การนั่งสมาธิ วิปัสนา กรรมฐาน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย พันตา, 4 มิถุนายน 2009.

  1. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    คุณ นิวรณ์ ความรู้ทั้งหลายแห่งนักปราชญ์ จะต้องนำไปสู่การปฏิบัติจริง และไม่ใช่เพิ่มความยุ่งยากและหลักเกณฑ์ อันเกินความจำเป็น

    เรื่องเหล่านั้น ไม่มีใครจำเป็นต้องรู้ว่า จิตประพฤติตนแบบใด

    และ ที่สำคัญ จิตไม่ได้ประำพฤติตน ในแบบที่พระปราโมทย์พูดมาเลย

    เดี๋ยวเอาไว้ว่างๆ ผมจะมาพูดให้ฟังในเรื่องนี้
     
  2. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    พูดออกมาได้ มีหรือครับ ไม่ทำการแจ้งในอริยสัจจ4

    คุณไปเอาอะไรมาคิด ว่า กิจในการเห็นอริยสัจจ4 ไม่ต้องทำ

    ไม่ทำจะข้ามความเป็นปุถุชนได้หรือครับ

    * * * *

    ผมว่านะ คุณไม่ใช่ไม่เข้าใจหรอก คุณเพียงแต่อ่านหนังสือเพื่อจับผิด

    ทำให้ อ่านแบบสิ้นกระแสความไม่เป็น วรรคหนึ่ง วรรคสอง เขาอธิบาย
    ต่อกัน ก็มองไม่ออก เพราะเอาแต่จ้องหาคำผิด ทำให้ไม่รู้ว่า เนื้อความ
    เดิมยังอยู่ในยัติภังค์

    พออ่านกระท่อนกระแท่น เอาแต่จับผิด ก็พบว่า มีอะไรยากไปหมด เพราะ
    ตัวเองลืมอ่านวรรคก่อนเขามีความหมายกล่าวนำการเห็นไว้อย่างไร พอ
    อยู่ดีๆจะทำความเข้าใจ ก็อ่านเอาย่อหน้าสุดท้าย มันก็โอ้ละพ่อ อ่านแล้ว
    งง แล้วไปโทษว่าท่านสอนผิด
     
  3. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    ท่านนิวรณ์ ท่านยังต้องตอบคำถามอีกมาก ขอให้ตอบเป็นข้อๆ เอาให้ตรงประเด็น เอาไว้พรุ่งนี้ผมจะมาถามใหม่ เพราะวันนี้ ดึกมากแล้ว
     
  4. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,647
    ท่านหนึ่งศึกษาเด่นด้านพระสูตร.........ท่านหนึ่งศึกษาเด่นด้าน พระอภิธรรม.........

    พูดง่ายๆ.......ท่านหนึ่งลูกทุ่ง............ท่านหนึ่งลูกกรุง..............

    เอาหละผมรอฟัง.......อยากพิจารณาธรรม...และความเป็นจริง.....
     
  5. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ไม่ต้องมาถามเป็นข้อๆ หลอกครับ ใครเขาจะโง่ไปตอบคำถามที่คุณ
    เลือกมาเฉพาะที่ตนเองตอบได้

    ให้ดี คุณก็ทำแบบนี้แหละ ไปอ่านเอาบทความของพระท่านมาปรักปรำ
    เป็นข้อๆ แล้วผมจะขอนั่งดูความเป็นองค์กรอิสระจากคุณ
     
  6. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    เอาแค่ คำถามแรก เรื่องการอวดอุตริ ท่านนิวรณ์ก็ตอบไม่ตรงประเด็นแล้ว
    วันนี้ผมขอตัว

    ความเข้าใจเพราะศรัทธา มันก็ไม่ได้สนใจว่าคำพูดนั้นหมายถึงอะไร มันเห็นถูกไปหมด

    แต่ความเข้าใจ เพราะจับผิด มันก็ต้องจับผิดไปเสียหมด อันไม่มีประเด็น
    คนตอบจะตอบได้อย่างไม่ต้องเลี่ยง

    แต่ความเข้าใจ เพราะมองอย่างตรงไปตรงมา หากสิ่งที่ว่านั้นผิดจริง คนตอบจะไม่สามารถตอบตรงๆได้ นอกจากเลี่ยงไป

    เอาไปพิจารณา
     
  7. วรกันต์

    วรกันต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +257
    เราอย่ามาเสียเวลานั่งเถียงเลย

    ต่างคนก็ต่างปฏิบัติในสิ่งที่ตนคิดว่าถูกไปเถอะครับ

    เป็นกัลยาณมิตรกันดีกว่า อย่ามาทะเลาะกันเลย

    มาแลกเปลี่ยนความคิด ทางธรรมะ แ่ต่ไม่ใช่เพื่อเอาชนะกันเถิด เพราะถ้าเราทำเช่นนั้น การที่คุณปฏิบัติธรรมะ มา ก็ไม่ได้ช่วยอะไรคุณเลย เพราะ คุณก็ยังให้กิเลส เป็นตัวนำคุณอยู่ ทะเลาะกันอยู่ ไม่ได้ทำให้โทสะ เบาบางลงเลย อย่างนี้การปฎิบัติธรรมะก็ไม่มีประโยชน์

    ผม เชื่อว่า ทุกคนมีจิตใจดี และ ทำในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าถูกต้อง (เพราะถ้าคุณเป็นคงไม่ดี คงไม่มาเข้าเว็บธรรมะ หรอก จริงไหม) เพียงแต่ อาจมองไม่เหมือนกัน

    การที่เรามีความเห็นอะไรไม่เหมือนกัน ไม่จำเป็นว่าเราจะต้องทะเลาะกัน หรือ เป็นศัตรูกันนี่ครับ

    การแลกเปลี่ยนความคิดทางธรรมะ เป็นสิ่งที่มีคุณค่า ดีงาม อย่าทำให้สิ่งนี้กลายเป็น สกปรก แปดเปื้อน ที่รวมของกิเลส และ โทสะ เลย

    เรามาแลกเปลี่ยนความคิด ด้วยเห็นว่าเป็นกัลยาณมิตรดีกว่า
     
  8. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ตอบตรงอย่างที่สุดแล้วคำว่า คุณเข้าใจผิด และคิด ปรักปรำ เท่านั้น

    ไม่มีอะไรอย่างอื่นไปกว่านี้ เป็นคำตอบ

    * * *

    คุณกลับไปอ่าน คำถามเด็ดดวง ที่คุณตอบไม่ได้เถอะว่า ทำไมคนโง่
    อย่างผมตอบได้ แต่คุณกลับอ่านไม่รู้เรื่อง

    เอาแค่นี้แหละ ไปทบทวนดู
     
  9. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ส่วน คำถาม แนวปรักปรำ มาเปรียบเปรย ใครสักคนให้เสียหาย

    นั่นเป็นหน้าที่ของ ปราชญ์ ที่จะเลือกนิ่งครับ

    เพื่อประโยชน์ของตัวคุณเอง

    ข้อนี้ สำนักหลวงพ่อฤาษีเขามีข้อเด่นตรงนี้
     
  10. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    คุณ วรกันต์ มันไม่ได้มาเอาชนะนะครับ มองข้ามสิ่งนั้นไปเถิด

    มันต้องมองลำดับเรื่องราวว่า เพราะมี การสอนแบบนี้ จึงทำให้เกิดผลแบบใด

    ทำให้เกิด การขัดในคำสอน การแบ่งแยก แบ่งกลุ่ม

    รวมไปถึง การกระจายคำสอนผิดๆ ของพระศาสนา เรื่องนี้ต้องพูดครับ
    จะไปเอาว่า มันเหมือนกันหมด แบบนี้ไม่ถูกครับ

    เพราะปรากฎมานักต่อนัก แม้แต่ในพุทธกาล พระเทวทัต ไปสอนคน ท่านว่า ปรากฎว่าอย่างไร ปรากฎว่า พระเจ้าอาชาตศัตรู ฆ่าพ่อตนเอง เพราะเชื่อคำเทวทัต

    วันนี้ท่านยังไม่เห็นฤทธิ์เห็นภัยของคำสอนที่ผิด ก็ลองอ่านไปเรื่อยๆ แล้วท่านจะค่อยๆ เห็นเอง
     
  11. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    คุณขันธ์ กลับไปอ่าน คำสอนของพระสังฆราชอีกครั้งดีไหม

    อ่านให้ดีๆ แล้วดูใจที่เห็นประโยคเดียวกัน แต่เลือกที่จะต่อว่า
    อีกท่านหนึ่งผิด แต่กลับอีกท่าน กลับนิ่ง ไม่กล้าเคลื่อนไหว

    ไปอ่านของหลวงปู่ชาก็ได้ ท่านก็สอนคล้ายกัน มีประโยค
    คล้ายกัน กล่าวตรงๆด้วยซ้ำว่า ไม่ต้องทำฌาณก่อน(ต้อง
    อธิบายคำว่าก่อนไหม)

    หาเอาเองละกัน ....เพราะถึงเอามาแปะ คุณก็คงไม่อ่าน

    เพราะ พอใจ แต่การปรักปรำบางท่านเท่านั้น

    กรรมใครกรรมมัน
     
  12. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,647
    [MUSIC]http://audio.palungjit.org/attachment.php?attachmentid=12009[/MUSIC]

    อ่ะนะ...ฟังเพลงกันเพื่อความสบายใจก่อนนอน.....

    อย่าว่าผมนอกเรื่องนะคือไม่อยากให้เครียดกันเกินไป.....
     
  13. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ยังให้เกิดความเป็นบ้าปรากฏแล้วครับ ไปเอาอะไรมาพูด

    มีที่ไหน พระปราโมทย์ไปสอนใครให้ฆ่าพ่อฆ่าแม่ ยกเมฆ
    เอาแต่ตามใจชอบ

    เพ้อแล้วครับ ไปนอนเถอะ...สมาธิที่ทำไว้ คงทำลายไขสมองได้
    พรุ่งนี้ก็ลืมไปเองแหละ
     
  14. Peace in mind

    Peace in mind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +370
    เข้ามาอ่านแล้วได้แง่คิดอะไรดี ๆ หลายอย่าง ได้ทราบความคิดเห็นจากท่านผู้รู้มากมาย จึงขอแสดงความคิดเห็นตามที่ตัวเองมีประสบการณ์มาบ้าง เป็นการสนทนาธรรม และร่วมทำ "ธรรมทาน" ตามโอกาส ไม่มีเจตนาจะกำหนดความหมายใด ๆ อีกทั้งไม่ได้แสดงความเห็นต่อไปนี้จากการเดาส่ง
    จากที่เคยฝึกสมถะกรรมฐานมาบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ตามประสาเด็ก ๆ ที่ครูประจำชั้นสอนให้ึฝึกสมาธิทุกวันหลังเลิกเรียน คุณครูท่านนั้นได้ไปปฎิบัติธรรม ณ สถานที่แห่งหนึ่งซึ่งตอนนี้โด่งดังไปทั่วโลก เวลานั้น เราไม่เคยรู้มาก่อนว่า พระพุทธเจ้าท่านทรงกล่าว หรือบัญญัติ การปฎิบัติอะไร ไว้อย่างไร ตอนนั้นเป็นแค่เด็กป.6 คนนึง เรียน ๆ เล่น ๆ ตามประสาเด็ก รู้จักแค่การนั่งสมาธินิ่ง ๆ คุณครูสอนว่า ให้ภาวนา "พุท" เมื่อหายใจเข้า "โธ" เมื่อหายใจออก เกือบ 1 ปีเต็ม ๆ คุณครูท่านนี้์ประจำชั้นที่นักเรียนซน ๆ รวมกันอย่างสงบได้ก่อนกลับบ้าน ถือว่าท่านช่วยจับให้ปูทั้งหลายรวมกันอย่างสงบในกระด้ง ไม่อยากจะเชื่อว่าการทำเช่นนั้น ทำให้นร.ของครู เีรียนดีขึ้นเกือบทั้งห้อง เป็นเด็กเรียบร้อยมากขึ้น สามารถสอบเรียนต่อระดับม.ต้นในโรงเรียนที่มีชื่อของรัฐได้เกิน 80 % ของห้องเลยทีเดียว และไม่อยากเชื่ออีกว่า เพื่อน ๆ ชั้นประถมของเราเหล่านั้น บัดนี้ได้เรียนจบจนเป็นแพทย์ ทันตแพทย์ วิศวกร ฯลฯ เรียกว่า ไม่น่าเชื่อ แม้แต่ตัวเราเองก็เถอะ จากที่ตอนป.5 สอบได้เกือบที่โหล่ พอขึ้นป.6 ฝึกทำสมาธิได้เทอมนึง ก็เลื่อนขั้นได้เป็นที่กลาง ๆ พอเทอม 2 ได้ที่ 6 ของห้อง เป็นที่ฮือฮาในหมู่ครูและเพื่อนทีเดียว เพราะก่อนนั้นเราเป็นเด็กบื้อ ๆ ช้า ๆ แม่ดีใจยิ้มไม่หุบไปหลายเดือนทีเดียว เจอเพื่อนก็เม้าท์ไปทั่วกลัวเค้าไม่รู้ว่า ลูกช้านเก่ง และมันฉลาดขึ้นแล้วในที่สุด (หรือจะยัง) คุณครูท่านนั้นได้ทำมหากุศลแล้วจริง ๆ เพราะท่านได้ให้ ธรรมทาน แก่พวกเรา ให้เรารู้จักปฎิับัติธรรม อันช่วยให้เราดำรงอยู่ในศีล 5ได้ อย่างเพียบพร้อม แม้เป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ ก็ตาม ท่านได้ช่วยทำให้พวกเด็ก ๆในวันนั้น เป็นผู้ใหญ่ที่ดีในวันนี้ มากมายนับไม่ถ้วน ขอสรรเสริญพระุคุณของคุณครูมา ณ ที่นี้ด้วย ทุกวันนี้ ยังคงจำภาพที่เด็กซนทั้งหลายนั่งสมาธิกันอย่างสงบเรียบร้อยได้ดี แม้จะนั่งแค่ 10 นาที ทุกวัน ก็ส่งผลดีได้ยิ่งใหญ่จริง ๆ จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมชาวต่างชาติกำหนดให้มีการฝึกสมาธิในโรงเรียนกันอย่างกว้าง การทำสมาธิโดยทั่วไปฝรั่งเรียกว่า " Meditation " คือการทำสมาธิ กำหนดจิตให้นิ่ง ณ จุดกำหนดใด จุดหนึ่งในกาย เท่าที่รู้สึกได้เอง มันเกิดความสงบนิ่ง สมองปลอดโปร่ง ผ่อนคลายความเครียด ทำให้ร่างกายโดยเฉพาะสมอง อยู่ในสภาวะพร้อมที่จะรับรู้ เีรียนรู้ ฝึกฝน หรือทำการงานในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นอันนี้ท่านจัดเป็นสมถะกรรมฐาน ในเวลานั้นตัวเราเองไม่เคยรู้เรื่อง วิปัสนากรรมฐาน เลยแม้แต่น้อย และติดการทำสมาธิ พร้อมภาวนา "พุทโธ" มาอีกนานเป็น สิบ ๆ ปี เพิ่งมีโอกาสได้ฝึกวิปัสนากรรมฐานได้สัก ปีกว่า ๆ มานี่เอง เพิ่งได้รู้ว่า ฝรั่งเค้าก็ให้ความสนใจเช่นกัน แต่ในต่างประเทศ ยังไม่มีศูนย์ฝึกปฎิบัติที่ชาวต่างชาติจะฝึกให้กันเองได้ จึงมีชาวต่างชาติจำนวนไม่น้อย ที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวและถือโอกาสฝึกเจริญ วิปัสนากรรมฐาน ที่เค้าเรียกกันว่า "Insight Meditation: Vipasana" ตรง ๆ แบบนั้น ตามคำเรียกภาษาอังกฤษ น่าจะหมายถึงการเพ่งมองเข้าไปในบางอย่าง ในกายเรา หรือ ในความจริงที่เรากำลังจะ้ค้นให้พบนั่นเอง ซึ่งส่วนใหญ่จะรับรู้กันว่า สิ่งที่ต้องการพบ หรือไปให้ถึงจุดหมายโดยทั่วกันนั้นก็คือสภาวะ "นิพพาน" หรือ "Nirvana" นั่นเอง เมื่อได้มาสัมผัสกับการเจริญ วิปัสนากรรมฐาน โดยได้ผ่านการฝึกเจริญอานาปานสติมาก่อนบ้้างแ้ล้ว ก็พอจะเข้าใจในความแตกต่าง แต่ ก็ไม่แตกต่างระหว่าง "สมถะกรรมฐาน" และ "วิปัสนากรรมฐาน" นั้นได้ ที่ว่า "แตกต่่าง" นั้นมันแตกต่างในเรื่องการปฎิบัติ อย่างชัดเจน ฝ่ายสมถะ ท่านให้นิ่ง กำหนดให้เกิดความนิ่ง เป็นจุดเดียว ซึ่งก็เกิดสติเช่นกัน จะยืนทำ หรือนั่งทำ นอนทำ เห็นจะไม่ผิด ตราบเท่าที่ไม่ได้เคลื่อนกายไปมา แต่ที่นิยมกันมาก คือการนั่งสมาธิ เพราะทำได้ง่าย ยืนก็จะเมื่อยเกิน ร่างกายไม่ผ่อนคลายก็ทำไม่ได้ง่าย ๆ นอนก็จะเผลอหลับได้ง่าย เพราะกำลังสติสมาธิไม่เข้มแข็งพอ สรุปว่า การนั่ง เป็นท่าที่นิยมแกมบังคับ สำหรับการเจริญสมถะสมาธิ พอมาดูเรื่องการ เจริญอานาปานาสติ เราก็ไม่รู้ว่าเข้าใจถูกหรือไม่ เพราะตามที่ได้ฝึกให้รู้ตามอาการ จะเดินก็ให้รู้ว่าเดินก้าวซ้ายก็เอาใจไปใส่ที่การเดิน ที่เท้าซ้ายและขวาตามอาการ กิน นั่ง นอน ก็ให้รู้อาการอยู่ตลอดเวลา ตอนนั้นก็ยัง ไม่เคยได้ฝึกภาวนา "...หนอ" และเกิดความรู้สึกลึก ๆ ตลอดเวลาว่าเป็นเรื่องน่าขำขัน อะไรจะ "หนอ หนอ หนอ" กันตลอด ตอนนั้นเข้าใจแค่เรื่องการเจริญอานาปานสติ ว่าเป็นการกำหนดใจให้รู้ตามอาการ ก็แค่นั้น ไม่เคยคาดคิดว่าจะได้มารู้จักการฝึกวิปัสนากรรมฐานจริง ๆ จัง ๆ เลย แต่ก็อาจมีบุญเก่าที่ทำมาหรืออธิษฐานมา ทำให้มีโอกาสเข้าไปสัมผัส สิ่งที่พระที่ปฎิบัติวิปัสนากรรมฐานท่านได้รับ มาส่งต่อให้ผู้อยากเข้าใกล้ความจริง ทำให้ได้รู้ว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั้น ได้บำเพ็ญเพียรมาอย่างมากมาย อย่างยิ่งยวด อย่างลำบาก แต่ก็แปลกที่ท่านตรัสว่า "อย่างที่เราก็ทำได้" เมื่อมีมหากุศลถึงพร้อม การจะหลุดพ้นจากการยึดติด หรือเครื่องเหนี่ยวรั้งทั้งปวงได้นั้น เราก็เพิ่งรู้ไม่นานนี้เองว่า ผลของการทำสมถะกรรมฐานนั้นส่งเราไปไม่ถึง ต้องอาศัยวิปัสนากรรมฐานเท่านั้น เมื่อเพ่งเรื่อง ความแตกต่าง ไปแล้ว "ความไม่แตกต่าง" มันก็มีอยู่ เพราะในการฝึกวิปัสนากรรมฐานนั้น ย่อมมีอาการของสมถะกรรมฐานแทรกอยู่ด้วย เพราะเราฝึกสมาธิแบบนั่ง ยืน นอน เดิน นิ่ง ๆ เหมือนกัน แต่ย้อนกลับไปในความแตกต่างนั้นอีก ในความนิ่งนั้น เราจะพบว่ามีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา และ ในการฝึกวิปัสนาเราควรต้องกำหนดรู้การเคลื่อนไหวทุกอย่างที่เรา " รู้" หรือ "รู้สึก " ให้แนบแน่น ไม่หลุด ไม่รั่ว ซึ่งเราก็เพิ่งเข้าใจว่า "กรรมฐานรั่ว" คืออะไร อะไรคืออันตรายของการรั่วของกรรมฐาน และทำไมจึงไม่ควรให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้น อันนี้ก็เรื่องยาวเกินไปถ้าจะเล่า เอาเป็นว่า วิปัสนานั้นเราเอาสติไปจับไว้ทุกเมื่อที่มีอาการ แม้ว่า จะเคลื่อนไหว หรืออยู่นิ่ง ๆ และ มักจะต้อง มีการภาวนากำกับอาการอยู่ตลอด เช่น "ลุกหนอ" "เดินหนอ" "ก้าวหนอ" "ย่างหนอ" "เหยียบหนอ" เมื่อนั่งสมาธิก็กำหนดรู้การเคลื่อนไหวที่เกิดกับกาย ท้องพองก็ "พองหนอ" ทั้งยุบก็ "ยุบหนอ" และล้ำลึกเข้าไปอีกเมื่อจิตนิ่งพอจะกำหนดอิริยาบถย่อย ๆ ได้ดีขึ้นก็ให้มีการกำหนดต้นจิตเช่น การรู้ความอยากทำอาการต่าง ๆ "อยากนั่งหนอ" "อยากเดินหนอ" "อยากกินหนอ"
    เมื่อเราได้มีโอกาสไปฝึกปฏิบัติวิปัสนากรรมฐานประมาณ 2 สัปดาห์ ทั้งนั่งสมาธิ เดินสมาธิ หรือ เดินจงกรม (อันนี้ก็ยังไม่รู้ว่าทำไมเค้าเรียกเดิน "จงกรม" หรือ "จงกลม" เพราะตอนเดินก็เดินเป็นเส้นตรง ไม่ได้เิิดินในกรม ในกองไหน 555 แอบกวนเล็กน้อย แต่แฝงความอยากรู้อยากเห็นไว้จริง ๆ ) อีกทั้งฟังธรรมบรรยาย เพื่อให้เกิดปัญญา อันปัญญานั้นเราได้มาจากการได้ฟัง ได้คิดตาม ไม่อยากเชื่อสิ่งที่เราเคยคิดว่าน่าขำ อะไรก็ "หนอ" จะทำให้เรา้ค้นพบอะไรมากมาย ที่ทำให้เรารู้ได้้เองว่า เรายังไม่พบอะไรอีกตั้งมากมาย และไม่ควรประมาทที่จะเร่งค้นให้พบสิ่งที่ยังไม่พบ โชคดีที่เรามีบุญได้เกิดในพระพุทธศาสนา จึงทำให้เรารู้ว่า อะไรคือสิ่งที่เราต้องค้นให้พบ เพราะพ่อของเราชาวพุทธ ได้ค้นให้เราจนพบทุกอย่างแล้ว อีกทั้งยังทรงมี "พระธรรมคำสอน" และมีผู้สืบทอด อันคือเหล่าสงฆ์ผู้ปฎิบัติดีแล้ว คอยช่วยเหลือให้เราได้ เดินทางไปค้นหาเพื่อให้พบสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงพบ ด้วยตัวของเราเอง อาจเรียกได้ว่า ท่านปอกกล้วยไว้ให้เราแล้ว แถมจัดหาคนมาป้อนให้เราอีกด้วย สุดแท้แต่เราจะไปกิน จะอ้าปากรับมาเคี้ยวกลืนเองหรือไม่ก็เท่านั้น การจะฝึกสมาธิรูปแบบใดก็ดีทั้งนั้น ในเบื้องต้นกรรมฐานจะเป็นแบบสมถะหรือวิปัสนา ล้วนแต่ทำให้เรามีสติ(ความระลึกรู้ตัว การมีระดับความรู้สึกทางกายปกติ)ดี รู้ตัวทั่วพร้อม สมาธิ(ความสามารถในการเอาใจจดจ่อกับสิ่งใด ๆ ณ ปัจจุบันขณะ) ก็จะดีตาม ปัญญาก็จะเกิดดีขึ้นกว่าเดิม แม้ว่าเริ่มต้นเราก็ต้องมีมันก่อนหน้านั้นแล้ว ทั้งศีล สมาธิ และ ปัญญา หากขาด 3 อย่างนี้ ก็ทำกรรมฐานให้สำเร็จได้ยาก หรือไม่อาจทำได้ เช่น คนแก่ที่เป็นโรคบางชนิดทำให้ไม่รู้ตัวว่าเป็นใคร หลงลืมเรื่อง กาล และเวลา ผู้ไม่มีสติสัมปชัญญะครบสมบูรณ์ตามสภาวะกาย ไม่สามารถเจริญกรรมฐานในรูปแบบใด ๆ ได้สัมฤทธิ์ผล จึงเห็นว่ากรรมฐานทั้ง 2 แบบ มีความแตกต่าง และ ไม่แตกต่าง ด้วยประการฉะนี้ หากไม่หวังผลการเพ่งเพียรให้พบภาวะ "นิพพาน" การทำสมาธิแบบใดนั้นดีทั้งสิ้น
    แต่ที่ว่า วิปัสนากรรมฐานนั้น ทำให้เกิด "ปัญญา" นั้นเห็นจะจริง ความคิดเห็นที่แสดงไว้นี้ ไม่ได้เปิดจากตำราเล่มใด แต่ได้รับความรู้ใส่ตัว มาจากการปฏิบัติและฟังธรรมจากวิปัสนาจารย์เท่านั้น ท่านเล่าว่า ในโลกเรานี้ ได้มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแ้ล้วมากมายกว่าเม็ดทรายในมหาสมุทร แต่กิเลสอันเป็นพญามาร ก็ยัังตามขัดขวางไม่ให้ผู้คนจำนวนมหาศาลได้พบพระผู้มีพระภาคเจ้าเหล่านั้น
    การปฎิบัติ 2 สัปดาห์เต็ม ทำให้เราได้รู้สภาวะต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นขณะฝึกวิปัสนากรรมฐาน ทำให้ตื่นเต้นไปกับสิ่งที่ได้พบ ดีที่มีวิปัสนาจารย์คอยสอบอารมณ์ และแนะนำการปฏิบัติที่เหมาะสมให้ทุกวัน เราึจึงยืนยันได้ว่า การภาวนา "หนอ" นั้นเป็นประโยชน์จริง ๆ อันนี้มีบทความที่บอร์ดเอามาลงไว้ เกี่ยวกับ การปฏิบัติของสมเด็จย่า และท่านก็ถามว่าทำไมต้อง "หนอ" มีคำอธิบายในบทความนั้น เราตามไปอ่านอีกที หาไม่พบใครรู้ว่าอยู่ไหนแล้วบอกด้วย รายละเีอียดเรื่องของการปฏิบัติวิปัสนากรรมฐานยังมีรายละเีอียดอีกมากมาย มากมายจริง ๆ ใครบอกก็ไม่อยากจะเชื่อ ใครเล่า ก็ไม่เข้าใจ อีกทั้งเรื่องของ จิต ใจ กาย อะไรคืออะไร อะไรเป็นอะไร ก็ต้องค้นหาความจริงเอาเอง
    การได้เห็นนิมิต การได้ยิน อะไรที่ไม่เคยได้เห็นได้ยิน ก็อาจเป็นจากสภาวะจิตเรานั่นเอง ท่านว่าสิ่งที่เห็นหรือได้ยินบอกได้ว่าสภาวะจิตเราเป็นอย่างไร เรื่องอิิทธิฤทธิ์ ปาฎิหารย์ใด ๆ นั้นไม่ใช่สิ่งควรหวังเพื่อค้นพบ หากจะเกิดแก่เราเพราะการมีกุศลจิต มีมหากุศลจิตเป็นที่ตั้งและที่หมายนั้นก็มีไปตามนั้น ส่วนใหญ่ผู้มีอิทธิฤทธิ์ใด ๆ มักไม่แสดงสิ่งนั้นให้ใครรู้เห็น หนทางที่จะดับทุกข์ได้ก็คือหาให้พบว่าทุกข์นั้นอยู่ที่ใด และในเมื่อรู้้แล้วว่าอยู่ีที่ใจ ก็ใจใครล่ะ "ใจเรา" นั่นเอง ไอ้ตัว "เรา" หรือ "ตัวกู" ที่ท่านพุทธทาสท่านว่า "ตัวกู ของกู จงดับเถิด ให้ตายเสียก่อนตาย" อยากดับทุกข์ต้องดับที่เรา อย่าไปดับที่คนอื่น ก็คือสิ่งที่เราควรทำ ดับให้สิ้นซาก ดับความรู้สึกนึกคิด ความเป็นเรา เป็นเขา ล้วนแต่เป็นสิ่งสมมติทั้งปวง ที่ทำให้ีกิเลส ตัณหา โลภะ โทสะ ของเรามันพลุ่งพล่านอยู่อย่างนี้ แล้วเรายังจะสนใจอิทธิปาฎิหารย์ไปทำไม จวบ 2552 ปี ก็แล้ว มนุษยชาติยังสนุกกับการเวียนว่ายตายเกิดตามรัก ตามแค้น ตามสามีภรรยา ตามเจ้าหนี้ลูกหนี้ ตามไก่(พระลอ อิอิ) ฯลฯ อันนี้ก็สุดแล้วแต่ใครจะชอบ จะหวังสิ่งใด ก็เลือกเอา ทำเอาได้ ความสุขแท้จริงนั้น ก็คือการไม่มีความสุขไม่มีความทุกข์ การพ้นเสียจากสิ่งร้อยรัดทั้งปวง อันเกิดจากความ รัก โลภ โกรธ หลง อันเกิดเพราะมีกาย อันเกิดเพราะมีการรวมตัวกันของธาตุทั้ง 4 อันเกิดเป็นบ่อแห่งเชื้อโรค สิ่งโสโครกเน่าเสีย อันเกิดเพราะกรรมเป็นกำเนิด มีเพียงทางเดียวคือ ดับการเกิด เมื่อไม่เกิดก็ไม่มีดับ เมื่อดับแล้วก็ไม่เกิด ดับความ "อยากจะเกิด" (ดับความอาฆาต พยาบาท ความรักผูกพันธ์ ความรักตัว ความอยากมีอยากเป็นในสิ่งสมมติทั้งปวง ฯลฯ) เมื่อไม่มีเชื้อกรรม ไม่มีกำเนิด ไม่มีชาติ ไม่มีภพ ไม่มี "เรา" อีกต่อไป นั่นคือการล่วงทุกข์ทั้งปวง คือความว่างเปล่า แต่ไม่ใช่สิ่งว่างเปล่า แต่ไม่มี "มี" ไม่มี "ไม่มี" ชักฟังยากขึ้นทุกที ขอจบเท่านี้ดีกว่า แค่นี้ก็อาจเป็นการเพิ่มทุกข์ให้คนอ่านและเปลืองพื้นที่เว็บ เพราะมี "เรา" มานั่งพิมพ์ อยู่ตรงนี้
     
  15. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,647
    ความจริงแล้วพูดตามตรงนะ........เห็นสองท่านทะเลอะกันมาประมาณ 3-4 เดือนได้ละ.........จุดประสงค์ของผมคืออยากรู้ว่าปมปัญหามันคืออะไร.......เป็นไปได้แก้ไขให้ตรงจุด..........ไม่ว่าจะในนามของศิษย์สายสำนักใด....เป็นไปได้ไมที่จะรวมเป็นสายเดียวสายพระพุทธเจ้านี่หละ..............อยากเห็นสังคมนี้สงบสุข.........

    ถ้าปัญหามันเกิดขึ้นที่ว่า สมถะ กับวิปัสสนาแล้วล่ะก็........กล่าวได้เลยว่าสมเด็จพระสังฆราชกล่าวไว้ชัดแล้ว..........พระไตรก็เหมือนกับที่สมเด็จท่านกล่าว.....ปลับความเห็นเดิมที่ผิด....ให้ถูกเสีย.......ก็เท่านั้น....

    เรื่องสมถะ กับ วิปัสสนาควรที่จะจบเสียที

    อยากให้ทั้งสองท่านปลับความเห็น......เข้าหากัน......จับมือกัน.......ช่วยงานพระศาสนา....จะดีขึ้นมากเลย.......

    ความหวังนี้จะเป็นไปได้ใหมหนา.....

    สิ่งใดอภัยให้กันได้ก็อภัยเถิด.....ที่พูดอาจไม่เกิดประโยชน์........แต่สำหรับผม.....ผมหวังดีและเป็นห่วงนะ......หลายครั้งตามช่วยตอบแก้ที่อันผิด....ไม่ได้คิดว่าตัวเองถูกนะ.........ไม่ได้คิดว่าจะจับผิดใครด้วย.......คิดอยู่อย่างเดียว....อยากให้ธรรมที่ถูกต้อง.....จะได้เป็นที่พึ่ง......ที่คนเห็นผิดจะได้แก้ไข.....ผมก็เอามาจากพระพุทธเจ้านั่นหละ.......ส่วนใหญ่จะยกตอบ........ศึกษาจากครูบาอาจารย์ทุกท่าน....ที่ทราบและรู้จัก......ไม่ปิดกั้นตัวเอง.....ยอมรับว่าส่วนใหญ่จะถามท่านขันธ์....เพราะว่าพอที่จะเคารพในธรรมของท่านได้........ส่วนน้อยจะถามท่านนิวรณ์....เพราะว่าศึกษาได้จากหลวงพ่อปราโมทย์แล้ว....เข้าใจได้ตรง.......และพอทราบว่าท่านต้องการสื่ออะไร.....

    ขอให้ความสงบสุขจงเกิดขึ้นนะครับ.......

    ;40
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มิถุนายน 2009
  16. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านอาจานนิฯ ท่านนี่อะนะ NGOตัวจริงเสียงจริงเลยนะขอบอก

    เปรียบเทียบโดยใช้หัวที่กั้นหูไว้เฉยๆ หัดใช้หมองแบบอิคคิวซังบ้าง
    มีที่ไหนที่มีดเดินไปลับกับหินเอง
    ชอบจังเลยนะมีแต่สภาวะ แต่ไม่มีสิ่งรองรับสภาวะ
    เด็กๆอย่างอิคคิวซังยังรู้จักใช้หมองเลย

    สมาธิจึงเปรียบเหมือนมีดที่ถูกลับจนคมกริบ(โดยสัมมาวายามะและสัมมาสติ)
    วิปัสสนานั้น เหมือนการใช้ประโยชน์จากความคมของมีด

    ท่าน NGO ครับ ใครเป็นผู้ใช้มีดที่คมกริบครับ???

    ดังนั้น บารมีย่อมเกิดขึ้นได้จากการเพียรเพ่งเท่านั้น
    เป็นสุดยอดของการสร้างบารมีโดยแท้จริง
    วิป้สสนาเป็นผลที่เกิดจากความเพียรเพ่ง...

    จิตที่ปัญญาอบรมดีแล้ว จึงจะเป็นเพชรน้ำเอกครับ

    ซึ่งจะเกิดจาก
    สมาธิที่ศีลอบรมดีแล้ว
    ปัญญาที่สมาธิอบรมดีแล้ว(มีดที่ลับจนคมกริบ)

    จิตที่ปัญญาอบรมดีแล้ว จึงจะหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง
    นี้แล คือ เพชรน้ำเอกแห่งพระพุทธศาสนา

    อย่าดูจิต จนคิดทรยศไม่ซื่อตรงต่อพระพุทธพจน์เลยครับ

    ;aa24
     
  17. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ผม ธรรมภูต ครับ ไม่ใช่ธรรมจิต
    ไม่ต้องร้อนรนขนาดเรียกผิดหรอกครับ

    ท่านวรฯครับ ท่านต้องการอะไรผมก็นำเสนอให้อ่านแล้ว
    ส่วนที่ผมถามไปอย่าใช้วิธีแบบรุ่นพี่ที่ทำกัน
    แถออกนอกเรื่องว่ารู้แล้วว่าผมจะถามอะไร?
    ถ้ารู้ล่วงหน้า ทำไมไม่ตอบดักคอไว้ล่ะครับ

    อย่าทำตัวเป็นเด็กขายขนมเลย มันไม่ดี
    ธรรมะมีไว้ให้เราเข้าถึงความเป็นจริง
    ไม่ใช่มีไว้หลอกตัวเองว่าฉันรู้ถูกแล้ว ไปวันๆ
    แล้วจะมีประโยชน์อะไร ในการถกธรรม
    เมื่อไม่ต้องการรู้เห็นตามความเป็นจริง

    ผมยังหวังคำตอบจากท่านเพื่อความกระจ่างนะครับ

    ;aa24
     
  18. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    <TABLE class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD background=images/gradients/bg_p.gif>สมาชิก 1 คน ได้กล่าว "ไม่เห็นด้วย" กับข้อความของ คุณ เอกวีร์ ที่เขียนไว้ทางด้านบน</TD></TR><TR><TD class=alt2 height=29>sriaraya5 (วันนี้)

    อนุโมทนาท่านศรี ฯ ครับ

    ท่านศรีฯ ท่านช่วยแจกแจงแถลงไขทีว่า
    ระหว่างฌานในสมาบัตินั้นย่อมแตกต่างกันกับ ฌาน๔ในสัมมาสมาธิ

    ใครที่สามารถเข้าถึงฌาน ๔ ในสัมมาสมาธิได้ แค่ชั่วช้างกระดิกหูหรืองูแลบลิ้น
    อานิสงส์มากยิ่งกว่าพวกเข้าฌานสมาบัติถึง ๑๐๐ ปี


    อย่าดูจิตกัน จนกระทั่งคิดทรยศไม่ซื่อตรงต่อพระพุทธพจน์นะครับ

    ;aa24

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  19. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    กลับไปอ่าน ไปพี่ภูติ ที่ผมยกคำอุปมาอุปไมยมานั้น ผมไม่ได้
    กล่าวลอยๆ นะ ผมอ้างอิงจากพระดำรัสของสมเด็จพระสุงฆราชฯ

    หากคุณจะต่อว่า ก็ไตร่ตรองหน่อยดีไหมว่า กำลังต่อว่าใครที่
    เปรียบเปรยว่า สมถะ คือ ตัวหิน วิปัสสนา คือ ตัวมีด

    อย่าทรยศต่อการเห็นของตัวเอง ผมก็ยกมาให้อ่านตำตา คุณก็
    ทำเป็นเสแสร้งแกล้งไม่เห็น คนที่เขาอ่านกระทู้เป็นเขาจะทราบ
    ถึงความไม่ถ้วนถี่ในการ สนทนาธรรมของคุณ
     
  20. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ดูสินั่น คราวนี้ งง เอง ตำหนิฌาณด้วยตัวเอง ไปแล้ว

    แล้วกลับไปอ่านธรรมที่พระสังฆราชสั่งสอนลงมาบ้าง
    ไม่ใช่ บิดเบือนเข้าทิฏฐิตน ตอนแรกพี่ภูติชื่นชมสมาบัติฌาณ8
    มาวันนี้ ชื่นชมฌาณ4 มันก็ ฌาณเหมือนกันนั้นแหละ แล้วไป
    ตำหนิฌาณ8นี่ ก็เท่ากับกลบธรรมของลุงขันธ์เลยนะนั่น เพราะ
    ลุงขันธบอกว่า ฌาณ8ทำให้เห็นจิตเดิมแท้ได้ หากไม่ถึงก็ถือ
    ว่าไม่เห็น งงกันเองซะแล้ว

    ไปอ่านใหม่เถอะว่า พระสังฆราช กล่าวถึงอะไรกันแน่ ทีมีผล
    กว่า ฌาณทั้งหลาย 100 ปี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มิถุนายน 2009

แชร์หน้านี้

Loading...