สัมมาทิฎฐิเป็นไฉน( ไม่ธรรมดา )

มณีที่แท้จริง

สมัยหนึ่ง พระพุทธองค์ทรงชูดวงมณีซึ่งมีสีต่างๆกันขึ้น แล้วทรงถามท้าวมหาราชทั้ง 5 ว่า

"มณีนี้ มีสีเป็นอะไร ?"

ท้าวมหาราชทั้ง 5 ต่างก็กราบทูลว่ามีสีต่างๆ กันไป พระโลกนาถทรงเก็บดวงมณีนั้น แล้วทรงยกพระหัตถ์เปล่าชูขึ้น ตรัสถามว่า

"มณีนี้ มีสีอะไร ?"

ท้าวมหาราชทั้งหลายทูลว่า

"ในพระหัตถ์ของพระองค์มิได้มีดวงมณี จะมีสีมาแต่ไหนเล่า?"

พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า

"เธอทั้งหลายเหตุใดจึงหลงนัก ตถาคตนำเอามณีของโลกออกแสดงเธอต่างก็กล่าวว่า มีสี เขียว แดง เหลือง ขาว ต่างๆกันไป ครั้นตถาคตนำเอาดวงมณีที่แท้จริงออกแสดง เธอทั้งหลายกลับไม่รู้"

ท่านล่ะ ว่ามีสีอะไร?

 

รู้ชัดหรือไม่ ปรุงอุปาทาน หรือไม่ ผมเป็นคนทราบดี
ทีนี้ ไม่มีพยาน ก็ไม่เป็นไร เพราะผมยกธรรมขึ้นมา ตามพระสูตร
ส่วนเรื่องอื่น ก็บอกแล้วว่า ดุจดังกวักมือเรียก
ดีกว่า พวกที่ ตัวเองก็ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ พระสูตรก็ไม่มี ดันมาค้านคนอื่นด้วย นี่ไม่แย่กว่าหรือ

 

เจ๊ อย่าไปนั่งเทียนเอา อย่าปฏิบัติด้วยตัวเอง ให้ดีต้อง ทำนิมิตถามพระ

กำหนดจิตเป็นอาหารให้กับจิต และขันธ์ก่อนนะ ว่า ข้าพเจ้าทุกข์เหลือเกิน
คนในห้องพลังจิตกำลังเดินทางผิด ข้าพเจ้าทุกข์เหลือเกิน แล้วทำสัญญา
ให้หนักแน่น แล้วทำสมาธิ พอได้ที่เคลิ้มๆ ใกล้ภวังค์ก็นมสิการขึ้นมาว่า

ข้าพเจ้าทุกข์จังเลย พระเจ้าขา ช่วยตอบคำถามหน่อย ผมหมดปัญญา
จะไม่ถามก็ไม่ได้ เพราะผมอยากถาม ไม่หมดอุปทาน ผมนั้นยินดี
ปรีดาดั่งเป็นอาหารของจิตในการได้ชมนิมิตของท่าน ได้โปรดส่งสุรเสียง
หรือภาพให้ปรากฏด้วยเทิอญ

 

ท่านไม่มี ไม่เป็น อย่างที่อิฉันกล่าว ก็เป็นท่านเอง ที่รู้อยู่เอง
อิฉันไม่ปฏิเสธ หรอก เพราะตัวอิฉันเอง ยังมีอยู่ครบ ทุกอาการ รู้ตัวอยู่

 

sriaraya5

พิมพ์เป็นตัวอักษรสีดำไม่ได้หรือไง อ่านยาก
จะบิ้ว เอกลักษณ์เฉพาะตัว ก็ให้ง่ายต่อจักษุผู้อื่นหน่อย

 

สุดโต่งไปอีก นี่ผมไปพูดแบบนั้นหรือ ว่าให้ไปนั่งเทียนถามพระ คุณนิวรณ์ คุณมีหิริโอตับปะหน่อย อย่ามุสา

 

พระสูตรปรากฏครับ

พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า เมื่อเราดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว ธรรมะจะเป็นศาสดาแทนเรา

ไม่มีปรากฏแน่นอนครับว่า

เมื่อเราดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว ต่อไปนี้ พระอนุรุธคือศาสดาแทนเรา

 

ทานโทษ ไม้ขัดหม้อข้าว เป็นอะไรกับหม้อหุงข้าวคับ

 

อย่าบอกนะครับ ก่อนที่คุณเห็นพระอนุรุธ ไม่ได้ อยากถาม

 

แล้วพูดขึ้นมาได้อะไรเนี่ย คุณขวัญ มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นแหละ
มันวกวนนะนี่ นี่แหละ พวกดูจิต
พูดอะไรไม่มีสาระ อยู่ดีๆ ก็พูดขึ้นมา แบบนี้เขาเรียกฝันไหมนั่น

แล้วก็ ดูจิตด้วยนะ ว่าตอนนี้เป็นอะไรอยู่ ฝันก็ต้องรู้ว่าฝัน ไม่ต้องตื่นหรอก ไม่ต้องทำอะไรเดี๋ยวมันตื่นเอง

เอาหละ เดี๋ยวผมต้องขอตัวก่อน

 

ถ้ารู้แจ้ง หมด ก็บรรลุธรรม แล้วสิคะ
ส่วนที่รู้ มีแต่รู้ในตน ที่อยู่นอกตน(ของคนอื่น) นั้นไม่รู้
แต่สัมผัสข้อความ แล้วรู้สึกจึงพูดตามที่รู้สึก (แต่ละคนรับผัสสะแล้วรู้สึกต่างกัน)
ถ้าคนอื่นตอบกลับมา ก็รู้ได้ว่า รู้ถูก หรือรู้ผิด

 

อ้อ แบบนี้ก็เท่ากับ ท่านเอา cd เป็นศาสดาแทนนะสิ หรือ หลวงพ่อปราโมทย์ เอาหลวงปู่ดูลย์เป็นศาสดาแทนนะสิ
ท่านนิวรณ์ ท่านนี่สุดโต่งจริงๆ
ก็ดูสิว่า ผมยกธรรมของใครขึ้นมา ไม่ใช่ พระไตรปิฎกหรือ

 

พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า เมื่อเราดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว ธรรมะจะเป็นศาสดาแทนเรา

ผู้ตรัสรู้ธรรมนั่นเเหละจะเป็นศาสดาแทนเรา

 

เป็นของคู่กัน เหมือนจิต กับเจตสิก

 

คุณนะสุดโต่งไปแล้ว ลากไปนู้น

ทำเสมอเลยนะครับ เก่งจังเรื่องลากเรื่องนู้นเรื่องนี้มาโยง

เปลี่ยนไปเรื่อยๆ

ผมกำลังพูดถึงเรื่องของคุณ คุณจะไปหยิบนู้นหยิบนี้มาอ้างเพื่อ
เข้าข้างความคิดตนไปทำไมครับ

 

ก็รู้สึกตามกิเลสไงหละครับ นั่นแหละ
ตัวเองกิเลสยังเต็มตัว ยังจะเชื่อกิเลสอีก

นี่ขัดแย้งกันเองนะนี่

เอาหละครับ ขอตัว ไปทำธุระ

 

555 มันเหมือนกับที่คุณว่าผมอยู่ ไม่ผิดกัน

 

ก็บอกแล้ว เวลาคุยมันคิดกันไปคนละเรื่อง แล้วจะคุยกันรู้เรื่องไหม นี่

 

ภาษาใจ
เป็นเช่นนี้เอง
นานาจิตตังนั่นเอง เพราะความ<WBR>แตกต่างทางความคิดอันเนื่องมาจากภูมิหลังที่ไม่เหมือนกัน

 

จะดับไฟนี้ได้อย่างไร โด๊ป ลิโพ มาด้วยดิ