ความเข้าใจผิดๆ เรื่องจิต จิตไมใช่วิญญาณขันธ์ และวิญญาณขันธ์ก็ไม่ใช่จิต

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 10 กรกฎาคม 2009.

  1. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    เอาความรู้สึกจริงๆของผมตอนพิจารณานะครับอาจไม่ตรงตามที่หลวงลุงต้องการแต่ก็เป็นความรู้สึกของผมที่เกิดขึ้น เมื่อจิตสงบมีสติตั้งมั่น ในระดับแค่ไหนลุงรู้นะครับว่าต้องใช้สมาธิระดับไหน จิตมันจะพิจารณาแบบอัตโนมัติ ทุกครั้งที่พิจารณา ไม่ว่ารูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ซึ่งทั้งหมดเป็นองค์ประกอบกันขึ้นของสิ่งมีชีวิต ผมน้อมใจไปหาคำแรกคือ ไตรลักษณ์ แต่ผมยังมองไม่เห็นทุกข์ หรอกผมพิจารณาแค่ความเป็นรูปอันเป็นสภาพแห่งอนิจจัง ตามที่ลุงรู้เด๊ะเลย จากเกิด ไปจนหนุ่มสาวสวยโสภา ไปจนแก่เหี่ยวย่น ผมหงอกขาวร่วงหมดหัวแล้วก็ตาย สภาพนี้ทั้งหมดเกิดขึ้นตามสภาพความเป็นจริงแค่รูปครับตรงนี้ก็ยังไม่เห็นทุกข์ แต่พอพิจารณาเหมือนเดิมแต่เติมเวทนาเข้าไปเริ่มเห็นความรู้สึกว่าในรหว่างนั้นทุกข์สุขยังไง ยินดีไม่ยินดียังไงทำไมถึงเป็นอย่างนั้นจนหมดทุกจุดเริ่มเกิดความรู้สึกแล้วคือเริ่มสลดใจจากนั้นเติมสัญญาลงไปก็ทราบว่าที่ผ่านมาทั้งหมดที่เรามองเห็นนั้นแท้ที่จริงก็เป็นเพราะสัญญานั่นเองพิจารณาทุกจุดจนหมดตรงนี้ไม่สลดใจแล้วเพราะรู้ว่าที่จริงแล้วมันเป็นอย่างนี้ พอเติมสังขารลงไปอีกเห็นความแปรปรวนของความคิดมากมายเช่น ทำไมต้องทำแบบนั้นระลึกถึงภาพอดีตต่างๆพิจารณาจนหมดทุกจุด จากนั้นเติมต้นเหตุลงไปตอนแรกก็ไม่รู้หรอกว่าใช่ แต่บังเอิญมันถามตัวเองว่าแล้วมันรู้ได้ไงไอ้นี่รูป ไอ้นี่เวทนา ไอ้นีสัญญา และสังขาร พอครบทั้ง๕แล้วพิจารณาอีกครั้งหนึ่งก็เห็นว่า แท้ที่จริงมันไม่เคยเป็นอย่างเราต้องการเลย แปรเปลี่ยนสภาพไปเรื่อยๆจนถึงที่สุด ถึงตอนนี้เริ่มรู้แล้วว่าทำไมมันทุกข์นัก ยุ่งยากลำบากนัก พอถึงวาระสุดท้ายก็ว่างเปล่า ผมเห็นมันเป็นอย่างนี้ครับ คนอื่นผมไม่รู้ครับ สุดท้ายก็เกิดคำถามเมื่อมันไม่มีขันธทั้ง๕ มันก็ทำอะไรไม่ได้ มันว่าง มันวิ่งหา มันอยู่ไม่ได้ มันคืออะไรก็ไม่รู้ความรู้สึกมันว่าอย่างนั้นครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กรกฎาคม 2009
  2. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    ยังอยู่แค่สัญญา และสังขาร แต่ยังไม่เห็นตัวสัญญาและสังขาร
     
  3. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ใช่ครับลุงยังจำได้ใช่มัยครับที่ผมเคยถามว่า พอย้อนไปย้อมาหลายๆรอบ ความจริงก็คือหลายรอบครั้งหนึ่งจะสัก๕-๑๐ รอบ แต่รายละเอียดมันจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆครับ แล้วผมจะมาเล่าต่อว่าทำไมผมถึงตั้งประเด็นนั้นผมเห็นอะไรผมถึงแย้งเขาไป
     
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อ้างอิง:
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-RIGHT: 1px inset" class=alt2>ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ k.kwan [​IMG]
    คุณอ่านโพสท์ยังไง ตีความยังผิดเลย
    เราบอกว่า ใจ คือพระโยคาวจรเจ้า
    แต่เราไม่ใช่ เราอยู่ส่วนหนึ่ง ใจเราอยู่อีกส่วนหนึ่ง
    และใจ ก็ไม่ใช่ของเรา

    คุณไม่เข้าใจ ก็เป็นเรื่องของคุณ เราเข้าใจเรื่องของเรา ก็แล้วกัน


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    แล้วนี่คืออะไรคุณขวัญ

    อ้างอิง:
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-RIGHT: 1px inset" class=alt2>ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ k.kwan [​IMG]
    คุณเกสท์
    เรามีความเห็นว่า คุณอ่านธรรมของหลองพ่อชา แล้วคิดไม่เหมือนเราแน่นอน
    เรามีหน้าที่นิ่ง แค่รู้ คนที่พิจารณาธรรม ไม่ใช่เรา แต่คือ ใจของเรา
    ใจของเราคือพระโยคาวจรเจ้า เราบอกคุณได้แค่นี้


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    อ่านยังไงของคุณ 2โพสท์นั้น ก็คือความหมายเดียวกัน

    "เราบอกว่า ใจ คือพระโยคาวจรเจ้า
    แต่เราไม่ใช่ เราอยู่ส่วนหนึ่ง ใจเราอยู่อีกส่วนหนึ่ง"

    "ใจของเราคือพระโยคาวจรเจ้า เราบอกคุณได้แค่นี้"

    อ่านยังไงของคุณ
    ที่ใช้คำว่า ใจของเรา เพราะเรายังยึดอยู่ ถ้าวันไหนเราเห็นความจริงของ
    ขันธ์5 ด้วยใจได้ วันนั้นก็ไม่มีเรา ไม่มีใจของเรา พอไม่มีเรา ก็เหลือแต่ใจ เท่านั้น
    ตอนนี้เราเห็นใจไม่ใช่ของเรา ได้เป็นบางขณะ เมื่อมีสติ เราถึงรู้ว่าใจไม่ใช่ของเรา
    แต่สติที่เรามียังไม่พอที่ใจของเราจะรู้ความจริง เหมือนที่เราเห็น
    ถ้าคุณยังไม่เข้าใจอีก ก็เรื่องของคุณนะ ไม่ใช่เรื่องของเรา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กรกฎาคม 2009
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310

    รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
    เรารวมเรียกทั้งหมดย่อลงเหลือขันธ์5 คือ กายกับจิต
    เพราะปุถุชนอย่างเรา ไม่มีกำลังสมาธิ จะเห็นปฏิจสมุจปบาท ตามจริง
    ที่เราสามารถเห็นและพิจารณาได้คือ ขันธ์5 รูปนาม กาย+จิต กิเลสที่ครอบงำกายและจิต
    รวมเป็นการพิจารณาขันธ์5 ลงเป็นไตรลักษณ์ เนืองๆ
    เราทำผิดไปจากคำสอนของพระพุทธองค์หรือ ท่านผู้เจริญ
     
  6. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เราถามคุณหน่อยนะ ที่พวกคุณอบรมจิตใจจนดีแล้ว เที่ยงแล้ว
    คุณปล่อยจิตใจ ให้พิจารณาธรรม อย่างไร

    ที่เราเห็น มีแต่คนบอกว่า อย่าให้กิเลสจร เข้าครอบงำจิต
    ใช้กำลังฌาณตัดกิเลสทั้งนั้น ก่อนที่จิตจะมีโอกาสพิจารณาธรรมด้วยตนเอง
    มีไหม ที่จิตจะปล่อยวางขันธ์ได้ด้วยตัวจิตเอง

    เราเห็นอย่างนี้ เราจึงพูดว่า นี่คือการบังคับจิตไว้ ไม่ให้ปรุง
    ถ้าทำแบบนี้ ก็ต้องทำตลอดไปถูกไหม เพราะถ้าวันไหนปล่อยจิต
    ไม่ตามควบคุมจิต จิตก็จะไหลไปรวมกับกิเลสจร

    เราพูดจากความเข้าใจจากที่เห็น ถ้าคุณไม่ได้เป็นอย่างที่เราพูด
    ก็ถือว่าเราเข้าใจคุณผิดก็แล้วกัน
     
  7. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    สิ่งที่เห็นคือ ขวัญไม่ได้ศึกษาให้แท้จริง แล้วพูด เมื่อพูดผิด
    คนอื่นเขามาแก้ให้ ก็ไปตำหนิเขาว่าเขาไม่รู้เท่าตน

    เมื่อเขายกพระสูตรมา ก็ว่า เขาตีความต่างกับตน
    เมื่อเขา ยกคำครูบาอาจารย์มา ก็บอกว่า ตีความต่างกับตน

    แบบนี้ เรียกว่าผิดหรือถูกหละ ลองถามตัวเองซิ
     
  8. เกสท์

    เกสท์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    765
    ค่าพลัง:
    +18
    ทำยังกับใจเป็นโทรศัพท์มือถือ

    จะไปไหนก็ต้องพกใจไปด้วย เหมือนโทรศัพท์มือถือ
    เพราะเป็นใจของเรา แต่ไม่ใช่เรา

    เหมือนกับเป็นโทรศัพท์มือถือของเรา แต่โทรศัพท์ไม่ใช่เรา

    จินตนาการบรรเจิด อะไรอย่างนี้

    ผมเข้าใจหมดล่ะ แต่ปล่อยไป
    เพื่อให้คุณย้ำความหลงผิดของคุณอีกครั้งยังไง

    จินตนาการบรรเจิดจริง ๆ นะคุณขวัญ
    โธ่....น่าสงสาร
     
  9. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ใครมีบัตรประชาชนที่มีเลข 0 เลข 3 มารับซิมฟรีค่ะ

    [​IMG]

    ซิมแฮปปี้ คงกระพัน ไม่มีวันตาย
     
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เราถามว่า ตีความกันทุกคนใช่ไหม แต่ไม่ได้บอกว่าใครตีความถูกหรือผิด
    เราแค่เตือนว่าใช้ความคิดปุถุชนไปตีความธรรมระดับสูง มันจะพาหลง
    และไม่ได้บอกว่าเราตีความถูก แต่เราบอกว่า ตีความต่างกันเพราะความคิด
    ดังคำว่า พระไตรปิฎกเมื่อสถิตย์ในปุถุชน ย่อมถูกบิดเบือนเป็นสัทธรรมปฏิรูปทั้งนั้น
    ไม่เว้นแม้แต่ตัวเราเอง เราถึงไม่ยึดว่าที่เราคิดถูกต้องเสมอไป
    และไม่คิดว่าคนอื่นถูกหรือผิด เพราะรู้ว่าเป็นแค่ความคิดตีความ จะรู้ว่าถูกต้อง
    ก็ต่อเมื่อ ทำเอง รู้เอง เกิดมรรคจิต ผลจิต แท้จริง แล้วไปตรงกับคำสอน
    ในพระไตรฯ ค่อยเชื่อว่าเห็นพระธรรมจริง
    ทุกสิ่งที่เราพูด ก็มาจากประสบการณ์ที่เราปฏิบัติธรรม พิจารณาธรรม
    ถ้าจะผิด ก็เพราะ ยังทำไม่ได้ถูกต้องจนได้ผลถึงที่สุด
    คนที่ปฏิบัติมาทางเดียวกันกับเรา เขาก็เห็นภาพได้เหมือนเรา
    คุณไม่ได้ทำมาทางนี้ ไม่เห็นการปฏิบัติของเรา ก็ไม่แปลก
     
  11. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846

    ผมมีเยอะเลย 3 กับ 0 นี่
     
  12. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    be happy1

    ให้ไปอนุเสารียชัยฝั่ง รพ.พระมงกุฏนะ Happy รอแจก

    ขึ้นรถไฟฟ้า ให้ฟังเสียงปรมัตถ์เนือยๆ ดังแบบสมมติบัญญัติว่า

    " วิคโตรี โมนูเมนท์ "
     
  13. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    มันมีธรรม แบ่งเป็น 2 ด้วยหรือ ความจริงมันแบ่งเป็น 2 อย่างหรือ
    เพราะนิสัย พูดจาส่งเดชแบบนี้แหละ มันเลยทำให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้ง

    เพราะว่าพูดส่งเดช ทำให้เกิด ธรรมที่บิดเบือนไป
    ฝ่ายหนึ่งเขาเอาเหตุผลมา อีกฝ่ายหนึ่งยกเหตุผลมาโต้ไม่ได้ บอกว่า "คุณเห็นไม่เหมือนเราคุณเลยไม่รู้"

    คำพูดแบบนี้ ไม่เคยมีสาวกในพระศาสดา สอนคนแบบนี้

    มันก็ยิ่งก่อให้เกิด ความบาดหมางไปเรื่อยๆ เนื่องจากอะไร เนื่องจาก ฝ่ายที่อ้างตัวว่าดูจิตไม่หยุดพฤติกรรม ทั้งๆที่ตนไม่อาจจะยกเอาเหตุเอาผลอะไรมาค้านได้

    มากี่ทีก็พูดเรื่อยเปื่อย คราวนี้มันเกิดอะไรขึ้น มันเกิดว่า การที่เขาจะเผยแพร่ธรรมให้เป็นประโยชน์ต่อ สาธารณะชน มันก็เสียท่า เสียหาย เพราะว่า ปากและมือที่ไม่อยู่สุข ของพวกดูจิตนี่

    นี่พวกนี้ ขวางทางธรรม กรรมหนัก อ่านแล้วก็หัดพิจารณาหน่อย
     
  14. จีโอ14

    จีโอ14 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2009
    โพสต์:
    194
    ค่าพลัง:
    +262
    จะพิจารณายังงัยละคุณขันธ์ ก็ใจมันปิดซะมิด ลึก ๆ ก็กลัวความเป็นตนที่คิดมาตลอดว่าดีแล้วจะไม่มั่นคง โย้คลอนไปนะ
     
  15. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ก่อนหน้านี้ ได้ยินเสียงเด็กร้องแทน มันส์ดีนะ
     
  16. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    oishi_ แหม ช่างสังเกตุ จริงๆด้วย จะมีเสียงเด็กร้องก่อนเสมอ...
     
  17. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ได้มีจิตหลุดพ้นจากอาสวะ เพราะไม่ถือมั่นแล คำนี้จากท่านธรรมทูต ถูกที่สุดแต่ ไม่ถือมั่นในอะไรละ กาย หรือ จิต ใครอ่านแล้วไม่สงสัยบ้าง หรือคิดว่าการไม่ถือมั่นในขันธ์ทั้ง๕เรียกหลุดพ้น แต่ขันธ์ทั้ง๕ ดันไม่รวมกับจิตเข้าไปในความคิดของใครบางคนแล้วทีนี้จะทำไง ขันธ์ทั้ง๕ละได้แต่จิตละไม่ได้ ทำไงดีละ สละไม่ได้ ทิ้งไม่ได้ ทำไงดีละ
    เท่าที่อ่านมาทั้งหมดคือเราทุกคนกำลังติดอยู่ในสมมุติ เรื่องที่เล่าให้ลุงขันธ์ฟังเพราะว่าเรื่องของเรื่องคือการพิจารณาแบบปกติ เราเคยสังเกตไหมขณะที่เราพิจารณา รายละเอียดในแต่ละครั้งจะแตกต่างกันเปลี่ยนไปเรื่อยๆไม่เหมือนเดิมทุกครั้ง สาเหตุที่ไม่ได้สังเกตเพราะไม่มีสติกำหนดรู้ เหตุใดมันถึงละเอียดขึ้นเรื่อยๆและเหตุใดในแต่ละครั้งมันถึงไม่เหมือนกัน ถ้าใครมีสติกล้าแข็งพอลองตอบหน่อยสิครับ แล้วผมจะเล่าให้ลุงขันธ์ฟังต่อเมื่อจบแต่ผมบอกแล้วว่าชาตินี้เวลานี้จะยังไม่ก้าวไปในนั้นแน่นอน ขอแค่เห็นก็พอ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กรกฎาคม 2009
  18. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ผมว่าเราเลิกเถียงกันดีกว่า ทั้งหมด ๘๔๐๐๐ กว่าๆพระธรรมขันธ์ หลักการสรุปแล้ว รวมเป็น อริยสัจทั้ง๔ เพื่อความหลุดพ้น อริยะสัจ๔ มีได้เพราะ...และ...มีได้เพราะ...และอีกหลายขั้นตอน แต่มันมีสิ่งเดียวที่เป็นตัวแปรเท่านั้น เพราะถ้ามองเห็นสิ่งหนึ่ง อีกสิ่งหนึ่งก็ไม่มีความหมาย ผมจะไม่พูดมากเพราะแม้ท่านที่ใช้ชื่อว่าศรีอารยะใน บอร์ดนี้ยังมีความคิดตรงตามหลักการคือต้องปฏิบัติ ไม่ใช่เอาพระสูตรนั้นคำสอนคนนี้ ครูบารอาจารย์บ้างเพื่ออะไร สิ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านทราบ ท่านเห็นก็เป็นสิ่งที่ท่านพยายามจะทำให้เรามองเห็น แต่ต้องสังเกตอีกนั่นแหละ ไม่มีครูบาอาจารย์คนไหนเลยไม่ละไม่วาง อุปทาน ทั้งหมด แล้วจึงเห็นบางสิ่งที่ท่านทราบด้วยปัญญาญาณก็เมตตาหาคำสมมติ กล่าวขึ้น แต่คนเราก็ตีความว่ามันเป็นอย่างนั้นทั้งหมดมันเป็นอย่างนั้นไม่ต้องสงสัย อย่างนี้เรียกว่าปฏิบัติหรือ จำเอามาแล้วเรียบเรียงใหม่ให้ดูเหมือนของตัวเอง ยิ่งบาปใหญ่เลย นึกสภาพง่ายๆ สมัยตอนที่พระพุทธเจ้าของเราทุกคนเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ เป็นพระดาบส เห็นแม่เสือกำลังจะกินลูกของตัวเอง เห็นดังนั้นก็สั่งให้ลูกศิษย์ไปหาอาหารมาให้ เพื่อที่ไม่ให้ศิษย์เห็นเพราะรู้ว่ายังไงก็ไม่ทัน เมื่อลูกศิษย์ไปลับตาแล้วก็กระโดดลงจากหน้าผาลงมาที่หน้าแม่เสือพอดี ด้วยความหิวจึงละจากลูกตนมาที่ร่างของพระโพธิสัตว์ แล้วพระโพธิสัตว์ก็ไปจุติเป็นเทพที่สวรรค์ชั้นดุสิต
    แล้วทีนี้มาดูกัน คนที่อ่านมากรู้มากก็ดี ความหมาย ของคำว่า เกิด อุบัติ จุติ สามคำนี้มีความหมายอย่างไรตอบหน่อย อีกทั้ง ทราบไหมเหตุใดพระโพธิสัตว์ถึงกระโดดลงไปไม่คิดอะไรทั้งนั้น
     
  19. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    สมาธิสูตร จากความเห็นที่๑๐
    http://palungjit.org/threads/นามขันธ์กับจิตเดิมแท้นั้นต่างกันอย่างไร.196454/
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมาธิภาวนาอันบุคคลเจริญแล้ว
    กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นอาสวะเป็นไฉน

    ภิกษุในธรรมวินัยนี้ มีปรกติพิจารณาเห็น
    ความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปในอุปาทานขันธ์ ๕ อยู่ว่า
    รูปเป็นดังนี้ ความเกิดขึ้นแห่งรูปเป็นดังนี้
    ความดับแห่งรูปเป็นดังนี้
    เวทนาเป็นดังนี้ ความเกิดขึ้นแห่งเวทนาเป็นดังนี้
    ความดับแห่งเวทนาเป็นดังนี้
    สัญญาเป็นดังนี้ ความเกิดขึ้นแห่งสัญญาเป็นดังนี้
    ความดับแห่งสัญญาเป็นดังนี้ สังขารเป็นดังนี้
    ความเกิดขึ้นแห่งสังขารเป็นดังนี้
    ความดับแห่งสังขารเป็นดังนี้
    วิญญาณเป็นดังนี้ ความเกิดขึ้นแห่งวิญญาณเป็นดังนี้
    ความดับแห่งวิญญาณเป็นดังนี้

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมาธิภาวนานี้ อันบุคคล
    เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นอาสวะ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    สมาธิภาวนา ๔ ประการนี้แล

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง คำต่อไปนี้ เรากล่าวแล้ว
    ในปุณณปัญหาในปรายนวรรค หมายเอาข้อความนี้ว่า

    ความหวั่นไหวไม่มีแก่บุคคลใด ในโลกไหนๆ
    เพราะรู้ความสูงต่ำในโลก
    บุคคลนั้นเป็นผู้สงบปราศจากควันคือความโกรธ
    เป็นผู้ไม่มีความคับแค้น เป็นผู้หมดหวัง
    เรากล่าวว่า ข้ามชาติและชราได้แล้ว ฯ

    ++++++++

    ใคร??? พิจารณาเห็น ผู้เห็นวิญญาณหรือจิต???
    ความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปในอุปาทานขันธ์ ๕ อยู่ว่า
    เมื่อขันธ์๕เกิดขึ้นและเสื่อมไป วิญญาณก็อยู่ในขันธ์๕
    ย่อมเกิดขึ้นเสื่อมไปเช่นกัน เมื่อวิญญาณเสื่อมไป
    วิญญาณจะตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ด้วยหรือ???

    ก็สมาธิภาวนาอันบุคคลเจริญแล้ว
    อันบุคคลเจริญแล้ว คือ รูป-นาม(ขันธ์๕)ของภิกษุ
    หรือ จิตที่อาศัย(รูปนาม)ขันธ์๕???
    เมื่อขันธ์๕เกิดขึ้นเสื่อไป สมาธิตั้งลงที่ไหน???

    บุคคล เรา เขาเป็นสมมุติบัญญัติ มีไว้เรียกหาให้รู้ว่าใครเป็นใคร
    เมื่อบรรลุผลอะไรแล้ว คนอื่นจะได้มั่วไปไม่ได้
    ว่าเป็นของใครที่ได้รับผลจากการกระทำอันนั้น

    เมื่อมีผลอันเกิดจากการกระทำ
    ย่อมมีผู้รับผลอันได้กระทำแล้วนั้น

    ถึงจะอยากหรือไม่อยากก็ตาม
    เมื่อปล่อยวางความยึดถือได้แล้ว
    ย่อมบังเกิดผลพลอยได้ตามมานั่นเอง

    ;aa24
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กรกฎาคม 2009
  20. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ก็เข้าใจนะครับแต่ทำไมดูมันเป็นอัตตา ยึดมั่นถือมั่น ยังไงชอบกล เหมือนกับเรามองเห็นตัวเราในกระจกแล้วบอกว่านี่เรานี่ ใช่ไหม แล้วถ้าความจริงแล้วทั้งหมดเรียกว่าการสมมติละครับ เมื่อเรารู้ว่ามันเป็นการสมมตุเรายังจะสนใจมันอีกไหมครับ ว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นของเรา ส่วนเรื่องสมาธิ คำว่า สมาธิ หรือจิตตั้งมั่น ถ้าผมก็เห็นเป็นการเกิดดับมันจะเป็นยังไง ใช่ ถ้าท่านมองอย่างนั้นมันช้าเกินไป วิญญาณมันไวกว่านั้นมาก อาจจะประมาณหลายล้านกิโลเมตรต่อวินาทีเลยทีเดียว ลองนึกถึงไฟกระพริบสิครับเดี๊ยวมืดเดี๊ยวสว่าง ถ้าช้าก็จะเห็นการเคลื่อนไหวถ้าเร็วขึ้นๆเรื่อยละจะทราบไหมว่ามีการเคลื่อนไหวบางครั้งยังนึกว่ามันติดหรือมันเกิดอยู่ตลอดเวลาเลยทั้งที่ความจริงมันก็เกิดดับอยู่ตลอดเวลาเพียงแต่มันเร็วมากจนตาและความคิดมันจับไม่ได้ดังนั้นจึงต้องตั้งสติให้มั่นดังคำครูบาอาจารย์ที่ได้สั่งสอนไว้ยังไงครับ
    อย่าได้มีอกุศลจิตต่อกันเลยถือว่าแลกเปลี่ยนหรือแก้ไขในสิ่งที่ตนบกพร่องของแต่ละคน ผมก็อาจจะมีสิ่งบกพร่องอยู่เช่นกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กรกฎาคม 2009

แชร์หน้านี้

Loading...