ขอเชิญท่านที่มีความจงรักภักดีและเทิดทูนในสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย จงรักภักดี, 28 เมษายน 2009.

  1. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    พระเจ้ามังนรธาช่อคงเป็นพระสหายองค์หนึ่งในวัยเยาว์ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชนะคะ

    อย่างน้อยสายพระโลหิตครึ่งหนึ่งในพระวรกายพระเจ้ามังนรธาช่อเป็นราชวงศ์มังราย

    น่าจะอายุอ่อนกว่าสมเด็จฯท่านสัก 4-5 ปี เป็นนักเรียนเก่าหงสาวดียูนิเวอร์ซิตี้เหมือนๆกัน
    พระเจ้ามังนรธาช่อเป็นนักเรียนไป-กลับ สมเด็จฯท่านเป็นนักเรียนประจำ (คลายเครียดๆ)

    ตรงนี้ขอพูดถึงเรื่องอาญาทัพนิดหน่อย พระเจ้าบุเรงนองเองก็ทรงเข้มงวดมาก
    สมเด็จฯท่านทรงอาจได้เรียนรู้ความเข้มงวดนี้มาจากพระเจ้าบุเรงนองนะคะ

    เมื่อสงครามคราวนี้ (ล้อมกรุงศรีฯ ก่อนเสียกรุงครั้งที่ 1) เมื่อยกกองทัพมาตั้งล้อมกรุงศรีอยุธยาไว้ได้ทั้งสี่ด้านแล้ว พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองมีรับสั่งให้หาแม่ทัพนายกองทุกทัพเข้าเฝ้าแล้วตรัสว่า การรบกับกรุงศรีอยุธยานี้ใช้เวลาเพราะเป็นราชธานีใหญ่หลวง เอาสมุทรเป็นคูคันรอบ ดุจเขาพระสิเนรุราชอันมีแม่น้ำสีทันดรนทีรอบ การที่จะปล้นเอาเหมือนนครทั้งปวงนั้นมิได้ และซึ่งจะเอาอยุธยาคราวนี้ เราจะแต่งการเป็นงานปีจึงจะได้ ให้สั่งนายทัพนายกองทั้งนั้นว่า ตั้งมั่นไว้ก่อนอย่าเพ่อรบพุ่ง ให้แต่งกันออกลาดตระเวนหาข้าวไว้เป็นเสบียงให้ ไพร่พลพอกินไปได้ครบ ๑ ปี ถ้าหากนายทัพนายกองผู้ใดหาเสบียงพลนั้นไม่ครบถึงปีไซร้ จะให้ลงโทษแก่นายทัพนายกองถึงสิ้นชีวิต

    ทุกหมู่ ทุกกอง แต่งพลออกไปหาข้าว และ เสบียงอาหารได้จำนวนพอตามพระราชกำหนด ยกเว้นแต่หมวดมะโดด (ชื่อน่ารักดี...ทางสายธาตุ) ซึ่งเป็นข้าหลวงเดิมของพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอนด้วยซ้ำ หาเสบียงได้พอกินมิครบปี คงจะคิดว่าเป็นข้าเก่าเต่าเลี้ยง จึงไม่ค่อยสนใจพระบรมราชโองการเท่าใดนักคงจะถือว่าเป็นนายเก่า เมื่อถึงกำหนดเวลาหาข้าวและเสบียงได้ไม่ครบตามจำนวนมีผู้ฟ้องร้องขึ้นไป สอบสวนแล้วมีความผิดจริง พระเจ้าหงสาวดีมีรับสั่งให้ลงโทษถึงสิ้นชีวิต

    อีกคราวหนึ่ง ค่ายของพระยาเกียรติอันเป็นนายกอง กองทัพพระมหาอุปราชมังไชยสิงห์(มังเอิง) ถูกพระยาจักรรัตนนำพลทหารกรุงศรีอยุธยาจำนวนหนึ่งไม่มากมายอะไรนักเข้าตีหักค่าย แล้วเผาค่ายเสียหายไปประมาณหนึ่งเส้น แต่พระยาจักรรัตนถลำลึกเข้ากลางค่ายข้าศึกถูกจับเป็นได้ ถูกนำตัวไปถวายพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง

    พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองทรงพระพิโรธแก่พระยาเกียรติ ตรัสแก่พระมหาอุปราชมังไชยสิงห์ว่า พระยาเกียรติมีความผิดมิได้รักษาค่ายให้มั่น ปล่อยให้ชาวกรุงศรีอยุธยามาเผาเสียได้ มิลงโทษพระยาเกียรติด้วยประการใด

    พระมหาอุปราชามังไชยสิงห์(มังเอิง)กราบทูลว่า พระยาเกียรติเสียค่าย แต่ได้ตัวนายกองที่ถือพลออกมานั้น เป็นว่าโทษพระยาเกียรติ กลบลบ กันไปจึงมิได้ลงโทษ

    พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองทรงพระพิโรธพระมหาอุปราชามากตรัสว่า ถึงแม้นว่าพระยาเกียรติจับนายกองได้ก็ดี แต่ยังมิคุ้มโทษานุโทษ

    พระมหาอุปราชาเถียงสมเด็จพระราชบิดา ยืนยันที่ไม่เอาโทษพระยาเกียรตินั้นเพราะเห็นว่า ความดีคุ้มกันกับความผิดแล้ว คนเราก็มีพลาดกันบ้าง อะไรทำนองนั้น

    แต่พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองมิได้คิดอย่างนั้น กลับคิดไปว่าพระมหาอุปราชามังไชยสิงห์ไม่เอาพระทัยใส่ในการศึกสงคราม ตรัสบริภาษต่างๆ นานาแล้วมีรับสั่งว่า อย่าให้พระมหาอุปราชาอยู่บังคับการศึกเลย

    จงไปให้พ้นจะไปแห่งใดก็ได้ตามใจเถิด ให้เอาแต่ช้างไปตัวหนึ่ง เอาคนขี่ท้าย กลาง ไปด้วย กว่านั้นอย่าเอาไป แล้วมีรับสั่งให้ลงโทษพระยาเกียรติถึงสิ้นชีวิต

    พระมหาอุปราชามังไชยสิงห์(มังเอิง) องค์รัชทายาท มิรู้จะทำฉันใด จึงไปหาพระมหาธรรมราชา เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟัง แล้วขอร้องให้ไปทูลขอพระราชทานอภัยให้

    พระมหาธรรมราชาก็รีบขึ้นไปเฝ้า ทูลขอโทษพระมหาอุปราชาพระเจ้าหงสาวดีก็โปรดยกโทษให้

    จะเห็นว่า อาญาศึกในกองทัพนั้เนรุนแรงมากในสมัยนั้น ผิดนิด ผิดหน่อย ตายสถานเดียว และ ในเวลาอีกไม่นานต่อมา ในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช คราวสงครามยุทธหัตถี ชนช้างกับพระมหาอุปราชามังกะยอชวา(มังสามเกียด)

    สมเด็จพระนเรศวร กับ สมเด็จพระเอกาทศรถ ถลำช้างเข้าไปในกลางกองทัพข้าศึกแต่เพียงลำพังกับจตุรงคบาท จนได้กระทำยุทธหัตถีและมีชัยชนะในคราวนั้น

    แต่พอเสร็จศึกแล้ว แม่ทัพนายกองหลายนายถูกลงโทษประหารชีวิต ดีที่สมเด็จพระสังฆราชพระพนรัตน์บิณฑบาตชีวิตไว้

    อาญาทัพสมัยก่อนร้ายแรงมาก ในสามก๊กก็เคยอ่านเจอประมาณว่า สั่งให้ทำแล้วไม่ทำ ให้ฆ่า สั่งให้ไม่ทำแล้วทำ ให้ฆ่า บอกให้รุกแล้วไม่รุก ให้ฆ่า บอกให้ถอยแล้วไม่ถอย ให้ฆ่า ประมาณนี้เลย โทษคือประหารอย่างเดียว
     
  2. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    ....."คิดว่าจะลองลำดับเหตุการณ์ในนครเชียงใหม่ในช่วง พ.ศ. ๒๐๘๘-๒๑๑๒

    ว่าพระเจ้าเกษแก้วเป็นพระบิดาหรือพระราชสวามีของพระนางจิระประภากันแน่ งง งง ค่ะ

    พระเจ้าเกษแก้วครองเมืองเชียงใหม่ พ.ศ. ๒๐๖๘ - ๒๐๘๘

    พระนางจิระประภาครองเชียงใหม่ต่อมาอีกปีเศษ พ.ศ. ๒๐๘๘ - ๒๐๘๙๙

    จากนั้นก็ให้หลานยายคือพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช(เจ้าจากล้านช้าง)ครองต่ออีกประมาณ2ปี

    พ.ศ. ๒๐๘๙-๒๐๙๑ ตอนนที่มาครองเชียงใหม่ พงศาวดารบอกว่าพระเจ้าไชษเชษฐาธิราชอายุ 12

    ท่านก็น่าจะเกิดปี พ.ศ.๒๐๗๗ พระมารดาของพระเจ้าไชษเชษฐานี้เขาว่าเป็นพระธิดาพระเจ้าเกศแก้ว ".....


    -พยายามจะหาข้อมูลมาช่วยสนับสนุนคุณทางสาย
    ธาตุครับ มีหนังสือเกร็ดพงศาวดารล้านนา ของคุณ
    ลำจุล ฮวบเจริญ ที่ซื้อหาไว้นานแล้ว เท่าที่ปรากฎ
    เป็นหลักฐานก็มีดังนี้ครับ

    พระเมืองเกษเกล้า (พระเมืองเกษเชษฐราช) เป็น
    เจ้าผู้ครองนครลำดับที่ 12 แห่งราชวงศ์มังราย ครอง
    นครเชียงใหม่ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2069 - พ.ศ. 2081

    พระเมืองเกษเกล้าขึ้นครองนครเชียงใหม่ ครั้งที่ 2
    พ.ศ. 2086 - 2088 เป็นเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่
    ที่14 ทิวงคต พ.ศ. 2088

    แล้วเกิดเหตุจลาจลจนเกิดศึกกลางเมืองเชียงใหม่
    เมื่อเหตุการณ์สงบกลุ่มเจ้าขุนพร้อมใจกันไปอัญเชิญ
    พระนางมหาเทวีเจ้าจิรประภาพระธิดาพระเมืองเกษ
    เกล้า ขึ้นเป็นนางพญาครองเมืองนพบุรีศรีนครพิงค์
    เชียงใหม่เป็นการชั่วคราว เพื่อมิให้เมืองว่างกษัตริย์

    ในช่วงที่เชียงใหม่เกิดเหตุจลาจล ทางหลวงพระบาง
    ก็ได้รับการร้องขอให้ช่วย จึงส่งพระไชยเชษฐา (พระ
    มารดาเป็นพระธิดา พระเมืองเกษเกล้า ) ขึ้นมาครอง
    เชียงใหม่ เมื่อสมเด็จพระไชยเชษฐาถึงเมืองเชียงใหม่
    พระนางมหาเทวีเจ้าจิรประภาให้การต้อนรับพระญาติ
    อย่างดียิ่ง แล้วทรงยินยอมสละบัลลังก์ให้ด้วยความเต็ม
    พระทัยยิ่ง พระนางจิรประภา จึงเป็นเจ้าผู้ครองนครเชียง
    ใหม่ ลำดับที่ 15

    พระไชยเชษฐา เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ ที่ 16 พ.ศ.
    2089 - พ.ศ. 2090 พระนามเดิม เจ้าเชษฐาวงศ์
    มีพระมารดาชื่อนางยอดคำทิพ (พระนางหอสูง) เป็นธิดาพระเมืองเกษเกล้าเจ้านครเชียงใหม่ พระไชยเชษฐาได้อภิเษกราชธิดาทั้งสองของพระเจ้าเชียงใหม่ คือพระนาง
    ตนทิพและพระนางตนคำเป็นอัครมเหสีฝ่ายขวาและซ้าย
     
  3. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    รอคุณจงรักภักดี เรื่องนี้น่าสนใจค่ะ แต่ขาดความรู้

    ทำไมพระไชษเชษฐาธิราชมีพระธิดาชื่อพระนางตนทิพกับพระนางตนคำล่ะคะ

    พอดีอ่านเจอว่ามีพระธิดาชื่อ พระนางเสริม พระนางสุก พระนางใส

    ทั้งสามมีใจเป็นกุศลสร้างพระชื่อ พระเสริม พระสุก พระใส

    คือพงศาวดารทั้งล้านนาและล้านช้างเกี่ยวดองกันอยู่

    นี่ยังไม่รวมพงศาวดารจีนเพราะอ่านหนังสือจีนไม่ได้นะคะ

    ถ้าอ่านได้จะตลุยอ่านไปแล้ว ติดขัดเรื่องภาษาค่ะ

    ----------------------------------------------------

    ปูเสื่อ รออ่านพงศาวดารล้านนา ..........

    ----------------------------------------------------

    ขอลง ย้อนรอยกรรม ตำนานพระสุพรรณกัลยา

    ทางสายธาตุคิดว่าพระพี่นางคงปวดร้าวในพระทัยทุกคืนวันที่ต้องประทับอยู่ที่หงสา

    และเจ้านายฝ่ายในทั้งหลายด้วยนะคะ มีข่าวว่าพม่าเจอหลุมฝังกระดูกพระศพเจ้านายฝ่ายใน

    แต่ไม่ยอมให้ใครเข้าไปขุด เห็นบอกว่าเจอเครื่องราชูปโภค พระโกศที่มีลายเป็นไทยๆด้วย

    แต่เขาปิดข่าวเพราะไม่อยากให้ใครเข้าไปเห็นทรัพย์สมบัติเหล่านั้นค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กุมภาพันธ์ 2010
  4. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ย้อนรอยกรรม ตำนานพระสุพรรณกัลยา (ต่อ)

    คัดมาจากหนังสือ .. "ย้อนรอยกรรม ตำนานพระสุพรรณกัลยา"
    .. เขียนโดย หลวงปู่โง่น โสรโย (หน้า 37-42)


    ได้เทพสุนัขแสนรู้เป็นเพื่อนใจ


    [​IMG]

    ในตลอดรัตติกาลคืนนั้น เรามุ่งมั่นทำความเพียรทางจิต แบบเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ไม่ขบฉันอะไร มาได้สองวันแล้ว แต่ก็ไม่หิวไม่เหนื่อย เพราะตั้งใจว่า อีกสองวันข้างหน้า ก็จะออกเดินทางต่อไป หรือถ้าจะอยู่ไปอีก คงไม่ได้แน่ คนชักจะรู้ว่า มีพระปฏิบัติมาพำนักอยู่ แล้วก็จะเฮโลหลั่งไหลมาหา ขอของดี ของขลัง ฟังเทศน์ ฟังธรรม ให้ยุ่งอีก พอรุ่งสางแดดอ่อนๆ ตอนเช้า มองเข้าไปทางชายป่า เห็นหมาตัวโตตัวหนึ่งวิ่งตามทาง อันเป็นที่ที่ นายพรานหิรัญ ออกมานั่นเอง มันวิ่งมาหาข้าพเจ้าอย่างรีบร้อน พอมาถึง มันก็ทำกิริยาท่าทาง เหมือนรู้จักมักคุ้น กันมาก่อน แสดงความเป็นมิตร ชิดชอบ มันแสดงความดีใจ ทำเสียงครึ่งเห่าครึ่งร้อง ใช้ลิ้นเลียแข้ง เลียขา เลียหน้า เลียหัว และเลียไปทั่วตัว เราก็ไม่ว่า ไม่ห้ามมัน เพราะนิสัยเรารักหมาอยู่แล้ว และรักมากกว่าคนเสียอีก เพราะชีวิตเรา อยู่มาได้เพราะหมา

    ตั้งแต่ตอนเล็กๆ ยังเป็นเด็ก โยมแม่เล่าให้ฟังว่า เอ็งต้องรักหมา เลี้ยงหมาเน้อ เพราะหมามันมี บุญคุณกับเอ็ง ตั้งแต่วันแรกเกิด คือวันแม่คลอดเอ็งออกมา แต่แม่ฝันไปว่า มีพญากาเผือก กาขาวบินมาจับบ่าแม่ หลายครั้ง ซึ่งแม่ก็ไม่เคยเห็น แต่เจ้าอยู่ในท้องแม่นาน แม่ไม่รู้ตัว เพราะอุ้มท้องมาได้สิบสองเดือน มีคนอื่นเขาถามแม่ว่า นี่มันจะสร้างบ้าน สร้างเรือนอยู่ในท้องของแม่หรืออย่างไร ทำไมไม่ออกมาสักที แม่ก็ตอบเขาว่า มันก็ดิ้นทุกๆ วัน วันละหลายๆ ครั้ง แต่ก็ชอบกลนะลูก ตอนแกอยู่ในท้องนั้น แม่สุขภาพดี เงินทองไหลมาเทมา แม่ค้าขายอะไร มีคนรัก และเมตตา คนซื้อของเกือบทุกราย ไม่เอาเงินทอน แม่จึงเก็บหอมรอมริบไว้ได้หลายสิบชั่ง

    แม่ออกไปนั่งปัสสาวะบนแพ เพราะบ้านเราเป็นเรือนแพ อยู่บนกระแสน้ำ สองสายมารวมกัน แม่น้ำปิง กับแม่น้ำน่านที่ปากน้ำโพนี่เอง ขณะที่น้ำปัสสาว ะมันไหลออก แกก็ออกไปด้วย ตกลงไปในน้ำ จุ๋มไปเลยโดยไม่รู้ตัว ขณะนั้นสุนัขคู่ใจของพ่อเจ้า ชื่ออ้ายเก่ง มันกระโจน ลงไป คาบขาเจ้าขึ้นมา ด้วยความรวดเร็ว ได้ยินเสียงเจ้า ร้องอุแว้ อุแว้ อยู่ในปากหมา พ่อเจ้ากระโจนมารับเอาไว้ ดังนั้น เจ้าจึงมีแผลเป็น อยู่ที่โคนขาข้างขวา เพราะรอยแผล จากเขี้ยวหมาอ้ายเก่งนั้นเอง มันเก่งสมชื่อ ถ้าไม่มีมัน ลูกก็จมน้ำตายไปแล้ว ดังนั้นเจ้าอย่ารังเกียจหมานะ ให้ถือว่าหมาช่วยชีวิตเจ้าไว้ หมาหนึ่ง อีกาหนึ่งลูกต้องรักมัน


    อันสุนัขตัวที่วิ่งมาหา แล้วเลียแข้ง ขา หน้าตานั้นเป็นพันธุ์ใหญ่ ดูแล้วคงจะเป็นพันธุ์ผสม ระหว่าง เกรดเดน กับรอดไวเล่อร์ เพราะความโตของมันนั้นเอง หมาชาวบ้านจึงไม่กล้าแหยม เพราะมันใหญ่โต สูงเกือบเพียงสะเอว แต่ไม่ดุร้าย ซึ่งเว้นไว้แต่มีใครมาวุ่นวาย กับเจ้าของมัน ในเรื่องไม่ชอบมาพากล มันจะเข้ามาขวาง ทำตาเขม็งใส่ แล้วคำรามหื่อๆ ใส่ทันที แล้วก็นอนขวางไว้ ทำสายตาไม่เป็นมิตรกับเขาเลย

    เราพามันอยู่ที่นั่นต่ออีกสองวัน ก็ออกเดินทางต่อ ทำการประทักษิณ บูชาพระธาตุเจดีย์ พระแม่ธรณี แล้วอธิษฐานว่า ถ้าสุนัขคือเจ้าเก่ง ที่ข้าตั้งชื่อให้ใหม่นี้ มันมีชีวิต จิตวิญญาณของนายพรานป่า ที่ใช้ให้มา โดยท่านมี เจตนาดีกับเรา สิงอยู่ในจิตวิญญาณ ของเจ้าเก่งนี่แล้ว ให้มันนำพา ช่วยอารักขาให้เราไปถูกเส้นทาง ที่ท่านนักรบ ผู้ยิ่งใหญ่ ได้ผ่านมาสมัยก่อนเถิด และอย่าเกิดอุปสรรคใดๆ ในการเดินทางเลย อันความอธิษฐานก็สมความตั้งใจ เจ้าหมาแสนรู้คู่ใจ นำพาออกเดินทาง ข้ามภูเขาตะนาวศรี ขึ้นภูผาที่สูงชั้น ซึ่งก็ดูเป็นรูปทางเก่า สมัยโบราณท่านเดินผ่าน หรืออาจจะเป็นแนวทางยกทัพมา เพื่อมาติดต่อค้าขาย หรือรบรากัน หลังจากตกเป็นเมืองขึ้นกัน สมัยโบราณ เจ้าเก่ง สุนัขแสนรู้ มันเดินและวิ่งออกหน้า เพื่อตรวจตราดูความปลอดภัย ในการเดินทางของเรา ถ้าเห็นว่า ไม่น่าไว้ใจ มันก็รีบกลับมาเตือน ยืนขวางทางเอาไว้


    บางแห่งต้องเดินผ่านป่าลึก ใช้เวลาเป็นวันๆ จึงจะถึงบ้านคน เมื่อเราเหนื่อย เมื่อยล้า มันจะเข้ามาหา เดินวนไปวนมาอยู่รอบๆ ตัวเรา บางแห่งเรานอนพักเอาแรงกลางวัน มันจะเข้ามาหา แล้ว เกลือกกลั้วไสไปมา ด้วยปลายคาง มันชำเลืองมอบรัก ด้วยสายตา มันเห็นว่า เราเปล่าเปลี่ยว และว้าเหว่ มันเดินเร่ ทำเริงร่าเข้ามาหา มันส่งรักประจักษ์จิต ด้วยสายตา ให้เราได้รู้ว่า ตัวข้ายังมีมัน (คือเจ้าเก่ง) เราเดินผ่านป่า เข้าป่า พวกสัตว์ป่าก็มาก จึงได้ยินแต่เสียงวิหคนกร้องอยู่ทั่วไป เสียงจักจั่น เรไร ไก่ขันสนั่นดง ผ่านไพรพงดงใหญ่ไกล จากบ้าน จิตเบิกบานวิเวกใจในไพรสณฑ์ ผ่านหมู่บ้านของชาวเขาเผ่าต่างๆ เช่น กระเหรี่ยง แม้ว มอญ เหย้า ขมุ มูเซอ ไทยใหญ่ กระทั่งเจอคนป่า ที่เขาเรียกว่า เงาะป่า ตัวเตี้ย ตัวเล็ก ผมหยิก และผ่านโขลงช้าง สัตว์ป่านานาชนิด เดินข้าม เขาลงห้วย ลงเหวลูกแล้วลูกอีก


    คนชาวเขาแต่ละกลุ่ม เขาจะนับถือลัทธิศาสนาต่างๆ กัน เช่นพวกแม้ว เหย้า ขมุ เขานับถือผี วิญญาณของบรรพบุรุษ จะมีการเซ่นไหว้ มีบรรพบุรุษ เป็นการแสดงความจงรักภักดี เราเชียร์เขาว่าดี เพราะได้กตัญญู ต่อผู้มีบุญคุณ บางพวกนับถือผีฟ้า ผีแถน ก็โอเคกับเขาว่า ผีฟ้าเขาอยู่สูง เขาอยู่บนฟ้า เขาให้ความสุข เพราะให้ฝนตกลงมา ให้พสุธาชุ่มชื่น ส่วนพวกนับถือคริสต์ ก็สรรเสริญเขาว่า พระผู้ให้กำเนิดของคริสต์ นั้นคือพระ เป็นเจ้า พระยะโฮวา ผู้ทรงมีเมตตา แก่สัตว์โลก และเป็นผู้สร้างโลก มาให้เราได้อาศัยดีแล้ว

    พระคริสต์ท่านเป็นพระ นักเสียสละ อันพวกนับถือศาสนาอิสลาม ก็อนุโมทนา ในคำสอนของพระคำภีร์อัลเลาะ ท่านสอนนักสอนหนาว่า การใส่ร้าย ป้ายสี ติฉิน นินทาคนอื่น เป็นบาปหนัก ตกนรกหมกไหม้ และอย่างอื่น ท่านไม่ให้เอารัดเอาเปรียบกัน ออกเงินตกดอกเบี้ย ไม่ได้ เล่นแชร์ เล่นหวยไม่ได้ รับสินบนไม่ได้ ผิดคำสอนของพระเป็นเจ้า บาปหนักอีกเช่นกัน ให้ทุกคนต้องถือศีลบวช บวชเพื่อถือศีลอด ให้อดข้าว อดน้ำไม่ดื่ม ไม่กินอะไรเลย ให้รู้ว่าความอดอยากโหยหิว ไม่มีอันจะกินนั้น ก็เป็นเช่นกันกับคนอื่น จะได้เสียสละ สงเคราะห์ผู้อื่นที่ตกยาก นับว่าคำสอนของพระอัลเลาะ ในคำภีร์อัลกุระอ่านนั้น ประเสริฐแท้ ที่สอน ให้มนุษย์โลก อยู่ร่วมกันโดยสันติสุข ไม่ให้เอารัดเอาเปรียบกัน


    ส่วนพวกนับถือผีป่า ผีฟ้า ผีแถน ตลอดสารพัดผี ตามประเพณี และลัทธิของชุมชนเผ่าต่างนั้น ก็อนุโมทนาตามเขา เราไม่ห้าม แถมยังยกยอเขาอีกว่า คบกับผี บูชาผี ดีกว่าคบกับคน พวกเนรคุณ เพราะผีเชื่อง่าย สอนง่าย กินง่าย ดูแต่เราเอาแกลบ เปลือกข้าวใส่กระบอก ใส่ไห แล้ว บอกว่าเป็นสุรา มันยังเชื่อ เอาดินเหนียวมาปั้น เป็นรูปม้า รูปช้าง รูปคนไปเซ่นไหว้มัน มันก็เอา รวมความว่า พวกผี พวกวิญญาณ เทวดาเป็นพวกที่ซื่อสัตย์ น่ารัก น่าเอ็นดู คบง่าย จึงให้กราบไหว้ไปเถอะ จะได้มีที่พึ่งทางใจ บางแห่งก็ พบกับพวกนับถือพระศิวะ (ศิวลึงค์) ก็เชียร์เขาว่าดี ถ้าคนเราไม่มีอ้ายเจ้านี่ โลกมนุษย์ก็จะไม่มี และบางที่ บางแห่ง ก็ต้องโง่ ว่าเขามีวิธีการอย่างไร เขาจึงพากันปลุกเสก เจ้าปลัดขิกนี้ให้ลอยน้ำ วิ่งไล่กันได้ เขาก็สอนให้ แต่ต้องยกครู ให้เขา คิดเป็นเงินไทยหนึ่งเฟื้อง คือสิบสองสตางค์ บางแห่งเขานับถือเจ้าแม่กาลี (คืออีเป๋อ)


    ก็ทำการศึกษากับเขาไป โดยทำตัวเป็นคนใบ้ก็ได้ โง่ก็เป็น โดยถือคติว่า (โง่ไม่เป็น เป็นใหญ่ยาก โง่ไม่เป็น จะฉลาดยาก) เราไปแบบเข้าเมือง ตาหลิ่ว ก็ต้องหลิ่วตาตาม เข้าเมืองคนงาม ก็ต้องสงบเสงี่ยม เจียมตัวหัวเราะ และยิ้มเอาไว้ จะไปได้ปลอดภัย การเดินทางข้ามเทือกเขาตะนาวศรี อันสลับซับซ้อน ลูกแล้วลูกเล่า ใช้เวลาถึงห้าวัน จึงถึงเมืองทานบยูซายัด (Thanbyuzat) อยู่ตอนเหนือ ของเมืองตะนาวศรี เลียบชายฝั่งทะเลอันดามัน อีกสามวันถึงเมืองมูดอน (Mudon) จากเมืองมูดอน ถึงเมืองมะละแหม่งใช้เวลา 5 วัน (ที่เมืองมะละแหม่งนี้เอง มีพระธาตุอินทร์ แขวนตั้งอยู่)


    <TABLE class=ncode_imageresizer_warning id=ncode_imageresizer_warning_6 width=238><TBODY><TR><TD class=td1 width=20></TD><TD class=td2 unselectable="on"></TD></TR></TBODY></TABLE>[​IMG]


    แต่ภาษา อังกฤษเขาเขียนว่า (Moulmein) เราพักอยู่ที่เมืองมะละแหม่ง 10 วันเพื่อพิสูจน์ ค้นคว้าด้านวิญญาณ ประวัติศาสตร์ว่า พระเจ้าอุทุมพรมาสวรรคตที่นี้ จากมะละแหม่ง ตามสายน้ำสาละวิน ร่วมกับแม่น้ำสโตง อีกสองวันถึงเมืองบาอัน (Pa An) จากบาอัน ข้ามแม่น้ำสาละวิน ไปเมืองท่าทอง (Thaton) แต่ต้องเปลี่ยนแผน เพราะจะเข้าไปเมืองพะโค เป็นอ่าวปากน้ำ มีอาวุธของข้าศึกมหาเอเซีย ยังไม่ยกกลับ จึงต้องขึ้นเหนือ Pequ (เมืองพะโค คือเมืองหงสาวดี) ที่เรา จะต้องไปนั้นเอง


    อันชื่อเมืองต่างๆ ในประวัติศาสตร์ของชาติเมียนม่าแต่เก่าก่อนนั้น ฝรั่งมันเปลี่ยนชื่อใหม่หมด ให้ใกล้ กับภาษาของมัน แต่บางทีไม่ถนัด ทั้งภาษาอังกฤษ และฝรั่งเศส เราจะอ่านไม่ออก เช่นเมืองมะละแหม่ง มันเรียกว่า moulmein คือถ้ามันเอาตัว น. หนูเป็นตัวงองู ดูๆแล้ว น่าขัน ดังนั้น ท่านที่จะไปเมืองเมียนม่าในยุคนั้น ต้องอ่านได้ทั้ง ภาษาไทยใหญ่ พม่า รามัญ อังกฤษ และฝรั่งเศส จึงเอาตัวรอด เมื่อไปถึงเมืองพะโค คือ เมืองหงสาวดีแล้ว ก็ได้พบ เพื่อนเก่าทั้ง 4 ชาติ ที่เคยตกทุกข์ได้ยาก จากแดนไกล คือ ทวีปยุโรปมาด้วยกัน คือ ท่านมหาคุรุปิตะโก พระพม่า ท่านคุนูกุรูเถรา จากศรีลังกา ท่านอะมะราตะนันท จากเนปาล และข้าพเจ้า แบบสี่เกลอเก่า อภิทะชะมหาอัตตะคุรุ การเข้าไป อยู่ เขาให้เราอยู่แบบอิสระ



    [​IMG]


    เขาต้องการให้เราไปช่วยบูรณะของเก่า ให้เหมือนเดิม ตรงนั้นเท่าที่สืบรู้ ก็คือคุ้ม หรือหมู่บ้าน ของพวกเชลย ที่เป็นคนไทย ซึ่งถูกกวาดต้อนไป และไม่ไกลกับวัด มีบริเวณเดียวกัน ที่กว้างขวางเป็นร้อยๆ ไร่ รอบกำแพงอันเก่าๆ เราช่วยปลูกต้นมะพร้าวเต็มหมด จึงเป็นเครื่องบดบัง เป็นหลังคาไปในตัว เราเองก็ชอบอย่างนั้น เพราะวิเวกดี มีพระสงฆ์ของศรีลังกา เนปาล และอินเดียมาอยู่รวมกัน 4 รูป ซึ่งก็เคยรู้จักมักคุ้นกันมา เมื่อ 10 ปีมาแล้ว ที่ยุโรปซึ่งเป็นพระคงแก่เรียน และชอบเป็นนักสัญจรรอบโลกกันมาทั้งนั้น


    ในสมัยนั้น มหาอำนาจเริ่มยกให้สหภาพพม่า เป็นอิสระแล้ว แต่เจ้าของผู้เป็นเมืองขึ้นของพม่า คือ อังกฤษ เขาก็ยังมีอำนาจดูแลอยู่ แบบเป็นที่ปรึกษา และ ข้าหลวงใหญ่ ก็รักพวกเราดี ยังมีชาวต่างประเทศ ชาวยุโรปอยู่ดูแลเป็นส่วนมาก จึงเป็นการสะดวกสบาย ที่เราสี่สหาย ได้เคยรู้จักกับเขาไว้ก่อน ตอนที่อยู่ต่างแดน พวกเราจึงขอสถานที่ อยู่พักอาศัยได้ ตามความต้องการ เขาจึงจัดให้อยู่ อย่างอิสระแบบพระต่างแดน อันสถานที่เขาจัดให้เราอยู่นั้น ก็รู้สึกว่าจะเป็นวังเวียงเก่า เท่าที่สืบดู ก็เป็นสถานที่ของ เจ้าบุเรงนอง หรืออะไรดูไม่ออก เมืองนี้เป็นเมืองใหญ่ มีปูชนียสถานอันศักดิ์สิทธิ์ และอีกข้างติดกัน ก็เป็นที่ของ นันทบุเรง แต่ก็ถูกทำลาย ไปด้วยกาลเวลา และภาวะสงครามโลกครั้งที่ 2

    พวกเราจึงร่วมกัน ปลูกต้นมะพร้าวรอบๆ บริเวณ ได้สี่ร้อยเก้าสิบต้น เป็นที่ระลึก แต่ก็น่าเสียใจ เมื่อเรากลับไปคราวหลัง เมื่อปี 2510 เจ้าหม่องตัดทิ้งหมด เพื่อ สร้างวังใหม่ ป่านนี้คงไม่มีอะไรเหลือแล้ว เมื่อเราได้สถานที่อยู่ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็มีจดหมายถึงคุณเกษม ล่ำซำ ที่เรา เคยรักกัน และได้ทำบัญชีการเงิน ไว้ให้เขาส่งไปให้จำนวน 5 แสนบาท เป็นเงินของส่วนตัว เรามารับที่เมืองแรงกูน เพราะอยู่ทางใต้ของเมืองพะโค ลงไปประมาณ 50 กิโลเมตร อันการเดินธุดงค์ แสวงธรรมตามรอยกรรม ก็เป็น อันจบลงเท่านี้ และยังมีกรรมเก่าๆ ที่เราสร้างไว้ ทำไว้ จะตามมาสนองอีก โปรดอ่านต่อไป
     
  5. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    "ทำไมพระไชษเชษฐาธิราชมีพระธิดาชื่อพระนางตนทิพกับพระนางตนคำล่ะคะ

    พอดีอ่านเจอว่ามีพระธิดาชื่อ พระนางสี พระนางสุก พระนางใส "


    -ต้องขออภัยคุณทางสายธาตุ และท่านผู้อ่านทุกท่านครับ

    เป็นความผิดพลาดที่ผมนำมาเรียบเรียงใหม่ทำให้ขาดความ

    ชัดเจน ที่ถูกต้องคือพระไชยเชษฐาธิราชทรงอภิเษกสมรส

    กับพระนางตนทิพและพระนางตนคำ ครับทั้งสองพระนางนี้

    ตามหนังสือระบุเพียงว่าเป็นพระราชธิดาของพระเจ้า

    เชียงใหม่ เป็นการบ้านให้คุณทางสายธาตุต้องมาค้นคว้า

    ต่อไปอีกว่าเป็นพระราชธิดาของพระเจ้าเชียงใหม่องค์ใด

    ถ้าเป็นพระราชธิดาของพระเมืองเกษเกล้าก็หมายความว่า

    เป็นเจ้าน้าของพระไชยเชษฐา ซึ่งในขณะที่ขึ้นครองเมือง

    เชียงใหม่หลักฐานตามหนังสือเล่มนี้ก็ระบุตรงกันกับที่คุณ

    ทางสายธาตุได้บรรยายไว้แล้วว่ามีพระชนมพรรษา 12 ปี
     
  6. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    พระราชสมบัติทองคำ กรุวัดราชบูรณะ

    <CENTER>เครื่องทองศิลปะอยุธยา : กรุพระปรางค์วัดราชบูรณะ

    </CENTER>


    [​IMG]

    พระปรางค์วัดราชบูรณะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

    จากบันทึกของนิโคลาส์ แชร์แวส (Nicols Gervaise) บาทหลวงชาว
    ฝรั่งเศสซึ่งเดินทางมากรุงศรีอยุธยา ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
    กล่าวถึงช่างทองช่างเงินของกรุงศรีอยุธยาว่า มีฝีมือไม่แพ้ช่างฝรั่งเศส
    สามารถทำเครื่องประดับกายได้อย่างสวยงามที่สุดในโลก... ทำเครื่องทองเงิน
    รูปพรรณได้หลายพันแบบ ล้วนแต่งามๆ ทั้งนั้น การฝังเส้นทองเงินทำได้สะอาด
    สะอ้านมาก และสอดเส้นได้อย่างวิเศษเขาใช้น้ำประสานทองแต่น้อย และสอด
    ถักได้อย่างชำนาญเหลือเกิน จนยากที่จะมองเห็นว่าตรงไหนเป็นรอยต่อ


    [​IMG]
    สุวรรณมาลา ศิลปะอยุธยา (พ.ศ. ๑๙๖๗)

    นอกจากนี้ ซีมง เดอ ลาลูแบร์ (Simon de la Loubere) อัครราชทูตชาว
    ฝรั่งเศสแห่งราชสำนักพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ซึ่งเดินทางมายังราชสำนักอยุธยา
    เพื่อเจริญสัมพันธไมตรีในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พุทธศักราช
    ๒๒๓๐) ยังกล่าวถึงความสามารถของช่างทองของกรุงศรีอยุธยาเช่นกันว่า
    ชาวสยามเป็นช่างกะไหล่ทองชั้นดี และรู้จักวิธีตีแผ่นทองคำ เป็นแผ่นบางได้ดี
    พอใช้ ทุกครั้งที่สมเด็จพระเจ้ากรุงสยามจะทรงมีพระราชอักษรสาส์นไปยัง
    กษัตริย์พระองค์อื่น พระองค์จะตรัสให้จารึกข้อความสุภอักษรลงในสุพรรณบัฏ
    อันบางราวแผ่นกระดาษ ตัวอักษรที่จารึกลงนั้นกระทำโดยวิธีกดลากปลายเหล็ก
    จารไปทื่อๆ เช่นเดียวกับที่เราเขียนจารึกในแผ่นศิลานั้น


    [​IMG]
    แผ่นทองคำฉลุรูปม้า ศิลปะอยุธยา (พ.ศ. ๑๙๖๗)

    ทองคำและเงินที่ใช้ในการสร้างสรรค์งานปราณีตศิลป์เหล่านี้ สันนิษฐานว่ามีที่
    มาจากการรวบรวมทองคำและเงินเพื่อกิจการต่างๆ ของราชสำนัก อาทิ การส่ง
    ส่วย ภาษีอากรการค้าขาย แลกเปลี่ยน การส่งราชบรรณาการ ฯลฯ นอกจากนี้
    ยังมีการพบแหล่งทองคำ เช่น ในรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศราวพุทธศักราช
    ๒๒๙๑ โปรดฯ ให้ตั้งกองร่อนทองคำ ณ ตำบลบางสะพาน แขวงเมืองกุยบุรี
    ครั้งนั้นได้เนื้อทองคำถึง ๙๐ ชั่งเศษ ทรงมีพระราชศรัทธาให้ตีทองคำที่ร่อนได้
    ทั้งหมดเป็นประทากล้อง (แผ่นทองคำเปลวเนื้อบรืสุทธิ์ชนิดหนา) เพื่อประดับ
    บนพระมณฑปพระพุทธบาท เมืองสระบุรี


    [​IMG]
    พระคชาธารทองคำประดับอัญมณี ศิลปะอยุธยา (พ.ศ. ๑๙๖๗)

    ความนิยมในการใช้ทองคำเพื่องานประณีตศิลป์ครั้งกรุงศรีอยุธยา ปรากฏตั้งแต่
    ในราชสำนักจนถึงสามัญชน ในราชสำนักมีการใช้ทองคำเพื่อทำงานประณีต
    ศิลป์ประเภทต่างๆ ได้แก่ เครื่องราชูปโภค รวมถึงสิ่งของเครื่องใช้ เครื่องต้น
    เครื่องทรง เครื่องราชกกุธภัณฑ์ ฯลฯ เครื่องปะดับ รูปเคารพในศาสนา เครื่อง
    สถาปัตยกรรมและสิ่งของเครื่องใช้ เป็นต้น ส่วนเงินนิยมใช้ทำเป็นเครื่อง
    ราชูปโภค เครื่องบูชาทางศาสนา เครื่องบรรณาการ สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ฯลฯ


    [​IMG]
    ตลับและจอกน้ำทองคำ ศิลปะอยุธยา (พ.ศ. ๑๙๖๗)

    เครื่องทองที่มีชื่อของราชสำนักอยุธยาที่มีคุณค่าในทางศิลปกรรม และเป็น
    หลักฐานแห่งความรุ่งเรืองของกรุงศรีอยุธยาในอดีต ได้แก่เครื่องทองจากกรุ
    พระปรางค์วัดมหาธาตุ อันเป็นพุทธสถานที่สถาปนาขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระ
    บรมราชาธิราชที่ ๑ (ขุนหลวงพะงั่ว) ราวพุทธศักราช ๑๙๑๗ ภายในกรุพระ
    ปรางค์แห่งนี้ บรรจุเครื่องพุทธบูชาทองคำประกอบด้วย พระเจดีย์บรรจุพระบรม
    สารีริกธาตุ พระพุทธรูป ประติมากรรม เครื่องประดับ ฯลฯ


    [​IMG]
    เจดีย์จำลองทองคำประดับอัญมณี ภายในบรรจุพระพุทธรูปทองคำ เจดีย์จำลองแก้วผลึกและจารึกลานทอง ศิลปะอยุธยา (พ.ศ. ๑๙๖๗)

    เครื่องทองจากกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะ พุทธสถานแห่งนี้สมเด็จพระบรม
    ราชาธิราชที่ ๒ (เจ้าสามพระยา) ทรงสถาปนาขึ้นเมื่อพุทธศักราช ๑๙๖๗ ณ
    บริเวณที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพพระราชบิดา คือ สมเด็จพระนครินทราธิราช
    และเพื่ออุทิศพระราชกุศลถวายแด่พระเชษฐา คือ เจ้าอ้ายพระยาและเจ้ายี่
    พระยา ซึ่งถึงแก่พิราลัยจากการกระทำยุทธหัตถี ณ สะพานป่าถ่าน ภายในกรุ
    พระปรางค์ประดิษฐานเครื่องราชูทิศและเครื่องพุทธบูชาทองคำ อาทิ เครื่อง
    ราชูปโภค พระพุทธรูป พระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ จารึกลานทอง
    ประติมากรรม สถาปัตยกรรมจำลอง เครื่องประดับ เป็นต้น


    [​IMG]
    แผ่นทองคำดุนลายประดับทับทิมพระพุทธรูปปางมารวิชัยประทับในซุ้มเรือน
    แก้วใต้ร่มโพธิ์ ศิลปะอยุธยา (พ.ศ. ๑๙๖๗)

    สำหรับในหมู่สามัญชน การใช้ทองและเงิน นิยมทำเป็นเครื่องประดับ รูปเคารพ
    ในศาสนา เครื่องพุทธบูชา สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ โดยมีย่านจำหน่ายและผลิต
    งานฝีมือเครื่องทองและเครื่องเงินที่สำคัญของกรุงศรีอยุธยา ซึ่งปรากฏใน
    หนังสือภูมิสถานกรุงศรีอยุธยาที่สันนิษฐานว่า เขียนขึ้นจากความทรงจำของ
    บุคคลที่เกิดในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี


    [​IMG]
    เครื่องราชูปโภคทองคำ ศิลปะอยุธยา (พ.ศ. ๑๙๖๗)

    และคำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม คือ บริเวณในกำแพงพระนครสองฟาก
    ถนน ตั้งแต่ท่าถนนมีร้านขายเครื่องเงิน เครื่องทอง เครื่องทองเหลือง ทองแดง
    ทองสำริด และสังกะสี ทั้งมีย่านป่าทองเป็นแหล่งขายทองคำรูปพรรณ ทองคำเปลว นาก เงิน ทั้งยังเป็นแหล่งผลิตเครื่องทอง จึงมีชื่ออีกอย่างว่าตลาดถนนตี
    ทอง ส่วนเครื่องเงินมีแหล่งจำหน่ายและผลิต ได้แก่ ตลาดขันเงินและถนนบ้าน
    ช่างเงิน บริเวณระหว่างย่านหน้าศาลพระกาฬที่ตะแลงแกงกับย่านป่าผ้าเหลือง
    (ขายเครื่องบวชนาค) ใกล้กับวัดป่าใน นอกจากนี้ถนนย่านบ้านกระชียังเป็น
    แหล่งช่างทำพระพุทธรูปทอง เงิน นาก และหล่อด้วยทองเหลือง ทองสำริด ชื่อ
    ตลาดพระ


    [​IMG]
    ชิ้นส่วนยอดพระปรางค์จำลองทองคำ ศิลปะอยุธยา (พ.ศ. ๑๙๖๗)


    [​IMG]
    มรกู่และพานทองคำ เป็นเครื่องราชูปโภค ศิลปะอยุธยา (พ.ศ. ๑๙๖๗)


    [​IMG]
    กระบวย ตลับ และพานทองคำ ศิลปะอยุธยา (พ.ศ. ๑๙๖๗)

    เครื่องทองที่นำมาเสนอทั้งหลายนี้ เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนที่พบในกรุ
    พระปรางค์วัดราชบูรณะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ปัจจุบันจัดแสดงใน
    พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา...
    ***********************************

    พักสายตาด้วยของสวยๆงามๆ ทองคำนั่นเอง อ้างอิงจาก
     
  7. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ข่าวเก่าเกี่ยวกับ กองทัพพม่าขุดพบหลุมพระศพ "พระสุพรรณกัลยา"

    กองทัพพม่าขุดพบหลุมพระศพ "พระสุพรรณกัลยา"

    Sun, 2005-07-31 09:59

    ศูนย์ข่าวภาคเหนือ-29 ก.ค.48 กองทัพพม่าขุดพบหลุมพระศพ พระสุพรรณกัลยา ใกล้เมืองเปียนมะนา ในภาคกลาง ระบุชัดพบเครื่องใช้ราชสำนักบางส่วนมีลักษณะคล้ายลวดลายไทย

    ศูนย์ข่าว ISG รายงานเมื่อวันที่ 27 ก.ค. 48 ว่า กองทัพพม่าได้ขุดพบหลุมแห่งหนึ่ง ขณะเคลียร์สถานที่เพื่อก่อสร้างเมืองใหม่ ใกล้กับเมืองเปียนมะนา ทางภาคกลาง ของประเทศพม่า ซึ่งคาดกันว่าเป็นหลุมพระศพพระพี่นางสุพรรณกัลยาของไทย

    แหล่งข่าวผู้ใกล้ชิดผู้นำระดับสูงในกองทัพพม่าเล่าว่า เมื่อช่วงกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา มีการขุดพบ


    หลุมแห่งหนึ่งซึ่งมีทั้งพระโกฎทองคำและเครื่องใช้ในราชสำนักจำนวนมากรวมทั้งโครงกระดูกบางส่วนรวมอยู่ด้วย ในระหว่างที่กำลังมีการปรับพื้นดินเพื่อสร้างเมืองใหม่ของพม่าใกล้กับเมืองเปียนมะนา ในภาคกลาง โดยมีการพูดคุยในหมู่นายทหารระดับสูงของพม่าว่า หลุมดังกล่าวคาดว่าเป็นหลุมพระศพของพระสุพรรณกัลยา เนื่องจากเครื่องใช้ราชสำนักบางส่วนมีลักษณะคล้ายลวดลายไทย

    แหล่งข่าวดังกล่าวเปิดเผยอีกว่า ขณะนี้ทางกองทัพพม่าได้สั่งระงับการสร้างเมืองดังกล่าวไว้ชั่วคราว และพยายามปิดข่าวนี้อย่างมิดชิด เนื่องจากเกรงว่าจะมีการขอเข้าไปตรวจสอบและทวงทรัพย์สมบัติล้ำค่าจากทางการไทย

    ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้รัฐบาลทหารพม่ามีคำสั่งโยกย้ายหน่วยงานราชการต่างๆ ไปยังเมืองใหม่ก่อนสิ้นปีนี้ โดยเมืองใหม่ดังกล่าวถูกสร้างขึ้นใหม่เพื่อใช้เป็นที่ตั้งหน่วยงานของรัฐบาลและด้านการทหารโดยเฉพาะ



    <?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p>ข่าวนี้เป็นข่าวปี ค.ศ. 2005 พบเจอในเวปนี้ค่ะ </O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p>กองทัพพม่าขุดพบหลุมพระศพ "พระสุพรรณกัลยา" | ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์</O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p>ถ้าข่าวนี้ไม่จริงก็แล้วไปค่ะ แต่ถ้าข่าวจริง ผู้เกี่ยวข้องในนามของ</O:p>
    <O:p>รัฐบาลไทยน่าจะไปตรวจสอบดูหน่อยนะคะ ?</O:p>
     
  8. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ย้อนรอยกรรม ตำนานพระสุพรรณกัลยา (ต่อ)

    คัดมาจากหนังสือ .. "ย้อนรอยกรรม ตำนานพระสุพรรณกัลยา"
    .. เขียนโดย หลวงปู่โง่น โสรโย (หน้า 43-46)

    พบอาคันตุกะพระมหามิตรเดิม



    [​IMG]

    เมื่อเราได้ที่อยู่อาศัย แบบต่างแดนแล้ว และท่านได้จัดสร้างอาศรม อันกระทัดรัดชั่วคราว โดยเอาต้นหมาก ต้นตาลเป็นเสา เอาใบตองมุงหลังคา กั้นฝาด้วยเสื่อลำแพน ให้คนละหลังยาว 5 ศอกกว้าง 4 ศอก พออยู่กัน อย่างสบายๆ แบบสมณะ นับว่าเป็นอาศรมหลังน้อยๆ แต่มันให้ความสุข ทางใจอย่างเหลือหลาย ยิ่งกว่าเวียงวัง อันกว้างใหญ่ไพศาล แสนสง่างาม ของพระเจ้าจักรพรรดิ์เสียอีก เราอยู่รวมกับสหธรรมิก ต่างชาติกัน แต่ก็รักกัน ฉันพี่น้อง เพราะมีพรรษาที่บวชมาพร้อมกัน คือได้แค่ 10 พรรษาเท่านั้น ท่านมหาคุรุปิตะโก เจ้าของบ้านท่านกรุณา ได้นำเที่ยว แสวงบุญไปนมัสการ สถานที่สำคัญๆ ทั่วทุกแห่ง ในประเทศพม่า แต่ท่านอะมะราตะนันท พระเนปาล สังขารท่านไม่แข็งแรง จึงอยู่เฝ้าอาศรม เป็นเพื่อน เจ้าเก่ง หมาคู่บารมีของเรา

    การเดินทางโดยรถไฟ รถยนต์ เรือ ใช้เวลา 15 วันก็กลับ นับว่าได้ไปอภิวาท กราบไหว้สิ่งศักดิ์ แทบทุกแห่งในพม่า ในยุคก่อนนั้น พม่าเขามีสองเมืองหลวง คือ เมืองย่างกุ้ง (แรงกูน) เป็นเมืองหลวงของพม่าใต้ เมืองมันฑะเล คือ เมืองอังวะ เป็นเมืองหลวงของ พม่าเหนือ และรัฐเชียงตุง เป็นเอกของรัฐฉาน การเดินทางคราวนั้น ข้าพเจ้าถวายค่าใช้จ่ายให้ทุกอย่าง พอกาลเวลาจะเข้าพรรษา คือเพ็ญตรงกับวันที่ 20 กรกฎาคม 2491 เป็นวันเข้าพรรษา ตุ๊เจ้าทั้งสององค์ คือ ท่านอะมะรานันทะ ท่านเป็นรองเจ้าคณะใหญ่ ในเนปาล ท่านได้ถูกรัฐบาลประเทศท่าน นิมนต์ให้กลับ ส่วนท่านมหาเถระ ที่ศรีลังกาเขาก็นิมนต์ให้กลับ เพราะท่านทั้งสอง เป็นพระสงฆ์ผู้ทรงคุณวุฒิ ระดับชาติ


    ท่านกลับก่อน 5 วัน เหลือ แต่เราคนเดียว เปลี่ยวเอกา มีหมาแสนรู้เป็นคู่ใจ ส่วนท่านผู้นิมนต์เราไป คือท่านคุรุปิตะโก ก็ถูกเรียกตัว นิมนต์ไปเป็นอาจารย์สอนวิชา อยู่ที่อ๊อกฟอร์ด เมืองแคนดี้ เราอยู่คนเดียว ก็เที่ยวบริจาค ช่วยเหลือสงเคราะห์ ผู้ยากไร้ สงเคราะห์คนจน ทั้งใกล้และไกล เขาเข้าใจว่า เป็นเทพเจ้าผู้ใจบุญ ทั้งนี้เพราะ ระยะนั้น เป็นระยะที่เราผู้หนึ่ง ที่มีเหลือใช้เหลือกิน เงินใกล้จะหมดอีกแล้ว ก็ให้ส่งจากเมืองไทย สามครั้งเป็นเงิน 1 ล้านบาท ไปช่วยเหลือวัดวาอาราม ทั่วไป แต่ก็เหลือวิสัยที่จะทำให้ ได้ดีอย่างเดิม เพราะความเก่าแก่ คร่ำคร่าที่ผ่านกาลเวลามานาน หลายร้อยปี และแถมยังถูกทำลาย ด้วยภัยสงคราม อีกอย่างเหลือคณานับ เพราะเป็นสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่สองไม่กี่ปี จึงมีคนหลายชาติ ตกค้างอยู่จำนวนมาก

    ของดีๆ งามๆ จึงเหลือแต่ซาก ที่ยังเหลือจริงๆ ก็คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในทางพระพุทธศาสนา ผู้คนก็อดอยาก ยากแค้น เศรษฐกิจก็ตกต่ำ คนว่างงาน แต่พวกโจร พวกอันธพาลไม่ค่อยมี เพราะเขานับถือศาสนาอย่างเคร่งครัด เราจึงได้คนงาน ช่วยปลูกต้นไม้ผล คือต้นมะพร้าวได้มาก ค่าจ้างแรงงาน ก็ไม่เกินวันละ 5 บาท (คิดเป็นเงินไทย)


    ดังนั้น การเข้าไปอยู่ของเรา จึงสะดวกมีแต่คนรักนับถือ เพราะเราเอื้อเฟื้อเกื้อกูลเขา ให้พ้นภัย คือความอดอยากหิวโหย แต่เราก็มั่นใจว่า อันสถานที่เขาจัดให้เราอยู่นั้น ไม่ผิดกับสถานที่เราตั้งความหวังเอาไว้ เพราะมันรู้สึกสังหรณ์ใจว่า เคยเป็น สถานที่เรา และพวกพ้องเคยมาอยู่ก่อนแล้ว แต่ก็เหลือวิสัย ที่จะทำให้ได้ดีอย่างเดิม เพราะความเก่าแก่ คร่ำคร่า ที่ผ่านกาลเวลา มานานหลายร้อยปี และแถมยังถูกทำลาย ด้วยภัยสงคราม อีกอย่าง เหลือคณานับ เพราะเป็นสมัยหลังสงครามที่สอง

    เมื่อเพื่อนสหธรรมิก ทั้งสองท่าน ได้กลับภูมิลำเนาของท่าน ยังเหลือแต่ท่านมหาคุรุปิฏะโก ซึ่งท่านต้องอยู่ทำงานทาง คณะสงฆ์ อยู่ที่กรุงแรงกุน เหลือแต่เราคนเดียว เปลี่ยวเอกา เหลืออยู่แต่ หมาคู่ใจเท่านั้น แต่ก็ยังได้รับการดูแล เยี่ยมเยียน จากนักบวช นักบุญชาวพม่าตลอดมา และในระยะนั้น ถึงพม่าจะได้รับอิสระ แต่ก็ต้องพึ่งพามหาประเทศ ผู้เป็นนายอยู่อย่างเคย เพราะพึ่งเสร็จสงครามโลกครั้งที่สอง ไปหมาดๆ ทุกๆ ชาติ แม้แต่ไทยเราก็ยังย่ำแย่ ทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ทุกข์ระทมกันไปทั้งเอเซีย ดังนั้น ผู้ที่จะสร้างมิตรได้ดีที่สุด ก็คือผู้มีเงิน ที่จะช่วยเหลือ เพื่อนมนุษย์ ข้าพเจ้าจึงอยู่ในขั้นที่ หามิตรสหายพวกพ้องได้ยาก ผู้ตกยากจึงยื่นมือรับ เพราะเรามีแต่ให้กับให้ ช่วยกับช่วย ด้วยทุนทรัพย์ของตนเอง แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทางพระพุทธศาสนา ในเมืองนี้ชื่อ Dhammayancy Phocho ของเขา ยังมีสภาพเหมือนเดิม และยังสวยงามอร่ามตา น่าสักการะ อยู่ทุกวันนี้

    [​IMG]




    และมีอีกอย่าง ที่คนต่างชาติเขายกย่อง ว่าเรามีเสน่ห์กับสัตว์ปีก คืออีกา พอตื่นเช้าขึ้นมา มันจะพากันโผผิน บินมาขอกิน บางทีมัน จับหัว จับบ่าส่งเสียงร้อง เกรียวกราวไปหมด ไม่ว่าไปที่ไหน ณ เมืองใด ข้าพเจ้ามีนิสัย เข้าได้กับอีกา ตื่นเช้าขึ้นมา ก่อนออกเดินทาง ก็ต้องทำบุญ เลี้ยงอีกาทุกวัน แล้วมันจะบินออกหน้าไปส่ง แม้แต่ทุกวันนี้ก็ยังมีอยู่ ที่บริเวณวัดจำนวนมาก หากผู้ใดไปนั่งอยู่นานๆ มันจะมาขับไล่ ถ้าไม่ไปก็โดนแย่ง ขโมยเอาของให้ได้ ยิ่งคราวไปอยู่เมืองพะโค ยิ่งมากใหญ่ ค่าอาหารกาสมัยนั้น วันละไม่ต่ำร้อยบาท

    ดังนั้น คนพม่า และคนต่างชาติ คือภาษาพม่า เขาเรียกเราว่า ตั่งข่าแก ตั่งข่าแปลว่าพระ ต่างชาติมันจึงตั้งชื่อว่า ตุ๊เจ้ากา ถือเป็นพระที่น่าอัศจรรย์ ที่เรียกอีกา มากินอาหารในมือได้ หายาก นอกจากอีกาแล้ว ยังมีนกป่า ที่รู้ภาษาของเขา เรียกมันบินมาเป็นร้อยๆ แต่ละวัน เช้าเย็นต้องเลี้ยงข้าวฟ่าง ข้าวโพด ถั่ว และผักต่างๆ ก็ต้องซื้อ มาเตรียมไว้ คติภาษาจีนบอกว่า อีกาเป็นสัตว์ที่เลี้ยงไม่เชื่อง และไม่มีใครๆ จะสามารถเรียกอีกา มากินข้าวในมือได้ เมื่อเขาเห็นเราเรียกได้ ทำได้จริง ซึ่งฝืนคำพังเพย เขาจึงเลื่อมใสว่า หาไม่มีอีกแล้ว


    ในคืนวันหนึ่ง เท่าที่จดบันทึกเอาไว้ คือเวลาเที่ยงคืน วันพุธที่ 17 พฤศจิกายน 2491 ทางจันทรคติ คือเป็นวันเพ็ญ เห็นดวงจันทร์ เต็มดวง บนท้องฟ้า ได้มองเห็นพระภิกษุผู้เฒ่า เดินเข้ามานั่งลงบนแคร่ ที่เราทำไว้ แสงไฟเทียนหลายเล่ม ที่เราจุดไว้ สว่างไสวรอบบริเวณ ทั้งนี้เพราะ จิตนิจสัยของเรา ชอบแสงไฟ ชอบมองไฟ เพ่งไฟ เอาไฟเป็นอารมณ์ ซึ่งภาษาสมณะเขาเรียก พวกเพ่งเตโชกสิณ และเพ่งมองแสงไฟ แสงเดือน ในน้ำ (เงาไฟเงาเดือน) ในน้ำเป็นอารมณ์ มันจะถึงให้จิตสงบได้ง่าย ในอารมณ์เดียว

    [​IMG]

    เมื่อพระผู้เฒ่าที่น่าเคารพ ท่านนั่งลงแล้ว ข้าพเจ้ารีบเข้าไปกราบนมัสการ การเรียนถามท่าน เป็นภาษาสมณะว่า ขะมะนิยังภันเต ท่านตอบทันที คะมะนิยังอาวุโส (คำนี้เป็นภาษาพระท่าน ถามกันเป็นภาษามคธ) ตามธรรมเนียม ท่านถามถึงสารทุกข์สุกดิบ ตลอดทั้งการจำจาก พลัดบ้านพลัดเมืองมา ผ่านภูเขาเลากา ป่าพงดงดอนอันกันดาร อันการเมืองนี้ บ้านนี้ สถานที่นี้ คุณประสงค์จะมาใช้กรรม ใช้เวร และช่วยเหลือ ผู้อื่น สัตว์อื่นนั้น คุณทำได้ทุกอย่าง ในทางที่เห็นเป็นรูปธรรม คือคุณเสียสละ ทุนทรัพย์ภายนอกไปมากแล้ว ผลตอบแทนก็คือ ได้มิตรภาพทั้งที่เป็นคน และสัตว์จำนวนมาก ยากที่มนุษย์อื่นๆ เขาจะทำได้ เลี้ยงได้ เป็นเพื่อนกับมันได้ คืออีกา เรามาเห็นเข้า รู้สึกประทับใจ ในพลังจิตเมตตาธรรมของคุณ



    [​IMG]


    แต่ขอเตือนว่า ตราบใดที่จิตใจเรา ยังมองไม่เห็นตัวตน ของตนเอง ทั้งสามตัวแล้ว จิตก็จะยังมืดบอดอยู่ อันคนเราแต่ละคน มีตนมีตัวอยู่สามชั้น สามตัว คือ หนึ่งตัวจริง ที่ได้มาจากบิดามารดาผู้สร้างมา สองตัวเป็น สามตัวแฝง อันเป็นตัวลึกลับ ที่อิงแอบแนบซ้อน อยู่กับวิญญาณของทุกๆ คนนั้น อันตัวนี้สำคัญมาก หากคุณค้นพบ และเอาออกมาใช้ได้แล้ว เท่ากับได้ที่พึ่งอันประเสริฐที่สุด ที่มนุษย์ปุถุชนคนธรรมดา ก็ค้นหาได้ เพราะมัน อยู่ในจิตวิญญาณของเรานี้เอง แต่คนเราลืมจะใช้ก็แต่ตัวจริง คือตัวตนที่มีรูป กาย แขน ขา ตีน มือ หู ตา จมูก ลิ้น รวมกันเป็นร่างกายนี้ เราใช้งาน มันทุกวัน และมันก็รีบใช้ ตามแต่ความนึก ความคิด จิตใจจะสั่งให้ทำ ส่วนตัวที่สอง คือตัวเป็น อันตัวนี้เราได้มา จากการที่เขาสมมุติ ให้เป็นโน่นเป็นนี่ เป็นพระ เป็นชี เป็นสตรีบุรุษ เป็นอะไรต่อมิอะไรสารพัด ตามแต่สังคมเขาจะให้เป็น อันตัวเป็นที่กล่าวมานี้ เราได้มาจากสังคม ได้มาจากคนอื่น ผู้อื่น เขาสมมุติให้



    [​IMG]


    ส่วนตัวที่สามคือ ตัวแฝง ร่างแฝงนี้เอง ที่จะมาเตือนคุณ ให้รีบค้นคว้าหาให้พบ ให้เร็วที่สุด เพราะมันไม่ได้อยู่ที่อื่น มันอิงแอบแนบชิด ติดอยู่กับจิตวิญญาณของท่านเอง อันตัวแฝงนี้ เราจะรู้เอง เห็นเอง เป็นปัจจัตตัง รู้เฉพาะตนเท่านั้น ถ้าท่านหาไม่พบตัวแฝงนี้แล้ว ท่านจะลำบาก เพราะกรรมเก่า จะมาตามสนองท่านในไม่ช้านี้ แต่ขอบอกว่า ท่านยังค้นคว้าไม่เจอแน่ จะเจอได้ก็เมื่อชีวิต เผชิญกับความวิกฤตอย่างรุนแรงเท่านั้น

    นี่เรามาเตือน เตือนคนใจบุญ เตือนคนที่ได้ทำคุณประโยชน์ให้สังคม ผมลาล่ะ ขัดข้องอะไรส่งใจถึงเรา เราชื่อโลกุตโล-เถโรคุณ เอาชื่อนี้ขึ้นก่อน แล้วก็ใช้คำพระอุปัชฌาย์เรียกนาค ก็จะพบกันได้ทุกเมื่อ ลาล่ะสวัสดี เสร็จแล้วพระเถระผู้เฒ่า ก็หายไปในความมืด ท่ามกลางแสงจันทร์ และแสง ประทีปนั้นเอง เราจึงมาคิด ท่านเมืองซาปังโก ระหว่างเมืองยางเซะ ต่อกับเมืองลาละ ที่ประเทศทิเบต ท่านได้เทศน์ให้ฟัง ขณะที่เราถูกขังตัว ด้วย น้ำแข็งที่ภูเขาหิมาลัย เมื่อ พ.ศ. 2484 ครั้งที่สองท่านมาบอกที่พักอาศัย คือถ้ำชัยมงคล กับท่านอาจารย์วัง บนเขาลังกาประเทศไทย เมื่อปี 2485
     
  9. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ย้อนรอยกรรม ตำนานพระสุพรรณกัลยา (ต่อ)

    คัดมาจากหนังสือ .." ย้อนรอยกรรม ตำนานพระสุพรรณกัลยา "
    .. เขียนโดย หลวงปู่โง่น โสรโย (หน้า 47-62)



    [​IMG]


    ก่อนกลับเมืองไทยยังมีจิตอาลัยเมืองพม่า

    อันประเทศเมียนม่า ที่ข้าได้คาดเอาไว้ว่าเราจะไปทำไม เพราะความเจริญ ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม มันต่ำต้อย ด้อยพัฒนาที่สุด และมนุษย์เมืองนี้ สมัยโบราณ มันเป็นพาลเกเร เข้าไปเข่นฆ่าทารุณคนไทย ให้ล้มตายไป เป็นจำนวนมากนับไม่ถ้วน แล้วยังเผาผลาญบ้านเมือง ที่เจริญรุ่งเรืองให้ย่อยยับ ดังที่เราได้คิดเอาไว้ และที่ได้เห็นมา เมื่อเราผ่านเมืองอยุธยาทีไร น้ำตามันจะไหลทุกที เพราะความแค้น จึงไม่มีแก่ใจในอันที่อยากจะไปรู้ อยากจะไปดู อยากจะไปเห็นมันไอ้เจ้าหม่อง เพราะความแค้นที่มีอยู่ในใจ แต่ก็เป็นเพราะบุพกรรมที่เราทำ ที่เราสร้างไว้ในอดีตชาติ ที่มีอำนาจลึกลับเหนือจิตใจ บังคับให้เราต้องมา


    แต่การมาของเรา เรามาด้วยความฝันทางมโนภาพ ฝันความคิดเห็น อาจจะเป็นเวรกรรม ที่เรามองย้อนอดีตไม่เห็น จึงจำเป็นต้องไปตามคำร้องขอ ของทวยเทพเทวดา ให้ข้าต้องผ่านป่าดง มาด้วยความยากลำบาก อย่างแสนสาหัส แบบเสี่ยงตายเอาดาบหน้า ใช้เวลาเดินทางด้วยเท้าเปล่าถึง 40 วัน รวมเวลาพักเอาแรงถึง 50 วัน เมื่อมาถึง และได้สัมผัสทางจิตวิญญาณทางฝันแล้ว จึงได้รับรู้เรื่องราว ความเป็นมาของกรุงอโยธยา แต่ครั้งแรกนั้น มีเหตุมาจากลูกน้องลูกแถว ของผู้มีอำนาจสูงสุดของคนไทยเอง ที่ไม่เอาตาดู หูฟัง ความทุกข์ร้อนความเห็น ของประชาชนผู้อยู่ใต้อำนาจบริวาร ผู้ใกล้ชิดผู้บริหารชั้นสูง ใช้อำนาจไม่เป็นธรรม บ้าอำนาจ บ้ายศ เห็นตัวเองเป็นเทวดา นึกว่าเจ้าเหนือหัวให้อำนาจ เห็นชาวประชาเป็นสัตว์ดิรัจฉานเดินดิน ใครจะไม่มีใช้ไม่มีกินข้าไม่รู้ ขอให้กูและพวกพ้องมีความสุขก็พอแล้ว


    ประชาชนไม่รู้ว่าจะไปพึ่งใคร ก็หันไปเป็นไส้ศึกให้คนต่างชาติ เข้ามาอาละวาด แย่งชิงเข่นฆ่ากัน แบบเกลือเป็นหนอน พม่าก็ดี มอญก็ดี เขาเข้ามาตีมาเข่นฆ่า เฉพาะพวกบ้าอำนาจ ของพวกลูกแถว แล้วกวาดต้อนไปเป็นจำเลย ส่วนผู้ที่เคยรับใช้เขา เขาก็เอาไปด้วย ก็สมน้ำหน้าแล้ว ที่พวกบ้ายศ บ้ายอ พวกชอบประจบสอพลอ คนเขาไม่พอใจก็ยกพวกมา เผาบ้านเผาเมือง ตลอดเวียงวังให้พินาศ ก็คนไทนี้เอง ซึ่งไม่ผิดกับสมัยพฤษภาทมิฬ เขาเผาเพราะความแค้น แค้นให้พวกหยิ่งยะโส มัวเมาในอำนาจ ไม่ให้มีนิวาสตนที่อยู่ต่อไป ก็คนไทยนี้เองช่วยกันเผา ตัวเราเองยังต้องโหมโรงกับเขาไปด้วย เขาจึงเห็นว่าเป็นคนดี มีไมตรีช่วยเหลือกันแล้ว มันก็เอาไปด้วย ไปช่วยทรมาน พวกบ้ายศบ้าอย่างจะได้หายไปจากโลกมนุษย์


    ผลสุดท้าย เจ้าเหนือหัวของไทย คือพระมหินทราธิราช พอหมดอำนาจวาสนา ประกอบกับโรคโรคามาประดัง สังขารสู้ไม่ไหว ก็ไปสิ้นใจสวรรคตที่เขตเมืองอังวะนี้เอง จึงน่าสงสารท่าน บ้านเมืองจะฉิบหาย เพราะบริวารแท้ๆ อันคนชาวพม่าจริงๆ นั้น เขาใจบุญเป็นชาวพุทธเต็มร้อย จุดเด่นที่สุดของเขา คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในทางพระพุทธศาสนา เช่น วัดวาอาราม โบสถ์ วิหาร เจดีย์ วัตถุที่สวยๆงามๆ ตั้งแต่สมัยอดีต ก็ยังไม่ทรุดโทรมเลย หลายๆ เมือง ที่มีพระธาตุเจดีย์ ทุกที่ทุกสถาน เขาช่วยกันอภิบาลปกป้องไว้อย่างดี เช่นเจดีย์ชเวดากอง เดิมชื่อกุรุงตะเล เป็นของพวกมอญสร้างไว้ก่อน อันศัพย์คำว่าตะเล ตะเล แปลว่า ภูเขา ซึ่งไม่ผิดกันเลยกับภาษาสิงหล ที่เขาตั้งชื่อว่ามหินตะเล เพราะเป็นสถานที่ พระเจ้าเทวานัมปิ พบกับพระมหินทเถระที่นั้น จึงได้ตั้งชื่อว่ามะหินตะเล



    [​IMG]


    ส่วนกรุงตะเลที่ประเทศพม่า ก็มาจากศัพท์เดียวกัน ส่วนพะโค ซึ่งก่อนชื่อเมืองหงสาวดีนั้น ก็มี Dhammayangi Temble เป็นภาษาอังกฤษ แต่ชาวเมืองเขาเรียก ธรรมะย่านจี Demmagangi ซึ่งเป็นพุทธสถานที่ใหญ่โต น่าสักการะ และยังมีพระพุทธรูป สร้างด้วยหินอ่อนหลายพันองค์ ตั้งเรียงรายกันน่าเลื่อมใส ไม่มีใครแตะต้อง ส่วนเมืองอังวะ คือบ้านทะเล ปัจจุบันก็มีพระเจดีย์มากที่สุด และอีกแห่งคือพระธาตุสัมพุทธรูป ห้าแสนแปดหมื่น สองพันห้าร้อย ห้าสิบเจ็ดองค์ ซึ่งมีพระพุทธรูปหินอ่อนองค์ใหญ่ ประทับอยู่ถึงแปดหมื่นสี่พันองค์ รูปพระอรหันต์อีกห้าพันองค์ พระเจดีย์เล็กหุ้มทองสองพันกว่าองค์ ก็ยังทรงประดิษฐานอยู่อย่างดี และอย่างเดิม ไม่มีใครเคลื่อนย้ายแตะต้อง

    พระสวยๆ อย่างนั้น ถ้าเป็นเมืองไทย เมืองพุทธแต่สำมโนครัว แต่ส่วนตัวนั้น หัวขโมยพระไปขาย พระพุทธรูปเหล่านั้นคงไม่เหลือแล้ว ขนเอาไปขายหมด พม่าเขาถือว่าการค้าขาย ถ้าขายพระเป็นสินค้า ถือว่าเป็นบาปหนัก เท่ากับขายพ่อกิน และมีถิ่นอื่นๆ อีกทั้งเขตพม่า เขาจะมีสิ่งสักการะบูชา คือพระธาตุเจดีย์ ตั้งเป็นศรีสง่าน่าเลื่อมใสไปทุกแห่งหน ไม่มีใครกล้าขุดค้นทำลาย เหมือนเมืองไทยเลย แล้วยังจะเห็นว่า พม่าร้ายได้อย่างไรแต่ที่มันรบราฆ่าฟันกันอยู่ทุกวันนี้ ก็ไม่เกี่ยวกับศาสนา มันเกี่ยวกับความบ้าอำนาจ ของคนมีกิเลสหนาเท่านั้น แม้แต่เขมรก็ถืออำนาจอีก



    <TABLE class=ncode_imageresizer_warning id=ncode_imageresizer_warning_6 width=190><TBODY><TR><TD class=td1 width=20></TD><TD class=td2 unselectable="on"></TD></TR></TBODY></TABLE>[​IMG]



    ส่วนเมืองไทยเรา เรามีหลักชัยอันยิ่งใหญ่คือองค์พระมหากษัตริย์ผู้ทรงตั้งอยู่ในทศธรรมนิราชตั้งอยู่บนดวงใจของคนไทยทั้งชาติ ถ้าไม่มีพระองค์แล้วอะไรจะเกิดขึ้นขอให้คิดเอาเถิด นี้ข้าพเจ้าผู้เขียนเขียนขึ้นมา เพราะได้ไปเห็นมากับตา เป็นได้ยินมากับหู ไปอยู่กับพม่ามานานไป ได้รับความสุขสำราญทางจิตใจ ได้รับความผ่องใสทางปัญญา ที่รู้เรียนมาจากของจริง จึงเชียร์ว่าพม่าเขาดี ข้าพเจ้าเข้าไปทุกที่ ได้รับการแซ่ซ้องสาธุการ ถึงกับหามแห่ไม่ให้เหยียบดินเลย เพราะเราเข้าไปมีแต่ให้กับให้ช่วยกับช่วย ช่วยเขาด้วยความเต็มใจ ไม่เหมือนคนไทยหน้าไหว้หลังหลอก ขอบอกว่าเขาดีกว่าเรา ในด้านศีลธรรม วัฒนธรรม สังคม ส่วนเรื่องวัฒนธรรมอันเก่าแก่ ของชาวพม่านั้น เขายังยึดมั่นถือมั่น ในจริยธรรมอันดีงามของเขา มาแต่บุพกาลนั้น ไม่ต้องพูดถึง เขายังถือประเพณีอันดีงามของเขาไว้ ทุกคนมีระเบียบวินัย มีนิสัยสมถะ ไม่ชอบความฟู่ฟ่าฟุ่มเฟือยเหมือนคนไทย ใจรักธรรม ถึงวันพระจะพากันมาถือศีล นั่งวิปัสสนา หาความสุขทางใจ

    คุกตะรางมีไม่กี่แห่ง ทั่วประเทศ แต่มีไว้ขังนักโทษทางการเมืองเป็นส่วนมาก สังคมเขาอยู่แบบเรียบง่าย เขาถือว่าตายแล้วก็เอาไปไม่ได้ แล้วก็กระเสือกกระสนหามาทำไม คนจัญไรที่เป็นภัยต่อส่วนรวม คือคนที่มีแล้วไม่รู้จักพอ ทรัพยากรของชาติของแผ่นดิน เขามีมากกว่าเมืองไทยหลายเท่าเช่น แร่ น้ำมัน ป่าไม้ ถ่านหิน พลอย เขามีมาก แต่เขาหาใช้หาขายเอง ไม่ยอมให้ต่างชาติไปลงทุน เพราะจะไปทำลายของเขา ส่วนด้านศาสนาเขาเคร่งครัดที่สุด นักบวชของเขาเป็นผู้นำ ไม่ให้เห่อเหิมในลาภยศ พระเขาไม่เอาเลย เพราะพระระดับผู้บริหาร เขาจะมีการเลือกตั้งกันทุกห้าปี ทุกระดับชั้น ตั้งแต่เจ้าอาวาส ถึงมหานายะกะ เพราะเขาไม่มีกาวตราช้าง ติดก้นเอาไว้เหมือนพระสงฆ์ไทย การเอารัดเอาเปรียบกันเป็นบาปหนัก เขาจึงอยู่แบบสมถะที่น่าคบ น่ารัก น่านับถือ ไม่เหมือนคนไทย ที่นับถือพระพรหมสี่หน้า พม่าก็เหมือนกัน แต่ผิดกันด้วยการนับถือคือตัวพระพรหม ท่านมีเพียงสี่หน้า ชาวพม่าก็พากันเลื่อมใส แต่ชาวไทยทั้งบุรุษและสีกา มีมากกว่าร้อยหน้าพันหน้า มากกว่าพรหม

    จึงขอสรุปว่า ด้านวัฒนธรรม ศีลธรรมของชาวพม่า เขาดีกว่าเรา แต่เมื่อเข้าไปถึงครั้งแรกนั้น ได้ประสบทั้งสุขทั้งทุกข์ ทั้งชื่นชมเศร้าโศก หัวเราะและน้ำตา อับเฉาเบาปัญญา ทั้งแสงเจิดจ้าแห่งดวงธรรม มีคละเคล้ากันกันมาตลอดเวลา ถ้าสถานบ้านเมืองนี้แหละ และสถานที่เราอาศัยอยู่นี้ มิใช่ที่เราเคยมีส่วน ทั้งทางสร้างสรรค์ มาแต่อดีตชาติ ทวยเทพเทวาอารักษ์ทั้งหลาย คงไม่เอื้ออำนวย ให้เราได้รู้แจ้งในสิ่งที่ควรรู้ ควรเห็นเป็นแน่ ดังนั้น วันนี้เป็นวันศุภมงคล อันล้ำเลิศของชีวิตข้า จึงขออำลาเทวาฟ้าดินทุกถิ่นฐาน ภูมิเทวสถานทั่วขอบเขตขัณฑสีมา ขออำลาท่านมเหศักดิ์ ผู้พิทักษ์บ้านเมือง ขออำลาท่านผู้ช่วยประเทืองปัญญา มาแนะนำแนวทาง การเข้าถึงตัวแฝงตัวลึกลับ ดับความมืดบอดทางปัญญา คือหลวงปู่พระครูโลกอุดร ที่มาสั่งสอนให้ด้วยความเมตตา

    และขออำลารุกขเทวดา ตลอดชาวประชาที่มาอุดหนุน ดูแลให้ความอบอุ่นมาตลอด ทั้งเจ้าบุญนายคุณทุกประเภท ลาทั้งผู้มาก่อเหตุให้วุ่นวาย ขอขอบใจ และบอกว่า ถ้าพวกท่านไม่ทำอย่างนั้น ข้าก็คงจะไม่มีบทเรียนที่มีค่ามากที่สุดในชีวิต ของข้าพเจ้า จึงขออุทิศกุศลทุกอย่าง ที่ข้าได้ทำมาให้ท่านมีส่วนทั่วหน้ากัน ข้าขอลาหมู่พฤกษาที่อาศัย จะเลือนลับนับปีแต่นี้ไป จะมิได้มาพึ่งเย็นอีกเช่นเคย เรามาอยู่สู้ทุกข์ เป็นสุขเลิศ ให้ใจเกิดความว่างจนวางเฉย ของแผ่นฟ้าแผ่นดินถิ่นที่เคย เทพไท้เอ๋ยข้าขอตั้งคำสั่งลา ส่วนความสัมพันธ์ทางจิตวิญญาณ ที่ขัาได้รับปฏิญาณกับท่าน ยอดสตรีศรีพระสุพรรณกัลยานั้น ขออัญเชิญท่านกลับไปด้วยทั้งหมด เพราะได้รับรู้ทั้งด้านนามธรรมคือ พระรูปอันโสภิตที่สถิตในดวงใจของข้า พร้อมด้วย พระรูปอันไฉไลโสภา น่าสักการะของท่าน ที่ข้าได้ทำพิธีกรรมถ่ายรูปเอาไว้ ก็ขออัญเชิญกลับไปด้วย

     
  10. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ทิ้งไว้นานจนลืมตอบคุณจงรักภักดี ทางสายธาตุอยู่บางบัวทองค่ะ

    วันนี้พี่สะใภ้มาเยี่ยม เขามาสักการะพระภูมิเจ้าที่ที่หมู่บ้านนี้ คือหมู่บ้านที่ทางสายธาตุอยู่

    ซึ่งปกติพระภูมิของหมู่บ้านจะเป็น พระพรหม เสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ของที่นี่พราหมณ์

    แนะนำให้ตั้ง พระพุทธรูปปางนาคปรก และ พระแม่กวนอิม เป็นสองศาล

    รู้สึกดีใจเพราะว่าได้ทราบว่าพระพุทธรูปปางที่ปกปักรักษาพระบรมโกศก็เป็นพระพุทธรูปปางนาคปรก

    สำหรับพระแม่กวนอิมนั้น ศรัทธาท่านอยู่มานานแล้ว

    พี่สะใภ้บอกว่าฝันเห็นวัดวรเชษฐ์เมื่อสองคืนก่อน สงสัยต้องพวกเราต้องหาจังหวะไปทำบุญที่นั่นอีก

    พี่สะใภ้เขาเคยไปนั่งปฎิบัติธรรมกันในโบสถ์วัดวรเชษฐ์ด้วยกัน แล้วอยู่ๆพี่เขาก็เห็นดวงไฟสุกสว่าง

    ลอยขึ้นเหนือพระปรางค์ พี่สะใภ้บอกว่าตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยได้เห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย

    ครั้งนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตของเขารูสึกอัศจรรย์ใจมาก พี่เขาก็เลยนิยมไปวัดนี้เพราะสัมผัสได้ด้วยตัวเอง

    -----------------------------------------------------------------------------------------------

    สำหรับย้อนรอยกรรม ตำนานพระสุพรรณกัลยา ต่อไปจะเป็นเนื้อหาที่คิดว่าท่านผู้อ่านหาอ่านเองจะดีกว่า

    เพราะได้พูดถึงพระโอรสพระธิดาของพระพี่นางสุพรรณกัลยามาเกิดใหม่เป็นใคร

    ทางสายธาตุไม่กล้าเอามาลงเพราะเนื้อหาออกจะโยงไปอ้างอิงบุคคลที่สามที่ยังมีชีวิตอยู่

    เห็นว่าน่าจะไม่เหมาะสม ขออนุญาติทุกท่านขอยุติการ copy and paste ๕๕๕ เรื่องนี้ลง ณ ที่นี้

    ---------------------------------------------------------------------------------------------

    หลวงพ่อสิงห์ทนท่านได้เขียนเกี่ยวกับเรื่องโลกธรรม 8 ไว้น่าสนใจมาก เมื่ออ่านแล้วเห็นชัดมากว่าจริงที่สุด

    ยิ่งเมื่ออ่านความหมายของ หาปรัชญาปรมิตาหฤทัยสูตร
    พระสูตรที่องค์หญิงเมี่ยวซ่าน บรรลุธรรมเป็นพระโพธิสัตว์กวนอิม

    รูปไม่ต่างไปจากความว่าง,
    ความว่างก็ไม่ต่างไปจากรูป.
    รูปคือความว่างนั่นเอง,
    (และ) ความว่างก็คือรูปนั่นเอง.

    เวทนา, สัญญา, ก็เป็นดังนี้ด้วย
    สังขาร, และวิญญาณ
    ก็เป็นดังนี้ด้วย.


    เมื่อทุกอย่างคือความว่าง รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ จะยึดได้หรือ

    ในหนังสือพระพุทธเจ้าตรัสสอนอย่างไร จึงช่วยให้ชีวิตมีความสุข ของ ดร.พระอาจารย์สิงห์ทน นราสโภ ...หน้า 15

    ขั้นตอนแห่งการบรรลุธรรมช่วยนำเข้าสู่มรรคผลต่างๆ

    ๑) เมื่อมรรค ๘ รวมพลังกัน จะเข้าใจสภาวะความเป็นจริงของชีวิตว่า ที่แท้จริงมันเป็นอย่างนี้เอง ไม่มีอัตตา หรือตัวตน ตามที่ลัทธิพราหมณ์เข้าใจ มันเป็นเพียงรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่มีตัวตนที่เที่ยงแท้ถาวรเลย ทั้งไม่สามารถบังคับให้เป็นตามที่ปรารถนาได้เลย อย่าทุกข์ มันก็ทุกข์ อย่าแก่ มันก็แก่ อย่าเจ็บ มันก็เจ็บ อย่าตาย มันก็ตาย ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงค้นพบแล้วนำมาประกาศสอนเป็นสัจจธรรมหมดความสงสัยในพระรัตนตรัย ไม่มีทางอื่นใดอีกแล้ว มีทางคือมรรค ๘ เรียกว่า จักขุง อุทะปาทิ คือได้ดวงตาเห็นธรรม

    ๒) เมื่อรู้แจ้งเห็นจริงอย่างนี้มันก็มีกำลังใจในการบำเพ็ญเพียรภาวนา ทำให้องค์มรรคมีพลังมั่นคง เรียกว่า เกิดมรรคญาณ คือเข้าใจในการทำมรรค ๘ ให้มีพลังยิ่งขึ้น เรียกว่า ญาณัง อุทะปาทิ ได้เกิดมรรคญาณขึ้น

    ๓) เมื่อมีพลังสามารถข่มนิวรณ์ ครั้นทำลายและบรรเทากิเลศคือสังโยชน์ได้โดยลำดับ ภาวนามยปัญญษก็มีพลังยิ่งขึ้นจนเป็นสาเหตุให้เกิดวิชชา คือรู้ว่าเกิดมาจากภพภูมิไหน เคยบำเพ็ญบารมีมาอย่างไร ก็สามารถต่อยอดบุญวาสนาบารมีเดิมได้ถูกต้องจนกระทั่ง ทำลายอาสวะกิเลศ ที่เหลือได้เรียกว่าทำลายโมหะได้ จึงเรียกว่า วิชชา อุทะปาทิ

    ๔) เมื่อทำลายอาสวะกิเลศได้ ไม่มีอวิชชาหรือโมหะหลงเหลือเรียกว่าทุกสิ่งแจ่มแจ้งหรือที่เรียกว่ารู้แจ้งแทงตลอด สว่าง โล่ง โปร่ง ไม่มีอะไรที่เคลือบแคลงสงสัยอีกต่อไป จึงเรียกว่า อาโลโก อุทะปาทิ.

    เสียดายกุฏิท่านถูกไฟเผาไปเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2552 ทำให้หนังสือธรรมเหล่านี้ถูกไหม้ไปด้วย คงต้องหาผู้ใจบุญสนับสนุนสร้างหนังสือธรรมเหล่านี้ต่อไปค่ะ หากใครดำเนินการอยู่ ขอกราบอนุโมทนาบุญด้วยนะคะ
     
  11. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ด่านขนอนหลวง บางตะนาวสี

    ตอนนี้มีเวลามากจนกว่าจะต้นเดือน อย่างที่เคยๆเกริ่นไว้นะคะ คุยได้แต่เรื่องการค้า

    ถ้าอย่างนั้น วันนี้มาคุยเรื่อง ภาษีสมัยอยุธยา ว่าเสียกันเท่าไหร่ เสียกันที่ไหน แล้วจะเลี่ยงภาษีกันบ้างจะทำได้ไหม ๕๕๕ (ความลับทางการค้าของคนโบราณ)


    ขนอนบางตะนาวสี หรือนัยหนึ่งเรียกขนอนหลวงอยู่ที่ข้างวัดโปรดสัตว์ เป็นด่านภาษีใหญ่กว่าทุกแห่ง เพราะสำหรับตรวจผู้คนและเรือลูกค้า กับเก็บภาษีสินค้าที่เข้าออกทางหัวเมืองชายทะเลและต่างประเทศ

    [​IMG]

    แผนที่กรุงศรีอยุธยาสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช


    ขนอนหลวงที่ใหญ่ที่สุดในอยุธยาอยู่ที่ข้างๆวัดโปรดสัตว์ ต.ขนอนหลวง อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา

    ขนอน คือ ด่านเก็บภาษีอากรเมื่อผ่านเข้าไปในเขตหนึ่ง ๆ สมัยกรุงสุโขทัยจนถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา ปัจจุบันยกเลิกไปแล้ว

    ลักษณะของขนอนในสมัยสุโขทัย
    ประเทศไทยมีการจัดเก็บภาษีอากรมาตั้งแต่ก่อนสมัยสุโขทัย ปรากฏในศิลาจารึกหลักที่ 1 ว่า "เมื่อชั่วพ่อขุนรามคำแหง เมืองสุโขทัยนี้ดี...เจ้าเมืองบ่เอาจังกอบในไพร่ลู่ทาง เพื่อนจูงวัวไปค้าขี่ม้าไปขาย..." หมายความว่า ในสมัยพ่อขุนรามคำแหงเป็นสมัยปลอดภาษีในการค้าขาย
    ในสมัยสุโขทัย จังกอบคือภาษีชนิดหนึ่งอันเก็บจากผู้นำสัตว์และสิ่งของสินค้าไปเพื่อขายในที่ต่าง ๆ หรือนำเข้ามาขายในกรุงสุโขทัย การเรียกเก็บจังกอบใช้วิธี "สิบชักหนึ่ง" หรือ "สิบหยิบหนึ่ง" คือเก็บในอัตราร้อยละสิบตามภาษาปัจจุบัน และจังกอบนั้นไม่จำเป็นต้องชำระเป็นเงินสดเสมอไป อาจเป็นสิ่งขอหรือสัตว์ก็ได้เนื่องจากระบบการเงินในสมัยนั้นยังไม่สมบูรณ์
    รัฐบาลสมัยสุโขทัยจะจัดตั้งด่านเก็บจังกอบสำหรับสินค้าทั่วไปในสถานที่ที่สะดวกแก่ผู้ชำระ เป็นต้นว่า ทางบกตั้งที่ปากทางหรือทางที่จะเข้าเมือง ทางน้ำตั้งที่ใกล้ท่าแม่น้ำหรือเป็นที่ทางร่วมสายน้ำ ด่านเก็บจังกอบนี้เรียก "ขนอน" ขนอนในสมัยสุโขทัยนี้มีหลายประเภทโดยเรียกชื่อตามสถานที่ตั้ง เช่น ขนอนบก ขนอนน้ำ ขนอนชั้นนอก ขนอนชั้นใน และขนอนตลาด เป็นต้น
    อย่างไรก็ดี ถึงแม้จะปรากฏหลักฐานว่าในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหงเป็นสมัยปลอดภาษีค้าขาย แต่ก็ไม่ปรากฏว่าหลังสมัยนั้นจะมีการเก็บอีกหรือไม่

    ลักษณะของขนอนในสมัยอยุธยา
    ในสมัยอยุธยา ปรากฏหลักฐานว่ารายได้ประเภทหนึ่งของรัฐบาลมาจากการเก็บ "จังกอบ" ซึ่งสมัยนี้เปลี่ยนมาเรียกว่า "อากรขนอน" หรือ "ภาษีผ่านด่าน" โดยเก็บจากผู้นำสินค้าผ่านด่านอันตั้งไว้ทั้งทางบกและทางน้ำ วิธีการเรียกเก็บคงใช้เหมือนสมัยสุโขทัย

    ป.ล. วิธีเรียกเก็บภาษีไม่เท่ากันทุกเชื้อชาติเป็นเหตุให้มีการเรียกร้องกันว่าไม่มีมาตรฐานในการเรียกเก็บ ดังนั้นจึงมีการออกพระราชกำหนดธรรมเนียมการค้าขึ้นในสมัยพระเจ้าปราสาททอง ห่างจากสมัยสมเด็จพระนเรศวรไป 29 ปี ห่างจากสมัยพระเอกาทศรถไป 24 ปี ตราขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๑๗๗
     
  12. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    พระราชกำหนดปีมหาศักราช ๑๕๕๖ (ค.ศ. ๑๖๓๔) : ว่าด้วยค่าธรรมเนียมที่ V.O.C. ต้องเสียในการเข้ามาค้าขายในอาณาจักรอยุธยา

    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]พระราชกำหนดปีมหาศักราช ๑๕๕๖ (ค.ศ. ๑๖๓๔ พ.ศ. ๒๑๗๗)[/FONT]
    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]: ว่าด้วยค่าธรรมเนียมที่ V.O.C. ต้องเสียในการเข้ามาค้าขายในอาณาจักรอยุธยา [/FONT]
    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]: วารสารอักษรศาสตร์ ม.ศิลปากร : ปีที่ 9 ฉบับที่ 1 2529 [/FONT]
    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]: ธีรวัต ณ ป้อมเพชร : อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย[/FONT]

    ในระหว่างที่กำลังค้นคว้าจดหมายเหตุฮอลันดาอยู่ ณ กรุงเฮก เมื่อปี ค.ศ. ๑๙๗๙ และ ๑๙๘๐ ผู้เขียนได้มีโอกาสอ่านเอกสารหลายฉบับ ซึ่งจัดได้ว่าเป็นเอกสารที่สำคัญและมีข้อมูลใหม่ ๆ สำหรับผู้ที่ศึกษาประวัติศาสตร์ไทยสมัยอยุธยา ในฐานะที่ผู้เขียนเป็นคนไทยซึ่งจำเป็นต้องไปอยู่ถึงประเทศเนเธอร์แลนด์ เพื่อที่จะวิจัยเรื่องราชวงศ์ปราสาททอง เอกสารประเภทที่น่าทึ่งที่สุดประเภทหนึ่งได้แก่เอกสารที่ล่ามหรือนักแปลของบริษัท V.O.C. ได้แปลจากต้นฉบับภาษาไทยออกมาเป็นภาษาฮอลันดา เอกสารเหล่านี้จะถือว่าเป็นเอกสารไทยก็ไม่ได้เพราะไม่มีต้นฉบับภาษาไทยเหลืออยู่แล้ว มีเหลืออยู่แต่เพียง “ฉบับแปล” ในภาษาดัทช์โบราณ เอกสารประเภทนี้ส่วนมากจะเป็นฉบับแปลของพระราชสาส์น เช่น พระราชสาส์นที่สมเด็จพระเจ้าปราสาททองเขียนถึงเจ้าชาย Frederik Hendrik แห่ง Orange และจดหมายจากออกญาพระคลังถึงข้าหลวงใหญ่ (Governor-General) ของ V.O.C. ณ กรุงปัตตะเวีย พระราชกำหนดหรือคำสั่งของโกษาธิบดีนั้นจะมีอยู่น้อยมากในบรรดาเอกสารที่แปลจากต้นฉบับภาษาไทย

    เอกสารที่จะนำมาพิจารณาในบทความนี้มีหัวข้อว่า “ฉบับแปลของพระราชกำหนดว่าด้วยค่าธรรมเนียมซึ่งฮอลันดาต้องเสียเมื่อเข้ามาในอาณาจักรอยุธยา” ตราโดยพระมหากษัตริย์สยาม เมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม ค.ศ. ๑๖๓๔ เอกสารฉบับนี้อยู่ในจดหมายเหตุ V.O.C. ชุด Overgekomen Brieven en Papieren ซึ่งเก็บไว้ที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติของประเทศเนเธอร์แลนด์ ณ กรุงเฮก (Algemeen Rijksarchief, Den Haag) เอกสารที่บรรจุไว้ในชุด Overgekomen Brieven เป็นเอกสารที่เขียนขึ้นในสถานที่ต่างๆ ในเอเชียและส่งผ่านกรุงปัตตะเวียมายังสำนักงานใหญ่ของบริษัท V.O.C. ณ กรุงอัมสเตอร์ดัม

    เนื้อหาของเอกสาร

    เอกสารเริ่มด้วยการอธิบายเหตุผลของพระมหากษัตริย์ไทย (สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง) ในการที่ออกพระราชกำหนดฉบับนี้ เหตุผลที่เด่นที่สุดได้แก่ พระราชประสงค์ที่จะอำนวยความ สะดวกให้แก่พ่อค้าต่างชาติที่เข้ามาทำการค้าขายในเมืองไทย ไม่อยากให้เจ้าหน้าที่ของหลวงกีดกัน รังแกหรือเอาเปรียบพ่อค้าต่างชาติ ทั้งนี้ก็เพราะนาย Joost Schouten พ่อค้า V.O.C. ประจำกรุงศรีอยุธยา ได้ยื่นคำร้องขอให้ทางราชสำนักไทยลดจำนวนค่าธรรมเนียมที่ V.O.C. ต้องเสียในการเข้ามาค้าขายในเมืองไทย และประท้วงว่าเจ้าหน้าที่ไทยเอาเปรียบบริษัทฮอลันดาด้วยการเรียกร้องของขวัญและค่าธรรมเนียมเกินความสมควร พระมหากษัตริย์ไทยจึงเห็นจำเป็นที่จะออกพระราชกำหนดควบคุมและวางระเบียบเรื่องการที่ V.O.C. จะต้องเสียค่าธรรมเนียมและการมอบของขวัญให้เจ้าหน้าที่ของหลวง

    ข้อแรก

    เป็นข้อที่ยาวที่สุดและเป็นข้อที่ต้องนำมาใช้บ่อยที่สุดในการค้าของ V.O.C. ในเมืองไทยเพราะเป็นการวางระเบียบเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมที่ V.O.C. จะต้องจ่ายให้หลวงเมื่อเรือของบริษัทเข้ามาค้าขายในอาณาจักรอยุธยา พร้อมด้วยการวางระเบียบว่าด้วยเรื่องการมอบ “ของขวัญ” ให้ขุนนางและเจ้าพนักงานของหลวง จะขอกล่าวโดยละเอียดเกี่ยวกับเรื่องราวในส่วนนี้ของพระราชกำหนด

    ก่อนอื่น V.O.C. จะต้องมอบของขวัญให้ ออกญาพระคลัง (โกษาธิบดี) เป็นผ้าแขก ๒ ชนิด มีราคารวมเป็น ๒๐ บาท ในการเดินเรือขึ้นมาจากปากน้ำเพื่อจะมาค้าขายที่กรุงศรีอยุธยา V.O.C. จะต้องขอเอกสารจากโกษาธิบดี ซึ่งชาวฮอลันดาเรียกว่า “Tra Khousa” (“ตราโกษาธิบดี”) เอกสารประเภทนี้เป็นใบอนุญาตให้เดินเรือในแม่น้ำเจ้าพระยา V.O.C. จำเป็นต้องขอ “ตราโกษาธิบดี” ๒ ใบ ทุกครั้งที่ส่งเรือมาค้าขายถึงกรุงศรีอยุธยา เพราะต้องมีใบอนุญาตสำหรับทั้งการเดินเรือขึ้นไปที่กรุงศรีอยุธยาและการเดินเรือกลับลงไปที่ปากน้ำ ทุกครั้งที่ขอให้โกษาธิบดีตราเอกสารประเภทนี้ V.O.C. จะต้องจ่ายเงิน ๒๐ บาทให้ ออกพระโชดีกราชเศรษฐี (ในเอกสารเขียนไว้ว่า “Opra + Jeduck Rasitij”) ในเมื่อ V.O.C. ต้องขอใบอนุญาต ๒ ใบ ทุกครั้งที่มาค้าขายในกรุงศรีอยุธยาออกพระโชดึกฯ ก็จะได้รับเงินจำนวน ๔๐ บาทด้วยกัน ในฐานะที่เป็นผู้เดินเรื่องเกี่ยวกับ “ตราโกษาธิบดี” ในการซื้อสินค้าไม้ฝาง ข้าว และข้าวเปลือกทั้งภายในและภายนอกเขตกรุงศรีอยุธยาเพื่อส่งออก V.O.C. จะต้องเสียเงินให้ พระมหากษัตริย์ ตามประเพณีในจำนวนดังต่อไปนี้

    สำหรับไม้ฝางทุก ๑,๐๐๐ หาบจะต้องเสีย ๒๐ บาท สำหรับข้าวทุกเกวียนจะต้องเสียเกวียนละ ๑ บาท และสำหรับข้าวเปลือกทุกเกวียนจะต้องเสียเกวียนละ ๒ สลึง

    กรมท่าในสมัยโบราณแบ่งออกเป็น กรมท่าขวาภายใต้ขุนนางแขก (จุฬาราชมนตรี) และกรมท่าซ้ายภายในใต้ขุนนางจีน (โชดึกราชเศรษฐี) V.O.C. ต้องมอบของขวัญให้เจ้ากรมทั้งสองนี้ เป็นผ้า ๒ ชนิด ซึ่งจะต้องมีราคารวมเป็น ๑๓ บาท (รวมหมดฮอลันดาจะต้องเสียค่าของขวัญ ๒๖ บาท) นอกเหนือจากนี้แล้วเมื่อ V.O.C. ขอเอกสาร “ตราอนุญาต” หรือ “passport” จากออกพระโชดึกราชเศรษฐี ในการเดินเรือขึ้น/ล่องแม่น้ำเจ้าพระยาก็จะต้องจ่ายเงินอีก ๑๐ บาท และเวลา V.O.C. ซื้อสินค้าไม้ฝาง ข้าวและข้าวเปลือกเพื่อส่งออกก็จะต้องมอบผ้าราคา ๘ บาทให้ออกพระ โชดึกราชเศรษฐี ทั้งนี้ก็เพราะออกพระโชดึกราชเศรษฐีคุมกรมที่มีหน้าที่ดูแลเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ “วิลันดา” (ฮอลันดา) ในกรมท่าซ้ายมีขุนนางซึ่งมีบรรดาศักดิ์เป็น “หลวงเทพภักดี” มีหน้าที่เป็น “เจ้าท่าได้ว่าวิลันดา”

    (ออกพระโชดึกราชเศรษฐี น่าจะเป็นพระญาติของพระเจ้าปราสาททองท่าน... ความเห็นส่วนตัวทางสายธาตุ)

    เจ้าหน้าที่อื่นๆ ในกรมท่าก็ได้รับของขวัญหรือเงินจาก V.O.C. เช่น ออกขุนราชเศรษฐี (ปลัดกรม) ได้รับของขวัญเป็นผ้าราคา ๘ บาท ออกขุนเทพภักดี (“เจ้าท่าได้ว่าวิลันดา”) ได้รับของขวัญผ้าราคา ๘ บาท เช่นกัน และ ออกหลวงศรียศราชมนตรี (“Schiut Raj-Montrij”) เจ้าท่าได้รับของขวัญผ้า ๒ ชนิดราคารวมเป็น ๓๓ บาท

    ออกหลวงศรียราชมนตรีคงจะเป็นขุนนางที่มีบทบาทมากในการค้ากับต่างชาติเพราะ V.O.C. ยังต้องให้เงินอีก ๒๐ บาท ทุกครั้งที่ต้องอาศัยล่ามหรือ “Tanaj” (ทนาย) ของออกหลวงศรียศฯ เช่น ในการซื้อและชั่งน้ำหนัก (หรือตวง) ไม้ฝางหรือข้าวสารกับข้าวเปลือก ในการซื้อข้าวสารและข้าวเปลือก V.O.C. จำเป็นต้องมอบของขวัญให้เจ้าพญาพลเทพ (“Tjau Phija Poele Tip”) เสนาบดีกรมนาหรือเกษตราธิบดี ของขวัญนี้ต้องประกอบด้วยผ้าราคา ๑๒ บาท เจ้าพนักงานสามคนที่ควบคุมการตวงข้าวสาร และข้าวเปลือกต่างก็ได้รับของขวัญเป็นผ้าคนละหนึ่งชิ้น

    บริษัท V.O.C. จำเป็นต้องจ่ายเงิน ๔ บาทให้ เสมียนของโกษาธิบดี ทุกครั้งที่มีการบันทึกเอกสาร “ตราโกษาธิบดี” ที่อนุญาตให้เรือ V.O.C. แล่นในแม่น้ำเจ้าพระยาขึ้นมาถึงกรุงศรีอยุธยา ส่วน เสมียนของออกพระโชดึกราชเศรษฐี จะได้รับเงินจาก V.O.C. เป็นจำนวน ๘ บาท เพราะเป็นคนเขียนเอกสาร “ตรา” ให้ V.O.C. ทั้งขาเข้าและขาออก

    ทุกครั้งที่ V.O.C. ซื้อไม้ฝางจากหลวง บริษัทจะต้องจ่ายเงิน ๔๐ บาท ให้กรมพระคลังใน (“Clanghneij”) และ กรมพระคลังวิเศษ (“Clanghpjsidt”) สำหรับสินค้าไม้ฝางที่ซื้อทุก ๑,๐๐๐ หาบ นอกจากนี้แล้ว V.O.C. ยังต้องเสียอีก ๘ บาท ให้ กรมการพระคลังวิเศษ (“Crommecan Clangh-Pijsit”) และ ๘ บาท ให้ กรมการราชสรรพากร (“Crommecan Raijsarpacon”) เจ้าพนักงานสามคนซึ่งประจำอยู่ที่ ขนอนธนบุรี หรือ บางกอก (“Thonbourij”/ “Bancock”) ได้รับเงินจำนวน ๑๒ บาท (คนละ ๔ บาท) ทุกครั้งที่เรือ V.O.C. เข้ามาค้าขายในกรุงศรีอยุธยาและจำเป็นต้องผ่านธนบุรีและบางกอก เอกสารฉบับนี้มีเอ่ยถึง “Naij Canon Tonbourij” (นายขนอนธนบุรี) ว่าเป็นหนึ่งในเจ้าพนักงานสามคนที่อยู่บางกอก /ธนบุรี เมื่อเรือฮอลันดาแล่นขึ้นไปใกล้กรุงศรีอยุธยาแล้ว ก็จะต้องผ่าน ขนอนบางตะนาว แล้วก็จะต้องให้เงินแก่เจ้าหน้าที่สองคนที่ขนอนบางตะนาวเป็นจำนวน ๑๒ บาท

    ข้อที่สอง

    ของพระราชกำหนดฉบับนี้ระบุไว้ว่า ในกรณีที่เรือของ V.O.C. นำทูตฮอลันดาและพระราชสาส์นของเจ้าชายแห่ง Orange มาถวายพระมหากษัตริย์ไทย V.O.C. ก็จะไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมเรือใดๆ ทั้งสิ้น หมายความว่าไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมในการขอ “ตราโกษาธิบดี” และเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการนำเรือเข้ามาแล่นในแม่น้ำเจ้าพระยา แต่ V.O.C. ยังคงต้องเสียค่าธรรมเนียมและมอบของขวัญให้เจ้าหน้าที่ของหลวงเวลาซื้อสินค้าจากราชสำนักไทย


    ข้อที่สาม

    ระบุไว้ว่า หากเรือ V.O.C. นำผู้แทนและจดหมายจากข้าหลวงใหญ่ของฮอลันดา ณ กรุงปัตตะเวีย (Governor- General) เพื่อมาถวายพระมหากษัตริย์ไทย V.O.C. ก็จะไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมเรือ แต่ V.O.C. ยังคงต้องเสียเงินและยังคงต้องมอบของขวัญให้แก่เจ้าหน้าที่ของหลวงในการซื้อไม้ฝาง ข้าว และข้าวเปลือก แล้วยังคงต้องมอบของขวัญให้ขุนนางในราชสำนักไทยตามที่ระบุไว้ในข้อแรกของพระราชกำหนด

    ข้อที่สอง และ ข้อที่สาม

    แสดงให้เห็น ความสำคัญของการทูต ในสายตาของราชสำนักไทย สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ได้รับพระราชสาส์นจากเจ้าชาย Frederik Hendrik แห่ง Orange ถึงสามฉบับด้วยกัน และได้ทรงตอบพระราชสาส์นทั้งสามฉบับ (ใน ค.ศ. ๑๖๓๓, ๑๖๓๖ และ ๑๖๔๑) ( ๓ ) ส่วน Governor-General ของ V.O.C. ที่ปัตตะเวียนั้นเขียนจดหมายถึงพระมหากษัตริย์ไทยและถึงออกญาพระคลังทุกปีเป็นประจำ

    ข้อที่สี่

    ของพระราชกำหนดระบุไว้ว่าในกรณีที่เรือ V.O.C. มาทอดสมอจอดอยู่ที่ปากน้ำและไม่แล่นขึ้นมาที่กรุงศรีอยุธยา เรือลำนั้นจะไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมเรือในกรณีที่ V.O.C. ซื้อไม้ฝางจากหัวเมือง เช่น เมืองเพชรบุรี (“Pitsiabourij”) เมืองราชบุรี (“Ratsiabourij”) เมืองกุย (“Cuij”) และ เมืองสองพี่น้อง (“Songh Phij-Nongh”) V.O.C. จะต้องมอบของขวัญให้เจ้าเมืองและปลัดของเมืองเหล่านั้น และต้องจ่ายค่าเบี้ยเลี้ยง (“Bija-Lijeangh”) ให้เจ้าหน้าที่และพ่อค้าที่นำไม้ฝางมาขายให้บริษัทฮอลันดา

    เอกสารฉบับนี้ตราขึ้นเมื่อเดือนเก้าของปีจอ มหาศักราช ๑๕๕๖ เอกสารฉบับอื่นๆ จากรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททองล้วนแต่ใช้ จุลศักราช จึงเป็นสิ่งที่น่าสังเกตว่าพระราชกำหนดฉบับนี้ใช้ปีในมหาศักราช

    ข้อมูลเพิ่มเติมบางประการ

    พระราชกำหนดฉบับนี้เป็นการจัดระเบียบเรื่องการเสียค่าธรรมเนียมและการมอบของขวัญที่ V.O.C. จำเป็นต้องทำในอาณาจักรอยุธยา นาย Schouten พอใจมากในพระราชกำหนดฉบับนี้
    เพราะเขาอ้างว่าการที่มีระเบียบแน่นอนเช่นนี้จะทำให้ และ V.O.C. ทุ่นเงินไปถึง ๕,๐๐๐ guilders ( ๔ ) และ V.O.C. คงจะโล่งใจด้วยว่าในอนาคตเขาจะไม่ต้องต่อรองกับขุนนางและเจ้าหน้าที่ของหลวงอีกแล้วในเรื่องการจ่ายค่าธรรมเนียมและการให้ของขวัญ การวางระเบียบเรื่องค่าธรรมเนียมครั้งนี้เป็น การลดอัตราค่าธรรมเนียมที่ V.O.C. ต้องเสียไป เป็นครึ่งหนึ่งของจำนวนอัตราที่เคยเสีย แสดงว่าสมเด็จพระเจ้าปราสาททองกำลังโปรดปรานบริษัท V.O.C. และนาย Schouten ทั้งนี้ก็เพราะใน ค.ศ. ๑๖๓๔ นั้นเอง V.O.C. ได้ส่งเรือรบ ๖ ลำ ไปช่วยอยุธยาปราบ “กบฏ” ปัตตานี

    ในต้นรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททองทรงมีปรารถนาที่จะบังคับให้ ปัตตานีและเขมรกลับมาเป็นเมืองประเทศราชของอยุธยา ( ๕ ) ใน ค.ศ. ๑๖๓๓ พระองค์ได้ส่งพระราชสาส์นไปถึงเจ้าชาย Frederik Hendrik แห่งราชวงศ์ Orange และ Governor-General Brouwer ขอร้องความช่วยเหลือจากฮอลันดาในการที่อยุธยาจะไปรบปัตตานีและเขมร ทรงอ้างว่าไทยและ V.O.C. เป็นพันธมิตรกัน ทรงย้ำประเด็นนี้เพราะทรงถือว่าทั้งไทยและ V.O.C. เป็นศัตรูของโปตุเกส และในเมื่อโปตุเกสเข้าข้างปัตตานี V.O.C. ก็คงจะมีแนวโน้มที่จะเข้าข้างอยุธยา แต่อันที่จริงแล้ว V.O.C. คิดถึงผลประโยชน์ทางการค้ามากกว่าเรื่องสัมพันธภาพทางการเมือง


    V.O.C. ได้ขอสิทธิพิเศษทางการค้าจากราชสำนักไทยหลายครั้งใน ค.ศ. ๑๖๓๓ เช่น สิทธิผูกขาดในการส่งออกสินค้าหนังกวาง ( ๖ ) และได้ขอประทานที่ดินใหม่จากพระมหากษัตริย์ไทย เพื่อจะสร้างสำนักการค้า (“factorij”) ใหม่ในกรุงศรีอยุธยา ในเดือนมกราคม ค.ศ. ๑๖๓๔ ราชสำนักไทยยอมให้สิทธิผูกขาดในการส่งออกหนังกวางในช่วงเวลาหนึ่งปี (ค.ศ. ๑๖๓๔/๕) V.O.C. จึงมีความคิดว่าถ้าส่งเรือรบมาช่วยกองทัพของสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง บริษัทจะมีโอกาสอีกในอนาคตที่จะขอสิทธิพิเศษทางการค้าจากพระมหากษัตริย์ไทย

    ถึงแม้ว่าเรือรบของ V.O.C. จะมาถึงปัตตานีช้าเกินไปที่จะช่วยเหลือกองทัพของอยุธยาได้ (กองทัพอยุธยาได้ประสบความล้มเหลวในการบุกเข้าไปตีเมืองปัตตานีและจำเป็นต้องถอยทัพ) สมเด็จพระเจ้าประสาททองก็ยังทรงพอพระทัยในความหวังดีของพวกฮอลันดา เรือรบของ V.O.C. มิได้พยายามบุกเข้าตีเมืองปัตตานีแต่ได้เผาเรือของข้าศึกไป ๖ ลำ และจับเชลยศึกได้จำนวนหนึ่ง เมื่อ Schouten กลับมาที่กรุงศรีอยุธยาพร้อมกับเรือรบ V.O.C. และจดหมายกับของขวัญจาก Governor-General van Diemen ในเดือนมิถุนายน ๑๖๓๔ เขาได้รับการรับรองอย่างดีจากราชสำนักไทย พระองค์ประทานที่ผืนหนึ่งให้บริษัท V.O.C. เพื่อที่จะใช้สร้างสำนักการค้าใหม่ตามที่ V.O.C. ได้ขอไว้ใน ค.ศ. ๑๖๓๓ ถือได้ว่าเป็นการ “ให้รางวัล” V.O.C. ที่ได้ส่งเรือรบมาช่วยกองทัพของอยุธยา ในเดือนกรกฎาคมสมเด็จพระเจ้าปราสาททองได้ประทาน******บหมากทองให้แก่ Schouten นาย Schouten เห็นว่า V.O.C. กำลังเป็นที่โปรดปรานของพระมหากษัตริย์ไทย จึงถือโอกาสยื่นคำร้องขอให้มีการวางระเบียบเรื่องการเสียค่าธรรมเนียมและเรื่องการมอบของขวัญให้ขุนนางในราชสำนักไทยเวลา V.O.C. ส่งเรือเข้ามาค้าขายในเมืองไทยและเนื่องจากพระองค์ทรงพอพระทัยในการกระทำของ V.O.C. ที่ปัตตานี สมเด็จพระเจ้าปราสาททองจึงได้ตกลงตราพระราชกำหนดฉบับนี้ขึ้นมาในเดือนสิงหาคม ค.ศ. ๑๖๓๔ หรือ พ.ศ. ๒๑๗๗

    [​IMG]

    แผนที่อุษาคเนย์สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤศจิกายน 2009
  13. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ออกญาพระคลัง (โกษาธิบดี)

    ระยะตั้งแต่ปลายสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เรื่อยมา จะมีบุคคลสำคัญคนหนึ่ง เป็นชาวอิหร่าน เข้ามารับราชการในกรุงศรีอยุธยา นั่นคือ ท่านเฉกอะหมัด

    เจ้าพระยาบวรราชนายก (เฉกอะหมัด)


    <!-- start content -->[​IMG]
    เจ้าพระยาบวรราชนายก (เฉกอะหมัด)



    เจ้าพระยาบวรราชนายก (เฉกอะหมัด) เป็นมุสลิมชีอะหฺอิษนาอะชะรียะหฺ (สิบสองอิมาม) เกิดเมื่อ พ.ศ. 2086 ณ ตำบลปาอีเนะชาฮาร ในเมืองกุม ซึ่งเป็นเมืองศูนย์กลางของศาสนาอิสลามตั้งอยู่บนที่ราบต่ำทางตอนเหนือของเตหะราน ในประเทศอิหร่าน<SUP class=reference id=cite_ref-0>[1]</SUP>
    การเดินทางสู่กรุงศรีอยุธยา

    ในยุคสมัยที่ท่านเฉกอะหมัดเดินทางเข้ามากรุงศรีอยุธยานั้น เป็นยุคที่โปรตุเกสเรืองอำนาจทางทะเลในแถบมหาสมุทรอินเดีย ทำให้พ่อค้าชาวพื้นเมืองต้องใช้เส้นทางขนส่งสินค้าทางบกเป็นช่วงๆ เส้นทางที่เป็นไปได้ในการเดินทางจากอิหร่านเข้าสู่กรุงศรีอยุธยาในสมัยนั้น คือเดินเท้าจากเมืองแอสตะราบาดเข้าสู่แคว้นคุชราตในอินเดียตะวันตก จากนั้น เดินเท้าตัดข้ามประเทศอินเดียมายังฝั่งตะวันออกทางด้านโจฬมณฑล จากนั้นลงเรือข้ามอ่าวเบงกอลและทะเลอันดามันมายังเมืองตะนาวศรีหรือเมืองมะริด แล้วจึงเข้าสู่กรุงศรีอยุธยา
    ปลายแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เฉกอะหมัดและบริวารได้เข้ามายังกรุงศรีอยุธยา ตั้งบ้านเรือนและห้างร้านค้าขาย อยู่ที่ตำบลท่ากายี ท่านค้าขายจนกระทั่งมีฐานะเป็นเศรษฐีใหญ่ในกรุงศรีอยุธยา ท่านสมรสกับท่านเชย มีบุตร 2 คนและธิดา 1 คน

    ปฐมจุฬาราชมนตรี

    ปลายแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ท่านเฉกอะหมัดได้ช่วยปรับปรุงราชการกรมท่า จนได้ผลดี จึงโปรดเกล้าฯให้เป็นพระยาเฉกอะหมัดรัตนราชเศรษฐีเจ้ากรมท่าขวาและ จุฬาราชมนตรี นับได้ว่าท่านเป็นปฐมจุฬาราชมนตรีและเป็นผู้นำพาศาสนาอิสลามนิกายชีอะหฺอิษนาอะชะรียะหฺ มาสู่ประเทศไทย ต่อมาท่านเฉกอะหมัดพร้อมด้วยมิตรสหาย ร่วมใจกันปราบปรามชาวต่างชาติกลุ่มหนึ่ง ที่ก่อการจลาจล และจะยึดพระบรมมหาราชวัง จึงโปรดเกล้าฯ ให้เป็น เจ้าพระยาเฉกอะหมัด รัตนาธิบดี สมุหนายกอัครมหาเสนาบดีฝ่ายเหนือ

    สายสกุล

    ในปลายแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าปราสาททองโปรดเกล้า ฯ ให้ท่านเฉกอะหมัดซึ่งมีอายุ 87 ปี เป็นเจ้าพระยาบวรราชนายกจางวางกรมมหาดไทย ท่านได้ถึงแก่อสัญกรรม เมื่อ พ.ศ. 2174 รวมอายุ 88 ปี ท่านเฉกอะหมัดนี้ท่านเป็นต้นสกุลของไทยมุสลิมหลายนามสกุลและสกุลบุนนาค เป็นต้นสกุลของเจ้าพระยาหลายท่านในระยะเวลาต่อมา อาทิ เจ้าพระยาอภัยราชา (ชื่น) เจ้าพระยาชำนาญภักดี (สมบุญ) เจ้าพระยาเพชรพิไชย (ใจ) และมีบรรดาศักดิ์เป็นสมเด็จเจ้าพระยาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ถึง 3 ท่าน คือ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ) สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ (ทัต บุนนาค) และสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) รวมทั้งเป็นต้นสกุลของสายสกุลที่มีความสำคัญต่อการปกครองประเทศตลอดมา สถานที่ฝังศพของท่านเฉกอะหมัด ตั้งอยู่ในบริเวณสถาบันราชภัฏพระนครศรีอยุธยา


    คาดว่าผู้ที่ดำรงตำแหน่ง ออกญาพระคลัง (โกษาธิบดี) ในสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ เรื่อยมาจนถึงสมัยพระเจ้าทรงธรรม น่าจะเป็นท่านเฉกอะหมัด แต่ในสมัยพระเจ้าปราสาททองจะเป็นใครหรือจะเป็นลูกชายท่านเฉกอะหมัดก็เป็นได้

    จากนั้นในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ผู้ที่ดำรงตำแหน่งนี้คือ เจ้าพระยาโกษาเหล็ก พี่ชายท่านเจ้าพระยาโกษาปาน ราชทูตไทยที่ไปเจริญพระราชไมตรีกับประเทศฝรั่งเศส

    แนบเรื่องหลวงพ่อฤาษีลิงดำนิดนึง เกี่ยวกับเรื่องเจ้าพระยาโกษาเหล็ก ท่านเขียนไว้นะคะที่นี่ค่ะ กดอ่านดูนะคะ http://www.luangporruesi.com/999.html





     
  14. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    เรื่องสู้รบในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เคยอ่านความเห็นของคุณ CHAYA MARUTY ในกระทู้ เรื่องเล่า ก่อนนอนคืนนี้ของเหล่าคนมีตาทิพย์

    http://palungjit.org/threads/เรื่องเล่า-ก่อนนอนคืนนี้-ของเหล่าคนผู้มีตาทิพย์.158289/page-26 อ่านแล้วเห็นภาพตาม ยิ่งตอนที่คุณ CHAYA MARUTY บรรยาความรู้สึกในขณะออกรบ อ่านแล้วขนลุก เรื่องสู้รบต้องนักรบพูดจึงจะเหมาะสม

    กลอนข้างล่างนี้ อ่านครั้งแรกคิดตาม แล้วประจักษ์ใจเลยว่า คำว่าจงรักภักดี ของเหล่าข้าทหารเก่าหนักแน่น ศักดิ์สิทธิ์ ที่สุด จึงขอคัดลอกมาเผยแพร่ในกระทู้ของคุณจงรักภักดี เพราะชื่อของคุณจงรักภักดี เหมาะสมกับกลอนนี้ด้วยค่ะ


    ..........ถวาย บังคม ก้มศิระ แทบฝ่าพระบาท
    ความภักดี ยังข้ามชาติ มาถึงนี่

    เคยถวาย อารักขา ด้วยชีวี
    400 ปี มิลืมเลือน เหมือนวันวาน

    ..........ดาบสองมือคู่ใจไปทั่วทิศ
    พร้อมด้วยมิตร ทหารกล้า พระองค์ท่าน
    เข้าสู้ศึก ปัจจะมิตร คิดรุกราน
    รักษาบ้าน เมืองไว้ ให้อยู่ดี

    ............ตายแล้วเกิด มาใหม่ อีกชาติหนึ่ง
    ยังคงซึ้ง พระคุณ ธ.ทรงศรี
    หากพระองค์ ทรงบัญชา ให้ราวี
    ตายอีกที เพื่อพระนเรศ ดัง เจต ฯ เอย

     
  15. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    นึกถึงเมื่อครั้งไปปฎิบัติธรรมเป็นประจำๆที่วัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี ยังจำเรื่องของเจ้าสัวสองคนมาพร้อมกับคนฮอลันดา มาร่วมกันสร้างโบสถ์หลังเก่าของวัด พออ่านพระราชกำหนดส่วนที่ว่า

    ออกพระ โชดึกราชเศรษฐี ทั้งนี้ก็เพราะออกพระโชดึกราชเศรษฐีคุมกรมที่มีหน้าที่ดูแลเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ “วิลันดา” (ฮอลันดา) ในกรมท่าซ้ายมีขุนนางซึ่งมีบรรดาศักดิ์เป็น “หลวงเทพภักดี” มีหน้าที่เป็น “เจ้าท่าได้ว่าวิลันดา”

    ทำให้กลับไปนึกถึงเรื่องของเจ้าสัวทั้งสองที่สร้างโบสถ์วัดอัมพวันในสมัยพระนารายณ์มหาราช จากกระจกที่บันทึกประวัติผู้สร้าง สร้างในสมัยเม็งเซี้ยวสามร้อยกว่าปี ว่าอย่างนี้ ราชวงศ์หมิง ล่มสลายปี ค.ศ. 1644 หรือปี พ.ศ. 2187 พอดีอ่านคำว่าหมิงได้และเห็นรูปกระจกที่บันทึกประวัติคนสร้างวัดแล้วจากหนังสือกฏแห่งกรรม เล่มที่ 8 ของหลวงพ่อจรัญ เป็นราชวงศ์หมิง ดังนั้นโบสถ์เก่าวัดอัมพวัน น่าจะสร้างในแผ่นดินพระเจ้าปราสาททองมากกว่า เพราะว่าพระนารายณ์มหาราชท่านครองราชย์ พ.ศ. 2199 นะคะ แต่เขียนว่าราชวงศ์หมิง สามร้อยกว่าปี (คำจีนง่ายๆพออ่านได้ค่ะ) ก็ต้องเข้าแผ่นดินพระนารายณ์มหาราชแล้ว (ราชวงศ์หมิงคงอยู่เพียง 276 ปี ล่มสลายในปี พ.ศ. 2187)

    จากเวปไซด์วัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี

    สมัยอาตมามาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส พ.ศ. ๒๕๐๐ ปี ๒๔๙๙ รักษาการ วัดนี้เป็นป่าดงพงไพร อุโบสถหลังเก่าบัดนี้ก็พังแล้ว ปรากฏชัดจากอุโบสถที่รื้อมาสมัยเม็งจู ถ้าพูดภาษาแต้จิ๋วเรียกว่า เหม็งเชี้ยว (พูดภาษาจีนกลางต้องพูดว่า หมิงจู่ แปลว่าสมัยหมิง หรือ Ming Dynasty ... ทางสายธาตุ)สร้างมาหลายปี คนจีนสร้าง ทำไมถึงรู้ เพราะจารึกแผ่นศิลาเป็นภาษาจีนหมด มีสตางค์จีน ๗ ปีบ มีเครื่องกังไสมากมาย มีทั้งเพชรนิลจินดา มีหยกข้อมือม้ามังกร ม้าวิ่งเก้าตัวครบ ก็เก็บเอาไว้ที่เก่าตามเดิม ขอเจริญพรญาติพี่น้องที่มิได้ทราบประวัติวัดนี้ก่อน สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีคนจีน ๒ คน ชื่อ กิมเหลียงกิมจือ พร้อมด้วยเพื่อนสนิทมิตรสหายฝรั่งชาติฮอลันดา ได้นำเรือกำปั่นมาจอดหน้าวัดนี้ เลื่อมใสเจ้าอาวาส ได้จารึกไว้ว่า เจ้าอาวาสชื่อ ท่านพระครูญาณสังวร มีอายุ ๙๙ ปี เชี่ยวชาญทางวิปัสสนาจารย์

    <TABLE style="FONT-SIZE: 12px" cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR style="FONT-SIZE: 12px"><TD style="FONT-SIZE: 12px" width="88%">อาตมาก็คำนวณได้ เพราะตู้พระไตรปิฎกที่วัดนี้มี ๒ ตู้ ตู้หนึ่งสร้างถวายไหว้เมื่อ พ.ศ. ๒๒๐๐ อีกตู้หนึ่งถวาย พ.ศ. ๒๓๐๐ ตั้งแต่กรุงศรีอยุธยาแตกทัพครั้งสุดท้ายยังอยู่ครบ และจารึกต่อไปว่า กิมเหลียงกิมจือนี้ ทำการค้ากับสมเด็จพระนารายณ์ ในสมัยเมื่อ ๕๐๐ ปีมานี้ แม่น้ำเจ้าพระยาลุ่มลึก กรุงเทพมหานครยังเป็นเมืองทะเล เรือก็เดินมาผ่านปากน้ำบางพุทรา สู่ละโว้ค้าขาย ชาติฝรั่งฮอลันดาก็เลื่อมใส ทั้ง ๆ ที่เขานับถือศาสนาคริสต์ พระนาคปรกหิน บอกไว้ชัดในศิลาจารึกของภาษาจีนว่า นาคปรกหูยาน และ เขมรคางคนหูตุ้ม ได้ถวายไว้ในโรงอุโบสถ ขอพระราชทานจากสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มาจนตราบเท่าทุกวันนี้ เดี๋ยวนี้ยังรักษาอยู่ในกุฏิอาตมา ขอเชิญชมได้นี่สมัยเม็งจูสมัยคนจีนไว้ผมเปียและยังมีรูปถ่ายด้วย อาตมาขอลอกเอาไปเขียนไว้ โดยโยมสุนีย์ พันธศุภร ไปจ้างเขียนมา สมัยโน้นคนจีนเขาไว้ผมเปีย(คนจีนแม้จะเป็นชาวฮั่นหรือคนในราชวงศ์หมิง ไม่นิยมตัดผม ผู้ชายก็จะถักเปีย แต่ไม่โกนครึ่งหัวเหมือนชาวแมนจู ... ทางสายธาตุ) ถ้าพูดเป็นภาษาจีนกลาง เรียกว่า เม็งจู

    </TD><TD style="FONT-SIZE: 12px" width="12%"><TABLE style="FONT-SIZE: 12px" cellSpacing=5 cellPadding=0 width=55 align=right border=0><TBODY><TR style="FONT-SIZE: 12px"><TD style="FONT-SIZE: 12px" width=45>[​IMG]</TD></TR><TR style="FONT-SIZE: 12px"><TD style="FONT-SIZE: 12px">[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    ได้ถวายประวัติวัดแด่สมเด็จพระญาณสังวรไว้แล้ว เมื่อท่านเสด็จที่วัดนี้ เอาไปลงจารึกว่าสมเด็จญาณสังวรมี ๓ องค์ องค์หนึ่งคือวัดนี้ องค์ที่สองคือสมเด็จพระสังฆราชไก่เถื่อน องค์ที่สามคือ สมเด็จฯ วัดบวรนิเวศ สมเด็จญาณสังวร ท่านซึ้งใจมาก ประวัติเป็นภาษาจีน อาตมาอ่านภาษาจีนไม่ออก ต้องไปให้คนจีนอ่าน ๓ ตลาด ตรงกันหมด สตางค์จีนยังอยู่ครับ ๗ ปีบ อาตมาเอายัดไว้ข้างนอก ยังไม่รู้ว่าอะไร ไปเมืองจีนมา นำไปให้คนจีนดู คนจีนบอก โอ! หายากสมัยเม็งจู เดี๋ยวนี้ยังเก็บไว้นะ เก็บไว้เพื่อจะเป็นข้อพิสูจน์
    <TABLE style="FONT-SIZE: 12px" cellSpacing=0 cellPadding=10 width="100%" background=../images/dot01.gif border=0><TBODY><TR style="FONT-SIZE: 12px"><TD style="FONT-SIZE: 12px">อาตมาขอเจริญพรว่าโบสถ์หลังนี้คนจีนสร้างแน่นอน มีลักษณะของจีนหมด ถ้วยชากังไส อาตมาไว้ในแท่นพระเอาไว้อย่างดีเลย ถ้าเอาไว้ข้างนอกก็ลี้ลาคลาไคล เพราะอะไร แค่กระเบื้องปูเหมือนปั้นน้ำร้อน เอาออกมากองข้างนอก เดี๋ยวนี้แผ่นเดียวไม่มีเหลือ ทราบจากพวกลพบุรีว่า เขาลักไปแกะพระขาย น่าเสียดายเหลือเกิน ถ้าอาตมาเอาถ้วยโถโอจานไว้ข้างนอก บัดนี้คงถ้วยเดียวก็ไม่เหลือ เลยเอาฝังไว้ในโบสถ์ อาตมาทำไว้แน่นหนาทีเดียว

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    อาตมามาจำพรรษาที่วัดนี้ โบสถ์ก็ใกล้จะพังอยู่แล้ว คืนวันหนึ่งก็มีเสียงประหลาดดังขึ้นบอกว่า "พรุ่งนี้พระคุณเจ้า ๓ โมง ๔๕ นาที โบสถ์พัง" เอ! เสียงอันนี้ต้องตามไปให้ได้ ขอเจริญพรต่อไปว่า โบสถ์หลังนี้แปลกประหลาดมาก เวลาไปทำวัตรตอนเช้า ตอนเย็นต้องเก็บเสื่อ พรม หมด เพราะตอนเช้าน้ำขึ้นเป็นคืบ น้ำขึ้นเอง คนจีนเขาบอก

    "หลวงพ่อ ถ้าจะสร้างโบสถ์ สร้างตรงนี้นะ" อาตมาก็ชิมน้ำดู กลิ่นมันเป็นอย่างนี้เลย ได้ตักใส่ขวดไว้ น้ำนี้มาจากไหน ในโอกาสต่อมา อาตมาก็ไปจัดน้ำได้ น้ำทิพย์ที่วัดไทงั้ง อั้งยีนครแต้จิ๋ว มีบ่อน้ำทิพย์ มีกลิ่นเหมือนกันเลย ไม่ทราบมาขึ้นในโบสถ์ได้อย่างไร มันเป็นเรื่องแปลกเหลือเกิน โบสถ์พังแล้วจึงได้พบศิลาจารึก อาตมาแน่ใจเหลือเกิน ศิลาจารึกเป็นแผ่นดิน อาตมากลัวจะชำรุดทรุดโทรม เลยเก็บไว้เป็นหลักฐานไว้ในแท่นพระประธานต่อไป

    <TABLE style="FONT-SIZE: 12px" cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR style="FONT-SIZE: 12px"><TD style="FONT-SIZE: 12px" width="25%">[​IMG]</TD><TD style="FONT-SIZE: 12px" width="75%">ขอเจริญพรญาติพี่น้องว่า พอออกไป ๓ โมงเศษ โบสถ์พังพอดี พังตามกำหนด อาตมานึกว่าเสียงประหลาดนี้จะตามไปให้ได้ยินอีกต่อไป ทำไมทำมาก็ไปพบอย่างเช่น คนไว้หนวดยาว มีรูปภาพในถ้ำเมืองก้วยหลิน ถ้ำคืนไข่มุก ไปถ่ายรูปมาเหมือนกันเลย เขาเขียนไว้ในถ้ำว่าเป็นนักกวีเอก สมัยฮ่องเต้องค์หนึ่ง ต่อมาอาตมาได้ยินเสียงประหลาดบอกอีกว่า "พระคุณเจ้าครับ คนเก่าเขาจะมาช่วยทำกันเอง" ๑ ปี ๑๖ วันเสร็จเรียบร้อย ทุกประการ ไม่ได้แจกฎีกาแต่ประการใด นี่เล่าประวัติโบสถ์เก่าของพระครูญาณสังวร พอดีมีท่านผู้หนึ่งเข้ามาวัด เข้ามาตามลำดับ คนที่สามคือ พลตรีวสันต์ พานิช ก็มาช่วยกันสร้าง ทั้งสามคนนั้นอาตมาถามประวัติแล้วเป็นคนจีนทั้งหมด มีอากงอาม้าครบ เดี๋ยวนี้ท่านพลตรีวสันต์ ท่านก็มาที่นี่ด้วย ร่วมกันสร้างปีเศษ ๆ ก็เสร็จสิ้น ตอนสมัยท่านเป็นพันเอก เสนาธิการฝ่ายทหารปืนใหญ่ ลพบุร


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    อาตมาก็ตั้งใจพัฒนา หลังจากที่คอหักแล้ว อาตมาขอเจริญพรญาติพี่น้องว่า หมดอายุเมื่อ ๔๙ ปี ต้องตายแน่ ไม่ได้กลับมาอยู่ในโลกมนุษย์อีกดังนี้ รู้ล่วงหน้า ๖ เดือน และอายุ ๔๙ จะขึ้น ๕๐ แล้ว พ.ศ. ๒๕๒๑ วันที่ ๑๔ ตุลาคม เวลา ๑๒.๔๕ น. พระคุณเจ้าจะต้องมรณภาพโดยรถชนคอหักตาย

    อาตมาก็ขออธิษฐานว่า ถ้าข้าพเจ้าใช้หนี้มนุษย์ไม่หมดในชาตินี้ ขอบิณฑบาตชีวิตมาใช้หนี้ให้สิ้นสุดในชาตินี้ชาติเดียว ชาติหน้าอาตมาอย่าไปใช้หนี้เขาเลย เบื่อหน่ายโลกมนุษย์เหลือเกิน เป็นโลกมนุษย์ที่อิจฉา อาตมาไม่อยากจะคบมนุษย์ต่อไปแล้ว มันก็ฟื้นคืนมาได้ กลับมาได้ หมออาจารย์ประดิษฐ์ โรงพยาบาลเลิดสิน บอกว่า มีหลวงพ่อองค์เดียวในโลก ที่คอหักหมุนได้แล้วไม่ตาย ยังพูดได้อีกด้วย และหายใจทางสะดือได้อีกด้วย คือพองหนอ ยุบหนอ บอกใครไม่เชื่อ ถ้าไม่เชื่อลองไปคอหักดู จะรู้กัน อาตมาก็มาใช้หนี้มนุษย์ เริ่มสร้างหอประชุมมาตามลำดับ ขอเจริญพรโยม บุญยง ว่องวานิช ไว้ในที่นี้ด้วยว่า สองแสนคนแล้ว ตั้งแต่สร้างหอประชุมมา พ.ศ. ๒๕๒๔ มีบัญชีครบ แต่ที่ผ่านเข้ามาเป็นธรรมทาน มาฟังธรรมะ ก็คำนวณไว้อย่างน้อย ๆ ศาลาการเปรียญหลังนี้นะ อาตมารู้สึกเศร้าใจทุกปีมา มีพระสงฆ์องค์เจ้าพรรษาที่ผ่านมาแล้ว ๖๐ ถึง ๗๐ องค์ พระต้องลงไปฉันข้างล่างนั่งกับญาติโยม อาสน์สงฆ์ไม่พอ ก็น่าเศร้าใจ ญาติโยมจะทำอย่างไรเล่า

    โดยเฉพาะเหตุผลข้อที่สองคือ เสาก็ขาดหมดแล้ว ปลวกกินหมด อาตมาไม่รีบทำในช่วงจังหวะนี้ เข้าใจว่าโอกาสหน้าไม่มีใครทำ อาตมาก็จะต้องตายจากโยมไปเหมือนกัน นี่ก็จะใกล้เวลาแล้ว ขอเจริญพรอย่างนั้น
    <!-- InstanceEndEditable -->
    [​IMG][​IMG][​IMG]

    ส่วนชาวฮอลันดาที่เคยมาร่วมบุญสร้างโบสถ์ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ก็คือ มิสเตอร์ วิกโก้ บรูน (เขาระลึกชาติได้ด้วยตัวเอง)


    พระราชสุทธิญาณมงคล : กว่าจดหมายจะมาถึงวัดเป็นเวลานาน เพราะส่งมาที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แล้วส่งต่อมาที่วัดอีกทีหนึ่ง อาตมาให้วีโก้อ่านตอนกลางคืน วีโก้น้ำตาร่วงเลย จึงให้ไปอาบน้ำก่อนแล้วค่อยมาแปลให้ฟังเรื่องจริงที่วัดนี้ รูปของเขายังอยู่

    ทำไมคนไทยจึงไม่พิสูจน์กันล่ำ เอาแต่บุญช่วย ให้คนอื่นช่วยตลอดรายการ แต่ก็ไม่รู้ว่าตัวบุญคืออะไร บุญช่วยแล้วตัวเองก็ไม่รู้ว่าบุญคืออะไร

    บุญ แปลว่า ความสุข ความสุขต้องชำระในให้สะอาด ใช่ไหม ทำใจให้หมดจดบริสุทธิ์ ถึงจะเป็นบุญ บุญเกิดจากการชำระใจ และ บุญเกิดจาความสงบ ถ้าไม่สงบไม่เป็นบุญ ตรงนี้คนไทยมีหลักได้

    ไปหาพระให้หวยอำนวยพร พระพรมน้ำมนต์ เอาไม้เคาะหัวหน่อยก็ได้บุญ มันโง่เหลือเกินนะ

    เมื่อคราวไปยุโรป ๕ ประเทศ อาตมาได้แผ่เมตตาไปก่อน คนไหนเคยเป็นญาติของข้าพเจ้าครั้งอดีต โปรดมารับข้าพเจ้า ณ บัดนี้

    ก็ไปเข้าบ้านโน้น เข้าบ้านนี้ ฝรั่งมารับเป็นแถว และไปไหนมีคนมาไหว้ รู้จักอาตมาองค์เดียว หลวงเตี่ยที่วัดโพธิ์บอกว่า หลวงพ่อวัดอัมพวันนี่ไปสหรัฐอเมริกาก็มีแต่คนไหว้

    นี่เล่าให้วีโก้ฟัง คิดถึงวีโก้อยู่เดนมาร์ก ก็ไม่มีโอกาสจะไป และวีโก้ถามว่าจะได้แต่งงานกับคนไทยที่เรียนอยู่ที่จุฬาไหม อาตมาบอกให้นั่งกรรมฐานเอง และวีโก้ก็มาบอกว่า เขาจะได้คนง่อยเปลี้ยเสียขาจริงไหม?


    วีโก้ : จริงครับ


    พระราชสุทธิญาณมงคล : คนง่อยนั้นเป็นชาวฟิลิปปินส์ เป็นอาจารย์สอนภาษาจีนกลาง และต้องไปพบกันที่มหาวิทยาลัยเดนมาร์ก ที่จริงเขาก็ไม่ใช่ง่อยอะไรหรอก เป็นโรคโปลิโอ ใส่เหล็กแล้วก็เดินได้

    วีโก้ได้กลับมาเมืองไทย มาเขียนวิทยานิพนธ์เรื่องผี ได้ทุนจากมหาวิทยาลัย เขียนอยู่ ๒ ปี จึงแล้วเสร็จ ได้พาลูกและภรรยามาด้วย บอกว่านี่ คือพยานหลักฐานจากนิมิตกรรมฐาน

    วีโก้ครั้งอดีตชาติเป็นชาวฮอลันดา ในโบสถ์หลังเก่าที่พังไปได้ศิลาจารึกเป็นภาษาจีนว่า “ข้าพเจ้ากิมเหลียงกิมจือมาจากเมืองจีน มาจอดเรือหน้าวัดอัมพวัน มีเรืออีกลำหนึ่งเป็นฮอลันดา นับถือคริสต์ ได้จอดเรืออยู่ที่วัดนี้ ได้เลื่อมใสเจ้าอาวาสวัดนี้อายุ ๙๙ ปี คือปู่ครูญาณสังวร” นี่เล่าเท้าความหลังให้วีโก้ฟังถึงโบสถ์หลังเก่าที่วีโก้มานั่งกรรมฐาน

    ท่านผู้การนี่บุญมาต้องมาพบกัน ท่านเป็นคนบวชให้สมัยเป็นผู้บังคับกองตำรวจ อำเภอพรหมบุรี ไม่อย่างนั้นจะบวชไม่ได้เพราะเป็นคนต่างชาติ เลยผู้บังคับกองกับนายอำเภอเป็นเจ้าภาพบวชให้

    คนจีนมาค้าขายกับสมเด็จพระนารายณ์มหาราชที่เมืองละโว้ สมัยห้าหกร้อยปีก่อนโน่น แม่เจ้าเจ้าพระยาลึกมาก ใช้เรือกำปั่นวิ่งมา และเลี้ยวเข้าปากน้ำบางพุทราสู่ละโว้ มาจอดเรือพักแรมที่วัดนี้

    ได้ขึ้นมานมัสการเจ้าอาวาสคือ ปูครูญาณสังวรองค์ที่ ๑ ของกรุงศรีอยุธยา องค์ที่ ๒ คือ สมเด็จพระสังฆราชไก่เถื่อน องค์ที่ ๓ คือสมเด็จญาณสังวร วัดบวรนิเวศ จะไม่มีองค์ที่ ๔ ต่อไป

    คนจีนเลื่อมใส สร้างโบสถ์ให้ มีเครื่องกังไส หยกเมืองจีนเต็มไปหมด อาตมาบรรจุไว้ในโบสถ์

    ศิลาจารึกก็บอกว่า ฝรั่งชาติฮอลันดา มาทำการค้ากับสมเด็จพระนารายณ์ จีนสองคนอยากได้พระนาคปรกมาไว้ในโบสถ์ที่เขาสร้าง

    ชาวฮอลันดาที่เป็นเพื่อนกับคนจีน ค้าขายด้วยกันก็รับอาสา เขาต้องการจะให้สมเด็จพระนารายณ์มหาราชเป็นคริสต์ เลยเข้าเมืองละโว้เพื่อเข้าเฝ้าสมเด็จพระนารายณ์ ขอพระราชทานพระนาคปรก พระองค์ท่านมองให้ ๒ องค์ เพื่อให้กับคนจีน และอยู่มาจนบัดนี้

    พระองค์ดำ ๒ องค์นั้นคือ พระนาคปรกเขมรคางคนหูตุ้ม และพระนาคปรกหูยานลพบุรี บันทึกไว้อย่างละเอียดว่าหนักกี่ปอนด์ อาตมาลองชั่งดู ตรงกันเลย

    ฮอลันดาเมื่อครั้งอดีตชาติ คือ วีโก้ในชาตินี้ เขารำลึกเหตุการณ์ของเขาได้ ของใครของมัน เป็นปัจจัตตัง

    และวีโก้เกิดร้อนใจอยากมาบ้านแป้ง มาดูช่างปั้นหม้อ มาถามปัญหาเจ้าคุณพรหมโมฬี วัดกลางธรนินทร์ ท่านเจ้าคุณพามาหาที่นี่เลย ถามปัญหา ๑๐ ข้อ อาตมาตอบได้หมด วีโก้กลับไปไม่เกิน ๑๕ วัน แบกกระเป๋ากลับมาเลย ขอบวชที่วัดนี้ ใช่ไหมล่ะ?




    วีโก้ : ใช่ครับ


    พระราชสุทธิญาณมงคล : นี่เล่าให้พวกโยมฟังนะ เราเป็นคนไทย แพ้ฝรั่งนะ ทำไมจึง พูดไทยได้ชัด เพราะเมื่อครั้งอดีตชาติเธอเคยมาที่นี่ เคยมาจอดเรือที่หน้าวัด เป็นชาวฮอลันดา และขอพระราชทานพระนาคปรก ยังอยู่ ณ บัดนี้ นี่ข้ามน้ำข้ามทะเลเวียนอยู่หลายประเทศ แต่ต้องการกลับไปเป็นทหารรับใช้ชาติ ๑ ปี

    ท่านผู้การได้บุญมากนะนี่ เคยเป็นบุพเพสันนิวาส เป็นญาติโยมกัน เคยมาบวชให้ รูปบวชยังอยู่ด้วย ว่าขานนาคได้ชัดเจนมาก ท่องเดี๋ยวเดียวได้เลย

    โลกมันกลมนะ ถ้าไม่ตายพบกัน มาพบกันแล้ว เดินวกไปวนมาแล้วก็มาพบกันอีก นี่ไม่น่าจะพบกันเลยนะนี่ ใครจำใครได้ก่อนล่ะ




    วีโก้ : จำได้พร้อมกันครับ


    พระราชสุทธิญาณมงคล : นี่ไม่ตายพบกันนะ เราเป็นญาติกันนี่วีโก้ อาตมาไปต่างประเทศ ๑๕ ประเทศแล้ว สหรัฐอเมริกาไปแล้ว อธิบดีกรมการศาสนาจะชวนไปอีก ๓ ประเทศ แถบยุโรป นอรเวย์ เดนมาร์ก แต่ไม่ไปเพราะงานที่วัดเยอะ ที่ไปก็ใกล้ยุโรปแล้ว

    ที่ยุโรปนี้ใช้รถวิ่งไปทั้ง ๕ ประเทศเลย ใกล้กันนิดเดียว ไม่ต้องไปเครื่องบิน และได้เห็นภูมิประเทศของประเทศนั้น ๆ

    อาตมาดีใจมากเหลือเกิน ต่างประเทศเขาทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า หนุ่มสาวไม่เที่ยว ต้องเรียนหนังสือ หาวิชาเป็นหลักฐาน นี่เป็นตัวอย่างที่ดีมาก

    ถ้าท่านนั่งกรรมฐานและสนใจ เอาไปเลย เอาไปใช้ ไม่ใช่มานั่งกรรมฐานไปสวรรค์นิพพานนะ แต่มีสมบัติมนุษย์ ถ้าสมบัติมนุษย์ไม่มีเลย จะไปสวรรค์ไม่ได้

    จิตต้องไปตามขั้นตอนของมัน จะไปเหมือนเรียนหนังสืออย่างนั้นไม่ได้ วีโก้เอ๋ย ความรู้วิชาการกับความคิดมันต่างกัน ตัวอย่างคนจีนตาชวนกับตาชิน ความรู้ไม่จบ ป.๔ มาเป็นยามธนาคาร เดี๋ยวนี้เป็นเจ้าของธนาคารทั่วประเทศแล้ว นี่เป็นความคิดใช่ไหม?

    คนเรานี่ พรสวรรค์ มันติดตัวมาแต่ชาติก่อน พรสวรรค์ คืออะไร อาตมาแปลเป็นภาษาไทยดังนี้ ปัญญาติดมากับตัว ความรู้อยู่ในตำรา ใครสนใจไปศึกษาเอาเอง ถูกไหมล่ะ?




    วีโก้ : ถูกครับ


    พระราชสุทธิญาณมงคล : คนไทยชอบจะเอาแต่บุญช่วย บุญที่โน่นช่วย บุญที่นี่ช่วย ไปหาพระแล้วถูกพระหลอก เพราะพระทำกรรมฐานไม่ได้

    แคทอลิก คริสต์ และอิสลาม มาเข้าวัด ไม่ใช่หมายความว่า จะให้เขามาเป็นพุทธ ต้องการเอาของดีให้เขา ต้องการให้เขาเป็นคนดี เป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ของเขา เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ของเขา อย่าเถียงพ่อเถียงแม่ เถียงครูบาอาจารย์ แล้วเขาจะเป็นพลเมืองดีของชาติของเขาต่อไปในโอกาสข้างหน้า อาตมาสอนอย่างนี้ ได้ผล

    เขาก็เลยมากันเยอะหมด แคทอลิกคริสต์ ๓-๔ ประเทศ ความรู้อย่างต่ำปริญญาตรี สอนอย่างนี้ ไม่ใช่สอนไปสวรรค์นิพพาน ไปบวชชีพราหมณ์แล้วมานั่งสอนสามี อาตมาไม่สนใจคนประเภทนี้

    อาตมาไปตั้งศูนย์ที่ขอนแก่นแล้วนะ เพราะอะไรรู้ไหม อาตมาไปได้ของดีมาจากขอนแก่น จากหลวงพ่อดำในป่า ใกล้ที่ตรงนั้นเลย พอดีอดีตชาติตามมา ดร.ลำไย มหาวิทยาลัยขอนแก่น ถวายที่ ๒๔ ไร่ ห่างจากตัวเมือง ๑๓ กม. เท่านั้น

    ที่ศูนย์ปลูกไผ่แล้ว ๕๐๐ กอ เดี๋ยวนี้คนไปกันแน่นเลย จะส่งพระไปสอนทหารครั้งละ ๗ วัน มีห้องน้ำห้องส้วมแล้ว ๓๐ กว่าห้อง และมีที่พักแรมแล้วมากมาย ไปดูได้ สร้างเป็นศูนย์ดีกว่าสร้างวัด ทุกคนเป็นเจ้าของ พวกเราสร้างของเราเอง เหมือนอย่างเรามีสมาคมอยู่ในประเทศฝรั่งเศสฉะนั้น

    อาตมาดีใจมาก เมื่อคืนอาตมาโทร.ไปที่ศูนย์ขอนแก่น อาจารย์บุญส่ง บอกคนแน่นเลย เราสอนเขาไปแล้ว เขาก็เป็นครูสอนกันต่อไป สอนลูกสอนหลานของเขา ทุกคนเป็นเจ้าของและเขาก็ดูแลกันเอง ทหารก็เข้าไปช่วย เอาน้ำไปส่ง ที่ศูนย์มีบ่อก็จริงแต่ยังไม่สะอาดพอ ต่อไปจะมีโครงการทำน้ำสะอาดต่อไป

    อาตมาดีใจมาก เพราะไปได้ของดีจากหลวงพ่อดำในป่า ที่สอนเรามาหลวงพ่อดำไม่รู้จักว่าอายุกี่ร้อยปีแล้ว เราต้องเอาของดีคืนที่สถานที่ที่เราได้มา จึงจะมีประโยชน์อย่างนี้


    คัดเนื้อหาบางส่วนมาจากวีโก้ บรูน (พระธีรวัฒน์ ฐานุตฺตโร) www.oknation.net/blog/print.php?id=365483
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤศจิกายน 2009
  16. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ได้ฟังเสียงอ่านหนังสือของคุณสุทัสสา อ่อนค้อม เรื่องหลงในสงสาร

    ตอนที่หลวงพ่อจรัญท่านบอกว่า
    รัชกาลที่ 1 นั้นท่านมีเชื้อสายกษัตริย์ราชวงศ์สุโขทัย ถ้าไม่มีเชื้อสายกษัตริย์ในสายพระโลหิต พระองค์ท่านคงเป็นกษัตริย์ไม่ได้หรอก


    สายพระโลหิตของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชก็มิใช่สามัญชน หลวงพ่อจรัญท่านบอกว่า

    และถ้าใครสามารถเชื่อมความสัมพันธ์สองสามชั่วอายุคนที่ขาดหายไปในระหว่างปลายรัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ไปจนถึงสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้ ก็น่าจะตระหนักได้เลยว่า เชื้อสายพระโลหิตของทั้งสองพระองค์มิได้ห่างไกลกันเลย ต้นลำธารเดียวกัน และคิดว่าพระองค์ท่านทั้งสองทรงรักใคร่เกื้อกูลกันอย่างมากมาแต่ดั้งแต่เดิม เกื้อกูลซึ่งกันและกันมาตั้งแต่ชั้นบรรพบุรุษ ช่วยกันหนุน ช่วยกันนำ ช่วยกันพยุงประเทศไทยนี้มาแต่ช้านานแล้ว

    ไม่ควรนำพระนามของพระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่มาใช้ โดยอ้างเพียงตัวสะกดภาษาอังกฤษเลย เพราะพระองค์ท่านเป็นพรหมไปแล้ว

    สงสารประเทศชาติ ห่วงประเทศชาติ

    สาธุ ขอให้พวกคิดร้ายกับประเทศชาติแพ้ภัยตนเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤศจิกายน 2009
  17. ไก่เหลืองหางขาว

    ไก่เหลืองหางขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2009
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +493
    (||)สาธุครับ

    เท่าที่ทราบ คนแอบอ้างคนนั้นเค้าหมดราคาไปแล้วครับ

    คนข้างเดียวกับเค้าบางคนยังไม่อินังขังขอบเขาเลย ทำเพื่อตัวเองทั้งนั้น เห็นเขาเป็นแค่เครื่องมือไว้หลอกชาวบ้านจนๆเท่านั้นเองครับ
     
  18. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    เห็นในหนังเวลาสร้างย้อนยุค จะเห็นตลาดแบบในหนังจักรๆวงศ์ๆคือวางกับพื้น ขายของที่เก็บมาได้จากสวนจากไร่ของตนเอง ขายตามมีตามเกิด

    ท่านผู้อ่านจะว่าทางสายธาตุฟุ้งซ่านก็ว่าได้นะคะ ถือว่าอ่านคลายเครียด คืออย่างนี้คะในความฝันที่เห็น ย่านธุรกิจไฮโซสมัยนั้น ปูอิฐเป็นทางเดินไม่ใช่เดินบนดินเละ ไม่มีฝุ่น ร้านค้าก่ออิฐถือปูนแต่ว่าเป็นชั้นเดียว เรียงรายยาวเหยียดจากแม่น้ำเจ้าพระยาจนจะถึงกลางเกาะเมือง มีคลองอยู่ตรงกลางระหว่างสองฝั่งร้านค้า เป็นถนนคนเดินเท่านั้น ห้ามยวดยานเข้ามา ให้ขนของเข้าออกทางเรือที่จอดในคลองเท่านั้น มีสะพานข้ามคลองให้คนเดินข้ามได้เป็นระยะๆ ภาพของการค้าในสมัยอยุธยาไม่เหมือนในหนังจักรๆวงศ์ๆเท่าไหร่ค่ะ

    ว่าแล้วเอาผังเมืองอยุธยาสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศมาโพสให้อ่านกันดีกว่า

    คนโบราณสมัยนั้นจะเกรงคนต่างชาติ ดังนั้นเพื่อให้ผู้อ่านได้อรรถรส เขาให้นึกว่าตัวท่านเองนั้นเป็นฝรั่งแล้วไปเดินเล่นในกรุงศรีอยุธยา

    บัดนี้ท่านมีผมสีบรอนด์และตาน้ำข้าวแล้ว เชิญตามมาเลยค่ะ
     
  19. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    สัมผัสย้อนเวลา ......กรุงศรีอยุธยาก่อนวันดับสูญ

    อโยธยาศรีรามเทพนคร กรุงเทพทวารวดีศรีอยุธยา กรุงศรีอยุธยา โยเดีย โอเดีย จูเทีย และพระนครศรีอยุธยา ก็ล้วนแต่เป็นชื่อของมหานครโบราณ ศูนย์กลางแห่งราชอาณาจักรของชาวสยาม จักรวรรดิราชแห่งลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ก่อกำเนิดสืบเนื่อง รุ่งเรืองและดับสูญลงอย่างหายนะ เพราะเหตุจากพระราชสงคราม ในปี 2308 – 2310 กับพม่าอังวะผู้อหังการ
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif] [/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif][/FONT][FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif] อดีตแห่งมหาราชธานี ที่เหลือเพียงซากปรักหักพัง พร้อมกับ เรื่องราวเล่าขาน ตำนานประวัติศาสตร์ พงศาวดารและวรรณกรรม มากมาย ถูกนำมาใช้เป็นประวัติศาสตร์หน้าสำคัญเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญและเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมแห่งแรก ในปี 2532 ของประเทศไทยในยุคสมัยแห่งความสงบสุข[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif][/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif] อดีตแห่งกรุงศรีอยุธยา ได้ถูกนำมาถ่ายทอดมาเป็นเรื่องราวเนื้อหาทางวิชาการ ข้อมูล บทประพันธ์ วรรณกรรม นิยาย คำอธิบายการท่องเที่ยว ภาพยนตร์และการ์ตูน มาแล้วมากมาย ครั้งแล้วครั้งเล่า ..........................มากมายจริง ๆ [/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif] [/FONT][FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif] เนื้อหาใน Blog นี้ก็เช่นกัน คงจะเป็นเรื่องราวเดิม ๆ ของประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยาที่ซ้ำซากจำเจ รู้เห็นกันอยู่แล้วจาก Brochure ท่องเที่ยวที่มีอยู่ดาษดื่น.... ..................แต่....ขออย่าเพิ่งคิดเช่นนั้น จนกว่าท่านจะอ่านเรื่องราวในมุมมอง ของผมจนจบนะครับ [/FONT]


    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif] [/FONT][FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif] ผมขออนุญาตพาท่านขึ้น TIME MACHINE ในจินตนาการความฝัน ย้อนเวลากลับไปในอดีตด้วยกัน ไปสู่ยุคสมัยของกรุงอโยธยา ในวันที่รุ่งเรืองสูงสุดก่อนยุคสมัยของสงคราม สัมผัสเรื่องราว Gossip นอกตำรา มุมมองที่แตกต่างไปจากประวัติศาสตร์ที่เคยรับรู้[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif] [/FONT][FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif] สัมผัสย้อนเวลาของเรา มันเป็นต้นเดือนธันวาคม ปี 2295 อันเป็นช่วงฤดูหนาว ในรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคปลายของกรุงศรีอยุธยา บ้านเมืองสงบสุขมานานกว่า 150 ปีแล้ว หลายคนยังคงให้ Credits ที่สมเด็จพระนเรศวรราชาธิราช ว่าทำให้พม่าขยาดกลัวเป็นเวลายาวนาน แต่ในความเป็นจริง อาณาจักรมอญต่างหากที่ได้กลับเข้าครอบครองพม่าตอนล่าง ขับไล่พม่าขึ้นไปอยู่ทางทิศเหนือยาวนานกว่า 100 ปี [/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif] [/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif] ยิ่งในยุคปลายสมัยอันรุ่งโรจน์นี้ อโยธยาให้การสนับสนุนกองทัพมอญให้บดขยี้และเหยียบย่ำพม่าอย่างออกหน้าออกตาและอย่างลับ ๆ จนเป็นเหตุแค้นเคืองสำคัญที่ผูกใจเจ็บให้พม่าหวังแก้แค้นเอาคืน ซึ่งพวกเขาก็ทำสำเร็จหลังจากปลดแอกอิสระภาพจากมอญได้ในปี 2300 [/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif] [/FONT][FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif] กลับมาที่พระนคร ในตอนนี้ ขออย่าให้ท่านทำตัวเป็น ”ประชาชน” อย่างเด็ดขาด เพราะยุคนั้น ยังไม่มีประชาธิปไตย ยังไม่มีทุนนิยม พวกแปลกหน้า(ดูดี)อย่างเราอาจเจอทหารหลวงจับไปไต่สวนและจำตรวน ติ้งต่างละกันว่าเราเป็นพ่อค้าชาวต่างประเทศที่มาติดต่อกับกรมพระคลังเพื่อมาเลือก Shopping สินค้าของชาวโยเดีย (ออกเสียงอย่างฮอลลันดา) [/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif][/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif][/FONT][FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif][/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif][/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ภาพ ชาวอยุธยาและขุนนางจากบันทึกของ เดอลาลูแบร์[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif][/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif][​IMG][/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif][/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif] ฐานะนี้คงพอจะได้มีอิสระในการเดินทางไปมาในพระนครได้อยู่พอควร เพราะถ้าเราเป็นไพร่ฟ้าธรรมดา คงต้องคอยอธิบายกับพวกทหารหลวงประจำด่านภายในพระนคร (ค่ายผนบ) ว่าไปไหน ไปทำไม เมื่อไหร่กลับ ทำไมไม่มีรอยสักข้อมือ สังกัดกรมไหน กินข้าวมาหรือยัง หรือถ้าสุดซวยก็จะโดนข้อหา เป็นเสือหมอบแมวเซา(สายลับ) ของพวกเมืองอื่น ๆ ( คนไทยในปัจจุบันติดคำว่า “ไปไหนมา“ ก็เพราะเรื่องไพร่ฟ้าต้องเข้าเวรออกเวรในสมัยโบราณนี่แหละครับ)[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif][/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif][/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif][/FONT][FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ภาพ ไพร่เวลาเดินทาง[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif][/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif][​IMG][/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif][/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif] พระนครอโยธยาเป็นเมืองป้อมปราการ มีแม่น้ำและกำแพงเมืองล้อมรอบเป็น “เกาะเมือง” พวกฝรั่งบ้างก็บอกเป็นรูปสำเภา บ้างก็บอกว่าเป็นรูป ”พระพุทธบาท” มีป้อมปืนขนาดใหญ่จำนวน 16 – 22 ป้อม มีประตูใหญ่บก 11 ประตูคลองน้ำ 12 ประตูช่องกุด (ประตูเล็ก ) 61 ประตู หากเดินทางเข้าเกาะเมืองจะต้องข้ามเรือที่ท่าเรือข้าม ซึ่งมีจำนวนกว่า 20 ท่า รอบเกาะเมือง ส่วนทางเข้าพระนครทางบกมีทางเดียวเรียกว่า “ทำนบหัวรอ” บริเวณคูขื่อหน้า (ตลาดหัวรอในปัจจุบัน)[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif][/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif][/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif] แต่วัวควายต่างแดนห้ามเข้านะครับ มีเจ้าพนักงานกรมพระนครบาล สังกัดออกญาจักรี รักษาการณ์ ตรวจตราผู้คนเข้าออกอยู่อย่างเข้มงวด ขบวนเกวียนสินค้าคาราวานและนายฮ้อยโบราณ จากหัวเมืองโคราชและพระตะบอง จะมาพักค้าขายกันอยู่ที่ “บ้านศาลาเกวียน” ด้านนอกพระนคร สินค้าที่เขาเอามานั้น Shop กันนะครับ (ตอนนี้เราเป็นชาวต่างประเทศอยู่นะ) [/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif] [/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif][/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif] “......น้ำรัก ขี้ผึ้งปีกนก ผ้าตาราง ผ้าสายบัวสี่คืบหน้าเกบทอง แลผ้าตาบัวปอกตาเลดงา แลหนังเนื้อ เอนเนื้อ เนื้อแผ่น ครั่ง ไหม กำยาน ดีบุก หน่องาของป่าต่างๆ เกวียนเมืองพระตะบอง พวกเขมรบันทุกลูกเร่ว กระวาน ไหม กำยาน ครั่ง ดีบุก หน่อ งา แลผ้าปูม แพรญวนทองพรายพลอยแดง แลสินค้าต่างๆตามอย่างเมืองเขมร ....”[/FONT]


    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]
    ภาพ บ้านเรือนแพ ขบวนเกวียนการค้าและการเดินทางทางน้ำ

    [​IMG]




    เอ้า ตามกันมาอย่าหลงทาง ไพร่ฟ้าชาวอยุธยาในสมัยนั้น ลักษณะเนื้อตัวและการพูดไม่เหมือนกับเราในปัจจุบันเท่าไหร่ ภาษาพื้น ๆ เหน่อ ๆ เข้าใจยาก ฟันดำเพราะกินหมาก และไม่ค่อยอยากจะสุงสิงกับพวกเรา(ชาวต่างประเทศ) กลัวโดนลงโทษ ถึงแม้ว่าในยุคสมัยนี้จะดูมีอิสระในการค้าขาย และการเดินทางมากขึ้นกว่าแต่ก่อนก็ตาม แต่ก็จำกัดด้วยระบบการจัดการไพร่ – ทาส การสังกัดมูลนาย ซึ่งเป็นระบบการปกครองแบบจารีตโบราณในสมัยนั้น

    ที่มา :
     
  20. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    สัมผัสย้อนเวลา ......กรุงศรีอยุธยาก่อนวันดับสูญ (ต่อ)




    [​IMG]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif][/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif] ถึงตอนนี้ พักเหนื่อยกันซักนิด เราคงจะต้องใช้แผนที่ เพื่อกำหนดจุดท่องเที่ยวในพระนครให้ชัดกว่าเดิม จากที่เราเดินเตร็ดเตร่กันมาตั้งนาน ผมเลือกไว้ 12 แห่ง ครับ [/FONT][FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]แล้วหากใครอยากจะมาเที่ยวย้อนอดีตกันอีก ก็ช่วยเขียนความเห็นสนับสนุนด้วยนะครับ (Check ผู้สนใจ)[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif][/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif] จุดที่ 1 พระบรมหาราชวัง จริง ๆ แล้วฝรั่งอย่างพวกเรา (ขำ) ก็ห้ามเข้าไปภายในกำแพงวัง จะเข้าได้ก็เฉพาะนางในและโขลนทวาร (หญิงตัวใหญ่แข็งแรง ทำงานในวัง) เจ้านายและเชื้อพระวงศ์ ส่วนขุนนางและชาวต่างประเทศ เมื่อจะเข้าเฝ้า ก็จะผ่านเข้าทางประตูโขลน ด้านนอกเป็นทหารหลวงชาย ด้านในเป็นจ่าโขลนหญิง อาวุธและของน่ากลัวที่นำมาด้วยจะถูกยึดไว้ คานหามและผู้ติดตามก็ให้รออยู่ด้านนอกกำแพงวัง[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif][/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif] ในวังหลวงจะมีวัดพระศรีสรรเพชญเป็นวัดประจำพระวัง หรือ เป็นหอพระแก้วของพระนคร อันได้พระศรีสรรเพชญ พระพุทธรูปทองคำขนาดใหญ่ ฝรั่งแชรแวส ชาวฝรั่งเศสที่เข้ามาก่อนเราเขาเห็น เขาบอกว่าเป็นพระพุทธรูปนั่ง ต่างจาก ในประวัติศาสตร์ไทยของเราเขาไม่เห็น สืบจากคำบอกเล่าเขียนว่าเป็นพระพุทธรูปยืน ไม่รู้จะเชื่อใครดี ? [/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif][/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif] เจดีย์สีทององค์ใหญ่โดดเด่นของวัดพระแก้วที่กรุงเทพมหานคร สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 ก็ลอกแบบมาจากวัดพระศรีสรรเพชญโดยตรงนี้แหละครับ สื่อความหมายมหามงคลว่า ความเป็นกรุงศรีอยุธยา ที่ถูกทำลายไปในสงครามปี 2310นั้น ได้กลับคืนมาแล้ว ที่กรุงเทพมหานคร นี่เอง [/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif][/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif][/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif][/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif][​IMG][/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif][/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif] [/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif][/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif] [/FONT][FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif] พระที่นั่งสรรเพชญปราสาท เป็นพระที่นั่งท้องพระโรงเช่นเดียวกับพระที่นั่งวิหารสมเด็จ เอาไว้สำหรับว่าราชการของพระมหากษัตริย์ ขุนนางระดับออกญาหรือเจ้าพระยา และเจ้าฟ้าทรงกรมทั้งหลาย จะเข้าเฝ้าภายในปราสาท ส่วนขุนนางระดับล่างลงมาจะหมอบกราบอยู่ภายนอก บริเวณหน้ามุขสีหบัญชร [/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif] [/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif][​IMG][/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif][/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif] [/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif][/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif] หลังจากที่พระนารายณ์ นำปืนใหญ่และไพร่ทหารจากวังหน้ายิงถล่มวังหลวงและเข้าชิงราชบัลลังก์จากพระเจ้าอาพระศรีสุธรรมราชาแล้ว ได้มีการ Modify พระที่นั่ง ตำหนักต่าง ๆ รวมทั้งการวางระบบน้ำประปาและสร้างพระนั่งสุริยาศมรินทร์ ขึ้นใหม่ พระที่นั่งองค์นี้เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าเอกทัศน์ พระมหากษัตริย์พระองค์สุดท้ายของกรุงศรีอยุธยา ซึ่งทรงชอบออกว่าราชการที่พระนั่งนี้เป็นประจำ จึงได้ชื่อเรียก(อย่างสนิทสนม)ว่า“สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศมรินทร์” จากเหล่าพระญาติพระวงศ์และขุนนางชั้นผู้ใหญ่[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif][/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif][/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif][​IMG][/FONT]
     

แชร์หน้านี้

Loading...