ที่อนุมานนิพพานไม่ได้เพราะสักกายทิฎฐิ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ขันธ์, 25 กรกฎาคม 2009.

  1. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    ยังเข้าใจคำว่า ละสักกายทิฎฐิคลาดเคลื่อนกัน

    คำว่า ละสักกายทิฎฐิ คือ การตีขันธ์ 5 ให้แตก ไม่ได้หมายความว่า ไม่มีตัวตน

    การตีขันธ์ 5 ให้แตกหมายความว่า เวลาเรานึก เราคิด เราสัมผัส มันก็จะได้ไม่เป็นตัวเป็นตน เป็นจริงเป็นจัง ซึ่งมันทำให้ ธรรมเกิด คือ สิ่งที่เราคิด ที่อุปาทานนั้นดับลงไปด้วยอำนาจแห่งไตรลักษณ์

    แต่หากว่า เราไม่เห็นตรงนี้ เราจะไม่รู้แล้วยึดไว้ เมื่อยึดไว้มันก็ทุกข์ โดยไม่รู้ตัว
    แล้ว อำนาจอุปาทานจะมีกำลัง ทำให้เราหลงไหลไป ทุกข์ไป ไม่มีอำนาจต้านทานเลย


    ปุถุชนไม่เข้าใจ ก็จะหลงยึดตัวตน ผัสสะ เวทนา สังขาร ว่าเป็นเรา ตรงนี้เข้าใจได้ง่ายแต่เห็นได้ยาก เมื่อเห็นแล้วย่อมวาง เมื่อวางแล้วอุปาทานต่างย่อมหมดกำลังที่จะทำให้จิตนั้นทุกข์
     
  2. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    สมมุติบัญญัติในพระพุทธศาสนา เป็นคำที่ตั้งขึ้นมาเพื่อเรียกขานสิ่งที่มีอยู่ในโลก
    เพื่อให้สื่อสารกันได้รู้เรื่อง ว่าสิ่งนั้นๆเรียกว่าอะไรๆ

    สมมุติ ที่เราชอบใช้พูดกันในที่ทั่วๆไป ที่ไม่ใช่ทางพุทธศาสนานั้น
    ก็คือ การติต่าง ซึ่งการติต่างเป็นจินตภาพที่แต่คนสร้างกันขึ้นมา
    ดังนั้น จึงอาจมีหรือไม่มีก็ได้...ฯลฯ

    เพราะฉะนั้น โปรดทำความเข้าใจเรื่องสมมุติบัญญัติในพระศาสนาให้ชัดเจนกัน
    ก่อนที่จะอธิบายความโดยไม่ตั้งอยู่บนหลักเหตุผล


    อ่านคำบัญญัติและคำสมมุติ

    คำบัญญัติและคำสมมุติในพระพุทธศาสนา

    (smile)
     
  3. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255

    ในเมื่ิอยืนยันว่า ตัวเราน่ะมันไม่มี ตัวเราไม่มีตัวตน

    แล้วตรงนี้ รู้ว่าตัวเราไม่มีตัวตนเท่านั้น...แล้วใครเป็นคนรู้ล่ะเนี่ย???

    อย่าบอกนะว่าขันธ์ ๕ มันรู้ของมันเอง
    เพราะขันธ์ ๕ มันไม่เที่ยง
    ของไม่เที่ยงรู้ว่าตัวเองก็ไม่เที่ยง รู้นั้นย่อมเชื่อถือไม่ได้
    แสดงว่าที่กล่าวมานั้นก็ต้องผิดหมดสิ...

    (smile)
     
  4. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    แล้ว เรา ตรงนี้คือใคร (แต่เราไปสมมุติว่ามันเป็นตัวเรา)
    ในเมื่อยืนยันว่าตัวเราน่ะมันไม่มี ของที่ไม่มี จะนำมาพูดถึงทำไม???

    ถ้าเราไม่มี จะเอาเราที่ไหนไปสมมุติว่า มัน(ขันธ์ ๕) เป็นตัวเรา

    ถ้าเราไม่มี อะไรหรือใครจะเป็นผู้รับกรรมที่ทำล่ะ กฎแห่งกรรมก็เสียหมดสิ

    (smile)

     
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    "ถ้าเราไม่มี อะไรหรือใครจะเป็นผู้รับกรรมที่ทำล่ะ กฎแห่งกรรมก็เสียหมดสิ"

    [​IMG] นั่นดิคะ พระผู้หลุดพ้น ถึงพ้นจากกฏแห่งกรรม
     
  6. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500

    กล่าวอย่างนั้นก็ได้แต่เอาแบบที่พอเป็นกำลังใจให้บุคคลผู้มีความเพียรปฏิบัติเพื่อรักษาต่ออายุพระศาสนาดีกว่า ว่า
    ผู้เข้าถึงกระแสแห่งพระนิพพานแล้ว อันมี
    พระโสดาบัน
    พระสกิทาคมี
    และพระอนาคามี
    ล้วนแล้วแต่รู้สัจธรรมและกฏแห่งกรรมด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นเป็นผู้มีสติปัญญา เห็นภัยในวัฏสงสาร จึงพ้นจากกฏแห่งกรรมทั้งปวงเป็นผู้ไม่ตกสู่อบายภูมิ คือ ไม่ต้องตกนรกอีกต่อไป ที่สำคัญท่านทั้งหลายเมื่อเห็นแล้วสัมผัสแล้วเกิดปัญญาญาณขึ้นที่จิตก็ไม่ส่งสัย ลังเล ในพระธรรมคำสอนของพระศาสดาอีกต่อไปครับ
    อนุโมทนาครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กรกฎาคม 2009
  7. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    การพิจารณาขัน5ว่าไม่เที่ยงทันทีเลยนั้น บางคน อาจจะไม่เห็นอะไรๆมากนัก

    จึงขอแนะนำไห้พิจารณา สิ่งที่ขัน5แสดงก่อนไห้เห็นว่าที่แสดงออกมาไห้เรารับ

    รู้และรู้สึกนั้นไม่จริง เพราะคนปรกติ(ใครไม่ปรกติฟระ-*-) เพราะคน

    ปรกติถึงจะเห็นว่าขัน5ไม่เที่ยงได้ แต่ก็อาจจะยังไม่เห็นว่าที่ขัน5แสดงนั้น

    ไม่จริง ก็คือยังมีความเชิ่อในขัน5อยู่นั่นเอง

    เมื่อยังเชื่อในขัน5 การพิจารณาขัน5ว่าไม่เที่ยง ก็อาจจะไม่ได้อะไรมากนัก

    ถ้าเมื่อไรเกิดความรู้สึกเห็นว่าสิ่งที่ขัน5แสดงนั้นไม่จริง

    ก็ขออนุโมทนา

    ตัวไครตัวมัน

    หุหุ อีกแล้วครับท่าน^^
     
  8. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านเค.ขวัญ นั่นดิครับ พระผู้ได้รับความหลุด
    เพราะเพียรเผากิเลสและอุปกิเลสทั้งหลายได้

    ถ้าท่านไม่เพียร จะได้รับผลแห่งความเพียรมั้ยครับ
    ความหลุดพ้นมีขึ้นลอยๆได้ด้วยหรือครับ โดยไม่มีผู้กระทำ
    ความหลุดพ้นเป็นคุณลักษณะว่าอะไรหลุดพ้น
    หลุดพ้นเพราะอะไร ทำไม่จึงหลุดพ้น

    มีแต่ผู้รับการหลุดพ้น ส่วนการทำเพื่อให้ถึงความหลุดพ้นไม่มี

    ธรรมทั้งหลายล้วนเกิดแต่เหตุ ย่อมดับเพราะสิ้นเหตุแห่งธรรมนั้น
    เมื่อเหตุมี การสิ้นเหตุก็ย่อมมี ไม่ใช่มีแต่การสิ้นเหตุ แต่เหตุไม่มีครับ

    ;aa24
     
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เราก็เพียรภาวนา ในทางของเรา
    แต่ท่านไม่เข้าใจในทางของเราเอง
    ท่านก็เพียร ไปตามทางของท่านอย่างที่ท่านเข้าใจ
    เราก้เพียร ไปตามทางอย่างที่เราเข้าใจ
    อ่านตำราก็เล่มเดียว เข้าใจอย่างไหน ถูกจริตแบบไหน ก็ทำไปทางนั้นแหละ
    หรือท่านเห็นว่า เราไม่ได้เพียร ก็แล้วแต่ท่านจะคิดไป เราไปห้ามความคิดท่านไม่ได้หรอก
    คิดไปตามสบายนะ --"
     
  10. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,103
    ค่าพลัง:
    +1,072
    ขันธวิบาก เป็นไปตามอาการแห่งเหตุปัจจัย มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย
    ก็ยังรับผลของกรรมวิบากนั้นอยู่ทั้งกุศลวิบาก และอกุศลวิบาก
    จนกว่าจะดับขันธนิพพาน ของท่านผู้สิ้นอาสวะแล้ว
    โดยที่จิตนั้นพรากจากขันธ์แล้ว พ้นจากสิ่งสมมุติเหนือเหตุปัจจัยทั้งปวง
    รู้แจ้งในขันธ์5 ว่าไม่ใช่ตัวตน

    ดูอย่างพระโมคคัลลานะ แม้กิเลสนิพพานแล้ว
    ท่านก็ยังรับผลกรรม หรือกรรมวิบากที่เคยทำกรรมไม่ดีไว้กับบิดา-มารดาในอดีตชาติ
    แต่จิตท่านพรากจากขันธ์แล้ว จนเมื่อดับขันธนิพพาน ไม่มีอาการมา อาการไป
    ก็ไม่มีขันธภาระ ให้รับเหตุปัจจัยอีกต่อไป

    หรืออย่างท่านพระสีวลีผู้มีลาภมาก ด้วยเหตุปัจจัยที่ทำไว้ในอดีต
    มาในชาติปัจจุบันแม้ถึงซึ่งกิเลสนิพพานแล้ว
    ไปไหนมาไหนก็ยังได้รับกรรมวิบาก คือกุศลกรรม
    มีแต่ผู้คนต้องการมาใส่บาตรท่าน
    (เหมือนอย่างกับพระอรหันต์ในยุคปัจจุบันเรานี้เลย)

    ส่วนเราๆ ก็ยังต้องสู้กับขันธมาร นี้อีกต่อไป......
    จนกว่าจะประจักษ์ถึงจิตถึงใจรู้แจ้งในกองขันธ์5 ว่าไม่ใช่ตนตัว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กรกฎาคม 2009
  11. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านครับ อย่าพูดเองเออเองแบบสับสนสิครับ เดี๋ยวมี เดี๋ยวไม่มี
    "แต่ตัวเราน่ะมันไม่มี" เมื่อตัวเราไม่มี เสือกหรือไม่เสือกก็ไม่มีผลอยู่ดี
    ในเมื่อมันไม่มี เสือกก็ไม่มีตัวตน ไม่เสือกก็ไม่มีตัวตน ก็ของมันไม่มีตัวตน

    "ขันธ์ 5 มันก็ควบคุมตัวมันเองได้ครับ" ถ้ามันคุมตัวมันเองได้ ก็ดีสิ
    ปล่อยให้มันคุมตัวมันเอง ไม่ต้องไปเสือกอะไรให้เสียเวลานิครับ
    เดี๋ยวมันก็ดีมันเอง ไม่ต้องเสียเวลาฝึกฝนอบรมให้เหนื่อยเปล่าไปทำไมมี

    ;aa24
     
  12. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านครับ เมื่อเราไม่มี จะรู้หรือไม่รู้ ก็ค่าเท่ากัน เพราะของมันไม่มี รู้ก็ไม่มี ไม่รู้ก็ไม่มี
    การละสักกายทิฐิ ก็คือการละความยึดมั่นถือมั่นในอุปทานขันธ์๕ได้แล้วเท่านั้น
    ว่าไม่ใช่เรา ไม่เป็นเรา ไม่ใช่ตนของเรา

    เพราะเรามีจึงมีการละ เมื่อเราไม่มี ก็ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น
    ก็ของเราไม่มีอยู่ก่อนแล้ว ต้องทำอะไรอีก อยู๋เฉยก็ดีเอง

    ;aa24


     
  13. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านครับ กำลังสับสนอะไรอยู่หรือเปล่าครับ
    "จิตก็ไม่ใช่ตัวเราครับ" แล้วให้จิตเป็นอะไร ใช่ "ธาตุรู้"มั้ย
    "จิตใจกับร่างกายที่ทำงานร่วมกัน" จิตกับรูป-นามทำงานร่วมกัน "ใช่"
    ในพระพุทธวจนะ ไม่ได้บอกเลยว่า จิตกับรูปนามขันธ์๕เป็นสิ่งเดียวกันใช่มั้ย

    "ขันธ์ 5 มันมีอยู่แล้ว" เมื่อมันมีอยู่แล้วจะไปเสือกสมมุติเป็นเราเพื่ออะไร
    ก็มันมีอยู่แล้ว แต่ตัวเราไม่มี ก็ไม่ต้องเสือกสมมุติอะไรทั้งสิ้นนิครับ
    ปล่อยไปตามเวรตามกรรม เพราะมันควบคุมตัวมันเองได้ เดี๋ยวก็ดีเอง

    ;aa24
     
  14. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านครับ จะต้องรู้ทันไปเพื่ออะไร ก็ตัวเราไม่มี รู้ทัน รู้ไม่ทันก็หาประโยชน์อะไรไม่ได้
    ทำไม่ต้องรู้ทันว่าไม่ใช่ตัวเรา ก็ในเมื่อตัวเราไม่มี แต่ขันธ์๕มันมีอยู่
    ท่านพูดวกไปเวียนมาแล้วนะครับ เมื่อเราไม่มี เราต้องยึดอะไรอีกหละ

    ส่วนพระอรหันต์นั้นท่านอาศัยขันธ์๕อยู่เท่านั้น
    เพราะขันธ์๕ก็ไม่ใช่ท่าน ท่านก็ไม่ใช่ขันธ์๕
    ในเมื่อขันธ์๕คือรูปนามที่ท่านอาศัยอยู่
    เมื่อไม่ใช่ท่าน แล้วอะไรหละที่เป็นท่าน

    ;aa24



     
  15. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    "ละสักกายทิฐิ ไม่ใช่การละขันธ์ 5 นะครับ"
    "ถ้าเราละสักกายทิฐิได้ ละการเชื่อถือในขันธ์ 5 มันก็ง่ายหน่อย"
    ^
    ^
    ขัดกันเองมั้ยครับ

    ;aa24


     
  16. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ใช่ครับวิธีใครวิธีมัน แต่ต้องยืนอยู่บนหลักความเป็นไปได้ด้วยสิครับ
    คิดอยากจะพูดอะไร ก็พูดไปๆ คงไม่มีใครว่า ถ้ามันตรงต่อพุทธวจนะครับ

    ;aa24
     
  17. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,103
    ค่าพลัง:
    +1,072
    การเห็นทุกข์มีลักษณะอย่างไรครับ ?
     
  18. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    น่าจะถามเขาว่า คำว่า ทุกข์ นี้มีอะไรบ้างจำแนกด้วยอะไร มีลักษณะยังไงต้องทีหลังครับ เอาแค่คิดก็พอเบาะๆไม่ต้องถึงขั้นวิปัสสนาหรอกครับ ท่านตอบเองเลยก็ได้ครับ
     
  19. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    การละการเชื่อถือในขัน5นั้นง่ายนิดเดียว(ที่เหลือยากทั้งหมด-*-)ล้อเล่นหนะ

    การละการเชื่อถือในขัน5นั้นง่ายนิดเดียว แต่มันยากตรงที่บางท่านมีความเชื่อว่า
    การรู้เห็นที่เกิดจากการ คิด พิจารณา ไม่ไช่การเห็นจริง

    การคิดพิจารณา กับวิปัสสนาก็ความหมายเดียวกัน แต่ต่างกันตรงกำลังสมาธิของจิตของผู้คิดคนนั้นๆ หรือผู้วิปัสสนาคนนั้นๆ

    คนไหนคิด หรือวิปัสสนา โดยสมาธิที่ไม่ถึงชาน ก็ไม่จะเห็นธรรมโดยปัญญาที่เขาว่าแท้
    ถ้าบอกว่าเห็นก็คือเห็นแค่ สัญญา หรือเห็น ในระดับสัญญา เท่านั้น

    บางคนอาจจะวิปัสสนาในขณะนั่งสมาธิ

    บางคนอาจจะนั่งแบบสมาบัติแต่ไม่ยกจิตขึ้นสู่การวิปัสสนาคือการพิจารณา
    แต่เมื่อออกจากการนั่งสมาธิแล้วไปฟังธรรม จิตคิดตามไปจนเห็นธรรมได้จริงเหมือนกันกับการวิปัสสนาในขณะนั่งสมาธิ . . . เพราะ จิตมีกำลังสมาธิอยู่แล้ว สมาธิคือการจดจ่อตั้งใจ
    แต่จะคิดอย่างไรก็ช่างเถอะ

    ผลของการรู้ธรรมของแต่ละคน คนอื่นไม่รู้ เรารู้ตัวเราเองเท่านั้นว่ากิเลสตัณหา ลดไปอย่างไร แค่ไหน
    ถ้าว่ารู้ธรรม เห็นธรรม แต่กิเลสตัณหาไม่ลดลงเลย นั่นถึงเรียกว่ารู้ จากสัญญา

    หลอกคนอื่นได้ แต่หลอกตัวเองไม่ได้

    แต่ ก็อาจจะมีอยู่ประเภทที่หลอกตนเองได้ด้วย - -"

    ตัวไครตัวมัน อีกแล้วครับท่าน
     
  20. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ถูกแล้ว สันทิกฐิโก เพราะมีสติดีจึงรู้ เพราะสติดีจึงมีสมาธิจึงรู้ เพราะสมาธิดีจึงเกิดปัญญาจึงรู้ ก็การหลอกตัวเองและส่งผลต่อผู้อื่นจึงถือเป็นการมุสาวาส ทุศีล เมื่อศีลไม่บริสุทธิ์การบรรลุธรรมหรือเห็นธรรมนั้นอย่างถูกต้องและตรงตามจริงจึงเกิดขึ้นมีขึ้นไม่ได้ ที่เห็นเป็นไปเพราะจิตมันสมมติขึ้นตามกิเลสที่มีมาตั้งแต่ต้นเท่านั้น
    อนุโมทนาครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กรกฎาคม 2009

แชร์หน้านี้

Loading...