แล้วเรา คือ อะไร?...../ใคร....?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 4 สิงหาคม 2009.

  1. worathepj

    worathepj Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    96
    ค่าพลัง:
    +71
    เรื่องพระอรหันต์ที่ผมกล้ายืนยันมีแค่ครูบาอาจารย์ผมรับรองมา จริงไม่จริงไม่รู้แต่ครูผมบอกอะไรมักจะไม่พลาด มีหลวงปู่มหาบัว หลวงพ่อวัดสระเกศ(สมเด็จเกี่ยว) ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นส่วนใหญ่ยังไม่เห็นใครไม่อรหันต์ แล้วหลวงปู่มั่นจะไม่อรหันต์ได้ไง ส่วนองค์อื่นไม่รู้ไม่กล้าพยากรณ์ บอกตามที่ครูอาจารย์รับรองมาครูผมก็ทูลถามตรงต่อพระพุทธเจ้าอีกทีนั่นแหละ
     
  2. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ครูท่านคือใครครับ ^-^
     
  3. worathepj

    worathepj Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    96
    ค่าพลัง:
    +71
    ครูผมมรณภาพไปแล้วปี 2535 เดือนตุลาคม อ่ะครับ อย่าถามเลย เดี๋ยวคนที่ไม่เชื่อจะค้านแล้วไปปรามาสครูผมมันเป็นบาปเสียปล่าวๆ อยากทราบค้นคว้าเองดีกว่าครับ
    "คติผมคือ เอาครูอาจารย์เป็นเข็มทิศ เพราะต้องระลึกเสมอว่าเรายังรู้ไม่จริง ครูผมก็คือพระรัตนตรัยทั้ง 3 ประการ" "ดูกร อานนท์เมื่อตถาคตนิพพานไปแล้ว ธรรมและวินัยที่มีตถาคตแสดงอยู่นั้นแหละ คือครูสอนเธอ (เข้าใจไหม)...^ ^
     
  4. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    โยนิโสมนสิการ เท่านั้น ที่ต้องใช้ กับตนเพื่อตนเอง ไม่ใช่ผู้อื่น
    ผมต้องแก้ไขหลายอย่างอีกเยอะ แต่เจตนาคือ นำตนเองมาให้ผู้อื่นเห็นนั่นแหละ จะได้รู้ว่า มิจฉาทิฐิ เป็นไง สัมมาทิฐิ เป็นไง คือ รู้ทั้งสองอย่าง เรียกการเรียนรู้ ไม่เคยหวังพระนิพพานชาตินี้ครับแต่ต้องเดินให้ถูกทางจะได้ไม่หลงทาง ทุกท่านก็ควรจะเช่นกัน แต่การหวังหรือไม่หวังพระนิพพานนั้นเป็นเรื่องส่วนบุคคลครับ อนุโมทนาครับ
     
  5. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านคคห.ที่๑๐๔ครับ
    พี่ธรรมภูต รู้จักหลวงปู่มั่นไหมครับ หลวงปู่มั่นเป็นพระอรหันต์ใช่ไหมครับ และหลวงปู่จันทร์ แห่งวัดบรมนิวาส รู้จักไหมครับ เป็นพระอรหันต์ใช่ไหมครับ และเจ้าคุณโฮม แห่งวัดสระปทุมหรือวัดปทุมวนาราม เป็นพระอรหันต์ใช่ไหมครับ ผมได้ความรู้เรื่องการทำสมาธิมาจากที่วัดสระปทุมครับ พระที่เป็นพระอาจารย์ผมมีหลายรูปครับแต่ล้วนอยู่ที่วัดสระปทุมทั้งหมดครับ ผมเกิดที่วัดสระปทุม(หลังวัดนี่แหละ)เคยเห็นเคยพบพระสุปฏิปันโนหลายรูปในวัยเด็กแต่ไม่รู้จัก เพราะความเยาว์วัยแต่ตอนนี้ผมระลึกได้แล้วว่าที่แท้หลวงปู่หลวงพ่อท่านก็เคยไปที่วัดสระปทุม ตั้งแต่ก่อนผมเกิดจนถึงตอนผมเกิดแล้วจนโตก็มี ครับ คำสอนนั้นเป็นของหลวงปู่จันทร์ ครับ และท่านก็เป็นสหธรรมมิกของหลวงปู่มั่นครับ แล้วท่านพี่ธรรมภูตรู้จักไหมครับวัดสระปทุม ตอนนี้ก็มีหลวงพ่อถาวร เป็นพระเถรด้านวิปัสสนา ผมก็เคยร่วมบุญสร้างสถานปฏิบัติธรรมกับพระอาจารย์ท่านนี้ในวัยเด็ก เช่นเดียวกันกับชาวชุมชนหลังวัดสระปทุมทุกผู้ทุกคนในเวลานั้น สมัยก่อนยังไม่มีอะไรต่างคนช่วยกันลงแรงขนทรายและอิฐหนอนมาช่วยกันปู แต่ทุกวันนี้ผมย้ายจากที่นั้นแล้วแต่ผมก็ไปวัดนี้ทุกครั้งที่คิดถึงอดีต ไปนั่งสมาธิครับ ที่ผมถามก็เพราะอยากจะบอกว่าพระอรหันต์เขาไม่มุสาเพื่อทำให้ตนดูดีกว่าผู้อื่นครับ แต่ถ้าหากคิดว่าหลวงปู่จันทร์ท่านไม่ได้เป็นพระอรหันต์ก็สุดแล้วแต่ แต่ถึงยังไงท่านก็เป็นพระผู้มีศีลบริสุทธิ์ ดังนั้น การเชื่อถ้าไม่มีปัญญาไตร่ตรองได้เองนั้น ก็ต้องเลือกที่จะเชื่อครับ ผมจึงไม่เชื่อในคำกล่าว ของพี่ ครับ ถ้ายังเห็นความเป็นอัตตา ตัวตนอยู่ คิดว่าเป็นของตนอยู่ ทางสายผมเรียกว่ายังไม่บรรลุธรรมนั้นครับ ยังไม่เสร็จกิจ และเรียกไม่เห็นธรรมครับ....(เคยรู้จักความหมายอัตตาที่แท้จริงมั้ยครับ???/...๑.อัตตาที่หมายถึงเป็นรูปเป็นร่างกายจับต้องได้เป็นตัวๆ/...๒.อัตตาที่หมายถึงไม่มีรูปร่างที่จับต้องได้ แต่มีการยึดรูปที่ปราศจากกามเป็นอารมณ์เรียกว่า(รูปฌาน)เป็นตน....หรือการยึดเอาอารมณ์ที่ปราศจากกามมาเป็นอารมณ์เรียกว่า(อรูปฌาน)เป็นตน/...๓.อัตตาที่หมายถึงที่พึ่งที่แท้จริงไม่มีรูปร่างให้จับต้องได้...และไม่มีอารมณ์แม้สักนิดปะปนอยู่เลยที่เรียกสภาวะนั้นว่า"สูญญตา"..เป็นที่พึ่งอาศัยได้ ถ้าไม่เรียกว่า "ตน"แล้วเรียกว่า "ไม่ใช่ตน"หรือ ซึ่งคำพวกนี้พระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบทุกท่านนั้นล้วนกล่าวถึงที่พึ่งอันประเสริฐทั้งนั้น...เมื่อเป็นที่พึ่งพาอาศัยได้ล้วนเรียกว่า "ตนเป็นที่พึ่งของตนได้แล้ว"...ส่วนที่พึ่งพาอาศัยไม่ได้เลยนั้น ล้วนแล้วแต่เรียกว่า "ไม่ใช้ที่พึ่ง ที่อาศัย ไม่ใช่ตน"ครับ...อย่าไปเที่ยวกลัว "ตน"นักเลย...แม้ปฐมพุทธวจนะพระองค์ทรงตรัสไว้ชัดเจนอยู่แล้วว่า "เมื่อพราหมณ์ ผู้มุนี มารู้จักตนหรือพบตนเข้าฯลฯ" จำไว้ด้วยว่าอีกนัยยะหนึ่งของอัตตาที่แปลว่า "ที่พึ่ง ที่อาศํย" ไม่ใช่เจอคำว่า "ตน"ที่ไหนจะเป็นจะตายให้ได้ ทั้งที่มีครูบาอจารย์พูดถึงมากมายหลายที่ครับ ระหว่างพระพุทธวจนะกับสาวกวจนะก็แล้วแต่นะครับว่าจะเลือกเชื่อใครดี??? ใครที่เรียกว่ายังไม่เห็นธรรมนั้น...ยังไม่รู้ว่าใครกันแน่???...แต่ที่แน่ๆนั้น ดูสิว่าใครกันที่ได้หลักใจแล้วบ้างครับ???)

    ;aa24
     
  6. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านคคห.ที่๑๐๖ครับ
    อาจารย์ผมสอนว่า "ธรรมะพระพุทธเจ้าตัดก็ขาด ต่อก็เกิน ท่านสอนมาพอดีแล้วเป็นมัฌชิมปฏิปทา แล้ว" ขอสรุปง่าย ๆ ผมไม่ชอบเข้าใจอะไรให้มันยาก
    เราคือจิต (มีสภาพจำ และ รู้)
    ที่ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราคือ ขันธ์ 5 (แยกเอาเอง) รวมถึงสรรพวัตถุในโลกทั้งหมด
    สมบัติของเราคือ กรรม และ จิตที่ได้ฝึกมาดีแล้ว(อริยะทรัพย์เท่านั้นนะ มรรค 4 ผล 4)ส่วนนิพพานถ้าถึงผลที่ 4 สุดท้ายก็จะถึงเอง ยกเว้นได้โสดาบันและมีทิพจักขุญานจะรู้จักนิพพาน ผมไม่อธิบายเพราะไม่ถึง
    ปล. คำแนะนำสำหรับผู้ปฏิบัติทุกท่าน หากท่านกำลังคิดว่า นรกสวรรค์ไม่มี หรืออยู่ในอก ในใจ ไม่เชื่อเรื่องภพชาติ หรื อเวรกรรม หมายหัวได้เลยว่ากำลังรู้มากกว่าพระพุทธเจ้า
    โพสต์มานี่เพราะ ผมสังเกตุมาหลายท่านเมาตำรากันจัง แถมเมาผิดตำราด้วย พระไตรปิฏกมีหัดเอามาศึกษาดูบ้างครับ ไม่ได้เหน็บแนมใคร แต่ไม่อยากให้คนที่ไม่รู้เรื่องจริง ๆ หลงเป็นมิจฉาทิฐิแต่เริ่มต้น เพราะผิดแต่เริ่มนี่มันจะผิดไปตลอด จำไว้อย่างเก่งหรือรู้เกินกว่าพระพุทธเจ้า พวกนิพพานสูญอ่ะ ลงนรกไปเยอะแล้ว สูญของท่านหมายถึงสูญจากกิเลส ที่เหลือค้นคว้าเอาเองครับ ..... มีบางคนไม่พอใจผมโพสต์ ไม่แปลก เพราะเห็นไม่ตรงกับท่าน ผมไม่สนใจครับ แค่ผมเห็นตรงตามพระพุทธเจ้าสอนก็พอแล้วเวลาผมลงนรกคนพวกนี้ไม่ได้ลงไปช่วยผมนี่หว่า ...(ฮาร์ดคอร์ไปหน่อย อภัยด้วย)....(อนุโมทนา สาธุครับท่านที่มาได้ถูกทางแล้วครับ มีบางพวกที่กลัวสมมุติแม้แต่กระทั่งจะพูดถึง...แต่กลับไม่กลัวว่าจะหลงสมมุติหรือยึดสิ่งที่เป็นต้นสมมุติขึ้นมา...ถ้าไม่มีเรา คือ จิต แล้วใครเล่าที่เป็นผู้รับกรรมที่ตนทำเวียนว่ายเข้าไปในภพน้อยใหญ่อันยาวนานนับไม่ถ้วนหละ...เมื่ออบรมฝึกฝนจิตจนพ้นจากความยึดมันถือมั่นในสมมุติแล้ว....ถ้าไม่ใช่จิตของตนพ้นแล้ว...จะเป็นจิตของใครหละครับที่พ้นวิเศษ???)

    ;aa24
     
  7. visutto

    visutto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,541
    ค่าพลัง:
    +1,167
    ผู้มีสติปัญญาก็พิจารณาเอาเอง...

    บังคับให้ใครมาเชื่อไม่ได้...

    เพราะคนส่วนใหญ่จะเชื่อในสิ่งที่ตนเชื่อ...ที่ตนปฏิบัติ..ที่ตนถนัด..ที่ตนเห็นชอบเท่านั้น

    ด้วยเหตุผลที่เข้าข้างตนเอง...ไม่ใช่เหตุผลของธรรม

    พิจารณาดู..ว่า จอมปราชญ์อย่างพระพุทธเจ้าท่านสอนอะไรปฏิบัติอย่างไร...

    แล้วพระอริยสงฆ์ครูบาอาจารย์สายหลวงปู่มั่น องค์หลวงตามหาบัว จอมปราชญ์แห่งยุค

    ท่านสอนอย่างไร ปฏิบัติอย่างไร..

    แบบอย่างก็มีให้ดำเนินตาม..องค์จริงๆก็มีชีวิตอยู่...ให้อบรมสั่งสอนและเรียนถาม

    แล้วถ้ายังไปเชื่ออาจารย์กรรมฐานนิ้วคลิ๊กไฮเทค..ที่มีความคิดตกผลึกเดาเอาเอง..

    เพชรแท้ไม่เอาจะเอาเศษกระจก...

    เพียงเพราะคำพูดที่โดนใจเอามาเป็นบรรทัดฐานของความเชื่อ..ศรัทธา

    การปฏิบัติให้เป็นแบบอย่าง... เหนือกว่าคำพูดเป็นร้อยเป็นพัน

    ของที่ได้มาง่ายๆไม่มีคุณค่า..แค่เล่นตามกระแสตามยุคตามสมัย..
     
  8. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านคคห.ที่๑๑๐ครับ
    โยนิโสมนสิการ เท่านั้น ที่ต้องใช้ กับตนเพื่อตนเอง ไม่ใช่ผู้อื่น
    ผมต้องแก้ไขหลายอย่างอีกเยอะ แต่เจตนาคือ นำตนเองมาให้ผู้อื่นเห็นนั่นแหละ จะได้รู้ว่า มิจฉาทิฐิ เป็นไง สัมมาทิฐิ เป็นไง คือ รู้ทั้งสองอย่าง เรียกการเรียนรู้ ไม่เคยหวังพระนิพพานชาตินี้ครับแต่ต้องเดินให้ถูกทางจะได้ไม่หลงทาง ทุกท่านก็ควรจะเช่นกัน แต่การหวังหรือไม่หวังพระนิพพานนั้นเป็นเรื่องส่วนบุคคลครับ อนุโมทนาครับ.....(ท่าน มีโยนิโสมนสิการ...ที่ต้องใช้..."กับตนของตน" เขียนแบบนี้ได้มั้ยครับ ผมก็บอกแล้วสมมุติหนะมีไว้เพื่อให้ใช้แทนความเป็นเจ้าของเท่านั้น จะยึด/หรือไม่ยึดก็เท่านั้น....จะยึดว่าเป็นของเรามันก็เป็นของเราอยู่แล้ว...จะยึดไปเพื่ออะไรกัน???...จะไม่ยึดว่าเป็นของเรา...เมื่อเราโยนิโสมนสิการได้...มันก็เป็นของเราอยู่ดี....หวังว่าคงจะไม่ต้องกลัวสมมุติอีกนะครับ...ที่น่ากลัวคือไปยึดมั่นถือมั่นว่าสมมุตินั้นเป็นเราต่างหากที่น่ากลัวครับ...ส่วนเรื่องทางเดินนั้นทั้งพระบรมครู/..และครูบาอาจารย์สายปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนาล้วนสั่งสอนไว้มากมายว่าทางนี้ทางเดียวเท่านั้น...ทางอื่นนอกจากนี้ไม่มีอีกแล้ว/...อนาปานสติยังไงหละครับ/....สำหรับของท่านนั้น...เท่าที่ผมอ่านผ่านตามา...เห็นว่ายังภาวนาแบบตามลมหายใจเข้าออกอยู่...แล้วเมื่อไหร่จิตจะตั้งมั่นหละครับ....เรา(จิต)มีหน้าที่ดูลมหายใจที่เข้าออกตรงจุดลมกระทบ(ฐานเดิม)เท่านั้น อย่าตามลมเข้าไป/อย่าตามลมออกมา....จิตจึงจะตั้งมั่นได้...(เห็นจิตในจิต)ครับ)

    ;aa24
     
  9. visutto

    visutto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,541
    ค่าพลัง:
    +1,167
    หุมฺปิ เจ สํหิตํ ภาสมาโน
    น ตกฺกโร โหติ นโร ปมตฺโต
    โคโปว คาโว คณยํ ปเรสํ
    น ภาควา สามญฺญสฺส โหติ . . . ฯ ๑๙*

    คนที่ท่องจำตำราได้มาก
    แต่มัวประมาทเสีย ไม่ทำตามคำสอน
    ย่อมไม่ได้รับผลที่พึงได้จากการบวช
    เหมือนเด็กเลี้ยงโค นับโคให้คนอื่นเขา
     
  10. visutto

    visutto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,541
    ค่าพลัง:
    +1,167

    ถาปิ รุจิรํ ปุปฺผํ
    วณฺณวนฺตํ อคนฺธกํ
    เอวํ สุภาสิตา วาจา
    อผลา โหติ อกุพฺพโต . . . ฯ ๕๑ ฯ

    วาจาสุภาษิต
    ของผู้ทำไม่ได้ตามพูด
    ย่อมไม่มีประโยชน์อะไร
    ดุจดอกไม้สีสวย แต่ไร้กลิ่น


    วาจาสุภาษิต
    ของผู้ทำได้ตามพูด
    ย่อมอำนวยผลดี
    ดุจดอกไม้สีสวยและมีกลิ่นหอม


    ตฺตานญฺเจ ตถา กยิรา
    ยถญฺญมนุสาสติ
    สุทนฺโต วต ทเมถ
    อตฺตา หิ กิร ทุทฺทโม . . . ฯ ๑๕๙ ฯ

    สอนคนอื่นอย่างใด ควรทำตนอย่างนั้น
    ฝึกตนเองได้แล้ว จึงควรฝึกคนอื่น
    เพราะตัวเราเองฝึกยากยิ่งนัก

    ถาปิ รุจิรํ ปุปฺผํ
    วณฺณวนฺตํ สคนฺธกํ
    เอวํ สุภาสิตา วาจา
    สผลา โหติ สุกุพฺพโต . . . ฯ ๕๒ ฯ
     
  11. visutto

    visutto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,541
    ค่าพลัง:
    +1,167
    เรื่อง มูลกรรมฐาน

    มุตโตทัย
    ส่วนที่ ๒
    บันทึกโดย

    พระอาจารย์วัน อุตฺตโม และ พระอาจารย์ทองคำ ญาโณภาโส
    ณ วัดป่าบ้านหนองผือ อ. พรรณานิคม จ. สกลนคร
    พ.ศ. ๒๔๙๑ - ๒๔๙๒


    ๑. เรื่อง มูลกรรมฐาน
    กุลบุตรผู้บรรพชาอุปสมบทเข้ามาในพระพุทธศาสนานี้แล้ว ใครเล่าไม่เคยเรียนกรรมฐานมา บอกได้ทีเดียวว่าไม่เคยมี พระอุปัชฌาย์ทุกองค์เมื่อบวชกุลบุตรจะไม่สอนกรรมฐานก่อนแล้วจึงให้ผ้าภายหลังไม่มี ถ้าอุปัชฌาย์องค์ใดไม่สอนกรรมฐานก่อน อุปัชฌาย์องค์นั้นดำรงความเป็นอุปัชฌายะต่อไปไม่ได้ ฉะนั้นกุลบุตรผู้บวชมาแล้วจึงได้ชื่อว่าเรียนกรรมฐานมาแล้ว ไม่ต้องสงสัยว่าไม่ได้เรียน
    พระอุปัชฌายะสอนกรรมฐาน ๕ คือ เกสา ผม โลมา ขน นขา เล็บ ทันตา ฟัน ตโจ หนัง ในกรรมฐานทั้ง ๕ นี้ มีหนังเป็นที่สุด ทำไมจึงสอนถึงหนังเท่านั้น? เพราะเหตุว่า หนัง มันเป็นอาการใหญ่ คนเราทุกคนต้องมีหนังหุ้มห่อ ถ้าไม่มีหนัง ผม ขน เล็บ ฟัน ก็อยู่ไม่ได้ ต้องหลุดหล่นทำลายไป เนื้อ กระดูก เอ็น และอาการทั้งหมดในร่างกายนี้ ก็จะอยู่ไม่ได้ ต้องแตกต้องทำลายไป คนเราจะหลงรูปก็มาหลง หนัง หมายความสวยๆ งามๆ เกิดความรักใคร่แล้วก็ปรารถนาเพราะมาหมายอยู่ที่หนัง เมื่อเห็นแล้วก็สำคัญเอาผิวพรรณของมัน คือผิว ดำ-ขาว-แดง-ดำแดง-ขาวแดง ผิวอะไรต่ออะไร ก็เพราะหมายสีหนัง ถ้าไม่มีหนังแล้ว ใครเล่าจะหมายว่าสวยงาม? ใครเล่าจะรักจะชอบจะปรารถนา? มีแต่จะเกลียดหน่ายไม่ปรารถนา ถ้าหนังไม่หุ้มห่ออยู่แล้ว เนื้อเอ็นและอาการอื่นๆ ก็จะอยู่ไม่ได้ ทั้งจะประกอบกิจการอะไรก็ไม่ได้ จึงว่าหนังเป็นของสำคัญนัก จะเป็นอยู่ได้กินก็เพราะหนัง จะเกิดความหลงสวยหลงงามก็เพราะมีหนัง ฉะนั้นพระอุปัชฌายะท่านจึงสอนถึงแต่หนังเป็นที่สุด ถ้าเรามาตั้งใจพิจารณาจนให้เห็นความเปื่อยเน่าเกิดอสุภนิมิต ปรากฏแน่แก่ใจแล้ว ย่อมจะเห็นอนิจจสัจจธรรม ทุกขสัจจธรรม อนัตตาสัจจธรรม จึงจะแก้ความหลงสวยหลงงามอันมั่นหมายอยู่ที่หนังย่อมไม่สำคัญหมาย และไม่ชอบใจ ไม่ปรารถนาเอาเพราะเห็นตามความเป็นจริง เมื่อใดเชื่อคำสอนของพระอุปัชฌายะไม่ประมาทแล้ว จึงจะได้เห็นสัจจธรรม ถ้าไม่เชื่อคำสอนพระอุปัชฌายะ ย่อมแก้ความหลงของตนไม่ได้ ย่อมตกอยู่ในบ่วงแห่งรัชชนิอารมณ์ ตกอยู่ในวัฏจักร เพราะฉะนั้น คำสอนที่พระอุปัชฌายะได้สอนแล้วแต่ก่อนบวชนั้น เป็นคำสอนที่จริงที่ดีแล้วเราไม่ต้องไปหาทางอื่นอีก ถ้ายังสงสัย ยังหาไปทางอื่นอีกชื่อว่ายังหลงงมงาย ถ้าไม่หลงจะไปหาทำไม คนไม่หลงก็ไม่มีการหา คนที่หลงจึงมีการหา หาเท่าไรยิ่งหลงไปไกลเท่านั้น ใครเป็นผู้ไม่หา มาพิจารณาอยู่ในของที่มีอยู่นี้ ก็จะเห็นแจ้งซึ่งภูตธรรม ฐีติธรรม อันเกษมจากโยคาสวะทั้งหลาย
    ความในเรื่องนี้ ไม่ใช่มติของพระอุปัชฌายะทั้งหลายคิดได้แล้วสอนกุลบุตรตามมติของใครของมัน เนื่องด้วยพุทธพจน์แห่งพระพุทธองค์เจ้า ได้ทรงบัญญัติไว้ให้อุปัชฌายะเป็นผู้สอนกุลบุตรผู้บวชใหม่ ให้กรรมฐานประจำตน ถ้ามิฉะนั้นก็ไม่สมกับการออกบวชที่ได้สละบ้านเรือนครอบครัวออกมาบำเพ็ญเนกขัมมธรรม หวังโมกขธรรม การบวชก็จะเท่ากับการทำเล่น พระองค์ได้ทรงบัญญัติมาแล้ว พระอุปัชฌายะทั้งหลายจึงดำรงประเพณีนี้สืบมาตราบเท่าทุกวันนี้ พระอุปัชฌายะสอนไม่ผิด สอนจริงแท้ๆ เป็นแต่กุลบุตรผู้รับเอาคำสอนไม่ตั้งใจ มัวประมาทลุ่มหลงเอง
    ฉะนั้นความในเรื่องนี้ วิญญูชนจึงได้รับรองทีเดียวว่า เป็นวิสุทธิมรรคเที่ยงแท้

    สุปฎิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สังฆัง นะมามิ
    ขอกราบนมัสการพระเดช พระคุณ "หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต"

    <!--MsgFile=0-->
     
  12. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    พระท่านสอนให้ละรูปขันธ์ก่อนครับ

    เมื่อความยึดมั่นในรูปขันธ์เบาลง

    ส่วนนามขันธ์ก็จะชัดเจนขึ้น ก็มาคลายความหลงที่นามขันธ์นี้เองครับ

    ถ้าคลายความหลงที่นามขันธ์ไม่ได้

    แม้ไม่หลงรูปขันธ์

    ก็ยังหลงอัตตา คลายสักกายทิฏฐิไม่ได้อยู่ดี

    ครูบาอาจารย์บางท่านจึงอาจสอนให้ยกรูปขันธ์เอาไว้ก่อน

    แล้วมาคลายความหลงในส่วนนามขันธ์ก่อนเลยก็มี

    ถ้าคลายความหลงในส่วนนามขันธ์เป็นเบื้องต้นได้

    ก็จะค่อย ๆ เริ่มเข้าใจ ความต่างเป็นปัจจัยซึ่งกันและกันของรูปขันธ์กับนามขันธ์ได้เอง

    พระท่านไม่ได้สอนอะไรผิด หรือสอนอะไรไม่ตรงกันเลย

    เพียงแต่เราไปถึงตรงจุดสตาร์ทจริง ๆ แล้วหรือยัง

    ถ้าถึงแล้ว มันก็เรื่องเดียวกันหมดนั่นแหละ เพียงแต่ว่าแต่ละคนอยู่ตรงไหนของทางเท่านั้นเอง...
     
  13. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ตลกดีครับพี่ ผมพึ่งเคยพบแบบนี้นี่แหละ ก็ลองดูครับ แค่เห็นก็ไม่อยากถามต่อแล้ว หลักใจผมมีมานานมากกว่าพี่ก็แล้วกัน ผมไม่เหมือนพี่ตรงที่ผมทำแล้วเห็นยังไงก็อย่างนั้น แต่พี่เห็นพุทธพจน์แล้วค่อยทำเอาจิตเข้าปรุงแต่งคาดหวังให้เป็นอย่างนั้น ความรู้สึกของพี่จึงต่างกับผมเยอะมากๆๆๆๆๆๆ จริงๆ แล้วผมเบื่อที่จะยุ่งกับพี่หรือใครๆ ที่คิดคล้ายๆพี่เหมือนกันนะ แต่ด้วยยังมีผู้ที่มองเห็นคล้ายผมหลงเหลืออยู่บ้าง ผมเอาคำกล่าว ของหลวงปู่มา แล้วผมก็ปฏิบัติตาม พิจารณาตาม หรือ เรียกตกผลึกความคิดอย่างที่พี่ว่านั่นแหละ อย่าได้ประมาทผู้อื่นเพราะหากพี่ยังไม่ได้อภิญญาญาณ ก็อย่าคาดหวังว่าผมหรือใครจะเป็นอย่างไร มันไม่ตรงความจริง คุณธรรมเบื้องต้นแค่นี้ ก็ไม่รักษาแล้ว ผู้บรรลุธรรมเบื้องสูงนั้นจิตละเอียดกว่าจะหยั่งถึงได้ ฉนั้นผมว่าพี่และพวกอย่าอุปโหลกเลย แต่คนอื่นอาจไม่สงสัย ยกเว้นผมคนเดียวที่สงสัย เรื่องนี้ ผมรู้ว่าขณะนี้ผมใช้อัตตานี้เพื่อฝึก แต่ผมไม่เคยยึดว่าอัตตานี้เป็นของผมรวมไปถึงจิตด้วย เพราะขณะปัจจุบันเท่านั้น ตรองดู
     
  14. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    อนุโมทนากับบทความนี้ค่ะ สอนคนอื่นก็ต้องมาสอนตัวเราด้วยเหมือนกัน
    พอสอนตัวเราแล้ว คนรอบข้างใกล้ชิด เราสอนเขาได้หรือ ยัง
    กิเลสตรงนี้มันเริ่มละเอียดจนเราไม่ทันได้เห็นจริง ๆ นั้นล่ะ
     
  15. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    อนิจจา เรามา เราอ่านเห็น
    อนิจจา เราเป็น เช่นใดหนอ
    อนิจจา เราวน เราเวียนรอ
    อนิจจา เราหนอ รอใครกัน

    มาวันนี้ เขาบอก ให้เราดู
    มาวันนี้ เราคือผู้ ดูโศกสันต์
    มาวันนี้ เราสนุก สุขใจพลัน
    มาวันนี้ เราเฉย อารมณ์เรา

    (smile)
     
  16. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    แล้ว เรา คือ อะไร ???

    (smile)
     
  17. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    ร่างกาย เหมือนเพื่อนตาย อยู่ใกล้ชิด
    พินิจอีก ก็เหมือน เรือนอาศัย
    จิตไม่มี รูปร่าง อย่างใดๆ
    สิงอยู่ใน กายยนต์ ปนชีวี

    ยังไม่ตาย กายนี้ ว่ามีจิต
    สิ้นชีวิต จิตหาย กายเป็นผี
    เหมือนเรือนร้าง ห่างหน คนไม่มี
    ย่อมเป็นที่ โรยรุด ทรุดโทรมไป


    เวลาเป็น เห็นแต่กาย ใจไม่เห็น
    ไม่เหมือนเช่น เรือนกาย ใช้อาศัย
    เรือนกายเห็น เจ้าของ ครองอยู่ใน
    แต่เรือนใจ เหมือนเจ้าของ ครองไม่มี

    แลด้วยตา ไม่เห็น เห็นด้วยใจ
    มาอาศัย อยู่ในกาย แล้วหน่ายหนี
    พูดว่าตาย ก็หมาย เอากายนี้
    สิ้นชีวี เน่าไป ใจไม่ตาย


    จิตไม่มี ร่างกาย ว่าตายไป
    เอาอะไร มาชี้ เป็นที่หมาย
    กายเกิด กายตาย หมายเห็นง่าย
    เพราะกายเป็น รูปัง สังขารา

    เป็นธาตุเกื้อ เนื้อหนัง ไม่ยั่งยืน
    ใครจะฝืน ก็ไม่สม ปรารถนา
    เกิดแล้วแก่ เจ็บตาย วายชีวา
    ธรรมดา อย่างนี้ มีทุกคน


    มันแปรแปลก แตกสลาย ไม่ใช่ตัว
    ไปพันพัว ยึดไว้ ไม่ได้ผล
    เป็นอนันต์ ไม่ใช่อัต ตาตัวตน
    เฝ้าดิ้นรน เดือดร้อน ทำไมกัน

    เกิดตาย สำหรับกาย ซึ่งเรียกร้อง
    ว่าเป็นของ ไม่แน่ ย่อมแปรผัน
    อุปาทาน หัวดื้อ ยึดถือมั่น
    เบญจขันธ์ คือเรา เอาเป็นตน


    จึงหลงกล ว่าตน แก่เจ็บตาย
    งมงาย ฝ่ายตัณหา พาเสือกสน
    เป็นวิสัย ใจชั้น สามัญชน
    ย่อมมืดมน ทึบทับ อับปัญญา


    อันตัวเรา คือจิต บริสุทธิ์
    เป็นวิมุตติ หลุดพราก จากตัณหา
    ไม่ยึดถือ ขันธ์ ๕ เป็นอัตตา
    สิ้นชรา ตายเกิด กำเนิดวาย

    จิตพ้นโลก พ้นโอฆ สงสาร
    เรียกนิพพาน หรือวิมุตติ ที่สุดหมาย
    หมดทุกข์ หมดภัย ไกลอันตราย
    สุขสบาย เป็นนิจ นิรันดร์เอยฯ
    ------เปมงฺกโร ภิกขุ-------

    (smile)
     
  18. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    นานาใช้สมมุติว่า ตัวเรา คือเราหรือจิตของเรา
    พยายามสร้างความเข้มแข็งให้จิตใจ ก็จะส่งผลให้ขันธ์ดีขึ้น
    เรา(จิต)ต้องพึ่งขันธ์อยู่ ก็ต้องไปอบรมเขา
    เพราะเรา(จิต) ต้องใช้ขันธ์เป็นเวทีของการพิจารณาค่ะ
    สักพักหนึ่ง เมื่อเรา(จิต) ได้ถูกอบรมเต็มที่แล้ว


    ต่อไปเรา(จิต) ก็ต้องไปอบรม เขา(จิตอื่น) เพื่อให้เป็นทิศทางธรรม
    ด้วยความที่จิตเราเย็นนั้น อาจจะทำให้เขา(จิตอื่น) เย็นจะคล้อยตาม
    ค่ะพี่หนูเล็ก
     
  19. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    นานาลองพิจารณา "องค์ธรรมของปัจจัย" ดู ลองดูนะ ไม่ต้องท่องจำ ไม่ต้องลงลึกมาก แค่เอาให้เห็นว่า การประชุมกัน มันก็มีปัจจัยแต่ละอย่าง ประกอบกัน

    เหมือน computer จะเรียกได้ว่าคอมพิวเตอร์
    ก็ต้องประกอบด้วย ฮาร์ดแวร์ เช่น จอ cpu แป้นพิมพ์
    ต้องมี ซอฟท์แวร์ โปรแกรม จึงใช้ได้
    ต้องมี ยูสเซอร์ ผู้ใช้จึงทำงานได้

    มีฮาร์ดแวร์ มิอาจใช้
    มีแต่ยูสเซอร์ ก็มีใช้ได้


    ศึกษาย้อนกลับมาที่ความเป็นเรานั่น ลองดู ^-^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 สิงหาคม 2009
  20. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    อนุโมทนาค่ะ น้องนานา

    เรา(จิต)จึงต้องอบรมตนเอง(จิต) ให้อยู่ได้โดยลำพังตนเอง
    ไม่ต้องพึ่งพาอารมณ์ใดๆ(ขันธ์ ๕) แต่อยู่ร่วมกันไป
    เหมือนน้ำที่กลิ้งอยู่บนใบบัว โดยใบบัวไม่เปียก ฉะนั้น

    ถึงขันธ์ ๕ ของเราจะแปรปรวนไป
    เรา(จิต)ก็ไม่แปรปรวนตามขันธ์ ๕ ของเราที่แปรปรวนไป

    (smile)
     

แชร์หน้านี้

Loading...