น่าเป็นห่วง หลักสูตรพุทธศาสนา จากบางอาจารย์ สอนตายแล้วสูญ ( หลักสูตร ม.1- ม.6)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 24 มกราคม 2006.

?
  1. ไม่เห็นด้วย (คิดว่าสอนผิด)

    0 vote(s)
    0.0%
  2. เห็นด้วย (คิดว่าสอนถูก)

    0 vote(s)
    0.0%
  1. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,256
    (ต่อ)
    ***เมื่อจิตหลุดพ้นมันก็ไม่มีทุกข์ ***
    มันก็ไม่มีทุกข์ มันคือ???ใช่จิต ใช่เรา ใช่ตน มั๊ย???
    จิตหลุดพ้นจากการยึดถือขันธ์ ๕ จิตมันก็เลยไม่ทุกข์<O:p</O:p
    ไม่ใช่จิตหลุดพ้นแล้วกระเด็นหายไปเลยซะเมื่อไหร่ ล่ะ

    ***เมื่อไม่มีทุกข์มันก็สงบเย็น(นิพพาน)***
    เมื่อไม่มีทุกข์ ใครล่ะที่ไม่มีทุกข์?<O:p</O:p
    หรือมันไม่มีทุกข์ มันคือใคร???
    มันก็สงบเย็น(นิพพาน) ใครสงบเย็น??? ใช่เรารึเปล่า?

    ***นี่ก็คือหลักอริยสัจ ๔โดยสรุป***<O:p</O:p
    ถ้าสรุปแบบนี้อย่าสรุปดีกว่า สมแล้วที่ให้ฉายาคุณนอกรีต<O:p</O:p
    ขอคารวะความนอกรีต ที่ได้ใจ อย่างสุดๆจริงๆ<O:p</O:p
    ทำไปได้ !!! ทำให้พระพุทธศาสนาขาดความน่าเชื่อถือ<O:p</O:p
    ทำให้อริยสัจ ๔ ที่พระองค์ทรงตรัสรู้ ขาดหลักเหตุผล<O:p</O:p
    แถมกล่าวร้ายพระองค์ว่าเดาเอาตามสัญชาตญาณสัตว์ที่โง่เขลา

    เวรกรรม เวรกรรม<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ยิ่งเสนอความรู้แบบโง่เขลาแบบนี้ออกไปมากเท่าไหร่<O:p</O:p
    ชาวโลกก็จะยิ่งหัวเราะเยาะความไม่เอาไหนมากขึ้นเท่านั้น

    ***แต่ถ้ายังเชื่อว่ามีตัวเราอยู่ก็จะไม่มีทางคลายความยึดถือได้จริง***
    ถ้าไม่มีเรา แล้วใครเป็นคนคลายความยึดถือได้จริงล่ะ ??? ( เราใช่มั๊ย?)
    ไม่ใช่ร่างกายนะที่คลายความยึดถือ
    จิตต่างหากล่ะที่คลายความยึดถือเพราะรู้เห็นตามความจริง

    ***และทุกข็ก็จะไม่ดับลงจริง*** ทุกข์ของใคร? ของเรารึเปล่า?

    พูดวนเข้าหาตัวหาตนยังไม่รู้เลย !!!

    (จบตอนนี้ก่อน)
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
     
  2. manson810

    manson810 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    410
    ค่าพลัง:
    +780
    อนุโมทนากับท่าน ธรรมะสวนัง ด้วยครับ ท่านตอบได้ดีมากนับถือๆ

    คนที่มีปัญญาไม่มากอย่างผม แต่สนใจในพระธรรม เคารพคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
    ได้อ่านสิ่งที่ท่านธรรมะสวนังได้อธิบายไว้ ก็เข้าใจได้ไม่ยากนัก

    แต่สำหรับท่านที่อ้างตนว่าเป็นผู้อัจฉริยะ, มีภูมิปัญญามาก, เป็นผู้ถูกกว่าใครทั้งโลก อย่างท่านเตชปัญโญ จะเข้าใจหรือเปล่าอันนี้ผมก็ไม่ทราบ

    แต่ถ้าจะให้ผมคาดการ คิดว่าก็คงเข้ามาถามเป็น "ไอ้หนูจำไม" อีกตามเคย จำไมๆๆๆๆ
    เฮ้อออ...........อัตตาท่านสูงมากเลยท่านจะรู้ตัวมั่ยเนี่ยท่านเตชปัญโญ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 สิงหาคม 2008
  3. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณเตชะ เลิกมั่วได้แล้ว

    อาจารย์พุทธทาสพูดว่าจิตอย่าไปยึดขันธ์ ๕ (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)
    คือ ฯลฯ จิตอย่าไปยึดวิญญาณ ถ้ายึดก็เป็นวิญญาณูปาทานักขันธ์

    จิตจะเกิดจากขันธ์ ๔ ได้ยังไง จิตมีมาก่อนใช่มั๊ย ถึงเข้าไปยึดขันธ์

    ที่อาจารย์พุทธทาสพูดว่า จิตของพระอรหันต์ จิตประภัสสรถาวร น่ะ
    ในเมื่อมันถาวร มันก็ชัดๆอยู่แล้วว่ามันเที่ยง

    อย่างนี้ไม่เรียกล้างครูแล้วจะเรียกอะไร
    เป็นฆราวาสผิดแล้วไม่ยอมรับผิด ไม่รู้จักอาย ก็ไม่ว่าอะไรกัน
    แต่นี่อ้างตัวว่าเป็นนักบวช ผิดก็ยังไม่ยอมรับว่าผิด ยังจะแถกแถออกไปแบบด้านๆ
     
  4. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192


    วิบากนั้นก็กระตุ้นให้เกิดกิเลสขึ้นมาอีก (คืออยากขโมยอีก จนถูกจับได้) นี่คือวัฏฏสงสารที่แท้จริง

    เลิกมั่วได้แล้วคุณเตชะ วิบากนั้นก็กระตุ้นให้เกิดกิเลสขึ้นมาอีก ไปปล้นไปขโมยอีก แต่ไม่เคยถูกจับสักที จนกระทั่งตาย โดยมิต้องใช้กรรม ที่พูดแบบนี้มิ
    ทำให้หลักของกรรมตามพุทธศาสนาเสียไปหมด
     
  5. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ***อาตมายังไม่ได้รับคำตอบตรงๆเลยว่า "คุณโยมยอมรับหรือไม่ว่า ทุกสิ่งเกิดขึ้นจากเหตุปัจจัย?"***

    ***และ จิต หรือวิญญาณธาตุที่คุณโยมเชื่อว่ามีอยู่จริงและไม่ใช่วิญญาณขันธ์นั้น มีเหตุปัจจัยอะไรมาปรุงแต่งให้กิดขึ้นและต้งอยู่?***

    ***คำถามทั้งสองข้อนี้ไม่เคยได้รับคำตอบที่ชัดเจนเลย มีแต่บ่ายเบี่ยงไปเรื่อย***

    ***และพยายามอธิบายเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องให้มันวกวน และมากมาย จนคนอ่านเบื่อ เพื่อกลบกลื่นความผิดของตนเอง***

    ***คิดหรือว่าคนอ่านเขาโง่? อย่างนี้เรียกว่าดูถูกคนอ่านว่าไม่มีสมอง***

    ***คุณโยมก็ทำได้ก็แต่ในอินเตอร์เน็ตเท่านั้น เพราะไม่มีใครู้จัก จึงไม่ละอาย***

    ***ถ้ามีการโต้ตอบกันในที่สาธารณะ ที่มีคนฟังมากๆ คงไม่กล้าทำเหมือนเด็กดื้อแบบนี้เป็นแน่***

    (ฉันคืออะไร? เวบไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ www.whatami.net - www.whatami.5u.com )
     
  6. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    (ที่อาจารย์พุทธทาสพูดว่า จิตของพระอรหันต์ จิตประภัสสรถาวร น่ะ
    ในเมื่อมันถาวร มันก็ชัดๆอยู่แล้วว่ามันเที่ยง)
    -----------------------------------------
    ***อ่านมานิดๆหน่อยๆ แล้วจับเอาจุดเล็กๆมาอ้าง ไม่มีทางเข้าใจ***

    ***ไปอ่านมาใหม่ให้มาก ท่านอาจารย์พุทธทาสพูดไว้มากมาย อย่างละเอียดลึกซึ้ง ไม่ใช่เอาเพียงแค่นี้มาตีความ***

    ***คำว่า ถาวร หมายถึง มันคงอยู่ตลอดเวลาที่จิตยังมีอยู่***

    ***ก็อยากจะถามคุณธรรมภูตว่า แล้วจิตที่คุณโยมว่านี้ มันมีเหตุปัจจัยอะไรมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้นและตั้งอยู่?****

    ***ตอบคำถามนี้ให้ได้ก่อน อย่างอื่นว่ากันทีหลัง เพราะนี่คือต้นตอของปัญหาทุกอย่าง ถ้าข้ามจุดนี้ไป ถึงศึกษาธรรมะไปจนตายก็ไม่มีทางเข้าใจ***


    (ฉันคืออะไร? เวบไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ www.whatami.net - www.whatami.5u.com )
     
  7. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ****ต้นตอของปัญหาทั้งหมดมันอยู่ที่ ความจริงว่า "มีเรา" หรือ "ไม่มีเรา" ***

    ***ถ้ามันมีเรา แน่นอว่ามันก็ต้องมีนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า และเรื่องเวรกรรมจากชาติปางก่อน เป็นต้น อย่างที่พวกคุณโยมเชื่อกันอยู่***

    ***แต่ถ้ามันไม่มีเราอยู่จริง ก็แน่อนว่าเรื่องเหล่านี้ก็ย่อมที่จะไม่อยู่ในฐานะที่จะเป็นไปได้***

    ***ฉะนั้นอย่าเพิ่งไปสนใจเรื่องอื่น มาค้นหาสิ่งที่เป็นเรา หรือตัวเรา ให้เจอ แล้วปัญหาทั้งหลายก็จะยุติ***

    ***ถ้ามัวแต่ไปยุ่งเรื่องอื่น ก็ไม่มีวันยุติ***

    ***แต่คุณโยมทั้งหลายก็พยายามที่จะโยงไปเรื่องอื่น เพื่อกลบเกลื่อนความจริงที่มันเจ็บปวดใช่หรือไม่?(กลัวจะไม่มีตนเอง)***

    ***ถ้าเป็นคนจริงก็ตอบคำถามนี้มาก่อน ว่า "ยอมรับหรือไม่ว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นและตั้งอยู่ต้องมาจากเหตุปัจจัย?" ***

    ***และสิ่งที่เป็นเรา หรือตัวเรานั้น มันมีเหตุปัจจัยอะไรมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้นและตั้งอยู่?***


    ***รู้สึกพวกคุณโยมทุกท่าน จะกลัวคำถามนี้กันมาก จึงไม่มีใครเลยที่จะกล้าตอบ ทั้งๆที่มันก็เป็นคำถามพื้นฐานง่ายๆ ที่ใครๆก็ต้องยอมรับอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง***


    ***แต่คุณโยมทุกท่านก็พยายามที่จะบ่ายเบี่ยงหนีความจริง ด้วยการเอาเรื่องไร้สาระมาเสนออย่างมากมาย เพื่อบ่ายเบี่ยงเนื้อหาสำคัญให้หมดความสำคัญลงไป***

    ***แล้วอย่างนี้จะพบความจริงได้อย่างไร?***

    ***ระวังอย่าให้โทสะครอบงำ มันจะทำให้จิตมืดบอด ไร้สติปัญญา และจะไม่ได้พบความจริง***

    (ฉันคืออะไร? เวบไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ www.whatami.net - www.whatami.5u.com )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 สิงหาคม 2008
  8. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,256
    สิ่งที่เราเสนออย่างมากมาย
    ก็เพื่อชี้แจงแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่คุณเสนอมานั้นมันเป็นเรื่องไร้สาระ

    ทนฟังความจริงไม่ได้รึไงคะ จะบ่ายเบี่ยงหนีความจริงไปไหน
    อย่าใช้วิธีเจ้าเล่ห์ ตอบไม่ได้เพราะไม่เข้าใจ แก้ไม่ได้
    เลยทำเป็นไขสือกล่าวร้ายคนอื่นกลับ เพื่อจะได้รู้สึกว่าตัวเองถูก
    ( มีตัวเองแล้วนะตัวเอง อย่าหลอกตัวเองสิ )

    ^_^
     
  9. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,256
    ใครน่ะที่ไม่ละอาย ถามแต่คำถามไร้สาระ ตอบก็ไม่เคยมีเหตุผล

    คุณนอกรีตก็ทำได้เฉพาะในอินเตอร์เนทเท่านั้นแหละ
    เพราะไม่มีใครรู้จัก จึงไม่ละอาย
    ถ้ามีการโต้ตอบกันในที่สาธารณะ ที่มีคนฟังมากๆ
    คุณนอกรีตก็คงไม่กล้าทำเหมือนเด็กดื้อแบบนี้เป็นแน่

    เคยเจอมาแล้ว...ระดับเจ้าคุณด้วย ถามไปพอหาเหตุผลตอบไม่ได้
    ก็เลี่ยงตอบว่า "ข้อนี้อาตมาไม่เคยคิด ขืนถามแบบนี้ระวังพระจะโกรธเอานะ"
    ก็เลยตอบกลับไปว่า "ถ้าเป็นพระคงไม่ตาขวางหรอก" ^_^
     
  10. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,256
    ใครน่ะ ที่คิดว่าคนอ่านโง่ อย่างนี้เท่ากับดูถูกคนอ่านว่าไม่มีสมอง
    ใครกันแน่ที่พูดจาวกวน วนเป็นน้ำในอ่าง เดี๋ยวก็ไม่มีเรา ไม่มีตน ไม่มีใคร
    พอพูดมาพูดไป เรา ตน ใคร ก็โผล่ขึ้นมา

    พอถามเข้าว่าตนโผล่มาได้ไง ก็ว่ามันเป็นสมมุติ
    ถ้า สิ่งที่ไม่มีอยู่จริง จะสมมุติขึ้นมาได้มั๊ย ???
    ลองสมมุติในสิ่งไม่มีให้ดูหน่อยสิ...

    ^_^
     
  11. dearestguardian

    dearestguardian เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    306
    ค่าพลัง:
    +1,418
    ทักทายหน่อย หวัดดีคุณเตชปัญโญ ด้วยความที่คุณมีผ้ากาสาวะ ขอกราบนมัสการความบริสุทธ์แห่งศีลที่คุณมีและความบริสุทธิ์แห่งผ้ากาสาวะอันเหนือปุถุชนเยี่ยงข้าพเจ้า

    ไม่ได้เข้ามานานเพราะเพิ่งจะได้รับอักษรไทยติดคีย์บอรดวันนี้เอง หวังใจว่าวันนี้คงให้ความกระจ่างกับคุณไม่มากก็น้อยนะค่ะ

    ***อาตมายังไม่ได้รับคำตอบตรงๆเลยว่า "คุณโยมยอมรับหรือไม่ว่า ทุกสิ่งเกิดขึ้นจากเหตุปัจจัย?"***

    ใช่ทุกสิ่งเกิดแต่เหตุเป็นพุทธดำรัสจริงๆ แต่ประเด็นมันไม่ได้อยู่ในส่วนนี้ประเด็นจริงๆมันอยู่ที่คุณเตชไม่เข้าใจการทำงานของปฏิจจสมุหบาทและการเกิดดับของรูปนามปฏิสัมพันธ์แห่งการเกิดกรรมวิบากภพชาติอย่างถ่องแท้และสือความหมายผิดๆให้เด็กนักเรียนต่างหาก
    คุณเข้าใจและตีความจากสิ่งที่อ่านแลัสิ่งที่ศึกษามาความเข้าใจคุณอยู่ที่จินตมยปัญญาตีความผิดๆไม่เคารพความเห็นของพระเถระและบิดเบือนพระธรรม

    ***และ จิต หรือวิญญาณธาตุที่คุณโยมเชื่อว่ามีอยู่จริงและไม่ใช่วิญญาณขันธ์นั้น มีเหตุปัจจัยอะไรมาปรุงแต่งให้กิดขึ้นและต้งอยู่?***

    ที่ทำให้มันเป็นไปคืออวิชชา หรือความไม่เข้าใจความเป็นจริงของนามรูปเป็นเบื้องต้น การหลงนี้ก่อเกิดกรรมวิบากนำรูปนามวนอยู่ในภพชาติในที่สุด ดังคำสอนหลวงปู่ดุลย์ ข้างล่าง

    ขอนำคำกล่าวของหลวงปู่ดุลย์ อตุโล อธิบายคำถามคุณ ขอเตือนอย่าลบหลู่คำชี้แจงนี้เพราะมันจะเป็นกรรมหนัก

    "จิต วิญญาณ ก็เกิดมาจาก รูปนามของจักรวาล มันเป็นมายาหลอกลวงแล้วเปลี่ยนแปลงให้คนหลง จากรูปนามไม่มีชีวิต เปลี่ยนมาเป็นรูปนามที่มีชีวิต จากรูปนามที่มีชีวิต มาเป็นรูปนามมีชีวิตที่มีจิตวิญญาณ แล้วจิตวิญญาณก็เปลี่ยนแปลงแยกออกจากกัน คงเหลือแต่ นามว่างที่ปราศจากรูป นี้ เป็นจุดสุดยอดของการหลอกลวงของรูปนาม ต้นเหตุเกิดรูปนามของจักรวาลนั้น เป็นเหตุเกิด รูปนามพิภพ ต่างๆ ตลอดจนดวงดาวนับไม่ถ้วน เพราะไม่มีที่สิ้นสุด รูปนามพิภพต่างๆ เป็นเหตุให้เกิด รูปนามพืช รูปนามพืชเป็นเหตุให้เกิด รูปนามสัตว์ เคลื่อนไหวได้ จึงเรียกกันว่า เป็นสิ่งมีชีวิต ความจริง รูปนามจะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตมันก็เคลื่อนไหวได้ เพราะมันมีรูปกับนาม เป็น เหตุ ผลให้เกิดปฏิกิริยาอยู่ในตัว ให้เคลื่อนไหวตลอดกาล และ(เกิด) การเปลี่ยนแปลง บางอย่าง เรามองด้วยตาเนื้อไม่เห็นจึงเรียกกันว่าเป็นสิ่งไม่มีชีวิต
    เมื่อรูปนามของพืชเปลี่ยนมาเป็นรูปนามของสัตว์ เป็นจุดตั้งต้นชีวิตของสัตว์ และเป็นเหตุให้เกิด จิต วิญญาณ การแสดง การเคลื่อนไหว เป็นเหตุให้เกิดกรรม สัตว์ชาติแรกมีแต่สร้างกรรมชั่ว สัตว์กินสัตว์ และ(มี)ความโกรธ โลภ หลง ตามเหตุ ปัจจัย ภายนอกภายในที่มากระทบ กรรมที่สัตว์แสดง มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ๕ อย่าง ไปกระทบกับ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ๕
    อย่าง แล้วมาประทับ บรรจุ บันทึก ถ่ายภาพ ติดอยู่กับ รูปปรมาณู ซึ่งเป็น สุขุมรูป แฝงอยู่ในความว่าง เราไม่สามารถมองเห็นด้วยตาได้ ที่แฝงอยู่ในความว่างระวางคั่น ตา หู จมูก ลิ้น กาย นั้นไว้ได้หมดสิ้น

    เมื่อสัตว์ชาติแรกเกิดนี้ ได้ตายลงมี กรรมชั่ว อย่างเดียว เป็นเหตุให้สัตว์ต้องเกิดอีก เพื่อให้สัตว์ต้อง ใช้หนี้ กรรมชั่วที่ได้ทำ ไว้ แต่สัตว์เกิดขึ้นมาแล้วหายอม ใช้หนี้เกิด กันไม่ มันกลับ เพิ่มหนี้ ให้เป็น เหตุเกิดทวีคูณ ด้วยเพศผู้เพศเมียเกิดเป็น สุขุมรูป ติดอยู่ใน ๕ กองนี้ เป็นทวีคูณจนปัจจุบันชาติ

    ส่วนการแสดงกรรมของสัตว์ที่ประทับอยู่ในสุขุมรูป มีรูป ตา หู จมูก ลิ้น กาย ๕ กองนั้นรวมกันเข้าเรียกว่า จิต จึงมี สำ นักงานจิต ติดอยู่ในวิญญาณ ๕ กอง รวมกันเป็นที่ทำ งานของ จิตกลาง แล้วไปติดต่อกับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ภายนอก ซึ่งเป็นสื่อติดต่อของจิต ดังนั้น จิต กับ วิญญาณ จึงไม่เหมือนกัน จิตเป็นผู้รู้สึกนึกคิด ส่วนวิญญาณเป็นคูหาให้จิตได้อาศัยอยู่ และเป็นยานพาหนะพาจิตไปเกิด หรือจะไปไหนๆก็ได้ เป็นผู้รักษา สุขุมรูป รูปที่ถอดจากรูปหยาบ มีรูปเพศผู้ เพศเมีย รูป ตา หู จมูก ลิ้น กาย อยู่ในวิญญาณไว้ได้เป็นเหตุเกิดสืบภพต่อชาติ

    เมื่อสัตว์ตาย ชีวิตร่างกายหยาบของภพภูมิชาตินั้นๆ ก็หมดไปตามอายุขัย (ของ) ชีวิตร่างกายหยาบของภูมิชาตินั้นๆ ส่วนชีวิตแท้ รูป ปรมาณู วิญญาณ จะไม่ตายสลายตาม จะต้องไปเกิดตามภพภูมิต่างๆ ตามเหตุปัจจัยของวัฏฏะหมุนเวียนเปลี่ยนไปด้วย

    ชีวิตแท้-รูปถอดหรือวิญญาณหมุนรอบตัวเอง นี้เอง เป็นเหตุให้จิตเกิดดับ สืบต่อ คอยรับเหตุการณ์ภายนอกภายในที่มากระทบ จะดีหรือชั่วก็สะสมเข้าไว้ เป็นทุน เหตุเกิด เหตุดับ หรือปรุงแต่งต่อไป จนกว่า กรรมชั่ว-เหตุเกิด จะหมดไป ชีวิตแท้-รูปถอดหรือวิญญาณ ก็จะหยุดการหมุน รูปสุขุม-รูปวิญญาณ ซึ่งเกิดมาจากกรรมชั่ว สืบต่อมาแต่ชาติแรกเกิด ก็จะสลายแยกออกจากกันไป คงรูปอยู่ไม่ได้ มันก็กระจายไป ส่วนกิจกรรมดี ธรรมะที่ติดอยู่กับวิญญาณ มันก็จะกระจายไปกับรูปปรมาณู คงเหลือแต่ความว่างที่คั่นช่องว่างของรูปปรมาณูทุกๆ ช่อง ฉะนั้น โดยปราศจากรูปปรมาณู ความว่างนั้น จึงบริสุทธิ์และสว่าง รวมเข้ากับความว่าง บริสุทธิ์ สว่าง ของจักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า นิพพาน.

    เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงสร้างชีวิตพระพุทธศาสนา ให้ก่อเกิดเป็นชีวิตอย่างบริบูรณ์ดังพระประสงค์แล้ว พระพุทธองค์จึงได้ทรงละวิภวตัณหานั้น เสด็จสู่อนุปาทิเสสนิพพาน คือเป็นผู้หมดสิ้นทุกตัณหา เป็นผู้ดับรอบโดยลักษณาการแห่งอนุปาทิเสสนิพพานของพระพุทธองค์ก็คือ ลำ ดับแรก ก็เจริญฌานดิ่งสนิทเข้าไปจนถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ หมายความว่า เข้าไปดับลึกสุดอยู่เหนือ อรูปฌาน

    ในวาระแรกนั้น พระองค์ยังไม่ได้ดับขันธ์ต่างๆ ให้สิ้นสนิทเป็นเด็ดขาดแต่อย่างใด ยังเพียงเข้าไปเพื่อทรงกระบวนการแห่งการสู่นิพพาน หรือนิโรธ เป็นครั้งสุดท้ายแห่งชีวิต พูดง่ายๆ ก็คือสู่สิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้างได้ทรงพากเพียรก่อเป็นทาง เป็นแบบอย่างไว้ เป็นครั้งสุดท้ายเสียหน่อย ซึ่งเรียกได้ว่าสิ่งอันเกิดจากที่พระองค์ได้ยอมอยู่กับธุลีทุกข์ อันเป็นธุลีทุกข์ที่มนุษย์ธรรมดา (เป็น) ผู้ที่มีจิตหยาบเกินกว่าจะสัมผัสว่า มันเป็น ทุกข์

    นี่แหละ กระบวนการกระทำ จิตตน ให้ถึงซึ่งสัญญาเวทยิตนิโรธนั้น เป็นกระบวนการที่พระอนุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้า พระผู้เป็นยอดแห่งศาสดาในโลกเท่านั้นที่ทรงค้นพบ ทรงนำ มาตีแผ่เผย แจ้งออกสู่สัตว์โลกให้พึงปฏิบัติตาม เมื่อทรงสิ่งซึ่งสุดท้ายนี้แล้ว จึงได้ถอยกลับมาสู่สภาวะต้น คือ ปฐมฌาน แล้วจึงได้ตัดสินพระทัยสุดท้าย เพราะต้องดับสังขารขันธ์ หรือสังขารธรรมชั้นแรกเสียก่อน วิญญาณขันธ์จึงได้ดับ ดังนั้น จึงไม่มีเชื้อใดเหลืออยู่แห่งวิญญาณขันธ์ที่หยาบนั้น

    พระองค์เริ่มดับ สังขารขันธ์ หรือ สังขารธรรม ชั้นในสุดอีกที อันจะส่งผลให้ก่อน วิภวตัณหา ได้ชั้นหนึ่งเสียก่อน แล้วจึงได้เลื่อนเข้าสู่ ทุติยฌาน แล้วจึงดับ สัญญาขันธ์ เลื่อนเข้าสู่ ตติยฌาน เมื่อ พระองค์ดับสังขารขันธ์ หรือสังขารธรรม ชั้นในสุดอีกที ก็เป็นอันเลื่อนเข้าสู่ จตุตถฌาน คงมีแต่ เวทนาขันธ์ สุดท้ายแห่งชีวิตนั้นแล คือลักษณาการแห่งขั้นสุดท้ายของการจะดับสิ้นไม่เหลือ
    เมื่อพระองค์ดับ สังขารขันธ์ หรือ สังขารธรรม ใหญ่สุดท้ายที่มีทั้งสิ้นแล้ว แล้วก็มาดับ เวทนาขันธ์ อันเป็น จิตขันธ์ หรือ นามขันธ์ ที่ในจิตส่วนในคือ ภวังคจิต เสียก่อน แล้วจึงได้ออกจาก จตุตถฌาน พร้อมกับมาดับ จิตขันธ์ หรือ นามขันธ์ สุดท้ายจริงๆ ของพระองค์เสียลงเพียงนั้น
    นี้ พระองค์เข้าสู่นิพพานอย่างจริงๆ อยู่ตรงนี้ พระองค์ไม่ได้เข้าสู่นิพพานในฌานสมาบัติอะไรที่ไหนดอก เมื่อพระองค์ออกจากจตุตถฌานแล้ว จิตขันธ์หรือนามขันธ์ก็ดับพร้อม ไม่มีอะไรเหลือนั่นคือ พระองค์ดับเวทนาขันธ์ในภาวะจิตตื่น หรือวิถีจิตปกติของมนุษย์ ครบพร้อมทั้งสติและสัมปชัญญะ ไม่ถูกภาวะอื่นใดที่มาครอบงำ อำ พราง ให้หลงใหลใดๆ ทั้งสิ้น เป็นภาวะแห่งตนเองอย่างบริบูรณ์
    เมื่อ เวทนาขันธ์ สุดท้ายแท้ๆ จริงๆ ได้ถูกทำ ลายลงอย่างสนิท จึงเป็นผู้บริสุทธิ์ หมดสิ้นแล้วซึ่งสังขารธรรมและหมดเชื้อ จิตขันธ์ หรือ นามขันธ์ ทั้งปวงใดๆ ในพระองค์ท่าน ไม่มีเหลือ คงทิ้งแต่ รูปขันธ์ อันจะมีชีวิตนั้นไม่ได้แน่ เพราะรูปไม่ใช่ชีวิตหากสิ้นนามเสียแล้ว ก็คือแท่ง คือก้อนวัตถุหนึ่ง เท่านั้นเอง."***

    ***จาก จิต คือพุทธะของหลวงปู่ดุลย์ อตุโล

    จะเหตุว่าสมเด็จพระพิชิตมารเข้าถึงภาวะพระนิพพานหรือที่เราเรียกว่าตรัสรู้ตั้งแต่พระชนมายุ ประมาณ 36 พรรษา ซึ่งพระองค์ก็ทรงดำรงธาตุขัณฑ์ เพื่อสั่งสอนสัตว์จนกระทั่ง 80 พรรษา

    สิ่งที่พระองค์ พูดตลอดมาคือ
    1. สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม
    2. วงล้อแห่งปฏิจจสมุหบาทที่พระองค์ตรัสไว้ดีแล้วใครจะมาหมุนทวนไม่ได้
    3. ภพภูมิตามวงล้อแห่งปฏิจจสมุหบาทเป็นของจริง

    คุณเตชถือบวชตามรอยสมเด็จพระตถาคตแต่ทำตัวเป็นลูกดื้อไม่เชื่อคำสอนของพระตถาคตพ่อเจ้าแล้วปวารณาตัวเป็นทายาทพุทธทำไม ทำไมไม่ตั้งศาสนาใหม่เสีย

    จริงๆคุณเตชคุณเป็นคนที่น่าสงสารจริงๆ หากบทความข้างบนยังไม่ช่วยให้คุณตาสว่างหันมาเจริญปัญญาตั้งสัมมาทิฏฐิก่อนตายดีกว่าก่อนที่จะสายเกินไป

    ไม่มีใครเขาว่าคุณโง่หากคุณพร้อมจะกลับตัวตรงข้ามเขากลับสรรเสริญหากคุณรู้แก้ไขในสิ่งผิด
    ข้าพเจ้าแนะให้คุณไปกินนอนในป่าช้าและตั้งจิตอธิษฐานบารมีว่า
    "หากบุญเก่าข้าพเจ้า(คุณเตช)ยังคงมีและด้วยพุทธเมตตาไม่มีประมาณแห่งสมเด็จพระตถาคต ช่วยดลให้ข้าพเจ้าเห็นผี หรือสัตว์ในภพภูมิอื่น เปรต อสูรกายเพื่อการตั้งจิตถูกตรงดำรงจิตอยู่ในสัมมาทิฏฐิเถิด" ภาวนาคาถาขอเห็นผีด้วยนะ " สุปินานัง"

    ถ้านำมาให้อ่านขนาดนี้แล้วคุณยังไม่เห็นก็แสดงว่า กรรมคุณหนักเกินแก้เสียแล้ว

    ขอส่งความปรารถนาดีให้และบารมีพระพุทธดลให้คุณกลับใจก่อนสายไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 สิงหาคม 2008
  12. dearestguardian

    dearestguardian เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    306
    ค่าพลัง:
    +1,418
    ขอบอกว่าจะว่าไปแล้วคุณโชคดีมากๆๆเลยคุณเตช เพราะข้าพเจ้าเจอบทความของหลวงปู่ดุลย์เมื่อ 2วันก่อนตอนอ่านไม่เฉลียวใจด้วยซ้ำว่าจะต้องได้ใช้จริงๆ

    ว่าไปแล้วสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีเมตตาอย่างไม่มีประมาณจริงๆๆ

    ขอให้คุณ มีสัมมาปัญญาที่สว่างขึ้นและหันกลับมาเป็นลูกที่ดีของพระตถาคตเถิด

    ลืมไป ข้าพเจ้าคิดว่าควรโพสแบบเต็มไฟล์ไว้เผื่อคนที่อยากอ่านเต็มๆด้วย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 สิงหาคม 2008
  13. manson810

    manson810 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    410
    ค่าพลัง:
    +780
    เดี๋ยวท่านเตชปัญโญ ก็ยกเอาหลักกาลามสูตรขึ้นมาอีกล่ะครับ
    เพราะท่านนั้นไม่เชื่อใครทั้งสิ้นครับ พระไตรปิฏกก็ไม่เชื่อ, คำสั่งสอนของครูบาอาจารย์ทั้งหลายท่านก็ไม่เชื่อ ก็ไม่รู้จะยังไงกับท่าน
    เกิดมาพึ่งเคยพบเคยเห็นคนที่ดื้อหัวแข็ง, อัตตาสูงสุดโต่งและเข้าใจอะไรยากๆ แบบนี้นะเนี่ย สุดยอดมากๆ ;26
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 สิงหาคม 2008
  14. manson810

    manson810 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    410
    ค่าพลัง:
    +780
    มาดูความเห็นของพระสงฆ์บางรูป ที่มีต่อแนวความคิดของท่านเตชปัญโญ บ้างครับ



    ผู้ถาม : ดิฉันได้เข้าไปอ่านที่เว็ปไซท์ http://www.whatami..... ซึ่งมีเนื้อหาหลักสูตรวิชาพระพุทธศาสนาระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑-๖ ซึ่งดิฉันมีความรู้สึกขัดแย้งในตำราในบางสาระสำคัญจึงมาขอคำชี้แนะจากหลวงพ่อค่ะ........


    หลวงพ่อองค์หนึ่ง : พระที่ร่างหลักสูตรนี้คงไม่เท่าไหร่หรอก เพราะความเลอะเทอะสกปรกบ้าๆบอๆส่วนบุคคลมันเป็นไปได้อยู่แล้วล่ะ

    แต่ว่าคณะที่อนุมัติหลักสูตรนั่นน่ะ อนุมัติมันเข้าไปได้อย่างไรหลักสูตรที่มีคำสอนบ้าๆแบบนี้
    แล้วคณะกรรมการที่จัดเตรียมหลักสูตรให้เด็กทั้งประเทศเรียนนี้ ไปให้พระแย่ๆ ห่วยๆ องค์เดียวนี่เหรอร่างหลักสูตร ?

    แล้วทางฝ่ายดูแลพุทธศาสนาสำนักนั่นกรมนี่เยอะแยะไม่ใช่เหรอ
    ที่ใช้เงินภาษีของชาวบ้านอุปถัมภ์อยู่ทำไมไม่ออกมามีบทบาททักท้วงอะไรบ้าง
    และเงินภาษีนี้ก็เป็นเงินของพ่อ - แม่ เด็กที่จะต้องเรียนหลักสูตรบ้าๆนี่แหละ ไม่ใช่เหรอ ?
    ทำไมไม่ทำงานให้มันคุ้มค่าเงินที่เขาแบ่งมาให้บ้าง หรือ เขาว่ากันยังไงบ้างเกี่ยวกับเรื่องนี้

    แต่เท่าที่อ่านดูแค่นี้มันก็ผิดเต็มๆนั่นแหละ มันก็มิจฉาทิฏฐิเต็มๆเม็ด เต็มๆหน่วยนั่นแหละ

    พวกที่ไม่เชื่อว่านรกมี - สวรรค์มี แบบนี้ ตายไปแล้วก็ไปโน่นเลย โลกันตรนรก นรกมืด - เย็น - หนาว
    ตั้งอยู่นอกจักรวาลโน่นแน่ะ พวกนี้เขาเรียกว่าสัตว์นรกขุมพิเศษสุด เพราะมันเลวได้สุดๆ เลยขุมอเวจีมหานรกไปอีกนะ

    การสอนว่านรก - สวรรค์ ไม่มีแบบนี้
    มันก็กล้าที่จะกล่าวคัดค้านพระสัพพัญุตญาณของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าน่ะซี บาปมากๆนะ

    และอีกอย่างหนึ่ง ขนาดความเห็นถูกเบื้องต้น ต๊น ต้น อย่างความเชื่อว่านรก - สวรรค์ มีจริงนี้
    ยังไม่สามารถทำจิตของตนให้เลื่อมใสเชื่อมั่นในความเห็นถูกเบื้องต้นนี้ได้
    แล้วทำไมถึงกล้าไปสอนว่านิพพานเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้อีก เอ๊ะ..แปลกนะอันนี้ หลวงพี่แกมั่วเปล่าเนี่ย ...............


    ---------------------------------------------------------------------

    แหม ท่านกล่าวได้ดีจริงๆ


    ที่มา: www.samyaek.com/board2/index.php?topic=925.0
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 สิงหาคม 2008
  15. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ฯลฯ
    พระอรหันต์บรรลุคุณธรรมสูงสุด ถึงขั้นที่เรียกว่าหมดกิเลส หมดอาสวะ<O:p</O:p
    บรรลุพระนิพพาน นั่นท่านถึงชีวิตนิรันดร<O:p</O:p
    ฯลฯ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ชีวิตนิรันดร เป็นตัวธรรมะ ไม่ใช่เป็นสัตว์ที่มีกิเลส<O:p</O:p
    แต่เป็นตัวธรรมะที่รู้สึกได้ด้วยจิตที่ปราศจากกิเลส<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ฉะนั้น การที่เราพยายามอบรมพระกรรมฐาน หรืออะไรก็แล้วแต่จะเรียก<O:p</O:p
    เพื่อให้จิตมันหมดกิเลส ก็เพื่อให้จิตมันถึงชีวิตนิรันดร
    ฯลฯ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ทีนี้พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนว่ามีตนเป็นที่พึ่ง มีธรรมะเป็นที่พึ่ง<O:p</O:p
    ที่ว่ามีตนเป็นที่พึ่งนั้น ให้มีธรรมเป็นที่พึ่ง<O:p</O:p
    ถ้ามีธรรมะเป็นที่พึ่ง จะเรียกว่ามีตัวตนเป็นที่พึ่งก็ได้<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    อบรมตัวตนที่เป็นตัวกูของกู อย่างโง่เขลานี้
    ให้สูงขึ้นไปเป็นตัวตนที่สะอาด ปราศจากความยึดมั่นด้วยอุปาทาน
    เหลืออยู่แต่ธรรมะอันบริสุทธิ์ ถือเอาธรรมะอันบริสุทธิ์นั้นว่าเป็นตัวตน

    ส่วนหนึ่งจากหนังสือ กระแสแห่งชีวิต การปฏิบัติธรรมที่นำไปสู่นิพพาน
    พระธรรมเทศนาโดย พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ).<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ว่าไงเตชะ ท่านอาจารย์พูดขนาดนี้ ยังต้องตีความอีกมั๊ยเนี่ย<O:p</O:p
    ถ้าอ่านอย่างนี้แล้ว ยังไม่เข้าใจ ก็ไปกลั้นใจตายเถอะ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    คนเราประกอบด้วยกายและจิต<O:p</O:p
    กายนี้มันตายเน่าเหม็นใครก็รู้
    <O:p</O:pถ้าจิตพลอยตายไปด้วยก็เท่ากับตายสูญสิ
    (กรรมมันต้องถูกบันทึกลงที่จิตสิ ตายแล้วถึงต้องเกิดใหม่เพื่อใช้กรรม)<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    คนตายลงไป ชีโวก็ไม่ได้ตายด้วย มันไปหาที่เกิดใหม่<O:p</O:p
     
  16. นาคเสน55

    นาคเสน55 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    311
    ค่าพลัง:
    +682
    พูดมาจากใจเลยนะ

    คำพูด เเละข้อความที่เเสดงออกมาของท่านนั้น

    มันมากไปด้วยความถือตัวถือตนจริงๆ

    อุส่าต์บวชมา ยังจะอยากมาเอาชนะฆราวาสอยู่อีก

    น่าจะเอาเวลาขณะนี้ เดี๋ยวนี้

    ไปเจริญวิปัสสนาสติปัฏฐาน 4 ดีกว่ามานั่งโต้เถียง

    ฆราวาสเพื่ออยากเอาชนะเลย

    ถ้าเป็นพระจริงๆล่ะก็ น่าจะคิดได้นะว่า

    เราจะมาโต้เถียงให้เกิดอกุศลกรรมแก่ตัวเรา เเก่ผู้อื่น

    ทำไม น่าจะจบๆกันไป เพื่อเขาจะได้ไม่บาป

    แต่ท่านไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย

    ที่พูดมาไม่ได้มีเจตนาร้ายเลยนะ เเค่อยากจะเตือน

    สติว่า ปลงซะบ้าง ละซะบ้าง ว่าเราถูก เราดี

    ใครจะเข้าใจยังไง เราก็ห้ามไม่ได้ เเต่เราควรกระทำ

    ตนเพื่อความละกิเลสของตัวเราให้ได้ก่อน

    ดีกว่ามานั่งหน้าคอม มาพูดว่าตัวเองดี ตัวเองรู้ ตัวเองถูก

    เวลามีค่า บวชเเล้ว ถือว่าโชคดี

    ได้กระทำกิจเพื่อความหลุดพ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่

    สุดสำหรับผู้บวช


    หากทั้งหมดที่ข้าพเจ้าเขียนมา ท่านเข้าใจ ก็น่าหยุด

    การต่อล้อต่อเถียงกับทุกคนในกระทู้


    เเละก็ไปทำหน้าที่ของท่าน ที่มีประโยชน์กว่านี้ต่อไป

    เเต่หากท่านยังดื้อดึงอยู่ ก็พึงรู้เถิดว่า เรายังคงยึดมั่นถือมั่นในตัวเราอยู่

    เพราะพระที่เเท้จริงเขาย่อมไม่สนใจต่อคำว่า คำด่า หรอก

    เขาสนในเพียงเเต่ว่า ทำอะไรที่ไม่ให้คนอื่นบาป


    ไม่ให้คนอื่นเกิดอกุศลในจิตเพราะเรา

    และทำยังไงเราถึงจะละสังโยชน์ทั้ง 10 ให้ได้

    เพื่อความหลุดพ้น


    ด้วยความปราถนาดี
     
  17. ZOMZARN

    ZOMZARN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +950
    ***และ "ไม่มีอะไรที่จะเกิดขึ้นมาได้เองลอยๆโดยไม่มีเหตุปัจจัย"***
    ***แล้วก็อยากจะถามคุณโยม ธรรมะสวนัง ว่า***
    ***สิ่งที่คุณโยมบอกว่าเป็นตัวเรา ซึ่งก็ได้แก่ จิต หรือวิญญาณธาตุนั้น มันเกิดขึ้นมาจากเหตุและปัจจัยอะไร?***
    ...............................................................................................
    ก่อนอื่นต้องขอกล่าวคำสวัสดีคุณธรรมะสวนัง ครับ...หุหุ...(จุ๊ จุ๊)

    ท่านเตชะปัญโญครับ...ถ้าท่านยึดถือคำกล่าวนั้น100%โดยไม่มีข้อยกเว้น
    ถ้าเช่นนั้น จิตเดิมแท้คืออะไร?มาจากไหน?อะไรเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดจิตเดิมแท้?
    เอกภพที่ประกอบด้วยหลายแสนล้านกาแลกซีเกิดขึ้นมาได้อย่างไร?อะไรเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดเอกภพ?
    ถ้าจิตวิญญาณไม่ใช่แก่นแท้ของสัตว์โลกแล้ว มนุษย์ก็เป็นเพียงหุ่นยนต์ชีวภาพที่มีสมองคอมพิวเตอร์ประกอบด้วยCPU,ROM,RAM ฯลฯ ที่ทำมาจากเซลล์ที่มีชีวิต
    มีเส้นประสาทเป็นสายไฟและสายสัญญาณข้อมูล มีกล้ามเนื้อเป็นมอเตอร์ขับเคลื่อน ฯลฯ
    แต่ เอ?แล้วSoftwareล่ะ มันมาจากไหน?เช่นBios,Operating system,Applicationsต่าง ๆ ?ใครเป็นผู้Install Softwareเหล่านั้นให้สมองมนุษย์ บิดามารดาอย่างนั้นหรือ?
    คงไม่ใช่แน่นอน เพราะยังมีบิดามารดาเป็นจำนวนมากที่ยังใช้คอมพิวเตอร์ไม่เป็น แล้วบุคคลเหล่านั้นจะมาเขียนโปรแกรมอันสลับซับซ้อนพิศดารพันลึกให้แก่Hardwareสมองของมนุษย์ซึ่งเป็นลูกของตนนั้น คงเป็นไปไม่ได้แน่นอน
    ถ้าเช่นนั้นSoftwareเหล่านั้นมันมาจากไหนล่ะท่าน?
     
  18. is am are

    is am are สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +4
    เห็นด้วยอย่างยิ่งขอรับกระผม ขออนุโมทนา สาธุ
     
  19. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    เรียน คุณนาคเสนที่นับถือ

    ขออนุโมทนากับข้อคิดเห็นของคุณที่แสดงความปราถนาดีต่อทุกฝ่าย
    แต่ผมขอแสดงความเห็นสักนิดในบางตอนของข้อเขียนและจะชี้ให้เห็น
    ถึงมูลเหตุที่ทำใมต้องมีความเห็นขัดแย้งกัน
    ผมเคยแสดงความเห็นในกระทู้นี้ว่า เรื่องความเห็นและการปฏิบัติ
    ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวคงไม่มีใครมาสนใจที่จะมาโต้ตอบกันหรอกครับ
    เหตุมันมาจะหัวข้อกระทู้ก็คือมีการนำความเห็นส่วนตัวที่ผิดไปจากพระธรรม
    คำสอนของพระพุทธเจ้า นำไปเป็นหลักสูตรสอนเด็กนักเรียน
    พวกเราถึงต้องออกมาแสดงความเห็นกัน เพราะมันกระทบต่อเยาวชนและสังคม
    และพระพุทธศาสนา ใม่ใช่มาเถียงกันเพื่อเอาชนะ นั่นมันเรื่องส่วนตัวครับ
    ที่เราพยายามมาชี้แจงเหตุผลต่างๆ เพื่อให้นักบวชที่เป็นมิจฉาทิษฐิมีความเข้า
    ใจเหตุผลตามความเป็นจริงจะได้เปลี่ยนมาเป็นสัมมาทิษฐิ เป็นการช่วยคนที่
    จะลงนรกขุมลึกให้กลับตัวกลับใจ

    แต่แม้แต่คุณเองก็ยอมรับนี่ครับว่า นักบวชผู้นี้มากไปด้วยความถือตัวถือตน
    ไม่ฟังใคร ไม่ว่าจะชี้แจงด้วยเหตุด้วยผลตามพระธรรมคำสอนที่ถูกต้องอย่าง
    ที่คุณธรรมะสวนัง ได้ชี้แจงมาและท่านอื่นๆ แม้บางท่านได้ยกเอาคำสอนของ
    ท่านพุทธทาสที่ดีที่ถูกต้องมา แต่นักบวชคนนี้ ที่บอกว่าเป็นศิษย์ของท่าน
    พุทธทาส ก็ไม่เชื่อคำสอนของครูบาอาจารย์

    อย่างว่าแหละครับคนที่เป็น
    มิจฉาทิษฐิ แม้แต่พระธรรมคำสอนในพระไตรปิฏก ก็ยังไม่เชื่อ
    อย่างนี้จะเรียกว่าเป็นพระได้หรือครับ ผู้ที่บวชโดยถูกต้องตามพระธรรมวินัย
    รักษาศีล ๒๒๗ บริสุทธิ์ องค์สมเด็จพระบรมศาดาสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่
    ทรงเรียกว่าพระเลยครับ พระองค์ตรัสว่าเป็นเพียงสมมุติสงฆ์
    แล้วนักบวชคนนี้ จาบจ้วง บิดเบือน พระธรรมคำสอน
    โดยกล่าวว่าตายแล้วสูญ นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี อวดอ้างในคุณธรรมที่ไม่มี
    ในตัวตน โดยกล่าวอ้างว่า ได้เห็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริง คนที่เป็นมิจฉา
    ทิษฐิอย่างนี้หรือครับจะได้เห็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริง อย่างนี้ศีล ๕ ข้อ
    ยังไม่ผ่านเลย ที่คุณว่าพวกที่ตอบโต้กับนักบวชผู้นี้เป็นบาป ผมว่าน่าจะเป็น
    บุญมากกว่านะครับ เพราะเรามีเจตนาที่จะให้นักบวชผู้นี้ มีจิตสำนึกและยอม
    รับพระธรรมคำสอนที่ถูกต้องไปปฏิบัติ มันจะเป็นสิ่งดีมิใช่หรือ
    ที่คุณบอกให้นักบวชผู้นี้หยุดและไปทำหน้าที่ที่มีประโยชน์กว่านี้
    คุณนาคเสนคิดหรือว่า เมื่อหยุดแล้วจะไปทำประโยชน์ เพราะถ้ายังเป็นมิจฉา
    ทิษฐิอยู่อย่างนี้ จะไปทำประโยชน์อะไรได้ ไปสร้างบาปมากกว่าถ้ายังเอา
    ความเห็นผิดๆ ไปสอนเด็กต่อ คุณว่าจะมีประโยชน์หรือครับ

    และที่คุณนาคเสนพูดถึงว่าคนตอบโต้จะเป็นบาปน่าจะเป็นผมเสียมากกว่า
    เพราะท่านอื่นนั้น ท่านชี้แจงในธรรมตามเหตุตามผล แต่คงมีผมคนเดียว
    กระมังที่กล่าวคำที่รุนแรง ในสายตาของคนทั่วไปอาจจะดูไม่เหมาะสม
    ถึงผมจะกล่าวแรง แต่ก็เป็นความจริง ยกตัวอย่างเช่น
    มืดบอดจริงหนอ
    อัจฉริยะแห่งความมืดบอด
    เพราะคนที่เป็นมิจฉาทิษฐิ ก็เป็นคนมืดบอดจริงๆ
    พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า "นิคไคหะ ปักไคหะ" ความหมายก็คือ
    การสอนคนพระองค์ทรงแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ คนที่จิตละเอียด
    ก็ต้องสอนด้วยการพูดจาด้วยเหตุด้วยผล เขาก็จะเข้าใจและเชื่อฟัง
    ส่วนคนบางคนจิตหยาบ หัวดื้อ ไม่ฟังใคร จะไปพูดดีๆ ยกเหตุยกผล
    ให้ฟัง พูดดีเพียงใด คนพวกนี้ก็จะไม่ยอมรับไม่เชื่อฟัง ถ้าเป็นเด็กดื้อ
    พูดจาดีๆ ไม่ฟัง ก็ต้องใช้ไม้เรียวกำหราบ
    นักบวชคนนี้ก็เช่นกัน เป็นประเภทจิตหยาบ หัวดื้อ ไม่ฟังใครถึงแม้จะ
    มีเหตุมีผลดีเพียงใด แม้ยกพระธรรมคำสอนในพระไตรปิฏกมาก็ไม่เชื่อ
    ยกธรรมะของอาจารย์มาก็ไม่เชื่อ ผมก็ต้องเล่นบทแรง พูดกระทบ
    กระแทกแดกดัน ก็ยังไม่บังเกิดผล ก็ยังแสดงออกเหมือนเดิม
    หวังว่าคุณนาคเสนคงจะเข้าใจในเจตนาของผม
    และก็ขอบคุณอีกครั้ง ในเจตนาที่เป็นกุศลของท่าน และก็ขอ
    ช่วยกันดูแลปกป้องพระศาสนา เพราะคนที่เป็นมิจฉาทิษฐิ
    มีมาก ชอบบิดเบือนคำสอนของพระพุทธเจ้า เอาความเห็นของ
    ตนเป็นใหญ่ ถ้าปล่อยให้พวกนี้ทำได้ตามอำเภอใจ สังคมก็จะ
    เดือดร้อน

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 สิงหาคม 2008
  20. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    ยิ้มตามมาสนับสนุนท่านชนะค่ะ ด้วยเหตุผลที่ยิ้มคิดเช่นเดียวกัน และยิ้มก็มีลูกที่ก็กลัวว่าจะได้เรียนหลักสูตรของท่านเข้าไป เท่ากับโดนยื่น...ให้ไปโดยปริยาย

    และถ้าลองคิดต่อไปอีกว่า ถ้ายิ้มมีความเชื่ออย่างหนึ่ง กับลูก ๆ มีความเชื่ออีกขั้วหนึ่ง ความสุขในครอบครัวของยิ้มจะเป็นเช่นไร และสังคมโดยรวมจะเป็นเช่นไร

    ดังนั้นยิ้มจึงเชื่อว่าการที่กลุ่มคนเข้ามาตอบโต้และคัดค้านจึงไม่ใช่เรื่องที่ไร้สาระค่ะ ท่านห่มเหลืองก็ควรโปรดช่วยพิจารณาด้วยค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...