น่าเป็นห่วง หลักสูตรพุทธศาสนา จากบางอาจารย์ สอนตายแล้วสูญ ( หลักสูตร ม.1- ม.6)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 24 มกราคม 2006.

?
  1. ไม่เห็นด้วย (คิดว่าสอนผิด)

    0 vote(s)
    0.0%
  2. เห็นด้วย (คิดว่าสอนถูก)

    0 vote(s)
    0.0%
  1. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ท่านต่างหากที่ต้องตื่นจากความฝันเรื่องไม่มี"ตนเอง"เสียที
    -------------------------
    ***ความเชื่อว่ามีตนเองนี้มาจากไหน? ลองหาให้พบ***

    ***มาจากตำราหรือจากครูอาจารย์ หรือจากสามัญสำนึกของเราเอง?***

    ***ถ้ามากจาตำรา หรือจากครูอาจรย์ แล้วมันจะเป็นความจริงได้อย่างไร? ในเมื่อเราเองยังไม่ได้รู้ด้วยตัวเอง***

    ***แต่ถ้ามาจากสามัญสำนึกของเราเอง สามัญสำนึกของเราเองมันก็หลอกเราได้ ไม่ใช่มันจะบอกความจริงไปเสียทั้งหมด (อย่าเชื่อจากสามัญสำนึกของเราเอง)***

    ***ถ้ามันมีเราอยู่จริง ลองคิดดูง่ายๆว่า เดิมมันจะมาจากไหน? ใครสร้าง? มีเหตุปัจจัยอะไรมาปรุงแต่งให้เกิด? (ถ้าเดาก็แสดงว่าไม่รู้จริง เลยเดา)***

    ***หรือเราจำได้หรือไม่ว่า มันเคยมีเรามาก่อนตั้งแต่เรายังไม่เกิดในปัจจุบัน?****

    ***อย่าอ้างว่าจำไม่ได้แล้ว เพราะถ้าอ้างอย่างนี้แล้ว เราก็จะเอาอะไรก็ได้มาใส่ในชีวิตของเรา แล้วก็อ้างว่าจำไม่ได้ มันก็เป็นปัญหาไม่รู้จบเพราะการอ้างเช่นนี้***

    ***ดูจากร่างกายซิ มันก็ยังต้องกินอาหาร ดื่มน้ำ ถ้าไม่ปรุงแต่งมันก็ตาย แล้วจิตมันจะสามารถเกิดมาได้เองลอยๆโดยไม่มีเหตุปัจจัยมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้นและตั้งอยู่เช่นนั้นหรือ? ถ้าอย่างนี้ก็เป็นความเชื่อว่ามี อัตตา ตามหลักของศาสนาฮินดูเขา ไม่ใช่ของพุทธ***
    ----------------------------

    (ฉันคืออะไร? เวบไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ www.whatami.net - www.whatami.5u.com )
     
  2. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    "จิตและความนึกคิดเกิดขึ้นเองพร้อมร่างกายตามธรรมชาติ"...มันก็ยัง กำปั้นทุบดิน อยู่นั่นเอง
    ท่านต้องอธิบายให้ได้ว่า กระบวนการให้เกิดจิตและความนึกคิดนั้น เป็นอย่างไร?

    ------------------
    ***เป็นคำถามที่ควระถาม และน่าสตอบมาก เพราะทำให้เกิดปัญญา***

    ***เมื่อมีร่างกายที่ยังไม่ตาย และระบบประสาท( ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ-สมอง)ที่ยังทำงานอยู่(ตื่นอยู่) เมื่อมีสิ่งถาบยนอก (เช่น รูป เสียง กลิ่น รส) มาประทบระรบบประสาทใด มันก็ทำไห้เกิดการรับรู้สิ่งภายนอกนั้นขึ้น (วิญญณ)ที่ระบบประสาทจุดนั้น และมันก็จะมากระทบที่ใจ(สมอง)ด้วยเสมอ***

    ***เมื่อเกิดการรับรู้(วิญญณธ์) มันก็จะเป็นเหตุให้เกิดความรู้สึกต่อสิ่งรับรู้นั้นขึ้นมาด้วยทันที(เวทนาธ์) เมื่อเกิดความรู้สึก มันก็จะจำสิ่งที่มันรับรู้นั้นได้(สัญญาขันธ์) เมื่อจำได้ มันก็นำเอาความจำน้นมาปรุงแต่งให้เกิดเป็นความคิด หรือความอยากต่อไป(สังขารขันธ์)***

    ***ลองพิจารณาง่ายว่า จิตของเด็กจะยังไม่มีระบบเช่นนี้สมบูรณ์ เพราะยังไม่มีความทรงจำในสมอง ต่อเมื่อเด็กนั้นเริ่มมีความทรงจำ(จากการสัมผัสทางระบบประสาสมากๆ) มันจึงจะเกิดความจำขึ้นมา****

    ***ถ้าไม่มีความจำ จิตก็คิดอะไรไม่ได้ (หรือถ้าเชื่อว่าจิตจะออกจากร่างกายไปได้ แล้วมันจะคิดนึกได้หรีอ เมื่อมันไม่มีสมองมาจำ?)***

    ***ถ้าเราทุกคนเอาความทรงวจำออกไปจากสมองให้หมด ทุกคนจะเหมือนกันหมด คือกลับคืนสู่สภาวะเดิม คือว่างเปล่า ไม่มีความยึดถือว่ามีตัวตนของใครๆทั้งสิ้น ที่เรียกว่า จิตเดิมแท้ ***
    ------------------
    (ฉันคืออะไร? เวบไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ www.whatami.net - www.whatami.5u.com )


    ----------------
     
  3. นิรันตรพินทุ

    นิรันตรพินทุ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +10
    ผมถามท่านเตช ข้อนึง ข้อแรก

    ท่านจะทำอย่างไรเพื่อแสดงหลักธรรมที่ท่านเข้าถึงให้แก่
    ชาวต่างชาติต่างภาษาต่างวัฒธรรมที่ท่านพบเจอเพียงชั่วขณะเดียว เพียงเดินผ่าน
    เพื่อพิสูจน์ว่า ธรรม ของท่านเป็น สัจจริงที่กล่าวมาทั้งหมด

    นี่เป็น คำถามที่เคยมีคนถามผมครั้งที่ยังเป็นตู้เก็บพระไตรปิำฏก
     
  4. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ถ้าท่านเห็นว่า จิตและความนึกคิดในสมองของมนุษย์ เป็นเพียงชุดระหัสคำสั่งที่เกิดขึ้นในสมองมนุษย์(ไม่ได้มีอยู่จริง)แล้ว
    ถ้าเช่นนั้น ใคร?เป็นคนเขียนCodeชุดระหัสคำสั่งดังกล่าวเหล่านั้น ให้ฮาร์ดแวร์สมองชีวภาพของมนุษย์ สามารถRunได้?
    บิดามารดาของมนุษย์ผู้นั้นหรือ? คงไม่ใช่แน่นอน
    แล้วชุดระหัสคำสั่งเหล่านั้นมันมาจากไหน? กรุณาอย่าบอกว่า มันเกิดขึ้นเอง เพราะจะกลายเป็น ระบบกำปั้นทุบดินซ้ำแล้วซ้ำอีก
    ก็ท่านเองมิใช่หรือที่มักกล่าวอ้างว่า ทุกสิ่งทุกอย่างจะเกิดขึ้นได้ต้องมีเหตุปัจจัย

    --------------------
    ***สรุปว่า มันเป็นระบบที่ทำงานโดยอัตโมติ ตามกฎที่ว่า เมื่อสิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมี เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี***

    ***อย่าเพิ่งไปสนในเรื่องอื่น กลับมาหาความจริงในจุดเริ่มต้นก่อนว่า "ยอมรับหรือไม่ว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมาและตั้งอยู่ จะต้องอาศัยเหตุปัจจัยมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้นและตั้งอยู่ทั้งสิ้น"***

    ***ถ้ายอมรับจุดนี้ก็เข้าใจ "ความจริงพื้นฐานของทุกสิ่งได้เอง" แล้วปัญหาอื่นๆก็จะหมดไป***

    ***แต่ถ้าไม่ยอมรับ ก็เปล่าประโยชน์ที่จะสนธนากันต่อไป เพราะไม่ยอมรับความจริง ก็จะไม่พบความจริง แล้วก็จะมีแต่ปัญหาไร้สาระอีกต่อไป ไม่รู้จักจบสิ้น*/**

    ***การสนทนาควรใช้เหตุผล อย่าใช้อารมณ์ จิตจะไม่บริสุทธิ์ จะไม่มีสมาธิ แล้วปัญญาก็จะไม่เกิด***

    -----------------------
    (ฉันคืออะไร? เวบไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ www.whatami.net - www.whatami.5u.com )

    ------------------
     
  5. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ใคร เป็นผู้สมมติ แบ่งเขต เหล่านี้ ครับ ว่า อะไรคือง่าย อะไรยาก

    อ้างอิงในพระไตรปิฎก หรือ อรรถกถา ฎีกา ให้ดูหน่อย

    ความจริง ปรมัตถ ยังมีเป็น ระดับ ๆ อีกหรือครับ

    ---------------------
    ***ไม่ทราบว่า "ธัมมนัตา" ท่านนี้ จะสนทนาอย่างสุภาพบุรุษ อย่างมีเหตุผล และด้วยเมตตาหรือไม่? ถ้าไม่ก็คงสนทนาด้วยไม่ได้ แต่ถ้ายอมรับก็คงสนทนากันได้***

    **ถ้ายอมรับว่า จะสนทนาอย่างสุภาพบุรุษ อย่างมีเหตุผล และด้วยเมตตา ก็กรุณาตอบคำถามนี้ก่อนว่า "ยอมรับหรือไม่ว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นและตั้งอยู่ ล้วนจะต้องอาศัยเหตุและปัจจัยมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้นและตั้งอยู่ทั้งสิ้น"***

    ***ขออภัยที่ถามเช่นนี้ก่อน เพราะนี่คือจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้และรู้จักกัน ว่าใครจะเป็นคนจริงหรือไม่? หรือเป็นแค่คนอยากจะมาระบายความโกรธของตัวเอง***
    --------------------------------
    (ฉันคืออะไร? เวบไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ www.whatami.net - www.whatami.5u.com )
     
  6. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ท่านจะทำอย่างไรเพื่อแสดงหลักธรรมที่ท่านเข้าถึงให้แก่
    ชาวต่างชาติต่างภาษาต่างวัฒธรรมที่ท่านพบเจอเพียงชั่วขณะเดียว เพียงเดินผ่าน
    เพื่อพิสูจน์ว่า ธรรม ของท่านเป็น สัจจริงที่กล่าวมาทั้งหมด


    นี่เป็น คำถามที่เคยมีคนถามผมครั้งที่ยังเป็นตู้เก็บพระไตรปิำฏก

    -----------------------------------

    ***โอ้โห...!!!!!!! นี่เป็นคำถามที่น่าสนใจที่สุดเท่าที่เคยพบมาในเวบนี้ ไม่เคยมีใครถามเช่นนี้มาก่อนเลย และอาตมาก็รอคำถามนี้เมานานแสนนาน แต่ก็ไม่มuใครยอมถามเลย***

    *** แต่....ไม่ทราบว่า "นิรันตรพินทุ" ท่านนี้ จะสนทนาอย่างสุภาพบุรุษ อย่างมีเหตุผล และด้วยเมตตาหรือไม่? ถ้าไม่ก็คงสนทนาด้วยไม่ได้ แต่ถ้ายอมรับก็คงสนทนากันได้***

    **ถ้ายอมรับว่า จะสนทนาอย่างสุภาพบุรุษ อย่างมีเหตุผล และด้วยเมตตา ก็กรุณาตอบคำถามนี้ก่อนว่า "ยอมรับหรือไม่ว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นและตั้งอยู่ ล้วนจะต้องอาศัยเหตุและปัจจัยมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้นและตั้งอยู่ทั้งสิ้น" (จุดนี้จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าธรรมะของเราเป็นของจริงแท้แน่นอน จนเขาอาจไม่ยอมรับ เพราะมันจริงเกินไป สำหรับคนไม่จริง)***

    ***ขออภัยที่ถามเช่นนี้ก่อน เพราะนี่คือจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้และรู้จักกัน ว่าใครจะเป็นคนจริงหรือไม่? หรือเป็นแค่คนอยากจะมาระบายความโกรธของตัวเอง***
    --------------------------------
    (ฉันคืออะไร? เวบไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ www.whatami.net - www.whatami.5u.com )
    --------------------------------------
     
  7. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,256
    จริงค่ะ โดยเฉพาะถ้ามีครูอาจารย์แบบคุณนอกรีต
    ผู้เอาเปรียบชาวบ้าน แฝงตัวในพระศาสนา โง่ดักดาน
    ถ้าใครเชื่อท่าน ก็โง่ดักดานตามท่าน จริงๆด้วย

    มีปัญญาโฉเก ไม่ทำมาหากิน เอาแต่ขอเค้ากิน
    แน่จริง สึกออกมาทำมาหากินสิ

    ^_^
     
  8. นิรันตรพินทุ

    นิรันตรพินทุ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +10
    "ยอมรับหรือไม่ว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นและตั้งอยู่ ล้วนจะต้องอาศัยเหตุและปัจจัยมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้นและตั้งอยู่ทั้งสิ้น"

    ถูกต้อง ท่านกล่าวประโยคนี้มาไม่ผิดจากความจริงเลย
    ไม่มีอะไรที่อาศัยอยู่อย่างโดดๆ ล้วนทักทอผสมผสานกันอย่างมีจังหวะ
    สิ่งหนึ่งมี สิ่งนึงมีตาม หนึ่งเสียงเปล่งออกมา อาจเป็นมหาพายุพัดถล่มแผ่นดินได้
    ตามแต่ปัจจัยส่งเสริม

    เอาล่ะ ท่านคิดเห็นว่าอย่างไร?
     
  9. na_mo

    na_mo สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    81
    ค่าพลัง:
    +8
    ท่านยึดติดกับผ้าเหลืองหรือไม่ ใจเป็นพระโดยมิต้องครองผ้าเหลืองได้หรือไม่
    ผ้าเหลืองสักแต่ว่าเป็นผ้า ไม่เห็นจำเป็นต้องยึดติด
    ศีล 227 ข้อ โดยแต่งตัวแบบฆราวาสได้หรือไม่ ทำไมไม่ลองดู
     
  10. ZOMZARN

    ZOMZARN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +950
    เท่าที่ผมได้สนทนากับท่านเตชะปัญโญมาแล้วทั้งหมด
    ผมมีข้อมูลเพียงพอแล้วที่จะประเมินผลท่านได้ว่า เป็นการเปล่าประโยชน์ที่จะสนทนาโต้แย้งกับท่านต่อไป
    สิ่งใดที่ไม่สอดคล้องกับความเชื่อของท่าน ท่านปฏิเสธหมดทุกเรื่อง บางเรื่องโต้แย้งแบบเอาข้างเข้าถู เช่น เรื่องซอร์ฟแวร์สมอง แม้แต่เรื่องที่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ท่านก็ปฏิเสธ เช่น ปฏิเสธกฎแห่งกรรม ปฏิเสธการเวียนว่ายตายเกิด ปฏิเสธภพภูมิอื่น ๆ ปฏิเสธการมีอยู่ของจิตวิญญาณที่เป็นแก่นแท้ของสรรพสัตว์
    โดยการอ้างอิงกาลามสูตรบ้าง อ้างอิงคำสอนของพระพุทธเจ้าตามตำราบ้าง
    อ้างว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นและตั้งอยู่ได้ ต้องอาศัยเหตุปัจจัยโดยไม่มีข้อยกเว้นบ้าง
    บางครั้งก็อ้างว่าบางสิ่งบางอย่างมีอยู่แล้วโดยไม่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยบ้าง ซึ่งมันขัดแย้งกันเอง
    มีหลายมาตรฐานมาก ไม่มีหลักเกณ์ที่แน่นอน ขึ้นอยู่กับว่า ตนต้องการเชื่ออะไรเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

    พระพุทธองค์ทรงสอนว่า เราไม่เห็นกรรมใดเลยที่จะหนักเท่ามิจฉาทิฏฐิ โดยเฉพาะมิจฉาทิฏฐิที่เชื่อว่า ตายแล้วสูญ ผู้ที่มีมิจฉาทิฏฐิดังกล่าวแล้ว สอนให้ผู้อื่นเชื่อตาม จะยิ่งได้รับกรรมหนักอย่างยิ่ง จะได้ไปปฏิสนธิในโลกันตนรก ซึ่งเป็นนรกขุมที่น่ากลัวและทุกข์ทรมานที่สุด
    ถ้าท่านยังปฏิเสธคำสอนดังกล่าวนี้อีก ก็ขอเชิญท่านเดินไปตามทางของท่านเถิด
    ผมขอแยกทางจากท่านที่ตรงนี้
     
  11. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,256
    55+ คุณZOMZARN
    คุณนอกรีตเค้าไม่เชื่อเรื่องกฏแห่งกรรม
    เค้ายึดว่าที่เค้ารู้ ที่เค้าสอนน่ะ ไม่ใช่มิจฉาทิฏฐิ
    แล้วเค้าก็หลอกตัวเองว่ายังไงเสีย ตายแล้วสูญ อยู่แล้ว
    ไม่ต้องรับกรรม นรกไม่มี
    ลองมาดูความเห็นผิดของคุณนอกรีตเรื่อง ตายแล้วสูญ กันหน่อยดีกว่าค่ะ
    ^_^
     
  12. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,256

    ไขความมั่วได้ใจของ เตชะปญฺโญ โดย ธรรมะสวนัง

    เรื่องที่ ๑ เรื่องสอนว่าตายแล้วสูญ (...เตชะ...)<O:p</O:p
    พระพุทธองค์ไม่เคยสอนว่าตายแล้วสูญ

    ความจริงแล้วพระพุทธองค์ทรงสอนเรื่อง การดับทุกข์ (...เตชะ...)
    ทุกข์ไม่ได้เกิดแล้วลอยไปลอยมา ทุกข์เกิดที่จิต ก็ต้องดับที่จิต (ไม่ใช่จิตดับ )
    ทรงตรัสว่า โดยย่ออุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์<O:p</O:p
    การที่เรา(จิต)เข้าไปยึดถือขันธ์ ๕ ไว้ ทำให้ทุกข์เกิด คือ เรา(จิต)เป็นทุกข์<O:p</O:p
    ถ้าเรา(จิต)ปล่อยวางการยึดถือขันธ์ ๕ ได้ ทุกข์ก็จะดับ คือ เรา(จิต)ก็จะไม่ทุกข์<O:p
    การถือมั่นในขันธ์ ๕ ทำให้เกิดทุกข์<O:p
    จิต คือ ผู้ถือมั่น และ เป็นผู้ปล่อยวางการยึดถือขันธ์ ๕<O:p</O:p
    <O:p
    อ้างอิง อนัตตลักขณสูตร<O:p</O:p
    จิตของพระปัญจวัคคีย์ก็หลุดพ้นจากอุปาทานการถือมั่นในขันธ์ ๕<O:p</O:p
    <O:p
    โดยเน้นให้ใช้ศีล สมาธิ ปัญญา มาดับทุกข์ (...เตชะ...)<O:p
    ศีล สมาธิ ปัญญา หรืออริยมรรค ๘ เป็นการปฏิบัติทางจิต<O:p
    เกิดเองลอยๆไม่ได้ แค่อ่านแล้วคิดตามเป็นตุเป็นตะ<O:p
    อันนั้นคือความฟุ้งซ่าน ไม่ใช่ความสงบระงับ<O:p
    <O:p
    อริยมรรค ๘ ต้องเจริญ ต้องทำให้มีขึ้นที่จิต โดยการปฏิบัติสมาธิ<O:p
    เพื่อให้จิตเกิดปัญญาปล่อยวางอารมณ์ต่างๆออกไปได้ จิตก็จะพ้นจากทุกข์ได้<O:p
    <O:p
    อ้างอิง กิจของอริยสัจ ๔<O:p
    มรรค เป็นภาเวตัพพะ ต้องเจริญ ต้องทำให้มีขึ้น<O:p
    <O:p
    อ้างอิงมหาปรินิพพานสูตร<O:p
    สมาธิที่ศีลอบรมแล้ว ย่อมให้ผลใหญ่ ให้อานิสงส์ใหญ่<O:p
    ปัญญาที่สมาธิอบรมแล้ว ย่อมให้ผลใหญ่ ให้อานิสงส์ใหญ่<O:p
    จิตที่ปัญญาอบรมแล้ว ย่อมหลุดพ้นจากเครื่องเศร้าหมองเสียได้

    (มีต่อ)
     
  13. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,256
    (ต่อ)ไขความมั่วได้ใจใจของ เตชะปญฺโญ โดย ธรรมะสวนัง


    โดยหัวใจของการดับทุกข์<O:p</O:p
    ก็คือให้ยกเอาขันธ์ทั้ง ๕ มาพิจารณาให้เห็นถึงกฎไตรลักษณ์<O:p</O:p
    คืออนิจจัง(ความไม่เที่ยง) ทุกขัง(ความเป็นทุกข์)<O:p</O:p
    และอนัตตา(ความไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง) เพื่อให้เกิดปัญญาที่แท้จริง (...เตชะ...)
    <O:p
    การยกเอาขันธ์ ๕ มาพิจารณา โดยไม่ได้ปฏิบัติสมาธิ จิตไม่ได้ตั้งมั่นเป็นสมาธิ<O:p
    ปัญญาที่เกิด เป็นปัญญาที่นึกคิดคาดเดาเอา ไม่ใช่ปัญญาในองค์มรรค<O:p
    ดังนั้น จึงไม่ใช่ปัญญาที่แท้จริง <O:p
    <O:p
    หัวใจของการดับทุกข์ คือ ทุกข์เกิดที่ใด ก็ต้องดับ ณ ที่นั้น (ที่จิต)<O:p</O:p
    อะไรเป็นเหตุให้ทุกข์เกิด ก็ดับเหตุแห่งทุกข์นั้นซะ (จิตยึดถือขันธ์ ๕ เป็นตน)
    <O:pทำยังไงทุกข์จึงจะดับโดยไม่เหลือ (จิตปล่อยวางการยึดถือขันธ์ ๕)<O:p</O:p
    ก็ทำวิธีนั้นซะ(ปฏิบัติสมาธิตามหลักอริยมรรค ๘ ซึ่งเป็นการปฏิบัติทางจิต)<O:p</O:p
    <O:p
    ทุกข์เกิดขึ้นที่จิต เพราะจิตมีอวิชชาครอบงำ จิตรู้ผิดจากความเป็นจริง<O:p
    คือ จิตไม่รู้อริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง หลงยึดขันธ์ ๕ ว่าเป็นตน(จิต)<O:p
    <O:p
    เมื่อปฏิบัติสมาธิตามหลักอริยมรรค ๘ จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ<O:p
    จะเกิดปัญญา รู้เห็นตามความเป็นจริง<O:p
    จิตจะรู้ว่า ขันธ์ ๕ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน(จิต)ที่แท้จริง<O:p
    จิตจะรู้ว่าขันธ์ ๕ ไม่ใช่ตน(จิต) ตน(จิต)ไม่ใช่ขันธ์ ๕ <O:p
    หรือ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา(จิต) เรา(จิต)ไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ตัวตนของเรา(จิต)<O:p
    <O:p
    อ้างอิงอนัตตลักขณสูตร
    <O:pขันธ์ ๕ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์
    ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่านั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา?
    ป. ข้อนั้น ไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า

    เธอทั้งหลายพึงเห็นขันธ์ ๕ นั้นด้วยปัญญาอันชอบ ตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า
    นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตนของเรา

    [๒๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    อริยสาวก ผู้ได้ฟังแล้ว เห็นอยู่ อย่างนี้
    ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
    เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมสิ้นกำหนัด เพราะสิ้นกำหนัด จิตก็พ้น
    เมื่อจิตพ้นแล้ว ก็รู้ว่าพ้นแล้ว
    ฯลฯ
    <O:p</O:pจิตของพระปัญจวัคคีย์ พ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่นในขันธ์ ๕

    (จิต คือ ผู้รู้ ผุ้เห็นอยู่ เมื่อจิตพ้นแล้ว ก็รู้ว่าพ้นแล้ว
    <O:p</O:pจิตไม่ได้ดับหายไป แต่รู้อยู่ เห็นอยู่ตลอดสายของการปฏิบัติ)

    (เย็นมาต่อ)<O:p
     
  14. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    อะไรๆก็ไม่มีแล้วจะมาคุยกันทำไมสำหรับสิ่งที่ไม่มี
    ให้เสียเวลาไปเปล่าๆ
    ก็เพราะไอ้ที่มันมีอยู่ทุกวันนี้ ที่เป็นปัญหาให้เราเข้าไปยึดเป็นตัวกูของกูต่างหาก
    แค่สอนว่าก็อย่าไปยึดสิ มันง่ายจริง
    แต่เห็นคนที่สอนนั่นนะตัวดี เข้าไปยึดอย่างละเอียดลึกซึ้ง หุหุ
    deeja
     
  15. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ขอเถอะ อย่าไปโทษเหตุธรรมชาติของวัตถุเลยนะจ๊ะ เหตุหลักคือเข้าไปยึดต่างหากนะจ๊ะ
    ไม่ว่ารวยหรือจน ถ้าได้เกิดเป็นคนก็ทุกข์ทั้งนั้นแหละ ไม่น่าจะเกี่ยวกับธรรมชาติของวัตถุเลย
    ทุกข์เท่านั้นที่เกิด ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป....จากอะไร???
    เคยเห็นมั้ยจ๊ะ คนจนผู้ยิ่งใหญ่ เพราะอะไร??? คนรวยผู้ยากไร้ เพราะอะไร???
    deeja
     
  16. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    เตชะ บอกแล้ว ศึกษาของครูบาอาจารย์ให้ดีๆ อย่าทำอย่างที่เป็นอยู่อย่างทุกวันนี้
    สอนเกินครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์เสียหายหมด

    คนตายลงไป ชีโวก็ไม่ได้ตายด้วย มันไปหาที่เกิดใหม่
    deeja
     
  17. นิรันตรพินทุ

    นิรันตรพินทุ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +10
    ผู้ประมาท ย่อมเห็นผู้อื่นด้อยกว่าตน
    เมื่อเล็งเห็นว่าผู้อื่นด้อยกว่าตนแล้ว ทิฐิมานะจึงเกิด

    ธัมมารมณ์ เป็น โลกกะวัชชะ ได้
    จงมอบให้กันด้วยความไม่ประมาท นะ

    ...จากสายปฎิบัติ
     
  18. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    "ยอมรับหรือไม่ว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นและตั้งอยู่ ล้วนจะต้องอาศัยเหตุและปัจจัยมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้นและตั้งอยู่ทั้งสิ้น"
    ถูกต้อง ท่านกล่าวประโยคนี้มาไม่ผิดจากความจริงเลย
    ไม่มีอะไรที่อาศัยอยู่อย่างโดดๆ ล้วนทักทอผสมผสานกันอย่างมีจังหวะ
    สิ่งหนึ่งมี สิ่งนึงมีตาม หนึ่งเสียงเปล่งออกมา อาจเป็นมหาพายุพัดถล่มแผ่นดินได้ตามแต่ปัจจัยส่งเสริม
    เอาล่ะ ท่านคิดเห็นว่าอย่างไร?

    -----------------------------
    ***การจะกล่าว(หรือพิมพ์)อะไรออกไปควรคิดให้ดีก่อน คิดให้ละเอียด คิดให้ลึก และคิดหลายๆรอบ อย่าให้มีจุดบอด ซึ่งก็อาจจะต้องใช้เวลามาก โดยเฉพาะความจริงข้อนี้ เพราะนี่เป็นต้นตอของความจริงทั้งหมดที่เราจะต้องนำมาใช้ศึกษา***

    ***เพระอะไร? เพราะเมื่อเราจะพูด เราจะเป็นนายคำพูด แต่เวลาเราพูดจบไปแล้ว คำพูดนั้นจะมาเป็นนายเรา(จำขี้ปากเขามา)***

    *** คือมันจะกลับมาเล่นงานเรา ถ้าเรากลับไม่ยอมรับความจริงนี้ เมื่อพบว่าตนเองมีความเห็นที่ตรงข้ามกับความจริงที่เรายอมรับตั้งแต่ตอนเรกนั้น***

    -----------------------------
    ท่านจะทำอย่างไรเพื่อแสดงหลักธรรมที่ท่านเข้าถึงให้แก่
    ชาวต่างชาติต่างภาษาต่างวัฒธรรมที่ท่านพบเจอเพียงชั่วขณะเดียว เพียงเดินผ่าน เพื่อพิสูจน์ว่า ธรรม ของท่านเป็น สัจจริงที่กล่าวมาทั้งหมด

    นี่เป็น คำถามที่เคยมีคนถามผมครั้งที่ยังเป็นตู้เก็บพระไตรปิฏก

    -----------------------------------
    ***ข้อนี้เราก็ต้องพิจารณาดูก่อนว่า เขาสนใจธรรมะของเราอย่างไร? และก็ต้องดูว่าเขามีสติปัญญาระดับไหนด้วย***

    ***ถ้าเป็นคนธรรมดา(ชาวบ้าน) ก็อาจต้องใช้อิทธิปาฎิหารย์ หรือการทายดักใจมาทำให้เขายอมรับ ซึ่งข้อนี้คนโง่จะชอบ แต่ว่าไม่สำเร็จประโยชน์ เพราะเขาจะติดฤทธิ์ ไม่สนใจธรรมะ และที่สำคัญเราก็เล่นกลไม่เป็นเสียด้วย ดังนั้นสำหรับคนมีสติปัญญาน้อยนี้ เราจึงทำได้ก็เพียง รอให้เขามีสติปัญญามากขึ้นเสียก่อน อย่างดีก็เพียงทำตัวดีให้เขาเคารพศรัทธาอย่างคนธรรมดาทั่วไปก่อน เพื่อรอเวลา***

    ***แต่ในกรณีที่เขาเป็นคนมีสติปัญญามาก(อัจฉริยะ) และสนใจ ซึ่งอันนี้คือคนที่เราต้องการพบ(แต่ก็มีน้อยมาก) ซึ่งคนพวกนี้จะไม่สนใจการเล่นกล แต่เขาจะสนใจว่าเรามีสติปัญญามากน้อยแค่ไหน ซึ่งส่วนมากลึกๆแล้ว ชาวตะวันตกจะดูถูกความเชื่อของพุทธศาสนาโดยรวมในปัจจุบัน เพราะเราแทบไม่มีหลักการอะไรเลย ที่ทำให้เขายอมรับได้จริงมาก่อน***

    ***ดังนั้น จุดแรกที่จะทำให้เขาสนใจก็คือ เราจะถามเขาว่า "คุณอยากจะรู้แจ้งชีวิตของตัวคุณเองและทุกชีวิต ด้วยสติปัญญาของคุณเองหรือไม่?***

    ***หรืออาจจะถามเขาว่า "คุณอยากจะดับทุกข์ของชีวิตคุณในปัจจุบัน โดยใช้หลักวิทยาศาสตร์หรือไม่?***

    ***ถ้าเขาตอบว่าไม่สนใจที่จะรู้แจ้งชีวิต และไม่สนใจดับทุกข์ในปัจจุบันทั้งสองข้อ เราก็อย่าไปสนใจเขา เพราะเปล่าประโยชน์ที่จะสนทนากับเขาในเรื่องธรรมะ***

    ***แต่ถ้าเขาตอบว่าสนใจ ไม่ข้อใดก็ข้อหนึ่ง ก็เข้าทางเราทันที***

    ***เมื่อเขาสนใจ เราก็บอกเขาว่า การที่จะดับทุกข์ของชีวิตในปัจจุบันได้นั้น มันก็ต้องรู้แจ้งชีวิตด้วยตัวของคุณเองเสียก่อน (มันเป็นเรื่องที่แยกกันไมได้)***

    ***ซึ่งการที่เราจะรู้แจ้งชีวิตด้วยตัวของเราเองนั้น เราต้องถามเขาก่อนว่า...***

    ***คุณยอมรับหรือไม่ว่า "ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ต้องมาจากการที่มีเหตุปัจจัยมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้นทั้งสิ้น ไม่ได้เกิดขึ้นมาได้เองลอยๆโดยไม่มีเหตุปัจจัย?***

    ***ถ้าเขาไม่ยอมรับ เราก็บอกเขาว่า ถ้าคุณไม่ยอมรับความจริงข้อนี้ เราก็สนทนากันไมได้ เพราะนี่คือความจริงพื้นฐานธรรมดาๆที่ใครๆที่พอจะมีความรู้อยู่บ้างก็ต้องยอมรับ เมื่อคุณไม่ยอมรับ ก็เท่ากับคุณไม่ยอมรับความจริง แล้วคุณก็จะไม่พบความจริง แล้วเราก็ยุติดการสนทนานั้นเสีย***

    ***แต่ถ้าเขายอมรับ เราก็ต้องย้ำให้เขาคิดดูให้ดีก่อน เพราะเมื่อยอมรับแล้วจะมาบิดพริ้วในภายหลังไม่ได้ ***

    ***อีกอย่างเราก็ต้องทำความเข้าใจกับเขาด้วยว่า คำว่าทุกสิ่งนั้น หมายถึงทุกสิ่งจริงๆ ไม่ยกเว้นสิ่งใดเลย ไม่ว่าจะเป็นวัตถุ หรือสิ่งที่เป็นพวกจิตใจด้วย***

    ***ส่วนคำว่า เกิด ก็หมายถึง จากเดิมสิ่งนั้นยังไม่เคยมี แต่มามีในภายหลัง***

    ***ส่วนคำว่า เหตุ หมายถึง สิ่งที่มากระทำ หรือมาปรุงแต่งที่ใหญ่หรือสำคัญที่สุด ซึ่งมีได้เหตุเดียว***

    ***ส่วนคำว่า ปัจจัย หมายถึง เหตุย่อยๆ หรือ เหตุที่มีความสำคัญรองๆลงมา ซึ่งอาจมีได้หลายเหตุ หรือหลายปัจจัย***

    ***คือการที่จะเกิดสิ่งใดขึ้นมาได้ มันจะต้องมีพร้อมทั้งเหตุและปัจจัย มันจึงจะเกิดขึ้นมาได้***

    ***ถ้ามีแต่เหตุ ไม่มีปัจจัย หรือมีแต่ปัจจัย แต่ไม่มีเหตุ มันก็เกิดขึ้นมาไม่ได้***

    ***เมื่อเขาเข้าใจแล้ว เราก็ต้องบอกเขาอีกว่า อย่าเพิ่งไปสนใจเรื่องอื่น ขอให้สนใจแต่เรื่อง "การค้นหาตัวเอง" ก่อน เพราะนี่คือจุดเริ่มต้นของการเดินไปสู่"ความเห็นแจ้งชีวิตด้วยตัวของคุณเอง จนสามารถดับทุกข์ได้ โดยไม่จำเป็นต้องเชื่อจากใครๆทั้งสิ้น"**

    ***เมื่อเขาเข้าใจแล้ว เราก็จะถามเขาอีกว่า.. วัตถุและพลังงานทั้งหลายของโลกและจักรวาลนี้ ล้วนเกิดขึ้นมาจากเหตุและปัจจัยทั้งสิ้นใช่หรือไม่?***

    ***เขาจะต้องตอบว่า ใช่ (เพราะเขายอมรับมาตั้งแต่ต้นแล้ว)***

    ***เมื่อเขายอมรับ เราก็ถามเขาต่ออีกว่า..."เมื่อวัตถุและพลังงานทั้งหลาย เกิดขึ้นมาจากเหตุปัจจัย ดังนั้นก็แสดงว่า วัตถุและพลังงานทั้งหลายของโลกและจักรวาลนี้ เป็นแค่เพียง "สิ่งที่ถูกปรุงแต่ง หรือสร้างขึ้นมาเท่านั้น"(เรียกว่า สังขาร-ปรุงแต่ง หรือสิ่งของปรุงแต่ง)***

    ***เมื่อมันเป็นสิ่งปรุงแต่งขึ้นมาจากเหตุปัจจัย นี่ก็แสดงว่า วัตถุและพลังงานทั้งหลายนั้น มันต้องขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย เมื่อเหตุหรือปัจจัยของมันเสื่อมสลายหายไป วัตถุหรือพลังงานนั้น มันก็ต้องเสื่อมสลายหายตามไปด้วยทันที และไม่ช้าก็เร็ว วัตถุหรือพลังงานทั้งหลายที่เกิดขึ้นมานั้น ก็ต้องแตกสลายหรือดับหายไปอย่างแน่นอน(ไม่เที่ยง) ***

    ***อีกอย่าง เมื่อขณะที่วัตถุ หรือพลังงานนั้นมันยังตั้งอยู่ ไม่ดับหายไป มันก็ยังต้องทนอยู่ด้วยความยากลำบาก มากบ้างน้อยบ้าง ในการที่จะต้องแสวงหาเหตุและปัจจัยมาปรุงแต่งตัวเอง(ตามที่สมมติ)ของมันไว้ตลอดเวลา และยังต้องคอยระวังไม่ให้เหตุปัจจัยภายนอกอื่นมาทำลายตัวตนของมันอีกด้วย(ทุกข์)***

    ***ที่สำคัญ เมื่อสิ่งปรุงแต่งทั้งหลายนี้ ไม่เที่ยง และเป็นทุกข์ นี่ก็แสดงว่า วัตถุหรือพลังงานทั้งหลาย แม้มันจะมีความพิศดารสักเพียงใดก็ตาม มันก็หาได้มีสิ่งจะมาเป็นตัวตนที่แท้จริงไม่ (อนัตตา- ไม่ใช่ตัวตน หรือไม่มีตัวตนที่แท้จริง) เพราะมันต้องอาศัยเหตุและปัจจัยเพื่อมาปรุงแต่งให้เกิดตัวของมันขึ้นมา และเราก็มาสมมติเรียกชื่อมัน***

    ***คำว่า สิ่งที่จะเป๊นตัวตนที่แท้จริง (อัตตา- ตน ตนเอง หรือตัวตนที่แท้จริง) นั้น จะหมายถึง สิ่งที่เป็นตัวตนของมันเองโดยไม่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยใดๆเพื่อมาปรุงแต่งมันขึ้นมา และมันจะเป็นอมตะ(ไม่ตายอย่างเด็ดขาด ไม่ว่าจะมีอะไรมทำลาย หรือไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านพ้นไปสักเท่าใดก็ตาม และมันก็จะมีลักษณะไม่มีการเกิดและดับอีกด้วย (อัตตา เป็นความเชื่อของศาสนาฮินดู ไม่ใช่ของพุทธ)***

    ***เมื่อเขาเข้าใจแล้ว เราก็บอกให้เขาพิจารณาให้เห็นถึงความว่างจากอัตตา(สุญญตา - ความว่างจากอัตตา)ในวัตถุและพลังงานทั้งหลาย***

    ***เมื่อเขาเข้าใจจุดนี้แล้ว แต่ไปเราก็สอนให้เขาพิจารณาถึงร่างกายของสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลาย (รวมทั้งพืชด้วย) โดยเฉพาะเน้นมาที่ร่างกายของเราเอง เพื่อให้เขามองเห็นความว่างจากตัวตนที่แท้จริง (เห็นสุญญตา) ให้มองเห็นว่ามันเป็นแค่เพียงรูปธาตุมาปรุงแต่งขึ้นมาชั่วคราวเท่านั้น***

    ***เมื่อเขามองเห็นสุญญาตาในร่างกายทั้งหลายแล้ว ต่อไปเราก็สอนให้เขาพิจารณาถึงสิ่งที่เรียกว่า "จิต" (ซึ่งใครจะเรียกว่า วิญญาณ หรือใจ หรืออะไรก็ได้ ที่มันเป็นสิ่งที่รู้สึกนึกคิดได้นี้ โดยเราจะต้องศึกษาจิตจากของจริง คือศึกษาจากจิตของเราเองจริงๆเท่านั้น ไม่ใช่ไปคิดฝันเอาตามความเชื่อจากตำราหรือจากคนอื่น เราจึงจะรู้แจ้งจิตได้จริง)***

    ***เมื่อเขาเห็นสุญญตาในจิตแล้ว เราก็จะถามเขาต่อไปอีกว่า.. แล้วจิตทั้งหลาย ไม่ว่าจะของใครก็ตาม จะมีตัวตนที่แท้จริง(อัตตา) หรือไม่? ซึ่งแน่นอนว่าเขาก็ต้องตอบว่าไม่มี (เพราะเขายอมรับแล้วว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น จะเกิดขึ้นมาจากเหตุปัจจัย ดังนั้นจิตก็ต้องอยู่ในความจริงข้อนี้ด้วยเสมอ อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง)***

    ***เมื่อเขามองเห็นแล้วว่าจิตเป็นอนัตตา หรือมองเห็นสุญญตาในจิตแล้ว เราก็ถามเขาต่ออีกว่า แล้วความรู้สึกว่ามีตัวเราในขณะนี้ มันก็เกิดขึ้นมาจากจิต ดังนั้น ความรู้สึกว่ามีตัวเรานี้ มันจะเป็นตัวตนที่แท้จริง(อัตตา)หรือไม่?***

    ***แน่อนว่าเขาก็ต้องตอบว่า ไม่ เพราะจิตก็ต้องอาศัยร่างกายและความทรงจำจากสมองเพื่อปรุงแต่งขึ้นมา ถ้าไม่มีร่างกายก็เกิดจิตขึ้นมาไม่ได้ หรือถ้าไม่มีความทรงจำสมองจากสมอง(ของร่างกายที่ยังไม่ตาย) จิตก็คิดอะไรไม่ได้ (เป็นจิตที่ไม่สมบูรณ์)***

    ***เมื่อเขายอมรับความจริงนี้แล้ว เราก็ถามเขาต่ออีกว่า... อย่างนั้นคุณยังจะเชื่อว่า จะมีจิต (หรืออะไรก็ตามที่จะมาเป็นเราที่รู้สึกว่ามีเราอยู่นี้) ที่จะสามารถออกจากร่างกายที่ตายแล้ว ไปเกิดใหม่ได้อีกหรือไม่?***

    ***แน่นอนว่า เขาก็ต้องยอมรับว่า ไม่มี เพระเหตุผลมันบอกอยู่ว่าไม่มี (คือมองเห็นว่า ไม่มีใครมาเกิด และไม่มีใครตาย) ***

    ***เมื่อเขายอมรับแล้ว เราก็ถามเขาต่ออีกว่า ... เมื่อมองเห็นว่าไมมีตัวเราหรือใครๆอยู่จริงแล้ว ถ้าเราสามารถบังคับจิตไม่ให้ไปยึดถือร่างกายและจิตที่สมมติเรียกว่าเป็นเรา รวมทั้งงสิ่งที่เป็นของเราทั้งหลายได้ เราจะเกิดความทุกข์ใจหรือไม่ เมื่อร่างกายนี้ต้องแก่ เจ็บ หรือจะตาย หรือเมื่อเราต้องพลัดพรากจากบุคคลหรือสิ่งอันเป็นที่รักไป หรือเมื่อเราต้องประสบกับบุคคลหรือสิ่งอันไม่เป็นที่รัก หรือเมื่อเราต้องพบกับความผิดหวัง***

    ***ซึ่งแน่นอนว่าเขาก็ต้องตอบว่า ไม่เป็นทุกข์ใจ "ถ้าไม่ยึดถือ แต่ถ้ายึดถือมันก็จะทุกข์ใจ" ซึ่งนี่ก็คือ วิธีการดับทุกข์ตามหลักอริยสัจ ๔ โดยสรุปของพระพุทธเจ้า(หรือไม่ต้องอ้างก็ได้)***

    ***ถึงแม้เขาจะเข้าใจเรื่องทั้งหมดนี้แล้วก็ตาม แต่ถ้าเขาไม่ทดลองปฏิบัติ เขาก็จะยังไม่มีความเห็นแจ้งว่า วิธีการนี้จะสามารถดับทุกข์ได้จริง (ยังไม่รู้จริง ถึงแม้จะดูว่าน่าเชื่อที่สุดก็ตาม)***

    ***ดังนั้นเราก็ต้องสอนให้เขาทดลองปฏิบัตดูก่อน โดยสอนให้เขาตั้งใจอย่างยิ่ง(ฌาน-เพ่ง)ในการพิจารณาถึงวัตถุ ร่างกาย และจิตใจ ทั้งของตนเองและผู้อื่นอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ว่ามันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และอนัตตา โดยให้มองเห็นสุญญาตาอยู่ตลอดเวลา***

    ***ซึ่งการปฏิบัตินี้เอง ที่ทำให้เกิดสมาธิและปัญญา (โดยมีศีลเป็นพื้นฐานอยู่ก่อนแล้ว เพราะเขาก็ต้องเป็นคนดีมาก่อน เขาจึงจะมาถึงขั้นนี้ได้) ขึ้นมาพร้อมกันครบ ซึ่งเป็นองค์ประกอบโดยสรุปของมรรค ***

    ***เมื่อมรรคเกิด กิเลส หรือความยึดถือว่ามีตนเอง(ด้วยความโง่อย่างลึกซึ้งและสูงสุด)ก็จะดับหายไป แล้วจิตก็จะไม่มีทุกข์ใดๆ เมื่อจิตมันไม่มีทุขก์ มันก็จะกลับคือสู่สภาพเดิมของมัน คือ สงบ เย็น ปลอดโปร่ง สดชื่น แจ่มใส เบา สบาย (หรือที่ทางพุทธศาสนาเรียกว่า นิพพาน ที่แปลว่า ดับเย็น หรือ สงบเย็น)***

    ***ซึ่งนิพพานนี้ เมื่อปฏิบัติใหม่ๆก็จะยังเป็นแค่แบบชั่วคราว ตามที่เรายังมีสมาธิอยู่ แต่ถ้าเราเผลอสติ จนสมาธิหายไปเมื่อใด นิพพานนี้ก็จะหายตามไปด้วยทันที***

    ***แต่ถ้าเราสามารถปฏิบัติมรรคนี้ได้อย่างต่อเนื่องติดต่อกันนานๆ (อาจจะเป็นหลายๆปีก็ได้) จนความเคยชินที่จะเกิดความยึดถือว่ามีตัวเรา ที่จิตใต้สำนึกของเรามันสั่งสมเอาไว้นั้น ได้หมดความเคยชินไป และเกิดสมาธิและปัญญาขึ้นมาเป็นความเคยชินใหม่ ที่จะไม่เกิดความทุกข์อีก จิตของเรา (ตามที่สมมติเรียก) นี้ ก็จะนิพพานอย่างถาวร (คือจะไม่มีความทุกข์อีกต่อไปเลย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามตลอดชีวิตที่ยังมีอยู่)***

    ***นี่ก็คือวิธีการทำให้คนมีปัญญา เกิดดวงตาเห็นธรรมขึ้นมาด้วยตัวของเขาเอง โดยไม่จำเป็นต้องเชื่อจากใครๆทั้งสิ้น ที่เราจะนำไปเสนอให้คนมีปัญญาลองศึกษา***

    ***การจะเกิดดวงตาเห็นธรรมนั้น ไม่ใช่ว่าจะต้องไปศึกษาธรรมะมาอย่างมากมายเลย เพียงขอให้เป็นคนจริง (คือเมื่อถูกก็ยอมรับว่าถูก เมื่อผิดก็ยอมรับว่าผิด), มีเหตุผล และไม่ยึดติดในตำราหรือในคำสอนของใครๆ รวมทั้งมีความตั้งใจจริงเท่านั้น ทุกคนก็สามารถเกิดดวงตาเห็นธรรม(มองเห็นวิธีการดับทุกข์อย่างถูกต้องด้วยตัวเอง)ได้แล้วอย่างง่ายดาย ***

    ***ถ้ายังสงสัยจุดใดหรือเรื่องอะไรเพิ่มเติม ก็สอบถามมาได้ใหม่ ยินดีตอบเสมอ ถ้าทำอย่างสุภาพบุรุษและด้วยเมตตา***

    ***แต่ถ้าต้องการศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม ก็ศึกษาได้จากเวบไซต์ของอาตมาตามลิ้งค์ข้างล่างนี้***

    (ฉันคืออะไร? = เวบไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ www.whatami.net - www.whatami.5u.com )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 สิงหาคม 2008
  19. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,256
    แล้วถ้าท่านพุทธทาสว่ามีล่ะ จะว่ายังไงคุณนอกรีต

    ไอ้ตรรกะแบบนี้ เด็กที่เรียนปรัชญามาก็ตอบได้ทั้งนั้นแหละ
    ไม่ต้องไปโกนหัวห่มเหลืองหรอก

    ^_^ ดักดานจริงๆ
     
  20. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ---เวบไซต์สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ถ้าเห็นว่าใครสอนผิดจากหลักธรรมในพุทธศาสนาก็แจ้งได้ที่นี่---

    http://www.onab.go.th/


    ---ขนาดพระที่สอนไม่ให้ไหว้พระพุทธรูป(ตามที่เป็นข่าวเมื่อเร็วๆนี้) เพราะในพระไตรปิฎกไม่ได้สอนให้ไหว้พระพุทธรูป ยังถูกสั่งให้สึกทันทีเลย !!!!---

    ---ถ้าใครคิดว่าตัวเองรักพุทธศาสนาจริง ก็ขอให้แจ้งความด่วน---

    ---ถ้าไม่ทำแสดงว่า ไม่ได้รักพุทธศาสนาจริง แต่รักชื่อเสียงของตัวเอง หรือรักผลประโยชน์ของตัวเองมากกว่า---

    ***ทองแท้ย่อมไม่กลัวไฟ***


    (ฉันคืออะไร? = เวบไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ www.whatami.net - www.whatami.5u.com )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 สิงหาคม 2008

แชร์หน้านี้

Loading...