HSBC เป็นเจ้าของหนี้ก้อนใหญ่ที่สุดที่ประมาณ 600 ล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่ผู้ให้กู้ที่ใหญ่ที่สุดของสิงคโปร์ 3 ราย เป็นเจ้าของหนี้รวมกัน 500 ล้านเหรียญสหรัฐหรือราว ๆ นั้น

    12. สำนักงานตำรวจของสิงคโปร์กำลังสืบสวนเรื่องนี้ ในขณะที่หน่วยงานด้านการเงินของสิงคโปร์ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลด้านการเงินและทำหน้าที่ธนาคารกลางได้ติดต่อกับธนาคารที่เป็นเจ้าหนี้ของ Hin Leong แล้ว แต่ความเสียหายได้เกิดขึ้นแล้ว ไม่ใช่กับแค่ Hin Leong แต่กับสิงคโปร์ทั้งประเทศ

    13. การล่มสลายของ Hin Leong มีผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อตลาดน้ำมันโลกและสิงคโปร์ เพราะสิงคโปร์เป็นศูนย์กลางการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใหญ่ที่สุดในโลก บริษัทนี้ยังซัพพลายเออร์รายใหญ่อันดับ 3 ของประเทศจากการสำรวจเมื่อปีที่แล้ว

    14. Jean-Francois Lambert ที่ปรึกษาด้านอุตสาหกรรมสินค้าโภคภัณฑ์และอดีตนายธนาคารการเงินการค้าของ HSBC กล่าวว่า “ Hin Leong เป็นกลไกสำคัญในการช่วยส่งเสริมสิงคโปร์ในฐานะศูนย์กลางการค้าน้ำมันและศูนย์กลางขนถ่ายน้ำมัน”

    15. คำถามก็คือการล่มสลายของยักษ์น้ำมันรายนี้จะสั่นคลอนสิงคโปร์ขนาดไหน? สิงคโปร์มีฉายาว่า "ศูนย์กลางน้ำมันของเอเชียที่ไร้เทียมทาน" (the undisputed oil hub in Asia) มีซัพพลายมากพอที่จะรองรับวิกฤตได้ แต่สิงคโปร์อาจจะลืมนึกไปว่าวิกฤตครั้งนี้ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ขาดน้ำมัน แต่น้ำมันล้นเกินจนไม่มีที่เก็บและราคาลดลงเรื่อยๆ

    16. ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานกับ The New York Times ว่าคลังน้ำมันทั่วทั้งโลกมีความจุประมาณ 6,800 ล้านบาร์เรล และตอนนี้จุน้ำมันไปแล้วเกือบ 60 เปอร์เซ็นต์ แต่ไม่ได้หมายความว่าศักยภาพการเก็บน้ำมันจะเท่ากันทุกประเทศ ตอนนี้พื้นที่จัดเก็บเกือบเต็มแล้วในประเทศกลุ่มแคริบเบียนและแอฟริกาใต้ และแองโกลา บราซิล และไนจีเรียจะเต็มภายในไม่กี่วัน

    17. เรื่องคลังเก็บน้ำมันในสิงคโปร์ตอนนี้มีการระดมเรือบรรทุกน้ำมันขนาดใหญ่มาเก็บน้ำมันไว้ที่นอกชายฝั่ง แต่ปัญหาที่ใหญ่พอกันคือ ยังมีบริษัทน้ำนักยักษ์ใหญ่ที่เก็งกำไรผิดพลาดแล้วซุกปัญหาไว้ใต้พรมหรือเปล่า?

    เพราะหากยักษ์เหล่านี้ล้มขึ้นมาจริง สิงคโปร์จะเจอวิกฤตสองเด้งคือโควิด-19 ที่จู่ๆ ก็ระบาดหนักที่สุดในอาเซียนและการซวนเซของธุรกิจหลักของประเทศ

    Credit: Post Today (โพสต์ทูเดย์)

     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เหตุการณ์ Double Black Swan ที่เกิดจากไวรัสโควิดที่ระบาดไปทั่วโลกและสงครามราคาน้ำมัน ที่เกิดขึ้นอย่างไม่มีใครคาดคิด ไม่เคยอยู่บนตำราของเทรดเดอร์คนไหนทั้งสิ้นนั้น ไม่ได้แค่เพียงกดดันให้ราคาน้ำมันของโลกที่ดิ่งลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ (หรือเป็นลบในบางที่) และไม่ได้แค่สร้างความเสียหายให้กับแค่บริษัทขุดเจาะน้ำมันในตะวันตกนะครับ แต่...

    การเข้าเก็งกำไรกับตลาดในช่วงเวลาที่เราไม่เคยพอเจอมาก่อน #UnprecedentedTime นั้นกำลังทำให้ บริษัทค้าน้ำมันอันดับหนึ่งของสิงคโปร์ Hin Leong Trading ที่อยู่มากว่า 60 ปีนั้นกำลังจะล่มสลายไปในช่วงไม่กี่เดือน...

    หลายๆท่านอาจจะได้ยินเรื่องราวของ Hin Leong แล้วเพราะว่าเป็นข่าวใหญ่มาซักพักนึงแล้ว แต่ทางเรายังไม่เคยมีโอกาสได้มาอัพเดท ทางเราจึงอยากจะเล่าคร่าวๆว่า

    1️⃣ บทเรียนในครั้งนี้คือบริษัท Trading ทุกบริษัท ไม่ว่าคุณจะเทรดแค่อนุพันธ์หรือเทรดสินค้าจริงๆ หากไม่มีระบบควบคุมความเสี่ยงที่ดีนั้น ไม่ว่าพอร์ตจะใหญ่หรือทำมาได้ดีมานานแค่ไหน.. อะไรๆก็เกิดขึ้นได้เสมอ

    2️⃣ การเทรดหรือเก็งกำไรในช่วงที่ตลาดไม่เคยพบเจอมาก่อนนั้นไม่ควรทำในปริมาณที่มากเกินไป ไม่ว่าคุณจะมั่นใจแค่ไหนกับข้อมูล #เพราะสิ่งที่ไม่เคยพบเจอมาก่อนอาจจะสร้างอีกหลายๆเหตุการณ์ที่เราไม่เคยพบเจอตามมา (เช่นครั้งนี้ไวรัสโควิดก่อให้เกิดสงครามราคาที่ไม่คาดคิด และสงครามนี้ทำให้ถังน้ำมันโลกจะเต็ม) ทำให้ข้อมูลที่เราเคยชินนั้นอาจไม่เป็นจริงอีกต่อไป

    3️⃣ ปัญหาครั้งนี้ไม่ใช่ปัญหาของตลาดน้ำมัน การล้มของ Hin Leong จะไม่ได้กระทบกับราคาน้ำมันโลกโดยรวมแต่จะเป็น #ปัญหาทางการเงินมากกว่า การผิดชำระหนี้จะเกิดขึ้นแน่ๆ

    4️⃣ ต้องติดตามดูว่าผลกระทบเรื่องหนี้นั้นจะกระทบธนาคารไหนและบริษัทคู่ค้าน้ำมันไหนบ้าง ? เหตุการณ์นี้ไม่น่าจะทำให้เป็นปัญหาหนี้ระดับภูมิภาค มีแค่ภายในสิงคโปร์เองจะมีหลายๆบริษัทโดนกระทบแน่ๆ แต่ไม่ควรจะส่งผลกระทบมาถึงไทย

    5️⃣ Hin Leong นั้นมีสินทรัพย์มากมายในตลาดน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลกของเอเชียอย่างสิงคโปร์ โดยหาก Hin Leong จะล้มคงต้องมีการขายสินทรัพย์ออกมาครั้งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นท่าเรือน้ำมันหรือถังน้ำมันในสิงคโปร์นั้นต่างเป็นที่ตองการของบริษัทน้ำมันอื่นๆในภูมิภาค ต้องจับตามองว่า #ใครจะได้เป็นผู้เข้ามาครอบครองสินทรัพย์ เหล่านี้

    6️⃣ ตลาดน้ำมันจะมีโอกาสทางธุรกิจที่เปิดกว้างขึ้นให้อีกหลายบริษัทใหญ่ๆ (เพราะ Hin Leong มี Market Share สูง) ส่วนบริษัทเล็กๆอาจจะทำการค้าได้ยากขึ้นเนื่องจากปัญหาเครดิตในตลาดจะเริ่มเคร่งครัดขึ้น

    ทางด้านเรื่องราวของการล่มสลายของบริษัทน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกนี้ ทางเราได้เห็นบทความจาก Post Today (โพสต์ทูเดย์) จึงนำมาแชร์ให้ทุกคนที่ยังไม่ทราบได้อ่านกันครับ

    1. Hin Leong เป็นบริษัทค้าน้ำมันที่ทรงอิทธิพลที่สุดแห่งหนึ่งในโลกแต่เรารู้เรื่องภายในของบริษัทแห่งนี้น้อยมาก ก่อตั้งขึ้นในปี 2506 โดยผู้อพยพชาวจีนในสิงคโปร์ชื่อว่า OK Lim หรือ Lim Oon Kuin ที่ต่อมาร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี บริษัทนี้คือยักษ์ใหญ่ระดับโลกในด้านการขนส่งเชื้อเพลิงโดยมีฐานบัญชาการอยู่ในสิงคโปร์

    2. ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา Hin Leong (ออกเสียงแบบภาษาจีนกลางว่า ซิงหลง) กลายเป็นหนึ่งในบริษัทค้าน้ำมันที่น่าเชื่อถือที่สุด มีรายได้หลายพันล้านเหรียญสหรัฐ ขึ้นชื่อในเรื่องเหลี่ยมการต่อรองระดับเซียนที่ทำให้คู่เจรจาถึงกับเหงื่อตก

    3. เพราะบริษัทนี้เก็บความลับทางธุรกิจเอาไว้อย่างดีทำให้ยิ่งใหญ่มานาน แต่ความลับไม่มีในโลก เมื่อจู่ๆ ตลาดน้ำมันเจอมรสุมหลายลูกติดๆ กัน รากฐานของบริษัทก็เริ่มสั่นคลอน

    4. ธนาคารต่างๆ เริ่มถามหาเงินที่กู้ไป เพราะบริษัทอื่นๆ เริ่มเจ๊งกันทีละรายๆ จนเกิดหนี้เสีย และแบงก์เหล่านี้เริ่มได้รู้สึกทะแม่งๆ กับ Hin Leong ว่าอาจจะเข้าตาจนเหมือนรายอื่นๆ

    5. ยักษ์ใหญ่ของการเงินระดับโลกหลายแห่งเริ่มร่อนจดหมายถึง Hin Leong เมื่อต้นเดือนเมษายน หนึ่งในนั้นคือ JPMorgan Chase & Coไปจนถึง HSBC เรียกร้องให้มีการชำระคืนเงินกู้เร่งด่วนทันทีหลายร้อยล้านเหรียญสหรัฐ

    6. ปรากฎว่า Hin Leong ทนแรงกดดันได้ระยะหนึ่งแต่ก็ไม่นาน เมื่อแบงก์ต่างๆ ทวงหนักมากขึ้นแต่คว้าน้ำเหลวพวกเขาจึงจ้างทนายมาเร่งรัด เท่านั้นเองความจริงจึงได้กระจ่างออกมา และอาจเป็นครั้งแรกที่บริษัทที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ มาตลอดยอมเปิดเผยความจริง

    7. ในที่สุด OK Lim ก็ยอมรับว่าเขาซ่อนตัวเลขขาดทุนถึง 800 ล้านเหรียญสหรัฐเพราะเก็งกำไรพลาดในตลาดในตลาดน้ำมันฟิวเจอร์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และขอให้ศาลคุ้มครองทรัพย์สิน หรือพูดง่ายๆ คือล้มละลายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

    8. สาเหตุของการเก็งกำไรผิด มาจาก Hin Leong ไม่ได้เก็งว่าราคาจะตกต่อเนื่อง แต่เดิมพันในทางตรงกันข้ามโดยเชื่อว่าจีนจะควบคุมไวรัสได้และความต้องการน้ำมันจะฟื้นตัวจากการตกต่ำในเวลาอันสั้น เป็นการเดิมพันที่สวนทางกับคนส่วนใหญ่ แต่เป็นแนวทางของบริษัทนี้ที่มักจะเก็งกำไรแบบดุดัน

    9. ปรากฎว่า Hin Leong เก็งถูกว่าจีนจะควบคุมไวรัสได้และดีมานด์น้ำมันในจีนกระเตื้องขึ้นในเดือนมีนาคม แต่คาดไม่ถึงว่าโควิด-19 จะลามออกนอกจีนไประบาดทั่วโลกโดยเฉพาะในโลกตะวันตกที่เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก เมื่อโลกหยุดความต้องการน้ำมันก็หยุด

    10. นี่คือสาเหตุที่เงินในบริษัทหมดเกลี้ยง แต่ข่าวร้ายยังไม่จบแค่นั้น OK Lim บอกว่าเขาได้ขายน้ำมันในคลังของบริษัทหลายล้านบาร์เรลอย่างลับๆ ซึ่งเป็นน้ำมันที่จำนองไว้เป็นหลักประกันการกู้ยืมเงิน ทำให้ช่องว่างระหว่างสินทรัพย์ของบริษัทและหนี้สินอยู่ที่ราว 3,340 ล้านเหรียญสหรัฐ

    11. ตอนนี้ Hin Leong มีหนี้จำนวน 3,850 ล้านเหรียญสหรัฐ มีเจ้าหนี้ 23 รายรวมถึง HSBC, Societe Generale SA, Standard Chartered Plc และ Deutsche Bank AG โดย HSBC เป็นเจ้าของหนี้ก้อนใหญ่ที่สุดที่ประมาณ 600 ล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่ผู้ให้กู้ที่ใหญ่ที่สุดของสิงคโปร์ 3 ราย เป็นเจ้าของหนี้รวมกัน 500 ล้านเหรียญสหรัฐหรือราว ๆ นั้น

    12. สำนักงานตำรวจของสิงคโปร์กำลังสืบสวนเรื่องนี้ ในขณะที่หน่วยงานด้านการเงินของสิงคโปร์ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลด้านการเงินและทำหน้าที่ธนาคารกลางได้ติดต่อกับธนาคารที่เป็นเจ้าหนี้ของ Hin Leong แล้ว แต่ความเสียหายได้เกิดขึ้นแล้ว ไม่ใช่กับแค่ Hin Leong แต่กับสิงคโปร์ทั้งประเทศ

    13. การล่มสลายของ Hin Leong มีผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อตลาดน้ำมันโลกและสิงคโปร์ เพราะสิงคโปร์เป็นศูนย์กลางการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใหญ่ที่สุดในโลก บริษัทนี้ยังซัพพลายเออร์รายใหญ่อันดับ 3 ของประเทศจากการสำรวจเมื่อปีที่แล้ว

    14. Jean-Francois Lambert ที่ปรึกษาด้านอุตสาหกรรมสินค้าโภคภัณฑ์และอดีตนายธนาคารการเงินการค้าของ HSBC กล่าวว่า “ Hin Leong เป็นกลไกสำคัญในการช่วยส่งเสริมสิงคโปร์ในฐานะศูนย์กลางการค้าน้ำมันและศูนย์กลางขนถ่ายน้ำมัน”

    15. คำถามก็คือการล่มสลายของยักษ์น้ำมันรายนี้จะสั่นคลอนสิงคโปร์ขนาดไหน? สิงคโปร์มีฉายาว่า "ศูนย์กลางน้ำมันของเอเชียที่ไร้เทียมทาน" (the undisputed oil hub in Asia) มีซัพพลายมากพอที่จะรองรับวิกฤตได้ แต่สิงคโปร์อาจจะลืมนึกไปว่าวิกฤตครั้งนี้ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ขาดน้ำมัน แต่น้ำมันล้นเกินจนไม่มีที่เก็บและราคาลดลงเรื่อยๆ

    16. ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานกับ The New York Times ว่าคลังน้ำมันทั่วทั้งโลกมีความจุประมาณ 6,800 ล้านบาร์เรล และตอนนี้จุน้ำมันไปแล้วเกือบ 60 เปอร์เซ็นต์ แต่ไม่ได้หมายความว่าศักยภาพการเก็บน้ำมันจะเท่ากันทุกประเทศ ตอนนี้พื้นที่จัดเก็บเกือบเต็มแล้วในประเทศกลุ่มแคริบเบียนและแอฟริกาใต้ และแองโกลา บราซิล และไนจีเรียจะเต็มภายในไม่กี่วัน

    17. เรื่องคลังเก็บน้ำมันในสิงคโปร์ตอนนี้มีการระดมเรือบรรทุกน้ำมันขนาดใหญ่มาเก็บน้ำมันไว้ที่นอกชายฝั่ง แต่ปัญหาที่ใหญ่พอกันคือ ยังมีบริษัทน้ำนักยักษ์ใหญ่ที่เก็งกำไรผิดพลาดแล้วซุกปัญหาไว้ใต้พรมหรือเปล่า?

    เพราะหากยักษ์เหล่านี้ล้มขึ้นมาจริง สิงคโปร์จะเจอวิกฤตสองเด้งคือโควิด-19 ที่จู่ๆ ก็ระบาดหนักที่สุดในอาเซียนและการซวนเซของธุรกิจหลักของประเทศ

    Credit: Post Today (โพสต์ทูเดย์)

     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    มีผลแล้ว! ชะลอชำระหนี้ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด 19

    เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การชะลอการชำระหนี้แก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการชะลอหนี้เพื่อให้เป็นไปตามพระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563

    มีสาะสำคัญโดยสรุปดังนี้ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการชะลอการชำระหนี้ให้สถาบันการเงินชะลอการชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยของผู้ประกอบวิสาหกิจเป็นระยะเวลาหกเดือนนับแต่วันถัดจากวันที่ลงในประกาศนี้ โดยไม่ต้องมีข้อตกลงหรือทำสัญญาใดๆ กับผู้ประกอบวิสาหกิจ ทั้งนี้ สถาบันการเงินยังคงคิดดอกเบี้ยตลอดระยะเวลาที่ชะลอการชำระหนี้ก็ได้

    การชะลอการชำระหนี้ดังกล่าว ไม่กระทบสิทธิของสถาบันการเงินในการใช้สิทธิเรียกร้องในทางคดีกับผู้ประกอบวิสาหกิจรายที่เลิกกิจการ หรือรายที่มีพฤติการณ์ทุจริตเพื่อให้ได้เงินสินเชื่อจากสถาบันการเงิน

    ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับการชะลอการชำระหนี้ ต้องมีลักษณะดังต่อไปนี้

    -เป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลที่จดทะเบียนในประเทศไทย ซึ่งมีสถานประกอบการและประกอบธุรกิจในประเทศไทย

    -มีวงเงินสินเชื่อรวมทั้งกลุ่มธุรกิจของผู้ประกอบวิสาหกิจที่มีกับสถาบันการเงินแต่ละแห่งไม่เกิน 100 ล้านบาท ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 แต่ไม่รวมถึงวงเงินตามภาระผูกพัน วงเงินสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ วงเงินสินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพภายใต้การกำกับ และวงเงินสินเชื่อบัตรเครดิต

    -ไม่เป็นลูกหนี้ที่ถูกจัดชั้นเป็นสินทรัพย์จัดชั้นต่ำกว่ามาตรฐาน สินทรัพย์จัดชั้นสงสัย สินทรัพย์จัดชั้นสงสัยจะสูญ สินทรัพย์จัดชั้นสูญ ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยว่าด้วยหลักเกณฑ์การจัดชั้นและการกันเงินสำรอง ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562

    อ่านฉบับเต็ม

    The post มีผลแล้ว! ชะลอชำระหนี้ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด 19 appeared first on SpringNews.

    Source : #Springnews #สปริงนิวส์

     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    'เวียดนาม' ยกเลิกมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมเฉพาะใน 'เมืองฮานอย' และ 'นครโฮจิมินห์'

    Covid-19 Reprieve : Hanoi , HCMC to End Social Distancing With Variation

    • นายกรัฐมนตรี 'เหวียน ซวน ฟุก' (Nguyen Xuan Phuc) ของเวียดนามอนุญาตให้กรุงฮานอย และนครโฮจิมินห์ 'ยกเลิกมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม' หรือ Social Distancing หรือ Physical Distancing ตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน ค.ศ. 2020

    • หลังจากบังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 2020 เฉพาะที่นครโฮจิมินห์ อนุญาตให้ร้านค้า ธุรกิจริมทาง และการบริการที่ไม่จำเป็นเริ่มประกอบกิจการได้ 'แต่คงงดเว้นกิจกรรมทางสังคมและการรวมกลุ่มกัน'...รวมทั้งต้องเว้นระยะห่างระหว่างกันในที่สาธารณะอย่างน้อย 2 เมตร

    • ส่วน 'เมืองฮานอย' ซึ่งยังเป็นพื้นที่เสี่ยงอนุญาตให้ธุรกิจบางประเภทดำเนินกิจการได้ ยกเว้นในเขต Thuong Tin และเขต Me Linh

    • ทั้งนี้แม้เวียดนามไม่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ในห้วง 6 วัน ที่ผ่านมา แต่นายกรัฐมนตรีเวียดนามเห็นว่า 'ประชาชนยังคงต้องเฝ้าระวัง และการควบคุมการแพร่ระบาดยังเป็นสิ่งจำเป็น'

    • บรรณานุกรม :

    Credit : https://e.vnexpress.net/news/news/c...ocial-distancing-with-variations-4088598.html

     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    กองทัพเมียนมาเปิดปฏิบัติการกวาดล้างชนกลุ่มน้อย

    Four People Killed in Fresh Fighting in Myanmar’s Chin State

    • กองทัพเมียนมาปะทะกับ 'กองกำลังชนกลุ่มน้อยกองทัพอาระกัน' หรือ Arakan Army (AA) บริเวณชายฝั่งด้านตะวันตกของแม่น้ำกาลาดัน เมือง Paletwa ในรัฐชิน ทำให้มีประชาชนในพื้นที่เสียชีวิต 4 ราย

    • โดย 3 รายแรกเสียชีวิตจากระเบิดที่ตกลงบริเวณใกลกับที่พัก ส่วนอีก 1 ราย เป็นสตรีที่เสียชีวิตจากเหตุปะทะกันบริเวณชานเมือง

    • ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคม ถึง 15 เมษายน ค.ศ. 2020 เหตุปะทะระหว่างกองทัพเมียนมากับกองทัพอาระกันส่งผลให้ประชาชนในพื้นที่เสียชีวิตแล้ว 29 ราย และบาดเจ็บ 40 ราย

    • บรรณานุกรม :

    Credit : https://www.mmtimes.com/news/four-people-killed-fresh-fighting-myanmars-chin-state.html

     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    วิกฤตเศรษฐกิจ ภัยพิบัติ และความอดอยาก

    เคยมีช่วงเวลาที่คำคุณศัพท์เช่น "พระคัมภีร์" และ "ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน" มีอยู่ทั่วไปในหัวข้อข่าวหรือไม่?

    เมื่อผลที่ตามมาของการระบาดใหญ่ของโรคคอโรนาไวรัส ทวีคูณดูเหมือนจะชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ว่าเราเห็นการล่มสลายของระบบที่พระคัมภีร์กล่าวว่าจะถูกแทนที่ด้วยชะตากรรมเป็นครั้งแรกโดยอาณาจักรต่อต้านสัตว์ร้าย และในที่สุดอาณาจักรแห่งพระเจ้า :

    “ ในสมัยของกษัตริย์เหล่านี้พระเจ้าแห่งสวรรค์จะทรงสถาปนาราชอาณาจักรหนึ่งซึ่งจะไม่ถูกทำลายและราชอาณาจักรจะไม่ถูกทิ้งให้อยู่กับคนอื่น แต่จะทำลายเป็นชิ้น ๆ และทำลายบรรดาอาณาจักรเหล่านี้ให้หมด ตลอดกาล” (แดน. 2:44)

    . . .
    https://www.cnn.com/2020/04/22/africa/coronavirus-famine-un-warning-intl/index.html

    หัวข้ออื่น ๆ :

    'ภัยคุกคามที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน': การระบาดของตั๊กแตนครั้งใหม่คุกคามประชากรนับล้านในแอฟริกาตะวันออก
    https://www.washingtonexaminer.com/...outbreak-threatens-millions-in-eastern-africa

    เศรษฐกิจยูโรโซนประสบกับการล่มสลาย
    https://news.yahoo.com/eurozone-economy-suffers-unprecedented-collapse-093032734--finance.html

    ราคาน้ำมันพุ่งต่ำกว่าศูนย์เป็นครั้งแรกใน "ทำลายประวัติการณ์"
    https://www.bloomberg.com/news/arti...year-low-on-global-demand-crunch-storage-woes

    'สถานการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน: แผนการเสียชีวิตเนื่องจากผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นจาก coronavirus
    https://fox6now.com/2020/04/04/unpr...es-plan-as-death-toll-rises-from-coronavirus/

    ธนาคารกลางทั่วโลกยอมรับ 'การผ่อนคลายเชิงปริมาณอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
    https://mises.org/wire/central-banks-around-world-embrace-unprecedented-quantitative-easing

    ฮอตสปอต Coronavirus บรรทุกผู้เสียชีวิตด้วยรถบรรทุกตู้เย็นในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน
    https://www.usatoday.com/story/news...repare-bodies-refrigerated-trucks/5131066002/

    เศรษฐกิจยุโรปบนเส้นทางสู่“ ภาวะถดถอย” ที่ไม่เคยมีมาก่อนเนื่องจากมาตรการการปิดกั้น Coronavirus
    https://time.com/5826084/european-economies-recession-coronavirus/

    การกระทำที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนของ Bank of Canada หมายความว่าอาจมีอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น
    https://www.clintonnewsrecord.com/o...head/wcm/e813199e-fb24-4846-ae65-d7cdad3a6257

    ระบบการว่างงานของรัฐถูกบดขยี้ภายใต้ 'ความต้องการเป็นประวัติการณ์'


    Economic crises, plagues, and famines.

    Has there ever been a time in which adjectives such as “biblical” and “unprecedented” have been so ubiquitous in the headlines?

    As the aftereffects of the Coronavirus pandemic multiply, it seems more and more obvious we’re seeing the collapse of a system the Bible says is destined to be replaced, first by the antichrist “beast” kingdom and, ultimately, by the Kingdom of Messiah:

    “In the days of these kings shall the God of heaven set up a kingdom, which shall never be destroyed: and the kingdom shall not be left to other people, but it shall break in pieces and consume all these kingdoms, and it shall stand for ever” (Dan. 2:44).

    . . .

    https://www.cnn.com/2020/04/22/africa/coronavirus-famine-un-warning-intl/index.html

    MORE HEADLINES:

    'Unprecedented threat': New locust outbreak threatens millions in eastern Africa
    https://www.washingtonexaminer.com/...outbreak-threatens-millions-in-eastern-africa

    Eurozone economy suffers 'unprecedented' collapse
    https://news.yahoo.com/eurozone-economy-suffers-unprecedented-collapse-093032734--finance.html

    Oil Plunges Below Zero for First Time in ‘Unprecedented’ Wipeout
    https://www.bloomberg.com/news/arti...year-low-on-global-demand-crunch-storage-woes

    ‘Unprecedented’ circumstances: Morgues plan as death toll rises from coronavirus
    https://fox6now.com/2020/04/04/unpr...es-plan-as-death-toll-rises-from-coronavirus/

    Central Banks around the World Embrace ‘Unprecedented’ Quantitative Easing
    https://mises.org/wire/central-banks-around-world-embrace-unprecedented-quantitative-easing

    Coronavirus hotspots brace for deaths with refrigerated trucks on an ‘unprecedented’ scale
    https://www.usatoday.com/story/news...repare-bodies-refrigerated-trucks/5131066002/

    European Economies on Course for ‘Unprecedented’ Recession Due to Coronavirus Lockdown Measures
    https://time.com/5826084/european-economies-recession-coronavirus/

    Bank of Canada’s ‘unprecedented’ actions mean there may be inflation ahead
    https://www.clintonnewsrecord.com/o...head/wcm/e813199e-fb24-4846-ae65-d7cdad3a6257

    State Unemployment Systems Crumple Under ‘Unprecedented’ Demand


     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    พายุร้อนถล่ม อีสาน-เหนือ พัดบ้านพังยับ ฟ้าผ่า-ดับอีก 1 มท.2 จี้เร่งช่วย (คลิป)
    พายุพัดถล่มเหนือและอีสาน ที่มุกดาหารสองแม่ลูกออกไปต้อนวัวกลางสายฝนเจอฟ้าผ่าเปรี้ยง แม่เคราะห์ร้าย
    Source : #ไทยรัฐ #ไทยรัฐทีวี #Thairath #ThairathOnline

     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ช่อง 29 เสาร์นี้ผมไม่พลาดแน่นอน ออกอากาศเอาใจแฟนหนังกำลังภายใน ในวันเสาร์ที่ 25 เม.ย. 2563 เวลา 18.00 น. ทางช่อง MONO29.

    อย่าพลาด หนังดีฟอร์มยักษ์
    จัดเต็มความสนุก ดุดัน มัน ฮา กับโปรแกรม “พรีเมียม บล็อกบัสเตอร์ ไทยแลนด์ พรีเมียร์ (Premium Blockbuster Thailand Premiere)” กับภาพยนตร์เรื่อง “อภินิหารตำนานมุกนาคี
    Source : #ไทยรัฐ #ไทยรัฐทีวี #Thairath #ThairathOnline

     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เช็กด่วน ตรวจสอบสถานะเราไม่ทิ้งกัน วันนี้โอนเงิน 5,000 บาท อีก 7 แสนคน
    อย่าลืมเช็กสิทธิ์ "เราไม่ทิ้งกัน" วันนี้คลังโอนเงินเยียวยา 5,000 บาท ให้ผู้ที่ได้รับสิทธิ์เพิ่มอีก 7 แสนคน มาจากขอ "ทบทวนสิทธิ์" 2 แสนคน และขอ "ข้อมูลเพิ่มเติม" อีก 5 แสนคน
    Source : #ไทยรัฐ #ไทยรัฐทีวี #Thairath #ThairathOnline

     
  14. hbrsjdat

    hbrsjdat สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 เมษายน 2020
    โพสต์:
    95
    ค่าพลัง:
    +46
    สิ่งที่ผมไม่เข้าใจคือ ทำไมรัฐบาลไทยต้องช่วยคนรวยด้วย พวกเจ้าสัวทั้งหลายเขาเป็น billionaire อยู่แล้วเขาไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินทองเลย กองทุน BSF นั่นแหละครับ รัฐบาลไทยมีวาระอะไรซ่อนเร้นหรืเปล่าก็ไม่อาจทราบได้ อาจจะกลัว Great Depression ก็เป็นไปได้นะ

    https://mgronline.com/daily/detail/9630000042181
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ต่ออายุ "พ.ร.ก.ฉุกเฉิน" สู้ศึกโควิด ครม.เคาะ 28 เมษายน
    “ทวีศิลป์” แจงฝ่าฝืนเคอร์ฟิวพุ่ง ตร.ปรับแผนแนวรุก ลดด่านแต่เข้าไปตรวจพื้นที่ชุมชน พบการกระทำผิดเพียบ
    Source : #ไทยรัฐ #ไทยรัฐทีวี #Thairath #ThairathOnline

    แนวโน้มยืด พ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อ
    เมื่อถามต่อว่า มีกระแสข่าวว่าวันที่ 1 พ.ค.จะปลดล็อก 32 จังหวัดก่อน นพ.ทวีศิลป์กล่าวว่า เห็นอินโฟกราฟิกว่า ออกมาจากกระทรวงสาธารณสุข แต่ถ้าจะบอกว่าออกมาจาก ศบค.ยังไม่ใช่ เพราะนายกฯยืนยันแล้วว่า ต้องให้ศึกษาชัดเจนผ่านที่ประชุม ศบค. และอนุมัติผ่านคณะรัฐมนตรี (ครม.) ขณะนี้ยังไม่มีประกาศชัดเจน แต่แนวโน้มต้องยืดระยะเวลาประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯออกไปแน่นอน แต่จะผ่อนปรนบ้าง หลักการทั้ง 2 ข้อต้องรอมติ ครม.ย้ำว่าแค่มีแนวโน้ม แต่ไม่ได้ลงรายละเอียดยังไม่ได้ตัดสินใจ ส่วนที่มีข้อเสนอก่อนหน้านี้จากทีมนักวิชาการและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต่างๆต้องเป็นรูปแบบที่จะเกิดขึ้น ต้องนำมาเสนอกัน

    มั่นคงเสนอต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
    ที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เป็นประธานประชุมหน่วยงานด้านความมั่นคงเพื่อประเมิน พ.ร.ก.การ บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และมาตรการข้อกำหนดต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาโควิด-19 ที่จะครบกำหนดวันที่ 30 เม.ย. หลังประชุม พล.อ.สมศักดิ์ กล่าวว่า ประชุมระดับเจ้าหน้าที่หน่วยงานด้านความมั่นคง ก่อนประชุม ศบค.วันที่ 27 เม.ย. เพื่อสรุปความจำเป็นว่าต้องต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินหรือไม่ หากที่ประชุม ศบค.เห็นว่า ควรต่ออายุ จะนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 28 เม.ย.พิจารณา ความเห็นเบื้องต้นจากหน่วยงานด้านความมั่นคงต่างเห็นว่า สถานการณ์ยังไม่เรียบร้อยเท่าที่ควร น่าจะขยายออกไปอีก แต่จะเป็นระยะเวลาเท่าใดขึ้นอยู่กับนายกฯตัดสินใจ จะหารือร่วมกับสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ในส่วนความพร้อมเพื่อเตรียมผ่อนปรนมาตรการต่อไป

    เล็งผ่อนปรนกิจกรรมประจำวัน
    พล.อ.สมศักดิ์กล่าวว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมประเมินสถานการณ์ดูว่า มีมาตรการใดผ่อนปรนได้บ้าง แต่จะมีความชัดเจนในที่ประชุม ศบค.วันที่ 27 เม.ย.เช่นกัน บ่ายวันที่ 23 เม.ย. สมช.เชิญภาคธุรกิจมาร่วมหารือเพื่อรับฟังความคิดเห็น ถ้าหากผ่อนปรนแล้วจะมีวิธีป้องกันอย่างไร เพราะต้องทำอย่างระมัดระวังและรอบคอบมากที่สุด กิจกรรมที่จะผ่อนปรนต้องเกี่ยวกับชีวิตประจำวัน

     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เจ้าหน้าที่สวีเดนเปิดเผยในวันพฤหัสบดี (23 เม.ย.) ว่ายอดผู้เสียชีวิตจากไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ในประเทศ พุ่งเกิน 2,000 ศพแล้ว พร้อมกับปรับแก้ถ้อยแถลงก่อนหน้านี้เมื่อครั้งที่บอกว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดในกรุงสตอกโฮล์มผ่านพ้นจุดสูงสุดไปแล้ว

    อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9630000042796
    ………………………………
    ● อีกช่องทางติดตาม NEWS1
    Line : http://nav.cx/4tvbDJ8
    Youtube : youtube.com/c/NEWS1VDO

     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    “บิ๊กตู่” เรียก”อนุทิน-ศักดิ์สยาม” พบ เพื่อประเมินสถานการณ์โควิด-19 ก่อนนำเข้าครม.พิจารณาเลิก-ไม่เลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน “ย้ำ”ผ่อนคลายมาตรการจะยึดสุขภาพความปลอดภัยประชาชนเป็นหลัก ควบคู่ปัญหาปากท้อง ขอบคุณ”คีรี กาญจนพาสน์”มอบกรมธรรม์ประกันชีวิตให้บุคลากรทางการแพทย์-อสม. บอกท่านเหนื่อย “นายกฯ”ก็เหนื่อยด้วย แต่ต้องมุ่งมั่นแก้ปัญหาให้ได้

    อ่านต่อ >https://news1live.com/detail/9630000042991
    ............................................
    ● อีกช่องทางติดตาม NEWS1
    Line : http://nav.cx/4tvbDJ8
    Youtube : youtube.com/c/NEWS1VDO

     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #UPDATE ยอดผู้ป่วยไวรัสโควิด-19 ในไทย วันที่ 24 เม.ย.2563 (ไม่มีผู้เสียชีวิต)
    .
    ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 15 ราย
    ยอดรวมผู้ติดเชื้อสะสม 2,854 ราย
    กำลังรักษาในโรงพยาบาล 314 ราย
    รักษาหาย-กลับบ้านแล้วรวม 2,490 ราย (+60)
    เสียชีวิตสะสม 50 (+0)
    .
    1).ผู้ป่วยรายใหม่ จากระบบเฝ้าระวัง ทั้งหมด 11 ราย แบ่งผู้ติดเชื้อเป็น 3 กลุ่ม คือ

    กลุ่ม 1 มีประวัติสัมผัสผู้ป่วยก่อนหน้านี้ 9 ราย
    .
    กลุ่ม 2 ผู้ป่วยกลุ่มอื่นๆ 2 ราย
    - ผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ 1 ราย
    - ไปสถานที่ชุมชน(ห้าง,ตลาดนัด) 1 ราย
    กลุ่ม 3 อยู่ระหว่างการสอบสวนโรค
    - ไม่มี
    .
    2). การค้นหาเชิงรุก (Active case finding)
    - 4 ราย (ยะลา)
    3). ผู้ป่วยที่เดินทางมาจากต่างประเทศ และเข้า State Quarantines
    - ไม่มี
    .
    สำหรับกรุงเทพมหานคร ยังมีผู้ป่วยสูงสุดคือ 1,613 คน โดยผู้ป่วยเฉลี่ยอายุ 39 ปี ผู้ป่วยเฉลี่ยอายุสูงสุด 97 ปี

     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ไฟฟ้าคือสาธารณูปโภค ทำไมต้องมุ่งแสวงกำไรเป็นสำคัญ

    บทความโดย สุรวิชช์ วีรวรรณ

    อาชีพพนักงานรัฐวิสาหกิจนั้นเป็นอาชีพที่หลายคนใฝ่ฝัน เพราะเป็นอาชีพที่ได้รับเงินเดือนแบบภาคเอกชนแต่มีสวัสดิการแบบข้าราชการของรัฐหรือดีกว่าด้วยซ้ำไป

    แต่ไม่กี่วันมานี้เราได้ยินเสียงโวยวายของประชาชนต่อ “ค่าไฟฟ้า” ที่เพิ่มขึ้นในภาวะที่รัฐบาลเรียกร้องให้ช่วยกันอยู่บ้านเพื่อหยุดเชื้อเพื่อชาติ แน่นอนว่าในภาวะปกตินั้นค่าไฟในเดือนมีนาคมและเมษายนก็สูงกว่าทุกปีอยู่แล้ว จนกระทั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานต้องเรียกประชุมแล้วมีมติลดค่าไฟลงมาให้ประชาชน

    จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่า รัฐวิสาหกิจที่เป็นเรื่องสาธารณูปโภคของประชาชนนั้นจำเป็นหรือไม่ที่ต้องมีกำไรที่มากจนเกินไป และจำเป็นหรือไม่รัฐวิสาหกิจที่มีการผูกขาดไม่มีการแข่งขันกับเอกชนจะได้รับโบนัสเป็นผลตอบแทนในอัตราก้าวหน้าจนทำให้มุ่งกำไรเป็นสำคัญ

    เรื่องนี้เริ่มจากคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2538 อนุมัติระบบแรงจูงใจที่สะท้อนระดับผลงาน กล่าวคือ ให้ค่าตอบแทนเพิ่มขึ้นเมื่อผลงานดี และให้ค่าตอบแทนลดลงเมื่อผลงานตกต่ำลง ซึ่งเป็นหลักการของระบบแรงจูงใจเช่นเดียวกับภาคเอกชน ตลอดจนได้ผ่อนคลายกฎระเบียบของกระทรวงการคลังเป็นการทั่วไปให้รัฐวิสาหกิจที่เข้าระบบประเมินผลฯ และผ่อนคลายกฎระเบียบเพิ่มเติมเมื่อมีผลงานในระดับ “ดีขึ้น” ขึ้นไป

    โดยการกำหนดระบบแรงจูงใจโดยแบ่งประเภทรัฐวิสาหกิจออกเป็น 4 ประเภท คือ

    ประเภทที่ 1 รัฐวิสาหกิจที่ต้องแข่งขันกับภาคเอกชนและได้รับการแปรรูปไปบางส่วน แล้วด้วยการกระจายหุ้นไปในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

    ประเภทที่ 2 รัฐวิสาหกิจประเภทผูกขาดโดยธรรมชาติ (Natural Monopoly) และมี เป้าหมายในการแปรรูปในระยะยาว

    ประเภทที่ 3 รัฐวิสาหกิจประเภทหารายได้
    3.1 รัฐวิสาหกิจกลุ่มที่มีการควบคุมราคาและบริการจนประสบผลขาดทุน
    3.2 รัฐวิสาหกิจที่ไม่เข้าหลักเกณฑ์ 3.1

    ประเภทที่ 4 รัฐวิสาหกิจประเภทส่งเสริมหรือประเภทที่ไม่แสวงหากำไร

    ในรัฐวิสาหกิจทั้ง 4 ประเภทนั้นผมติดใจ 2 รัฐวิสาหกิจประเภทผูกขาดโดยธรรมชาติ (Natural Monopoly) ว่า มีความจำเป็นหรือไม่ต้องจ่ายโบนัส แน่นอนว่า การอนุมัติระบบแรงจูงใจของคณะรัฐมนตรีเพื่อต้องการดึงดูดคนที่มีความสามารถเข้ามาทำงานในรัฐวิสาหกิจ และกระตุ้นให้พนักงานมีความมุ่งมั่นที่จะนำพาองค์กรให้ประสบความสำเร็จในการประกอบการ แต่จากแนวคิดนี้ถ้าเป็นรัฐวิสาหกิจที่ต้องแข่งขันกับภาคเอกชน ผมคิดว่ามีความจำเป็นยิ่ง

    แต่ถามว่าเมื่อเราดูรัฐวิสาหกิจที่ต้องแข่งขันกับเอกชน แม้เราจะมีแรงจูงใจคือโบนัส แต่เราสามารถแข่งขันกับเอกชนได้หรือไม่คำตอบไม่เลย ถ้าเทียบ ทศท.กับค่ายโทรศัพท์เอกชน นั่นแสดงว่า ศักยภาพในการแข่งขันของรัฐวิสาหกิจภายใต้กำกับของรัฐนั้นไม่สามารถสู้กับระบบเอกชนได้หากต้องแข่งขัน แม้จะให้ผลประโยชน์ตอบแทนและสวัสดิการที่ดีเพียงใดก็ตาม

    คำถามนี้นำมาสู่กรณีของรัฐวิสาหกิจผูกขาด เช่นการไฟฟ้าทั้งสามส่วน การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย ฯลฯ ว่ามีความจำเป็นหรือไม่ที่ต้องมีโบนัสเป็นแรงจูงใจ เพราะไม่ได้แข่งขันกับใคร ไม่ต้องใช้ความสามารถในการแข่งขันในทางธุรกิจเพราะเป็นการผูกขาดไม่มีคู่แข่งกัน

    และนำมาสู่คำถามต่อมาว่า ธุรกิจเหล่านี้เป็นการให้บริการสาธารณูปโภคต่อประชาชนที่ควรจะต้องคำนึงถึงผลกำไรจำนวนมากหรือไม่

    แน่นอนว่าสองเรื่องนี้เกี่ยวโยงกัน เพราะเมื่อมีแรงจูงใจเป็นโบนัส แม้จะเป็นธุรกิจที่ผูกขาด จากแรงจูงใจทำให้องค์กรนี้กลายเป็นองค์กรที่แสวงหากำไรสูงสุด การทำกำไรมากก็จะทำให้สามารถได้รับเกรดที่ดีซึ่งมีผลต่อจำนวนเงินโบนัสที่สูงขึ้นในอัตราก้าวหน้าทั้งของพนักงานและกรรมการรัฐวิสาหกิจ

    แม้ว่า รัฐมีนโยบายในการส่งเสริมให้เอกชนเข้ามามีบทบาทในการผลิตไฟฟ้าเริ่มตั้งแต่ปี 2532 ด้วยเหตุผลที่อ้างดังนี้ เพิ่มการแข่งขันในกิจการพลังงาน ทำให้กิจการพลังงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น และผู้บริโภคมีพลังงานใช้อย่างเพียงพอในราคาที่เหมาะสม ลดภาะการลงทุนของรัฐและลดภาระหนี้สินของรัฐ/ประเทศ ส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ผู้ใช้ไฟฟ้าได้รับบริการและคุณภาพไฟฟ้าที่ดีขึ้น สนับสนุนให้ประชาชน มีส่วนร่วม ในการพัฒนากิจการด้านพลังงานของประเทศ และช่วยพัฒนาตลาดทุน แต่ก็ยังผูกขาดคือต้องขายไฟฟ้าให้รัฐเพื่อให้รัฐนำไปบริการประชาชนเท่านั้น

    โดยระบุว่ามีหลักเกณฑ์ในการกำหนดค่าไฟฟ้าที่สำคัญคือ เพื่อกำหนดโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าของประเทศไทยให้สะท้อนถึงต้นทุนในการจัดหาไฟฟ้าที่เหมาะสมและเป็นธรรมทั้งในส่วนของผู้ให้บริการจัดหาไฟฟ้าและผู้ใช้ไฟฟ้า ส่งเสริมให้มีการใช้ไฟฟ้าที่สะท้อนถึงต้นทุนค่าไฟฟ้าที่แตกต่างกันตามช่วงเวลาในแต่ละวัน การดูแลผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยที่มีรายได้น้อยและ ผู้สมควรได้รับการอุดหนุนค่าไฟฟ้าอย่างแท้จริง ที่เรียกว่า การเรียกเก็บในอัตราก้าวหน้า โดยยิ่งใช้ไฟมากค่าหน่วยต่ออัตราที่คิดก็แพงขึ้น

    อ้างเหตุผลสวยหรูว่า อัตราค่าไฟฟ้าต้องมีความเหมาะสมกับลักษณะโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคม โดยเป็นอัตราค่าไฟฟ้าที่สะท้อนถึงต้นทุนทางเศรษฐศาสตร์ เพื่อส่งเสริมให้มีการใช้ไฟฟ้าอย่างคุ้มค่าและมีการให้บริการอย่างมีประสิทธิภาพ ถ้าคิดค่าไฟถูกไปประชาชนจะไม่ประหยัดนั่นเอง

    คล้ายๆ กับเราเคยได้ยินรัฐมนตรีที่ดูแลด้านพลังงานเคยพูดว่า ถ้าราคาน้ำมันถูกแบบเพื่อนบ้านคือพม่าและมาเลเซีย ประชาชนจะไม่ประหยัดพลังงาน

    แต่ที่ประหลาดก็คือ รัฐมีนโยบายในการ “ประกันกำไรผู้ผลิตไฟฟ้าภาคเอกชน” และกฟผ.พยายามผลิตไฟฟ้าให้ต่ำลง เพื่อรับซื้อภาคเอกชนให้มากขึ้นทั้งที่รัฐธรรมนูญกำหนดว่า การผลิตไฟฟ้า ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) ต่ำกว่า 50% ถือเป็นการขัดกับรัฐธรรมนูญ ปี 2560 มาตรา 65 ที่ระบุ ว่ารัฐต้องจัดหรือดำเนินการให้มีสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของประชาชนอย่างทั่วถึง โครงสร้างหรือโครงข่ายขั้นพื้นฐานของกิจการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของรัฐอันจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของประชาชนหรือเพื่อความมั่นคงของรัฐ รัฐจะกระทำด้วยประการใดให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของเอกชนหรือทำให้รัฐเป็นเจ้าของน้อยกว่าร้อยละห้าสิบเอ็ดมิได้
    ทั้งนี้ ด้วยเหตุผลว่าไฟฟ้าและน้ำมันนั้นควรจะเป็นต้นทุนด้านสาธารณูปโภคของประชาชนที่รัฐควรให้บริการประชาชน และควรจะคิดราคาให้ต่ำเพื่อให้ประชาชนมีต้นทุนในการประกอบธุรกิจที่ต่ำเพื่อให้สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ แต่ทั้งค่าไฟฟ้าและน้ำมันรัฐกลับมุ่งหวังกำไรเป็นหลัก และเพื่อประโยชน์ในการรับแรงจูงใจที่สูงขึ้นคือโบนัสของพนักงานเป็นสำคัญ

    เมื่อต้อง “ประกันกำไรเอกชน”ก็เลยต้องคิดราคาค่าไฟฟ้าในอัตราก้าวหน้าเพื่อพนักงานจะได้รับโบนัสในอัตราก้าวหน้าด้วย คือเป็นธรรมสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน แต่ไม่เป็นธรรมสำหรับผู้บริโภค

    ตอนนี้มี 4 บริษัทไฟฟ้าเอกชนที่เป็นผู้ผลิตไฟฟ้าขายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตรายใหญ่เครือบริษัทกัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) เครือบริษัทราชบุรีกรุ๊ปจำกัด(มหาชน) เครือบริษัทโกลบอล เพาเวอร์ วินเนอร์ยี่ จำกัด(มหาชน) เครือบริษัทผลิตไฟฟ้าจำกัด(มหาชน)หรือ EGCO โดย กฟผ.ถือหุ้นใน EGCO 45% และถือหุ้นในบริษัทราชบุรี 45%
    โดยทุกวันนี้กฟผ.ผลิตไฟฟ้าเองเพียง 30-35% ซึ่งมีผู้ร้องว่าขัดรัฐธรรมนูญ โดยที่เหลือปล่อยให้ 4 บริษัทรายใหญ่เป็นผู้ผลิตรวมกันเกือบ 60%โดยรัฐรับประกันกำไร คือว่า บริษัทเอกชนอย่างไรเสียก็จะมีกำไรแน่นอน ซึ่งกำไรนี้ก็ไปบวกเอากับผู้บริโภคนั่นเองเพื่อให้ทั้งกฟผ.มีกำไรเพื่อจ่ายโบนัสและเอกชนมีกำไรตามที่รัฐประกันไว้ ซึ่งไม่เข้าใจว่า เป็นการแข่งขันในกิจการพลังงานตรงไหน

    พูดง่ายๆ ว่า วันนี้ กฟผ.ทำตัวเป็นเสือนอนกินนั่นเอง

    หรือพูดได้ว่ากิจการสาธารณูปโภคพื้นฐานอย่างไฟฟ้า ถึงแม้จะหยุดการแปรรูปได้ แต่โครงสร้างประกันกำไรยังเป็นทายาทอสูรในการดูดเงินจากผู้ใช้ไฟตลอด ช่วงนี้คนใช้ไฟน้อยลง ตามกลไกตลาด supply มากกว่า demand ราคาต้องถูกลง แต่กลไกที่สร้างไว้ทำให้ราคาไฟฟ้าไม่มีการแข่งขัน ซึ่งถ้าจะไม่ให้มีการแข่งขันเพราะเป็นกิจการรัฐ ก็ต้องทำให้ราคาถูก แต่แม้แปรรูปไม่ได้ ก็ใช้วิธีล้วงไส้ คือให้เอกชนผลิตไฟขายให้กฟผ. และกฟผ.ขายต่อให้กฟน.กับกฟภ. เป็นตัวกำบังกำไรให้เอกชน

    มีธุรกิจอะไรที่ไม่ต้องมีความเสี่ยง ก็มีแต่การผลิตไฟฟ้าเท่านั้นแหละ ทั้งที่การไม่ให้มีความเสี่ยงจากการประกอบกิจการต้องเป็นกิจการของรัฐเท่านั้น แต่รัฐต้องไม่หากำไรสูงสุด แต่กิจการไฟฟ้าที่ให้เอกชนขายไฟให้กฟผ.เอกชนไม่มีความเสี่ยงตลอดสัญญา 25 ปี ถ้าไฟใช้น้อยกว่าสัญญารับซื้อ ผลิตไม่ผลิตรัฐต้องซื้อ ประชาชนต้องจ่ายในระบบ Take or Pay เอกชนไม่มีวันขาดทุน มีแต่ประชาชนถูกสูบเงิน ไม่ว่าไฟเกินแค่ไหน ราคาก็ไม่เป็นไปตามกลไกตลาด

    ตอนนี้ยิ่งไฟผลิตน้อย เหลือบานเบอะ ต่างประเทศให้ประชาชนใช้ฟรีเลยด้วยซ้ำ แต่รัฐบาลกลับยิ่งต้องโขกเงินจากประชาชนเพื่อแสวงหากำไรให้ตัวเองและที่รับประกันกำไรกับเอกชนไว้ ระบบของไทยเลยเป็นแบบครึ่งบกครึ่งน้ำ เป็นทั้งเสือ และเป็นทั้งจระเข้ กินประชาชนทั้งบนบกและในน้ำ

    อย่าลืมว่ากิจการการไฟฟ้าหรือแม้แต่ปตท.นั้นมีต้นทุนในจากทรัพยากรของรัฐ แม้วันนี้ปตท.จะแปรรูปเข้าไปจนทะเบียนแล้ว และดูเหมือนจะมีการแข่งขันในธุรกิจน้ำมัน แต่โครงสร้างที่แท้จริงก็ยังเป็นการผูกขาดนั่นเอง แต่วันนี้ทั้งสองสาธารณูปโภคที่สำคัญของประชาชนกลับมุ่งหวังกำไรเป็นสำคัญ และนำต้นทุนของรัฐไปถือหุ้นในบริษัทเอกชนเพื่อหากำไรในรูปแบบของธุรกิจเอกชน รัฐวิสาหกิจแบบปตท.แตกสาขาไปทำธุรกิจแข่งกับเอกชนอีกจำนวนมาก โดยใช้อำนาจทางการตลาด (ที่ได้มาจากความได้เปรียบในฐานะรัฐวิสาหกิจ) ในการทำธุรกิจในลักษณะที่ทำให้คนอื่นเสียเปรียบ

    ผมเข้าใจว่าความมั่นคงทางไฟฟ้าเป็นความมั่นคงของประเทศ แต่ถามว่าแทนที่รัฐจะส่งเสริมให้เอกชนผลิตไฟฟ้าและรับประกันกำไรให้เขา ทำไมไม่สนับสนุนให้ประชาชนผลิตไฟฟ้าใช้เอง ให้ชุมชนผลิตไฟฟ้าใช้เอง แน่นอนว่าการไฟฟ้าทั้งสามแห่งจะได้กำไรน้อยลง แต่ประเทศก็มีความมั่นคงเช่นเดียวกัน หรือทำไมการไฟฟ้าจึงไม่ผลิตไฟฟ้าเองมากกว่ารับซื้อจากเอกชน

    และอย่างที่ผมกล่าวไว้ข้างต้นว่ารัฐวิสาหกิจที่ผูกขาดโดยไม่ต้องแข่งขันกับใครและเป็นสาธารณูปโภคนั้นจำเป็นต้องมุ่งกำไรเป็นสำคัญเพื่อโบนัสและหลักประกันกำไรของเอกชนหรือไม่

    ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan

    https://mgronline.com/daily/detail/9630000042603

     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    การแจกหน้ากากผ้าให้กับทุกครัวเรือนของนายกฯ ชินโซ อาเบะ สะท้อนความล้มเหลวในการแก้ปัญหาหน้ากากอนามัยขาดแคลนในญี่ปุ่นที่ยาวนานกว่า 3 เดือน และถูกวิจารณ์อย่างมากว่าสิ้นเปลืองภาษีประชาชน จนถูกขนานนามว่านโยบาย “อาเบะโนมาสก์”

    อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9630000042829
    ………………………………
    ● อีกช่องทางติดตาม NEWS1
    Line : http://nav.cx/4tvbDJ8
    Youtube : youtube.com/c/NEWS1VDO

     

แชร์หน้านี้

Loading...