สัมมาทิฐิ-รู้เห็นตามความเป็นจริง จะรู้ตามจริงได้อย่างไรถ้าไม่มีสัมมาสมาธิ

คุณ เอกวีร์ ยกมาผิด
ส่วนคนที่สนับสนุน อนุโมทนา ก็ไม่ได้ดูอรรถดูธรรม

ผมบอกตามตรงนะครับ คนที่น่าสงสารที่สุดตอนนี้ คือ เอกวีร์ เพราะว่า อวิชชา ปกปิด ทำให้เข้าใจอะไรคลาดเคลื่อนไปทั้งหมด

เอกวีร์ ยุติ เถิด คนที่สนับสนุนคุณเอกวีร์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น จินนี่ ขวัญ นานากร วิษณุ
เป็นคนไม่จริงใจ อย่าเป็นหัวหน้าคนพาลเลย

คนดีกัลยาณมิตรที่ดี เมื่อมิตรประมาท เมื่อมิตรเสื่อมจะต้องพูด ต้องติง นี่ปรากฎว่า นิวรณ์ เสื่อมคุณธรรมไปมาก กลุ่มดูจิต เสื่อมธรรมลงไปมาก ก็ยังรับรองกันเอง
ดังเคยปรากฎในพุทธกาลมาแล้ว สำหรับภิกษุที่รับรองกันเอง ว่า รูปนั้นได้ โสดา รูปนั้นได้สกิทาคา

ดูผล ดูปัญญาตัวเองสิ ว่ามันเสื่อมหรือมันดีขึ้น ตั้งแต่มาทะเลาะเรื่องนี้

ตามธรรมดา คนมีธรรม พระธรรมย่อมคุ้มครอง ไม่ให้เสื่อมไป แต่ปรากฎว่า กลุ่มดูจิต คุณธรรมก็เสื่อม ปัญญาก็เสื่อม แล้วมันจะยิ่งหนักไปกว่า

ฟังผมบ้าง อย่าให้ทิฎฐิ มันนำหน้า

 

เราเห็นคนที่ฝึกอบรม วิญญาณ อยู่ แต่สำคัญผิดว่า อบรมจิต

ไม่รู้ว่าใคร เห็นผิด นะ

 

รู้แล้วหรือว่า วิญญาณ คืออะไร ถ้าเห็นว่าคนฝึกอบรมวิญญาณ แล้วสำคัญผิด
ตัวคุณเอง ต้องอธิบายมาก่อนว่า วิญญาณคืออะไร

เห็นมันอย่างไร ว่ามา

 

วิญญาณ เป็น ส่วนหนึ่งขันธ์5
คนที่อบรมแต่ขันธ์5 เราก็เห็นว่า เขาอบรมวิญญาณ
โดยคิดว่า วิญญาณตัวรู้คือ จิตที่มีสภาพรู้

แต่ จิต ที่หมายๆ กันอยู่ คืออะไร เรายังไม่รู้ ไม่เห็น เราบอกไม่ได้
แต่คงไม่ใช่ ขันธ์5 อย่างที่พูดๆ กันอยู่ ว่าขันธ์5 แปรปรวน จิตไม่แปรปรวน

คนที่ยังไม่มีสัมมาทิฏฐิแท้จริง ไม่มีทางเข้าใจได้ถูกหรอก เราคิดว่างั้นนะ
เราก็มิจฉาทิฏฐิ อยู่ รู้ตัว ก็รู้อยู่ว่าไม่รู้ไม่เข้าใจ เรื่องของจิตแท้ จิตเดิม

แต่คนที่ไม่มีสัมมาทิฏฐิ แล้วคิดว่าตัวเองมีสัมมาทิฏฐิแล้ว เข้าใจอริยสัจ4ได้ ถูกต้อง
จะยิ่งไม่เข้ารกเข้าพง หนักกว่า หรือ

 

คุณธรรมสวนังก็กล่าวได้ถูกต้องดีแล้วว่า จิต ไม่ใช่ วิญญาณขันธ์

เหตุใดสองคนนี้
<TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD background=images/gradients/bg_p.gif>สมาชิก 2 คน ได้กล่าว "ไม่เห็นด้วย" กับข้อความของ คุณ ธรรมะสวนัง ที่เขียนไว้ทางด้านบน</TD></TR><TR><TD class=alt2 height=29>jinny95 (วันนี้), nanakorn (วันนี้)</TD></TR><TR><TD class=alt1>

​

</TD></TR></TBODY></TABLE>จึงไม่เห็นด้วย อะไรปิดหูปิดตาอยู่หรือเปล่า...?

 

คนที่หลง อบรมวิญญาณ อยู่ แต่เข้าใจผิด ว่าอบรมจิต
เพราะเวลาพูดถึงจิต ก็อย่างหนึ่ง
แต่เวลาอธิบายว่าปฏิบัติอย่างไร กลับดูแล้วเหมือน อบรมวิญญาณ

ส่วนดูจิต นั้น เราดูได้แค่อาการจิต เราก็ว่ามันอยู่ในส่วนของเจตสิก ก็อยู่ในขันธ์5 อยู่แล้ว
เราก็รู้อยู่ว่ามันคืออะไร และยังไม่รู้อะไร

แต่เมื่อ อบรมดูจิต สะสมได้ระดับ ถึงขั้น สัมมาสติ สัมมาสมาธิ เกิดเป็นสัมมาทิฏฐิ
มีปัญญา รู้แจ้ง ถึงขั้น มีจิตเห็นจิต อย่างแจ่มแจ้ง ถึงจะได้เห็น จิต ของจริง
เห็นทุกข์ของจริง อันนี้เรารู้ว่า เรายังไม่ได้ ไม่มี เราก็รู้ ว่า ยังไม่รู้

 

ผมว่าเป็นเจตนา ในนำพา เลยไม่เห็นด้วย ..มั๊ง....ไม่ได้เกี่ยวกับวิญญาณัขนธ์ หรอกมั๊ง ผมก็แค่เดาๆ ล่ะนะ ละมั๊ง..

 

"วิญญาณแปรปรวน จิตไม่กระสับกระส่าย" บอกได้เลยว่าไม่ใช่

ที่ไม่้เห็นด้วยตรงนี้ต่างหากคุณวิมุุตติ ตอบก็เพราะคุณถามนานา
อย่างอื่นไม่ขอพูดถึง

 

ฝากซื้อ ข้าวด้วย ...

 

คุณ เล่นเอาปรมัตถ์ธรรม มาแสดงภูมิรู้ แล้วก็สับสนเอง
ประเด็นก็คือ คุณ นิวรณ์ ยกธรรมมาผิด เอาเรื่องวิญญาณมาอ้างผิด
อีกคนหนึ่งเขาก้แก้ถูกต้องแล้วว่า พระสูตรนั้นกล่าวบอก ว่า วิญญาณไม่เที่ยง
ขวัญมาถึงมาบอกว่า คนอบรมวิญญาณหรืออบรมจิต
ขอโทษนะครับ นี่มีสติ อ่านกันหรือเปล่า ว่าเราไปถึงไหนกัน

โดยเฉพาะ คุณ ขวัญ คุณนี่ล่องลอยมากๆ นั่นแหละ เพราะสมาธิไม่ดี
ครั้นพอผมบอกไป ตั้งแต่ หลายเดือนก่อน แทนที่จะลองทบทวนตัวเองดู ดันมี นายนิวรร์ มารับรองความถึงธรรมให้กัน เลยบ้าไปเลย

นี่แหละ ผลเสียของการรับรองธรรมกันเอง อวดอุตริกันเอง เพียงเพราะว่า ยกเชิดชูความศักดิ์สิทธิ์ของ อาจารย์ตนว่า มีปฏิภาณ เลิศเลอ สอนคน ชี้ให้คนดูทีเดียว ถึงธรรมได้

เดี๋ยวผลเสียจะมากกว่านี้ ไม่เชื่อลองดูกันไป ว่ามันจะมีคนหลงมากขึ้นอีกเท่าไร

 

จิตวิญญาณ กับ จิตบริสุทธิ์

เราเข้าใจว่ามันคนละเรื่อง คนละความหมายนะ
เราก็เลยสงสัย ที่บอกว่าเห็นจิตเด่นดวง เห็นดวงแก้ว เห็น...
จะใช่เห็น จิตที่บริสุทธิ์ หรือ เห็นแค่ จิตที่เป็นวิญญาณ

จิตบริสุทธิ์ เราเข้าใจว่า คือจิตที่ร่อนออกจากกิเลสแล้ว ในขณะจิตหนึ่ง
อย่างจิตที่เดินอริยมรรค หลุดพ้นจากกิเลส ของพระโสดาบันขึ้นไป ถึงจะนับว่าใช่
เรียกว่า มีสัมมาทิฏฐิ เห็นจิตของจริง สัมผัสนิพพานจริง มีมรรคจิต ผลจิต ของจริง

ส่วนคนที่ฝึกสมาธิ ได้ฌาณระดับหนึ่ง มันจะเป็น กิเลสครอบงำไม่ได้ ขณะหนึ่ง
แต่ไม่ใช่จิตบริสุทธิ์ เพราะ มันมีอวิชชาอยู่ ยังไม่พ้นอวิชชา มันก็ไม่ได้เหมือนที่พระอริยะ
ท่านได้ คล้ายแต่ไม่ใช่ มันก็เลยหลงอยู่อย่างนั้น เพราะพอใจสภาวะนั้น และคิดว่าใช่

เราเข้าใจอย่างนี้นะ ไม่ใช่ว่ารู้ แค่คิดว่าน่าจะเป็น

 

แนะนำเลยนะ คุณขวัญ คุณไปทำสมาธิให้มากเลย พุทโธ แล้วสังเกตุ ความล่องลอยที่มันออกจากคำบริกรรมพุทโธนั้น
จับให้มั่น ว่า มันออกไปอย่างไร แล้วเอาใจกลับมา แล้วจะเห็นความไวของสติมากขึ้น และจะเห็นความไวของความปรุงมากขึ้น
ไม่เช่นนั้นคุณจะล่องลอยแบบนี้ทั้งชาติ เพราะเอาแต่ดู ก็มันดูเท่าที่เห็น คนอยู่ประเทศไทย มันก็เห็นแต่หน้าร้อน มันจะรุ้ไหมว่าหนาวแบบฝรั่งมันเป็นยังไง

จะรุ้ธรรมที่ปราณีต มันก็ต้องเอาจิตไปสุ่ที่ปราณีตก่อน

 

วิญญาณแปรปรวน จิตไม่กระสับกระส่าย
ก็ถูกแล้วนี่ครับ
คุณธรรมะสวนังก็ได้แสดงไว้ชัดเจนว่านี่หมายถึงพระอริยะ แถมบอกว่าตรงนี้มีกล่าวในพุทธพจน์

คุณนานากรไม่เห็นด้วยกับพุทธพจน์หรือครับ..???

 

คนอยุ่ในที่มืด มันจะไปเห็นอะไร มันก็เห็นแต่ความมืด
นอกจากมีเดินไปชนอะไรทีหนึ่ง จึงจะสะดุ้งขึ้นมา แล้วบอกว่า ตัวเองรุ้แล้วเห็นแล้ว

ฌาณ และ สมาธิ เป็นเรื่องสำคัญมาก การเจริญสติต้องมี สมาธิเป็นฐาน ทีนี้ การจะต้องทำให้ถึงฌาณ สี่หรือไม่นั้น ก็ยังไม่ต้อง
แต่ต้อง อยู่ในระดับที่พอเพียงต่อการใช้ชีวิต ยิ่งจิตใจไปเจอสิ่งกลุ้มรุมมากเท่าใด ความแคล่วคล่องของสมาธินี่ ต้องฝึกให้มาก เพราะจะได้ ตั้งมั่นไม่หวั่นไหว เมื่อมี อะไรเข้ามาทาง ทวาร 6

ทวารทั้ง 6 นี้เปรียบเหมือนประตู สมาธิ นี้เหมือน การปิดประตู คือ ใจไม่หิวอารมณ์ เมื่อใจไม่หิวอารมณ์ เมื่ออะไรเข้ามาทางประตู มันก็ไม่กระเพื่อม คราวนี้ มันจะเจริญสติ จะเจริญปัญญา มันก็ราบรื่น ไม่ฟุ้งซ่าน

 

เราต้องการแสดงความเห็น ว่า
มีคนที่ พูดถึง จิต(บริสุทธิ์) แต่ไม่รู้จัก จิต(บริสุทธิ์) ของจริง
แล้วเราก็สงสัยว่า เขาสับสน เรื่อง จิต กับ วิญญาณ หรือเปล่า

แล้วก็เห็นว่า คุณเอกวีร์ ยกพระสูตร มาตรงแล้ว

เพราะ เราเข้าใจว่า จะชี้เรื่อง จิต กับ วิญญาณ จากพระสูตร

เราเห็นว่า คนที่ยังไม่บรรลุธรรม ย่อมไม่เคยเห็นสภาวะ จิต บริสุทธิ์
เราก็ยกมาพูด และที่พูดไม่ใช่ว่าเราเคยเห็นสภาวะจิตบริสุทธิ์
เราไม่เคยเห็น แต่รู้ว่ามี เพราะอ่านและฟังมา เท่านั้น

ทีนี้ การพูด การแสดงของเรา บางทีก็เรารู้อยู่คนเดียว ส่วนท่านขันธ์
ก็เข้าใจเราไปอีกทาง

 

นี่พูดเรื่องง่าย ๆ นิวรณ์ บอกว่า เขาทำกันแล้ว วิษณุว่า คุณรู้ได้อย่างไรว่าเขาไม่ทำสมถะ
ขวัญ สวดมนต์ก่อนนอนทุกคืน

ทั้งหมด มันยังไม่ถึง ตัวอินทรีย์เลย เพราะมันทำกันอย่างฉาบฉวย จิตใจนี้ยังไม่มีอาการที่ว่า รู้ผลของสมาธิ จิตใจนี้มี พร้อมในองค์พละ จนเป็นอินทรีย์ คือ กล้าแกร่ง ในทางจิต มีพร้อมทั้ง ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา

เมื่อมันทำทุกวัน แต่เป็น สมถะ พุทโธสองที หรือ หายใจเข้าออกสามที แบบนี้บอกว่าทำสมถะทุกวัน มันไม่ได้ เพราะมันไม่ได้อะไร

เมื่ออบรมจิตดีพร้อม เป็นอินทรีย์แล้ว ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา มันจะมีพลัง ทำอะไรจะมั่นคง แล้วนั่นแหละ จึงจะไปสู่ นิพพานได้ แล้วมันจะไม่ทลาย เมื่อใช้ปัญญา และ มหาสติ ในทางพุทธศาสนา อบรมจนเป็น โพชฌงค์ อันเป็น วัตรของพระอริยเจ้า นี่ ดังนั้น ปัญญาหรือทัสนะ มันทำอะไรไม่ได้ มันต้องอบรมจิตใจนี้ ตามที่บอก

 

ก็บอกแต่แรกแล้วนะ คนที่ได้อ่าน คือคนที่ได้อ่าน คนที่อ่านได้ คือคนที่อ่านได้

หากไปถึงตรงนั้นแล้ว ท่าน ๆ จะไม่สงสัยกันตรงนี้

 

นี่ก็ล่องลอย พูดหาสาระไม่ได้
ที่ว่า ถึงตรงนั้น ถึงตรงไหน
ใครสงสัยอะไรกัน ดูประเด็นหน่อย

 

รู้ได้ยังไง ว่าทำสมถะอย่างฉาบฉวย มาดูผมทำเหรอ

 

ก็แล้วแต่จะคิดนะ ไม่ได้ห้าม ...เพราะอะไร ใคร ทำอะไร ที่ไ้หน อย่างไร ได้อย่างไร
อย่าไปสนใจเลย สนใจตัวเองดีกว่า ไปถึงไหนแล้ว