สัมมาทิฐิ-รู้เห็นตามความเป็นจริง จะรู้ตามจริงได้อย่างไรถ้าไม่มีสัมมาสมาธิ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 9 มิถุนายน 2009.

  1. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ตราบใดที่เรายังไม่สามารถแยกจิตออกจากความคิดได้
    เรายังไม่สามารถ แยกและคลายขันธ์ ๕ ได้อย่างแท้จริง
    ปัญญาที่ได้จากการพิจารณาทั้งหมดก็ยังไม่ใช่ ปัญญาธรรม ครับ เป็นแค่ปัญญาระดับสมมุติ

    ครูบาอาจารย์ผมกล่าว เป็นปริศนาธรรมไว้ว่า

    "จิตเที่ยง นิพพานจึงเที่ยง ถ้าจิตไม่เที่ยง นิพพานก็ไม่เที่ยง"

    ทำความเข้าใจให้ดี ๆ นะครับ ความหมายที่ท่านกล่าวไว้นั้น ไม่ได้หมายความว่า นิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา...

    ผมว่าเราหาตัวใจให้เจอก่อนดีกว่า แยกจิตกับความคิดให้ออกก่อน ด้วยสติ
    บางทีเราอาจจะต้องมาทำความเข้าใจกันใหม่ว่า

    อะไรคือตัวสติ อะไรคือตัวจิต จิตปกติเป็นอย่างไร จิตเกิดมีลักษณะอาการอย่างไร
    ความคิดที่ไม่ได้ตั้งใจคิดเข้าไปแหย่จิต ให้จิตเกิดได้ยังไง จิตจึงเกิด จึงหน่วงเหนี่ยวเอาความคิดมาเป็นอารมณ์ได้ แล้วก็ยังหลงคิดตามอารมณ์นั้นต่อไปอีก หลงยึดความคิดนั้นอีก หลงอารมณ์อีก ปนกันเป็นตังเมเลย เอาแค่นี้ให้ได้ก่อนก็ได้ครับ

    ขั้นแรกก็หัดดับ หัดหยุดความคิดที่ชอบหลงคิดตามความเคยชินตามอารมณ์ให้ได้ก่อนดีกว่า อย่ามัวตามใจตัวเองอยู่เลย แกล้งไม่ให้มันคิดซะบ้างครับ

    รับรองว่า จะเข้าใจอะไร ๆ ได้ดีขึ้นอีกเยอะเลย


    ขอบคุณครับ ขอให้โชคดี
     
  2. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241










    ผมยกมาก็เพราะ เอามาเทียบกันดู ส่วน ใครจะเลี่ยงบาลี จิต ไป วิญญาณ
    วิญญาณ ไป จิต สลับไปมานั้น ก็ต้องดูที่เนื้อความรู้ข้างในของคนๆนั้นว่า
    กล่าวมาด้วยทัศนะไหน สอดคล้อง ธรรมทั้งหลายเกิดจากเหตุปัจจัยหรือ
    เปล่า สอดคล้องกับปฏิจสมุปบาทหรือเปล่า

    หรือว่า กล่าวไปทำนอง จิตเล่นเกมส์หานิพพานแบบลุงใบไม้ คนที่พูดเท่า
    นั้นที่ทราบ

    แล้วก็ไม่จำเป็นต้องมากล่าวหาว่า ยกมาผิด ที่ยกพุทธพจน์มาข้างต้นก็เพียงแต่
    แสดงกำกับเท่านั้น มันจะผิดอะไรได้อย่างไร

    คนที่เห็น ที่เดือดร้อน ก็จะมีแต่คนที่ไม่มั่นคง เท่านั้นที่จะเดือดร้อน ดิ้นรนสั่นไหว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มิถุนายน 2009
  3. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    เมื่อวานฟังกันหรือเปล่าหละ ที่หลวงพ่อสงบกล่าว

    ท่านกล่าวออกเสียงดังฟังชัดว่า เบื้องปลายนิพพานนั้น "ไม่มีจิต"
    ไม่เรียกว่า จิต หรือจะไปเรียกว่าอะไรให้มันเป็นสมมติบัญญัติขึ้นมาอีก

    หากไปเรียก ไปสำคัญ ไปหมาย ก็จะเกิดภพทันที
     
  4. บุคคลไปทั่ว

    บุคคลไปทั่ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2009
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +106
    ธรรมบางตัวก็เกิดก็มีขึ้น ในขณะที่จิตไม่มีความตั้งมั่นชอบ อย่างเช่นจิตฟุ้งซ่าน จิตมีราคะ จิตมีโทสะ จิตไม่ตั้งมั่น ฯลฯ ในหมวดจินตานุปัสสนา เหล่าครูบาอาจารย์รู้ตามความเป็นจริงแห่งธรรมนั้นยังไงอ่ะ ???????
     
  5. nanakorn

    nanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +155
    นิมิต ก็คือ นิมิต ไม่ไปเน้นตามนั้นก็ทำอะไรไม่ได้
    ใครเห็นก็เห็น? ใครไม่เห็นก็ไม่เห็น ?
    ใครเห็นไม่ได้เห็นก็มี?
    ใครไม่เห็นแต่เห็นก็มี !!!!
    งง ก็ รู้ว่า งง เป็น พอ

    Ok อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มิถุนายน 2009
  6. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424

    ใช่แล้วววว....วางดีกว่า จะได้ไม่ทุกข์.

    ห้าพันปีก็คือห้าพันปี ผมไม่ค้านพุทธพยากรณ์นะ
     
  7. siratsapon

    siratsapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    368
    ค่าพลัง:
    +641
    ไตรสิกขา คือ ศีล-สมาธิ-ปัญญา เป็น มุมมองจากภายนอกเข้ามาข้างใน วัดความก้าวหน้าได้ง่ายในการปฏิบัติธรรม

    อริยมรรค มีสัมมาทิฐิ..สัมมาสมาธิ เป็น มุมมองจากภายในออกไปข้างนอก

    ทั้งสองอย่างนี้จริงๆ แล้วมันก็เหมือนกัน เพียงแต่มองคนละด้าน ปฏิบัติไตรสิกขาอยู่พิจารณาให้ดีก็คือเจริญมรรคข้อใดๆ อยู่ เจริญมรรคอยู่ ก็ชือว่าเจริญไตรสิกขาอยู่

    แต่ไม่ว่าด้านไหน หากปฏิบัติให้ถูกจะต้องมีปัญญานำ ไม่เช่นนั้นไตรสิกขาจะไม่มั่นคงแนบแน่น อริยมรรคก็จะไม่บริบูรณ์ แต่เวลาสมบูรณ์น่ะมันจะสมบูรณ์ไปในแบบไตรสิกขา มีศีลสมบูรณ์ก่อน มีสมาธิสมบูรณ์ตามมา และมีปัญญาสมบูรณ์ในที่สุด

    การปฏิบัติเริ่มแรกก็เป็นสัมมาทิฐิแบบโลกียะก่อน เอามาจากไหนก็เอามาจากสุตตมยปัญญา ที่เราได้ยินได้ฟังมาก ทำให้รู้เห็นตามเป็นจริงตามตำรากันไปก่อน ตามพิสูจน์กันไปก่อน แต่พออีกหน่อยเราภาวนามากขึ้น ทั้งแบบสมถกรรมฐานอย่างเดียว หรือแบบวิปัสสนากรรมฐานอย่างเดียว หรือแบบผสมของทั้งสองอย่าง อินทรีย์ห้าก็จะค่อยๆ เพิ่มขึ้น ความรู้เห็นตามเห็นจริงก็จะคมชัดตามลำดับจนถึงที่สุด ตัดกิเลสขาดสมบูรณ์หมดทั้งไตรสิกขาและอริยมรรค อริยสัจจ์

    ขอให้เจริญในธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มิถุนายน 2009
  8. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    คุณ นิวรณ์ ผมเห็นคุณยกมานี่ประหลาดดีนะ

    ผมเข้าใจว่า คุณคิดว่าอะไร แต่ตั้งคำถามกับตัวเองดังนี้

    1 นาย นิวรณ์ ถึงนิพพานแล้วหรือ จึงได้กล่าวว่า ไม่มีอะไรในบั้นปลาย

    2 คำว่า จิตหลุดพ้นแล้วก็รู้ว่า หลุดพ้นแล้วดัง พุทธพจน์นี้ คุณคิดว่า จิตคืออะไร

    เรื่องนี้ คุณตีความไปว่า จิตนั้นเป็นวิญญาณ มันไม่ใช่ตัวนั้น ทีนี้ไม่ว่าใครจะให้เหตุผลอย่างไร คุณก็ไม่ฟัง

    คุณ ต้องมาดูว่า มันมีธรรมชาติหนึ่ง ที่เป็นตัวกำหนด ตัวรับ กรรมของตน และไม่มีวันเกิด ไม่มีวันดับ ดังหลวงตามหาบัวกล่าวไว้ชอบแล้วว่า จิตนั้นเป็นนักท่องเที่ยว ตัวนั้นแหละ คือ ตัวไม่เกิดไม่ตาย ทีนี้ แต่ปัญหามันมีอยู่ว่า จิตตัวนั้นมันโง่ มันก็เลยนึกว่าเกิดนึกว่า ตาย

    พอมากำจัดอวิชชาออกหมด มันก็เที่ยง เรียกว่าเป็นนิพพาน เป็นธรรมธาตุ นิพพานเที่ยงตรงนั้น
     
  9. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    หลวงปู่มั่นบอกว่า พระอรหันต์ เป็นวิสุทธิเทพ
    หลวงตามหาบัวว่า พระพุทธเจ้า และ พระอรหันตสาวก มาเป็นหนึ่งเดียวกันได้อย่างไร

    วุสิตัง พรัหมจริยัง กตังกรณียัง เป็นคำสอนของพระศาสดา กล่าวคือ พรหมจรรย์ ทำถึงที่สุดแล้ว ไม่มีกิจต้องทำต่อ

    ใครเป็นพรหมจรรย์ หรือ ดูให้ดี อย่าให้กิเลสมันหลอก

    ปัญหาคือ ตอนนี้ ให้คิดให้ตายก็ไม่รุ้ แต่ตัวเที่ยง ตัวจิตเที่ยงมันจะเผยออกตั้งแต่ โสดาบัน คือ เที่ยงอยู่ มีแต่ตัวที่ เกิดดับ นั้นดับไป แล้วตัวที่เที่ยงนี่ มันตัวอะไรหละ

    จริงๆ แล้ว ก็ไม่รุ้ว่าจะเรียกว่า อะไรหรอก แต่มันเป็น สภาพบุคคล สภาพของใจ เขาก็เรียกกันว่า จิตนั่นแหละ ดังนั้น

    แนวความคิดที่ว่า จิตนี้ เกิดดับ เมื่อดับไปแล้ว ไม่มีจิต แบบนี้เป็นมิจฉาทิฎฐิ เพราะจะเอา สมมติ มาให้เป็นวิมุตต แล้วพระศาสดาท่านจะค้นหาวิธีทำไม มันต้องเลิศเลอสุดยอด หลวงตามหาบัวว่า ก็มันจ้าอยู่นี่ ทั้งวันทั้งคืน พระศาสดาบอก แสงสว่างเกิดแล้ว
    มันไม่ใช่เรื่องของ ทัสนะเฝ่ยๆ แบบที่พูดกัน
     
  10. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    ทุติยกัสสัป สูตรที่ 2 เล่ม 7 บทที่ 223 สังยุตตนิกาย

    กัสสปเทวบุตร ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้ภาษิตคาถานี้ ในสำนักพระผุ้มีพระภาคว่า

    ภิกษุ พึงเป็นผู้เพ่งพินิจ มีจิตหลุกพ้นแล้ว พึงหวังธรรมอันไม่เป็นที่เกิดขึ้นแห่ง หฤทัย

    ข้อนี้ ตีความได้ชัดเจนที่สุด คือ ใจนี้ยังอยู่ แต่ ความเกิดความตาย เป็นการสมมติของผุ้คน

    ดังนั้น เมื่อเห็นใจดวงนี้ที่ไม่ไปเกิดไม่ไปตาย ไม่ตามสมมติ แล้ว ใจนี้ย่อมมีอยู่ในนิพพาน

    ดุจดังเช่น คนนอนหลับฝัน ก็คิดไปว่า เรามีชีวิตในแดนนั้น ทั้งๆ ที่จิตเราก้ไม่ตาย เราไปอยู่ไปตาย ตรงนั้น แล้วก็ตื่นขึ้น หมดตรงนี้ไปที่ใหม่ วนเวียนในสังสารวัฎ นี่คือ ความจริงว่า ใจนี้ไม่ได้ตาย

    ปฏิจสมุบาท นั้น คือ เรื่องของ สมมติก่อตัวทั้งสิ้น

    เอาเถอะ เอาไว้จะรู้เอง แต่ อย่าถามอะไรผมมาก เพราะยิ่งผมสร้างปัญญาให้พวกท่านมากเท่าไร จิตมันจะไม่อยุ่ในภพนี้ ขอทำกิจก่อน ไม่อยากจะอธิบายมาก
     
  11. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    อะไรลุง เมื่อวานไม่ได้ฟังเหรอ ไฟล์เสียงของหลวงพ่อสงบ

    ท่านกล่าวตอนท้ายๆ ว่า สุดท้าย "ไม่มี" "มี-ไม่มี" "ไม่มี-มี"

    แล้วท่านก็พูดว่า ไม่มีจิต แต่มีบางอย่างที่พ้นศัพท์จะไปบัญญัติ
    สมมติ แล้วท่านก็ว่า ไม่มีการจะไปสมมติขึ้นด้วย เพราะถ้าไป
    เรียกชื่อขึ้นมา ก็แปลว่า ไม่ใช่

    ไปฟังเอาเองนะ อย่ามายัดเยียดว่าผมพูดอยู่ เสียเวลาคุยกับ
    พวกนักท่องเที่ยว เล่นเกมส์หานิพพาน เป็นนักสะสมภพ

    * * * *

    ไหนๆ ก็ไหน ผมฟังแล้วที่หลวงพ่อสงบกล่าวถึง ข้อติดขัดนัดดูจิต

    1. กรณีกล้องวงจรปิด
    2. กรณีสบาย มันว่างๆ
    3. กรณีมัน ว้าง วาง ว้าง
    4. กรณีดูไม่ถึงพฤติจิต และจะตัดทอนคำสอนหลวงปู่ดูลย์ออก

    คืออะไร

    1. กรณีกล้องวงจรปิด : อันนี้คือ อาการเพ่งจ้อง ตรงนี้หลวงพ่อเตือนอยู่บ่อยๆอยู่แล้วสำหรับนักดูจิต

    2. กรณีสบาย มันว่างๆ : อันนี้คือ อาการจิตไปติดอากาสาวิญญตนะ ตรงนี้หลวงพ่อก็พูด
    ทุกครั้งที่เทศน์ โดยจะกล่าวไปถึงครูบาอาจารย์ที่แก้ธรรมให้ท่านตรงจุดนี้คือ หลวงตามหาบัวฯ

    3. กรณีมัน ว้าง วาง ว้าง : กรณีเนวสัญญานาสัญญาวิญญตนะ ตรงนี้หลวงพ่อจะพูด
    นานๆที เวลามีคนที่ภาวนาเก่งๆแบบมี วสีในฌาณไปฟังด้วย โดยพระที่สั่งให้หลวงพ่อ
    เจริญฌาณตัวนี้คือหลวงปู่เทสก์ แต่คนมาช่วยสอบอารมณ์คือหลวงตาจันทร์(ถ้าจำผิดขอ
    อภัย)ผู้เล็งอนาคตังสญาณมาจเอหลวงพ่อเดินทางผ่านมาแถวนั้น เลยให้ศิษย์มาเรียก เพื่อ
    ตรวจดูว่า ติดจนไปเผลอเห็นเป็นนิพพานหรือเปล่า พอตรวจกันแล้วว่าไม่ติด ท่านก็แสดง
    สภาวะธรรมที่ถูกต้องตรงทางให้กันและกันดู พอแสดงได้ก็ผ่าน

    4. ทุกวันนี้ก็ไม่เคยเห็นตัดทอนคำสอนแต่อย่างใด แถมพูดทุกครั้งที่เทศน์ ก็กรณีข้อ 2
    นั่นแหละ พูดถึงหลวงตามหาบัวเมื่อไหร่ ก็คือเตือนการติดขัดอรูปฌาณตัวนี้ ซึ่งก็แก้ด้วย
    การทำสมถะ บังคับให้จิตทำสมถะ ก็เหมือนที่หลวงตามหาบัวเล่าสอน และเหมือนที่
    หลวงพ่อสงบบอกวิธีแก้ หลวงพ่อปราโมทย์แก้ไปตั้งนานแล้ว

    *** กรณดูจิต แล้วจิตผลัดหลงไปติดอรูปฌาณโดยไม่รู้ตัว เพราะอินทรีย์อ่อน นอกจาก
    จะแก้ด้วยวิธีแนวหลวงตามหาบัว ที่ให้บริกรรมพุท-โธ แล้ว ซึ่งเหมาะกับคนที่สมาธิอ่อน
    หลวงพ่อปราโมทย์ยังสอนเพิ่มอีก 3 ทาง สำหรับคนที่มีอินรีย์ต่างกัน

    1. หากเป็นคนที่มีสมาธิมีฌาณดูกายได้ หลวงพ่อจะพูดให้เห็นว่า ใจมันอยู่นอกๆ มัน
    แปะอยู่ตรงจมูก เป็นนิมิตลมเกาะอยู่ เมื่อรู้ทันจิตก็จะเข้าฐานเอง แต่ถ้าคนนั้นมีโลภะมูล
    จิตรุนแรง ท่านก็จะให้เตือนเรื่องการเห็นนิมิต

    2. หากเป็นคนที่สมาธิมากขึ้นมาอีกดูเวทนาได้ ให้รู้ว่าจิตยินดีพอใจที่มันชอบอยู่ข้างนอก
    แล้วไม่ต้องดึงเข้ามาทันทีที่ระลึกเห็นว่าจิตยินดี อภิชญา โทมนัส มันจะเข้ามาเอง แต่ถ้า
    คนนั้นมีโลภะมูลจิตรุนแรง ท่านก็จะให้ไปใช่กายคตาแทน

    3. หากเป็นคนที่ดูจิตตรงๆ ท่านก็พูดง่ายๆว่า หลวงพ่อจะบอกว่า เห็นไหมมันไหลออก
    ไปข้างนอก จิตมันไหลไปไหลมา ออกไปจากฐาน ไม่อยู่ที่ฐาน แต่ถ้าคนนั้นมีโลภะมูล
    จิตรุนแรง ท่านก็จะให้เน้นการเจริญสติในชีวิตประจำวัน

    * * * *


    แต่ที่หลวงพ่อสงบไม่ทราบ พระปราโมทย์ไม่ได้ติดขัด แถมยังมีอุบายธรรมอีกมากในการ
    แก้ไข ที่ไม่ทราบก็คงเป็นเพราะ ศิษย์ที่ไปรายงาย รายงานได้ไม่ครบ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มิถุนายน 2009
  12. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    ไอ้นี่ แหละ ตัวปรามาสธรรมตัวดี เดี๋ยวมันจะรู้สึกเอง วันหนึ่งนะจินนี่ เตรียมผินหน้าไปทางตะวันออก แล้วขอขมาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้ดี
    อวดอุตริ ที่หนึ่ง
    ปัญญาน้อย ขยันมากที่หนึ่ง ควรประหารทิ้ง ดังวัชพืช ขึ้นในนาข้าว
    ขอตัว
     
  13. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    อ้าว ทำไมยังหวาดหวั่น ทางที่เห็นไม่ชัดหรือ
     
  14. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    เถียงมา นี่ได้อ่านข้างต้นบ้างไหม ไปอ่านให้ดีก่อน แล้วจะเถียงด้วยทิฎฐิมากก็ได้ แต่ให้จำอย่างที่ผมบอก
    แล้วก็ ไปสร้าง ฌาณ อันเป็นเครื่องอยู่ให้ได้ เพราะจิต พระเสขและปุถุชนนั้น ยังต้องกระเพื่อมด้วย สังโยชน์
    หากไม่มี ฌาณเป็นเครื่องอยู่ เอาแต่ทัสนะ มันก้ได้แต่ตามกิเลส
     
  15. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    คุณนิวรณ์ เขาเรียกว่า ประมาณตนเพื่อทำกิจ มันคนละเรื่องกับการหวาดหวั่น
     
  16. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">พระพุทธเจ้าข้า แม้หากรูปารมณ์ที่หยาบ ซึ่งจะพึงทราบชัดด้วยจักษุ ผ่านมาสู่คลองจักษุ
    ของภิกษุผู้มีจิตหลุดพ้นแล้วโดยชอบอย่างนี้ ก็ย่อมไม่ครอบงำจิตของภิกษุนั้นได้เลย จิตของ
    ภิกษุนั้นอันอารมณ์ไม่ทำให้เจือติดอยู่ได้ เป็นธรรมชาติตั้งมั่นไม่หวั่นไหว และภิกษุนั้นย่อม
    พิจารณาเห็นความเกิดและความดับของจิตนั้น.
    แม้หากสัททารมณ์ที่หยาบ ซึ่งจะพึงทราบชัดด้วยโสต ....
    แม้หากคันธารมณ์ที่หยาบ ซึ่งจะพึงทราบด้วยฆานะ ....
    แม้หากรสารมณ์ที่หยาบ ซึ่งจะพึงทราบด้วยชิวหา ....
    แม้หากโผฏฐัพพารมณ์ที่หยาบ ซึ่งจะพึงทราบชัดด้วยกาย ....
    แม้หากธรรมารมณ์ที่หยาบ ซึ่งจะพึงทราบชัดด้วยมโน ผ่านมาสู่คลองใจของภิกษุผู้มีจิต
    หลุดพ้นแล้วโดยชอบอย่างนี้ ก็ไม่ครอบงำจิตของภิกษุนั้นได้เลย จิตของภิกษุนั้นอันอารมณ์
    ไม่ทำให้เจือติดอยู่ได้ เป็นธรรมชาติตั้งมั่นไม่หวั่นไหว และภิกษุนั้นย่อมพิจารณาเห็นความเกิด
    และความดับของจิตนั้น ฉันนั้นเหมือนกันแล.
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    คุณกลับไปอ่านเองเถอะ ผมเห็นคำว่า จิต ที่ปรากฏในนี้ ผมก็เห็นไปตามนั้น

    ไม่ได้คิดไปในส่วนวิญญาณอะไรเลย นั่นมันเป็นอุปทานของคุณ ที่มองไม่พ้น
    วิญญาณ

    และเพราะมองพ้นความเป็นวิญญาณไม่เป็น จึงไม่รู้ว่า จิตเกิดดับ ที่ปรากฏในพระ
    สูตรนั้นแสดงตรงๆ ไม่ต้องตีความ ไม่ได้บกพร่องจนต้องไปเอาคำอะไรมาแทนแต่
    อย่างใด

    และเพราะ จิตเกิดดับ ของมันจริงๆ จึงไม่ถือว่ามีการสะสม การที่สิ่งหนึ่งมีก็เพราะมี
    สิ่งหนึ่งเป็นเหตุปัจจัยส่งต่อ แต่เมื่อหมดเหตุปัจจัยส่งต่อ ทุกอย่างก็ดับไปไม่เกิดอีก
    ซึ่งก็หมายถึง จิต ไม่เกิดอีก เพราะเข้านิพพานไปแล้ว ในนิพพานนั้นเป็นสภาพหมด
    เหตุปัจจัยโดยสมบูรณ์ ไม่มีสังขตธาตุใดจะไปปรากฏในนิพพานได้ นิพพานจึงเป็น
    สุขอย่างยิ่ง แต่ไม่ใช่ จิตโง่ลงมาเล่นเกมส์หานิพพาน แบบที่คุณเสนอแนวคิดจิตเที่ยง
    ขัดพุทธพจน์อยู่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มิถุนายน 2009
  17. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    สำหรับ การจะติดตรงนั้นตรงนี้ ถ้ามีสติคอยระลึก ว่าเรายังมีกิเลสแล้ว และ ใจเรายังกระเพื่อมแล้ว ไม่มีติด
    ตราบใดที่ยังเดิน มันก็ไม่ได้เรียกว่า นั่ง ฉันใด นักปฏิบัติที่ยังเจริญ ศีล สมาธิ ปัญญา ก็ได้ชื่อว่า ไม่ติดฉันนั้น
     
  18. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านจินฯที่รัก ผมหมดคำพูดจริงๆ
    สำหรับ โมฆะบุรุษอย่างท่าน
    ที่อ้างตัวว่าได้ซึ่งอะไรและคุยว่าเป็นสัมมาทิฐินั้น
    ท่านเอาอะไรมาอ้างหรือเอาอะไรมารับรอง หรือท่านอาจารย์รับรองให้

    แสดงว่าท่านและท่านอาจารย์ ทุกวันนี้แม้แต่พุทธพจน์ก็ยังไม่อยู่ในสายตา
    ท่านผู้หญิงน้อมนำเอาพุทธพจน์มาลงแท้ๆมีที่มามีที่ไปชัดเจน
    เป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป ท่านยังไม่เห็นด้วย

    แบบนี้ท่านยังกล้าที่จะอ้างตัวแอบแฝงเป็นชาวพุทธอีกหรือ
    คนต่างศาสนาเค้ามาเห็นเข้า คงหัวเราะเยาะเอาได้ว่า
    แม้แต่คำสอนของพระศาสดา ยังไม่เห็นด้วยเลย
    ทำไมไม่ไปตั้งตัวเป็นเจ้าลัทธิเสียเองหละ
    มาแฝงตัวเป็นเหลือบสูบเลือดพระศาสดาอยู่ได้

    ท่านจินฯที่รักครับ จำเอาไว้นะ ว่า
    สาวกและพระศาสดาย่อมไม่กล่าวขัดแย้งกัน
    ทำไม ทำไม ทำไม
    พ่อแม่ครูบาอาจารย์สายปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน
    ไม่กล่าวขัดแย้งกับจอมศาสดา

    เมื่อมีคนเมตตามาชี้ทางตรงต่อจอมศาสดาให้ไม่เอาไม่ว่า
    ยังคิดเอาเท้าเขี่ย(ดูถูกพุทธพจน์)ว่าไม่เห็นด้วย
    น่าละอายจริงๆที่ยังเชิดหน้าชูตาว่าเป็นชาวพุทธอยู่ได้อีกเหรอ

    ;aa24
     
  19. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    อนุโมทนาครับ ท่านผู้หญิง
    ผมขอนำไปใช้บ้างนะครับ
    ตรงตามสภาวธรรมโดยแท้
    ไม่เหมาะกับผู้ที่เกียจค้าน ที่เอาแต่ความสำราญทางความคิดเท่านั้น
    ให้ดูจิตคิดจนหัวแบะ เป็นเสี่ยงก็ยังคิดไม่ออกหรอกครับ

    ;aa24
     
  20. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านอาจานนิฯ ใครกันแน่ครับที่จะเป็นโมฆะบุรุษ
    ผมตอบได้แน่ๆว่าท่านสาติเป็นหนึ่งในนั้น
    ส่วนอีกหนึ่งนั้นไม่ต้องบอกออกไป ท่านก็รับไปเต็มๆแล้วครับ

    ผมไม่แปลกใจเลยจริงๆ ที่ท่านยกเรื่องสัสสตทิฐิ มาทำเป็นไฮไลท์
    โดยที่ไม่เคยรู้เลยว่าพระองค์ทรงเน้นย้ำให้เห็นว่าพวกที่ว่า
    "ผู้นั้นกระทำ, ผู้นั้นเสวย (ผล)" เป็นพวกที่คิดว่าโลกเที่ยง
    เช่นเห็นว่า เคยเป็นทุกข์อย่างไร ก็ได้รับผลอยู่อย่างนั้นไม่มีเปลี่ยนแปลง
    ไม่ว่าจะเกิดตายแล้วอีกกี่ภพกี่ชาติก็ตาม

    ขอที่เถอะท่านที่ยกอะไรมาแล้ว ควรเอาที่เค้าแก้อรรถมาประกอบด้วยสิ
    เตือนไม่รู้กี่ครั้ง ถ้าจะเป็นสันดอนไปแล้วจริงๆ

    สำหรับพวกที่มีความเห็นแบบที่เรียกว่า สัสสตทิฐิ นั้น
    ผมมีพุทธพจน์ที่แก้อรรถไว้ดังนี้

    อัตตาและโลกเที่ยง คงที่ตั้งอยู่มั่นดุจยอดภูเขา ตั้งอยู่มั่นดุจเสาระเนียด
    ส่วนเหล่าสัตว์นั้นย่อมแล่นไป ย่อมท่องเที่ยวไป ย่อมจุติ ย่อมเกิด
    แต่สิ่งที่เที่ยงเสมอคงมีอยู่แท้

    ;aa24
     

แชร์หน้านี้

Loading...