เชิญเข้าร่วมสนทนาพิเศษเรื่อง มิติ ความฝัน ชาติภพ จิตวิญญาณ โดย @โนวา อนาลัย@ [Writer]

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย mead, 8 สิงหาคม 2007.

  1. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    เรื่องทำแท้งนี่ถ้าจะคุยกันจริง มันยาวมากนะ ไปเห็นจากหลายๆ ที่ที่คุยกันเรื่องนี้ มันก็ยาวกันทั้งนั้น

    ในกรณีนี้จะขอจับประเด็นในมุมที่ว่าเด็กในท้องออกมาไม่สมประกอบนะ ไม่รวมในกรณีที่ว่าท้องในกรณีที่พ่อแม่เด็กไม่พร้อม ภาวะการเงินไม่ดี พ่อแม่เด็กยังอยู่ในวัยเรียน เพราะว่าเดี๋ยวมันจะยาว

    เอาในกรณีที่เด็กเกิดมาแล้วร่างกายไม่สมประกอบอย่างเดียว

    ถ้ามองในมุมมองของทางกฏหมายแล้ว กฎหมายจะอนุญาตให้ทำแท้งได้ 2 กรณีคือ กรณีถูกข่มขืน และกรณีการตั้งครรภ์นั้นอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพของมารดาและทารกในครรภ์ เท่านั้น

    ในกรณีนี้ไม่ผิด

    ส่วนถ้าในมุมมองของศีลธรรมแล้วผิดแน่นอน

    แต่ในชีวิตจริงมันมีเงื่อนไขให้ตัดสินใจมากกว่านั้น ถ้าเด็กที่พิการเกิดมาในครอบครัวที่ยากจนไม่สามารถเลี้ยงดูได้ล่ะ

    ถ้าความรู้สึกผิดอยู่กับกฏเกณฑ์ของแต่ละคน การที่ให้เหตุผลว่าเกิดมาแล้วไม่สามารถจะเลี้ยงดูให้มีสวัสดิภาพที่ดีได้จึงไปทำแท้งและคิดว่าไม่เป็นการทรมานเด็กด้วย แล้วรู้สึกว่าเป็นเรื่องถูก

    หรือกรณีที่แม่เด็กเป็นเอดส์แล้ว ลูกในท้องก็เป็นเอดส์ด้วย

    ในสิ่งที่ได้เรียนรู้มา ก็ต้องยอมรับเด็กที่เกิดมา แต่ในกรณีถ้าเกิดกับตัวเอง มันก็คงลำบากในการตัดสินใจเหมือนกัน

    แต่เห็นด้วยว่าถ้า Mr.Nick ไม่มีร่างกายเป็นแบบนี้ คงไม่ได้รับความสนใจขนาดนี้ และคำพูดของเค้าคงไม่มีพลังขนาดนี้

    ส่วนอันนี้เป็นลิงค์ที่คุยกันในเรื่องการทำแท้งแต่ในอยู่ในกรณีที่แยกไว้ไม่เอามาคุย อ่านดูแล้วมันก็ซับซ้อนในการตัดสินใจเหมือนกันนะ คนในหน่วยงานที่ลงมาทำเรื่องนี้ก็มีมุมมองอีกอย่าง

    http://th.answers.yahoo.com/question/index?qid=20071226135719AAcVHR6&show=2
    http://www.thaivi.com/webboard/archive.php/o_t__t_25211__start_0__index.html
    http://variety.teenee.com/foodforbrain/7902.html
    http://topicstock.pantip.com/social/topicstock/2007/05/U5436210/U5436210.html

    ส่วนอันนี้อ่านแล้วอาจจะจิตตกหน่อย http://webboard.siamza.com/view.php?id=116810&cat=15
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กรกฎาคม 2008
  2. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ส่งการบ้านหลังห้อง

    วันนี้พี่นักเขียนขอนำการบ้านหลังห้องมา post สักสองราย ก่อนที่จะสรุปคำตอบและประเด็นต่างๆให้พวกเราร่วมกันพิจารณาต่อไป
    รายแรกคือ ผู้อ่านเงียบๆ ที่จวนเจจะก้าวเข้ามาในห้องวิทย์ฯแล้ว ชื่อ คุณน้อง โมกมาลา
    ;42ขอต้อนรับคุณน้อง โมกมาลาอย่างไม่เป็นทางการก่อนรอบนึงนะคะ จนกว่าจะเข้ามาแสดงตัวได้ด้วยตนเอง;42

    ต้องขอรบกวนคุณ zipper หรือท่านใดก็ได้ที่ทราบวิธีการแก้ปัญหาทาง technical ช่วยแนะนำคุณน้อง โมกมาลา ว่า จะ log-in ได้อย่างไร หากลืม password

    ________________________________________________________
    สวัสดีค่ะ พี่นักเขียน

    ขอบพระคุณพี่มากที่เมตตาจูงมือโมกมาลาพาเิดินขื้นเวที ความจริงแล้วก่อนหน้านี้โมกมาลาได้เคยสมัครตามขั้นตอนที่พี่นักเขียนได้แนะนำไว้แล้ว ด้วยหวังว่าสักวันคงจะมีโอกาสร่วมพูดคุยกับเพื่อนๆ สมัครแล้วทิ้งระยะไว้นานพอกลับเข้าไปใหม่ดันใส่ password ผิด เครื่องก็สั่งให้ทำอะไรใหม่ ก็ทำตามแล้ว แต่ก็ยัง log in ไม่ได้ วนเวียนอยู่ที่เดิมไม่รู้จักจบสิ้น ก็เลยลองสมัครใหม่ใช้ชื่อใหม่แต่ อีเมลเดิม เครื่องก็สั่งให้กลับไปทำเหมือนเดิมอีก ก็เลยหมดปัญญาขอพักไว้ก่อน ไว้ค่อยหาหนทางใหม่อีกครั้ง

    ถ้าพี่นักเขียนเห็นว่าการบ้านของโมกมาลาเป็นการเปิดมุมมองที่หลากหลายเพิ่มเติมสีสันให้กับห้องวิทย์ได้บ้าง ก็ต้องขอรบกวนพี่ให้ช่วยเอาไปแปะให้ด้วยนะคะ (ขอสารภาพอย่างไม่อายว่าโมกมาลาตัดแปะไม่เเป็นค่ะ )

    รักและคิดถึงตลอดค่ะ
    โมกมาลา

    _________________________________________________________
    สวัสดีค่ะ พี่นักเขียน
    ตอนแรกกะว่าจะส่งการบ้านบนเวที แต่คงเป็นเพราะสายตาไม่ดีหาทางขึ้นเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ เลยขอเป็นเด็กเส้นแอบส่งหลังม่านก็แล้วกัน

    คำถาม 1. เราแต่ละคนมีความเชื่อ ความเข้าใจ ความเห็น มีข้อมูลความรู้หรือประสบการณ์เกี่ยวกับการค้นพบเป้าหมายที่แท้จริงของชีวิตอย่างไรบ้าง

    ตอบ ตอนอ่านคำถามครั้งแรกก็รู้สึกว่าคำถามนี้กว้างจัง ตอบยาก จึงยังไม่คิดจะตอบ จนคุณครูออกมาทวงการบ้าน ก็เลยมานั่งพิจารณาว่าจะตอบอย่างไรดี ก็กลับมาเเห็นว่าคำถามนี้ดีมากเลย ที่ทำให้เราได้มานั่งทบทวนตัวเอง จนสามารถประมวลเรียบเรียงข้อมูลต่างๆที่เป็นตัวเราขึ้นมาได้อย่างเป็นรูปธรรมขึ้น

    ตัวโมกมาลาเองเท่าที่จำความได้เป็นคนสนใจเรื่องอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ต่างๆ สนใจพลังอำนาจของจิตที่สามารถทำอะไรๆก็ได้ และอยากเป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์ ก็เลยชอบและสนใจหาอ่านหนังสือประเภท สิ่งลี้ลับ พลังอำนาจของจิต และกลไกการทำงานของจิต รู้ว่าจิตจะมีพลัง เมื่อมีความนิ่งพอ จึงเป็นที่มาของการฝึกสมาธิ

    เริ่มสนใจฝึกสมาธิมาตั้งแต่ปี 2533 แต่จริงจังบ้าง ทิ้งบ้าง (แต่ช่วงที่ทิ้งก็จะพยายามสนใจดูจิตตัวเอง แต่ก็ดูไม่ค่อยทันหรอก) จนเริ่มกลับมาสนใจจริงจังเมื่อประมาณ ปี 2547 นี้เอง เป็นการฝึกสมาธิแบบ สหจะโยคะ ของคุณแม่ ศรีมาตาจี ประเทศอินเดีย ตรงนี้เองเป็นการปูพื้นฐานให้รู้จักจิตวิญญาณที่บริสุทธิื ของตนเอง รู้สึกว่าเราถูกอารมณ์กับการทำสมาธิวิธีนี้ ก็ทุ่มเทฝึกนั่งสมาธิทุกวันเช้า-ก่อนนอน พบความก้าวหน้าในตัวเองเพิ่มขึ้นตลอด และก็ยังปฏิบัติมาจนถึงทุกวันนี้ (แต่จะเหลือแคนั่งสมาธิก่อนนอน)

    ส่วนหนังสือก็ยังหาอ่านตลอด จนมาเจอหนังสือชื่อ The Secret อ่านแล้วก็ยังไม่สามารถตอบคำถามลึกๆของอารมณ์ได้เหมือนเช่นเล่มอื่นๆที่ได้เคยอ่านมา ทั้งที่ไม่รู้เหมือนกันว่าคำถามนั้นคืออะไร จึงลองเข้ามาค้นหาเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคิดเห็นของผู้ที่อ่านหนังสือเล่มนี้ พบข้อความหนึ่งบอกว่าถ้าคุณชอบอ่านหนังสือประเภทนี้ น่าจะเข้าไปอ่านหนังสือ 2 เล่ม ที่เขาทำเป็น E-Book แล้ว แต่งโดย(ตอนนั้นจำชื่อไม่ได้ ) ชื่อไม่คุ้นเลยฟังดูเหมือนเป็นฝรั่ง คิดว่าอาจจะเป็นหนังสือแปลก็ได้ (ซึ่งไม่ชอบอ่านหนังสือสักเท่าไหร่ ) แล้วก็ต้องอ่านทางคอมฯ ก็ไม่ถนัดเลย สรุปจึงยังไม่สนใจ

    ข้อความนั้นยังเชิญชวนต่ออีก ถ้ายังไงคุณลองเข้าไปอ่านกระทู้เกี่ยวกับผู้ที่ได้อ่านหนังสือ 2 เล่มนี้เขาคุยกันก็ได้ แล้วทำลิงค์เวบ มาให้ด้วย คือเวบห้องวิทย์ของพวกเรานี้เอง เขายังบอกด้วยว่าตัวเขาเองอ่านแล้วขนลุก รู้สึกตื้นตัน จนน้ำตาคลอ บอกไม่ถูกอยากให้เข้าไปอ่านเอง ไหนๆเมื่อเขาเสริฟอาหารมาให้ถึงปาก อย่าให้เขาต้องเสียกำลังใจฉลองศรัทธาเขาเสียหน่อย จึงเป็นที่มาที่ไปให้พบกับพี่นักเขียน

    จำได้ว่าเป็นช่วงปลายเดือน มีค 08 นี้เอง ตอนนั้นกระทู้มีอยู่ 100กว่าหน้าก็ตลุยอ่านอย่างเร่งรีบทุกหน้า เพือทำความรู้จักให้มากที่สุด แล้วไปอ่านหนังสือ 2 เล่ม เลยต่อเข้าไปตลุยเวบของพี่นักเขียนจนทะลุปรุโปร่ง เพราะคำตอบที่ตามหามาค่อนชีวิต อยู่ที่นี่

    กลับมาวิเคราะห์ตัวเอง การที่เราสนใจเรื่องพลังอำนาจของจิต คงเป็นเพราะจิตวิญญาณภายในต้องการให้เราค้นให้พบว่าเราเป็นใคร มีความยิ่งใหญ่ขนาดไหน แล้วเรากำลังทำหน้าที่อะไรอยู่

    เมื่อเราพบแล้วว่าเราเป็นใคร มาจากไหน ก็เกิดความรู้สึกอุปมาว่า เราไม่ใช่พลเมืองของที่นี่หรอก แต่เราเหมือนเป็นลูกที่เขาส่งไปฝากคนอื่นเลื้ยงเพื่อหาประสบการณ์ ด้วยความหวังว่าเมื่อเราโตพอเราอาจจะระลึกได้ว่าเรามีที่มาอย่างไร แล้วกลับไปเยี่ยมเยียนบ้าง ทางบ้านเดิมยังเฝ้ารอเราอยู่ด้วยความห่วงใย ( ซึ่งท่าน อ.อนาลัยก็ได้มาทำหน้าที่เตือนความทรงจำเดิมให้กับเรา)

    เมื่อเราระลึกได้แล้วว่าเราเป็นใคร ก็อดห่วงใยและหวังดีกับเพื่อนๆที่เรารู้ว่าพวกเรามาด้วยกัน ได้แต่ตั้งความหวังไว้ว่า เมื่อปัจจัยและโอกาสอำนวยคงจะมีโอกาสชวนพวกเขามาพูดคุย ชี้แนะให้เขารู้เหมือนที่เรารู้ เขาจะได้อยู่ในสถานที่นี้อย่าง
    มีความสุข และเราอาจชวนกันกลับไปเยี่ยมบ้านเดิมด้วยกัน ซึ่งเป็นงานที่พี่นักเขียนได้ทำมาแล้วอย่างต่อเนื่องตลอดหลายปีมานี้ ก็ขออนุญาติเอาพี่นักเขียนเป็นแบบอย่างในการสานฝันส่วนนี้ของตัวเอง เราอาจเดินกันคนละเส้นทางก็ได้แต่มีวัตถุประสงค์เดียวกัน (แยกกันเดินร่วมกันตี)


    คำถาม 2. อะไรคือปัจจัยที่จะทำให้เราค้นพบเป้าหมายที่แท้จริงของชีวิต

    คำตอบ แก่นแท้ของความเป็นจิตวิญญาณของเรานั่นเอง ที่ดึงดูดเราให้เข้ามาสู่เป้าหมายอันยิ่งใหญ่


    คำถาม 3. ท่าน อ.อนาลัย ให้คำตอบสำหรับคำถามเหล่านี้ไว้หรือไม่ อยู่ในหนังสือเล่มใด

    คำตอบ ความรู้ที่ใช้ตอบคำถามทั้งหมดมาจากที่ได้เรียนรู้มาจากหนังสือของท่าน อ.อนาลัย เพียงเล่มแรกเล่มเดียว
    -ธรรมชาติของชาติภพ- ก็สามารถตอบคำถามได้ทุกข้อ

    ตอบเสียยืดยาวแต่เป็นสิ่งที่อยู่ภายในที่อยากบอกค่ะ

    รักค่ะ

    โมกมาลา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กรกฎาคม 2008
  3. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    การบ้านของลูกเกด

    ผู้อ่านเงียบๆอีกรายที่ขอให้พี่นักเขียนช่วยนำการบ้านมา post ให้วันนี้ ไม่ใช่สมาชิกหน้าใหม๋ แต่คือ;18คุณน้องลูกเกด เจ้าเก่าของพวกเรานั่นเองค่ะ ยังเป็นหนึ่งในผู้อ่านเงียบๆที่ติดตามพวกเรามาตลอด และแอบส่งการบา้นด้วยเสมอมาค่ะ;18

    ___________________________________

    สวัสดีค่ะ อาจารย์แม่หมี
    หนูอยากส่งการบ้าน แต่เมื่อกี้ลองพิมพ์ มันไม่ได้อ่ะค่ะ??
    เอาเป็นว่าส่งใต้โต๊ะนะคะ


    1. เราแต่ละคนมีความเชื่อ ความเข้าใจ ความเห็น ข้อมูลความรู้หรือประสบการณ์เกี่ยวกับการค้นพบเป้าหมายที่แท้จริงของชีวิตอย่างไรบ้าง ?
    หนูไม่รู้จะเรียบเรียงคำพูดยังไง แต่ความคิดมันวนเวียนอยู่ที่คำว่า"รัก"ตลอดเลยค่ะ ไม่ว่าจะทำสิ่งที่เรารัก ความสุขในชีวิตที่เกิดจากอารมณ์รัก หนูว่ายิ่งรักมากยิ่งสุขมาก ที่ชัดเจนมากขึ้นคือ หนูคิดว่า มีความสุขไปด้วยเมื่อเห็นคนอื่นมีความสุข มีรอยยิ้ม และก็จะมีความสุขขึ้นอีกมากเมื่อได้เป็นส่วนหนึ่งที่สร้างรอยยิ้ม แม้จะเพียงชั่วครู่หรือเล็กน้อย อีกสิ่ง..ของหนู นะคะ คือหนูปราถนาให้คนอื่นได้รับความรู้ที่เป็นประโยชน์ เพราะหนูสำนึกจริงๆว่าความรู้ แม้บางเรื่องเหมือนเล็กๆแต่พลิกความคิดให้เราได้มากมายก็ได้ ทุกวันนี้หนูพยายาม จดและจำ ในระหว่างเรียนรู้อะไรไปด้วยเคยสงสัยตัวเองเหมือนกันว่าเราจดทำไม เช่น เวลาอ่านหนังสือจบก็มาทำ mine map สรุปไว้ จนวันนึงกำลังจดอย่างเมามันก็ต้องหยุดคิด เอ...เราทำไปเพื่ออะไร? อ๋อ ที่แท้ก็หวังว่าเผื่อจะมีโอกาศได้บอกใครบ้างนี่เอง คือ หนูคิดอย่างนี้ค่ะ อย่างคนที่เขาเก่งแล้วไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม เขาผ่านมาแล้ว แต่พอเราถามถึงขั้นตอนการปฏิบัติ แต่เขากลับให้ความรู้เราไม่ได้ หรือถ้าให้ก็ให้แบบขอไปทีหรือไม่เคลีย หนูคิดว่าน่าเสียดายความรู้ค่ะแทนที่ความรู้ของคนเพียงหนึ่งจะสามารถขยายไปสู่คนอื่นได้มากมายแต่ต้องมาหยุดแค่ที่ตัวเขาเอง เวลาที่เรียนรู้อะไรหนูเลยพยายามสังเกตขั้นตอนของตัวเอง วิเคราะห์ และตั้งคำถามไปในตัว ด้วยหวังว่าสักวันจะบอกคนอื่นได้ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามค่ะ

    เพราะฉะนั้น หนูว่าเป้าหมายของหนู มีความรู้ก็ดี...แต่ก็เป็นไปเพื่อให้คนอื่นได้รู้ด้วย
    มีก็อยากให้คนอื่นได้มีด้วย
    ไม่ว่าจะอยากมี อยากเป็น อยากทำอะไร ก็วนเวียนอยู่กับ "ความรัก" ทั้งนั้นนี่คะ
    และหนูคิดว่าเป้าหมายอยู่ที่ "ตัวตนของเราแบบที่เราต้องการเป็น" แบบไหนก็ตามที่นึกถึงแล้วสุขใจและอิสระที่สุดภายใต้การดำเนินของ"รัก"ไปอย่างต่อเนื่อง โดยไม่เกี่ยวกับ "ความเชื่อ" จากแหล่งอื่นใด พูดถูกมั้ยน้า?


    2. อะไรคืิอปัจจัยที่จะทำให้เราค้นพบเป้าหมายที่แท้จริงของชีวิต ?
    การรัก นับถือ เชื่อถือในตัวเอง ตระหนักถึงคุณค่า ในความสามารถ ในพลังขอตัวเองในขั้นแรกค่ะ:-D

    3. ท่านอาจารย์อนาลัยให้คำตอบสำหรับคำถามเหล่านี้ไว้หรือไม่ และ อยู่ในหนังสือเล่มใด?
    อันนี้มั่นใจมาก ล้านนนน เปอร์เซ็นเลยค่ะ ในหนังสือ "อิสระแห่งความปราถนา" ไง้

    ลูกเกด
     
  4. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ขอขอบคุณ ผู้อ่านเงียบๆ อีกหลายท่านที่ส่งการบ้านหลังห้อง แต่ไม่ได้ขอให้พี่นักเขียนช่วย post ที่สละเวลามาร่วมแลกเปลีี่ยนข้อมูลความรู้กัน พี่นักเขียนจะขอนำข้อมูลที่ไม่ได้ post เหล่านั้นมาร่วมสรุปประเด็น เพื่อที่พวกเราจะได้มองเห็นได้กว้างขึ้นว่า เราแต่ละคนมีคำตอบจากมุมมองใดกันบ้าง และมุมมองเหล่านั้นเติมเต็มทัศนของเราได้อย่างไรบ้าง

    ทุกคำถามล้วนเป็น Open-ended Question ที่ไม่มีคำตอบเพียงแค่ว่า ใช่หรือไม่ใช่ ถูกหรือผิด ทุกคำตอบของทุกท่าน ล้วนเป็นคำตอบที่ครอบคลุมสาระและประเด็นต่างๆ จากจุดยืน มุมมอง ทัศนคติและประสบการณ์อันเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละคน

    1. เราแต่ละคนมีความเชื่อ ความเข้าใจ ความเห็น มีข้อมูลความรู้หรือประสบการณ์เกี่ยวกับการค้นพบเป้าหมายที่แท้จริงของชีวิตอย่างไรบ้าง ?

    ข้อนี้เป็นข้อที่มีคำตอบกว้างไกลที่สุด ที่แต่ละคนจะจับประเต็นให้กับตนเองได้ แม้แต่ผู้ที่กล่าวว่า ยังค้นไม่พบเป้าหมายอันสูงสุดของชีวิต ก็ล้วนมีคำตอบมากมายที่นำมาตอบคำถามแรกนี้ด้วยกันทุกคน ต่างคนต่างก็ตระหนักได้ในประสบการณ์ของตนเอง ในสาระที่เรียนรู้มา ตลอดจนในตัวอย่างชีวิตอื่นๆที่ตนพบเห็น ที่ทำให้เกิดแรงบันดาลใจอันลุ่มลึก หลายคนที่กล่าวว่ายังค้นไม่พบเป้าหมายอันสูงสุดของชีวิต ได้กล่าวถึงหลายเป้าหมายด้วยกัน บางท่านก็ได้กล่าวถึงเป้าหมายที่ได้จากตัวอย่างชีวิตของผู้อื่น และเปรีีีีียบเทียบกับตนเอง

    พี่นักเขียนขอให้พวกเรามองดู Nick Vujicic เป็นตัวอย่างอีกครั้ง ภาพที่คุณ zipper นำมา post น่าจะทำให้เราตระหนักได้ว่า ผู้ที่ได้ค้นพบเป้าหมายอันสูงสุดของชีวิตแล้ว คือผู้ที่ดำเนินชีวิตในแต่ละวันด้วยการตระหนักได้อย่างลึกซึ้งที่สุดว่า "ชีวิตของฉันมีความหมาย มีคุณค่า ฉันมีความสุขและรู้สึกว่าได้เติมเต็มชีวิตของฉันแล้ว ด้วยการสร้างสรรค์ในสิ่งที่นำความสุขมาสู่ตนเอง และผู้อื่นได้อย่างแท้จริง"

    เราแต่ละคนผู้ค้นพบเป้าหมายอันสูงสุดของชีวิต จะตระหนักในความเป็นจริงนี้ได้เช่นเดียวกับ Nick Vujicic จะแตกต่างกันก็ตรงที่ว่า การสร้างสรรค์ของเราแต่ละคนเป็นสิ่งที่แสดงออกได้ในวงกว้างมากน้อยกว่ากันเพียงใด ซึ่งทำให้ดูเสมือนว่า เป้าหมายอันสูงสุดของ Nick Vujicic หรือบุคคลอื่นๆที่เป็นที่รู้จักทั่วโลก ยิ่งใหญ่กว่าเป้าหมายของเรา จนทำให้เราไม่แน่ใจว่า เราได้ค้นพบเป้าหมายของตนเองแล้วหรือยัง หากพบและมันไม่ได้เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว้างไกลเช่น Nick Vujicic บางคนก็พลอยข้องใจว่า เป้าหมายดังกล่าวนั้นใช่เป้าหมายอันสูงสุดของชีวิตของตนเอง-จริงหรือ?

    ไม่ว่าเราจะเชื่อว่า เราค้นพบเป้าหมายอันสูงสุดของชิีวตแล้วหรือยัง สิ่งที่เราทั้งหลายควรจะตระหนักได้คือ เราต่างก็เป็นจิตวิญญาณที่มาถือกำเนิด พร้อมด้วยเป้าหมายนั้นๆ-ที่เราเลือก-ก่อนหน้าที่จะมาถือกำเนิดด้วยซ้ำไป ณ จุดยืนและมุมมองอันเป็นเอกลักษณ์ของเราแต่ละคน เราต่างก็สามารถสร้างสรรค์ในสิ่งที่นำประโยชน์สุขมาสู่ตนเองและผู้อื่นได้เสมอ ไม่ว่าขอบข่ายและหน้าที่ของเราแต่ละคนจะดูเสมือนจะเล็กจิบจ้อยเพียงใดก็ตาม มันก็เป็นขอบข่ายที่ไม่อาจมีผู้ใดเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์ของหน่วยย่อยของจิตวิญญาณได้ในทิศทางอันเป็นเอกลักษณ์นั้นๆ

    กรณีของ Nick Vujicic และกรณีอื่นๆที่ส่งผลกระทบต่อคนจำนวนมากทั่วโลก ล้วนเป็นกรณีตัวอย่างที่มาเตือนความจำเรา ให้ตระหนักถึงความสำคัญของการค้นให้พบ และ การบรรลุเป้าหมายอันสูงสุดของชีวิต เพราะมันคือพลังผลักดัน ที่ทำให้เราแต่ละคนเลือกมาถือกำเนิด เพื่อเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์ชีวิต และ เรียนรู้ถึงคุณค่าชีวิตของตนเองได้อย่างลุ่มลึกที่สุด จากจุดยืน มุมมอง ทัศนคติ อันเป็นเอกลักษณ์ของเรา ไม่ว่าเราจะมีรูปกาย พร้อมด้วยอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่คล้อยตามความเชื่อใดก็ตาม (rose)
    ________________________________________________________________

    2. อะไรคืิอปัจจัยที่จะทำให้เราค้นพบเป้าหมายที่แท้จริงของชีวิต ?

    คุณ Srirattana :
    การเริ่มต้นด้วยความจริงใจ เป็นกุญแจสู่การค้นพบค่ะ ..

    คุณ Mead :
    แรงพลักดันจากภายในตัวเราเองส่วนนึง รวมทั้งแรงบันดาลใจจากเพื่อนๆและหนังสือบางเล่มในวัยเด็กที่จุดประกายความคิด ให้เราค้นหาความลับ ความจริง และโลกของจินตนาการครับ

    คุณน้อง Kindred :
    ข้อนี้ขอตอบว่า ประสบการณ์ อย่างเดียวเลยคะ สำหรับเดรดเอง เพราะไม่ว่าใครจะบอก จะสอนอย่างไร เราได้แค่ทฤษฏี แม้จะมีผู้ทำอะไรได้จริง แต่ถ้าไม่เกิดกับตัวเอง คงเปลี่ยนความเชื่อยาก

    คุณ เซลล์ :
    สติ และปัญญา

    คุณ azalia :
    แรงผลักดันอันยิ่งใหญ่ที่ทำให้คนค้นพบเป้าหมายในชีวิต คือความทุกข์ปัญหาและความสงสัยจากความไม่รู้ ...

    คุณน้อง khajornwan :
    อารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดที่ลุ่มลึกอันเป็นเอกลักษณ์จำเพาะของแต่ละบุคคล เป็นปัจจัยที่ทำให้เราค้นพบเป้าหมายที่แท้จริงของชีวิตทุก ๆ คนค่ะ

    คุณ zipper :
    เรื่องการค้นพบจุดหมายในชีวิตนี้ ขอบอกว่าตัวเองก็ยังไม่พบเหมือนกัน เลยไม่สามารถจะเขียนตอบอะไรได้ แต่เคยคิดไว้ว่าการมอบความรักให้แก่ทุกคนอย่างไม่มีเงื่อนไข ไม่ว่ากรณีใดๆ ก็ตาม นั่นคงจะเป็นจุดมุ่งหมายหลัก แต่หลังจากที่มาดูคลิปวีดีโอ Nick Vujicic อีกรอบ ก็มีอีกความคิดขึ้นมาว่า บางทีก็ต่อสู้กับอุปสรรคทั้งหลายที่เข้ามาในชีวิต ก็อาจจะเป็นจุดมุ่งหมายของเราก็ได้

    คุณน้อง โมกมาลา :
    แก่นแท้ของความเป็นจิตวิญญาณของเรานั่นเอง ที่ดึงดูดเราให้เข้ามาสู่เป้าหมายอันยิ่งใหญ่

    คุณน้องลูกเกด :
    การรัก นับถือ เชื่อถือในตัวเอง ตระหนักถึงคุณค่า ในความสามารถ ในพลังขอตัวเองในขั้นแรกค่ะ:-D

    พี่นักเขียน :
    ความปรารถนาอันลุ่มลึกที่จะสร้างสรรค์ และแสดงออกซึ่งการสร้างสรรค์นั้นๆในทิศทางจำเพาะ ด้วยความรู้ความสามารถอันเป็นเอกลักษณ์ของตนเองอย่างสุดความสามารถ คือปัจจัยที่ทำให้ค้นพบเป้าหมายอันสูงสุดของชีวิต

    key words ที่ได้จากคำตอบของพวกเราคือ:

    ประสบการณ์
    การต่อสู้กับอุปสรรคทั้งหลายที่เข้ามาในชีวิต

    ความทุกข์ ปัญหาและความสงสัย
    แรงบันดาลใจ

    อารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดที่ลุ่มลึก
    สติและปัญญา

    ความปรารถนาที่จะสร้างสรรค์


    จะเห็นได้ว่า ทุกปัจจัยครอบคลุมภาวะทางกายภาพ จินตภาพและจิตวิญญาณ ซึ่งไม่อาจจะแยกจากกันได้โดยเด็ดขาด แต่ประสานกันอย่างสนิทในความเป็นบุคคลตัวตนของเรา แต่ละปัจจัยเป็นทั้งเหตุและกระบวนการ ที่ทำให้เราค้นพบเป้าหมายอันสูงสุดในชีวิตได้ไม่น้อยไปกว่ากัน

    ยกตัวอย่างเช่น ประสบการณ์ชีวิตในทิศทางจำเพาะของเรา เป็นเหตุให้เราค้นพบเป้าหมายจำเพาะว่า เรามาถือกำเนิดเพื่อเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์ใด และเรียนรู้คุณค่าอันใดของชีวิต ด้วยการเผชิญกับความทุกข์ ปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ในขณะเดียวกัน ความทุกข์ -ปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ก็คือกระบวนการที่นำเราไปสู่การบรรลุเป้าหมายอันสูงสุดนั้นๆ ด้วยการใช้อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกที่คล้อยตามความเชื่อของแต่ละคน ในแต่ละช่วงนั้นๆของชีวิต พร้อมด้วยสติปัญญาที่จะแก้ไขปัญหาและอุปสรรค์เหล่านั้น

    สรุปได้ว่า ปัจจัยที่ทำให้เราค้นพบเป้าหมายอันสูงสุดในชีวิต ล้วนเป็นปัจจัยที่เราแต่ละคน ได้เผชิญมาแล้วในอดีต กำลังเผชิญ อยู่ในปัจจุบัน หรือจะเผชิญต่อไปในอนาคต และการเผชิญหน้ากับความท้าทาย ความทุกข์ ปัญหาและอุปสรรคทั้งหลายในชีวิต คือ การก้าว-แต่ละก้าว-ไปสู่การบรรลุเป้าหมายสูงสุดในชีวิตทั้งสิ้น(rose)(rose)

    ________________________________________________________________

    3. ท่านอาจารย์อนาลัยให้คำตอบสำหรับคำถามเหล่านี้ไว้หรือไม่ และ อยู่ในหนังสือเล่มใด ?
    ในฐานะที่เป็นนักเขียน พี่นักเขียนอาจจะมองเห็นสาระหลักของหนังสือแต่ละเล่มได้ชัดเจนกว่าผู้อ่าน ซึ่งบางท่านอาจจะยังอ่านหนังสือไม่ครบทั้งสิบเล่ม ส่วนท่านที่อ่านครบสิบเล่มแล้ว บางท่านตอบว่าปรากฏอยู่ในหนังสือหมดทั้งสิบเล่ม แต่ผู้อ่านจำนวนมาก เลือกเล่มใดเล่มหนึ่งที่ประทับใจที่สุดมาตอบคำถามนี้

    เป็นที่น่าคิดว่า ผู้อ่านจำนวนมากที่เลือกระบุหนังสือเล่มใดเล่มหนึ่ง ต่างก็มีคำตอบแตกต่างกันไป จนในที่สุดก็มีผู้เลือกหนังสือ-ครบหมดทั้งสิบเล่มจริงๆ ซึ่งในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าผู้ที่ตอบว่า มีปรากฏอยู่ในหนังสือหมดทั้งสิบเล่มเป็นคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว

    ในทางตรงกันข้าม ผู้อ่านที่เลือกหนังสือเล่มใดเล่มหนึ่งเป็นคำตอบ กลับสะท้อนให้เห็นถึงเป้าหมายส่วนบุคคลของท่านนั้นๆได้อย่างชัดเจน พี่นักเขียนจึงได้รวบรวมคำตอบเหล่านี้มาให้พวกเราพิจารณา :

    1. ผู้อ่านที่เลือกหนังสือ โนวา อนาลัย ขยายความธรรมชาติของชาติภพ ได้กล่าวว่า :
    เป้าหมายสูงสุดในชีวิต คือ การเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์ในชาติภพ หรือเส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นนี้ ด้วยการทำหน้าที่ของตนเองอย่างดีที่สุด ด้วยความรักอันปราศจากเงื่อนไข


    2. ผู้อ่านที่เลือกหนังสือ ความฝันกับวิถีแห่งจิตวิญญาณ ได้กล่าวว่า :
    เป้าหมายสูงสุดในชีวิต คือ การใช้พลังอำนาจตามธรรมชาติของจิตวิญญาณ หรือการใช้ประสาทสัมผัสได้ตามธรรมชาติ เพื่อทำให้จิตวิญญาณกลับคืนสู่ภาวะที่เสมอเหมือนกับต้นกำเนิด

    3. ผู้อ่านที่เลือกหนังสือ จิตวิญญาณประสานกาย ได้กล่าวว่า :
    เป้าหมายสูงสุดในชีวิต คือ การเรียนรู้ที่จะควบคุมและเปลี่ยนแปลงภาวะจิต หรือ อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึิกคิดที่คล้อยตามความเชื่อในแง่ลบ ซึ่งยังผลให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ และรู้จักที่จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้เป็นแง่บวก เพื่อรักษาโรคได้ด้วยตนเองตามธรรมชาติที่ควรจะเป็น


    4. ผู้อ่านที่เลือกหนังสือ ประวัติศาสตร์ของจิตวิญญาณ :
    เป้าหมายสูงสุดในชีวิต คือ การเรียนรู้ถึงมรดกของจิตวิญญาณที่ติดตัวเรามา และยังคงเป็นของเราอยู่เสมอ และกลับไปใช้พลังอำนาจ หรือคุณสมบัติตามธรรมชาติอันเป็นมรดกเหล่านั้นได้ดังเดิม

    5. ผู้อ่านที่เลือกหนังสือ อิสระแห่งความปรารถนา ได้กล่าวว่า :
    เป้าหมายสูงสุดในชีวิต คือ การเรียนรู้ที่จะรัก ศรัทธา และตระหนักถึงพลังและความสามารถในตนเอง ที่จะมีได้-เป็นได้-ทำได้ดังปรารถนา

    6. ผู้อ่านที่เลือกหนังสือ ชีวิตนอกเหนือชาติภพ ได้กล่าวว่า :
    เป้าหมายสูงสุดในชีวิต คือ การเรียนรู้ว่า เราไม่ได้เกิดมาเพื่อบรรลุเป้าหมายใดๆในชีวิตอย่างโดดเดี่ยว แต่เพืิ่อบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ร่วมกันกับจิตวิญญาณอื่นๆ ที่ประสานกับเราอย่างเป็นเครือข่าย

    7. ผู้อ่านที่เลือกหนังสือ อมตะแห่งจิตวิญญาณ-ภาคต้น และ ภาคปลาย ได้กล่าวว่า :
    เป้าหมายสูงสุดในชีวิต คือ การเรียนรู้ถึงแก่นแท้ของจิตวิญญาณของตนเอง ว่า สติสัมปชัญญะอันคมชัด หรือการจดจ่ออันคมชัดของจิตวิญญาณ เป็นปัจจัยที่สร้างโลกแห่งความเป็นจริงและทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเผชิญในโลกนี้ และเรียนรู้ว่าจะสร้างโลกแห่งความเป็นจริงที่พึงปรารถนาได้อย่างไร ไม่ว่าเราจะมีร่างกาย หรือละร่างกายนี้ไปแล้วก็ตาม


    8. ผู้อ่านที่เลือกหนังสือ โลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติ-ภาคต้น และ ภาคปลาย ได้กล่าวว่า :
    เป้าหมายสูงสุดในชีวิต คือ การเรียนรู้ว่า ตัวตนที่แท้จริงของเราคืออะไร และเราได้รับการสนับสนุนจากจิตวิญญาณอื่นๆอย่างไร เพราะหากเรารู้จักตัวตนที่แท้จริงของตนเอง เราจะเรียนรู้ได้ถึงความรักอันปราศจากเงื่อนไข เพราะเราจะตระหนักได้ว่า เราล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน

    จะเห็นได้ว่า ไม่มีคำตอบใดที่ด้อยไปกว่ากัน ทุกคำตอบล้วนสะท้อนให้เราเห็นว่า ทุกเป้าหมายมีความสำคัญ มีคุณค่าไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย และควรจะทำให้เราทั้งหลายตระหนักได้ว่า จิตวิญญาณรวม-มีเป้าหมายอันสูงสุด-ยิ่งใหญ่และครอบคลุมกว้างไกล เกินกว่าที่จะสามารถบรรลุเป้าหมายผ่านร่างเดียว บุคคลเดียว ชาติภพเดียว มิติเดียว

    ทั้งหมดนี้คงจะสะท้อนให้พวกเราเห็นได้ไม่มากก็น้อยถึงประเด็นที่ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวไว้ว่า จิตวิญญาณทั้งหลายประสานกันเป็นระบบเครือข่าย และมีความเป็นหนึ่งเดียว และเราทั้งหลายคือ หน่วยย่อยของจิตวิญญาณ ที่มาถือกำเนิดเป็นร่างกายเนื้อหนัง เพื่อเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์ชีวิต และเรียนรู้ถึงคุณค่าชีวิตจากมุมองและจุดยืนอันเป็นเอกลักษณ์ ไม่ใช่มาถือกำเนิดเพียงเพื่อรับโทษ (rose)(rose)(rose)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2008
  5. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    ;36 ;36;36

    หายไปหลายวัน ห้องวิทย์เราได้รับคำตอบดีๆจากเพื่อนหลังห้องมาด้วย
    ยินดีต้อนรับคุณ โมกมาลา สู่ห้องวิทย์ล่วงหน้าด้วยครับ (smile)
    ถ้าลืม password ต้องไปถามไอสไตน์ซิปเปอร์ดูครับ
    คนเก่งประจำห้องวิทย์ของเรา ว่าจะ log-in ยังไง..?
    ถ้าไม่ได้จริงๆก็ลองสมัครใหม่ดูอีกครั้งแบบน้องลูกเกดนะครับ

    เห็นผู้อ่านเงียบที่มีความคิดอ่านสนุกซุกซนแบบนี้แล้ว
    ก็อยากให้เข้ามาแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันเยอะๆครับ
    ห้องวิทย์จะได้ขยายวงกว้างไกลออกไป
    เหมือนกับที่ พี่นักเขียนฯมาเฉลยการบ้านให้พวกเราฟังวันนี้ครับว่า...

    ทุกเป้าหมายมีความสำคัญ มีคุณค่าไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย และควรจะทำให้เราทั้งหลายตระหนักได้ว่า จิตวิญญาณรวม-มีเป้าหมายอันสูงสุด-ยิ่งใหญ่และครอบคลุมกว้างไกล เกินกว่าที่จะสามารถบรรลุเป้าหมายผ่านร่างเดียว บุคคลเดียว ชาติภพเดียว มิติเดียว

    เราทั้งหลายประสานกันเป็นระบบเครื่อข่าย ความคิดแต่ละความคิดและประสบการณ์ของแต่ละคนก็มีอิทธิพลต่อส่วนรวมอย่างมากที่จะเติมเต็มช่องว่างของเราแต่ละคนอย่างเป็นเอกลักษณ์ครับ
    รู้สึกภูมิใจและดีใจนะครับที่มีเพื่อนๆแบบพวกเราในวันนี้ ปรมมือให้ทุกคนเลย อิอิ
    ;aa17
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2008
  6. โมกลา

    โมกลา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +24
    ทดลองเข้าระบบ

    สวัสดีค่ะ

    โมกมาลาเองค่ะ หลังจากพยายามด้วย log in เดิมมีปัญหา ก็เลยสมัครใหม่ด้วยชื่อใหม่ โมกลา ค่ะ ถือโอกาสนี้รายงานตัวต่อหัวหน้าห้อง และแนะนำตัวใหม่ต่อเพื่อนๆค่ะ

    เป็นผู้ที่อยู่ด่านล่างเวทีมาสักระยะหนึ่งแล้ว แอบทำความรู้จักกับตัว
    ละครข้างเดียวมาพอสมควร ที่ยังไม่กระโดดขึ้นเวที สารภาพอย่างไม่อายว่า
    เรื่องคอมฯไม่เก่ง ไม่เคยโพสกระทู้ที่ห้องไหนมาก่อน แต่มาเจอสังคมของ
    ห้องนี้ และสิ่งที่เรียกร้องอยู่ภายใน คิดว่าคงถึงเวลาที่ต้องขื้นมาแสดงเองบ้างแล้ว เพื่อจะได้แลกเปลี่ยนมุมมองที่จะช่วยเติมเต็มประสบการณ์ ความรู้ให้
    แก่กันและกัน และตระหนักในความเป็นเครือข่ายของจิตวิญญาณ ที่จะเติบโตอย่างโดดเดี่ยวไม่ได้ ค่ะ


    มึความสุขมากที่ได้รู้จักกันค่ะ
     
  7. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441

    ;aa35 :z8

    สวัสดีครับคุณโมกมาลา ในที่สุดก็ log-in สำเร็จ
    ตอนแรกๆก็เป็นมือใหม่หัดโพสกันทั้งนั้น ทดลองไปเดี๋ยวคล่องเองครับ
    สงสัยอะไรเกี่ยวกับการใช้งานก็ถามได้เลยครับ..
    เล่าเรื่อง สหจะโยคะ ให้ฟังบ้างนะครับ ได้ยินได้อ่านมาบ้างแต่ไม่เคยไปเลยครับ
     
  8. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    เรื่อง login ของคุณโมกมาลาจะลองหาวิธีแก้ดูนะครับ

    คุณ Mead หายไปหลายวันเลย ก็ว่าอยู่ว่าต้องติดธุระ

    ความหมายของคำตอบที่คนเลือกหนังสือเล่มต่างๆ ที่พี่นักเขียนเขียนมานั้น ไม่ได้ตอบว่าอ.อนาลัยได้ตอบไว้ในเล่มไหน แต่ถ้าลองดูตามลำดับที่หยิบมาอ่าน ถ้าไม่นับเล่มธรรมชาติของชาติภพที่ออกมาก่อน เล่มที่หยิบมาอ่านก่อนก็คงจะเป็นประวัติศาสตร์ของจิตวิญญาณล่ะมั๊งถ้าจำไม่ผิด หรือไม่ก็ีชีวิตนอกเหนือชาติภพจำไม่ค่อยได้แล้ว แต่จะสังเกตเห็นว่าตัวเองสนใจเกี่ยวกับความเป็นจริงของจิตวิญญาณ ของชาติภพว่าจริงๆ แล้วมันเป็นยังไง

    คุณเซลล์, คุณSrirattana ได้สีคล้ายกับ Nick Vujicic เลยนะครับเนี่ย :D

    ขอยินดีต้อนรับคุณ โมกมาลา, โมกลา เข้าสู่การสนทนาด้วยนะครับ ;hi2
     
  9. kindred

    kindred เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +5,897
    ขอต้อนรับ
    "คุณโมกลา" ด้วยดอกโมกลา...นะค่ะ [​IMG]
     
  10. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    ถึงคุณ ศิริรัตนาคะ เห็นคุณบอกว่าไม่ค่อยสบาย เจ็บป่วย จินตวดีขอแนะนำในฐานะผู้ที่มีประสบการณ์มาแล้ว ขอให้คุณใส่ใจอีบุ๊คเล่มจิตวิญญาณประสานกายเป็นพิเศษ จะสามารถช่วยคุณได้บ้างไม่มากก็น้อย จินตวดีเคยทำมาแล้ว เห็นผล ช่วงไหนสุขภาพไม่ค่อยดีก็จะใช้วิธีที่แนะนำในหนังสือ จิตวิญญาณประสานกายเล่มนี้ ขอให้คุณโชคดีค่ะ

    ยินดีต้อนรับคุณ โมกลา ดอกโมกเขาว่าหอมนะคะ สีขาว ดอกเล็ก ๆ ทีทำงานจินตวดีเยอะเเลยค่ะ
     
  11. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,085
    ขอต้อนรับ
    "คุณโมกลา" สู่ห้องวิทย์ ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 2821.gif
      2821.gif
      ขนาดไฟล์:
      10.1 KB
      เปิดดู:
      237
    • L6796171-6.gif
      L6796171-6.gif
      ขนาดไฟล์:
      19.6 KB
      เปิดดู:
      41
    • Ecole5.gif
      Ecole5.gif
      ขนาดไฟล์:
      16.5 KB
      เปิดดู:
      259
    • rose_for_you.gif
      rose_for_you.gif
      ขนาดไฟล์:
      39.6 KB
      เปิดดู:
      36
  12. soul2006

    soul2006 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,026
    ค่าพลัง:
    +5,169
    ยินดีต้อนรับคุณโมกมาลาเช่นเดียวกันค่ะ ....คุณมี๊ดพูดถึง สหโยคะ..ดีเลยค่ะ กำลังสนใจศาสตร์โยคะอยู่ค่ะ ..เข้ามาแบ่งปันความรู้กันนะคะ...ถึงทุกๆ คนที่เป็นนักเรียนหลังห้องด้วยนะคะ เข้ามาร่วมพูดคุยกันหน้าห้องด้วยกันนะคะ...

    [​IMG]
     
  13. เซลล์

    เซลล์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +310
    [​IMG]
    ยินดีต้อนรับคุณ โมกลา นะครับ
    ในฐานะจิตวิญญาณต่างร่างร่วมวัตถุประสงค์ ;36
    และศิษย์พี่ ศิษย์น้องของสหจะโยคะนะครับ (smile)
     
  14. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ประสบการณ์รักษาโรคด้วยสมาธิ

    ก่อนหน้าที่พี่นักเขียนจะสามารถติดต่อสื่อสารและรับข้อมูลความรู้จากท่านอาจารย์อนาลัย พี่นักเขียนมีโรคประจำตัวหลายโรคด้วยกัน ได้แก่ โรคหมอนรองกระดูกเคลื่อน โรคไซนัส ไมเกรน และ โรคนอนไม่หลับ ทุกโรคมีอาการเรื้อรังยาวนานกว่า 20 ปี และแย่ลงเรื่อยๆจนถึงจุดที่แพทย์ที่รักษาไซนัส และ กระดูกต้องเสนอแนะให้รับการผ่าตัด พี่นักเขียนเคยเป็นผู้ที่ใช้ยามาก และอาศัยยาแก้ปวดมายาวนานหลายสิบปี ป่วยเป็นหวัดปีละหลายครั้ง แต่ละครั้งป่วยนานเป็นเดือนกว่าจะหาย

    โรคแรกที่อาการหนักถึงขั้นที่แพทย์ตัดสินใจให้รับการผ่าตัดคือ โรคหมอนรองกระดูกเคลื่อน ซึ่งเป็นที่ข้อต่อระหว่างกระดูกสันหลังกับกระดูกคอ เกิดจากการที่เคยยกของหนัก ทำให้หมอนรองกระดูกเคลื่อนออกจากตำแหน่งตามปกติและทับเส้นประสาท แม้จะได้ทำกายภาพบำบัดและหายเจ็บในครั้งแรก แต่ก็กลายเป็นโรคประจำตัว คือหมอนรองกระดูกจะตกรางบ่อยๆ ประจวบกับการที่พี่นักเขียนมีอาชีพเกี่ยวกับการผลิต software ต้องนั่งหน้าจอ computer วันละหลายชั่วโมง ทำให้อาการปวดแย่ลงไปอีก

    โรคประจำตัวอีกโรคหนึ่งคือ sinusitis หรือที่เราเรียกกันว่าโรคไซนัส เป็นโรคที่ทำให้ปวดศีรษะและปวดร้าวตามจุดต่างๆที่เกิดจากการอักเสบของเยื่อหุ้มโพรงในกระโหลกศีรษะ เป็นโรคประจำตัวที่เป็นมาตั้งแต่เด็ก และอาการแย่ลงมาเรื่อยๆจนอายุล่วงเลยมา 40 กว่า ได้รับการแนะนำจากแพทย์ให้ทำการเจาะบ้าง ผ่าตัดบ้าง แต่ก็ไม่เคยตัดสินใจทำ รับประทานยาแก้ปวดเป็นประจำ พ่นยาช่วยให้หายใจได้เป็นประจำ จนกระทั่งได้ไปฝึกสมาธิ ทำให้รับประทานยาแก้ปวดน้อยลง และหายใจได้เป็นปกติโดยไม่ต้องใช้ยาบ่อยเท่าที่เคย

    คืนหนึ่งอาการปวดกำเริบหนักมาก ปวดร้าวทุกจุดบนกระโหลกศีรษะ แตะเพียงแค่ปลายคางก็น้ำตาร่วงแล้วค่ะ ตั้งใจว่าตื่นเช้าจะไปหาหมอเป็นสิ่งแรก และจะตกลงใจรับการบำบัดตามหมอสั่ง ไม่ว่าจะเจาะหรือจะผ่าตัดก็ยอม ตลอดวันได้ทานยาแก้ปวดเป็นระยะเพราะติดประชุมหลายประชุม ไม่มีเวลาไปพบแพทย์ จนทำให้ต้องรับประทานยาเกินขนาดไปหลายเม็ด แต่อาการก็ไม่ได้ทุเลาเลยแม้แต่น้อย

    พี่นักเขียนรีบเข้านอนแต่หัวค่ำเวลาสามทุ่ม แต่นอนหลับไม่ได้เพราะว่าปวดร้าวมาก จึงตัดสินใจลุกขึ้นนั่งทำสมาธิ โดยจดจ่อกับความเจ็บปวดนั้น ไม่นานนักก็รู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับความเจ็บปวด มันไม่ได้หายไปไหนแต่เป็นภาวะที่รู้สึกเสมือนว่า-เจ็บปวดจนชินชา หากเปรียบกับเด็กที่เล่นม้าหมุนแล้วกลัวเวลาที่ม้าหมุนกำลังหมุนติ้วอย่างรวดเร็ว ภาวะดังกล่าวนี้จะเหมือนภาวะท่ี่กลัวจนหายกลัว และปล่อยให้ตนเองกลายเป็นส่วนหนึ่งของการหมุนติ้วนั้น

    ครู่ต่อมาพี่นักเขียนแลเห็นความเจ็บปวด เป็นเสมือนวงกลมสีดำใหญ่ ที่แผ่ขยายอยู่ภายในมโนภาพ และมีตัวรู้เกิดขึ้นอย่างฉับพลันว่าจะต้องจดจ่อกับวงกลมสีดำนั้นและย่อส่วนมันลง

    พี่นักเขียนก็จดจ่อกับวงกลมสีดำนั้นๆต่อไป พบว่ามันหดลงๆเรื่อยๆ จนในที่สุดมันก็สลายตัวไปจนไม่เหลือร่องรอย ได้ถอนออกจากสมาธิ เมื่อลองแตะปลายคางดู ปรากฏว่าไม่เหลือร่องรอยของความปวดร้าวเลยแม้แต่น้อยนิด พี่นักเขียนเหลือบดูนาฬิกา-เป็นเวลาตีสาม ไม่ได้ตระหนักเลยว่า ได้นั่งสมาธิยาวนานติดต่อกันโดยไม่ได้ขยับตัวเลยถึง 6 ชั่วโมงเต็ม รู้สึกสบายดีราวกับว่าไม่เคยเจ็บปวดมาก่อนเลย เข้านอนก็หลับสนิท ตื่น 6 โมงเช้า นอนเพียงสามชั่วโมงก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่า

    อาการของโรคไซนัสหายสาบสูญไปโดยไม่เหลือร่องรอย และไม่ได้รับประทานยาแก้ปวดอีกเลยนับแต่นั้นมา

    ส่วนโรคหมอนรองกระดูกเคลื่อน เป็นโรคที่รักษาให้ตนเองไม่ได้จนกระทั่งได้สื่อสารกับท่านอาจารย์อนาลัย และได้เรียนรู้ว่า ธรรมชาติจะรักษาโรคด้วยตนเอง หรือกลับคืนสู่สภาพที่สมดุลย์ตามธรรมชาติได้เสมอ หากเราไม่ขัดขวางธรรมชาติ ด้วยการไม่เชื่อถือ ไม่ศรัทธาในธรรมชาติ และใช้ยา ใช้วิธีการภายนอกต่างๆที่อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียง

    อาการของโรคหมอนรองกระดูกเคลื่อนทรุดลงไปเรื่อยๆ หลังจากที่กลายเป็นโรคประจำตัวกว่าสิบปี แพทย์เคยสั่งให้ไปทำกายภาพบำบัดเป็นครั้งคราว ครั้่งนั้นสั่งให้ไปทำกายภาพบำบัดต่อเนื่อง 10 courses และเพิ่งทำไปได้เพียง 3 courses แพทย์ก็บอกว่า-ป่วยการ ควรจะรับการผ่าตัดทันที เพราะกายภาพบำบัดไม่อาจช่วยให้ดีขึ้นได้เลย แพทย์ผู้นัั้นได้อธิบายให้พี่นักเขียนฟังว่า เขาจะใช้แผ่นเหล็กดามสองข้างกระดูกสันหลังที่ต่อกับกระดูกคอ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการ-ตกราง-อีกต่อไป

    แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาคือ พี่นักเขียนจะกลายเป็นผู้ที่หันคอไม่ได้ตามปกติอีกต่อไป ต้องหันทั้งตัว และไม่สามารถเคลื่อนไหวคอได้อีกต่อไป ไม่ต้องเอ่ยถึงการเล่นกีฬาหรือเต้นรำ แม้กระทั่งการไอ จาม หรือแปรงฟันก็ต้องอยู่ในท่าที่เป็นเสมือนหุ่นยนต์ ต้องเอามือประคองให้ศีรษะเคลื่อนไหวน้อยที่สุดในขณะที่ไอ-จามหรือแปรงฟัน แพทย์ได้สั่งให้ไปรับการฝึกอบรมเพื่อเปลี่ยนอิริยาบท เปลี่ยนกิจวัตรประจำวัน ก่อนที่จะเข้ารับการผ่าตัด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ-ที่อาจจะก่อให้เกิดความยุ่งยากอื่นๆตามมา เช่น น้อตหลุด แผ่นเหล็กที่ดามเคลื่อน หรือ บิดเบี้ยว อันเกิดจากการเคลืื่อนไหวตามธรรมชาติ ตามบุคลิกภาพ ตามอุปนิสัย ที่ต่อไปจะกลายเป็นส่ิงที่เรียกว่า-ผิดท่า

    ขณะนั้นพี่นักเขียนอายุได้ 38 ปี พี่นักเขียนตระหนักว่า กระบวนการทั้งหมดจะพลิกผันชีวิตของตนเอง จนทำให้สูญเสียบุคลิกภาพและอิสรภาพมากมายไปและจะไม่อาจเรียกกลับคืนมาได้อีก-ตลอดชีวิต สามีของพี่นักเขียนได้พยายามเสาะหาแพทย์ที่จะให้ second opinion และวันหนึ่งเขาได้ไปพาพี่นักเขียนไปพบกับ Chiropractor ซึ่งเป็นแพทย์ชาวอเมริกันที่รักษาด้วยการจัดกระดูก (คลีนิกอยู่ซอยประสานมิตร-สุขุมวิท) แพทย์ชาวอเมริกันผู้นี้ได้ออกความเห็นว่า พี่นักเขียนควรจะว่ายน้ำ เพื่อช่วยทำให้กล้ามเนื้อคอมีความแข็งแรงขึ้น ซึ่งจะช่วยรับน้ำหนักศีรษะของตนเองได้ดีกว่าเดิม อาการ-ตกราง-จะเว้นว่างไปได้บ้าง และวินิจฉัยว่า การที่พี่นักเขียนทำงานชนิดที่นั่งหน้าจอ computer มายาวนานหลายปี และได้รับการแนะนำผิดๆจากบุคลากรของโรงพยาบาล ที่แนะนำให้นอนราบโดยไม่ใช้หมอนเพื่อระงับการปวดคอ กลับทำให้กระดูกคอของพี่นักเขียนผิดรูปไปจากธรรมชาติ มันตรงเหมือนไม้บรรทัด

    แพทย์รายนี้บอกว่าศึรษะของคนเราตามปกติหนักถึง 13 lb (7 กิโลกรัม) และการที่กระดูกคอของพี่นักเขียนตรงเกินไป ทำให้มันขาดความยืดหยุ่นหรือสปริงที่จะรับน้ำหนักกระโหลกศีรษะของตนเองได้ หมออุตส่าห์จะติดตลกโดยบอกว่าพี่นักเขียนเรียนจบปริญญาเอก ศีรษะคงจะหนักยิ่งกว่าคนทั่วไป ทำให้กระดูกคอของตนเองรับน้ำหนักศีรษะไม่ไหว แม้จะขำก็หัวเราะไม่ออก-เพราะกำลังปวดคอจนกลัวจะตกรางยิ่งไปกว่าเดิม

    คำแนะนำให้ว่ายน้ำและออกกำลังเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรง เป็นคำแนะนำที่พี่นักเขียนรู้สึกว่าน่าเชื่อถือ และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด นับแต่วันนั้นพี่นักเขียนตัดสินใจหนีแพทย์ที่เสนอให้ผ่าตัดโดยไม่ไปพบแพทย์อีกเลย และไปว่ายน้ำสัปดาห์ละ 3 วัน โดยเริ่มต้นจากว่ายขวางบ่อซึ่งกว้างเพียง 12 เมตร ไปได้ไม่ถึง 3 เมตรก็จมน้ำแล้วค่ะ เพราะเคยเรียนว่ายน้ำตั้งแต่เล็กๆแล้วไม่ได้ว่ายอีกเลย สามีของพี่นักเขียนก็อดทนและช่วยเหลืออย่างมาก ด้วยการสอนให้ว่ายน้ำใหม่อีกครั้งอย่างช้าๆ และว่ายน้ำเป็นเพื่อนอย่างสม่ำเสมอไม่เคยขาด

    จากนั้นพี่นักเขียนได้พิจารณาพฤติกรรมของตนเอง พบว่าตนเองได้นอนโดยไม่หนุนหมอนมายาวนานถึง 7 ปี จึงตัดสินใจท่ี่จะทำให้กระดูกคอของตนเองคืนสภาพ ด้วยการนำเอาผ้าขนหนูผืนเล็กๆมาม้วนและนำมาหนุนต้นคอแทนหมอน เพราะจากภาวะที่กระดูกคอตรงเป็นไม้บรรทัดนั้น หนุนหมอนไม่ได้เลยเพราะจะปวดคอมาก
    เป้าหมายของพี่นักเขียนคือ จะดัดกระดูกคอของตนเองให้กลับคืนเป็นเส้นโค้งตามธรรมชาติเหมือนเดิม

    สามปีผ่านไป พี่นักเขียน(และสามี)กลายเป็นนักว่ายน้ำ ที่ว่าย freestyle ได้ 1,000 เมตรติดต่อกันโดยไม่หยุดพักใช้เวลาทั้งหมด 45 นาทีต่อครั้ง และว่ายสัปดาห์ละสามวัน ระหว่างนั้นผ้าขนหนูผืนน้อยก็ถูกเปลี่ยนขนาดไปเรื่อยๆจนในที่สุด กลายเป็นหมอนตามปกติ

    อาการ-ตกราง-เว้นว่างห่างมากขึ้นๆ เหลือเพียงอาการปวดเมื่อยคล้ายตกหมอน และหายไปได้เองด้วยการว่ายน้ำต่อไปในเวลาเพียงไม่กี่วัน ทุกวันนี้หากนั่งทำงานหน้าจอนานๆปวดคอเมื่อใด ก็หายไปได้ในเวลาข้ามคืน และสามารถยกของหนักๆได้ตามปก ด้วยการตั้งสติให้ดีก่อนและบอกกับตนเองว่า "ฉันแข็งแรง" เหตุที่ต้องทำเช่นนี้เพราะเดินทางคนเดียวบ่อยๆ ยกกระเป๋าเดินทางได้เอง บางครัั้งยังช่วยยกออกจาก belt หรือยกใส่ overhead locker ให้คนแก่อีกด้วยค่ะ

    พี่นักเขียนได้หายป่วยจากโรคประจำตัวที่ดูเสมือนจะไม่มีทางรักษาได้ โดยปราศจากกระบวนการที่รุนแรง และทำให้ต้องผิดแผกไปจากธรรมชาติยิ่งไปกว่าเดิม การรักษาโรคด้วยตนเอง ต้องอาศัยสมาธิและการมีวินัยเป็นพื้นฐาน การฝึกสมาธิ ช่วยให้ร่างกายสามารถเข้าสู่ภาวะที่ปราศจากการขัดขวาง และทำงานได้ตามธรรมชาติอย่างที่มันควรจะเป็น วินัยช่วยทำให้เราเลิกประพฤติปฏิบัติในทิศทางที่เป็นพิษเป็นภัย หรือก่อให้เกิดโรค ก่อให้เกิดการเจ็บปวดต่อร่างกายของตนเอง

    การฝึกสมาธิ ช่วยทำให้เราสามารถสำรวจตนเองได้อย่างมีสติ และทำให้พบได้เสมอว่า อิริยาบทหรือพฤติกรรมใด ส่งเสริมหรือสนับสนุนให้ความป่วย ความเจ็บเหล่านั้นดำเนินต่อไป ไม่ว่ามันจะเป็นเพียงอิริยาบท ยืน เดิน นั่ง นอน การรับประทานอาหาร การนอนหลับ การออกกำลังกาย ฯลฯ ล้วนเป็นกิจวัตรประจำวันที่อาจให้โทษต่อตนเองได้มากกว่ากิจกรรมอื่นๆที่ไม่ใช่กิจวัตรประจำวันด้วยซ้ำไป เพราะหากเราขาดสติที่จะสำรวจตนเอง เราอาจจะไม่ได้ตระหนักเลยว่า เรานอนหลับในท่าที่ทำร้ายตนเองอยู่ทุกเมื่อเชื่อคืน ทำให้ตื่นขึ้นมาปวดแขน ปวดขา หรือเรามักยืนในท่าที่ทำให้ขาของเรารับน้ำหนักไม่เท่ากัน ทำให้เกิดอาการปวดเอว ปวดหลัง ฯลฯ เป็นต้น

    การใช้จินตภาพ อาจจะดูเสมือนเป็นสิ่งที่ไร้สาระและไม่น่าจะรักษาหรือกำจัดโรคภัยไข้เจ็บได้ แต่ผู้ที่รักษาโรคให้ตนเองมาแล้วมากต่อมาก ก็ล้วนหายป่วยด้วยการใช้จินตภาพในการรักษาทั้งสิ้น แม้แต่แพทย์แผนใหม่ซึ่งป่วยเป็นโรคมะเร็งชื่อ Dr. Paul Pursell ก็ได้รักษาตนเองให้หายจากโรคมะเร็งด้วยจินตภาพมาแล้ว Dr. Depak Chopra ก็แนะนำให้ผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งของเขา รักษาตนเองด้วยวิธีการใช้จินตภาพมาแล้วอย่างได้ผลมากมาย

    ที่เล่ามายืดยาว เพื่อจะบอกกับพวกเราและผู้อ่านทุกท่านว่า พี่นักเขียนศรัทธาในคำสอนของท่านอาจารย์อนาลัยที่กล่าวว่า ปาฏิหารย์ที่แท้จริง คือ ธรรมชาติซึ่งปราศจากการขัดขวาง และได้ใช้ข้อมูลความรู้ที่ปรากฏในหนังสือ จิตวิญญาณประสานกาย เพื่อรักษาตนเองให้หายป่วยมาแล้ว และหวังอย่างยิ่งว่าผู้ป่วยทั้งหลายที่หมดหวังกับการรักษาด้วยวิธีการอื่นๆ จะได้มีโอกาสอ่านหนังสือเล่มนี้ ตลอดจนผู้ที่ทำหน้าที่ดูแลผู้ป่วย จะได้มีโอกาสนำหลักการที่ปรากฏในหนังสือ ไปแนะนำช่วยเหลือผู้ป่วยที่ไม่สามารถอ่านหนังสือได้ด้วยตนเอง

    ขอจบเรื่องประสบการณ์การรักษาโรคด้วยการทำสมาธิ และการมีวินัยไว้เพียงเท่านี้ก่อน และจะตอบคำถามเกี่ยวมุมมองที่เปลี่ยนไปกับคำว่า จิตวิญญาณประสานกาย ต่อค่ะเพื่อไม่ให้ยาวยิ่งไปกว่านี้(rose)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กรกฎาคม 2008
  15. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    จิตวิญญาณประสานกาย

    มุมมองของพี่นักเขียนเปลี่ยนไป ก่อนหน้าที่จะเขียนหนังสือเรื่อง จิตวิญญาณประสานกาย จบลง โดยเปลี่ยนความเชื่อในการใช้ยาเพื่อรักษาโรคและการรักษาจากภายนอก มาเป็นความเชื่อในการรักษาตนเองตามธรรมชาติ และการรักษาจากภายใน ด้วยการรักษาอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของตนเอง ให้ตั้งอยู่ในภาวะที่เป็นแง่บวกเสมอๆ แม้บางครั้งอาจจะเผลอไผลคิดแง่ลบไปบ้าง ได้สติเมื่อไรก็เหนี่ยวนำตนเองให้พลิกอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดให้เป็นไปในแง่บวกบ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งเมื่อทำบ่อยเข้าก็กลายเป็นนิสัย

    ทุกวันนี้ไม่ได้หมายความว่า พี่นักเขียนไม่มีปวดหัวตัวร้อน หรือ ปวดท้อง ปวดหลัง แต่หลังจากที่เรียนรู้ถึงการรักษาโรคด้วยสมาธิ และ เรียนรู้ที่จะเชื่อถือในธรรมชาติร่างกายของตนเองแล้ว ไม่ว่าจะมีอาการใดๆ มักจะหายไปได้ในเวลาอันสั้น เช่นภายในช่วงเวลาทำสมาธิเพียง 30-40 นาที ข้ามคืน หรืออย่างมาก 2-3 วันด้วยการทำสมาธิเสมอ โดยไม่ต้องใช้ยา แต่จำไม่ได้ว่าป่วยเป็นหวัดครั้งสุดท้ายกี่ปีมาแล้ว เพราะนานกว่า 7 ปีมาแล้วแน่นอนค่ะ

    คำว่า จิตวิญญาณประสานกาย เป็นชื่อของหนังสือที่พี่นักเขียนรับเอาจากท่านอาจารย์อนาลัย ด้วยความรู้สึกที่ว่า ท่านหมายถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างแยกไม่ได้ของร่างกายเนื้อหนังและจิตวิญญาณ ซึ่งท่านได้กล่าวไว้เสมอๆว่า มนุษย์ คืิอ จิตวิญญาณที่มาถือกำเนิดเป็นร่างกายเนื้อหนัง จิตวิญญาณไม่ได้เข้าสู่ร่างเมื่อเรามาถือกำเนิด หรือ ออกจากร่างเมื่อเราตายไป หากแต่ว่าจิตวิญญาณประสานหรือสถิตย์อยู่ในเซลล์เล็กๆของสิ่งที่เราเรียกกว่า สิ่งมีชีวิต และ สิ่งไม่มีชีวิตทุกอนู แม้แต่เซลล์ของร่างกายที่ตายไปแล้ว ก็มีจิตวิญญาณ ที่จะแปลงสภาวะต่อไปอีก

    การเป็นบุคคลตัวตนหรือรูปกายของเรา จึงเกิดจากหน่วยเล็กๆของจิตวิญญาณที่สถิตย์อยู่ในเซลล์ รวมตัวกัน และแปลงสภาวะเป็นโมเลกุล อวัยวะ ระบบอวัยวะ ร่างกาย หากเราย้อนกลับไปถึงสาระที่ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวไว้ในหนังสือ โนวา อนาลัย ขยายความ ธรรมชาติของชาติภพ ว่า จิตวิญญาณ คือ ข้อมูลความรู้และความทรงจำข้ามชาติภพ ที่ถ่ายทอดได้ด้วย อารมณ์-จินตนากาและความรู้สึกนึกคิด

    เซลล์เล็กๆเพียงเซลล์เดียว ย่อมมี ข้อมูลความรู้และความทรงจำข้ามชาติภพ ที่ถ่ายทอดได้ด้วย อารมณ์-จินตนากาและความรู้สึกนึกคิดเช่นกัน ร่างกายตัวตนของเราจึงเป็นผลรวมของข้อมูลความรู้และความทรงจำข้ามชาติภพ ที่ถ่ายทอดได้ด้วย อารมณ์-จินตนากาและความรู้สึกนึกคิด ของเซลล์นับล้านเซลล์รวมกัน

    คำว่า จิตวิญญาณประสานกาย จึงหมายถึง ภาวะที่แท้จริงของการเป็นบุคคลตัวตน พร้อมด้วยสุขภาพร่างกาย ที่เป็นไป เพราะข้อมูลความรู้และความทรงจำข้ามชาติภพ ที่ถ่ายทอดได้ด้วย อารมณ์-จินตนากาและความรู้สึกนึกคิด ที่เราแต่ละคนจดจ่อ เราทั้งหลายจึงมีพลังอำนาจและความสามารถตามธรรมชาติ ที่จะรักษาโรคได้ด้วยตนเอง(rose)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กรกฎาคม 2008
  16. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    เป้าหมายอันยิ่งใหญ่ของทารกน้อย

    สาระเกี่ยวกับการทำแท้ง เป็นสาระเกี่ยวกับ การทำลายชีวิต ที่ไม่อาจมีข้อตกลงที่ยุติได้จากมุมมองต่างๆของมนุษย์ ซึ่งมีความเชื่อที่แตกต่างกัน

    ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวไว้ในหนังสือ ประวัติศาสตร์ของจิตวิญญาณว่า การฆ่าหรือการปลิดชีวิต เป็น การล่วงละเมิดธรรมชาติ ไม่ว่าการฆ่าหรือการปลิดชีวิตนั้นๆจะตั้งอยู่บนเหตุผลใดก็ตาม เพราะจิตวิญญาณทั้งหลายมาถือกำเนิด เพื่อเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบกาณ์และเรียนรู้ถึงคุณค่าของชิีวิต ด้วยการดำเนินชีวิตในวิถีทางอันเป็นเอกลักษณ์ การพัฒนาของหน่วยย่อยของจิตวิญญาณทุกหน่วย ส่งผลกระทบต่อหน่วยย่อยของจิตวิญญาณอื่นๆ และต่อจิตวิญญาณรวมทั้งหมด การฆ่าหรือปลิดชีวิตของสรรพสิ่งทั้งหลาย แม้แต่การฆ่ามด แมลง ยุง หรือ ต้นไม้ ก็ส่งผลกระทบต่อจิตวิญญาณในนัยเดียวกัน

    ในนัยนี้กล่าวได้ว่า ไม่ว่าทารกจะถือกำเนิดในครรภ์มารดาด้วยร่างกายที่พิกลพิการเช่นไรก็ตาม เขาได้เลือกมาถือกำเนิดพร้อมด้วยคุณลักษณะนั้นๆ เพื่อเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบกาณ์และเรียนรู้ถึงคุณค่าของชิีวิต ด้วยการดำเนินชีวิตในวิถีทางอันเป็นเอกลักษณ์ พร้อมด้วยความพิการนั้นๆ

    คำกล่าวน้ีอาจจะเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ยาก เพราะมนุษย์มักสรุปโดยปริยายจากมุมมองส่วนตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากมุมมองของคนที่มีแขนขาครบว่า ไม่มีผู้ใดปรารถนาที่จะเกิดมาเป็นบุคคลที่พิการ แต่หากเราฟังและเฝ้าดูบุคคลเช่น Nick Juvicic เราจะได้ยินเขากล่าวว่า เขาขอบคุณพระเจ้าที่ให้เขาเกิดมาพร้อมด้วยสภาพที่เขาเป็นอยู่นั้น และมีคนอีกมากมายที่เกิดมาพร้อมด้วยคุณลักษณะที่คนหมู่มากวินิจฉัยว่า ขาดคุณสมบัติของความเป็นคนอันครบคน แต่เขาเหล่านั้นกลับกลายเป็นผู้ที่เติมเต็มชีวิตได้อย่างน่าทึ่ง และเราก็จะได้ยินเขากล่าวเช่นเดียวกันว่า เขาไม่เคยเสียใจที่ต้องมาถือกำเนิดด้วยภาวะนั้น แต่รู้สึกขอบคุณชีวิต ขอบคุณจักรวาล หรือขอบคุณพระเจ้า ที่มอบความเป็นเอกลักษณ์นั้นๆให้กับเขา

    พี่นักเขียนมีความเห็นว่า การปลิดชีวิตของทารกทีพิการ ตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์มารดา เป็นสิ่งที่ขาดความยุติธรรมอย่างยิ่ง เพราะเป็นการวินิจฉัยและตัดสินของผู้อื่น ที่เปรียบเทียบคุณสมบัติของทารกกับมาตรฐานมนุษย์ตั้ง หากทารกทั้งหลายที่ถูกปลิดชีวิตด้วยการทำแท้งไป ได้รับโอกาสให้เติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์และเรียนรู้คุณค่าชีวิตของเขา แต่ละคนอาจจะไม่ได้ดำเนินวิถีชีวิตที่โด่งดังเหมือน Juvicic และอาจเผชิญกับความยากจนค่นแค้น ความยากลำบากในทิศทางต่างๆ แต่เขาย่อมเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์และเรียนรู้คุณค่าชีิวิตได้ในทิศทางที่เป็นเอกลักษณ์ของเขา ไม่ว่ามันจะเป็นวิถีทางใดๆก็ตาม รวมทั้งวิถีทางที่เราเรียกเขาว่า - คนพิการ คนยากจน หรือ บุคคลที่ด้อยโอกาส

    กฏหมายและการสนับสนุนของสังคมโลก เป็นส่ิงที่ทำให้จิตวิญญาณที่เลือกมาถือกำเนิด พร้อมด้วยความพิการ ได้รับการเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์ชีวิตในทิศทางที่เราเรียกได้ว่า บรรลุความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ด้วยการสนับสนุนจากคนหมู่มาก ความพิการของ Juvicic ไม่ใช่สิ่งที่เรียกร้องความสนใจของคนจำนวนมาก หากแต่ความไม่ย่อท้อ ความไม่สิ้นหวัง และความศรัทธาอันสูงส่งในตนเองของเขาที่ล้ำหน้าคนมีแขนขาต่างหาก ที่ทำให้คนเหล่านั้นรวมทั้งพวกเราต้องให้ความสนใจแก่เขา

    มีคนพิการเช่น Juvicic อีกมากมาย ที่พี่นักเขียนเคยพบเห็นตามสะพานลอยแถวสี่แยกประทุมวัน สวนจตุจักร และที่สถานรับเลี้ยงเด็กตาบอดและพิการซ้ำซ้อน แถวลาดพร้าว แต่ก็ไม่ได้มีผู้ใดให้ความสนใจในทิศทางเดียวกับที่ให้ Juvicic ในทางตรงกันข้าม คนจำนวนมากให้ความสมเพศหรือสงสารพวกเขา ซึ่งพี่นักเขียนเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ Juvicic ไม่พึงปรารถนาอย่างยิ่ง และเป็นแรงบันดาลใจให้เขาพยายามทำทุกส่ิงทุกอย่างที่จะเอาชนะภาวะที่จะต้องตกอยู่ในสภาพที่ได้รับความสมเพศหรือสงสาร

    ในที่นี้พี่นักเขียนไม่ได้หมายความว่า คนพิการอื่นๆนอกเหนือไปจาก Juvicic พอใจที่ได้รับความสมเพศหรือความสงสาร ในทางตรงกันข้าม พี่นักเขียนเชื่อว่า ไม่มีคนพิการท่านใดที่ต้องการความสมเพศหรือความสงสาร เพราะในหัวใจของพวกเขา มีความเข้มแข็งและยิ่งใหญ่ในทิศทางที่คนแขนขาครบอย่างพวกเรา หยั่งไม่ถึง เราจึงพบเห็นคนพิการที่ทำในสิ่งที่คนแขนขาครบทำไม่ได้มากมาย เช่น คนพิการที่วาดภาพระบายสีด้วยเท้าที่มีอยู่จำนวนมากในบ้านเรา คนพิการที่เป็นนักดนตรี ศิลปิน ฯลฯ
    [​IMG]
    ขอบคุณ คุณ zip ที่นำสาระที่สัมผัสอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดอย่างลุ่มลึกมาแชร์พวกเราค่ะ สาระนี้เป็นสาระที่อยู่คู่สังคมโลกมายาวนาน จนเกิดเป็นกฏหมายที่ต้องมีการปรับเปลี่ยนไปไม่รู้จบ ทำให้น่าคิดว่า จิตวิญญาณที่มาถือกำเนิดในครรภ์มารดาและไม่ได้มีโอกาสออกมาดูโลก เป็นจิตวิญญาณที่มาเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์ในทิศทางของเขา ที่แม้ว่าจะดูเสมือนเป็นช่วงเวลาสั้นๆไม่เกิน 9 เดือน แต่ในนัยของจิตวิญญาณแล้ว พี่นักเขียนเชื่อว่าเวลาปราศจากความหมาย จิตวิญญาณเหล่านั้นล้วนมาถือกำเนิดในครรภ์มารดา เพื่อก่อให้เกิดการพลิกผันเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก ของกฏหมาย และความเชื่อของคนจำนวนมาก และส่งผลกระทบต่อความคิดและการตัดสินใจของชาวโลกจำนวนมาก ก่อนหน้าที่พวกเขาจะออกมาดูโลก และบางคนก็ส่งผลกระทบต่อสังคมโลก โดยที่เขาไม่ได้ออกมาดูโลกเลยด้วยซ้ำไป ความเป็นทารกที่พิการของพวกเขา จึงเป็นทางเลือกที่มีเป้าหมายชีวิตระยะสั้นแต่ยิ่งใหญ่ และเป็นทางเลือกที่ส่งผลกระทบต่อจิตวิญญาณอื่นๆมากมายมหาศาล-อย่างน้อยที่สุด-ก็ทั่วทั้งโลกใบนี้ที่เรารู้จัก(rose)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กรกฎาคม 2008
  17. เซลล์

    เซลล์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +310
    ขอบคุณพี่นักเขียนนะครับ ที่แบ่งปันประสบการณ์ที่มีค่าให้พวกเราทราบครับ
    ผมไม่เคยคิดว่ายาวไปนะครับ เพราะเป็นประสบการณ์ที่มีค่ามาก ;aa46

    อ่านแล้วน้ำตาคลอเลย ประสบการณ์ที่พี่นักเขียนได้รับจากความเจ็บป่วย เข้มข้นมากๆครับ เรื่องหมอนรองกระดูกเคลื่อน เพื่อนสนิทของผมคนหนึ่งเป็นโรคนี้ ทั้งๆที่อายุเพิ่งจะ 30 ปี ต้องตัดปลายกระดูกที่เคลื่อนมาทับเส้นประสาท ทำให้เดินไม่ได้ และก็ต้องทำกายภาพบำบัดนานหลายเดือน เพื่อที่จะให้เดินได้ แต่หมอได้วินิจฉัยแล้วว่า เดินได้ แต่ไม่สามารถวิ่งได้ และออกกำลังกายที่ต้องใช้แรงได้อีกต่อไป

    ผมเห็นแล้วรู้สึกห่วงใยมากๆ พอได้มาศึกษาในเรื่อง การเติมเต็มช่องว่างของประสบการณ์ในชีวิต ที่ท่าน อ.อนาลัย กล่าวไว้ ทำให้มุมมองในเรื่องนี้เปลี่ยนไปครับ ผมยังห่วงใย และคอยเป็นกำลังใจให้เพื่อนได้เติมเต็มช่องว่างของประสบการณ์ต่อไป เมื่อเค้าผ่านความเชื่อในตนเอง และความเชื่อที่มาจากคำวินิจฉัยของหมอได้แล้ว คงจะได้พบผลกำไรกับชีวิตเป็นอย่างมาก

    ในการรักษาโรคให้ตนเอง ผมเชื่อในวิธีปฎิบัติครับ ว่าได้ผลจริง เวลาป่วย ผมจะเลี่ยงไม่ทานยาครับ เพราะการทานยาเหมือนเป็นแค่ระงับอาการชั่วคราว แต่ไม่หายขาด

    การนั่งสมาธิสามารถหายจากโรคได้อย่างปัจจุบันทันด่วน แต่ก็สามารถกลับมาเป็นได้อีกเรื่อยๆ

    เมื่อมองย้อนกลับไปในเหตุการณ์อดีต ผมมีความเชื่อว่า เมื่อเราป่าย แสดงว่า ร่างกายเราป่วย เราสุขภาพไม่ดี และก็จะคิดต่อไปอีกว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา เป็นแค่ยานพาหนะ ของจิตวิญญาณ ความเชื่อนี้เป็นสิ่งที่ดี ที่ทำให้เราไม่ยึดติด และบำรุงบำเรอพาหนะเรามากเกินไป จนละเลยคำว่าจิตวิญญาณไป

    แต่อีกนัยหนึ่ง ผมติดอยู่ในความเชื่อ ที่ไม่ใช่ความรู้ ผมก็ได้แบ่งแยกว่า พาหนะนี้ไม่ใช่จิตวิญญาณเราเช่นกัน ผมจะมองแยกส่วนระหว่างจิตวิญญาณ และพาหนะ

    ถึงแม้ว่าผมจะมีวินัยในการออกกำลังกาย หรือการรักษาโดยใช้พลังงานต่างๆเข้ามารักษา ก็ไม่หายขาดครับ

    ผมเลยเห็นว่าในตอนนั้น ผมขาดศรัทธาในการรักษาตนเองทางธรรมชาติของร่างกาย และขาดความเข้าใจที่แท้จริง

    ขอบคุณสำหรับคำตอบที่ชัดเจนของ อ.อนาลัย และพี่นักเขียน มากๆครับ ที่ช่วยเติมเต็มประสบการณ์ให้กับผม (smile)

    ขอบคุณคำถามดีๆของของ zip คุณเดรด เรื่องการทำแท้งนะครับ ทำให้พวกเราได้รับคำตอบดีมากมากจากพี่นักเขียนครับ (smile)
     
  18. โมกลา

    โมกลา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +24
    สหจะโยคะ

    .......
     
  19. เซลล์

    เซลล์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +310
    ยินดีครับ คุณโมกลา

    ในศาสตร์ของสหจะโยคะ เบื้องต้นคือ เริ่มตระหนักรู้ในตนเอง โดยใช้จิต รับทราบข้อมูล ความรู้ ความทรงจำข้ามภพชาติครับ
    (ผมจะใช้ความหมายของท่าน อ.อนาลัยนะครับ เพราะเป็นความหมายที่ครอบคลุมมากกว่าคำว่าพลังงาน)

    อย่างเช่นว่า เมื่อเราไปร้านหนังสือ และต้องการที่จะเลือกซื้อหนังสือเล่มใด จะดูจากข้อมูล ความรู้ ความทรงจำข้ามภพชาติ (วิญญาณ) ก่อนครับ เพียงใช้จิตในการสัมผัสเบื้องต้น ก็จะทราบว่าหนังสือเล่มนั้นเหมาะสม และดีต่อการพัฒนาทางจิตวิญญาณเราหรือเปล่า

    โดยการรับสัมผัส และสะท้อนออกมาที่ประสาทสัมผัสภายในร่างกายครับ

    เช่น หนังสือของท่าน อ.โนวา อนาลัย จะมีวิญญาณที่บริสุทธิ์ไหลเวียนอยู่ ผู้ที่เข้ามาอ่านก็จะดูดซับพลังงานบริสุทธิ์นั้นได้ทันทีครับ จะรู้ตัวหรือไม่ ก็จะได้รับเช่นเดียวกัน หากสามารถเปลี่ยนความเชื่อที่อยู่ในใจ จากการอ่านหนังสือได้แล้ว ในเรื่องนั้น เราก็คือสิ่งนั้น ไม่มีความแตกต่าง (smile)
     
  20. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,085
    <TABLE class=tborder id=threadslist cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY id=threadbits_forum_2><TR><TD class=alt1 id=td_threadtitle_86527 title="(f)แนะนำ เชิญเข้าร่วมสนทนาพิเศษเรื่อง มิติ ความฝัน ชาติภพ จิตวิญญาณ โดย @โนวา อนาลัย@ [Writer] (7 คน กำลังดูอยู่) ([​IMG] 1234567891011121314151617181920 ... หน้าสุดท้าย)
    [​IMG] mead
    </TD><TD class=alt2 title="จำนวนตอบ: 5,426, จำนวนอ่าน: 142,233">วันนี้ 12:54 PM
    โดย เซลล์ [​IMG]

    </TD><TD class=alt1 align=middle>5,426</TD><TD class=alt2 align=middle>142,233</TD></TR></TBODY></TABLE>


    <TABLE class=tborder id=threadslist cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY id=threadbits_forum_2><TR><TD class=alt1 id=td_threadtitle_30034 title="ผมเคยนำรูปภาพเทพทางศาสนาฮินดู ให้คนรู้จักคนหนึ่งดู เขามองดูนิ่งอยู่สักครู่ แล้วสิ่งที่ผมไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เขามีอาการเหมือนคนร้องไห้สะอึกสะอื้น ซึ่งอาการอย่างนี้ ไม่เคยเกิดกับเขามาก่อน สัมผัสนี้คืออะไร ใครเคยเป็นเช่นนี้บ้างครับ
    ผมมีตัวอย่างภาพเทพทางฮินดู มาโพสให้ชมกัน ลองดูนะครับ..." style="CURSOR: default">แนะนำ คุณมีจิตสัมผัส-ความผูกพัน-สื่อพลังเทพ หรือไม่ (3 คน กำลังดูอยู่) ([​IMG] 1234567891011121314151617181920 ... หน้าสุดท้าย)
    [​IMG] MOUNTAIN
    </TD><TD class=alt2 title="จำนวนตอบ: 1,498, จำนวนอ่าน: 141,460">16-07-2008 10:49 PM
    โดย โอม. [​IMG]

    </TD><TD class=alt1 align=middle>1,498</TD><TD class=alt2 align=middle>141,460</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กรกฎาคม 2008

แชร์หน้านี้

Loading...