ความเห็นจากความคิด (อาจไม่เหมือนคนอื่น) เป็นความเชื่อที่เข้าใจมาจากการอ่านและฟัง จิต เพียวๆ ที่เป็นธรรมธาตุที่หลวงตามหาบัวเทศน์ไว้ มีแต่ผู้สัมผัสนิพพานเท่านั้นถึงจะได้เห็น เช่น พระโสดาบัน ได้เห็น1ขณะ หรือ 2ขณะ เมื่อจิตหลุดพ้นจากอวิชชา แล้วก็คืนกลับสู่สถานะเดิม คือถูกอวิชชาหุ้มกลับเหมือนเดิม แต่ได้ชื่อว่าได้เห็นพระธรรมคือธรรมธาตุ คือ จิต ที่เป็นธรรม (อย่างเราเองที่เป็นปุถุชนย่อมไม่สามารถไปเห็นไปสัมผัสตรงนี้ได้ ไม่มีฐานะ ไม่มีโสภณเจตสิกที่ประกอบให้รู้สภาวะนี้) ถ้าเป็นปุถุชนก็มีผู้บรรลุรูปฌาณ อรูปฌาณ ก็ได้สัมผัสสภาวะที่ประกอบด้วยโสภณเจตสิกแต่ไม่ได้บรรลุธรรม ไม่ได้เข้าสู่โลกุตรภูมิ ไม่ได้เห็นพระนิพพานก็ไม่น่าจะได้เห็นจิตที่เป็นธรรมธาตุด้วย จึงมีเพียงพระอริยเจ้าทุกระดับชั้นเท่านั้น ที่ได้เคยสัมผัสพระนิพพาน ได้เห็นจิตที่เป็นธรรมธาตุ การที่ปุถุชนทรงอารมณ์พระนิพพานได้ก็เพราะได้สภาวะที่ประกอบด้วยโสภณเจตสิกจากการทรงฌาณ แต่ไม่ได้หมายถึงได้สัมผัสนิพพานของจริงเพราะจิตไม่ได้หลุดพ้นจากอวิชชา ไม่ได้รู้แจ้งอริยสัจ4 จิต ที่ปุถุชนทั้งที่มีรูปฌาณ อรูปฌาณ และไม่มีฌาณ ได้เห็นได้สัมผัส จึงเป็นจิตที่มีอวิชชาห่อหุ้มทั้งสิ้น จิตส่งออก ที่เป็นธรรมชาติของจิตที่ครองขันธ์ ประกอบด้วย จิต+เจตสิก ซึ่งปุถุชนและพระอริยเจ้าที่ครองขันธ์ ล้วนมีเช่นกัน แต่มีเจตสิก และโสภณเจตสิก ที่เกิดประกอบจิตส่งออกต่างกัน ก็ไม่รู้ว่าเข้าใจได้ถูกไหม แต่อ่านมาแล้วเข้าใจเป็นอย่างนี้ (เข้าใจไม่ได้แปลว่าทำได้ ต้องทำได้ก่อน ถึงจะเป็นการเข้าถึงความเป็นจริงที่เป็นของจริง)
ถ้ายัีงครองธาตุของขันธ์อยู่ ไม่ว่าปุถุชน หรือ พระอรหันต์ ย่อมต้องพบปะพูดคุยกับคนดี คนชั่วเป็นธรรมดาครับ สิ่งที่แตกต่าง ต่างกันที่จิตครับ จิตของปุถุชน ไม่ว่าคนดีหรือคนชั่วเข้ามาในบ้าน ปุถุชนจะสนทนาแล้วเข้าไปคลุกคลีตีโมงด้วย มีอารมณ์คละเคล้าไปกับแขกกับคนด้วย ส่วนพระอรหันต์ ท่านสนทนาแต่ท่านไม่ไปคลุกคลีตีโมงด้วย ไม่มีอารมณ์คละเคล้าไปกับการสนทนากับแขกกับคน ดั่งหยดน้ำบนใบบัวครับ
ลุงว่า ไม่ต้องเข้มแข็งมากก็รู้นะ ในกิเลสที่หยาบ ที่ละเอียดก็ค่อยว่าอีกทีหนึ่ง จิตมีหน้าที่รับรู้อารมณ์ ดังนั้นจิตก็จะรู้ทั้งอารมณ์ที่ดีหรือไม่ดีที่เข้ามา เปรียบเหมือนคนดีและคนไม่ดีที่เข้ามา บางคนก็จะเลือกเอาแต่คนดี คนไม่ดีก็อาจจะไล่ออกจากบ้านไป (เมื่อเราปฏิบัติไประยะหนึ่งจากที่ตัวเองทำและครูบาอาจรย์เราสอนนะ) คนดีและคนไม่ดีที่เข้ามาในจิตใจเราก็เพียงมาแวะเวียนหาพักหนึ่ง ถ้าเราไม่หลงปรุงแต่งไปตามมัน สักพักมันก็จะไป เรียกว่า เพียงรู้ว่านี่คนดีมานะ ก็รู้ไว้เฉยๆ คนชั่วมานะก็รู้แล้วเฉย ตั้งอยู่สักพักมันก็ดับไปนะ อย่าไปปรุงแต่งมันแล้วกัน ไม่ได้สอนไม่ได้เตือนใครนะเพราะไม่ได้เก่งขนาดจะเป็นอาจารย์ใคร เล่าให้อ่านเฉยๆ น่ะ หุ หุ หุ
อันนี้มันยังไม่ใช่การรู้และเข้าใจตามความเป็นจริงนะ เราจะไปคิดว่าไม่มีเรายังไงได้ ในเมื่อก้อนรูปมันก็ยืนขาสั่นอยู่นี่ ถ้าเราไปคิดแบบนั้นมันก็หลอกตัวเองเต็มๆนะซี ที่ว่าให้ทำความเข้าใจนั้นคือ ให้หมั่นฝึกสติให้ต่อเนื่อง เพื่อให้สติเขาเข้าไปเห็นทันอาการที่จิตของเราเข้าไปหลงความคิดจรที่เป็นเหตุแห่งความกลัวเหล่านั้นจนเกิดเป็นความกลัวขึ้นมาได้อย่างไร ให้เห็นตามความเป็นจริงจนเข้าใจชัดเจน ไม่ใช่ไปนั่งนึกนั่งคิดพิจารณาเอาแบบนั้น อันนั้นมันก็ยังไม่พ้นการหลงความคิดอยู่ดี เราต้องมาแยกมาคลายกระบวนการหลงความคิดตรงนี้ให้ออก วิญญาณมันเข้าไปหลงสัญญาและสังขารได้อย่างไร เราต้องมาทำความเข้าใจกับความจริงที่มันเกิดขึ้นตรงนี้ให้ได้ คลายขันธ์ ๕ ให้ได้นั่นแหละ ปัญญาตัวจริงจึงจะเกิด สัมมาทิฏฐิถึงจะเปิดทางให้เราเดินต่อไปได้เอง
<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->k.kwan<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2267878", true); </SCRIPT> สมาชิก .... คนนี้ เค้ามี ลูกเกาทันแบบ พีเดียเตอร์ มันล่องหนได้
อาการจิต อย่างหนึ่งอะ คุณจินนี่ (บางทีก็อยากรู้ว่าคิดถูกไหม เผื่อมีคนรู้จริงมาแก้ให้ แหะ แหะ) ไม่รู้เป็นอะไรเหมือนกัน บางอย่างต้องปล่อยให้คิดจนสงบไปเอง มันไม่ใช่ปัญญรู้ หรอก แต่เป็นการพิจารณา เรียกว่า ธรรมวิจัย ได้ไหม ไม่ได้คิดว่าความจริงจะเป็นอย่างนี้นะ แค่คิดว่า น่าจะเป็นอย่างนี้ ก็เลยเขียนความคิดออกมา อยากรู้ว่าจิตใจเรามันเข้าใจไปทางไหน คือ อ่านธรรมะ แล้วจิตมันสงสัย ก็เลยวิจัยเล่นๆ ตามปัญญาที่มันมี มันจะมีเรื่องให้สงสัยตลอด อะ แต่จะคิดทีละเรื่องนะ คิดจนจบ มันหยุดเอง เหมือนคิดจนสงบ ได้คำตอบที่พอใจก็เลิก แต่ไม่ได้ยึดว่าถูก เพราะรู้ว่า เป็นความคิดพิจารณา ไม่ใช่ปัญญารู้ แต่ก็ไม่ได้เป็นทุกเรื่องนะ บางเรื่องรู้ตัวว่าสงสัยแต่ก็ไม่ได้คิดต่อ เพราะมันไม่อยากคิดในเรื่องนั้นเอง
หากจิตไม่เข้มแข็ง ก็แย่น่ะซิลุง กระไรมาทบก็อ่อนไหวน่ะลุง จิตตั้งมั้นไว้ ตั้งมั้นไว้ .....อย่าโยกเยก.เนอะ ลุงแก่
ตอนนี้ สนใจเรื่องนิวรณ์ธรรม จิตใจมันชอบวิจัยเรื่องนี้อยู่ ที่เด่นตอนนี้ก็นิวรณ์เรื่อง สงสัย เริ่มจะรู้ทันมั่งละ จะสังเกตดูว่าตอนนี้ใจ มีสงสัย กับไม่มีสงสัย อยู่เนืองๆ ตอนสงสัย ก็รู้ทันบ้าง ไม่ทันบ้าง บางทีวิจัยเรื่องที่สงสัยไปจนจบถึงรู้ตัวว่า ที่ทำไปตั้งเยอะ เพราะจิตมีสงสัยแล้ววางไม่ลง จนกว่าจะหายสงสัยหรือรู้ตัว ถึงวางได้ ก็กลายเป็น สงบ โล่งจิต หมดสิ่งคอยกวนใจ
พูดจากใจ เลยนะลุง ใจมันชอบ ที่อธิบายนะ เข้าใจ แล้วเก็ท อ่านแล้ว สบายใจ เหมือนมีคนอื่นคิดเหมือนใจเรา มันก็เลย โดนใจ ใจมันก็อุทานเอง
ก็นั่นแหละ พูดแล้วก็ทิ้งไป ไม่ต้องไปยึดมัน ทุกอย่างมันไม่แน่ วันนี้ถูกใจ พรุ่งนี้ไม่ถูกใจ มันก็ไม่แน่นอนทั้งนั้นนะครับ แต่ถ้าอยากยึดก็ยึดไม่ได้อยู่ดี ก็บอกแล้วว่า ลม..ปาก
ก็เรื่องของมัน ธรรมชาติของจิตมันเป็นเช่นนั้น บังคับมันได้เหรอ แค่รู้ ก็พอแล้ว ถ้าจะให้ตั้งมั่นจริงๆลุงว่าต้องฝึกสติให้เข้มแข็งน่ะ กระทบปุ๊บ รู้ปั๊บ ได้ไวๆ มันก็ตั้งมั่นไปในตัวแหละ เอ..มันก็เรื่องเดียวกันนั่นแหละเนาะ หรือคนละเรื่องเดียวกัน หุ หุ หุ
ใจมันมีนิวรณ์ มันก็สงสัยได้ ใช่เปล่า พอวิจัยไปซักพักแล้ว เห็นตัวสงสัยมาได้ซักพักนึง ก็พอรู้ว่า สงสัย รู้ว่า สงสัย มันก็จบได้ ก็พอแล้ว แต่ที่หยิบธรรมที่สงสัยมาวิจัยต่อ เพราะ โลภอยากรู้เยอะๆ อยากรู้เรื่องที่ไม่รู้ รู้ว่า ถ้าอยากจบเร็วๆ อย่าโลภ อย่าอยากรู้เยอะ ตัดใจออกมาก็ได้จบเร็วขึ้น แต่ดูตัวโลภยังไม่ค่อยจะทัน จับสัญญาณไม่ได้ เราวิจัยตัวเองถูกไหม รู้แต่ว่าจะดูเรื่องที่เกิดที่ใจตรงหน้า แต่ดูไม่ทันมันจะไหลไปก่อน ดูสงสัยทัน แต่ดูโลภไม่ทันก็ไหล พอรู้ทันเรื่องโลภ ก็ไปหลงคิดเรื่องอื่นต่อ เพราะดูสงสัยไม่ทัน พอรู้ตัวว่าสงสัย เรื่องอื่นก็พาไปอีกแระ กว่าจะรู้ตัวก็ไหลอีกแล้ว คุณจินนี่ พี่รู้ถูกที่ไหม ถามความเห็นเพื่อประเทืองปัญญา
เหตุที่สงสัยก็เกิดจากนิวรณ์นั่นแหละ ให้รู้ว่า เมื่อสงสัยนิวรณ์เกิด หายสงสัย นิวรณ์ดับ หลวงพ่อสังวาลย์ เขมโก ท่านสอนมาแบบนี้ เอาแค่รู้ ไม่เอามาก รู้แล้วเฉย แค่นี้พอ นี่คุยให้อ่านเฉยๆนะ