เรียนกัลยาณมิตร

รบกวนท่านผู้รู้มาวิสัชนา และขออนุโมทนาล่วงหน้าด้วย

๑. ไตรลักษณ์ คือ สภาวธรรม และสภาวธรรม ก็คือไตรลักษณ์ใช่หรือไม่?

๒. เวทนา = วิญญาณ + สังขาร หรือ
เวทนา = วิญญาณ + สัญญา หรือ
เวทนา = วิญญาณ + สังขาร + สัญญา ใช่หรือไม่?

๓. อารมณ์ เกิดจากจิต สัมผัสกับเวทนาใช่หรือไม่?

๔. สัญญาขันธ์ เกี่ยวกับการระลึกได้ว่าตนขาดสติไป(ไม่เฉียบคม แต่เกิดอย่างอัตโนมัติตามความเคยชิน) เมื่อเกิดขึ้นเองบ่อย ๆ
จะสามารถเรียกว่า "ตัวรู้" ได้หรือไม่?

๕. บัญญัติธรรมในทางทฤษฏี ก็คือสภาวธรรมต่างๆ(ปรมัตถ์)ในทางปฏิบัติใช่หรือไม่?

 

รู้แต่ว่า มีอารมณ์ มีความรู้สึก เกิดขึ้นเอง โดยจิตมันเคลื่อน ออกไปเอง

มันทำเอง บังคับไม่ให้เกิด ไม่ได้ เป็นสภาวะธรรม ของเรานะ คนอื่น ก็อาจมีต่างจากนี้

แต่ว่ามันเกิดยังไง เกิดยังไง ขบวนการทำงานเป็นยังไง นี่ยังไม่เห็นด้วยจิต ก็ตอบไม่ได้นะ

ถ้าจะดิ้นตอบให้ได้ ก็คงไป หา อากู๋(เกิล) ตอบให้ แต่พอดี ขี้เกียจ อะ รู้ไป ก็ไม่ช่วยให้จิตรู้

แต่เรารู้ว่า มีอารมณ์ที่ถูกรู้ แล้วก็มีเราไปรู้ อารมณ์ เกิดเอง ก็ดับเอง (เข้าข่ายไตรลักษณ์ ไม๊เนี่ย)

ถ้าไม่ไปสนใจมันนะ มันก็ดับเอง ถ้าสนใจมัน ก็สนุกนะซิ ปรุงซ้อนไปซ้อนมา อร่อยเหาะ

ตอบไม่ตรงคำถามซักเท่าไร เอาเป็นว่า อยากตอบ แบบนี้ ละกันนะ

 

ท่านทราบคำตอบดีอยู่แล้ว ใช่ หรือ ไม่ ?

 

ไตรลักษณ์ ลักษณะโดยธรรมชาติ ๓ อย่างของสิ่งทั้งปวง
ตามหลักพุทธธรรมเบื้องต้นที่ว่า สิ่งทั้งหลายเกิดจากส่วนประกอบต่างๆมาประชุมกันเข้า หรือมีอยู่ในรูปของการรวมตัวเข้าด้วยกันของส่วนประกอบต่างๆนั้น เป็นเพียงคำกล่าวเพื่อเข้าใจง่ายๆในเบื้องต้นเท่านั้น แท้จริงแล้วสิ่งทั้งหลายมีอยู่ในรูปของกระแส ส่วนประกอบแต่ละอย่างๆ ล้วนประกอบขึ้นจากส่วนประกอบอื่นๆย่อยลงไป แต่ละอย่างไม่มีตัวตนของมันเองเป็นอิสสระ ล้วนเกิดดับต่อกันไปเรื่อยๆ ไม่เที่ยง ไม่คงที่ กระแสนี้ไหลเวียนหรือดำเนินต่อไปอย่างที่ดูคล้ายกับรักษารูปแนวและลักษณะทั่วไปไว้ได้อย่างค่อยเป็นไป ก็เพราะส่วนประกอบทั้งหลายมีความสัมพันธ์เนื่องอาศัยซึ่งกันและกัน เป็นเหตุปัจจัยสืบต่อแก่กันอย่างหนึ่ง และเพราะส่วนประกอบเหล่านั้น แต่ละอย่างล้วนไม่มีตัวตนของมันเอง และไม่เที่ยงแท้คงที่อย่างหนึ่ง
ความเป็นไปต่างๆทั้งหมดนี้เป็นไปตามธรรมชาติ อาศัยความสัมพันธ์และความเป็นปัจจัยเนื่องอาศัยกันของสิ่งทั้งหลายเอง ไม่มีตัวการอย่างอื่นที่นอกเหนือออกไปในฐานะผู้สร้างหรือผู้บันดาล จึงเรียกเพื่อเข้าใจง่ายๆว่าเป็นกฎธรรมชาติ
มีหลักธรรมใหญ่อยู่สองหมวด ที่ถือได้ว่าพระพุทธเจ้าทรงแสดงในรูปของกฎธรรมชาติคือไตรลักษณ์ และปฎิจจสมุปบาท ความจริงธรรมทั้งสองหมวดนี้ถือได้ว่าเป็นกฎเดียวกัน แต่แสดงในคนละแง่หรือคนละแนว เพื่อมองเห็นความจริงอย่างเดียวกัน...

ปล.เผอิญกำลังอ่าน ไตรลักษณ์ ของท่านเจ้าคุณพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต ) อยู่พอดี ขอร่วมแบ่งปันครับ

 

มึนหัว .. เพราะเรายังไม่ได้เรียนคำเหล่านั้น ไม่กล้าตอบเดี๋ยวเพี้ยน

ถ้าจะเอาไว้เพื่อสอบทานก็จำเป็นจะต้องเรียนเพื่อตอบปริยัติ นี่เนาะ..แต่ยังมีตัวตนอยู่
ถ้าไม่คิด จะเอาไว้เพื่อยืนยันการปฏิบัติ ก็ไม่มีตัวตน ไม่มีตัวกูของกูอีก..

แต่เรียนไว้ย่อมเป็นผลดี (~~)..

สาธุ สาธุ สาธุ

 

พอดีกิเลสมันอยากรู้ (เลยเผลอไปสนอง) แต่ขี้เกียจไปค้นคว้าหาคำตอบในตำรา
ก็เลยมาหาคำตอบในบอร์ดนี้น่ะ และค่อนข้างมั่นใจว่าต้องมีคนไขข้อข้องใจนี้ได้
ขอขอบคุณสำหรับวิทยาทานในทุกคำตอบ

 

ยังดีที่มีสติ...(^^)

 

"สัญญา" ก็เหมือนข้อมูลใน แผ่น cd หรือ dvd
"มันมีอยู่ ถ้าหากว่า มันมีอยู่" แต่จะ เป็นเพลง เป็นหนัง เป็นเอกสาร
หรืออื่นๆอีกมากมาย ต่อให้ไม่ทราบ ก็ไม่ได้แปลว่ามันไม่มีข้อมูล
และ ไม่ได้มีสภาพเสถียรสถาวร โดนดัดแปลง หรือถูกขูดขีดได้
แม้แต่อยู่ในสภาพระมัดระวัง

"วิญญาณ" ก็คือ "ทราบ" ว่ามันมี หรือไม่มี อะไรซักอย่าง อยู่ใน cd หรือ dvd
จะทราบด้วยการเอาใส่เครื่องเล่น ดูจากปก มีคนเล่าให้ฟัง หรืออื่นๆอีกมากมาย
ก็คือ "ทราบ" ว่า "ทราบ" หรือ "ไม่ทราบ"

"สังขาร" คือ ความปรุง ว่ามันเป็นหนัง มันเป็นเพลง มันเป็นเพลงรัก
เป็นหนังบู้ คือ เริ่มจะให้ความหมาย เริ่มจะให้นิยามมัน
ว่ามันคือไอ้นั้น มันคือไอ้นี้ มันเกี่ยวเนื่องกันอย่างนั้น
มันไม่เกี่ยวเนื่องกันอย่างนี้

"เวทนา" คือ "สุข" "ทุกข์" "ไม่สุขไม่ทุกข์"
มี 3 อย่างเท่านั้น ไม่มีอย่างอื่น

"รูป" คือของที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไป connect มันได้
อะไรที่มีการ ประกบ ประชิด กำหนดระยะ ชั่ง ตวง วัด ได้
มี "รูป" ทั้งสิ้น

 

ไม่มีอะไรยืนยันว่า ขันธ์ ทั้งห้า เป็นส่วนประกอบของกันและกัน

และมีคนสามารถแยกมันออกจากกันได้เลย
จะเห็นว่ามันสามารถทำงานของมันเดี่ยวๆได้ โดยไม่ต้องพึ่งพากัน

เพียงแต่ตอนไปจดจ่อมันเข้า จะเห็นมันอยู่ร่วมกันเท่านั้นเอง

 

ยกตัวอย่างเช่น
ท่านเขียน cd(สัญญา) เก็บไว้แล้วหาไม่เจอ
อย่างน้อยท่านก็ ทราบ(วิญญาณ) ว่าหาไม่เจอ
แต่ คิด(สังขาร) ว่าจำเป็น ต้องหามันไปพบ
เพราะ รู้สึก(เวทนา) เสียใจ อึกอัด ที่มันไม่อยู่ในเวลาที่อยากให้อยู่

เวลามีคนมาเห็นท่านงุ่นๆง่านๆ อยู่แถวๆโต๊ะทำงาน
เค้าถามว่า "ทำอะไร"
ท่านตอบว่า "หา cd ไม่เจอ เก็บข้อมูลสำคัญไว้ด้วย"

มันมี "รูป" เพียงแต่ว่า ยังไม่พบเท่านั้นเอง

 

ไม่รู้เหมือนกันครับ รู้แต่ว่าตอนนี้กำลังใช้ไม้แคะหูปั่นหู แล้วรู้สึกมันส์ดี

 

พอเลิกปั่นทิ้งไม้แคะหูก็หายมันส์

 

ผมตอบให้แล้วในกระทู้นี้ครับ "ไตรลักษณ์ เวทนา อารมณ์ ตัวรู้ บัญญัติธรรม"

http://palungjit.org/showthread.php?p=1734556#post1734556

 

อนุโมทนาครับคุณ บุญยง โคกกระทา และท่านอื่นๆ เป็นการเข้าใจด้วยการอ่านอีกขั้นครับ (^^)
สำหรับท่านที่ยังคิดว่าคำสอนของพระพุทธองค์นั้นล้าสมัยอยู่นั้น ยังคิดเหมือนเดิมอยู่หรือเปล่า ?
ความคิดที่ล้าสมัยนั้นก็ยังเป็นแค่การปรุงอยู่ ว่ายังมี ชอบ ไม่ชอบ ..


สาธุ ...