แล้วเรา คือ อะไร?...../ใคร....?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 4 สิงหาคม 2009.

  1. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านคคห.๒๖ครับ
    โห... เอาเข้าสูตรสมการ ด้วย... วุ้ย
    สงสัยจะอาศัยสมการ ไปนิพพาน... ซะแระ...ท่านเปรียบเทียบเองนะครับ

    การละสักกายทิฏฐิ (ของเรานะ ของคนอื่นก็คงแล้วแต่จะคิดกันไป) หมายถึง การเห็นความจริงว่า กายและใจนี้ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ขันธ์5 ก็ไม่ใช่ของเรา...ผมถึงได้ถามยังไงหละครับว่าเราคือใคร?

    ถ้ายังเห็นว่า ทิฏฐินี้ผิด ทิฏฐินี้ถูก แปลว่า มีทิฏฐิที่เป็นเรายึดไว้ว่า ทิฏฐินี้ตรงกับความเห็นนี้ คือถูก ผิดจากนี้คือไม่ถูก คือมีเรา มีเขา มีกู มีตัวกู มีของกู ก็เรียกว่ามีทิฏฐิ มีสักกายทิฏฐิ ยังเห็นว่า นี่ของเรา นั่นก็ของเรา ถ้ายังมีทิฏฐิ ต่อให้เห็นอะไร ต่ออะไรมันรวมเล็ก รวมใหญ่ มันก็คือยังเห็นผิด อยู่นั่นแหละ สักกายทิฏฐิเต็มหัวเต็มหู เห็นรวมเล็กรวมใหญ่ เป็นอัตตาของตน แล้วจะเห็นสิ่งที่อยู่เหนือความเป็นไปของอัตตาตนได้หรือ
    ...ท่านพูดเองนะครับ "ทิฏฐิเรา ก็ของเรา ไม่ตรงกับท่าน เราก็ไม่ได้ว่าอะไร"
    ยังมีของเรา ยังมีของเขา ยึดหรือเปล่าครับ?

    ของบางอย่าง มันต้องละ ต้องทิ้ง แม้แต่ตัวเอง ก็ไม่ยึดเอา มันถึงจะเห็นสิ่งที่เหนือกว่านั้น แบบว่า ตอนที่ยึดตัวตนไว้มันเห็นอย่างหนึ่ง แต่พอไม่ยึดมันก็เห็นอีกอย่างหนึ่ง...ใครครับที่ยึด/ไม่ยึดครับ เมื่อมีสิ่งที่ถูกยึด/ต้องมีผู้เข้าไปยึดสิครับ

    ทิฏฐิเรา ก็ของเรา ไม่ตรงกับท่าน เราก็ไม่ได้ว่าอะไร
    เราก็ยึดของเรา ท่านก็ยึดของท่าน(รึป่าว..)
    ยังมีทิฏฐิ ก็อย่างหนึ่ง ไม่ยึดทิฏฐิเป็นของตน ก็อีกอย่างหนึ่ง
    ความรู้สึกมันต่างกัน คนมีทิฏฐิ กับคนที่ไม่ทิฏฐิ ก็ต่างกัน
    ....ทิฐิ(ความคิดเห็น) แม้พระอริยเจ้ายังตัองมีความคิดเห็น
    ต่างกันแต่ว่าเป็น มิจฉาทิฐิ/สัมมาทิฐิครับ

    อยากจะรู้ใครมีทิฏฐิอะไร แบบไหน อ่านโพสท์ความเห็นของคนนั้น
    ก็จะเห็นได้ เพราะทิฏฐิของใครของมัน ทิฏฐิจะแสดงชัดถึงตัวตนของคนนั้น
    ....แน่นอนครับความคิดเห็นย่อมเห็นต่างได้ แต่ความจริงก็คือความจริง/บิดเบือนไมได้ครับ

    คนที่ไม่มีทิฏฐิ ละทิฏฐิ ได้แล้ว ก็แสดงออก อย่างหนึ่ง
    คนมีทิฏฐิ ยังละทิฏฐิไม่ได้ ก็แสดงออก อย่างหนึ่ง
    ถึงจะเปลี่ยนกี่ชื่อ กี่ล๊อคอินมาโพสท์ ถึงแม้แรกๆจะมองไม่ออก
    แต่พอพูดมากๆ มันจะมีตัวตน มีทิฏฐิ แสดงออกมาให้คนอื่นเขาจำได้
    ซักวันหนึ่งอยู่ดี เพราะมันมีเผลอ มันก็แสดงตัวตนออกมา ถ้าไม่มีเผลอ
    ก็ไม่ออกมา คนอื่นเขาก็ไม่รู้ แต่ทุกอย่างก็มีข้อยกเว้นอยู่ดี เราก็พูดจาก
    ประสบการณ์ของเราที่เป็นสัมผัสแบบปุถุชน...
    ...ท่านครับตนที่เป็นตัวๆ กับตนที่เป็นที่พึ่ง ที่มีอยู่จริงแต่ไม่มีรูปร่าง ต่างกันคนละเรื่อง
    นี่ขนาดความคิดเห็นยังแสดงออกมาเป็นตัวตนได้ แล้วจิตผู้รู้จะทำไม่ให้หรือครับ???

    หมดเวลา เวลาหมด

    ;aa24
    <!-- google_ad_section_end -->
    __________________
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->
     
  2. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านคคห.๘ครับ
    ก้อมันไม่จริงๆนี่ครับ มันเอามาเทียบกับกับเรื่องสามัญสมมุติไม่ได้(ต่างกับปรมัติสมมุติยังไงครับ) มันเป็นสภาพธรรมชาติ...(ธรรมฃาตอของอะไรครับ?)ที่พระองค์ออกค้นหาเพื่อพ้นจากสภาพธรรมชาติ...(ธรรมชาตินั้นมีอยู่จริงมั้ยครับ?)ไงครับพี่ เพราะการพ้นสภาพนั้น...(ใครพ้นจากสภาพนั้น)จำต้องเรียนรู้ธรรมชาติทุกสิ่งที่ก่อให้เกิดรูปและจิต...(อารมณ์เป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดรูป=อารมณ์กับจิตใช่มั้ยครับ) เมื่อเห็นแล้วทราบแล้วก็เข้าใจว่าเมื่อมันยังเดินหรือเคลื่อนไปตามกระแสธรรมชาตินั้น...(ใครที่ยังเดินและเคลื่อนไปตามกระแส่/หรือสวนกระแส่/อย่าบอกนะว่ามีแต่กระแส่/ผู้เดินส่วนกระแส่ไม่มี) ก็แสดงว่ายังไม่เห็นความเป็นจริงเมื่อแยกเราออกจากธรรมชาติได้เมื่อนั้นก็เห็นความจริง...(เราที่แยกออกจากธรรมชาติ/แสดงว่ามีสิ่งที่แยกออกจากธรรมชาติ) และเมื่อแยกออกมาแล้วยังยึดอยู่...(เพราะไม่ยึดจึงแยกออกมาได้/แยกออกมาแล้วจะต้องไม่ยึดทำไม) มันก็ไม่แยกจากธรรมชาติโดยเด็ดขาดต่อเมื่อ...(เพราะยึดจึงไม่แยกออก/ที่แยกออกเพราะไม่ยึด) ตัดไม่เหลือเยื่อใยได้จริง(ใครที่ตัดไม่เหลือเยื่อใยได้จริง) ก็จะแยกจากสภาวะธรรมชาติ แต่ไปกับธรรมชาติ...(ใครที่ไปกับธรรมชาติ/อย่าบอกว่ามีแต่การไป/ผู้ไปไม่มีหละ) งงไหม แต่มันก็คือธรรมชาติอีกแบบ เรียก ธรรมชาติของการหลุดพ้น...(ธรรมชาติการหลุดพ้นของอะไร?) หรือ ธรรมะธาตุ(อมตะธรตุมีอยู่ขริงมั้ย?) ที่ปุถุชนชอบใช้แต่ไม่เข้าใจไงครับ...(พระอริยเจ้าก็ยังต้องใช้แต่เข้าใจ) ผมช่วยอธิบายให้ฟังเข้าใจง่ายที่สุดเท่าที่จะทำได้ ได้แค่นี้ครับ ส่วนจริงหรือไม่นั้น ต้องพิสูจน์ด้วยตนเองครับ

    ;aa24
     
  3. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านคคห.ที่๑๐ครับ
    พระพุทธองค์ตรัสไว้ดีแล้วถูกต้องบริสุทธิ์ทุกอย่าง...(ใช่ครับทรงตรัสไว้ดีแล้ว)
    ดูมือของตัวเอง เหี่ยวลงๆทุกวันร่างกายเดินทางตั้งแต่เกิดไปสู่จุดจบ โดยไม่สนใจว่าเราจะว่ายังไง...(ที่แก่ลงเหี่ยวลงใช่ขันธ์๕มั้ยครับ?)...ถ้าเราเป็นเจ้าของทำให้มันหยุดแก่ดู...หยุดเจ็บ หยุดป่วยก็ไม่ได้...(เราอะใครครับที่ห้ามขันธ์๕ไม่ให้เสื่อมลงไม่ได้/แต่ไม่ใยดขันธ์๕หนะได้)...ในสุดท้ายก็ต้องคืนทุกสิ่งให้โลกนี้ ติดอยู่ใน สุข สรรเสริญ ลาภ ยศ เพื่อร่างที่มันแก่ลงแล้วก็ต้องตายนี่น่ะหรือ...(ใครครับท่าน...จิต/หรือกายที่ตายเน่าเข้าโลงได้/ติดอยู่ในโลกครับ)

    ;aa24
     
  4. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านคคห.ที่๑๑ครับ
    ใช่แบบนี้มั้ยครับ?
    ทำให้มาก...(ลงมือปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนา...ให้มาก) คิดให้น้อย...(จิตปรุงกิเลส/หรือกิเลสปรุงจิต...ให้น้อยลง) แจ่มครับ...(ปัญญาเกิดขึ้นที่จิตแจ่มแจ้งครับ)

    ;aa24
     
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ....ทิฐิ(ความคิดเห็น) แม้พระอริยเจ้ายังตัองมีความคิดเห็น
    ต่างกันแต่ว่าเป็น มิจฉาทิฐิ/สัมมาทิฐิครับ


    ถึงแม้จะเข้าใจสัมมาทิฏฐิแต่ยึดมั่นว่าสัมมาทิฏฐิ
    ก็ยังไม่มีสัมมาทิฏฐิเกิดจริงในใจตน
     
  6. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านคคห.๑๒ครับ

    ทำ...(ลงมือปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนา/รู้อยูที่รู้องค์ภาวนา).. หรือ คิด...(รู้อยู่ที่เรื่องที่คิด/ปรุงแต่งอยู่)...ก็เป็นการปฏิบัติ อันเดียวกัน เหมือนกัน ด้วยกัน และ เช่นกัน...(เป็นการรู้เหมือนกัน/ต่างกันแต่รู้อยู่ที่รู้/กับรู้อยู่เรื่องคิด)
    ...
    อิอิ

    ;aa24
     
  7. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านครับ
    ....ทิฐิ(ความคิดเห็น) แม้พระอริยเจ้ายังตัองมีความคิดเห็น
    ต่างกันแต่ว่าเป็น มิจฉาทิฐิ/สัมมาทิฐิครับ

    ถึงแม้จะเข้าใจสัมมาทิฏฐิ...(สัมมาทิฐิคือความเห็นถูก/เพราะรู้อยู่เห็นอยู่จึงเห็นถูก)แต่ยึดมั่นว่า...(เพราะเห็นผิดถึงได้มีการยึดมั่นว่า)สัมมาทิฏฐิ
    ก็ยังไม่มีสัมมาทิฏฐิเกิดจริงในใจตน....(มีใจตนแล้วหรือครับ/แบบนี้เรียกว่ายึดหรือเปล่า)

    ;aa24
     
  8. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านคคห.ที่๑๓ครับ
    จะทำ จะคิด ก็ควร ทำเพื่อ ลด ละเลิก...(การลด ละ เลิก ด้วยการทำ/ลงมือปฏิบัติได้ผลเดี๋ยวนั้น.../ลด ละ เลิก ด้วยการคิดบาวครั้งได้แต่คิดไม่เคยลงมือทำก็ป่วยการเปล่าครับท่าน)ตัวต้นทุกข์ นั่นแล...
    เน๊อะ..ท่าน อาจารย์ วิมุตติ..

    ;aa24

    <!-- google_ad_section_end -->
     
  9. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    คำว่า ใคร หรือ เรา นั้น ในความหมายที่พี่เข้าใจนั้นหมายถึงอะไรครับ ถ้าคนเราเมื่อเห็นสัจธรรมของพระพุทธเจ้าแล้วเห็นคำว่า ใคร หรือ เรา เป็นยังไงครับ อยากรู้ความเข้าใจของพี่ธรรมภูตครับ
     
  10. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านคคห.๑๔ครับ
    เรา คือ อะไร...(ที่ถาม เพราะ ยังไม่รู้...ท่านไปอ่านอนัตตลักขณสูตรสิครับ/แล้วท่านจะรู้)..ความไม่รู้...(อริยสัจจ๔) เรียก ชื่อ มันว่า ..อวิชชา
    ...
    ไม่รู้อะไร บ้างล่ะ..(ไม่อริยสัจจ๔ตามความเป็นจริง)...อยากรู้อะไรบ้างล่ะ..(อยากรู้วิชชาหลุดพ้น)......ไม่รู้ แล้ว อยากรู้(ผิดด้วยหรือครับ).....นี่แหล่ะ ไม่รู้(อริยสัจจ๔) เรียกว่า มีอวิชชา...
    ..
    การที่เรา ค้นหาคำตอบ คือ การทำ การคิด การปฏิบัติ..(ลงมือปฏิบัติอย่างจริงจังครับ)..เพื่อให้ได้รู้ ถึงคำตอบนั้น.....เมื่อรู้คำตอบนั้นแล้ว....อวิชชา(ความรู้ผิดจากความเป็นจริงครับท่าน) หรือความไม่รู้(ความไม่รู้จักอริยสัจจ๔) ก็ หายไป
    ..
    แล้ว ...เมื่อไหร่ ..จะเลิก อยาก..รู้ ..กัน ซักทีหนอ...(เมื่อลงมือปฏิบัติอย่างจริงจังครับ)
    ..
    เพราะ ว่า ทุกคำตอบ...ก็เพื่อ รู้...(รู้ถูกคือรู้อริยสัจจ๔ตามความเป็นจริง) มา แทนที่ ความไม่รู้...(รู้ผิดจากความเป็นจริงครับ).แต่ถามว่า รู้หรือไม่รู้...(รู้ถูก/หรือรู้ผิดครับ)บางที มันก็ ..ล้วนเป็นเรื่อง ของ ตวามคิด ความอยาก ที่ไร้สาระ ไที่ไม่เกิดประโยชน์ อะไร...ต่อ ความเป็นจริง ของ ความปัจจุบัน...(ต้องเป็นปัจจุบันธรรมจริงๆนะครับ) ของการเป็น มนุษย์...(ขันธ์๕) ของ ตนเองเลย...(ของใครครับ?)
    ..
    นั่นคือ...
    1.ทำไม ไม่ ทำ ในสิ่ง ที่มันเหมาะ มันดี สำหรับ ความเป็น คน ความเป็น มนุษย์ เป็น สัตว์มนุษย์ ความเป็น สังคม คน ...สังคมมนุษย์ กันล่ะ...(สิ่งที่เหมาะที่สุดคือปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนาให้สำเร็จครับ)
    ...
    2.ทำไม ไม่ คิดที่จะอยู่ร่วมกัน อย่าง มีความสุข กันหรือ.0...(การรู้จักตนเองที่แท้นั้น/อยู่ที่ไหนก็เป็นสุขครับ)

    ;aa24
     
  11. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านคคห.ที่๓๕ครับ
    เนทหมดเวลาครับ ตอนค่ำค่อยตอบนะครับ

    ;aa24
     
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ถ้ายังเห็นอะไรบางอย่างเป็นของตนอยู่ ก็เรียกว่า ยังมีความเห็นผิดอยู่
    สัมมาทิฏฐิ ยึดไว้ ก็ไม่เรียกว่า มีสัมมาทิฏฐิ
    เรายังยึดอยู่น่ะแหละ ไม่มีสัมมาทิฏฐิเกิดจริง ก็รู้ว่าไม่มี
    ก็ยังมีเรา มีเขา มียึด มีไม่ยึด ของจริงไม่รู้ รู้แต่ของไม่จริง
    รู้ว่ายังมีเรา มีเขา ส่วนไม่มีเรา ไม่มีเขา เป็นยังไงนี่ ยังไม่รู้ [​IMG]
     
  13. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านคคห.ที่๓๕และคคห.ที่๓๘ครับ ผมรวบยอดตอบทีเดียวเลยนะครับ
    เพราะเป็นทัศนะแบบเดียวกันที่เข้าใจสมมุติบัญญัติผิดไปจากความเป็นจริง

    เนื่องจากสมมุติบัญญัตินั้น เป็นบัญญัติซ้อนบัญญัติลงไปอีกที
    เพื่อง่ายต่อการสนทนาให้เข้าใจกันได้ถูกต้องตรงกันตามความเป็นจริงครับ

    ตัวอย่าง ที่กลัวกันนักกับคำว่า เป็นเรา ของเรา เป็นตน ของตนฯลฯ
    ทั้งที่เป็นสมมุติที่เป็นสรรพนามแทนบุรุษที่๑/หรือ๒เท่านั้น
    การที่จะใช้คำสมมุติเหล่านี้ ก็ไม่ทำให้ความเป็นจริงเปลี่ยนไปจากความเป็นจริงเลยครับ

    เช่น เมื่อสักครู่นี้มีโทสะ(อารมณ์) ทำให้เกิดอาการของจิต(ชอบใจ/หรือไม่ชอบใจ)
    เมื่อกล่าวว่าเกิดอาการเช่นนี้ออกไป
    ย่อมมีคนขี้สงสัยทั้งหลายต้องถามว่าใครมีโทสะ?.../คุณ เธอ เรา เขา ฯลฯ ?
    เมื่อรู้ว่าเป็นใครแล้ว
    ต้องไม่ยึด/หรือถอน สมมุติบัญญัติ คุณ เธอ เรา เขา ออกไปเสียยังงั้นหรือ???

    เมื่อเราปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์โกรธนั้นได้...
    /และไม่แสดงอาการของจิตออกมา/ชอบหรือไม่ชอบ....นั้นได้แล้ว
    จำเป็นด้วยหรือที่ต้องถอนทิ้ง/ไม่ยึดถือ...ในคำว่า “คุณ เธอ เรา เขา”นั้นเสีย
    เพื่ออะไรครับ??? จำเป็นด้วยเหรอ???
    จะมี/หรือไม่มีคำว่า“คุณ เธอ เรา เขา” ผู้ที่ตนเองละอารมณ์โกรธและอาการของจิตได้
    เค้าก็ยังคงละได้อยู่เหมือนเดิมไม่ใช่หรือ???

    ถ้าสิ่งที่ทำได้ไม่ใช่ตนของตนทำได้ แล้วเป็นของใครหละ???
    การสื่อสารนั้นต้องมีการแสดงให้รู้สิว่า ใครเป็นก่อสิ่งเหล่านั้นขึ้นมา
    ย่อมต้องรับผลของการก่อนั้นเช่นกัน
    ดังมีพุทธวจนะกล่าวไว้ว่า “ผู้ใด(ใคร)ก่อกรรมเช่นใด ผู้นั้นย่อมได้รับผลเช่นนั้น”
    ถ้าเราใช้แทนที่คำว่า “ผู้ใด ผู้นั้น”ด้วยคำว่าตน
    ต้องถอนทิ้ง/หรือไม่ยึด...คำว่า “ตน” จะได้ไม่ต้องใช้กรรมที่ก่อหรือไงครับ???

    ทุกวันนี้คนเราทุกคน ย่อมรู้ดีว่าในทุกคนนั้นมีจิตผู้รู้คนละหนึ่งดวง....
    /ของใครของมัน...ใครที่ทำกรรมไว้เช่นใด ย่อมได้รับผลที่ตน(ใคร)ทำเช่นนั้น
    เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขว้างในพุทธศาสนา

    เมื่อของใครของมัน เมื่อจะสื่อสารให้ใครรู้ว่าตนทำความดีเพื่อความหลุดพ้นอะไรไว้บ้างนั้น???
    เราต้องบอกกล่าวให้เป็นที่เข้าใจใช่มั้ยว่าเพราะ”ตน”ทำความดีเพื่อความหลุดพ้นเช่นใดใช่มั้ย???
    จำเป็นด้วยหรือที่ต้อง ถอนทิ้ง/หรือไม่ยึด...คำว่า “ตน”เท่านั้น
    มิฉะนั้นแล้ว การทำความดีเพื่อการหลุดพ้นจะหายไปด้วยงั้นหรือ

    ผมหวังว่า คงใช้เหตุผลในการอ่านให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ แล้วลองนำไปพิจารณาดู
    จะได้ไม่หลงสมมุติจนหัวปักหัวปำกันครับ

    ;aa24
     
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ของมันมีอยู่ เพราะธรรมชาติของมันเป็นอย่างนั้น(ธรรมชาติของจิตปุถุชน)
    เช่น เรามีอยู่จริง เรามีทิฏฐิ เรายึดทิฏฐิเป็นเรา เรารู้สึกจริง ก็รู้ว่ามีเราอยู่ในโลกจริง
    เราจะปฏิเสธยังไง มันก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้น จะตกแต่งให้เป็นอย่างไรมันเป็นได้แต่ไม่ถาวร
    จะให้มันเป็น มันมี หรือมันไม่มี จะสมมุติ หรือ ไม่สมมุติ มันก็หักล้างความเป็นจริงไม่ได้
    วันหนึ่งความจริงนั้น ธรรมชาตินั้น ก็ต้องแสดงธาตุแท้ออกมา
    หลอกตัวเองก็หลอกได้ หลอกคนอื่นก็หลอกได้ แต่หลอกความจริงไม่ได้อยู่ดี

    การไม่ยึดมั่นในตัวตน คือทางแห่งความหลุดพ้นอย่างแท้จริง
    ถ้ายังยึดอยู่ ก็ทำได้ถึงขีดสุดแต่เพียงเท่านี้ ข้ามไม่พ้นภพ ก็ต้องอยู่ในภพไป เพราะยึดจึงมีชาติภพ
    ไม่ยึดมั่นในตัวตน ข้ามพ้นละทิฏฐิในตน ถึงพ้นจากโลกไปได้

    แต่ก็ช่างเถอะ... เพราะมันเป็นความคิดของเราเองเท่านั้น เราเหนื่อยที่จะหลอกตัวเองแล้ว
    เรายอมรับความจริงของตนเองแล้วสงบกว่า เราก็ทำไปตามนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2009
  15. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    คนละช่วงกัน ^-^
     
  16. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ผมว่าพี่บุญไม่ถึงของครับ ผมพยายามอธิบายแล้วหลายครั้ง และครั้งล่าสุดนี้ เขียนมาเยอะแต่ส่งไปให้พี่อ่านไม่ได้เลยครับ แต่ยังไงๆ พี่ลองน้อมใจมา ลดกำลังฌานลงมาแล้วพิจารณาแบบปกติ ที่อุปจารสมาธิ ดูนะครับอาจมองเห็นบางอย่างด้วยตัวพี่เองครับ
     
  17. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านคคห.ที่๔๐ครับ
    ของมันมีอยู่ เพราะธรรมชาติของมันเป็นอย่างนั้น(ธรรมชาติของจิตปุถุชน)
    เช่น เรามีอยู่จริง เรามีทิฏฐิ เรายึดทิฏฐิเป็นเรา เรารู้สึกจริง ก็รู้ว่ามีเราอยู่ในโลกจริง....(เมื่อรู้ว่ามีอยู่ในโลกจริง พอปล่อยวางความยึดถือทิฐิ/เราก็ต้องหาไปด้วยหรืครับ แล้วจะรู้มั้นเนี้ยว่า ใครปล่อยวางได้ พระองค์ทรงสอนให้ใช้สมมุติในโลกแต่ไม่ได้ให้เพิกถอนสมมุติซะหน่อย)
    เราจะปฏิเสธยังไง มันก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้น จะตกแต่งให้เป็นอย่างไรมันเป็นได้แต่ไม่ถาวร...(เมื่อจิตพ้นทุกข์แล้วไม่ถาวร จะให้จิตหลุดพ้นไปทำไม???)
    จะให้มันเป็น มันมี หรือมันไม่มี จะสมมุติ หรือ ไม่สมมุติ มันก็หักล้างความเป็นจริงไม่ได้...(อมตะธรรมนั้นมีอยู่จริงใครก็หักล้างไม่ได้ ไม่ใช่มีแต่สภาวะเท่านั้น/ต้องมีผู้ที่เข้าถึงจริงด้วยจึงบอกได้ครับ)
    วันหนึ่งความจริงนั้น ธรรมชาตินั้น ก็ต้องแสดงธาตุแท้ออกมา
    หลอกตัวเองก็หลอกได้ หลอกคนอื่นก็หลอกได้ แต่หลอกความจริงไม่ได้อยู่ดี
    ...(มีก็คือมี ไม่มีก็คือไม่มี ใช่ก็คือใช่ ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่/ไม่ใช่เดี๋ยวมี เดี๋ยวไม่มี เดี๋ยวใช่ เดี๋ยวไม่ใช่ เอาอะไรแน่นอนไม่ได้ พูดเป็นเด็กขายขนมครับ)

    การไม่ยึดมั่นในตัวตน คือทางแห่งความหลุดพ้นอย่างแท้จริง...(ในพระบาลีอนัตตลักขณะสูตรเขียนไว้ว่า การไม่ยึดมั่นถือมั่นในอุปทานขันธ์๕ว่าเป็นตัวตน/จิตย่อมหลุดพ้นจากอุปทานขันธ์ทั้งหลายครับ)
    ถ้ายังยึดอยู่ ก็ทำได้ถึงขีดสุดแต่เพียงเท่านี้ ข้ามไม่พ้นภพ ก็ต้องอยู่ในภพไป เพราะยึดจึงมีชาติภพ...(ถ้าปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นได้ ผู้ปล่อยวางได้ยังต้องถูกปล่อบวางอีกทีหนึ่งด้วยหรือ แล้วมาบอกได้ยังไงว่าเราปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นได้แล้ว)
    ไม่ยึดมั่นในตัวตน ข้ามพ้นละทิฏฐิในตน ถึงพ้นจากโลกไปได้...(ทั้งหมดที่พูดมาหนะ ใครกันที่เป็นผู้ไม่ยึดมั่นตัวตน/ใครกันที่พ้นจากการละทิฐิในตน"ใคร"???)

    แต่ก็ช่างเถอะ... เพราะมันเป็นความคิดของเราเองเท่านั้น เราเหนื่อยที่จะหลอกตัวเองแล้ว
    เรายอมรับความจริงของตนเองแล้วสงบกว่า เราก็ทำไปตามนี้
    (ศาสนาพุทธนั้นสอนแต่เรื่องราวที่มีอยู่จริงครับ ไม่ใช่ของโกหกพกลมซักหน่อย/ที่สอนว่าอะไรๆก็ไม่มีอยู่ อย่าไปยึด/..ใครหละที่อย่าไปยึด)

    ;aa24
     
  18. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านคคห.ที่๔๒ครับ
    ผมว่าพี่บุญไม่ถึงของครับ...(ไม่น่าจะเกี่ยวกับบุญถึง/หรือบุญไม่ถึงครับ น่าจะเกี่ยวกับการรู้ถูก/สัมมาทิฐิ....หรือรู้ผิด/มิจฉาทิฐิเสียมากกว่า อย่าเพิ่งรีบสรุปครับ) ผมพยายามอธิบายแล้วหลายครั้ง และครั้งล่าสุดนี้ เขียนมาเยอะแต่ส่งไปให้พี่อ่านไม่ได้เลยครับ...(เมื่อคืนวานก็เช่นกันครับส่งไม่ได้) แต่ยังไงๆ พี่ลองน้อมใจมา ลดกำลังฌานลงมาแล้วพิจารณาแบบปกติ...(ท่านสามารถเข้าถึงฌาน๔ได้คล่องแคล่วแล้วหรือครับ) ที่อุปจารสมาธิ ดูนะครับอาจมองเห็นบางอย่างด้วยตัวพี่เองครับ....(ถ้าฌาน๔ยังไม่คล่องแคล่ว ก็อย่าไปพูดถึงอุปจารสมาธิเลยเพราะการที่จะผ่านฌาน๔ได้นั้น ต้องผ่านอุปาจารสมาธิก่อนอยู่แล้ว/และมันลำบากกว่าขั้นอุปาจารสมาธิไม่รู้กี่เท่า แล้วที่ว่าผมจะเห็นเองหนะใครเป็นผู้เห็น? อย่าบอกนะว่ามีแต่การเห็นเท่านั้น/เพราะผู้รู้ผู้เห็นไม่มีอยู่จริง)

    ;aa24
     
  19. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    คนที่โพสท์ นั้นละ อย่าไปยึด พอยึดก็เป็นอย่างที่คุณแสดงอยู่นี้แหละ
    แล้วคุณเห็นแจ้งรู้แจ้ง ตามคำสอนของพระพุทธองค์หมดแล้วรึ
    คุณไม่เข้าใจสิ่งที่เราพูด ก็เป็นเรื่องของคุณ
    เราไม่เข้าใจที่คุณพูด ก็เป็นเรื่องของเรา
    คุณจะทำให้เราเข้าใจเหมือนที่คุณเห็นได้หรือ
    แต่เราก็เข้าใจของเรา ก็แล้วกัน เราก็เข้าใจตามฐานะของปุถุชน
     
  20. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    รู้แต่ถูก และ รู้แต่ผิด เอาอะไรวัด ใครที่เห็นก็เราไงตัวเราไงที่เห็นที่รู้ และตัวเราคืออะไรละ ถ้าตัวเรา คือ ตัวเรามันก็จบลงที่ตัวเรา แต่ถ้าตัวเราไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเรา เป็นแค่สิ่งสมมติก็ค่อยมาคุยกัน เรื่องสมาธิที่พี่เขียนมา ดูแล้วก็มีแต่ความสับสน ถ้าผมบอกว่าผมอยู่ที่สัญญาเนวสัญญายตนได้ พี่จะเชื่อไหม พี่ก็คงไม่เชื่อเพราะว่ามันเป็นสิ่งไม่ควรเชื่อและมันก็เป็นไปไม่ได้จริงไหมครับ แต่ก็แค่เปรียบเทียบให้ฟังเฉยๆ มีสิ่งหนึ่งที่เป็นคำพูดของใครคนหนึ่งที่เป็นคนดีและน่าเชื่อถือได้บ้างอยู่ใน ห้องนี้แหละ คือ คนปฏิบัติเขาไม่ตั้งป้อมสงสัยกันมากหรอกเพราะไม่ว่าจะเห็นอะไรก็ตามหากรู้ว่ามันเป็นสมมุติบทสรุปสุดท้ายก็เหมือนกันคือไม่เป็นทุกข์ เราจะมองว่ามันเป็นตัวเราก็ได้เป็นจิตเราก็ได้เป็นคติเราก็ได้หากว่ามันทำแล้วทำให้เราเข้าใจเห็นสัจธรรมนั้นอย่างแท้จริง เพราะทุกอย่างก็อยู่ที่ตัวที่ตนของตนเองนั่นแหละ ไม่มีใครช่วยใครได้หรอกครับ สรุปคือ ไม่ว่าพี่จะเห็นว่า ผู้รับคือตัวเรา หรือ ผู้เป็นคือตัวเรา แล้วทำให้หลุดพ้นจากวัฏสงสาร ผมก็ขออนุโมทนาด้วยครับ ส่วนผมก็ต้องฝึกปฏิบัติต่อไปครับ เพราะยังไม่สามารถเห็นในสิ่งนั้นได้
     

แชร์หน้านี้

Loading...