นี่ ๆ เหล่านักปฏิบัติ จ๋าาา ช่วยวิสัชนา ตอบ นู๋บี ทีซิ ว่า ขรัวตาจะตีไหมค้าาาาาาาา ?

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย 5th-Lotus, 20 ตุลาคม 2009.

  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <table id="post3746559" class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr valign="top"><td class="alt1" id="td_post_3746559" style="border-right: 1px solid rgb(255, 255, 255);">
    <table align="center" bgcolor="#e2e2e2" border="5" bordercolor="#98deff" cellpadding="0" width="725"><tbody><tr><td bgcolor="#ecfae0">♣ ฉลามผู้ภักดี ♣ </td></tr></tbody></table><table align="center" bgcolor="#e2e2e2" border="5" bordercolor="#98deff" cellpadding="0" width="725"><tbody><tr><td bgcolor="#ffffff"><table align="center" border="0" cellpadding="3" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr bgcolor="#cccccc"><td valign="center">
    </td></tr><tr><td align="middle" valign="top"><table border="0" cellpadding="2" cellspacing="2" width="95%"><tbody><tr><td valign="top"><table align="center" bgcolor="#f5f5f5" border="0" cellpadding="2" cellspacing="2"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr><tr><td align="middle">
    </td></tr></tbody></table>
    </td></tr></tbody></table></td></tr><tr><td align="middle" valign="top"><table border="0" cellpadding="2" cellspacing="2" width="95%"><tbody><tr><td valign="top"><table align="center" bgcolor="#f5f5f5" border="0" cellpadding="2" cellspacing="2"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr><tr><td align="middle">
    </td></tr></tbody></table>
    </td></tr></tbody></table></td></tr><tr><td align="middle" valign="top"><table border="0" cellpadding="2" cellspacing="2" width="95%"><tbody><tr><td valign="top"><table align="center" bgcolor="#f5f5f5" border="0" cellpadding="2" cellspacing="2"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr><tr><td align="middle">
    </td></tr></tbody></table>
    </td></tr></tbody></table></td></tr><tr><td align="middle" valign="top"><table border="0" cellpadding="2" cellspacing="2" width="95%"><tbody><tr><td valign="top"><table align="center" bgcolor="#f5f5f5" border="0" cellpadding="2" cellspacing="2"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr><tr><td align="middle">
    </td></tr></tbody></table>
    </td></tr></tbody></table></td></tr><tr><td align="middle" valign="top"><table border="0" cellpadding="2" cellspacing="2" width="95%"><tbody><tr><td valign="top"><table align="center" bgcolor="#f5f5f5" border="0" cellpadding="2" cellspacing="2"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr><tr><td align="middle">
    </td></tr></tbody></table>
    </td></tr></tbody></table></td></tr><tr><td align="middle" valign="top"><table border="0" cellpadding="2" cellspacing="2" width="95%"><tbody><tr><td valign="top"><table align="center" bgcolor="#f5f5f5" border="0" cellpadding="2" cellspacing="2"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr><tr><td align="middle">
    </td></tr></tbody></table>
    </td></tr></tbody></table></td></tr><tr><td align="middle" valign="top"><table border="0" cellpadding="2" cellspacing="2" width="95%"><tbody><tr><td valign="top"><table align="center" bgcolor="#f5f5f5" border="0" cellpadding="2" cellspacing="2"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr><tr><td align="middle">
    </td></tr></tbody></table>
    </td></tr></tbody></table></td></tr><tr><td align="middle" valign="top"><table border="0" cellpadding="2" cellspacing="2" width="95%"><tbody><tr><td valign="top"><table align="center" bgcolor="#f5f5f5" border="0" cellpadding="2" cellspacing="2"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr><tr><td align="middle">
    </td></tr></tbody></table>
    </td></tr></tbody></table></td></tr><tr><td align="middle" valign="top"><table border="0" cellpadding="2" cellspacing="2" width="95%"><tbody><tr><td valign="top"><table align="center" bgcolor="#f5f5f5" border="0" cellpadding="2" cellspacing="2"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr><tr><td align="middle">
    </td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table><!-- google_ad_section_end -->
    </td> </tr> <tr> <td class="alt2" style="border-width: 0px 1px 1px; border-style: none solid solid; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255);"> เครดิต คุณวรเดช http://palungjit.org/threads/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B9%86%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88.3906/page-1077<script type="text/javascript">vbrep_register("3746</script>
    </td> <td class="alt1" style="border-width: 0px 1px 1px 0px; border-style: none solid solid none; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color;" align="right"> [​IMG]</td></tr></tbody></table>
     
  2. emaN resU

    emaN resU เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    2,944
    ค่าพลัง:
    +3,294
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->k.kwan<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_3747019", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    ฉลามผู้ภักดี... Love story




    แสดงความคิดเห็น... ถูกใจ แต่ไม่เห็นด้วย เหตุผลเพราะว่าเนื้อหาไม่เหมาะสมกับชื่อกระทู้

    คำแนะนำเพิ่มเติม... เนื้อหาแบบนี้ ควรนำไปโพสที่ "กระทู้รัก" นะจ๊ะที่รัก
     
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [​IMG]

    sutatip_b สมาชิกเว็บพลังจิต

    จากคุณวิกรม หลานคุณลุงคนเชียงใหม่ เว็ปพลังจิต ขออนุโมทนาบุญทั้งคุณวิกรมและหลวงพ่อค่ะ

    มีเรื่องราวที่ผมดูข่าว การแก่งแย่งอาหาร รวมกลุ่มกันปล้นฆ่าแย่งอาหารกัน ทำให้นึกถึงเรื่องราวทีุ่พระคุณลุงเคยเล่าให้พวกเราฟังตอนยังเป็นฆราวาส ทำให้ผมกลับไปค้นดูในสิ่งที่พระคุณลุงเคยโพสต์ไว้มาดูอีก มีเหตุการณ์เหมือนกับที่เกิดขึ้น หวังว่าภาพเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นในบ้านเรา

    วิกรม หลานพระคุณลุงครับ

    **************************************************
    ข้อความจากคุณลุงคนเชียงใหม่

    สถานที่ปลอดภัย ในเชียงใหม่เองที่จะโดนหนักมีสองเรื่องคือ ฟังวลีนี้ไว้แล้วคิดตัดสินด้วยนะ

    "น้ำปิงจะกลายเป๋นสันดอย บ้านคนควันจะลอยอุ้ม คนหนุ่มจะกำมีดมาฆ่ากั๋น เป๋น100 วันบาตรแก่นน้อยก่อปะเต๋ม คนบ่าหันต๋ายจะก๋ายเป่นผีบ้า ป่าเฮ้วป่าช้าบะปอฝังผี คนดีจะมีในป่า คนใจ๋บาปหยาบจ้าจะไปฆ่ากั๋นในเวียง เมียบะนับผัว ผัวบะนับเมีย ลูกจะขุดเซาะหาป้อ หมองีบก่อบะได้นอน แฮ้งก๋าบินฮ่อนมืดเต๋มเวียง จ๋นวันตี้ฟ้ามีเสียงเหมือนโลกแตก ตี้เป่นดอยก็จะแยกเป๋นตี้เปียง คนตี้เปียงจะเสี้ยงตี้ยืน คนเป่นหมื่นจะปาต๋ายเกือบเสี้ยง เจ๊ามีเสียงดังเต๊าหมาตดคนก็กั๋ว ก้มหัวกราบขอบะหื้อต๋าย"

    แปลเผื่อคนที่ไม่ใช่คนเหนือ

    "แม่น้ำปิงจะหายกลายเป็นสันดอย(ภูเขา) บ้านคนจะมีควันลอยคลุมไปหมด(น่าจะควันจากไฟใหม้) คนวัยหนุ่มสาวจะถืออาวุธออกมาเข่นฆ่ากัน นานนับร้อยวันที่ที่แม้แต่บาตรที่เล็กที่สุดของพระก็ไม่เคยได้ข้าวเต็มบาตร คนที่ไม่เห็นหรือรู้จักความตายจะเป็นบ้า(รับไม่ได้กับความตาย) ป่าช้าจะไม่มีที่พอกลบฝังศพ คนดีมีอยู่ในป่า คนที่โลภทรัพย์สินหรือคนบาปจะเข้าไปฆ่ากันในเมือง(คงแย่งสมบัติกัน) ผัวเมียจะไม่ถือว่าเป็นผัวเมียกัน ลูกจะเที่ยวขุดพื้นดินหาพ่อของตัวเอง หมอรักษาโรคแทบจะไม่ได้นอน แร้งกาบินว่อนเต็มเมือง จนวันที่มีเสียงเหมือนฟ้าแตก ที่บนดอยจะทลายลงเป็นที่ราบ ที่ราบจะหายไปจนไม่มีที่ยืน คนนับหมื่นจะพากันตาย คนกลัวหวาดผวา ได้ยินเสียงเท่าหมาตด ก็กลัวจนต้องก้มลงกราบขอชีวิต"

    ลองแปลความให้ดูนะ น้ำปิงจะหายกลายเป๋นสันดอย (เพราะฉนั้น สถานที่ไม่ปลอดภัยน่าจะเป็นพื้นที่ๆติดกับน้ำปิงทั้งหมด) เจดีย์โผล่ออกมา (ลุงไม่แน่ใจนะว่าที่พระอาจารย์เอ่ย จากพื้นดินหรือจากน้ำถ้ามาจากน้ำทางเหนือก็สัณนิฐานได้ 2 ที่คือที่ชุมชนเก่าเมืองเชียง(ที่พระนางจามเทวีมาพักหลังจากเดินทางมาจากขอม ก่อนมาเข้าเมืองลำพูน ที่พระฤาษีวาสุเทพ สร้างถวาย ) ที่ถูกน้ำท่วมไปจากการสร้างเขื่อนภูมิพล ซึ่งหมายถึงน้ำในเขื่อนหมดไปแล้วนั่นเอง หรือจากบริเวณ ชุมชน และตอนเหนือของเขื่อนแม่กวง ช่วงนี้เผ่นดินไหวที่เชียงใหม่บ่อยขึ้นคงใกล้แล้วหละ

    "บ้านคนจะมีควันลอยคลุมไปหมด(น่าจะควันจากไฟใหม้) คนวัยหนุ่มสาวจะถืออาวุธออกมาเข่นฆ่ากัน นานนับร้อยวันที่ที่แม้แต่บาตรที่เล็กที่สุดของพระก็ไม่เคยได้ข้าวเต็มบาตร"

    ภาพของความจราจลหลังการเกิดแผ่นดินไหวที่รุนแรง มากจนความเสียหายที่เกิดไม่มีคนมีกำลังมากพอที่จะไปช่วยกันดับไฟ หรือเกิดจากการปล้นสะดมเพื่อแย่งอาหาร เพราะประโยคต่อไป ตามด้วยเหตุการณ์ที่คนออกมาเข่นฆ่ากัน จนบรรยายเห็นภาพว่า แม้แต่พระสงฆ์องค์พระเจ้าทั้งหลายก็มีอาหารไม่พอฉัน นานร่วมร้อยวัน (น่าเป็นห่วงนะ สำหรับพระที่ไม่เคยปฏิบัติ เคร่งครัดแต่เรื่องธรรมวินัยไม่เคยฝึกจิตมีเป็นจำนวนมาก ยิ่งพระที่เป็นพระพุทธพานิชย์คงอดอาหารที่ 3-7 วันฉัน 1 มื้อ แต่พระสายพระป่าคงไม่ยากหรอก ใครที่ฝึกปฏิบัติกับพระอาจารย์ที่ระดับจิตสูงๆแล้ว ท่านมักจะแนะนำให้ฝึกถือศีลอดนะลองถามดูท่านจะยิ้มๆถึงเหตุผล ** คงให้เตรียมตัวไว้**

    คนบ่าหันต๋ายจะก๋ายเป่นผีบ้า ป่าเฮ้วป่าช้าบะปอฝังผี คนดีจะมีในป่า คนใจ๋บาปหยาบจ้าจะไปฆ่ากั๋นในเวียง

    แปล "คนที่ไม่เห็นหรือรู้จักความตายจะเป็นบ้า(รับไม่ได้กับความตาย)ป่าช้าจะไม่มีที่พอกลบฝังศพ คนดีมีอยู่ในป่า คนที่โลภทรัพย์สินหรือคนบาปจะเข้าไปฆ่ากันในเมือง(คงแย่งสมบัติกัน)"

    "**คนที่ไม่เห็นหรือรู้จักความตายจะเป็นบ้า***

    ถ้าท่านเป้นคนหนึ่งที่ยังมี น้ำตาเสียใจคร่ำครวญกับความตายของญาติหรือคนที่รักของท่านแสดงว่าท่านไม่ รู้จักความตายว่าเป็นสัจจธรรม วันที่เกิดเหตุการณ์ ท่านจะรับไม่ได้กับความสูญเสีย ลองสมมุติภาพนะว่าทั้งบ้านพ่อแม่พี่น้องตายหมดเหลือเพียงท่านคนเดียว ท่านจะอุเบกขากับเหตุการณ์นั้นได้หรือไม่ ถ้ายังไม่ได้(ต้องอย่างรวดเร็วด้วยนะ) ท่านอาจกลายเป็นหนึ่งในจำนวนนั้น

    ***ป่าช้าจะไม่มีที่พอกลบฝังศพ ***คงบรรยายภาพจำนวนคนที่ต้องจากเราไปนะว่าจำนวนเท่าใด

    ***คนดีมีอยู่ในป่า คนที่โลภทรัพย์สินหรือคนบาปจะเข้าไปฆ่ากันในเมือง***

    คนที่ยังอยู่ในพื้นที่ที่ประสพภัยพิบัติอย่างรุนแรง คือ

    1. คนที่ยังติดโลภ ติดหลง กับทรัพย์สมบัติ กับชีวิตของผู้จากไป ทำให้ไม่จากไปใหน

    2. คนที่ทั้งชีวิตเป็นเด็กในเมือง ไม่มีตลาดไม่เคยรู้ว่า จะไปหาอะไรกินได้จากใหน

    นึกไม่ออกว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไรถ้าไม่มีตลาด เขาก็จะไปแก่งแย่งเข่นฆ่ากันตามซากซุเปอร์มาร์เกตทั้งหลาย รวมทั้งคนที่ไม่ได้เตรียมตัว+เตรียมใจ+ไม่เชื่อว่าจะเกิดเหตุการณ์+ไม่มีแผน อะไรไว้ในใจ ที่จะออกจากพื้นที่ ที่เป็นปัญหา

    ****ผัวเมียจะไม่ถือว่าเป็นผัวเมียกัน ลูกจะเที่ยวขุดพื้นดินหาพ่อของตัวเอง หมอรักษาโรคแทบจะไม่ได้นอน****

    ภาพต่างคนต่างเอาตัวรอด คนที่แต่งงานกันเพราะความอยากในกาม ก็จะทิ้งกันเอาตัวรอด ภาพของเด็กที่ไปคุ้ย ซากปรักหักพังเพื่อหาศพพ่อแม่ ท่ามกลางเสียงร้องไห้กระจองอแงเศร้าโศรกเสียใจ ภาพหมอที่ต้องรักษาคนที่บาดเจ็บจนแทบจะไม่ได้นอนคงพอเห็นภาพอะไรนะ

    ""แร้งกาบินว่อนเต็มเมืองจนวันที่มีเสียงเหมือนฟ้าแตก ที่บนดอยจะทลายลงเป็นที่ราบ ที่ราบจะหายไปจนไม่มีที่ยืน คนนับหมื่นจะพากันตาย เช้าขึ้นมาผู้คนพากันกลัวจนหวาดผวา ได้ยินเสียงเท่าหมาตด ก็กลัวจนต้องก้มลงกราบขอชีวิต" และบทสุดท้ายก็คือ แร้งกาจะบินว่อนเต็มเมือง หมายถึงมีศพมามายจนคนที่เหลือไม่มีกำลังพอที่จะกลบฝัง แล้วก็มีเสียงดังเหมือนฟ้าแตก **ลุงไม่แน่ใจว่าจะดังขนาดไหน แต่พระอาจารย์ว่าคนที่ไม่สามารถแยกจิตออกจากกาย หลังจากวันนั้นเขาจะไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกเลย(คงแก้วหูแตก)

    **พื้นที่ๆเป็น ภูเขาจะกลายเป็นที่ราบ พื้นที่ราบจะหายไปจนไม่มีที่ยืน***

    อันนี้ลุงเดาเอาเองนะไม่ได้ถาม ถ้าน้ำท่วมที่ราบหมด พื้นที่เราเห็นว่าสูงๆก็จะเป็นที่ราบไปเอง หรือไม่ก็ทรุดลงไปจริงๆ

    ***คนนับหมื่นจะพากันตาย เช้าขึ้นมาผู้คนพากันกลัวจนหวาดผวา ได้ยินเสียงเท่าหมาตด ก็กลัวจนต้องก้มลงกราบขอชีวิต"***

    คนตายจำนวนมาก คนที่เหลืออยู่ก็อยู่ในภาวะหวาดกลัว จนเปรียบเทียบว่าเสียงดังเท่าหมาตดก็ก้มลงกราบขอชีวิต ดังแค่ใหนไม่ทราบ เพราะลุงก็ยังไม่เคยได้ยินหมาตดเลยในชีวิต

    ข้อความทั้งหมดที่ลุงคัดลอกมาจากบันทึก ที่ลุงได้มีโอกาสไปปฏิบัติธรรมและบวชอยู่ช่วงหนึ่ง เมื่อแยกกายจิตได้ พระอาจารย์ท่านก็เมตตาเล่าให้ฟัง เรื่องราวเหล่านี้พระอาจารย์จำนวนมากทราบแต่ ติดที่ศีลของท่านที่ไม่สามารถเล่าเรื่องให้อนุสัมปัน(คนที่มีศีลต่ำกว่าฟังได้) และท่านอาจารย์ยังย้ำนะว่าให้ไปฝึกจิตให้เลื่อนระดับสูงขึ้นไป เพราะหลังจากเหตุการณ์เกิดขึ้น ในโลกของอสูร ก็จะเต็มไปด้วยอสูรที่เกิดใหม่ ไม่มีอาหารเพียงพอในโลกนั้น ก็จะเข้ามาเบียดเบียนมนุษย์ ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยคนที่มีจิตสูงเข้าไปช่วยเหลือ รวมทั้งทำทานอาหารให้สรรพสัตว์ในภพภูมินี้ ได้อยู่อย่างสงบด้วย หมายถึงโลกจะสงบจากการเข้ามาเบียดเบียนของอสุระกายต่างๆ หมายถึงต้องมีผู้รอด ที่มีความพร้อมในการทำทาน แผ่ส่วนกุศลแบบไม่มีประมาณให้สรรพสัตว์เหล่านี้ด้วย

    ลุงไม่แน่ใจนะว่าสิ่งที่ลุงเห็น เป็นอะไรแต่ส่วนหนึ่งที่ลุงตัดสินใจที่จะเดินหน้าและยิ่งมีความมั่นใจ เมื่อพบกับกลุ่มบ้านคนญี่ปุ่น ที่เมื่อสอบถามประวัติหลังจากรู้จักกันดีแล้ว ส่วนใหญ่พอเอ่ยชื่อ ต้องตกตะลึง ที่เจ้าของบริษัทใหญ่ๆมารวมกันที่นี่ นักวิทยาศาสตร์ ชั้นยอดเกี่ยวกับนาโนเทคโนโลยี่ของญี่ปุ่น ใช้เวลาปีละกว่า 5-6 เดือนอยู่ที่นี่

    ขอเล่านิมิตของลุงให้ฟังก็แล้วกัน ไม่ต้องเชื่อนะ เพราะระดับการฝึกจิตของลุงยังไม่ถึงขั้นที่ จะบอกตัวเองได้ถึงขั้นใหน การถอดจิตยังไม่เป็นวสีได้ แต่อย่างไรก็ตามภาพที่เห็นในนิมิตรนั้น ตัวเมืองเชียงใหม่พังยับเยิน หลังจากเกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง หลังจากนั้นเขื่อนที่เกิดรอยร้าวก็ทลายลง คนในตัวเมืองและระหว่างทางไหลของน้ำ ต้องก้มหน้าร้องไห้กับความสูญเสีย แต่ไม่ทันที่คนจากภาคอื่นจะเข้ามาช่วยนั้นก็เกิดแผ่นดินไหวซ้ำ จนร่องลำน้ำแม่ปิงหายไปทุกอย่างดับมืดไปหมด ตึกสูงระเนระนาด

    (ลุงเห็นภาพ) ลุงกำลังใส่บาตรพระที่พายเรือ เห็นยอดแหลมโผล่ขึ้นมา พระท่านยิ้มแล้วบอกว่า เป็นส่วนหนึ่งของเจดีย์ที่เป็นสัญลักษณ์ของแม่น้ำเจ้าพระยา แผ่นดินที่อิสานแตกร้าวไปทั่ว น้ำที่เจิ่งนองในภาคอีสาน กินไม่ได้แม้แต่หยดเดียว(คงเป็นวิบากกรรมของคนอีสานเรื่องน้ำ) คนอีสานบ้านเรานำโดยพระอาจารย์หูเป็นรอยปานข้ามลำน้ำโขงไป อยู่ที่ฝั่งลาว

    ช่องทางที่ต่อจากเชียงแสนมายังเชียงใหม่มีดอยนางแก้ว วางขวางอยู่ตั้งแต่แม่สายไปจนต่อกับดอยขุนตาลของลำปาง ลองดูแผนที่และเป็นสาเหตุหนึ่งที่พะเยาไม่อยู่ในพื้นที่ทำนายของพื้นที่ปลอดภัย ภาพที่น้ำข้ามภูเขามาลุงได้บอกไว้แต่ต้นแล้วหละ ดูตามรูปที่ลุงแนบมาด้วยนะ (เป็นรูปที่พวกลุงและกลุ่มเพื่อนได้ศึกษาพื้นที่กัน นอกจากการดูกันทางจิตและก็คำทำนายทุกอย่างที่มีอยู่แล้วครับ ) ส่วนทางทิศตะวันตกของเชียงใหม่ ที่น้ำมาจากสาละวิน (ต้นน้ำจากหิมาลัยเช่นกัน) จะมีเทือกเขาบรรทัดกันอยู่ สูงกว่าเทือกเขาดอยนางแก้วอีก สบายใจได้ครับ

    ในส่วนอากาศหนาวเจอแน่นนอนครับทุกที่ ยกเว้นส่วนที่จมทะเลไปแล้ว น้ำจากทางเหนือเป็นน้ำที่เกิดจากการทะลัก ลุงไม่แน่ใจนะว่าเกิดอย่างที่คุณหนุมาน ผู้นำสาร เอ่ยอ้าง แต่ลุงคาดว่าเกิดจากเขื่อนของจีนต้นน้ำโขงพังทะลายลง และความอดอยากจะรุนแรงในแหล่งที่ไม่มีอาหารในพื้นที่เช่นเขตเมือง ที่แค่ไฟฟ้าดับก็ทำอะไรไม่ถูกแล้ว แต่ในแหล่งที่มีพืชอาหารในพื้นที่สบายครับ ส่วนภาคกลางจะรุนแรงมากเท่าไรลุงไม่มีภาพที่เห็นนะ

    พูดคุยกับเพื่อนที่ ภาคอีสาน ลุงเพิ่งถึงบางอ้อว่าทำไมอีสาน ถึงมีน้ำที่กินไม่ได้เต็มพื้นที่(ตามคำทำนาย) เพราะเพิ่งทราบว่าใต้พื้นดินอีสานเต็มไปด้วย(เกลือสินเทาว์ โปแตส) ทำให้น้ำที่จะทะลักขึ้นมาจากพื้นหินใต้ดินแตกหัก จะใช้ได้ไม่กี่วันก็จะเค็ม จนใช้ไม่ได้ พืชอาหารตายหมด จนต้องข้ามไปฝั่งลาว( เหมือนที่ลุงเคยได้รับการบอกเล่า คงเป็นเหตุหนึ่งที่วันหนึ่งลาวกับไทยจะเป็นประเทศเดียวกัน )

    ลองนึกภาพที่บ้านของเรา วันนี้แผ่นดินไหว ตึกใหญ่ บ้านปูนพังยับ ถนนที่มีอยู่ใช้การไม่ได้ พังยับเยิน ปั้มน้ำมันระเบิดไฟใหม้จนแทบไม่เหลือ ไฟฟ้าดับหมด โรงไฟฟ้าพังยับเยิน อาหารไม่มีคนขาย เพราะบ้านส่วนใหญ่พังหมด (คงมีการไหวของแผ่นดิน 15-20 ริกเตอร์ หรือมากกว่า เพราะขนาดที่มีการทำนายกันไว้ว่าแผ่นดินแยก เหมือนมีงูยักษ์มุดออกมาจากแผ่นดินต้องไหวระดับแรงหินใต้ดินโก่งตัวอย่างรุนแรง) ทุกคนอยู่ในอาการกระวนกระวายร้องไห้เพราะความสูญเสีย อาหารที่มีในมือก็พอกินได้ อีก2-3 มื้อ เป็นปรกติแล้วที่เราจะมีอาหารอยู่ประมาณนั้น ที่เหลือพึ่งตลาด เพราะอาหารในตู้เย็นเริ่มเสียแล้วเนื่องจากไฟดับ หรือ ถูกบ้าน(โดยเฉพาะแบบสร้างด้วยปูน)ถล่ม

    อาหารขาด เงินจำนวนมากเท่าไดก็ไม่สามารถแลกอาหารได้มากพอ เริ่มมีการแก่งแย่งกันเกิดขึ้น หลายพอเริ่มจะตั้งหลักกันได้ คนที่เริ่มคิดได้ก็จะไปริมทะเลเพื่อมองหาอาหารแล้ว คลื่นยักษ์ที่เกิดจากแผ่นดินไหว ก็พากันกวาดเอาคนจำนวนมากลงทะเล จนคนจำนวนมากไหวหวั่น กระวนกระวาย การจราจลแย่งอาหารเกิดขึ้นในเขตเมืองก่อน แล้วค่อยลามมายังเขตปริมณฑลที่ยังพอมีอาหารมากกว่า

    วันที่ 3 ก็มาถึง น้ำเหนือจำนวนมากมายก็พากันหลั่งโหมเข้ามากวาดเอาคนต้อนคน ที่บนฃากปรักหัก พังลงสู่ท้องทะเล เสียงกรีดร้องน้ำตา จากความเศร้าเสียใจของคนที่เหลือเพียงไม่กี่คน (ตำนานของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงที่เลือกอยู่บนยอดดอย เพราะเขามีการสอนกันมาว่าเขาคือผู้ที่รอด ในบ้านนอกมียุ้งข้าวที่กินได้ มีฟักข้างบ้าน มีไก่เลี้ยงตามใต้ถุน มีหมูที่เลี้ยงไว้ที่บ้าน แล้วเราคนในเมืองหละถ้าวันนี้ ต่อไปอีก 3 วันตลาดไม่มีอะไรเลย(เพราะถนนพังทั้งหมด)ไม่มีอุปกรณ์หุงหาอาหาร เพราะไฟฟ้าดับหมด

    รายละเอียดและที่ตั้งที่ได้มีการศึกษาจากกลุ่มคน ที่ทำงานกับลุงมา 2-3 ปีแล้วในการหาว่าจุดที่ปลอดภัยควรจะเป็นจุดใด ทั้งจาก น้ำ แผ่นดินไหว ภัยสงครามและรังสีจากการมีสงครามนิวเคลียร์ เมื่อเลือกกันทั้งหมดแล้ว ก็เลือกกันว่าพื้นที่ๆพอมีแผ่นดินไหวบ้าง แต่มีความสามารถในป้องกันภัยด้านอื่นได้ น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า จึงเลือกเอาบริเวณเหนือหมู่บ้านของชาวญี่ปุ่นไปประมาณ 2 กิโลกว่าๆ ซึ่งน่าแปลกใจที่แผ่นดินไหวคราวที่แล้วห่างจากบริเวณนี้ไปประมาณไม่ถึง 30 กิโลเมตร แต่ฝั่งนี้กลับไม่รู้สึกเลย(อาจเป็นเปลือกหินคนละก้อนกัน) ใครมีจุดที่ดีกว่า หรือมีข้อมูลพื้นที่ที่ถูกเลือกแล้วมันอันตราย หรือปลอดภัยมากกว่าลุง ส่งมาให้ลุงด้วย

    บริเวณที่ตั้งที่ลุงกับเพื่อนๆเลือก เป็นเขตบ้านนอกแนวสันเขาด้านหลังมีทิวเขาห่างไปพอสมควรเป็นแนวกั้นลมได้ดี พื้นเป็นดินยังมีความสมบูรณ์ ปลูกมัน เผือกได้ขนาดใหญ่มาก(ดูจากของญี่ปุ่นปลูก) เป็นจุดกึ่งกลางระหว่างวัดพระบาท 4 รอย กับวัดป่าดาราภิรมย์(มีพระเขี้ยวแก้วของพระพุทธเจ้า ที่จะพบรังสีม่วงในคนที่ฝึกสมาธิมาถึงระดับสัมผัสจิตอรหันต์) ที่ทั้ง 2 ที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของเมืองเชียงใหม่ ที่ได้รับการพยากรณ์ว่าจะอยู่จนครบ 5,000 ปี

    "ตามที่พระอาจารย์เคยบอกนิมิตไว้ว่า ภาคเหนือจะได้รับภัยก่อน แล้วก็จะหยุดก่อน แต่ที่เหลือจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงมาก ตามมาภายหลัง"

    ในส่วนภาคอีสาน พระอาจารย์ บอกไว้ว่าคนเกือบทั้งหมดจะข้ามไปอยู่ฝั่งลาว เพราะบ้านเราไม่มีอาหารเพียงพอ และหนาวมากจนไม่มีฟืนไปในพื้นที่พอจุดกองไฟประทังหนาว ภาคเหนือหลังจากเกิดเหตุแล้ว เมืองลี้เมืองลาวจะหนาว ทุ่งนาจะเป็นสีขาว ต้นไม้สูงยาวจะเฉาตายทั้งป่า ฝูงปลาจะพากันแข็งตาย (สงสัยมีหิมะตกแล้วต้นไม้พากันตายหมด เสียดายที่ไม่ได้ทันถามรายละเอียดเพราะตอนนั้นยังไม่แน่ใจเท่าวันนี้)

    แต่สิ่งที่สบายใจกันได้ก็คือ (สิ่งนี้พระอาจารย์จะไม่ค่อยพูดถึง เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นจะมากและรุนแรง จนทำให้คนที่เต็มไปด้วยกิเลสหลงชีวิต ที่เต็มไปด้วยบาปกรรม จะยิ่งเบียดเบียนคนอื่น เพื่อตัวเองจะรอด(คิดว่าจะรอด) จะทำให้สถานที่ที่เต็มไปด้วย ความโลภ ความโกรธ ความหลงนั้น หนักจนพื้นหินทรุด และการที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับมารมากๆ จะทำให้การเลื่อนระดับจิตของตนเองยากยิ่งขึ้น) พระอาจารย์ย้ำเสมอ ขอให้เชื่อว่าศาสนาพุทธจะอยู่บนแผ่นดินสุวรรณภูมิไปจนถึง 5,000 ปี และเหตุร้ายที่เกิดนั้น จะเกิดขึ้นรุนแรงในความรู้สึกของคุณที่ติดอยู่ใน ความโลภ ความโกรธและความหลง รับไม่ได้กับการที่ต้องเริ่มต้นใหม่เกือบทั้งหมด และประมาทในชีวิต

    แต่ในคนที่ เข้าใจในสัจจธรรม ทุกอย่างมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป สิ่งที่เรามี เราเห็น นั้นเป็นเพียงของสมมุตินั้น การสูญเสีย คนที่เรารัก ผูกพันธ์ ของที่เราหามาได้และผูกพันธ์จิตกับมันเช่นบ้านรถ และที่สำคัญคือไม่กลัวกับความตายก็จะมีสติ มองเห็นภาพที่เกิดขึ้นเหมือนเราอยู่บนฝั่งมองทะเลบ้าคลั่งเท่านั้นเอง แต่จุดที่ลุงกำลังชวนหลายคนมารวมกันหรือคิดร่วมกันก็คือ จุดบนฝั่งที่ปลอดภัย เพื่ออย่างน้อยเราอาจจะเป็นคนที่มีเรี่ยวแรงไปช่วย(ทำบุญ)กับเรื่องราวที่เกิดขึ้น

    (ลุงเห็นภาพ) คนที่หิวกระหาย ทั้งอาหารและน้ำ จะรวมกลุ่มกันรื้อค้น ทุกหย่อมหญ้าเพื่อหาอาหารมาประทังความหิว คนชั่วที่คิดว่าโลกสิ้นสุดแล้ว จะตามข่มขืน ฆ่า ความไม่พอใจโกรธเคืองกันที่อยากจะฆ่าฟันที่อยู่ในใจจะระเบิดขึ้นมา(แต่ไมรู้ว่าเป็นจุดใหนนะ)

    (ลุงเห็นภาพ) คนตัวสั่นงันงก ต่อเสียงกรีดร้องของ ดวงวิญญานที่รับไม่ได้กับการตายของตนเอง ดังก้องไปทุกโสตประสาท(จิตของมนุษย์หยาบลงจนสัมผัสเสียงของ สัมภเวสี เปรตอสุรกายได้ เนื่องจากความหวาดกลัว จึงมีหลายสำนักแนะนำให้ไหว้พระ สวดมนต์จิตจะได้ไม่อยู่ในภาวะหวาดกลัว ซึ่งจะสัมผัสมากขึ้นไปอีก) ขอให้รีบไปฝึกในการปลงอสุภะ ภาพที่เกิดขึ้นก็จะเบาบางลง ในจิตของเรา

    (ลุงเห็นภาพ) ภาพน้ำไหลข้ามภูเขา ปลาตัวเท่าวัวเท่าควาย ถูกซัดไหลมา ทำให้ต่างตื่นกลัวจนลนลาน พื้นที่ติดกับขอบฟ้าที่เห็นพระอาทิตย์ขึ้น(น่าจะเป็นชายฝั่งตอนเหนือนะ)จะปลอดภัยจากแผ่นดินไหวแต่หลังจากนั้นต้องรีบไปอยู่ที่อื่น ให้ไกลๆ

    สัญญานเตือนที่เริ่มต้น วันใดเมืองเชียงใหม่ ยับเยินลงไปแล้ว เรามีเวลาอีก 3 วัน 7วัน ขอให้ไปอยู่ในที่คิดว่าตัวเองจะปลอดภัย ขอให้ผู้ที่มีอภิญญาทั้งหลาย ได้โปรดเมตตาสงสารแก่เพื่อนมนุษย์(ลุงคงมีกรรมที่จนถึงวันนี้ยังไปไม่ได้ไกล คงเป็นเพราะจิตยังติดห่วงในกระแสกรรมบางสิ่ง ที่ยังเห็นเพื่อนมนุษย์ได้รับ จากการไปในครั้งแรกๆของจิตของลุง แล้วไม่อาจทิ้งภาพนั้นไปได้จนสนิท จนเกิดเป็นตะกอนในจิต ที่ยังไม่สามารถกำจัดออกไปด้วยตนเองในขณะนี้ได้) ขอท่านทั้งหลายได้เตรียมตัว กับสิ่งที่จะเกิดขึ้น

    วิกรม คัดลอกมาจากของพระคุณลุงที่โพสส์ไว้ปี 2004-2006 ครับ

    ****************************************************

    ผมไม่พยายามเชื่อมโยงระหว่างสิ่งที่เกิดขึ้นในนิมิตรของผมเอง ได้แต่นำเอาข้อความที่พระคุณลุงของผม ได้โพสต์ไว้ตั้งแต่ในช่วงปี 2004 ถึง 2006 ที่นับวันสิ่งที่พระคุณลุงได้ บอกไว้ตั้งแต่ก่อนที่พระคุณลุงจะไปบวชนั้น มันได้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขอเป็นเหตุเตือนสติ เพื่อให้เร่งการคิดดี ทำดี ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเพื่อเร่งสะสมบุญกันทุกท่านด้วยเทอญ

    วิกรมหลานพระคุณลุงคนเชียงใหม่ครับ

    ที่มา http://ufokaokala.com/index.php?topic=405.480<!-- google_ad_section_end -->
    <FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG]
    </FIELDSET>
    เครดิต คุณเกษม http://palungjit.org/threads/ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่.3906/page-1077
     
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    Planet X (Nibiru)
    ดาวแห่งตำนานที่จะกลับมาเยือน !!!

    [​IMG]

    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ kananun [​IMG]

    ผมขอเล่าความฝันของผมในช่วงเดือนสองเดือนก่อนให้ฟังบ้างครับ

    ฝันเเรกมีเสียงเตือนมาว่า ดาวแพลเน็ตเอ็กซ์กำลังเคลื่อนตัวมาใกล้โลก แต่มาพร้อมกับผลกระทบทางภัยพิบัติที่ค่อนข้างรุนแรง รวมถึงการฟอกย้อมจิตใจ การแปรปรวนด้านอารมณ์ชนิดที่ทำให้คนเราพลิกจิตพลิกใจ หน้ามือเป็นหลังมือกันได้หากธรรมมะในใจไม่มั่นคง

    ฝันต่อมาฝันเห็นภาพดินแดนแห่งหนึ่งลอยอยู่บนท้องฟ้า มีป่าอุดมร่มรื่น บนดินแดนที่เหมือนลอยเป็นเมืองบนฟ้านั้น มองเห็นนกสีสดสวย ที่เรียกว่าวิหคสวรรค์มากมาย สีสดใสสวยมากๆ เกาะบนกิ่งคบไม้กระจายอยู่ทั่วดินแดนนั้น แต่นกทุกๆตัวหลับอยู่ เลยมีความรู้สึกว่าดินแดนแห่งนี้ยังหลับไหลอยู่ รอการแอคติเวท เมื่อเวลา วาระมาถึง ..........อย่่างน้อยที่สุดก็มีสิ่งดีงามรออยู่หลังภัยพิบัติ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    Anunnaki จาก Nibiru พระเจ้าของชาวสุเมเรียน

    เมื่อครั้งอดีตกาล มีสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาจากนอกโลก ได้เคยลงมาตั้งหลักแหล่งในพื้นพิภพของเรา ได้ทำการเปลี่ยนแปลงโลกเราจนกลายเป็นอาณานิคม สิ่งมีชีวิตกลุ่มนี้เป็นกลุ่มเดียวกับ "พระเจ้า" ที่พูดกันในคัมภีร์พันธสัญญาเก่า พวกเขาทำเรื่องเซอร์ไพรส์มนุษย์ยุคหลังอย่างเราไว้มากมาย โดยเฉพาะ เรื่องราวที่พวกเขากระทำและมีบันทึกไว้ในบทเยเนซิสของไบเบิ้ล ว่าด้วยการสร้างมนุษย์โดยการดัดแปลง DNA ในไบเบิ้ลไม่ได้ระบุเอาไว้ว่าสรวงสวรรค์ของเอโลฮิม หรือพระเจ้าเหล่านี้อยู่ที่ไหนกันแน่ แต่ในจารึกของชาวสุเมเรียน ซึ่งถือได้ว่าเป็นต้นตอเดียวกัน ระบุเอาไว้อย่างชัดแจ้งว่าพระเจ้า หรือ Anunnaki ของพวกเขานั้น มาจากดาวเคราะห์ที่ชื่อว่า Nibiru

    ดาวพลูโตเพิ่งถูกค้นพบโดยไคร์ ทอมบอร์ เมื่อปี ค.ศ.1930 แต่ชาวสุเมเรียนกล่าวถึงดาวพลูโตเมื่อกว่า 4,000 ปีมาแล้ว

    จากการถอดรหัสอักษรคูนิฟอร์ม มากกว่าสองพันชุดที่จารึกเรื่องราวในดินแดนแถบอ่าวเปอร์เซียเอาไว้ บางจารึกมีอายุถึงหกพันปี บางจารึกก็แตกหักไม่สมบูรณ์แถมยังกระจายอยู่ตามพิพิธภัณฑ์ทั่วโลก มีจารึกคูนิฟอร์มชิ้นนึงที่ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ในประเทศเยอรมันกล่าวถึงรายละเอียดทางดาราศาสตร์บางประการ โดยเฉพาะที่ชี้ว่าโลกถือเป็นดาวเคราะห์ดวงที่เจ็ดหากนับจากดาวพลูโตนี่แหละค่ะ ชาวสุเมเรียนโบราณเค้ารู้จักดาวพลูโตกันได้อย่างไร น่าทึ่งนะคะ ยังมีสิ่งน่าทึ่งกว่านี้อีก ในจารึกของชาวสุเมเรียนโบราณบอกไว้อย่างชัดแจ้งว่าพวกเขามาจากห้วงท้องฟ้า ที่เรียกกันว่า Nibiru

    The Planet X ?

    โลกของเราเป็นหนึ่งในสมาชิกของระบบสุริยจักรวาล หรือ Solar System และพวกเราก็เรียนมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วว่า ระบบสุริยะมีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง และมีบริวารเป็นดาวเคราะห์ทั้งสิ้น 9 ดวง แต่มีอยู่สองดวงคือเนปจูนและพลูโตที่มีอาการแปลกๆ นักดาราศาสตร์ใหญ่ทั้งหลายต่างก็กังขากันใหญ่ว่ามันจะมาจากอิทธิพลของดาว เคราะห์ดวงที่สิบหรือไม่?

    ในปี 1841 John Couch Adams เริ่มตะหงิดๆใจกับการโคจรแบบแปลกๆของดาวยูเรนัส คล้ายๆกับมีปฏิกิริยากับแรงดึงดูดอะไรซักอย่าง จากการค้นพบของ Adams ทำให้หลายๆคนเริ่มค้นคว้าเรื่องนี้กันมากขึ้น ในปี 1845 เลอวาริเยร์ (Urbain Le Verrier ) ได้เริ่มค้นหามันด้วยเช่นกัน เพราะอาการของดาวยูเรนัสนี้ต้องเป็นผลมาจาก แรงดึงดูดของดาวเคราห์อีกซักดวงเป็นแน่ นั่นคือการนำมาของการค้นพบดาวเคราะห์ดวงที่แปด เนปจูน เดือนกันยายนปี 1846 เพียงหนึ่งสัปดาห์หลังมีการค้นพบดาวเนปจูน Le Verrier ยังคงสงสัยว่าน่าจะมีดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่ง ที่มีอิทธิพลกับดาวยูเรนัสแน่นอน ล่วงมาถึงเดือนตุลาคมปีเดียวกัน มีการค้นพบดวงจันทร์ขนาดยักษ์ที่เป็นดาวบริวารของดาวเคราะห์เนปจูน หลายคนคิดว่าตัวเองได้คำตอบเรื่องแรงดึงดูดกับดาวยูเรนัสแล้ว แต่มันจะไม่ง่ายไปหน่อยเหรอ..ว่ามั๊ย

    ในปี 1879 นักดาราศาสตร์ชื่อ Camille Flammarion ได้ให้ข้อสังเกตไว้ว่า มันต้องมีดาวเคราะห์อีกซักดวง ที่อยู่ถัดจากดาวเนปจูออกไปแน่ๆ โดยอาศัยการคำนวณเรื่องวงโคจรของดาวหางและอุกาบาตเป็นหลัก เปอร์ซิวาล โลเวล เจ้าของงานเขียนเรื่องคลองบนดาวอังคารอันลือลั่น ได้เริ่มศึกษาและค้นหาดาวเคราะห์ดวงที่ยังไม่มีการค้นพบอย่างเงียบๆในรัฐอริโซนา โลเวลเรียกการค้นคว้าของเขาในครั้งนี้ว่า การค้นหา Planet X โลเวลพยายามหลายๆต่อหลายครั้งแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จแต่อย่างใด ด้วยความบังเอิญ เปอร์ซิวาล โลเวลของเรา จับตำแหน่งดาวเคราะห์ที่ยังไม่มีใครรู้จักได้หลายครั้ง แต่นั่นเป็นเวลาก่อนที่จะค้นพบดาวพลูโต ใครๆเลยคิดกันว่าดาวที่โลเวลพบเป็นดาวพลูโตไป (ดาวพลูโตถูกค้นพบในปี 1930)

    ปัจจุบัน ดร.โทมัส ซี แวน แฟลนเดิร์น แห่งราชนาวีสหรัฐ ได้ยืนยันถึงการศึกษาของทางราชนาวี และให้สมมุติฐานว่าน่าจะมีดาวเคราะห์อีกดวงที่อยู่ถัดไปจากดาวพลูโต เป็นดาวขนาดค่อนข้างใหญ่เสียด้วย ใหญ่พอๆกับ Jupiter เชียวหละ

    ครั้งล่าสุดที่มีการบักทึกไว้อย่างเป็นทางการเกี่ยวกับ Planet X คงจะเป็นปี 1982 เมื่อเจ้าหน้าที่ขององค์การ NASA ประกาศว่าค้นพบ "วัตถุลึกลับซึ่งคาดว่าจะเป็นดาวเคราะห์ในแถบบริเวณของดาวเคราะห์วงนอก" หนึ่งปีต่อมาหลังจากการยิงดาวเทียม IRAS (Infrared Astronomical Satellite) ขึ้นสู่วงโคจร เจ้าดาวเทียมนี้จับภาพวัตถุคล้ายดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ได้ เล่นเอาฮือฮาไปตามๆกัน Gerry Neugebauer หัวหน้าหน่วยวิจัย IRAS ได้ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ว่า "เจ้าวัตถุที่ว่ามีขนาดใหญ่ยักษ์ยังกะดาวพฤหัส มันอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของดาวบริวารในระบบสุริยะ เราพบมันในทิศทางเดียวกับกลุ่มดาวนายพราน บอกได้อย่างเดียวครับว่าเราไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นอะไรกันแน่"

    โลกเป็นเพียงดาวเคราะห์ที่มีครึ่งดวง!!!

    ตามจารึกโบราณบอกว่า Nibiru มันโคจรรอบดวงอาทิตย์สองดวง ชื่อ Nemesis ที่นักดาราศาสตร์ตั้งสมมุติฐานและคาดว่าเป็นดวงอาทิตย์คู่กับ The sun ของเรา แต่อ่อนแสงลงมากแล้ว วงโคจรของ Nibiru กินเวลา 3,600 ปีแน่ะ รอบวงปีนี้ชาวสุเมเรียนเรียกว่า Shar และพระเจ้าของชาวสุเมเรียนที่ชื่อ Anunnaki ผู้มาจาก Nibiru ได้มาเยือน พัฒนาและครอบครองโลกของเราเป็นระยะเวลามากกว่า 124 Shar (คูณกันเอาเอง) มีการจัดตั้งรัฐบาล อาณานิคม การทำเหมืองเพื่อขุดค้นทรัพยากร จนกระทั่งวาระสุดท้ายของอารยธรรมนี้ ที่ถูกกลืนหายไปในไฟสงคราม สงครามขนาดใหญ่ซึ่งทำลายอารยธรรมของเมโสโปเตเมีย อียิปต์ และลุ่มน้ำสินธุบางส่วนไป เหตุการณ์ตรงนี้เกิดขึ้นเมื่อสองพันปีก่อน ค.ศ. หรือว่าประมาณห้าพันปีมาแล้ว

    ทุกคนที่เคยเรียนภูมิศาสตร์กันมาน่าจะเคยเรียนทฤษฎีที่ว่า ในสมัยที่โลกยังอายุเยาว์อยู่ แผ่นดินบนโลกนี้เคยติดกันอยู่เป็นทวีปเดียว ทฤษฎีนี้เพิ่งมาศึกษากันเมื่อร้อยกว่าปีมานี้แต่ชาวสุเมเรียนรู้ล่วงหน้าพวกเราถึงหกพันปี แถมมีแผนที่จารึกอยู่บนแผ่นดินเหนียวเสียด้วย

    การที่โลกแบ่งออกเป็นทวีปๆก็เพราะ Continental Drift หรือการเคลื่อนตัวของแผ่นดินนั่นเอง มันเป็นไปอย่างช้ามาก และค่อยเป็นค่อยไป จนกลายเป็นแผ่นดินที่พวกเราอาศัยอยู่ในปัจจุบัน หากดูแผนที่ดีๆเราจะสามารถเอาทวีปต่างๆ มาต่อกันเป็นชิ้นเดียวได้เหมือนจิ๊กซอว์เลย ถึงงั้นก็เถอะแผนที่ที่ต่อกันมันจะยังดูแหม่งๆคล้ายกับขาดอะไรไป นักภูมิศาสตร์ที่รู้สึกถึงเจ้าความแหม่งที่ว่าเลยพากันศึกษากันใหญ่และได้ ข้อสรุปที่น่าตกใจออกมา "โลกเป็นเพียงดาวเคราะห์ที่มีครึ่งดวง" เหมือนลูกบอลดินเผาที่โดนชนกระจุยหายไปส่วนหนึ่ง นักภูมิศาสตร์บางท่านบอกว่า หากสูบน้ำออกจากมหาสมุทรต่างๆได้หมด เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่า โลกได้หลุดหายไปกระบิหนึ่ง และไอ้ส่วนที่เคยเป็นกระบิที่หายไปนั่นแหละคือมหาสุทรต่างๆในปัจจุบัน

    ชาวสุเมเรียนเค้าตอบให้ได้เสร็จสรรพเลยว่าทำไมจึงเป็นแบบนี้ พวกเค้าบันทึกเอาไว้ว่าโลกโดนดาว Nibiru เฉี่ยวเอา ไม่มีบันทึกแน่ชัดว่านานเท่าไหร่แล้ว แต่ผลจากการกระทบไหล่ของดาวเคราะห์ทั้งสองดวงนี้ี้ ทำให้โลกของเราแหว่งไปส่วนหนึ่ง เศษชิ้นส่วนของดาวเคราะห์ทั้งสองกระจัดกระจายกลายเป็นวงแหวนดาวเคราะห์น้อย โคจรอยู่รอบดวงอาทิตย์นั่นเอง (บางตำราได้กล่าวว่า ดวงจันทร์ 1 ใน 4 ที่ชื่อไทมัสของนิบิรุต่างหากที่ชนโลก)


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]

    การกลับมาอีกครั้ง ของ Nibiru

    จากบันทึกของชาวสุเมเรียนบอกว่า ดาวดวงนี้เจิดจ้ามาก แสดงว่ามันต้องใหญ่มากๆ จากภาพโบราณที่พบในเมือง Nippur ภาพนี้ จะเห็นว่า เกษตรกรที่กำลังทำกสิกรรมอยู่นั้น มองไปยังดาว Nibiru ซึ่งแทนด้วยสัญลักษณ์กากบาท (ชาวสุเมเรียนโบราณเรียก Nibiru ว่า Planet of the Cross และแทนมันด้วยสัญลักษณ์กากบาท)

    และยังได้เอ่ยถึงคำทำนายล่วงหน้าเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นเมื่อดาวดวงนี้โคจรมาอยู่ใกล้โลก ภัยพิบัติเช่นแผ่นดินไหวและน้ำท่วมก็จะตามมา ก็แน่ล่ะ ออกจะใหญ่โตซะขนาดนั้น แรงดึงดูดที่ส่งผลต่อโลกย่อมทำให้เกิดปรากฏการณ์ดังกล่าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ ชาวฮีบรูว์ก็รู้จักดาวดวงนี้ดี พวกเขาถือว่าการปรากฏของ Nibiru บนท้องฟ้านับเป็นนิมิตแห่งการเริ่มต้นยุคใหม่ของโลก ที่มาของภัยพิบัติทั้งหลายในคัมภีร์พันธสัญญาเก่า ก็น่าจะมีสาเหตุมาจาก Nibiru นี่แหละ

    เมื่อไรก็ตามที่ดาวเคราะห์ยักษ์ดวงนี้โคจรเข้ามาเฉียดโลกอีกวาระหนึ่งแล้วหละก็ เมื่อนั้นคำกล่าวของเอไสยะในพระคัมภีร์ก็จะไม่มีใครกังขาอีกต่อไปว่า คำกล่าวนี้กล่าวถึงกองทัพของพระเจ้า หรือพลานุภาพจากแรงดึงดูดของดาวเคราะห์ดวงนี้กันแน่ มีคนเห็นเหมือนกัน แต่เห็นแบบไม่สามารถจับจุดวงโคจรของดาวดวงนี้ได้ ยังไม่มีการสรุปออกมาเป็นเชิงวิชาการ มีแต่ข้อสันนิษฐานค่ะ แต่มีการส่องกล้องพบมันจริงๆ

    ตามตำราและการค้นคว้ากล่าวไว้ว่า ช่วงเวลาล่าสุดที่ Nibiru โคจรเข้ามาใกล้กับโลกนั้น เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่กล่าวถึงในพระคัมภีร์ไบเบิล นั่นคือ Exodus อันเป็นช่วงเวลาที่ชาวยิวหนีออกมาจากอียิปต์ ไม่แน่ใจว่า Exodus มันกี่ปีแล้ว แต่ประมาณว่า 4,000 กว่าปี ถ้าคาบวงโคจรของ Nibiru เป็น 3,600 ปี ตอนนี้ มันน่าจะยังอยู่ไกลมากทีเดียวแหละ


    [​IMG]

    แถมๆ อยากให้ดูเล่นๆ ภาพของกษัตริย์ปากาลแห่งมายา ขณะเดินทางด้วยพาหนะเพื่อไปพบพระเจ้าบนสวรรค์

    ***อ่านแล้ว อย่าเพิ่งตัดสินใจเชื่อ ควรใช้พิจารณญาณในการอ่าน***

    โพสต์ข้อความโดยคุณ BlackBerry วันพฤหัสฯที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ.2009 11:04 am

    ที่มา http://board.dragonica.in.th/viewtopic.php?f=9&t=1132&start=0&sid=57147e0877221b6ef76f0756b51fe1cf<!-- google_ad_section_end -->

    เครดิต คุณเกษม http://palungjit.org/threads/ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่.3906/page-1079
     
  5. สรัสวดี

    สรัสวดี Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +76
    ขอบคุณคุณ k.kwan สำหรับเรื่องดีๆเราเป็นหนึ่งคนที่ชอบเรื่องแบบนี้ตั้งแต่เด็กก่อนจะได้ศึกษาธรรมอย่างจิงจังช่วงนี้รู้สึกอยากร้องไห้เพราะสงสารมนุษย์โลกเป็นบ่อยมากทั้งที่ไม่เคยเป็นแบบนี้เลยเป็นไปได้ไหมที่ DOOM'S DAY ใกล้เข้ามาถึงแล้วเราไม่ได้กลัวถึงอยากร้องไห้แต่รู้สึกสลดหดหู่บอกไม่ถูก มีใครพอเข้าใจบ้างไม่เคยเกิดสภาวะจิตแบบนี้เลย รอผู้รู้มาชี้แนะ หรือใครเป็นแบบเราบ้าง
     
  6. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ขอบคุณค่ะ คุณสรัสวดี ที่แวะมาเยี่ยมชม
    เรื่องสลดหดหู่ ก็มีเป็นระยะ อะค่ะ เวลาดูข่าวภัยพิบัติในที่ต่างๆ ก็รู้ตามความเป็นจริง
    เรื่อง Doom's Day ก็หวั่นๆ อยู่เหมือนกันค่ะ 50-50 ต้องดูเหตุการณ์ไปเรื่อยๆ
    ฝึกดูความเป็นไปของโลกและฝึกปล่อยวางความเครียด ความสลดหดหู่ หัดทำใจสงบ
    ดูโลกธรรมที่เปลี่ยนแปลงไปตามความเป็นจริง เรื่องอื่นๆ จะเกิดหรือไม่เกิด เราก็ได้แต่
    รอดู อยู่กับปัจจุบัน ใช้ชีวิตให้ได้เหมือนวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต บางทีเราอาจโชคดี
    ได้ทำในสิ่งที่เราไม่เคยคิดจะทำ เช่น กลับมาใช้ชีวิตแบบคนที่เป็นคนจริงๆ เลิกสะสมวัตถุ
    ทางโลก มาเห็นคุณค่าของจิตใจของคนรอบตัวเรา ทดแทนคุณพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ทำดี
    กับคนที่เรารักให้ดีที่สุดในทุกวัน ในวิกฤตย่อมมีโอกาสอาจจะเป็นผลดีต่อเราในระยะยาวก็ได้
     
  7. สรัสวดี

    สรัสวดี Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +76
    ขอบคุณมากฮะปรกติก็รู้ปล่อยวางตลอดเรื่องภัยพิบัตฺก้อรู้มานานแล้วแต่ไม่ค่อยรู้สึกอะไรก้อฝึกอยู่กับปัจจุบันมาตลอดตามรู้กายรู้ใจความเกิดดับ แต่เพิ่งมีช่วงนี้ไม่รู้เป็นอะไรมันหดหู่แบบว่าพิกลอยากให้คุณ k.kwan เข้าใจ เพราะเวลานังสมาธิก้อเหมือนรับรู้อะไรบางอย่างเห็นอะไรบางอย่างเพิ่งมาเป็นไม่นานเลยหาเว็บที่คนอื่นอาจจะเป็นแบบเราไม่ได้กังวลมากฮะแต่มันหดหู่อย่างไม่เคยเป็น(เราคงไม่ได้บ้าใช่ไหมไม่รู้จะระบายออกบอกคัยเลยตามหาผู้รู้อยู่) ถ้า k.kwan หรือใครพอเค้าใจรบกวนด้วยแล้วกันนะ ขอบคุนฮับ
     
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เราก็ไม่ใช่ผู้รู้นะ แต่ประเมินจากสภาพการณ์ของโลก ทั้งเรื่องที่มีคนจะเผาคัมภัร์อัลกุรอ่าน
    เรื่องพายุเข้า แผ่นดินไหว ยูเอฟโอก็บินกันให้ว่อน เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก มีแต่เรื่องที่
    ทำให้คนหดหู่ พลังงานลบก็เลยมากทำให้เราหดหู่ตามก็ได้นะ กับอีกเรื่องคือจะมีเรื่องใน
    เร็ววันนี้ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร ข้อมูลก็เยอะแยะไปหมด ทั้ง corp circle ก็ออกมา
    ถี่มาก มีเรื่องซึนามิฝั่งแปซิฟิคด้วยที่ไม่รู้จะเกิดจริงไหม เราก็รอดูด้วยความหวั่นไหว นิดๆ
    ได้แต่รอดูความจริงปรากฏ แล้วก็หวังว่ามันจะไม่เกิดจริง สิ่งใดที่เห็นด้วยญาณทัศนะ
    ตราบใดที่ยังไม่เกิดขึ้น ก็คือยังไม่เป็นความจริง นะ อาจจะพลิกไม่เกิดขึ้นตามนั้นก็ได้
    หรือไปเกิดที่อื่นห่างไกลจากบ้านเมืองของพวกเรา ถือเป็นการทดสอบจิตใจตนเองด้วย
    ว่าจะควบคุมตนเองให้เป็นปกติได้ไหม
    สงสัย รู้ว่าสงสัย หดหู่ รู้ว่าหดหู่ เนาะ
     
  9. สรัสวดี

    สรัสวดี Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +76
    ขอบคุนฮับเดี๋ยวปลายเดือนต้องไปอยู่สิงคโปร์ถ้ามีอะไรก้ออยากตายอยู่บ้านเมืองเราก้อภาวนาให้เราได้กลับมาก่อนแล้วกัน ปีหน้านู้นถึงได้กลับมา ยังไงก้อขอบคุนที่เปนกำลังจัยฮับ เปนอาไรก้อไม่กลัว กลัวแต่ม่ายได้รักษาศีล ภาวนา:'(
     
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <!-- Header *** -->Dots connector


    Finding true facts







    Revolution จะไม่เกิดหรือสำเร็จได้ ถ้าไม่ได้รับการยินยอมจากพวกยิว ไม่ว่าจะที่ไหนๆใน โลกใบนี้ เช่น ฝรั่งเศส รัสเซีย อเมริกา อังกฤษ ฯลฯ และในแต่ละครั้งก็จบที่ซากปรักหักพัง และ กองซากศพของมนุษย์ ซึ่งเป็นเรื่องน่าเศร้ามาก อยากจะให้ใครที่ผ่านมาอ่าน บล๊อกนี้ (ผมจะไม่บอกว่า ให้รักกันและ สามัคคีกััน ซึ่งความหมายจริงแล้วนั้นเป็นสิ่งดี แต่มันได้ถูกนำไปใช้เพื่อผลประโยชน์ไปซะแล้ว ) แต่จะแนะนำในสิ่งที่เป็นความจริงว่า ลอง ถอยออกมาดู ห่างๆ ไม่ต้องอยู่ฝ่ายใด หรือ ม๊อบใด ม๊๊อบ หนึ่ง แล้วท่านลองกลับไป ศึกษา ประวัติศาสตร์ ไทย ประวัติศาสตร์ โลก ดู แล้วท่านจะเข้าใจ และไม่หลงเดินอยู่ในเกมที่วางไว้ นั้นๆ

    2012 จะไม่ใช่ วันสิ้นโลก

    [​IMG]
    2010/02/15 ปี 2012 จะไม่ใช่วันสิ้นโลก

    -ทางด้าน consciousness และ spiritual จะเป็นช่วงระยะเวลาืที่ Parallel world เข้ามาพาดผ่านกัน ขอใช้คำนี้ ไม่รู้ว่าจะใช้คำไหนดี เป็นช่วงเวลาครบรอบ คือ ลักษณะของ Parallel world จะมีลักษณะรูปลักษณ์ คล้าย DNA และเมื่อในช่วงเวลาที่พาดผ่านนี้ เป็นเวลาที่สำคัญในการกำหนดทิศทางของ อณาคต ทางด้าน consciousness และ spiritual ของมนุษย์ ซึ่งในระยะช่วงเวลานี้ ไม่ได้มีผลแค่โลกใบนี้เท่านั้น แต่ทุก Planet ทุก Galaxy ,ทุก Universe และ God world, spiritual world ,materiel world แต่ผลที่ว่านี้เป็นผลด้านบวก เพราะ จะมีผู้คนที่สอบผ่านในระดับ consciousness และ spiritual ในแต่ละระดับ เช่น Materiel รวมไปถึง ผู้ที่อยู่ในระดับ Cosmic life form (ในระดับ Materiel world)
    และก็มี ในระดับ spiritual world และ God world อีกตามระดับ

    แต่สำหรับ มนุษย์ บนโลกนี้ ที่ยังอยู่แค่ระดับ Materiel ในการที่ออกจาก host นี้ กลับไปเป็น Cosmic life นั้น

    สำหรับคนที่สอบผ่าน ไปอาศัย ้host ในโลกที่มีระดับ consciousness และ spiritual ที่สุงกว่ามนุษย์โลก ที่นี่ จะยังต้องเรียนรู้อีกเพื่อพัฒณาระดับ ไปในระดับที่สุงขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเข้าใจระดับ consciousness และ spiritual มากขึ้น จนไม่ต้องอาศัย host ในการเรียนรู้อีกต่อไป (เป็น cosmic life form ซึ่งแม้แต่ Supernova ก็ทำลายไม่ได้) แต่ก็ยังต้อง พัฒณา เพื่อให้ไปถึง ระดับ spiritual world

    ส่วนผู้ ที่สอบไม่ผ่านที่ออกจาก host ไปก็จะต้องกลับมาอาศัย Host (มาเกิด) เป็นมนุษย์บนโลกนี้อีกครั้ง (ซ้ำชั้น) ต้องมาเรียนรู้จนผ่าน


    ***ในการที่มนุษย์ ที่จะกลับมาอาศัย host ไหม่ นั้นตัววัดหรือตัวบ่งชี้ใน การกำหนด host ไหม่ คือ ระดับ consciousness และ ระดับของ Spiritual คือ ถ้า เข้าใจ ว่าเรา คือ พลังงาน(cosmic life) หรือ แสงสว่าง แล้วนั้น ระดับ consciousness เป็นตัวกำหนด ความสว่างของพลังงาน เพราะพลังงานนั้นจะความสว่างมากน้อย เข้มข้น ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับการเรียนรู้ในระดับการรู้ ทางด้าน spiritual มนุษย์บางคน อาจ มีความสว่างน้อย เทียบเท่ากับ สัตว์(ที่มีสมองใหญ่ ไม่ใช่ไดโนเสาร์นะครับ เพราะไดโนเสาร์ นั้น อยู่ในช่วงเวลาของ Evolution ของโลกที่ยังไม่สุกงอม ยังไม่พร้อมเป็นสถานที่เรียนรู้ทางด้าน consciousness ที่พูดนี้คือ มันเกี่ยวกับ Parallel world ที่ มีทั้ง อดีต ปัจบัน อณาคต)

    ในความเข้มข้นของความส่วางน้อยที่เทียบเท่าสัตว์ สมองใหญ่ก็จะเป็นตัวบ่งชี้ Host ไหม่ ในครั้งต่อไป คือ มี Host เป็นสัตว์ชนิดนั้นๆ การเรียนรู้ คือต้องพัฒณามาอยู่ในระดับมนุษย์อีก (แต่เป็นช่วงเวลาที่ยากมากในการที่จะพัฒณาระดับการเรียนรู้ จากระดับสัตว์มาเป็นมนุษย์อีก)

    ในระดับสัตว์ลงมานี้ถ้า ยังไม่พัฒณาขึ้นมาเป็นมนุษย์ไม่ได้อีก จาก สัตว์กลับมาสู่ host ก็อาจกลายเป็น สิ่งมีชีวิตอื่นไปจน สิ่งมีชีวิตเล็กๆ จน ความเข้มข้นของพลังงานหรือแสงสว่างหายไปในที่สุด

    จนในที่สุดก็จะ กลาย เป็น Cosmic parasite (ส่วนพวกที่ไม่มี conscience เลยเช่นพวก ยิว ที่เป็น elite ซึ่งเป็น Artificial light ไม่ใช่ แสงสว่างของ ทางด้าน light อยู่แล้ว ถึงออกจาก host ที่เป็น มนุษย์ไป และ พวกที่ถูกควบคุม
    (ไม่ตื่น)ก็ยังจะอยู่ใน Dark world ) ทาง Dark side นั้นการพัฒณาเป็นไป ในด้านตรงกันข้าม กับ Light side โดยสิ้นเชิง จาก เทา ก็
    กลายเป็นดำ ถึงดำสนิท ที่นั่น เป็น Dark world และระดับ ความเป็นใหญ่ ก็ ขึ้นอยู่กับพัฒณาการทางด้าน Dark



    ส่วน คนที่ยังไม่ออกจาก host(ไม่เสียชีวิต) นี้ไปชีวิตหลังจากปี 2012 จะเปลี่ยนไปตามทิศทาง ระดับ consciousness ที่มี

    คนที่ตื่นขึ้นก็จะ สงบ เข้าใจ ไม่แปลกใจ ในสถานการณ์ ที่เกิดขึ้นและ

    เป็นไป (เพราะอาจจะเห็นใครหลายคนหายวับ ไปต่อหน้าต่อตา ซึ่งจะเป็นการก้าวกระโดด ในระดับ consciousness ไปอยู่ใน Dimension อื่น ที่มีเราอยู่ตามระดับ consciousness ที่เราเข้าใจ ก็คือใน Dimension ของเราที่นี่ เราจะหายไป แต่ตัวตนของเรานั้นไม่ได้หายไปไหน )

    แต่จะมีหลายคนที่ยังหลับไหล อยู่ไต้การควบคุมของ พวก parasite ก็ จะมีชีวิตที่งุนงง หวาดกลัว แปลกใจ กับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น

    ทำไมต้องเจาะจงเริ่มต้น ระดับ consciousness และ spiritual ที่นี่

    เพราะ Svarog Gods ที่ควบคุม ดูแล ระดับ Materiel world บอกว่าโลก นั้น เป็นเสมือน ราก ของ Tree of life (คือ จุดเริ่มต้นของเส้นทาง Golden way ที่เป็นเส้นทางที่สามารถเดินทางไปถึงยังทุกโลก Materiel world , spiritual world และ God world)

    เนื่องจาก Galaxy นี้ เป็นตั้งอยู่(ขอบของ Universe ) บน เส้นแบ่งเขต ระหว่าง Dark world และ light world และโลกใบนี้ ก็ ตั้งอยู่ขอบ ของ Galaxy ระดับ consciousness และ spiritual จะอยู่ในระดับ 0
    จึงเหมาะแก่การ พัฒณา และ เรียนรู้

    พวก ที่มาจาก Dark world เป็นแบบทดสอบ ชั้นดี ที่เอา อำนาจ ความร่ำรวย มาล่อ มนุษย์ให้ตกจาก ระดับ spiritual เหมือนดังเช่น ชาว White race เผ่า Ants ที่เป็นอย่างนั้น

    Golden way ต่างจาก Star Gate คือ

    -Golden way สามารถเดินทางไปถึงยังทุกโลก Materiel world , spiritual world และ God world (หลาย Dimension ) แต่เส้นทาง Golden way ไม่ใช่ใครจะเดินทางไปก็ได้ คนที่จะใช้เส้นทางนี้ได้ต้องมีระดับ ความเข้าใจด้าน spiritual ที่สุงมากพอ
    ระยะทางหรือขีดความสามารถ ที่จะไปได้ใกลขนาดไหนนั้น ความเข้าใจในระดับ spiritual จะเป็นตัวชี้วัด

    - Star Gate มีความจำกัด สามารถเดินทาง ได้ในระดับ Materiel world เท่านั้น


    * หมายเหตุ ผมใช้ภาษา ให้เข้าใจง่ายขึ้นเกี่ยว กับ คำว่าสอบผ่าน หรือไม่ผ่าน เพราะไม่รู้จะเปรียบเทียบคำไหนดี แต่มันก็คือ ความเข้าใจ ทางด้านconsciousness นะครับ

    (อ้างตามความรู้ทาง Slavic Aryan Vedas <***ขอขยายความ*** ความรู้นี้ มา จาก ชาว Aryan white race เผ่า Slav" Rassen ที่มี นัยตาสีฟ้า 1 ใน สี่เผ่า ที่เข้ามายังโลก ครั้งแรกและ อาศัยอยู่ที่continent ที่มีหน้าที่โดยตรงในการสอน ความรู้ ทั้งหมดเป็นความรู้ Basic ทางด้าน Material และ Spiritual
    สุดท้ายแล้ว ก็คือเข้า ใจการในระดับ Spiritual อย่างเดียว เกี่ยวกับ cosmic life และถัดมาก็ไต่ระดับของ consciousness และ spiritual )


    - ทางด้าน Materiel คือ 2012 ใน Levashov ebook ได้เีขียนไว้ว่าเป็นช่วงเวลา ครบรอบ 1008 ปี ที่ Galaxy นี้โคจรออกมาจาก Dark side


    เป็นช่วงระดับ consciousness และ spiritual ของผู้คนบางส่วน จะ

    ตื่นขึ้นจากหลับไหล อีกครั้ง

    อาจจะต้องมีสงคราม star war ที่เลี่ยงไม่ได้ ระหว่าง Dark และ Light

    ส่วน ภัยพิบัติ ที่จะเกิดขึ้นผลพวงจากสงคราม ย่อมตามมาเช่นกัน

    ใน ปัจจุบันนี้ ภัยที่ไม่ใช่ ธรรมชาติ เกิด จากการ ทดลอง อาวุธ HARRP
    ของพวก Dark side ก็มี
    Dots connector
    บทความ (Atom) <!-- Post end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กันยายน 2010
  11. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เรื่องราวและสาเหตุก่อน continent จม

    2010/01/20
    (ข้อมูลเหล่านี้แปลแบบสรุปอย่างย่อมากๆ จาก Levashov ebook ถ้าตกหล่นประการใดก็ขออภัย หรือสามารถเข้าไปอ่านรายละเอียดได้ที่ที่ลิ้งของเขาที่แปะไว้หน้าบล๊อกครับ )



    ช่วงที่ continent (white race ตั้งชื่อว่า Da’Arya) จม นั้นหมายถึงว่า white race เข้ามาอาศัยบนโลกนี้แล้ว(ที่ continent ) ประมาณ370,000 ปี นับเวลาจากที่ ระดับ white race ทั้งสี่เผ่าได้นำยาน viatmaras ลงจอดทีี่ continent เมื่อ 500,000 ปีก่อน และcivilization ในขณะนั้นสุงมาก ผู้คนอยู่อย่างสงบและมีความสุข

    ในขณะนั้น ดวงจันทร์ดวงแรกชื่ิอ Lelia ได้มีพวก Dark force เข้ามาบุกรุก และสร้าง base ไว้บนดวงจันทร์ดวงนี้ เพื่อจะทำการยึดครองโลก และ source of life และมี star war บน Lelia และ Demigod ชื่อ Dazdbog ได้ตัดสินใจทำลายทำลายดวงจันทร์ดวงนี้ โดย ใช้ power of thought ชิ้นส่วนของ Lelia ได้ ตกลงมาบนโลก เหมือนห่าฝน จึงส่งผลให้เกิด polar shift ครั้งแรก และ continent จมในเวลาต่อมา (continent ไม่ได้จมในทันทีนะครับใช้เวลาระยะหนึ่ง)และในขณะนั้น มีผู้คนมากมายที่เสียชีวิตเพราะไปขึ้น ไม่ Vitmanas ทัน ผู้คนที่ยังรอดชีวิตอยู่ได้ใช้ Star Gates และ Vitmanas อพยพไปยัง กลุ่มดาวหมีน้อยหมีใหญ่ (ursa minor ) บางส่วนอพยพไปอยู่แถบไซบิเรีย ต่อมาเริ่ม continent จมลง <?XML:NAMESPACE PREFIX = ST1 /><ST1:pLACE st="on">Arctic Ocean</ST1:pLACE> (continent ไม่ได้จมในทันทีนะครับใช้เวลาระยะหนึ่ง) นั่นคือยุค ice age

    หลังจากนั้นประมาณ 40,000 ปีก่อน ได้กลับมาอาศัยอยู่ในโลกนี้อีกครั้ง แถบไซบิเรีย และ มีอีก 3 race ที่เข้ามาอาศัยอยู่ในโลกนี้ คือ yellow race ,red race,black race และ white race ได้จัดให้แต่ละ race อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ใกล้เคียงกับ ดาวบ้านเกิดที่สุด เดินทางมาโดย star gate ,viatmaras viatmanas ใน 3 race นี้ black race เป็นเสมือน refugee จากสงคราม เพราะดาวบ้านเกิดเขาถูกทำลาย เพราะนั้นพวก black race จึงเข้ามาอยู่มากกว่า race อื่น และ มีหลายเผ่า (พวกที่มีหน้าตาแบบแอฟริกา และ ผิวดำลักษณะคนอินเดีย) ระดับ consciousnessความรู้ความสามารถ ของแต่ละ race (1)white race (2) yellow race (3) red race (4)black race

    black race เป็นพวกที่มีความอ่อนแอทางด้าน spiritual ตลอดเวลาในสงครามที่ยาวนาน (star war)ผู้คนจาก black race ส่วนมากถูกควบคุม และสนับสนุน ฝ่าย Dark force ในการทำสงครามระหว่าง
    Dark และ Light


    จากที่เกิด polar shift เกิดยุค ice age ในยุคนั้น white race รุ่นต่อๆมา เริ่มอพยพหนีหนาวร่น ลงมา
    อยู่กระจายกันออกไป แถบยุโรป และ แอตแลนติก

    หลังจากสงครามใช้ไม่ได้ผลพวก parasite เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ที่แลกมาด้วยชีวิตของชาว white race มากมาย ก็ยังไม่ละความพยายาม จึงเปลี่ยนวิธี ใช้ กลวิธีไหม่ นั่นคือแอบแฝงเข้ามาในโลก และเจาะจงแฝงตัวเข้าไปในกลุ่ม white race โดยใช้กลอุบาย คือ การโกหก โดยที่พวกนี้(parasite) จะเลือกใช้กลอุบายนี้ กับพวกที่มี ระดับ spiritually immature (spiritual ไม่เติบโตเต็มที่ )

    *หมายเหตุ มนุษย์จากดาวต่างๆ มีศักยภาพ ทางเทคโนโลยี่และระดับ spiritual ที่ต่างกัน(แม้กระทั่ง race เดียวกัน )

    Ants เป็นเผ่าหนึ่งของชาว white race Ants เป็นเผ่าที่ยังมี spiritual ที่ยังไม่เติบโตเต็มที่
    พวก parasite จึงหลอกล่อ คนเผ่านี้ ให้หันมาสนใจในการพัฒณาในเทคโนโลยี่ โดยลืมพัฒณาทางด้าน spiritual และในที่สุดระดับ consciousness เริ่มตกต่ำลง parasite จึงใช้ช่องว่างยุยงให้คนเผ่า Ants
    คิดครอบครองโลก และเริ่มแผนการอย่างลับๆ โดย เริ่มสร้างฐานบนดวงจันทร์ Fatta


    และในช่วง13019 ปีก่อน (2010)มีสงครามนิวเคลียร์ ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ ครั้งแรกบนโลกใบนี้
    ซึ่งสร้างความเสียหายมหาศาล กับพืช สัตว์ และแหล่งน้ำ เป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ และต่อมาภาย Radiation หลังส่งผล gene ของมนุษย์บางส่วนเปลี่ยนไป (มีร่างกายที่ใหญ่โตกว่าปรกติ ที่คนในยุคต่อมาเรียกว่า เนฟิล)
    ผู้นำ Ants เดินทางหนี โดยใช้ยานViatmara และ Viatmana และในขณะนั้น God Niy ใด้ทำลาย ดวงจันทร์ Fatta เพราะมี base ของ Ants และพวก parasite อยู่ เนื่องจาก Fatta มีแรงดึงดูดอันมหาศาล
    จึงเป็นเหตุให้ชิ้นส่วนของ Fatta ตกลงมาชิ้นใหญ่ยังโลกหลายชิ้น และบางส่วนก็ไปกระแทกกับดวงจันทร์ Mesiats(ดวงปัจจุบัน) ส่งผลให้ polar shift เอียง 23.5 degrees

    และ Atlantic จมในเวลาต่อมา star gate ทุกที่ถูกปิด (ในยุคนั้น star gate เปรียบเหมือนสถานี ที่ไปได้ยังดาวทุกดวง มีการคบหาสมาคมกับดาวดวงอื่นๆ หรือว่าถ้ามองภาพให้ชัดขึ้น ก็จะเหมือนกับรถไฟไต้ดิน และ สถานีรถไฟฟ้าที่เชื่อมโยงถึงกันได้) สาเหตุที่ ต้องปิด star gate ทุกที่ เพราะ ป้องกันไม่ให้พวก Dark force ใช้งาน

    ในครั้งนี้พวก Dark force ชนะ ตามที่คาดหวังไว้ ที่จะเห็น consciousness ของมนุษย์คนตกต่ำลง
    และระดับ civilization กลับไปเริ่มต้นจาก 0 ไหม่ จาก the galactic level กลายมาเป็น the level of the Stone Age และเป็นยุคice age ช่วงสุดท้าย ทางตอนบนของยุโรปร้างผู้คน อยู่ระยะเวลาประมาณ 5000-6000 ปี หลังจากนั้น ต่อมาเพิ่งจะมีผู้คนได้กลับขึ้นไปอาศัยอีกครั้ง

    ในช่วงเวลานั้น-จนถึงปัจุบัน โลกใบนี้จึงเปรียบ เสมือนเขตกักกันโรค ที่ถูกตัดขาด จากโลกภายนอก(Isolate this planet)

    แต่ก็ยังไม่ได้ถูกทอดทิ้งอย่างซะเลยทีเดียว เป็นช่วงระยะเวลา สงบศึก เท่านั้น

    Dots connector: * เรื่องราวและสาเหตุก่อน continent จม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กันยายน 2010
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    กำเนิดโลก,จักรวาลและมนุษย์

    2010/01/20 (ข้อมูลเหล่านี้แปลแบบสรุปอย่างย่อมากๆ จาก Levashov ebook และ ebook - slavonic Aryan Vedas เล่มนี้ ที่แปลจากภาษา รัสเชีย ซึ่งต้นฉบับมาจากภาษารูน(Rune) ถ้าตกหล่นประการใดก็ขออภัย หรือสามารถเข้าไปอ่านรายละเอียดได้ที่ที่ลิ้งของเขาที่แปะไว้หน้าบล๊อกครับ )


    ประวัติศาสตร์ เป็นคำที่คนในยุค ปัจจุบันเรียกกัน แต่ในยุคโบราณแล้วมันเป็นความรู้ดั้งเดิมของมนุษย์ที่บอกต่อๆกันมา


    เกี่ยวกับภาษารูนนิดนึง ภาษารูน(Rune) เป็นภาษาเก่าแก่ภาษาดั้งเดิมของมนุษย์ และยังเชื่อกันว่าเป็นภาษาของพระเจ้า ในอักขระ ทุกตัวอักษรนั้นมีพลังเพราะมันไม่ใช่เพียงแค่ตัวอักษรตัวใดตัวหนึ่ง เท่านั้น แต่มันเป็นส่วนประกอบของภาพสามมิติ และเป็นภาษาที่เข้าใจหรือทะลุทะลวง

    ใน 3 โลก คือ Materialworld, spiritual world ,God world

    คนที่จะอ่านได้และเข้าใจ ต้องเป็นคนที่มี consciousness สุง มีความคิดที่เป็นบวกการออกเสียงนั้นจะต้องมีการฝึกการหายใจเพราะเป็นการพูด ที่ใช้พลังเสียงออกมาจากภายใน ภาษารูนในยุคนี้หายสาปสูญไปแล้วเพราะคนที่อ่านแบบเข้าใจนั้นไม่มี เพราะพวกปรสิต(Reptilians)คนโบราณเรียกกันอย่างนี้

    ทำลายหลักฐานเกือบหมด แต่ยังมีบางส่วนที่ถูกเก็บอย่างดีไว้ในที่ลึกลับเพื่อให้พ้นหูพ้นตาจาก พวกปรสิต โดยสลักไว้บนแผ่นทองคำ

    ชาวอารยัน (Aryan)เป็นผู้ที่เริ่มต้นใช้ ภาษารูน





    ....กำเนิดโลกและจักรวาล....

    จากภาษารูนที่เขียนบอกเล่าไว้เป็นคำอธิบายที่ให้มนุษย์อย่างเราเข้าใจได้ ง่ายที่สุด (แต่กระบวนการคงซับซ้อนเกินความเข้าใจของมนุษย์อย่างเรา)ว่าพระเจ้า เป็นผู้สร้างจักรวาลและทุกสิ่ง แรกเริ่มนั้น พระเจ้า หายใจ ออกมาเป็นแสงสว่าง เป็นแสงสว่างที่ไม่มีวันดับ และแสงนี้ แตกกระจาย ออกไป ไกลและไกลออกไปเรื่อยๆ บางส่วน ทะลุเมฆดำจนทำให้เกิดเป็นแสงสว่างจ้าถาวร และบางส่วนก็แตกกระจายออกไปเรื่อยๆ และส่วนที่ออกมาจากความสว่างนั้น ยิ่งไกลจากพระเจ้าออกไปส่วนต่างๆเหล่านั้นก็เกิดเป็นระดับที่จับต้องได้ หรือ Materialworld ส่วนที่อยู่ไกล้พระเจ้าเข้ามาคือ spiritual world และส่วนที่อยู่ในบริเวณของพระเจ้า คือ God world แต่ละระดับก็มีจำนวน Dimension ที่ต่างกัน และ มีหลาย universe



    **กำเนิดมนุษย์**

    แสงสว่างที่ออกมาจากพระเจ้า นั้น project มนุษย์ หรือเรียกอีกทีให้เข้าใจว่าเป็นเสมือนกระจกเงา แต่มนุษย์ที่พูดถึงนั้นเป็นมนุษย์ที่อยู่ในระดับ God world คือส่วนหนึ่งของพระเจ้า

    มนุษย์ผู้นี้เรียกได้ว่าเป็นพระเจ้า พระเจ้าได้ project มนุษย์อีกหลายเผ่าพันธ์ ในระดับ spiritualworld และมนุษย์จากระดับspiritual world

    project มนุษย์ ใน Material world และมนุษย์ใน Material world บางส่วนที่มีระดับ spiritual ที่สุง เรียกว่า demigod ซึ่งเป็นผู้สร้าง

    สัตว์ และสิ่งมีชีวิตในโลก ในระดับ Material world มี demigod ผู้ที่มีระดับ spiritual ที่สุงสุดกว่าคนอื่น ชื่อ Svarog

    Svarog (ภรรยาชื่อ Lada ) มีบุตรชาย ชื่อ Dajdbog , Dajdbog (ภรรยาชื่อZhiva,Zlatogorka,Marena )มีบุตรชายชื่อ perun(ภรรยาชื่อ Diva) เผ่าพันธ์มนุษย์สืบเชื่อสายมาจาก perun



    ***สงครามระหว่างDark and light ***



    นานมาแล้ว ที่ โลก Arleg (ระดับ Material world ที่มีระดับ spiritual ที่สุง )

    เป็นที่อาศัยของ Messengerหรือผู้ส่งสาร ที่นี่มี 256 Dimension

    มี demigod ผู้หนึ่งชื่อว่า Chernobog ผู้ที่ไม่ต้องการทำตามกฎ (เพราะการที่จะไต่ระดับ ไปสู่ spiritual world หรือ God world

    นั้น ต้องเป็นไปตามกฏเกณท์ Chernobog เป็นชนชาวผิวดำ( Black demigod) ต้องการไต่ระดับไปตามทาง Golden way

    ขยายความ Goldenway ซักนิด นั้น เป็นทางเชื่อม โลก3โลก เข้าด้วยกัน มีอยู่ทุก universe ,galaxy ,planet.

    แม้แต่โลกเราก็มี Goldenway

    ชาวอารยัน (Aryan)นั้นรู้ความลับนี้เป็นอย่างดี

    จึงมีการทำสงครามกันระหว่าง Belobog (white demigod) และ Chernobog( Black demigod)

    และมีการทำสงครามกันเรื่อยมา ทุกๆ 4000 ปี เป็นสงครามที่ยืดเยื้อยาวนาน



    ****ที่มาของมนุษย์บน โลก ****



    ในช่วงสงครามนั้น มียานแม่ ชาวอารยันเรียกว่า Vaitmara และในยานแม่นี้มียานลำเล็กข้างในเรียกว่าVaitmana ทั้งหมด 144 ลำ

    เกิดเสีย และลงจอดที่ Planet earth หรือโลก ที่ continent (แถบขั้วโลกเหนือปัจุบัน) ในเวลานั้นยังไม่เกิด polar shift

    ที่นั่นจะอุณหภูมิคล้าย กรีซ และอิตาลี ปัจจุบัน



    ข้างในมีชนผิวขาวอยู่ 4 เผ่า

    กลุ่มแรก ชื่อ Aryan มี2เผ่าคือ Da'aryan และ H'aryan

    กลุ่มหลัง ชื่อ Slav มี2เผ่าคือ Rassen และ sretorus



    แต่ละเผ่ามีลักษณะ สีของดวงตา ต่างกัน Da'aryan มีดวงตาสี เทา H'aryan มีดวงตาสี เขียว

    Rassen มีดวงตาสี น้ำเงิน sretorus มีดวงตาสีน้ำตาล



    ทั้ง 4 เผ่านี้มาจากกลุ่มดาว Beta Leo Star System galaxy นี้ มีดาวดวงนึงที่มีลักษณะเหมือนโลก ชื่อว่า Ingard- earth

    Ingard หมุนรอบตัวเอง 576 วัน และ มี ดวงจันทร์ 2ดวง ดวงนึงเล็ก ดวงนึงใหญ่ ดวงใหญ่ หมุนรอบ Ingard 36 วัน

    ส่วนดวงเล็ก 9 วัน

    หลังจากที่ซ่อมยานเสร็จมีบางส่วนที่กลับดาว Ingard และมีบางส่วนที่อาศัยอยู่ที่นี่และ เรียกโลกใบนี้ว่า Midgard-earth

    ต่อมาก็มีการเข้ามาอาศัยอยู่ในโลกนี้เรื่อยๆ จากดวงดาวต่างๆ อีก3กลุ่มบ้างมาตามทาง Golden way (ประตูมิติ) บ้างก็มาโดยยานลำเลียง

    3กลุ่มหลังที่มา มีชนผิวเหลือง ผิวแดง และผิวดำ

    ชนผิวดำนั้น Aryanสงสารและนำพวกเขามาอาศัยที่นี่เพราะดาวของพวกเขาถูกทำลาย จากสงคราม

    และ เรียกลูกหลานของมนุษย์ที่เกิดที่นี่ว่า As


    ก่อนมี Homosapiens ได้ Humannoid อีกจำพวกนึงคือNeanderthalแล้วทั่วทุกหนแห่ง ยกเว้นที่ continentเพราะมีทะเลล้อมรอบ

    Neanderthalครองโลกนี้อยู่หลายแสนปี ที่เรียกว่าครองโลกคือว่าพวกนี้เป้นพวกที่มีพละ กำลังมหาศาลไม่มีใครต่อกรได้ นอกจากเสือเขี้ยวดาบ

    และประมาณ 4 หมื่นปีก่อน มี homo sapiens ในหนังสือเขาบอกว่า appear คือไม่รู้ที่มาของ homo sapiens แม้นักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายได้เพราะไม่พบหลักฐาน missing link พบฟอสซิลที่พบอยู่ทั่วไปหลายแห่งนั้นมีอายุเท่ากันทั้งหมดมี 4 race ฟอสซิลกระโหลกศรีษะเหล่านี้มีลักษณะที่แตกต่างกันเพียงเล็กน้อย และมาจาก สายพันธ์เดียวกัน และไม่เคยมีการค้นพบโครงกระดูกระหว่างวิวัฒณาการจากNeanderthal- Homo sapiens


    มีการเช็ค dna ระหว่าง Neanderthal(ที่พบร่างอยู่ไต้น้ำแข็งบนภูเขาCalpine glacier) และHomo sapiens ปรากฏว่าไม่ได้มาจากสายพันธ์เดียวกัน เช่นเดียวกับ ลา และม้า ที่มีลักษณะคล้ายกันแต่คนละสายพันธ์ และถ้ามีการสืบเผ่าพันธ์ได้ นั่นหมายถึงว่าถ้า Neanderthal สืบพันธ์

    กับ Homo sapiens ลูกที่ออกมาจะไม่สามารถสืบเผ่าพันธ์ได้อีก(เป็นหมัน) เช่นเดียวกันกับล่อที่ไม่สามารถสืบพันธ์ได้ต่อไป

    ส่วน Homo sapiens ที่พบกระโหลกที่ต่างกันนั้นสามารถสืบเผ่าพันธ์ต่อไปได้ (Compatible)

    หลังจากนั้น ประมาณอีก1000 ปี Neanderthal ก็สูญพันธ์แบบที่นักวิทยาศาสตร์ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าทำไม Neanderthal ผู้แกร่งกล้า{supreme predator}จึงสูญพันธ์

    ซึ่งเมื่อเทียบกับ Cro-Magnonอ่อนแอกว่า และไม่มีขนปกคลุมร่างการให้ความอบอุ่นเหมือน Neanderthal


    Perun demigod ผู้มีหน้าที่โดยตรงในการดูแลประชากรที่อยู่ในโลกนี้ เป็นผู้ที่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับอณาคตของโลกใบนี้ว่า

    Galaxy นี้มีรูปร่างเหมือน swastika ทุกๆ 1000 ปี ซีกหนึ่ง ของ Galaxy จะโคจรเข้าไปในก้อนเมฆ เป็นระยะเวลา1000ปี

    ซึ่ง เป็นข้อตกลงในการยุติสงครามชั่วคราวกับ ปรสิต (dark side) และเผ่าพันธ์มนุษย์ light side จะเข้ามายังโลกไม่ได้จนกว่าจะครบกำหนด

    1000 ปี และในขณะนี้เป็นช่วงเวลาที่เกือบครบกำหนด 1000ปี Galaxy นี้เริ่มเคลื่อนออกมาจาก เงาเมฆ

    เชื่อ กันว่า ภายในปี 2012 นี้ ฝ่าย light side จะเริ่มเข้ามา ซึ่งนั่นหมายความว่าจะมีสงคราม(star war)อีก และมีบางส่วนที่เข้ามารอบ้างแล้ว และนานแล้ว แต่ยังรอเวลา

    ทั้งส่วนที่เป็นฝ่ายพันธมิตร (ชนผิวเหลืองและแดง) และจอดยานแม่ไว้ในหุบเขา(ในหนังสือบอกว่าที่ลึกลับบนเขา) คืออีก

    Dimension ที่มนุษย์มองไม่เห็น และตอนนี้จะเห็นได้ว่าพวกปรสิตมันกำลังเตรียมการ ในสงครามครั้งนี้

    Dots connector: * กำเนิดโลก,จักรวาลและมนุษย์
     
  13. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เพราะเหตุใดพวก Dark force ถึงสนใจโลกใบนี้

    2010/01/20
    (ข้อมูลเหล่านี้แปลแบบสรุปอย่างย่อมากๆ จาก Levashov ebook ถ้าตกหล่นประการใดก็ขออภัย หรือสามารถเข้าไปอ่านรายละเอียดได้ที่ที่ลิ้งของเขาที่แปะไว้หน้าบล๊อกครับ )


    ย้อนกลับไปอีกนิดนึง ทำไมพวกจาก Dark force สนใจและไม่ยอมทำลายและละทิ้งโลกนี้ไป เพราะแร่ธาตุที่อยู่บนโลกนี้ ก็ถูกขุดขึ้นมาใช้
    เกือบหมดแล้ว โดยเฉพาะทองคำ (สำหรับพวก Dark force ที่อยู่อีกมิติหนึ่ง(cosmic parasite -พวกที่ควบคุมพวกที่มีร่างกายเรียกอีกที ก็คือ เจ้านายของพวกที่มีร่างกาย) จะยังชีพด้วยพลังงานจากทองคำ)
    พวก Dark force เคยขุดหาแร่ธาตุ จากดาวต่างๆ บุกรุก และทำสงคราม นำมนุษย์(จากดาวนั้นๆ) บางส่วนมาเป็นทาส โดยการควบคุมและลบล้างความทรงจำ (โดยการแผ่รังสีชนิดนึง อันนี้ผมจำไม่ได้ ขอกลับไปอ่านอีกทีแล้วค่อยมาเติมนะครับ) ใช้ในการขุดหาแร่ธาตุ และหลังจากขุดแร่ธาตุดาวดวงนั้นๆ หมดแล้ว ก็จะทำลายดาวดวงนั้นๆทิ้ง แล้วก็ค้นหาแหล่งไหม่ไปเรื่อยๆ
    (หมายเหตุ มนุษย์ของดาวแต่ละดวงมีศักยภาพ และ consciousness ในระดับต่างกัน ในสงครามก็มีดาวบางดวงมนุษย์ที่อาศัยอยู่ที่นั่น
    อ่อนแอกว่า ก็ถูกพวก Dark force ยึดครอง )

    *ส่วนโลกใบนี้ แร่ธาตุถูกขุด เกือบหมดแล้ว แต่ที่พวกนี้ ยัง สนใจอยู่ไม่ยอมไปจากที่นี่หรือทำลายทิ้ง โลกใบนี้ วิเศษตรงไหน

    เพราะว่าที่นี่ มี Source of life

    Source of life คือ crystal -generator เป็นพลังงานฟรีที่เข้มข้น และมีพลังงานมหาศาล ให้พลังกับสิ่งมีชีวิตทุกชนิด และที่สำคัญสามารถ improve gene และ improve consciousness ได้ เพราะโลกใบนี้เป็นเหมือนศูนย์รวมของหลายเผ่าพันธ์ ซึ่งเป็นเหมือนศูนย์การเรียนรู้ ทางด้าน spiritual (เพราะจุดเริ่มต้นของ golden way วางไว้ที่โลกใบนี้)

    Source of life มาจากพลังงานต้นกำเนิด หรือว่าพระเจ้านั้นเอง Source of life สามารถ improve gene ของสิ่งมีชีวิตทุกชิด ดังนั้นเองพวก Dark force ก็ต้องการครอบครองเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าดาวทุกดวงจะมี Source of life และ Source of life ไม่ได้กำเนิดขึ้นเองในโลกใบนี้ ชาวอารยัน บันทึกไว้ว่า Demigod จาก light force ได้นำมาไว้ที่โลกใบนี้ เมื่อ 50,000 ปีก่อนที่ continentจมลงสู่มหาสมุทร

    โดยใส่ Source of life ลงไปลึกในใจกลางโลก โดยมีทางเข้า กลางป่าลึกแห่งหนึงแถบยุโรป หน้าทางเข้าจะมีคนเฝ้าประตู ชาวอารยัน เฝ้าอยู่ แต่ไม่มีกุญแจ หรือรู้รหัสทางเข้า ที่นี่เคยมี Dark force ส่งคน(bio robot)เข้าไปก่อกวน เกือบ 200 คน แต่ทางฝ่าย light force ได้ส่งชาวอารยัน หรือคนของฝ่าย light ที่มีความรู้ความสามรถในการต่อสู้ (คล้ายๆกับนินจาที่เรารู้จักกัน)ในจำนวนเรียกได้ว่า 1/100 ได้กำจัดพวก Dark force ราบคาบ

    ที่นี่พวก Dark force ไม่กล้าบุกรุกเต็มที่ เพราะ light side demigod ปกป้อง Source of life โดยการ ให้ light force จอด vaitmana หลายลำเทียบท่าบน cosmos เพื่อเฝ้าระวังและจับตาดูตลอดเวลา


    พลังงานของ Source of life ได้กระจายไปตามที่ต่างทั่วโลก มากบ้า้งน้อยบ้าง และก้อขึ้นอยู่กับวิธีการดึงมาใช้ และโดยธรรมชาติเอง พืช ต่างๆ ที่อาศัยอยู่บนพลังงานของ Source of life โดยตรงพวกเขาก็จะเจริญเติบโตและมีขนาดใหญ่มากกว่าปรกติ

    levashov เป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในการ รู้จักวิธีดึงพลังงานของ Source of life มาใช้กับพืชที่เขาปลูกอย่างน่าทึ่ง ทั้งที่พืชบางชนิดไม่สามารถเจริญเติบโตในเขตหนาวได้เลย แต่กลับเจริญเติบโตและมีขนาดใหญ่กว่าปรกติ โดยไม่ใส่ปุ๋ยใดๆ

    *หมายเหตุ บางส่วนของข้อความได้มาจากแหล่งอื่น บางส่วนจากในหนังสือของ levashov

    Dots connector: * เพราะเหตุใดพวก Dark force ถึงสนใจโลกใบนี้
     
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    * สงครามกับศาสนา


    2009/12/30 ศาสนจักรกับการกำจัดกวาดล้าง

    เมื่อศาสนาคริสต์กำเนิดขึ้นใหม่ ๆ จักรวรรดิโรมันกำลังเรืองอำนาจครอบครองไปทั่วยุโรป ศาสนาคริสต์ถูกกำจัดกวาดล้างอย่างรุนแรงเริ่มตั้งแต่ ค.ศ. ๖๔ เป็นต้นมา ตลอดเวลา ๒๕๐ ปีจนถึง ค.ศ. ๓๑๓ คริสตศาสนิกชนได้ถูกกำจัดสังหารอย่างทารุณ รวมถึงวิธีการอันป่าเถื่อน เช่น ถูกจับส่งเข้าไปสู้กับสิงโตด้วยมือเปล่าจนถูกกัดกินต่อหน้าคนดูในสนามกีฬาโค ลัสเซียมอันยิ่งใหญ่ของกรุงโรม

    ต่อมาเมื่อจักรวรรดิโรมันได้หันมา นับถือคริสต์ศาสนาโดยเริ่มที่พระเจ้า Constantine I ใน ค.ศ.๓๑๓ จากนั้นมาอีกไม่นานประวัติศาสตร์อันยืดยาวที่คริสต์ศาสนากำจัดกวาดล้างคนนอก รีตและพวกที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นซาตานหรือศัตรูของพระเจ้าก็ได้เริ่มขึ้น ตามมาด้วยการทำสงครามระหว่างคริสต์ศาสนาต่างนิกายนับแต่ ค.ศ. ๓๙๑ เป็นต้นมาจนถึงค.ศ. ๑๘๓๔ เป็นเวลาเกือบ ๑๔๕๐ ปี

    การกำจัดกวาดล้าง เหล่านี้เป็นเรื่องที่ฝ่ายศาสนจักรร่วมกับฝ่ายอาณาจักรดำเนินการบ้าง หรือทางฝ่ายศาสนจักรใช้อิทธิพลชักจูงให้ฝ่ายอาณาจักรลงมือทำบ้าง หรือกลุ่มคริสต์ศาสนิกชนต่างนิกายลงมือเข่นฆ่าสังหารกันและกันบ้าง

    ใน ยุคสมัยกลาง พวกยิว พวกมุสลิม และคนนอกรีต เป็นกลุ่มที่ถูกกำจัดกวาดล้างโดยทั่วไป ตลอดจนพวกที่ถูกกล่าวว่าเป็นพ่อมด-แม่มด (ซึ่งถือกันว่าเป็นตัวแทนของซาตาน)ต่อมาก็รวมเอาพวกนักปราชญ์ นักวิทยาศาสตรที่เผยแพร่ความรู้ ความคิดเห็นขัดแย้งกับคำสอนในคริสต์ศาสนา

    ต่อ มาได้มีการตั้งสถาบันสำคัญ เพื่อการกำจัดกวาดล้างบุคคลที่ขัดต่อแนวทางและผลประโยชน์ของฝ่ายศาสนจักร คือองค์สันตปาปา (Pope) ร่วมกับฝ่ายอาณาจักร ตั้งศาลที่เรียกว่า Inquistion (หรือเรียกว่า ศาลไต่สวนศรัทธา)ขึ้นใน ค.ศ. ๑๒๓๑ ศาลนี้มาสิ้นสุดลงในปี ค.ศ. ๑๘๓๔ ซึ่งเป็นระยะเวลาหลายร้อยปีที่ศาลนี้ได้พิพากษาตัดสินคนที่ศาสนจักรถือ ว่านอกรีต เป็นพวกสาวกซาตาน หรือทำผิดต่อศาสนจักร โดยวิธีการโหดเหี้ยมต่าง ๆ ที่จดจำกันถึงทุกวันนี้คือ การเผาทั้งเป็น

    ตัวอย่างที่จารึกไว้ใน ประวัติศาสตร์ คือ บรูโน (Giodarno Bruno) นักปราชญ์ที่สอนว่าดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาลและมีจักรวาลมากมาย เป็นอนันต์ เขาถูกศาลไต่สวนศรัทธา ตัดสินประหารชีวิตด้วยการเผาทั้งเป็นใน ค.ศ. ๑๖๐๐

    บุคคลต่อมาคือ กาลิเลโอ (Galileo Galilei) นักวิทยาศาสตร์ชาวอิตาลีผู้เลื่องลือที่สอนว่าดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ หาใช่ดวงอาทิตย์หมุนรอบโลกไม่ เขาถูกจับขึ้นศาลฯ แต่เขายอมรับผิด จึงได้รับการผ่อนโทษโดยเหลือเพียงการขังกักบริเวณไว้ในบ้านจนถึงแก่ความตาย ใน ค.ศ. ๑๖๔๒

    ก่อนหน้าบูรโนและกาลิเลโอ ก็มีบุคคลอีกท่านหนึ่งคือ เซอร์วีตัส (Michael Servetus) ผู้ค้นพบระบบการไหลเวียนของโลหิต เขาถูกศาลฯตัดสินประหารชีวิตด้วยการเผาทั้งเป็น ใน ค.ศ. ๑๕๕๓ แต่เขาหลบหนีจากจับกุมของศาลฯฝ่ายนิกายคาธอลิกไปได้ ฝ่ายคาธอลิกจึงเผาหุ่นของเขาแทน ต่อมาเขาถูกฝ่ายนิกายโปรเตสแตนต์จับได้ที่เจนีวาสวิสเซอร์แลนด์และถูกศาลไต่ สวนฯของนิกายนั้นที่มีชื่อว่า Consistory ตัดสินให้เผาทั้งเป็นใน ค.ศ. ๑๕๕๓ นั้นเอง

    บุคคลอีกสำคัญอีกคนหนึ่งที่ถูกตัดสินให้เผาทั้งเป็น ซึ่งคนทัวไปจำกันได้ดีก็คือ โจน ออฟ อาร์ค (Joan of Arc) วีรสตรีชาวฝรั่งเศสที่ถูกตัดสินว่าเป็นแม่มดและถูกเผาทั้งเป็นใน ค.ศ. ๑๔๓๑ ยุโรปในยุคนั้น ผู้หญิงถูกตัดสินว่าเป็นแม่มด ถูกประหารชีวิตด้วยการเผาทั้งเป็นอย่างนี้มีจำนวนมากมาย เช่นในเยอรมันภาคใต้มีการประหารด้วยวิธีเผาทั้งเป็นมากกว่า ๓,๐๐๐ คน ส่วนศาลไต่สวนศรัทธาในสเปญก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเท่าใดเพราะมีการสั่ง ประหารชีวิตเผาทั้งเป็นคนนอกรีตไปประมาณ ๒,๐๐๐ คน

    ยุคมืดในยุโรป

    ใน ยุคกลาง Middle Ages ของยุโรปที่เริ่มตั้งแต่ ค.ศ. ๔๗๖ ถึง ค.ศ. ๑๔๕๓ เป็นระยะเวลา ๑ พันปีที่ศาสนจักรมีกำลังและอิทธิพลเป็นหนึ่งเดียวกันทั่วยุโรป วัฒนธรรมที่มีแหล่งกำเนิดจากคริสต์ศาสนาได้แผ่เข้าครอบคลุมชีวิตในทุกด้าน ทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมืองและการทหาร

    ต่อมา เมื่อยุโรปหลุดพ้นจากยุคสมัยกลาง พวกนักปราชญ์ยุโรปเห็นว่ายุโรปควรจะได้กลับคืนสู่ศิลปวิทยาการของกรีกและ โรมันโบราณอีกครั้ง จึงได้เรียกชื่อยุคสมัยที่ผ่านมานั้นว่า Middle Ages -สมัยกลาง ซึ่งมีความหมายว่าเป็นช่วงเวลาท่ามกลางการเสื่อมสลายของศิลปวิทยาการของกรี กและโรมันโบราณ จนกระทั่งศิลปวิทยาการนั้นกลับฟื้นขึ้นมาอีกในยุคของพวกตน จึงเรียกยุคนี้ว่า Renaissance

    แต่ถึงแม้จะพ้นจากสมัยกลางเนิ่นนานมา จนถึงสมัย Enlightenment ในศตวรรตที่ ๑๘ ความรู้สึกที่เป็นปฏิกิริยาต่อสภาพของสมัยกลางก็ยังคงอยู่ ชาวยุโรปจึงเรียกชื่อสมัยกลางอีกชื่อหนึ่งว่า Dark Ages หรือ ยุคมืด ซึ่งหมายถึงยุคสมัยที่อารยธรรมคลาสสิกของศิลปวิทยาการฯได้เลือนลับไป ยุโรปจึงตกอยู่ในความมืดมนทางปัญญา

    ต่อมาคนสมัยหลัง ๆ เริ่มคลายความปฏิกิริยาต่อเหตุการณ์ในยุคมืดลง ก็เริ่มกลับไปมองคุณค่าของยุคมืดหรือยุคกลางว่าเป็นรากฐานให้เกิดยุคสมัย Renaissance (เรเนซองซ์)โดยเฉพาะที่สำคัญที่คนยุคหลังเห็นว่ายุคกลางเป็นยุคที่สำคัญ อย่างยิ่งที่ทำให้มียุค Renaissance ได้ ก็คือเหตุการณ์ที่ศาสนจักรได้เผชิญและผจญกับศาสนาอิสลาม ในสงครามครูเสดเป็นต้น ในคราวที่ฝ่ายศาสนจักรได้ชัยชนะเหนือฝ่ายมุสลิม ก็มีการนำวิทยาการ ความรู้ ตำราของพวกกรีก-โรมันโบราณที่พวกมุสลิมได้นำไปเก็บรักษา กลับมายังยุโรป

    ตำรา ตำรา วิชาความรู้ที่ได้มาชัยชนะของสงครามครูเสด พวกนักบวชคริสต์ได้คัดลอก เก็บรักษาหรือแปลจากภาษาอาหรับมาเป็นภาษาละติน ซึ่งได้กลายมาเป็นแหล่งความรู้ให้แก่ยุค เรเนซองซ์ (ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา)ในเวลาต่อมา

    ในยุคสมัยกลาง ได้มีประเพณีที่ผู้จะขึ้นมาเป็นจักรพรรดิโรมันจะต้องให้โป๊ปสวมมงกุฏให้ จึงมีคำเรียกอาณาจักรโรมันที่ปกครองโดยจักรพรรดิที่โป๊ปสวมมงกุฎให้ว่า Holy Roman Empire จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ เมื่อฝ่ายศาสนจักรมีอิทธิพลครอบงำเหนือฝ่ายอาณาจักร ทำให้เกิดเป็นความคิดที่ถือว่ายุโรปเป็นศาสนรัฐที่กว้างใหญ่เป็นอันหนึ่งอัน เดียวกันเรียกว่า “Christendom” (คริสต์จักรหรือคริสต์อาณาจักร)

    คริสต์ อาณาจักรจึงประกอบด้วย ๒ องค์กรใหญ่ได้แก่ฝ่ายศาสนาธิการ (sacerdotium) มีสันตะปาปาเป็นใหญ่มีอำนาจสูงสุด อีกฝ่ายได้แก่ฝ่ายรัฏฐาธิการ (imperium) มีจักรพรรดิทรงอำนาจสูงสุด ซึ่งองค์กรทั้งนี้จะปฏิบัติงานเสริมกันและกัน แต่ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์กลับปรากฏว่าสององค์กรนี้มีการแย่งอำนาจชิง ดีชิงเด่นกันมาตลอด

    ในยุคกลางนี้เช่นกัน ที่ศาสนจักรและอาณาจักรได้รวมพลังกันทำสงครามศักดิ์สิทธิ์หรือสงครามเพื่อ พระผู้เป็นเจ้า (holy war) เพื่อปลดปล่อยดินแดนศักดิ์สิทธิ์ (เยรูซาเลม) จากการยึดครองของพวกมุสลิมเตอร์กส์ สงครามนี้มีชื่อเรียกว่า “สงครามครูเสด” ซึ่งรบกันยืดเยื้อยาวนานประมาณ ๒๐๐ ปี (ค.ศ. ๑๐๙๖-๑๒๗๐) นับเป็นสงครามครั้งใหญ่ ๘ ครั้งและสงครามย่อย ๒ ครั้ง

    ในระหว่าง สงครามครูเสดที่ฝ่ายคริสต์มีชัยเหนือฝ่ายมุสลิมก็ได้นำตำราวิทยาการกลับไป ยุโรปและมีการแปลตำรานั้นเป็นภาษาละติน พวกยุโรปก็ค่อย ๆ ฟื้นฟูวิทยาการความรู้จากตำราของพวกกรีกโรมันโบราณที่พวกมุสลิมครอบครองไว้ ตั้งแต่ยุคคริสตกาลตอนต้น ๆ

    ต่อมาในปี ค.ศ. ๑๔๕๓ กรุงคอนสแตนติโนเปิลได้ถูกพวกออโตมานเตอร์กส์ ยังผลให้จักรวรรดิไบแซนไทน์ ซึ่งเป็นจักรวรรดิโรมันตะวันออกล่มสลายลง เหล่านักปราชญ์ นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากได้หลบหนีมายังอิตาลีและหอบเอาตำรับตำราสำคัญมาด้วย เป็นการนำความรู้จากยุคกรีกโบราณมายังยุโรปอีกระลอกหนึ่ง

    การปฏิรูปทางศาสนา

    ยุโรปหลุดออกมาจากยุคกลางเข้าสู่ยุค ฟื้นฟูทางศิลปวิทยาการได้เพียงไม่นาน อำนาจของโป๊ปที่เคยยิ่งใหญ่เหนือแผ่นดินยุโรปก็สิ้นสุดลง เพราะอิทธิพลของแนวความคิดและการตื่นตัวของประชาชนที่ได้ศึกษาเรียนรู้วิทยา การมากขึ้น เกิดเป็นความขัดแย้งของความเชื่อเก่ากับความเชื่อใหม่ซึ่งได้ม้วนเอาเรื่อง การเมืองเข้าไปเกี่ยวด้วยทำให้การโต้แย้งแข็งขืนกลายเป็นการต่อสู้ด้วยกำลัง การห้ำหั่นบีฑา (persecution) และ สงครามศาสนา (religious war) ก็เกิดขึ้น

    แต่ สงครามศาสนาคราวนี้เป็นการทำสงครามของชาวคริสต์กันเองที่มีความเชื่อแตกต่าง กัน คือนิกายโรมันคาธอลิก กับนิกายใหม่คือโปรเตสแตนต์ ซึ่งต่างก็ถือว่าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นพวกนอกรีต

    ฝ่ายคาธอลิกได้ระดมทุน เพื่อจะรักษาความยิ่งใหญ่ให้เหนือโปรเตสแตนต์ โดยให้มีการขายใบไถ่บาป (indulgence) ซึ่งอ้างว่าโปรดประทานจากพระคลังบุญ (Treasury of Merits) ของพระเยซูและเหล่านักบุญ โดยมีตัวแทนจำหน่ายในท้องที่ต่าง ๆ

    การขาย ใบไถ่บาปทำให้ได้เงินมหาศาล (รวมทั้งเงินที่เอามาสร้างมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ ที่กรุงโรม) บาทหลวงบางคนขายใบไถ่บาปเอาเงินให้สันตะปาปาเพื่อแลกกับตำแหน่งในสมณศักดิ์ สูง การก่อสร้างและการสะสมทำให้ฝ่ายศาสนจักรมีทรัพย์สินมหาศาล

    มาถึง วันที่ ๓๑ ตุลาคม ค.ศ.๑๕๑๗ บาทหลวงเยอรมันชื่อมาร์ติน ลูเธอร์ ได้ปิดประกาศคำประท้วงการขายใบไถ่บาป ถือว่าเป็นจุดเริ่มแห่งการปฏิรูป ที่ให้ชาวคริสเตียนคืนกลับไปหาคัมภีร์ไบเบิลโดยปฏิเสธอำนาจขององค์สันตะปาปา หลังจากนั้นไม่นาน การกำจัดกวาดล้างรบราฆ่าฟันและสงครามก็ตามมา

    การที่ มาร์ติน ลูเธอร์ สามารถได้กำลังสนับสนุนมาต่อสู้กับวาติกันเพราะมีผู้เชื่อในคำสอนทางศาสนา ที่เขาตีความใหม่มากขึ้น และมีเหตุผลทางการเมืองดังที่มีบันทึกไว้ว่า

    “ทั่ว ยุโรปภาคเหนือ กษัตริย์และเจ้าผู้ครองดินแดนทั้งหลาย ซึ่งรู้ตระหนักว่าตนกำลังมีอำนาจมากขึ้น มีความไม่พอใจอยู่แล้วต่อการที่องค์สันตะปาปาซึ่งประทับอยู่แสนไกล มาถือสิทธิคุมอำนาจบังคับบัญชาตน แถมยังดูดสูบเอาโภคทรัพย์ไปยังกรุงโรมอีกด้วย”
    (Europe,history of,”New Grolier Multimedia Encyclopedia,1994)

    การ ปฏิรูป (Reformation) ซึ่งเป็นของฝ่ายโปรเตสแตนต์ ตามมาด้วยการโต้ปฏิรูป (Counter-Reformation) ของฝ่ายโรมันคาธอลิก (ค.ศ.๑๕๔๐-๑๖๑๐)เพื่อเร่งงานกำจัดฝ่ายโปรเตสแตนต์ให้หมดสิ้น ในช่วงเวลานับแต่เริ่มยุคการปฏิรูป ชาวคริสต์สองนิกายได้ทำสงครามห้ำหั่นบีฑาและสงครามศาสนาระหว่างราษฎรกับ ราษฎร ระหว่างประเทศหนึ่งกับอีกประเทศหนึ่งบ้าง ระหว่างกลุ่มประเทศทั่วทั้งยุโรปบ้าง ซึ่งนอกจากทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในยุโรปแล้ว ก็ส่งผลไปถึงการเกิดขึ้นของประเทศในโลกใหม่คืออเมริกาด้วย

    ยก ตัวอย่าง ในประเทศอังกฤษซึ่งได้กลายเป็นประเทศโปรเตสแตนต์เมื่อพระเจ้าเฮนรี่ที่ ๘ แยกออกจากโรมันคาธอลิก โดยประกาศไม่ยอมรับอำนาจขององค์สันตะปาปาและให้รัฐสภาสถาปนาพระองค์ขึ้นเป็น ประมุขแห่งศาสนจักรนิกายอังกฤษ (Church of England) คือนิกายแองกลิคาน (Anglican Church) ในปี ๑๕๓๔ ทำให้ศาสนาคริสต์นิกายอังกฤษเป็นศาสนาประจำชาติมาจนบัดนี้
    พระเจ้าเฮนรี่ ที่ ๘ ได้ทรงกำราบและยึดทรัพย์โบสถ์ทั้งหลายของคาธอลิก ใครยอมเชื่อฟังโป๊ปถือว่าเป็นความผิดอาญาแผ่นดิน ผู้นับถือโรมันคาธอลิกคนใดไม่ยอมรับสถานะของพระองค์ว่าเป็นประมุขของ ศาสนจักรก็ถูกประหารชีวิต พึงสังเกตว่า อังกฤษกำจัดไม่เฉพาะชาวคาธอลิกเท่านั้นแต่กำจัดโปรเตสแตนต์นิกายอื่นที่ไม่ ใช่นิกายอังกฤษด้วย ดังนั้นพวกถือนิกายลูเธอแรนก็ถูกจับเผาทั้งเป็นจำนวนมาก

    ต่อ มาพระนางแมรีที่ ๑ ผู้เป็นพระราชธิดาของพระเจ้าเฮนรี่ที่ ๘ ขึ้นครองราชย์ใน ค.ศ.๑๕๕๓ สถานการณ์เปลี่ยนเป็นตรงข้าม พระนางแมรี่พยายามกู้นิกายโรมันคาธอลิกกลับขึ้นมาให้เป็นศาสนาประจำชาติ และได้กำจัดผู้นับถือนิกายโปรเตสแตนต์ ปรากฏว่าชาวโปรเตสแตนต์ถูกเผาทั้งเป็นประมาณ ๓๐๐ คน บ้างก็หนีไปอยู่ประเทศอื่น

    การณ์กลับกลายอีกครั้งเมื่อพระนางเจ้าเอ ลิซาเบธที่ ๑ ขึ้นครองบัลลังก์ต่อจากพระนางแมรี่ที่ ๑ ในปี ค.ศ. ๑๕๕๘ พระนางทรงฟื้นนิกายโปรเตสแตนต์กลับขึ้นมาอีก และโดยเฉพาะปลายรัชกาลทรงกำจัดฝ่ายโรมันคาธอลิกอย่างโหดเหี้ยมถึงกับประหาร ชีวิตเป็นจำนวนมาก

    ส่วนฝรั่งเศสนั้นตรงกันข้าม ได้พยายามรักษานิกายโรมันคาธอลิกไว้ให้มั่นคงและกำจัดโปรเตสแตนต์อย่างถึง ที่สุด พวกโปรเตสแตนต์ในฝรั่งเศสมีชื่อเรียกว่า พวกฮิวเกนอตส์ (Huguenots) เมื่อพวกฮิวเกนอตส์มีกำลังเข้มแข็งขึ้น รัฐบาลฝรั่งเศสก็ได้กำจัดด้วยวิธีรุนแรงจนกระทั่งเกิดเป็นสงครามศาสนาถึง ๘ ครั้งในช่วง ค.ศ. ๑๕๖๒-๑๕๙๘ แต่หลังจากสงบศึกไประยะหนึ่ง ต่อมาก็กำจัดกันใหม่และเกิดสงครามใหม่อีก

    พวกฮิวเกนอตส์จำนวนมาก เห็นว่าจะอยู่ในประเทศของตนเองต่อไปไม่ไหว ก็หลบหนีไปประเทศอื่น เช่นอังกฤษ เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ สวิสเซอร์แลนด์ อีกส่วนหนึ่งก็ต่อไปยังดินแดนแห่งโลกใหม่คือ อเมริกา (เช่นในรัฐ Masachusetts, New York, Florida และ South Carolina)

    พวกที่หนีไป ครั้นนั้น มีจำนวนประมาณ ๔ แสนถึง ๑ ล้านคน เนื่องจากพวกฮิวเกนอตส์เป็นชนชั้นกลางที่มีการศึกษา มีความรู้และฝีมือแรงงานดี ตลอดจนเป็นนายทหาร จึงทำให้ทหารฝรั่งเศสสูญเสียทรัพยากรคนไปจำนวนมาก การกำจัดและสงครามเพื่อกำจัดพวกฮิวเกนอตส์นี้ ดำเนินมาจนถึง ค.ศ.๑๗๘๙ (รวม ๒๒๗ ปี)จึงสิ้นสุดลง ส่วนในประเทศเยอรมนี ซึ่งเป็นจุดเกิดกรณี คือเป็นที่เริ่มต้นของนิกายโปรเตสแตนต์ การกำจัดห้ำหั่นกันก็เป็นไปอย่างรุนแรงยาวนาน

    ในที่สุดการปฏิรูปของ ฝ่ายโปรเตสแตนต์และการโต้ปฏิรูปของฝ่ายโรมันคาธอลิก ก็มาถึงจุดแตกหักกลายเป็นสงครามศาสนาครั้งใหญ่ของยุโรปตะวันตก ระหว่างประเทศทั้งหลายที่นับถือต่างนิกายกัน เป็นการรบกันอย่างยาวนานถึง ๓๐ ปีเรียกว่า Thirty Years’ War ในช่วงระหว่างปี ค.ศ. ๑๖๑๘-๑๖๔๘ สงครามที่ยืดเยื้อยาวนานนี้ ก่อภัยพิบัติทั้งแก่มนุษย์ เศรษฐกิจและสภาพสังคมทั่วไปของยุโรปอย่างมหาศาล เมืองหลายเมืองหมดประชากรไปครึ่งเมืองหรือเกินกว่าครึ่ง

    ตัวอย่างของ ความโหดเหี้ยมในสงครามศาสนา ได้แก่เมืองๆหนึ่งในเยอรมันชื่อเมือง แมกดีเบอร์ก (Magdebrug)ซึ่งเป็นเมืองฝ่ายนิกายโปรเตสแตนต์ ถูกกองทัพฝ่ายคาธอลิกบุกใน ค.ศ. ๑๖๓๑ เมืองทั้งเมืองถูกเผา ราษฎรที่มีอยู่ ๓๐,๐๐๐ คนถูกฆ่าไปถึง ๒๐,๐๐๐ คน เหตุการณ์สยดสยองจากสงคราม ๓๐ ปียังคงฝังแน่นในความทรงจำของประชาชนยิ่งกว่าสงครามใดๆ (ก่อนศตวรรษที่ ๒๐) สงคราม ๓๐ ได้สิ้นสุดลงด้วยการเซ็นสัญญาสันติภาพ (Peace of Westphalia) ใน ค.ศ. ๑๖๔๘

    ยุคแห่งแสงสว่างทางปัญญา

    ศตวรรษที่ ๑๘ ถูกนับว่าเป็นยุคแห่งแสงสว่างทางปัญญา (Age of the Enlightened) เป็นยุคที่ยุโรปได้เข้าสู่การคิดด้วยเหตุผลว่าจะสามารถรู้ในความจริงของทุก สรรพสิ่งในสากลพิภพ และคิดว่าตนจะแก้ไขปรัปปรุงชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีขึ้นได้ พร้อมทั้งความใฝ่นิยมเสรีภาพ ชื่นชมวิทยาศาสตร์ และเป็นปฏิปักษ์ต่อความเชื่อถืองมงายในโชคลางพิธีรีตองต่าง ๆ ซึ่งขัดแย้งกับทางฝ่ายศาสนจักรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

    ยุคแสงสว่างฯ นี้ได้รับผลจากการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Revolution) ซึ่งถือว่าเริ่มต้นใน ค.ศ. ๑๕๔๓ และดำเนินต่อมาตลอดศตวรรษที่ ๑๖ และ ๑๗ จนทำให้คริสตศตวรรษที่ ๑๘ เป็นยุคแห่งแสงสว่างทางปัญญานั่นเอง การตื่นตัวและความเจริญก้าวหน้าทางปัญญาในยุคนี้ได้ก่อให้เกิดเหตุการณ์ใหญ่ ที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เรียกว่าเป็นการอภิวัฒน์ ถึง ๒ เหตุการณ์ คือ

    ๑.การอภิวัฒน์ฝรั่งเศส (French Revolution) ในค.ศ. ๑๗๘๙-๑๘๑๕ และการอภิวัฒน์อเมริกาในปี ค.ศ. ๑๗๗๕-๑๗๘๓

    ๒.การอภิวัฒน์อุตสาหกรรม (Industrial Revolution) ซึ่งเริ่มในอังกฤษประมาณค.ศ.๑๗๕๐-๑๘๕๐

    การอภิวัฒน์ ทั้งสองนี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่มีผลอย่างมากมายและกว้างขวาง พลิกผันสภาพบ้านเมือง ระบบสังคมและวิถีชีวิตของผู้คน นำอารยธรรมขึ้นสู่ยุคใหม่โดยเฉพาะระบบอุตสาหกรรมถือว่าเป็นตัวกำหนดให้ สังคมตะวันตกและโลกขึ้นสู่ยุคสมัยใหม่ (Modern Age) ความเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิตและสังคม แนวความคิดความเชื่อใหม่ ๆ ได้ทำให้กระแสความคิดความสนใจของคนสมัยใหม่ในตะวันตกที่ผละออกจากการครอบงำ ของศาสนาคริสต์แล้วนั้น ยิ่งห่างไกลออกจากศาสนาเรื่อย ๆ และอิทธิพลของศาสนจักรก็ยิ่งลดน้อยถอยลงไป แล้วยังส่งผลไปถึงประชาชนในดินแดนห่างไกลที่กำลังพัฒนาทั่วโลกด้วย
    ดินแดนแห่งเสรีภาพ

    อเมริกา เป็นดินแดนที่ผู้อพยพมาจากทวีปยุโรปเข้าขับไล่ผู้อาศัยอยู่เดิมให้เข้าไป อยู่ในเขตสงวนแล้วตนเองจึงเข้าครอบครองอาณาเขตทั้งหมด และก็เป็นที่รู้กันดีว่าสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้คนเหล่านี้อพยพมา ก็คือ การหนีภัยบีบคั้นกำจัดหรือ การห้ำหั่นบีฑาทางศาสนา (religious persecution) ในประเทศเดิมของตน

    นอกจากฝรั่งเศสที่พวกโปรเตสแตนต์ที่ มีชื่อเรียกว่าพวกฮิวเกนอตส์ หนีภัยมายังดินแดนใหม่ ชาวอังกฤษก็เป็นแหล่งใหญ่ของผู้หนีภัยทางศาสนา เริ่มตั้งแต่พวกโปรเตสแตนต์อังกฤษที่มีชื่อเรียกว่าพวก Puritans ซึ่งหนีมาในสมัยของพระนางแมรี่ที่ ๑ ผู้กู้นิกายโรมันคาธอลิกและกำจัดพวกโปรเตสแตนต์ พวก Puritans มายังอเมริกาตั้งแต่ ปีค.ศ. ๑๖๒๐ มาตั้งรกรากอยู่ที่ Plymonth ในรัฐแมสสาจูเซททส์ พวก Puritans อพยพมาอเมริกาครั้งใหญ่อีกในช่วง ค.ศ.๑๖๓๐-๑๖๔๐ ต่อมาพวกอพยพหนีภัยศาสนาก็อพยพมาอเมริกาอีกเป็นระลอก

    ใน ฐานะที่อเมริกาเป็นอาณานิคม รัฐบาลอังกฤษจึงได้ตามมาออกกฏหมายให้คริสต์ศาสนานิกายอังกฤษเป็นศาสนาราชการ ในเวอร์จิเนีย, แมรี่แลนด์,นิวยอร์ค,แคโรไลน่าเหนือ-ใต้และจอร์เจีย ในรัฐเวอร์จิเนีย เจ้าหน้าที่อาณานิคมซึ่งอยู่ข้างนิกายอังกฤษก็เกิดปัญหาขัดแย้งกับพวกเพรสไบ ทีเรียน พวกแบพติสต์และนิกายอื่น ๆ

    ฝ่ายชาวอาณานิคมเองทั้งที่ได้ ประสบภัยเบียดเบียนทางศาสนาในยุโรปมาอย่างหนักแล้ว เมื่ออพยพมาได้ที่พักพิงในอเมริกาแล้ว ก็ยังถูกตามมาเบียดเบียนราวีในอเมริกาอีก มีการแบ่งเป็นกลุ่มของตนและกำจัดกลุ่มอื่น เช่นในรัฐแมสสาจูเซททส์ ได้มีการกำจัดพวกเควกเกอรส์และพวกแบพติสต์ รวมทั้งมีการล่าและฆ่าผู้ที่ถูกสงสัยว่าเป็นแม่มด

    ชาวคาธอลิกที่หนี มายังอเมริกาเป็นคนกลุ่มน้อยเมื่อเทียบกับชาวโปรเตสแตนต์ แต่จะกลายเป็นตรงกันข้ามในดินแดนของคานาดาในยุคนั้น ที่รัฐบาลฝรั่งเศสออกกฏหมายห้ามมิให้มีนิกายโปรเตสแตนต์ ส่วนในแมรี่แลนด์ที่มีชาวคาธอลิกมากที่สุดก็ไม่เกิน ๓,๐๐๐ คน คนเหล่านี้ได้รับการเบียดเบียนอย่างเบา ๆ ตามกฏหมายของรัฐใน ค.ศ. ๑๖๙๑ คือคนที่นับถือนิกายคาธอลิกจะถูกตัดสิทธิทางการเมือง ห้ามไม่ให้ประกอบพิธีทางศาสนาเว้นแต่เฉพาะในบ้านของตนเอง

    คนอเมริกัน ผู้หนีภัยการเบียดเบียนในเรื่องศาสนามายังดินแดนใหม่ จึงมีจิตสำนึกที่ฝังลึกในใจที่สำคัญ คือความใฝ่ปรารถนาและเชิดชูบูชาเสรีภาพหรือความเป็นอิสระเสรี เป็นอย่างยิ่ง ต่อมาเมื่อได้รับอิสรภาพที่จะปกครองตนเองแล้ว ก็ได้ถือเรื่องเสรีภาพนี้มาเป็นหลักการสำคัญและกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญให้ ประชาชนมีอิสรเสรีภาพในด้านต่าง ๆ รวมทั้งเสรีภาพทางศาสนาด้วย ยิ่งกว่านั้น เมื่อหลายนิกายตกลงกันไมได้ว่าจะถือนิกายใดเป็นใหญ่ หรือจะถือหลักศาสนาร่วมกันได้อย่างไร อเมริกาก็วางหลักการแห่งการแยกศาสนาจักรกับอาณาจักรออกจากกัน...
    ศาสนากับการล่าอาณานิคม

    จักรวรรดิมุสลิม

    ความ เจริญของอารยธรรมตะวันตก ซึ่งผูกพันอยู่กับศาสนาคริสต์ก็คือ การล่าอาณานิคมที่กลายมาเป็นนโยบายของประเทศทั้งหลายในยุโรปที่เรียกว่า ลัทธิอาณานิคม (colonialism) การล่าอาณานิคมมีมาแต่โบราณ ถือกันว่า พวกฟินิเซียน เป็นนักล่าอาณานิคมทางทะเลพวกแรกตั้งแต่ ๑๑๐๐ ปีก่อน ค.ศ.

    ตาม มาด้วยพวกกรีกและโรมัน ซึ่งเข้มแข็งอยู่ในช่วงศตวรรษที่ ๒-๓ก่อน ค.ศ.และในที่สุดยุโรปเกือบทั้งหมดและดินแดนตะวันออกกลางก็ตกอยู่ใต้การ ปกครองของพวกโรมัน ซึ่งถือกำเนิดเมื่อประมาณ ๒๗ ปีก่อน ค.ศ. โดยมีกรุงโรมเป็นเมืองหลวง

    ต่อมา ค.ศ. ๓๒๔ พระเจ้าคอนสแตนตินที่ ๑ ได้เลือกเมืองกรีกโบราณชื่อว่าไบแซนทาเนียนแล้วสร้างขึ้นใหม่เปลี่ยนชื่อ เป็นคอนสแตนติโนเปิล หรือ “โรมใหม่” ซึ่งปัจจุบันนี้ได้แก่เมืองอิสตันบุลในประเทศตุรกี กรุงคอนสแตนติโนเปิลเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิโรมัน และพระเจ้าคอนสแตนตินที่ ๑ทรงเป็นจักรพรรดิโรมันพระองค์แรกที่นับถือศาสนาคริสต์ ทำให้ต่อมามิช้านานศาสนาคริสต์ก็ได้เป็นศาสนาประจำชาติของจักรวรรดิโรมันใน ค.ศ. ๓๘๐

    ต่อมาจักรพรรดิได้ออกกฎห้ามประชาชนนับถือศาสนาอื่นนอกจาก ศาสนาคริสต์และยังลงมือกำจัดคนที่ไม่นับถือศาสนาคริสต์ ตั้งแต่หลัง ค.ศ. ๓๙๑ เป็นต้นมา ครั้นถึง ค.ศ. ๓๙๕ จักรวรรดิโรมันก็แตกออกเป็น ๒ ภาค คือ จักรวรรดิไบแซไทน์หรือจักรวรรดิโรมันตะวันออกที่กรุงคอนสแตนติโนเปิลแห่ง หนึ่ง อีกแห่งหนึ่งคือจักรวรรดิโรมันตะวันตกที่กรุงโรม

    จนกระทั่งต่อ มาเมื่อกรุงโรมแห่งจักรวรรดิโรมันตะวันตกล่มสลายในปีค.ศ.๔๗๖ ส่วนกรุงคอนสแตนติโนเปิลก็ยังคงเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิไบแซนไทน์แห่ง จักรวรรดิโรมันตะวันออกสืบมา นักประวัติศาสตร์ถือว่ายุโรปเข้าสู่สมัยกลางหรือยุคมืดนับแต่บัดนั้น และตั้งแต่นั้นก็ไม่มีประเทศใดในยุโรปที่มีกำลังเข้มแข็งพอที่จะตั้ง อาณานิคมขึ้นได้

    เข้าสู่คริสตศตวรรษที่ ๗ ศาสนาอิสลามซึ่งเพิ่งจะกำเนิดขึ้นแต่มีกำลังเข้มแข็งในการเผยแผ่ ก็ได้เข้าสู่ยุคที่ชาวอาหรับเป็นนักล่าอาณานิคมเรื่อยมาจนถึงศตวรรษที่ ๑๓ ยุคของศาสนาอิสลามนั้นนับตั้งแต่พระศาสดามูอัมหมัดได้ตั้งศาสนาอิสลามขึ้นใน ดินแดนอาหรับ และกำหนดเริ่มต้นฮิจเราะห์ศักราช (Hijrah) ใน ค.ศ. ๖๒๒

    เมื่อ ศาสดามูฮัมหมัดสิ้นชีวิตลงใน ค.ศ. ๖๓๒ พ่อตาคือ อาบูบากะร์ก็ขึ้นเป็นกาหลิฟ(Caliph) องค์แรก ต่อจากนั้นการแผ่ขยายดินแดนของมุสลิมอาหรับก็เริ่มขึ้น ควบคู่ไปกับการขับเคี่ยวกับจักรวรรดิไบแซนไทน์และจักรวรรดิเปอร์เซีย

    ใน ค.ศ. ๖๖๑ ศาสนาอิสลามก็แตกออกเป็น ๒ นิกายคือสุหนี่ (Sunnites)ซึ่งเป็นส่วนข้างมาก และชีอะห์(Shites)เป็นส่วนข้างน้อย หลังจากนั้นเมืองหลวงของกาหลิฟก็ย้ายจากมะดินะ (Medina) ไปยังดามัสกัส และการแผ่ขยายดินแดนก็ดำเนินต่อไป เมื่อเข้าปี ค.ศ.๖๗๐ ก็ยึดทูนีเซียจนไปถึงปลายสุดด้านตะวันตกเฉียงเหนือของอาฟริกาเหนือ พอถึงปี ค.ศ.๗๑๐ ก็ตีด้านยุโรปได้สเปญ และเมื่อพยายามจะตีฝรั่งเศสก็ถูกตีแตกกลับออกมาใน ค.ศ.๗๓๒

    ทางทิศ เหนือ ได้เข้าล้อมกรุงคอนสแตนติโนเปิลแต่ยังตีกรุงไม่แตก ด้านทิศตะวันตกในปี ค.ศ.๗๑๑ กองทัพอาหรับได้บุกไปถึงลุ่มน้ำสินธุไปจนจรดอินเดียและจีน เข้าไปตั้งถิ่นฐานบางส่วนในแคว้นปัญจาบ

    ต่อมาในปี ค.ศ.๗๕๐ กาหลิฟแห่งดามัสกัสถูกสังหาร กาหลิฟวงศ์ใหม่จึงย้ายเมืองหลวงไปยังแบกแดด (Bagdad) การขยายอาณาเขตได้ผ่อนเบาลงและหันมาส่งเสริมศิลปวิทยา ทำให้ปราชญ์มุสลิมมีผลงานออกมาทางวรรณคดี ปรัชญา และศาสตร์ต่าง ๆ จึงก้าวหน้ากว่าชาวยุโรปในยุคมืดมนทางปัญญา

    ในช่วงนั้นอาณาจักร มุสลิมเตอร์กส์มีพวก เซลจูก (Seljuks) ได้เริ่มเรืองอำนาจขึ้นมาขณะที่พวกมุสลิมอาหรับอ่อนกำลังลง ส่วนในทางยุโรปคริสต์จักรได้เกิดการแตกแยกครั้งใหญ่ระหว่างพวกนิกายออ โธดอกซ์กับนิกายโรมันคาธอลิก ใน ค.ศ. ๑๐๕๔

    พอในปี ค.ศ.๑๐๕๕ พวกเตอร์กส์มุสลิมเซลจูกมีหัวหน้าที่เรียกว่าสุลต่าน ก็เข้ายึดแบกแดดได้ เข้าคุ้มครอง เข้าคุ้มครองและชักใยกาหลิฟที่ค่อย ๆ กลายเป็นหุ่นให้ชักไปแล้ว ต่อมาพวกเซลจูกก็มีชัยเหนือจักรวรรดิไบแซนไทน์ใน ค.ศ.๑๗๗๑ อันเป็นสาเหตุเริ่มต้นของสงครามครูเสด ระหว่างประเทศมุสลิมกับประเทศที่นับถือคริสต์ศาสนาทั้งหลาย ยาวนานเกือบ ๒๐๐ ปี (ค.ศ.๑๐๙๖-๑๒๗๐)

    ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น เจงกิสข่านได้นำทัพมองโกลแผ่อำนาจเข้าบุกจีน สามารถยึดกรุงปักกิ่งได้ใน ค.ศ.๑๒๑๕ จากนั้นก็มุ่งไปทางตะวันตก ตีจักรวรรดิของพวกเตอร์กส์แถบอิรัก อิหร่านและเตอรกีสถานตะวันตกบางส่วน และรุกเข้ารัสเซีย

    เมื่อเจงกิส ข่านสิ้นชีวิตในปี ค.ศ. ๑๒๒๗ ข่านคนต่อมาได้แผ่อำนาจต่อไปจนเข้ายึดและทำลายกรุงแบกแดดลงในปี ค.ศ.๑๒๕๘ จักรวรรดิมุสลิมก็ตกอยู่ใต้อำนาจของมงโกล ยกเว้นอาณาจักรของพวกมามะลูกส์ที่ยังรักษาอียิปต์และซีเรียไว้ได้

    แต่ พวกมองโกลครองอำนาจได้ไม่นานเพียง ๑๐๐ ปีเศษ อาณาจักรก็ค่อย ๆ ล่มสลายไปเรื่อย ๆ จนถึง ค.ศ. ๑๔๘๐ ก็หมดอำนาจจากดินแดนทั้งหลายที่ยึดครอง


    ทัพมุสลิมบุกอินเดีย

    เมื่อ ครั้งกองทัพอาหรับบุกไปถึงแถบลุ่มแม่น้ำสินธุในปี ค.ศ.๗๑๑ แม้ว่าจะไม่สามารถบุกเข้าไปได้ลึกกว่านั้น แต่ก็มีการเดินทางค้าขายติดต่อกันและแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมกับชาวอินเดีย

    โดย เฉพาะในช่วงคริสตศวรรษที่ ๙-๑๐ อินเดียมีมหาวิทยาลัยพุทธศาสนา คือ นาลันทาที่รุ่งเรืองมาเนิ่นนานแล้ว ทำให้ชาวมุสลิมที่แบกแดดได้รับถ่ายทอดความรู้ด้านคณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ และวิทยาศาสตร์สาขาอื่น ๆ จากอินเดีย ซึ่งเป็นยุคที่ปราชญ์มุสลิมก้าวหน้าทางปัญญากว่าพวกยุโรป

    แม้แต่ตัว เลขอาระบิกที่ฝรั่งใช้และเผยแพร่ไปทั่วโลกในเวลานี้ ก็เกิดขึ้นในอินเดียตั้งแต่ ๒๐๐ ปีก่อน ค.ศ. เวลาผ่านมานานจนกระทั่งคริสตศตวรรษที่ ๗-๘ ชาวมุสลิมอาหรับจึงได้รับเอาตัวเลขจากอินเดียไปใช้ จากนั้นชาวยุโรปก็นำไปใช้ต่อโดยเข้าใจว่าเป็นของอาหรับจึงเรียกว่า อาระบิก

    ใน ช่วง ค.ศ.๑๐๐๐ ชาวมุสลิมที่เข้ามาในอินเดียเป็นพวกมุสลิมเตอร์กส์ อาฟฆัน เปอร์เซียและมองโกล การรุกรานครั้งใหญ่เริ่มขึ้นในช่วง ค.ศ.๑๐๐๑-๑๐๒๗ โดยมะฮะหมัดแห่งฆาซนี (Mahmud of Ghazni) แม่ทัพมุสลิมเตอร์กส์จากอาฟกานิสถาน ซึ่งใช้วิธีการรุกรานโดยการทำลายล้างอย่างรุนแรง ฆ่าไม่เลือก เผา และปล้นทรัพย์ พวกนี้สามารถผนวกแคว้นปัญจาบเข้าในอาณาจักรของตน เหตุการณ์ครั้งนั้น ยังผลให้คนฮินดูวรรณะต่ำและชาวพุทธได้เปลี่ยนมาเป็นคนมุสลิมเป็นจำนวนมาก

    แม่ ทัพเตอร์กส์มุสลิมที่สืบทอดอำนาจต่อมา ได้รุกอินเดียลึกเข้ามาเรื่อย ๆ จนถึงปี ค.ศ.๑๒๐๖ ก็ชนะไปจนสุดแดนภาคตะวันออกของอินเดีย ครอบครองตั้งแต่ปัญจาบไปจนถึงแคว้นพิหาร (ปัจจุบันคือบังคลาเทศ) และสถาปนาอาณาจักรสุลต่านแห่งเดลี (Delhi Sultanate) ขึ้นเป็นรัฐมุสลิมแรกแห่งอินเดีย ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เจงกิสข่านบุกตะวันตก)

    การรุกรานของกอง ทัพเตอร์กส์มุสลิมช่วงสุดท้ายนี้ ได้กวาดล้างพระพุทธศาสนาให้สิ้นสูญไปจากแผ่นดินอินเดีย ด้วยการฆ่า ปล้นทรัพย์ บังคับให้เปลี่ยนศาสนา และฉากสุดท้ายแห่งการสิ้นสูญพุทธศาสนาในอินเดียก็คือ พวกมุสลิมเตอร์กส์ได้เผาทำลายศูนย์กลางใหญ่ ๆ คือ วัด และมหาวิทยาลัยพุทธศาสนาทั้งหลาย เช่น นาลันทา วิกรมศิลา เป็นต้น ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๗ (ค.ศ.๑๒๐๐)

    อาณาจักรสุลต่านแห่งเดลีปกครอง อินเดียสืบต่อกันมานาน ๑๔ สุลต่าน ท่ามกลางความโหดเหี้ยมทารุณ การล้างผลาญชีวิตและการแย่งชิงอำนาจกัน จนกระทั่งปี ค.ศ.๑๕๒๖ แม่ทัพมุสลิมเชื้อสาย มงโกลจากเปอร์เซีย ได้ตั้งราชวงศ์โมกุลอันยิ่งใหญ่ขึ้นในอินเดีย ปกครองอินเดียมายาวนานจนตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษและสิ้นสุดราชวงศ์โมกุลใน ค.ศ. ๑๘๕๘

    ย้อนกลับไปทางด้านตะวันตก เมื่ออาณาจักรมงโกลรุ่นลูกหลานของเจงกิสข่าน เริ่มเสื่อมอำนาจลงตั้งแต่ใกล้ค.ศ.๑๓๓๐ พวกเตอร์กส์มุสลิมก็เริ่มมีอำนาจเข้มแข็งขึ้นมาในช่วงค.ศ.๑๓๐๐อุสมานที่ ๑ ได้ตั้งราชวงศ์ออโตมานเตอร์กส์ขึ้น แล้วแย่งชิงเมืองน้อยใหญ่จากจักรวรรดิไบแซนไทน์
    ลูกหลานของอุสมานที่ ๑ แผ่ขยายดินแดนต่อมาจนถึง ค.ศ. ๑๔๕๓ ก็ทำลายจักรวรรดิไบแซนไทน์ลงได้ ยึดเอาเมืองคอนสแตนติโนเปิลมาเป็นเมืองหลวงแห่งจักรวรรดิออโตมาน ฝรั่งถือกันว่าการล่มสลายของจักรวรรดิไบแซนไทน์หรือจักรวรรดิโรมันตะวันออก ในค.ศ.๑๔๕๓ เป็นจุดกำหนดการสิ้นสุดแห่งสมัยกลางของยุโรป

    ต่อจากนั้น จักรวรรดิออโตมานได้แผ่ขยายอำนาจขึ้นไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ เข้าไปในยุโรปยึดครองยูโกสลาเวียและฮังการีได้ สามารถปิดล้อมกรุงเวียนนาถึง ๒ ครั้ง คือ ในค.ศ.๑๕๒๙ และค.ศ.๑๖๘๓

    หลัง จากนั้น จักรวรรดิออโตมานได้เสื่อมลงเรื่อยมาโดยเฉพาะในช่วงใกล้สิ้นศตวรรษที่ ๑๙ ได้สมญาว่าเป็น “บุรุษซมโรคแห่งยุโรป” (Sick Man of Europe) จนกระทั่งสิ้นสลายลงหลังสงครามโลกครั้งที่ ๑ กลายเป็นสาธารณรัฐเตอร์กส์ใน ค.ศ.๑๙๒๓

    การเรืองอำนาจขึ้นมาของจักรวรรดิมุสลิมเตอร์กส์ เป็นอุปสรรคกีดขวางการแผ่ขยายดินแดนของประเทศตะวันตก เป็นเหตุให้ประเทศตะวันตกเหล่านั้น เริ่มแต่สเปญและโปรตุเกส ต้องหันไปแสวงหาอาณานิคมและเผยแผ่ศาสนาด้วยการเดินทัพทางทะเลรวมทั้งไปค้นพบ โลกใหม่-อเมริกา

    ดินแดนที่กองทัพมุสลิมยึดครองได้ในประวัติศาสตร์นั้น กว้างขวางยิ่งใหญ่ตั้งแต่สเปญไปจนถึงอินเดียและจดดินแดนจีน


    เขียนโดย Dots conector ที่ 12/30/2009 0 ความคิดเห็น ลิงก์ไปยังบทความนี้
    ป้ายกำกับ: War and Religion



    * ยิว คือ พวก Grey- sub race


    2009/12/25 (ข้อมูลเหล่านี้แปลแบบสรุปอย่างย่อมากๆ จาก Levashov ebook ถ้าตกหล่นประการใดก็ขออภัย หรือสามารถเข้าไปอ่านรายละเอียดได้ที่ที่ลิ้งของเขาที่แปะไว้หน้าบล๊อกครับ )



    universe มีลักษณะขอบเขต เป็นวงกลม อีกครึ่งเป็น Dark อีกครึ่งเป็น Light และมีเส้นแบ่งระหว่างกลาง ระหว่าง Dark และ Light และgalaxy ของเรานี้อยู่ไกล้เส้นแบ่งเขต เพราะ galaxy ของเราเรียกได้ว่าอยู่ขอบของ universe และระบบ solar system ของเราก็อยู่ขอบของgalaxy อีกที และมีรูปร่างเหมือนswastika และการโคจรรอบตัวเอง ทุกๆ 1000 ปี และระบบ solar system ล้ำเข้าไปใน เขต Dark เป็นเวลา 1000 ปี และในช่วงนี้ พวกที่อยู่ทางด้าน dark world ก็สามารถเข้ามาได้

    ขยายความเรื่องกำเนิดโลก และสิ่งมีชีวิตในโลก

    ดาวแต่ละดวง มี ecological system (อันนี้ ชาร์ล ดาวิน ถูกครับ) มีการวิวัฒณาการเป็นไปโดยอัตโนมัติ โดย โลก ของเราเมื่อ 6 แสนปีก่อน เป็นวิวัฒณาการณ์ ถึงขีดสุดแล้ว โดย Neanderthal เป็นตัวชี้

    ในขณะเวลานั้นมี หลายกลุ่มที่จับจ้อง ดาวเคราห์ดวงนี้(โลก) มีมนุษย์หลายเผ่าพันธ์ หลาย race ได้เดินทางมาที่นี่ แต่ไม่ได้อยู่อาศัย ในช่วงแรกพวก white race เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่ ก็ไม่ได้คิดจะรบกวน ecological system ของที่นี่

    โดยตั้งถิ่นฐานอยู่ ที่ continent ที่พวก Neanderthal ไม่สามารถไปได้ ขณะนั้นที่นี่เจริญรุ่งเรืองมากทางด้านเทคโนโลยี่ ต่างๆ

    ** มีการพบซากแท่งหิน สถาปัตยกรรม ที่บ่งบอกถึง civilization บนเกาะแถบ Arctic ocean

    **ขอย้อนเรื่องดวงจันทร์ซักนิด ชาว Aryan เป็นผู้ที่นำดวงจันทร์มาไว้ที่นี่ ทั้ง 3 ดวง โดยจุดประสงค์บางอย่าง ดวงจันทร์ทั้ง 3 ดวงเป็น เสมือน ดาวเทียม (ผมเองก็หลงเข้าใจตั้งนานว่าดวงจันทร์ดวงนี้ พวก reptilian นำมา )ดวงที่ชื่อ Fatta มีแรงดึงดูดมหาศาล


    **ทำไมพวก white race demigod ถึงได้สนใจโลกใบนี้ และเข้ามาตั้งถิ่นฐานที่นี่ เพราะว่าได้มีการประชุม ของฝ่าย light side ระหว่าง demigod ทั้งหมดทุก โลก ทุก Galaxy ในเรื่องสงคราม

    ได้มีการรวมตัวกัน วางแผนคัดเลือกมนุษย์สายพันธ์ที่ดีเยี่ยม ที่มีความรู้ความสามารถต่างกัน(ดาวแต่ละดวงมีมนุษย์ที่มีความรู้ความสามารถ ต่างกัน)ทุก race ทุก specie จากทุกโลก ทุก Galaxy โดย เดินทางคัดเลือกผ่านเส้นทาง Golden way

    เพื่อจะสร้างมนุษย์สายพันธ์ไหม่(intelligent specie of new kind )บนโลกใบนี้ โดย ผสม dna เพื่อยุติหรอแก้ไขปัญหา สงคราม (star war)

    แต่มีเงื่อนไขว่าต้องสร้าง โดย Evolution ไม่ใช้เทคโนโลยี่ เพราะพวก Dark side สามารถ copy ได้ สงครามก็จะไม่มีวันยุติ

    ถ้าสร้างโดย Evolution พวก Dark side จะไม่มีวัน copy ได้ เพราะ DNA ไม่เหมือนมนุษย์ และไม่มี consciousness ที่สุงพอ
    ขอพูดถึงเกี่ี่ยวกับยานซักนิด ยานของ light force มี 3 ประเภทใหญ่ - ยาน vaitmara ความกว้าง เส้นผ่าศูนย์กลาง 200 กิโลเมตร ใช้เดินทางข้ามแกแลคซี่ได้ สามารถจุยาน vaitmana 144 ลำ

    -ยาน vaitmana ความกว้างเส้นผ่าศูนย์กลาง 1000 เมตร หรือ 1 กิโลเมตร สามารถจุ vimana ได้หลายลำ

    -ยาน vimana มีหลายรูปแบบ มีทั้ง 3เหลี่ยม(คล้ายปิรามิด) ทรงกลม ฯลฯ เป็นยานเล็ก
    ส่วนความเร็วของยานเหล่านี้มีความเร็วกว่าแสงหลายเท่า

    ยิว คือ พวก Grey- sub race ลูกผสมจาก white race(อาระยัน) กับ black race แม่เป็นblack race พ่อเป็นwhite race ลูกที่ออกมา ไม่ว่าเป็นหญิงหรือชายจะเป็นยิวแ้ท้

    ถ้าแม่เป็น white race พ่อเป็น black race ลูกที่ออกมา ไม่ใช่ยิว แต่จะเป็นชาว goyim หรือ goy (เพราะมีเลือดอาระยันที่เข้มข้นกว่า)
    ฮิตเลอร์ เป็นสายเลือดยิวโดยแท้ แต่คนที่ตายไปทั้งหลายนั้นเป็นชาว goyim เป้นการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ครั้งใหญ่

    พวกคนยิวจะเห็นว่า ชาว goyim มีระดับที่ต่ำกว่าสัตว์ และพวกนี้จะถือว่าลูกผสมเหล่านี้ ไม่มีจิตวิญญาณ


    แม้ปัจุบัน วัฒณธรรมของ ยิว ในการดูถูก คนที่ไม่ใช่ ยิว จึงถูกสอนกันมา จนปัจุบัน คือ การ ถ่มน้ำลายรดลงดิน หรือ รดคนอื่น ซึ่งเป็นเรื่องปรกติที่ยิวทำกัน ไม่ได้ทำเวลาที่โมโหหรือทะเลาะกัน แต่เวลาเจอหน้ากันปรกตินี่หล่ะครับ

    อันที่จริงศาสนา ต่างๆ นั้นคือ ความเข้าใจในความเป็นไปของโลก มนุษย์ สรรพสิ่ง จักรวาล สุดท้ายก็พระเจ้า หรือ พลังงาน เริ่มต้น


    แต่ที่สำคัญความรู้เหล่านี้มันถูก บิดเบือน เพื่อ ผลประโยชน์ ของ พวก ปรสิต

    ส่วนนักวิทยาศาสตร์ ก็ มีทั้ง ยึดมั่นในความจริง และศักศรี ก้อมีครับ ส่วนพวกที่เห็นแก่เงินและชื่อเสียงก็มี


    พวกปรสิต ทำตนเป็นพระเจ้า โดย dna แล้วพวกนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับมนุษย์เลย


    มนุษย์นั้นมาจากพระเจ้า หรือเรียกอีกทีง่ายๆก็เป็นลูกหลาน เหลน โหลน ของพระเจ้า แต่พลังงาน เิริ่มต้น นั้นมีจริงๆ แต่ก็คงไม่มายุ่งเกี่ยวอะไรกับ ระบบ ของมนุษย์

    ระดับ material world ที่นี่ ผู้ที่มีหน้าที่ดูแลระดับ material world ที่นี่ก็สามารถเรียกว่าพระเจ้าได้เหมือนกัน

    เพราะเป็นผู้ที่มี ระดับ consciousness และ Spiritual ที่สุงที่สุด แต่ก็ยังไม่ใช่พลังงานเิริ่มต้น (ถ้าเรียกแบบพื้นบ้านคือระดับอวุโส หรือปู่ ย่า ตา ทวด ตามระดับ consciousness และ Spiritual )


    มนุษย์ในโลก ยุคนี้ มี 3 ประเภท

    1.พวกที่ถูกสร้าง โดย ฝ่าย dark side ที่เรียกว่า bio robot พวกนี้จะ ไม่มี conscience

    2.มนุษย์ ลูกผสม ระหว่าง พวกแรก กับ มนุษย์สายพันธ์ดั้งเดิม

    3.สายพันธ์มนุษย์ แท้ 4 race ที่มีทั้งลูกผสม และ สายเลือดแท้


    ส่วน light side ได้มีแผนหรือโครงการสร้างมนุษย์สายพันธ์ไหม่แบบเฉพาะกิจ นั้น สร้างแค่คนเดียว


    ส่วนมนุษย์ที่เป็นลูกหลานของฝ่าย light side ไม่ได้ถูกสร้างแต่เป็นลูกหลาน หรือเชื้อสาย


    เขียนโดย Dots conector ที่ 12/25/2009 0 ความคิดเห็น ลิงก์ไปยังบทความนี้
    ป้ายกำกับ: Greys-Sub race



    * ภาษารูน


    ภาษารูนนั้นมีเข้ามาในโลกนี้ ประมาณ 6แสนปีก่อน มีการขุดพบ และพบ

    บางเล่มก็เขียนขึ้น เมื่อ 4 หมื่น ปีก่อน ทั้งหมดเป็นอักษรรูนที่สลักไว้บนแผ่นทองคำ มีบางส่วนถูกทำลายไป และบางส่วนยังเก็บไว้อย่างดีในที่ลึกลับ

    เริ่มมีการพิมพ์และแปลออกมาเป็นหนังสือ ประมาณ20-30ปีที่ผ่านมา

    ในปี 1875 มีการขุดพบ แผ่นทองคำเก่าแก่ที่มีอัขระโบราณ(รูน) สลักอยู่ ที่ไต้ซากโบราณสถาน 400 ชิ้นนักวิทยาศาสตร์เรียกว่า Santiya Dakov หรือ หนังสือ

    ในสมัยนั้นเป็นสมัยชอง กษัตริย์ Karl ที่ 1ได้สั่งให้มีการหลอมแผ่นทองคำ เพราะเป็นสิ่งมีค่า แต่ก่อนทำการหลอม ได้ทำการ copy ลงบนแผ่นตะกั่วและยังอยู่จนถึงปัจจุบัน และยังมี3-4แผ่นที่ยังไม่ได้หลอมถูกเก็บไว้อย่างดี

    นิตยสาร vediccouture ได้ตีพิมพ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ ใน เดือนกันยา2007 ที่ผ่านมา

    รูปแผ่นทองคำครับ



    [​IMG]
    [​IMG]


    เขียนโดย Dots conector ที่ 12/25/2009 0 ความคิดเห็น ลิงก์ไปยังบทความนี้
    ป้ายกำกับ: Rune



    * ดาว NIBIRU {planet x} ที่จริงมันเข้ามาใกล้โลก ในปี 2003


    ดาว NIBIRU {planet x} ที่จริงมันเข้ามาใกล้โลก ในปี 2003

    แต่การเข้าใกล้โลกครั้งนั้นของ NIBIRU ไม่เคยมีการเปิดเผยเรื่องนี้ต่อสาธารณะชน

    เพราะมีเรื่องที่เรียกได้ว่าสร้างความตกใจ ฉงนสนเท่กับ นักวิทยาศาสตร์ ไม่น้อย กับเหตุการณืที่เกิดขึ้น แต่นักฟิสิกส์ที่ ชื่อ Nassim Haramein ชาวSwiss นำเรื่องนี้มาเปิดเผย

    คือ ดาวเทียมSoho

    จับภาพ ดาวหาง ขนาดใหญ่ (ขนาดใหญ่กว่าดาวพฤหัส) ดาวหางดวงนี้ว่ากันว่าคือ NIBIRU นั่นเอง เข้ามาใน solar system และเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ ซึ่งดูเหมือนจะพุ่งชนดวงอาทิตย์ แต่ทันใดนั้น

    ได้มีรังสีพุ่งออกมาจากดวงอาทิตย์ ยิงตรงไปที่ดาวหาง จน ออกห่างจากดวงอาทิตย์ หลุดจากวงโคจร ไป

    นักวิทยาศาสตร์ อย่างNassim ยังหลุดปากออกมาว่านี่เป็นเรื่องที่มหัศจรรย์ ชึ่งต้องมีใครซึ่งกำลัง ปกป้อง ดูแลเราอยู่

    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/zjD5aayptXk&hl=en_US&fs=1& width=425 height=344 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>

    ข้างนอกนั้น บนนั้นกำลังเกิดสงคราม (star war) อยู่หรือไม่ ให้เข้าไปดูภาพจากกล้อง soho ของ นาซ่า ที่จับภาพได้ว่า มีการ ยิง torpedo ใส่ object (UFO)

    http://www.bibliotecapleyades.net

    sound of space-Voice และJupiter sounds

    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/t0lq6ttvh9M&hl=en_US&fs=1& width=425 height=344 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>

    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/e3fqE01YYWs&hl=en_US&fs=1& width=425 height=344 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>


    เขียนโดย Dots conector ที่ 12/25/2009 1 ความคิดเห็น ลิงก์ไปยังบทความนี้
    ป้ายกำกับ: Nibiru



    * ดวงจันทร์


    ดวงจันทร์ดวงนี้ มันเป็น ปฏิมากรรม หรือ สิ่งที่ประดิฐ ขึ้น หรืออาจเรียกได้ อีกหลายอย่าง เช่น ดาวเทียม

    หรืออะไรก็แล้วแต่ที่มันไม่เคยอยู่ในระบบ solar systemมาก่อน

    ลักษณะ ของ มันมีลักษณะเบา ข้างใน กลวง (hollow) และมี ช่องโหว่ทะลุ หากันได้ถึง 7ช่อง มี ชั้นบรรยากาศคล้ายโลก มีที่หนึ่งบนนั้นมีลักษณะคล้าย northpole และแรงดึงดูดในแต่ละพื้นที่จะต่างกัน ในด้านที่หันเข้ามาหาโลกพวก Alians และมนุษย์ไม่สามารถอาศัยอยู่ได้เพราะ เป็นด้านที่เสียหายจากสงครามอย่างมาก (เคยมีสงครามระหว่าง reptiliansและ pleiadieans เป็นระยะเวลายาวนาน )จึงอาศัยอยู่แค่ด้านมืดของดวงจันทร์ โดยมีฐานอยู่ไต้ และบนพื้นผิวดวงจันทร์ ด้านนี้มีทะเลสาป และมีแรงดึงดูดและชั้นบรรยากาศเช่นเดียวกับโลก สามารถปลูกพืชผักได้
    ส่วนด้านที่หันเข้าหา โลกนั้น มีหลุม ขนาดใหญ่มากมาย ที่ไม่ได้เกิดจากอุกาบาต หรือ การระเบิดจากธรรมชาติ แต่เกิดจาก particle beam weapons ที่มีอานุภาพทำลายล้างสุง ส่วนที่หันเข้าหาโลกนั้นจึงมีความแห้งแล้งมากกว่าทะเลทรายในโลกหลายเท่า

    ดวงจันทร์ดวงนี้มาจากไหน...?

    มีการวิจัย โดย นำหิน ทรายมาจากดวงจันทร์ตรวจหา ความเก่าแก่ และ หาแร่ธาตุต่างๆ ปรากฎว่าดวงจันทร์ดวงนี้มีอายุถึง 6.2ล้านล้านปี มีอายุเก่าแก่กว่าโลกหรือดาวเคราะห์ในระบบ solarsystem และมีแร่ธาตุหลายชนิดที่ไม่สามารถหาเจอได้ในโลกนี้ และ จากดาวดวงอื่น

    ก็แสดงว่ามันไม่ใช่ส่วนหนึ่งของระบบ solar system แต่มาจากแกแลคซี่อื่น

    Alex collier ผู้ที่อ้างว่าได้รับการติดต่อจาก Andromedans บอกว่าดวงจันทร์ดวงนี้มาจากแกแลคซี่ Orion tongue ซึ่งมีดาวเคราะห์อยู่ 21 ดวง และมีดวงอาทิตย์ดวงใหญ่ 2ดวง และดวงจันทร์ 47 ดวง และดวงจันทร์ที่มาอยู่ใกล้โลกเรานั้นมาจากดาวเคราห์ที่ 17 ของแกแลคซี่นี้ และดาวเคราห์ดวงนี้มีดวงจันทร์ 2ดวง ดวงจันทร์ที่นี่เป็นเสมือนดาวเทียม

    ส่วนดวงจันทร์ที่ยังอยู่ที่นั่นชื่อว่า Phobos

    ดวงจันทร์ดวงนี้เข้าในไกล้โลกได้อย่างไร?

    มันเข้ามาโดยเกาะ ติดกับดาวหาง หรือ อุกาบาต ขนาดใหญ่ที่เคยเข้าไกล้โลกและจะเข้ามาในวงโคจรระบบ solar system ทุกๆ 25,156

    ปี แต่ไม่ใช่ NIBIRU นะครับ

    http://www.bibliotecapleyades.net

    http://www.bibliotecapleyades.net/luna


    เขียนโดย Dots conector ที่ 12/25/2009 0 ความคิดเห็น ลิงก์ไปยังบทความนี้
    ป้ายกำกับ: Moon



    * DNAรหัสลับสุดยอดที่มนุษย์ต้องรู้


    ****DNAรหัสลับสุดยอดที่มนุษย์ต้องรู้

    หน้าที่ของ DNA หลายๆคนรู้ดีว่ามันมีหน้าที่สร้างโปรตีนและเก็บข้อมูลรหัสพันธุกรรม

    Modern science นั้นเข้าใจและรู้เรื่องเกี่ยวกับ DNA แค่ 10 %เท่านั้น แต่อีก 90% ยังไม่เข้าใจและค้นพบได้ว่ามันยังมีหน้าที่ทำอะไรอีก

    เพราะนั้นจึงเรียกอีก 90% ที่ไม่รู้นั้นว่า Junk DNA แต่แท้จริงแล้วมันมีหน้าที่ที่มหัศจรรย์กว่านั้น เพราะมีนักวิทยาศาสตร์หลายคนได้ค้นพบและพิสูจณ์แล้วว่าอีก90% มันยังมีหน้าที่ของมันในด้านSpiritual,paranormal,metaphysical

    ถ้าเปรียบมนุษย์คือคอมพิวเตอร์ DNA ก็เป็นเหมือนภาษา และ สามารถรับและส่งข้อมูลต่างๆไปยังUniverse ได้ และนักวิทยาศาสตร์พบว่า

    ลักษณะโครงสร้าง DNA ของสิ่งมีชีวิตทุกอย่างในโลกนี้มีโครงสร้างที่คล้ายกัน แม้กระทั่งแบคทีเรียซึ่งเป็นแค่อณุภาค และเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน

    เชื่อมโยงกับ Universe และพลังงานต้นกำเนิด(พระเจ้า) และเปรียบเสมือนลายเซ็นของพระเจ้า

    DNAสามารถอ่านซึ่งกันและกันได้ ดังนั้นเองพี่น้องเราจากดาวดวงอื่นจึงสื่อสารกันผ่าน DNA แต่มนุษย์ยังไม่เข้าใจที่จะนำมันมาใช้

    รูปร่างหรือโครงสร้าง ของ DNA คล้ายกับภาพ Vetruvian man ที่มีลักษณะ 2 ปีก และ2ปีกที่ว่านั้นเชื่อกันว่าเป็นเสาสัญญาณส่งเละรับขอ้มูล และเชื่อมโยงกับผู้สร้างเพราะโครงสร้างของ DNA นั้นไม่มีขอบเขตที่สิ้นสุด(และมีลักษณะคล้ายกับโครงสร้างของพลังงานโลก)

    จากการค้นพบของ Marko Rodin อัจฉริยะชาวอเมริกันเปรียบได้กับไอสไตน์คนที่2 ที่ค้นพบ Mathematic model{Toroid}

    เมื่อมองดูไกล้ๆจะพบว่าโครงสร้างของ DNA และToroid คล้ายกัน ซึ่งเป็นลักษณะ infinity pal torn ไม่มีขอบเขตสิ้นสุด
    *******ความน่าทึ่งของ คลื่นเสียง

    นักวิทยาศาสตร์ค้นพบ ว่าคลื่นเสียงสามารถซ่อมแซม DNA ได้ซึ่งนั่นก็หมายถึงว่าคลื่นเสียงรักษาโรคต่างๆได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคลื่นความถี่

    528 Hz ซึ่งเป็นคลื่นความถี่ในระดับเสียงตัวโน๊ต มี หรือเรียกอีกทีว่า Miracle note หรือพลังงานความรัก นั่นเอง (เข้าไปดูรายละเอียดในyou tube นะครับ)

    Dr. Joseph Puleo ผู้ริเริ่มค้นหาดนตรีหรือตัวโน๊ตโบราณ (Solfeggio)เจ้าของงานเขียน HEALING CODES FOR BIOLOGICAL APOCALYDS



    The secret Solfeggio Frequencies sound Vibration Rates for creation Destruction,and miracles.



    1. โด Ut=396=9 4. ฟา Fa =639=9

    2. เร Re=417=3 5. ซอล Sol=741=3

    3. มี Mi=528=6 6.ลา La=852=6

    และในตอนหลังก็มีการ ค้นพบอีก โน๊ตอีก3 ตัว 963 471 258 ว่ากันว่าระดับเสียงโน๊ตโบราณกับปัจจุบันนั้นต่างกัน ระดับเสียงของโน๊ตโบราณนั้นจึงไม่ได้เป็นแค่เสียง แต่มันเชื่อมโยงและมีผลต่อสรรพสิ่งในโลกและ Universe และผู้สร้าง ตัวเลขในระดับเสียงโน๊ตเป็นเสมือน matrix ซึ่งเรียกว่า perfect circle of sound

    คือ 147 369 528

    471 963 825

    741 639 258

    และผลลับของตัวเลข เหล่านี้ทุกตัว เมื่อนำมาบวกกันถอดรากจะได้ผลลับที่เท่ากัน เมื่อนำมาประกอบกับโครงสร้างของ DNA จะได้ลักษณะของรูปดาว12 แฉก (ดูภาพประกอบใน you tube ครับ) และ ตัวเลข 528 อยู่ตรงกลางคือพลังงานความรัก

    สรุปคือ .... เสียงมีผล กับอณุภาคต่างๆบนโลกนี้ และ Universe และ DNAเป็นเสมือนเสาสัญญาณรับส่งและเชื่อมโยงเราเข้ากับ Universe และ พระเจ้า

    ผมเอาข้อมูลมาจากที่นี่หยิบมาแค่บางส่วนนะครับ เพราะเนื้อหาค่อนข้างเยอะ


    http://www.drlenhorowitz.com/


    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/a4eiVuWOYWY&hl=en_US&fs=1& width=425 height=344 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>


    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/f6mEyJvjtKI&hl=en_US&fs=1& width=425 height=344 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>



    เขียนโดย Dots conector ที่ 12/25/2009 0 ความคิดเห็น ลิงก์ไปยังบทความนี้
    ป้ายกำกับ: DNA



    * พระเจ้าคือใครและความน่าทึ่งของคลื่นเสียง


    พอพูดพูดถึง พระเจ้า หลายคนรีบปัดความคิดนี้ออกไปทันที ที่ผมเชื่ออย่างนั้นเพราะ EGO ของในความคิดมนุษย์สร้างกำแพงบังความจริงนี้อยู่ แต่นักวิทยาศาสตร์หลายคนก็ไม่อาจปฏิเสธแนวคิดนี้ไปได้

    จึงได้มีทฤษฏีต่างๆมาค้นหาความเป็นพระเจ้าหรือ เอกภพ

    หลาย คนถามว่าพระเจ้าคือใคร มีตัวตนหรือไม่ แล้วสร้างจักรวาล โลก สรรพสิ่ง และ มนุษย์เผ่าพันธ์ต่างๆมาทำไมเพื่ออะไร (ถ้าถามผมแล้วในบางคำถามต้องตอบว่าไม่รู้จริงๆ)

    เพราะสมอง หรือ consciousness อันน้อยนิดของเราเข้าใจได้ไม่หมด

    ยกตัวอย่างเช่นโลกของมด กับ มนุษย์ มดจะเข้าใจมั้ยว่ามนุษย์กำลังทำอะไรคิดอะไรอยู่ ไม่มีทาง

    พระเจ้าหรือผู้สร้างก็เช่นกัน พลังงานเริ่มต้นหรือผู้เป็นต้นกำเนิดนั้น เกินความเข้าใจของมนุษย์หรือพลังงานน้อยนิดอย่างเรา

    จาก การที่ได้ค้นคว้าข้อมูลมามากมาย เราอยู่ในโลกสมมุติก็จริง แต่เราไม่ได้สร้างสิ่งสมมุติโดยการเปลี่ยนฐานข้อมูลในพลังงานของเราทั้งหมด

    อย่างที่บอกไป ว่าถ้าเทียบพลังงานของมนุษย์กับพลังงานต้นแบบแแล้วก็เหมือนมดกับมนุษย์หรือเราอาจจะเล็กกว่านั้นด้วยซ้ำ
    ถ้าเราพูดว่าเราอยู่ใน matrixนั้นหลายคนอาจจะงง ว่าทำไมเรามีสิ่งที่จับต้องได้ และถ้าอย่างนั้นเรื่องการสร้างโลกก็เป็นเรื่องเหลวไหล

    คือมันอย่างนี้ครับ โลกที่เราเห็นและเป็นอยู่ในขณะนี้ มันเป็นสภาวะจำลองที่ถูกสร้างมาจากอนุภาคที่เล็กที่สุด มาจากอนุภาคเดียวกัน

    ตัวอย่าง พลังงาน-ควาร์ค(หรือเล็กกว่านั้น)ที่เป็นอนุภาคเริ่มต้น- อิเล็กตรอน,โปรตรอน-อะตอม-โมเลกุล-และสิ่งที่ใหญ่กว่านั้นฯลฯ- และมาจบที่(พลังงาน)

    ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเรามองลงไปในทีวีหรือคอมฯ ทีวีหรือคอมฯ โดยตัวมันเองมันไม่มีภาพถ้าถอดปลักและถ้ามองลึกลงไปแยกส่วนประกอบ แยกโมเลกุล-อะตอม ฯลฯ จนเล็กที่สุด จนสลายไปก็คือความว่างเปล่าฉนั้นสิ่งที่ขับเคลื่อนคือพลังงานไฟฟ้า
    ฉนั้น ทุกสิ่งอย่างล้วนมาจากพลังงาน และสุดท้ายก็เหลือแค่พลังงาน อย่างเช่น พลังงานของโลก สุดท้ายมันก็คือพลังงานที่มีรูปร่างเหมือนโดนัท

    และพลังงานทุกพลังงาน ทั้งโลกและจักวาลล้วนมาจากพลังงานต้นแบบ เพราะนั้นเองพลังงานโลกจึงวัดความยาวจุดเริ่มและจุดสิ้นสุดของมันไม่ได้

    เพราะมันถูกเชื่อมโยงกับพลังงานต้นแบบ



    พระเจ้าหรือพลังงานต้นแบบสร้างโลก มนุษย์มาทำไม สร้างยังไง

    ที่ บอกไปข้างต้นว่า พลังงานนั้นมีหลายระดับ 0-12หรืออาจมากกว่านั้น และการที่จะไต่ระดับไปจนไกล้พลังงานต้นแบบ คือการอยู่หรือใช้พลังงานความรักในการขับเคลื่อน ถ้าถามว่าพระเจ้าหรือพลังงานต้นแบบคือใคร ต้องบอกว่าพระเจ้าคือ ความรัก (และพลังงานความรักนั้นแยกย่อยมาอีกเยอะมาก)
    พระเจ้าสร้างโลก มนุษย์และจักวาลและสรรพสิ่งมาเพื่อจำลองรูปแบบของความสมบูรณ์แบบ ของความเป็นผู้สร้าง และการสร้างนั้นไม่เคยผิดพลาด

    มนุษย์ถูก project มาอย่างสมบูรณ์แบบ (เป็นรูปแบบจำลองของพระเจ้าหรือพลังงานต้นแบบ)

    ความน่าทึ่งของคลื่นเสียง

    The 2012 Enigma by David Wilcock

    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/Y5b-kLvppdg&hl=en_US&fs=1& width=425 height=344 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>


    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/1TNj9UrZLzA&hl=en_US&fs=1& width=425 height=344 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>


    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/VmVaOYDQAiY&hl=en_US&fs=1& width=425 height=344 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>


    ที่เกี่ยวข้อง

    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/0eYDA8qLb_4&hl=en_US&fs=1& width=560 height=340 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>


    และความเคลื่อนไหวของพวก Reptilians & Grays เชื่อว่าหลายคนคงรู้จัก Project Blue beam ในตอนนี้ถูกพัฒณามาเป็น Project H A A R P แล้วครับ

    Project นี้ 1) สามารถควบคุมหรือสร้างพายุ แผ่นดินไหว สึนามิ โดยใช้พลังงานเสียงได้ ถูกทดลองใช้ในหลายที่เช่น ไทย

    อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น พม่า ล่าสุดและตอนนี้คือ จีน เป้าหมายคือลดประชากรมนุษย์


    2) สร้างภาพ สามมิติ ในตอนนี้มีการทดลองนำมาใช้กันบ้างแล้ว เช่นที่ ญี่ปุ่น ล่าสุด มีคลิปอยู่ข้างล่างครับ และ appleก็ผลิต

    มือถือแบบนี้มาแล้วครับ แต่นี่เป็นการยิงสัญญาณจากคอมฯขนาดจิ๋ว

    แต่จุประสงค์หลักคือ One world religion เพื่อจะควบคุมได้ง่ายขึ้น จะมีการนำเอา Project นี้ มาใช้โดยการ ยิงสัญญาณ

    จากดาวเทียม โดยใช้ระบบ airwaves ELF,VLF,LF โดยสร้างภาพ 3 มิติ บนท้องฟ้า

    ILLUMINATI The Blue Beam Project Top Secret

    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/wbA-FbeNtqw&hl=en_US&fs=1& width=425 height=344 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>

    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/OgSn6Mq7lVk&hl=en_US&fs=1& width=425 height=344 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>

    HAARP Project

    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/gkpT-gSSS54&hl=en_US&fs=1& width=425 height=344 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>


    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/TtwjZQlrw2Y&hl=en_US&fs=1& width=425 height=344 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>

    ข้อมูลทั้งหลายแหล่ของ ครับ

    http://www.bibliotecapleyades.net

    Bill Gate?s เองก็ร่วมลงทุนกับกับProject นี้ด้วย

    http://www.weatherwarrior.net

    ข้อมูลที่เกียวกับพวกReptilians

    http://www.bibliotecapleyades.net , http://www.bibliotecapleyades.net 2

    ข่าวล่าสุดเกี่ยวกับ HARRP PROJECT

    Jesse Ventura เคยเป็น Navy seal ของกองทัพสหรัฐ หลังจากผันตัวเองมาเล่นการเมืองและเบื่อในเกมการเมืองจึงได้ลาออกมา

    ก่อนที่ JesseVentura และทีมงาน จะเริ่มสำรวจและค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับHARRP PROJECT อย่างจริงจัง เขาได้รับโทรศัพท์จาก Jerry Smith

    ผู้ที่มีข้อมูลเชิงลึก และหลักฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้

    ว่ามีการสร้างสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ขนาดมหึมา ทางแถบทิศตะวันออกเฉียงเหนือของ Alaska(ซึ่งที่นี่เข้าไปได้เแพาะเจ้าหน้าที่เท่านั้น)แม้แต่ชาวชนบทที่นี่ ยังไม่กล้าปริปาก บอกอะไรได้มากนัก เพียงแต่บอกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลอยู่เท่านั้น

    ในนั้นมีก่อสร้างเสาส่งกระแสไฟฟ้าอยู่ทั้งหมด 360 เสา

    เสาต่างๆเหล่านี้ จะส่งกระแสไฟฟ้า เชื่อมถึงกัน เสาละ 10000 วัตน์ รวมทั้งหมด 3600000 วัตน์ และยิง ไปยังชั้นบรรยากาศ

    ซึ่งก่อให้เกิด ปรากฏการณ์ แสงเหนือ (aurora) และส่งคลื่นความถี่วิทยุลงมายังผิวโลก ว่ากันว่าคลื่นความถี่นี้ สามารถ ควบคุมอารมณ์

    ของมนุษย์ (mind control) และ ควบคุมชั้นบรรยากาศ เช่น global warming หรือรุนแรงกว่านั้น เช่นพายุ สึนามิ แผ่นดินไหว

    และว่ากันว่ามันเป็นอาวุธ ที่ทรงพลังมาก เพราะมันถูกทดลองใช้แล้วในหลายที่ เช่นสงครามในอิรักครั้งแรก ระหว่างอิรักกับคูเวต
    เมริกานำมันมาใช้ โดยควบคุม(mind control)กับทหารอิรักขณะอยู่ในรถถัง และทุกคนออกมาจากรถถังในสภาพที่ถูกควบคุมหรือไม่รู้สึกตัวนั่นเอง และมีคนจับภาพ แสงเหนือได้ ก่อนเกิด สึนามิ ที่อินโดนีเซีย (ซึ่งโดยปรกติแล้วแสงเหนือเกิดในแถบขั้วโลกเหนือเท่านั้น

    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/QNGsQoeAQHA&hl=en_US&fs=1& width=425 height=344 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>

    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/032gkU8n8Q8&hl=en_US&fs=1& width=425 height=344 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=ljVvT1bKQrM"]3/6[/ame][ame="http://www.youtube.com/watch?v=-iyL3piUmuQ"]4/6[/ame][ame="http://www.youtube.com/watch?v=-NOc60jymps"]5/6[/ame][ame="http://www.youtube.com/watch?v=Erg3_8_xjLc"]6/6[/ame]


    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/t90vlR3ugAY&hl=en_US&fs=1& width=425 height=344 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>


    เขียนโดย Dots conector ที่ 12/25/2009 1 ความคิดเห็น
    ป้ายกำกับ: God



    * โลกเรานั้นมีชีวิต


    Space-Time-lines

    http://www.freewebs.com


    อันที่จริงโลกเรานั้นมีชีวิต หรือเรียกอีกทีก็เป็นพลังงาน(spiritual) ที่คล้ายกับมนุษย์


    ในยุคโบราณนั้นค้นหาน้ำและแร่ธาตุต่างๆไต้พื้นผิวโลกโดย ใช้สิ่งที่เรียบง่ายมาก คือใช้กิ่ง hazel,rowan ,willow โดยทำเป็นรูปตัว Y ชี้ไปตามจุดที่เรียกว่า earth energy grid
    ถ้ากิ่งไม้สั่นไหวก็แสดงว่าตรงนั้นมีแร่ธาตุหรือน้ำอยู่

    ทำไมคนในยุโบราณถึงเข้าใจในสิ่งนี้ ก็เพราะว่าพลังงานโลกนั้นเชื่อมโยงกับพลังงานที่มีอยู่ในมนุษย์

    space time-lines

    มีหลายประเทศที่พยายามค้นหาพลังงานของโลก ( ley-lines)

    รูปร่างของพลังงานโลก ley-lines ไม่สามารถวัดความยาวของมันได้ เพราะเส้นทางหรือสนามพลังงานของโลกนั้นมีขอบเขตที่ไม่สิ้นสุด ไม่มีจุดเริ่มต้นและจุดจบ
    ในภาพเส้นที่อยู่ตรงกลางถ้าพลิกมองด้านตรงดู จะเห็นว่าเป็นแค่จุด และมีวงจรขั้วบวกและลบวิ่งอยู่เป็นวงกลม ลักษณะเหมือนโดนัท
    แต่ถ้ามองด้านข้างจะเป็นลักษณะเหมือนคลื่นที่วิ่งสลับขั้วบวก- ลบ และจุดตรงกลางที่มันวิ่งมาชนกันจะเท่ากับ 0 หรือสมดุล(Neutral -Zero line)

    [​IMG]



    จุดที่3เรียกว่าสมดุลนั่นแหละ เป็นจุดที่(Absolute )คงที่



    ดังนั้น earth energy grid นั้นสุดท้ายแล้วก็คือสิ่งนี้

    การเคลื่อนที่นั้นเป็นการเปลี่ยนฐานข้อมูลให้เป็นสิ่งที่มองเห็นได้ เป็นการเคลื่อนที่ระหว่างขั้ว+และ- สรุปคือทุกสิ่งที่เรามองเห็นคือสิ่งที่ว่างเปล่า

    มันเป็นเพียงแค่พลังงานเท่านั้น
    เช่นเดียวกับร่างกายมนุษย์ ใช้พลังงาน พลักดันร่างกายให้เคลื่อนไหว
    แต่จริงๆแล้วด้วยตัวพลังงาน เองแล้วมันไม่ได้เคลื่อนที่ไปไหน มันยังอยู่ที่นั่น ที่เดิม (เวลาของปัจุบัน )In truth, we or our consciousness rather is always in the ETERNAL PRESENT.

    เรารู้ว่าร่างกายเราเคลื่อนไหว สามารถไปตามที่ต่างได้ ฯลฯ แต่ที่จริงแล้วเราอยู่ที่เดิมเพียงแต่มีการเปลี่ยนฐานข้อมูล ในพลังงาน เท่านั้นเองดังนั้นเราจึงอาศัยอยู่ใน (unconscious)
    ที่เราไม่สามารถรู้สึกได้เพราะจิตไต้สำนึกเรายังไม่ตื่น และ Ego ที่พยายามผลักความเป็นจริงเกี่ยวกับผู้สร้างออกไป

    [​IMG]
    earth energy grid













    คนในสมัยโบราณ(ชาวอาระยัน)สร้างสิ่งก่อสร้างต่างๆบนแนวearth energy grid เพื่อสร้างความสมดุลให้แก่โลก หลังจากที่ continent จมลงทะเล
    คนในสมัยโบราณ(ชาวอาระยัน)สร้างสิ่งก่อสร้างต่างๆบนแนวearth energy grid เพื่อสร้างความสมดุลให้แก่โลก หลังจากที่ continent จมลงทะเล


    [​IMG]
    [​IMG]






















    ร่างกายของมนุษย์เองก้อมีจุดของพลังงานที่เหมือนกับโลก

    [​IMG]












    เขียนโดย Dots conector ที่ 12/25/2009 0 ความคิดเห็น ลิงก์ไปยังบทความนี้
    ป้ายกำกับ: Earth



    * ต่อมไพเนียล(Pineal gland)


    เปิดความลับสุดยอดของมนุษย์

    ต่อมไพเนียล(Pineal gland) อยู่ตรงกลางระหว่างสมองส่วนเซรีบรัม (Cereblum) ซ้ายและขวา ผลิตฮอร์โมนที่เรียกว่า เมลาโทนิน (Melatonin)

    melatonin เมลาโธนิน เป็นฮอร์โมนที่หลั่งจากต่อมโพเนียล (pineal gland) ฮอร์โมนนี้มีผลคล้ายยานอนหลับ คนแก่ที่นอนไม่หลับจะหลั่งเมลาโธนินน้อยกว่าคนหนุ่มสาว เมลาโธนินมีความสำคัญดังต่อไปนี้

    -ช่วยให้หลับสนิท

    -ลดอาการสับสนในเรื่องเวลาของสมองได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น อาการออ่อนเพลียเมื่อเดินทาง

    -เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ ลดความเสื่อมของเซลล์และของเสียที่เกิดจากการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย

    (แต่ศักยภาพมันมีมากกว่านั้นมหาศาล)

    ลักษณะของ Pineal gland คล้ายดวงตา ห่อหุ้มด้วยน้ำ เพียงแต่ไม่มีเลนส์เหมือนดวงตา ฉนั้นเอง จึงเปรียบเสมือนดวงตาดวงที่3 ของมนุษย์

    และมีบางศาสนาที่กล่าวถึงการถอดจิตโดยการนั่งสมาธิ แต่แท้จริงแล้ว Pineal gland นี่เองที่ทำหน้าที่หลังจากที่เราหลับตาลง หรือเวลานอน

    Pineal gland หรือตาดวงที่3 ก็จะเปิดออก และเชื่อมสัญญาณของเราเข้ากับโลกแห่งความเป็นจริง ที่มองเห็นด้วยตาดวงที่ 3 ของเรา





    พวก Raptiod ควบคุม มนุษย์ได้อย่างไร



    1)ควบคุม Pineal gland ของเราโดยทางอาหารและเครื่องดื่มบางชนิดที่มีส่วนผสมของFluoride ,aspartame ,และอาหารที่ผ่านกระบวนการ ฟอกสี ขัดเกลา กลั่น สกัด (refine)ที่ส่งผลให้เกิดแคลเซี่ยมเกาะ Pineal gland

    จึงทำให้ตาดวงที่ 3 ของเราบอดสนิท และทำให้มองเห็นโลกในความเป็นจริงไม่ได้

    2) ควบคุมโดยทางความเชื่อ (Manipulation)

    3)ควบคุมโดยใช้สนามพลังงาน (Earth energy grid)โดยการสร้างสิ่งก่อสร้างต่างๆ ในจุดที่มีสนามพลังงานหนาแน่นเหล่านี้เพื่อ ควบคุมเรา

    4)ใช้เสียงที่มีพลังงานด้านลบ โดยผ่านเสียงที่มีความถี่ต่างกัน

    5)ใช้ ภาพสามมิติ {holographic}




    -พลังงานในมนุษย์เรามาจากพลังงานต้นแบบ และพลังงานของมนุษย์ทุกคนมาจากที่เดียวกัน

    เป็น 1เดียวกัน แยกออกจากกันไม่ได้ เป็นเหมือนอนุภาคต่างที่มากจากที่เดียวกันแยกจากกันไม่ได้

    แต่การที่ pineal gland หรือตาดวงที่3 เราเปิดออก ก็ยังไม่ได้หมายความว่าเราจะเข้าใจหรือใช้ศักยภาพที่เรามีอยู่ได้เลย มันเป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเปิดหน้าต่างในโลกแห่งความเป็นจริงออก แค่นั้นเอง
    นี่แหละจึงเป็นสิ่งที่ Andromeda อยากจะสอนให้เราเข้าใจและใช้พลังงานนี้ เพื่อที่เราจะเป็นอิสระ จากพวก Reptilians หรือGrays

    และ พลังงานของมนุษย์นั้นถูกขับเคลื่อนด้วยพลังงานที่เรียกว่าความรัก (เช่นเดียวกับufo ufo ที่ใช้น้ำเป็นตัวขับเคลื่อนในการเดินทางได้หลาย dimension )

    แต่ก็ยังเป็นระดับ physical class ไม่สามารถเดินทางได้ไกลกว่านั้น (ระดับพลังงาน มี12 ระดับหรืออาจมากกว่านั้น) แต่พลังงานที่เรียกว่าความรักนั้น มันมีอยู่ในธรรมชาติของมนุษย์เพียงแต่เราไม่รู้วิธีที่จะใช้มัน
    แต่พวก Reptilians หรือGrays ไม่เข้าใจในพลังงานนี้เลย

    พลังงานความรักนี้ สามารถนำเราให้เดินทางไปถึงในระดับ 12 ได้ แต่ก็ไม่มีทางไปได้ไกลกว่าพลังงานต้นแบบ เพราะมันสิ้นสุดที่นั่น

    แม้แต่ญาติ พี่น้อง ของเราจากดาว Lyrae เองก็ใช้พลังงานนี้ในการเดินทางและอยู่ได้ด้วยพลังงานนี้ (ระดับ 4) พวกเขายังเรียนรู้ที่จะไปให้ไกลกว่านั้น

    (โลกที่มองเห็นเป็นโลกสมมุติ)

    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/4dpRPTwsKJs&hl=en_US&fs=1& width=425 height=344 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>



    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/vnvM_YAwX4I&hl=en_US&fs=1& width=425 height=344 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>


    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/YG9FO7JGWq4&hl=en_US&fs=1& width=425 height=344 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>


    เขียนโดย Dots conector ที่ 12/25/2009 0 ความคิดเห็น ลิงก์ไปยังบทความนี้
    ป้ายกำกับ: Pineal gland



    * กลุ่ม Majestic 12 (MJ 12)


    2009/12/24 ผมขอแปลมาจาก ลิ้งนี้นะครับ http://www.bibliotec...opol_mj12_1.htm

    แต่ใน wikipedia ,youtube เป็นข้อมูลคร่าวๆ
    wikipedia
    youtube

    แต่ถ้าจะให้ดีก็เข้าไปอ่านต้นฉบับเอง เพราะอาจแปลตกหล่นไปบ้าง (โดย Milton William Cooper)

    ใครๆหลายคนอาจจะพอทราบบ้างกับ กลุ่ม Majestic 12 (MJ 12) หรือที่มาของ the Bilderberger Group ในปัจุบัน

    ในขณะนั้น William Cooper ได้ัรบคัดเลือกให้เข้ามาทำงานในหน่วยงานสืบราชการลับ(Nevy Intelligence) โดยในหน้าที่นี้เองเขาสามารถ เปิดอ่านเอกสาร ข้อมูล ลับต่างๆได้ (ตั้งแต่ปี 1970-1973)จากงานที่เขาทำเป็นสาเหตุให้เขาเริ่มสืบค้นหาความจริง ในเชิงลึกขึ้น
    และใน July 2,1989 เป็นครั้งแรกที่เขาเปิดความลับเหล่านี้ใน MUFON Symposium ,in Las Vegas, Nevada


    ก่อนที่จะมีกลุ่มนี้((MJ 12)ในขณะนั้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อเมริกา เป็นชาติมหาอำนาจที่และมีเทคโนโลยีที่เรียกไต้ว่าก้าวหน้าสุงสุดตอนนั้น และในขณะเดียวกันก็ทางผู้นำกองทัพ ได้ค้นพบบางสิ่งที่เหลือเชื่อ นั่น คือ Alien ในช่วงJanuary 1947 and December 1952

    อย่างน้อยมี 16 ครั้งที่มี UFO ตก และมี ศพ Alien 65 ศพ และรอดชีวิต 1 แต่ทางรัฐบาลสหรัฐ ปกปิดเป็นความลับ

    แต่ก็ปิดไม่มิดเพราะมีคนพบเห็น UFO อยู่ทั่วไป

    ฉนั้นเรื่องราวเหล่านี้ จึงเป็นที่มาของ MJ 12

    Alien-Earth Presence(มีAlien อาศัยอยู่ในโลกนี้หรือไม่)

    พบUFO ตก สองลำ ลำแรกในช่วงFebruary 13, 1948 ที่mesa ใกล้กะ Aztec, New Mexico..
    ลำที่สอง March 25, 1948 ที่ White Sands Proving Ground ทั้งสองลำพบมี Alien รวม 17 ศพ
    แต่สิ่งที่ทำให้ทางกองทัพช๊อคไปมากกว่านั้นคือ มีชิ้นส่วน ศพมนุษย์อยู่เป็นจำนวนมาก
    ซึ่งจากที่เป็นความลับธรรมดาก็เป็นความลับสุดยอดที่ปกปิดเรื่องเหล่านี้จากผู้คน

    และเหตุนี้เอง จึงมีการรวบรวมนักวิทยาศาสตร์ต่างๆ เข้ามาศึกษาค้นคว้าเรื่องนี้โดยฉเพาะ
    เรียก โครงการนี้ว่า Project SIGN ในปี 1947 แต่ในปี 1948 เปลี่ยนชื่อมาเป็น Project GRUDGE

    เพราะ Project GRUDGE มีการแยกแขนงออกมาเป็นหลายหน่วยงาน มีหน่วยงานหนึ่ง เรียกว่า "Blue Teams"projectนี้เรียกว่า BLUE BOOK ทำหน้าที่โดยการให้ข้อมูลเท็จต่อสาธารณะชน แต่หลังจากนั้น เปลี่ยนมาเป็น Alpha Teams ภายไต้การควบคุมของ Project POUNCE.

    ในระยะเริ่มแรกนั้น Air Force และCIA มีหน้าที่โดยตรงเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่หลังจากนั้น CIA ก็ไม่มีบทบาทมากนักเป็นแค่ฉากหน้า

    และหลังจากนั้นNSC( National Security Council ) เข้ามามีหน้าที่แทนโดยตรงโดยติดต่อประสานงานกับประธานาธิปดีสหรัฐ
    และหลังจากนั้นเปลี่ยน ชื่อมาเป็น MJ 12

    นอกจาก Cooper แล้ว ยังมีอีกคนที่ทำงานในกลุ่มนี้ และเสียชีวิตในลักษณะคล้ายกันกะ Cooper เขาคือ James Forrestal

    EBE

    เป็น Alien ที่รอดชีวิตจากยานตก ในปี 1949 เจอที่ Roswell ขณะกำลังเดินอยู่กลางทะเลทราย
    ให้ชื่อว่า EBE ( Extraterrestrial Biological Entity)
    จากการทดลองื่อสารกับ EBE นั้น พบว่า EBE โกหกเก่งมากๆ (tendency to lie)
    ช่วงในปีแรก EBE จะตอบคำถามในสิ่งที่ มนุษย์ชอบฟังและอยากได้ยินเท่านั้น
    แต่หลังจากนั้นในปีที่2 EBE เริ่มเปิดเผยข้อมูลบางอย่าง ที่ทำเอาทางนักวิทยาศาสตร์ช๊อคไปตามกัน ในข้อมูลที่
    EBE ให้มา ข้อมูลทั้งหมดนี้ถูกบันทึกลงใน "Yellow Book." (ซึ่งก็ไม่มีใครรู้ได้ว่า EBE พูดอะไรบ้าง)

    และในปี 1951EBE เริ่มป่วยลง และไม่มีใครสามารถรักษาได้ เพราะระบบภายในของ EBE นั้นไม่เหมือนมนุษย์
    ระบบภายในของEBE เทียบได้กับพืช (chlorophyll-based ) และเสียชีวิตลงในปี 1952

    ในขณะนั้น มีการพยายามช่วยเหลือ EBE ก็มีการก่อตั้ง Project SIGMA ได้พยายามส่งข้อมูลขอความช่วยเหลือ ไปยัง cosmos
    แต่ก็ไม่มีการตอบกลับมา
    แต่Project นี้ก็ยังมีต่อเนื่องมาจนปัจจุบัน

    Creation of the NSA
    ในขณะนั้นประธานาธิปดี Truman เป็นประธานาธิปดี สหรัฐอยู่ในตอนนั้น ได้มีคำสั่งให้ก่อตั้ง National Security Agency(NSA)
    ใน November 4,1952 จุดประสงค์หลักคือ สร้างความสัมพันธ์ทางการทูตกับมนุษย์ต่างดาว และเรียนรู้สื่อสารภาษาต่างดาว
    และจุดประสงค์รองคือรวบรวมหลักฐานระบบสื่อสารจากทั่วทุกมุมโลก ที่พบว่ามีการสื่อสารจาก Alien และปิดข้อมูลไว้เป็นความลับ
    เพราะในต่อมา Project SIGMA ก้อประสบความสำเร็จมาก

    และในขณะเดียวกัน NSA ก็ได้มีการติดต่อสื่อสารกับ แคมป์ที่อยู่บนดวงจันทร์ด้วยเหมือนกัน(แคมป์นี้เป็นของมนุษย์นะครับ)
    NSA นั้นถูกตั้งมาให้อยู่เหนือกฏหมายทุกอย่าง เป็นคำสั่งของประธานาธิปดีโดยตรงในขณะนั้น
    ฉนั้น NSA จึงเป็นกลุ่มหลัก และเงินสนับสนุน 75% จึงเป็นของกลุ่มนี้

    แต่ CIA นั้นทำหน้าที่เป็นแค่ฉากหน้า

    ประธานาธิปดี Truman มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับโซเวียตและประเเทศอื่นๆหลายประเทศ เพราะไม่แน่ใจในจุดประสงค์การมาของ Alien
    ในหัวข้อหลักคือถ้าเกิดสงครามกับ Alien ควรจะรับมืออย่างไร และในขณะเดียวกันก็หารือกันว่าทำอย่างไรถึงจะปกปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ
    และให้ข้อมูลเท็จอย่างไร และในตอนนี้เอง ก้อมีการก่อตั้งกลุ่มนี้ขึ้นมาคือ the Bilderberger Group. ในปี 1952
    และหลังจากนั้นกลุ่มนี้เริ่มมีอิทธิพลมากขึ้น และควบคุมทุกอย่าง และควบคุมอยู่เบื้องหลังรัฐบาลสหรัฐ เพราะฉนั้น UN
    ก้อเป็นแค่เรื่องตลกลวงโลกเท่านั้น(ระบอบประชาธิปไตยเป็นแค่ภาพลวงตา)

    และหลังจากนั้นมีการเปลี่ยนประธานาธิบดีคนต่อมา ในปี 1953 คือ Dwight David Eisenhower ได้สานต่องาน
    แก้ไขปัญหาเรื่อง Alien จึงเป็นสาเหตุให้มีการก่อตั้งกลุ่ม MJ-12 ขึ้นมา และในขณะนั้นได้ติดต่อ Nelson Rockefeller
    ด้วยเหตุผลที่ว่า ทั้งสองเป็นสมาชิกของ CFR และ Eisenhower เองด้วยความที่ซื่อสัตย์กับกลุ่ม CFR มาก และ ด้วยความเคารพใน
    Rockefeller family จึงได้ร่มกันก่อตั้ง MJ-12 ขึ้นมา
    และหลังจากนั้น Eisenhower ได้เข้าใจอย่างซาบซึ้งว่าเขาตัดสินใจผิดมหันต์ ต่อ ประชากรของโลกใบนี้ และต่อรัฐบาลสหรัฐ

    เป็นการหักเหครั้งใหญ่ เพราะ Nelson Rockefeller ใช้ความรู้วิทยาการณ์ทางดา้นวิทยาศาสตร์และและข้อมูลต่างๆ
    เพื่อจุดประสงค์ของตัวเองด้วยความเห็นแก่ตัวและความโลภ

    ในปี 1953 นั้นเองนักวิทยาศาสตร์ได้เห็นวัตถุ ที่มีขนาดใหญ่มากเคลื่อนที่เข้าใกล้โลกจำนวนหนึ่ง ในตอนแรกคิดว่าเป็นลูกอุกาบาตย์
    แต่เมื่อมันเคลื่อนเข้าใกล้มากขึ้น และอยู่เหนือน่านฟ้า จึงได้เห็นว่าเป็น UFO ขนาดที่ใหญ่มากจอดเรียงกันบนน่านฟ้า
    และ Project SIGMA และProject PLATO จับสัญญาณการสื่อสาร และแปลโดยคอมพิวเตอร์(the computer binary language)
    และประสบความสำเร็จ จนมีการพบปะเจรจากัน
    (Project PLATO นั้นมีหน้าที่หลักคือ เจรจาสัมพันธ์ทางการทูตกับ ALIEN GRAYS )


    และต่อมาในช่วงเวลานั้นก็มี ALIEN อีกเผ่าพันธ์หนึ่ง มีลักษณะเหมือนมนุษย์ Humanoid ( Andromeda) คือย้อนกลับไปนิดนึงพวกนี้จะมี
    spiritual development ที่สุงในระดับ 4 เทคโนโลยี่เอยู่ในระดับเดียวกับ spiritual
    ส่วนพวกGRAYS และ Reptiliansอยู่ในระดับ3 คือ เทคโนโลยี่สุงแต่ spiritual ต่ำกว่า พวกนี้จะไม่เข้าใจในเรื่อง spiritual
    แต่ก็พยายามที่จะก้าวไปให้ถึงในระดับ4 ระดับ spiritual นั้นมีระดับ12 ระดับหรืออาจมากกว่านั้น ระดับสุงสุดที่เรียกว่าพระเจ้า
    หรือพลังงานfต้นแบบนั้นอยู่นอกเหนือ 12ระดับขึ้นไป อันนี้ต้องไปดูในคลิปของนักฟิสิกส์ที่ชื่อ Michio Kaku

    Andromeda นั้นมีspiritualที่สุงกว่าพวก GRAYS นั้นในการสื่อสารกับมนุษย์จึงเป็นเรื่องที่ง่ายมาก
    (Alex collier บอกว่าพวกนี้สื่อสารโดยใช้โทรจิต) ซึ่งก็ไม่ต้องใช้คอมพิวเตอร์แปล เหมือนพวกGRAYS

    จุดประสงค์ในการมานั้น Andromeda เพราะอยากช่วยเผ่าพันธ์มนุษย์และโลก ได้ยื่นข้อเสนอให้ทางการสหรัฐ ทำลายขีปณาวุธนิวเคลียร์
    เพราะถ้ามีไว้มันจะเป็นการทำร้ายและทำลายโลก (อย่างที่ผมเคยบอกไปว่าโลกนี้มีชีวิตและพลังงานของมันก็ริบรี่เต็มที)
    และจะไม่มอบอาวุธใดๆให้อยู่ในมือของมนุษย์เพราะมนุย์จะนำไปใช้ในทางผิดๆ

    แต่ในเงื่อนไขเหล่านี้ Andromeda เสนอจะสอนให้มนุษย์เรียนรู้ทางด้าน spiritual (ซึ่งทรงพลังมากกว่าเทคโนโลยี่)(offered to help us with our spiritual development)

    แต่ด้วยความโลภรัฐบาลสหรัฐ ก้อตอบปฏิเสธไป และด้วยกฏหมายสากลของจักวาลแล้ว Andromeda
    จะเข้าแทรกแทรงอะไรไม่ได้นอกจากมีการเซ็นสนธิสัญญา

    แต่ในปี 1954 รัฐบาลสหรัฐ ได้มีการลงนามในสนธิสัญญากับ GRAYS

    เงื่อนไขในสนธิสัญญา

    -ไม่รบกวนหรือก่อสงครามกับโลก
    -รัฐบาลสหรัฐจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ
    -GRAYS ต้องสอบเทคโนโลยีไหม่ๆให้กับรัฐบาลสหรัฐ
    -GRAYS จะต้องไม่ทำสนธิสัญญากับประเทศอื่นนอกจาก สหรัฐอเมริกา
    -เห็นด้วยที่จะมีการแลกเปลี่ยน ประชากรมนุษย์และGRAYS เพื่อการทดลอง ศึกษา แต่มีเงื่อนไขว่า ทุกครั้งที่มีการนำมนุษย์
    ไปจะต้องนำกลับมาทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ และลบความทรงจำออก และรายงานกับรัฐบาลสหรัฐทุกครั้งที่นำมนุษย์ไป
    -ลงความเห็นร่วมกันที่จะให้มี alien ambassador(ชื่อว่า Crill or Krill) ไว้บนโลกและนำ human ambassadorไปเพื่อเป็นการรักษาสนธิสัญญา
    -ทุกครั้งจะมีการแลกเปลี่ยน 16 GRAYS และ 16 human เพื่อการศึกษา ทดลอง
    -รัฐบาลสหรัฐ อณุญาติ ให้มีฐาน บนโลก ได้ ที่โลก มีประมาณ 3-4 ฐาน และใน2 ฐานไต้พื้นผิวโลก นั้นมีการศึกษาทดลองร่วมกัน
    ทั้งมนุษย์และ GRAYS

    Project REDLIGHT ทดสอบการฝึกบิน UFO ซึ่งอยู่ใน Area 51 และอีกที่นึงที่ Dreamland และในที่นี้ก็เป็นที่แลกปลี่ยน
    เทคโนโลยี่ ยุธโธปกรณ์ ต่างๆกับ GRAYS

    ต่อมาในปี 1955 ทางรัฐบาลสหรัฐได้พบว่า GRAYS ได้ละเมิดสนธิสัญญา คือเรื่องการนำมนุษย์และสัตว์ไปศึกษา พบว่เสียชีวิตบ้าง
    พิการบ้าง ผิดปกติบ้าง เพราะมีการพบเจอซากเหล่านี้ทั่วไป และทุกครั้งก็ไม่ได้รับการรายงานแต่อย่างใดจาก GRAYS
    นอกเหนือไปจากนั้น ก็ทราบมาอีกว่า GRAYS ได้ทำสนธิสัญญากับประเทศโซเวียต ด้วย
    และไดมีการติดต่อกับGRAYS ก็ยอมรับว่าละเมิดสัญญาจริง และยังได้มีการทดลองกับ มนุษย์ที่มากไปกว่านั้น
    อีกคือ ใช้เวทมนต์ ศาสนา และการบูชาซาตาน( They stated that they had manipulated the human race through religion, satanism, witchcraft, magic, and the occult. )

    และหลังจากนั้น-Air Force ได้ทำสงครามกับ GRAYS ปรากฎว่าเป็นที่ประจักษ์ว่าอาวุธเราสู้GRAYS ไม่ได้เลย

    จากนั้น จึงมีคิดค้นคว้าอาวุธที่ทันสมัยขึ้นโดย 35 คน จาก CFR

    และหลังจากนั้นอีก ก็พบว่า GRAYS ได้ทำการทดลองเปลี่ยนยีนส์มนุษย์และสัตว์ ต่างๆอีกมากมายเพื่อการรักษาเผ่าพันธ์ของตนเองไว้
    (เพราะGRAYS ไม่สามารถสืบพันธ์ได้ หลังแพ้สงครามกับ Reptilians ก็ได้ถูกพวกนี้เปลี่ยนยีนส์ไป)

    แต่ mj12 ก็ไม่ได้เชื่อถือในคำพูดของGRAYS มากนัก แต่ก็จำยอมให้ความสัมพันธ์ดำเนินต่อไป เพราะยังอาศัยเทคโนโลยี่
    จากGRAYS

    และอีกด้านก็ได้มีการร่วมมือกับ โซเวียต และประเทศอื่นๆด้วย จึงเป็นกำเนิดของ Projects JOSHUA and EXCALIBUR.

    Projects JOSHUA นั้นเป็นเทคโนโลยี่ของ NAZI คือใช้เสียงในการทำลาย ประสิทธิภาพสามารถทำลายเกราะโลหะที่มีความหนา 4 นิ้ว ได้ในระยะ 3 กิโลเมตร และเชื่อว่าอาวุธชนิดนี้สามารถยิง UFOได้

    EXCALIBUR คือ อาวุธนิวเคลียร์ สามารถทำลาย ฐาน ของ alien ไต้ผิวโลกในพื้นผิวที่แข็ง ในระยะทางลึก 1 กิโลเมตรได้


    หลายปีที่มีการติดต่อกับ GRAYS นั้น เทคโนโลยี่ได้พัฒณาขึ้นมาก เช่น antigravity-type craft ซึ่งสามารถเดินทางไป
    the Moon, the planets Mars and Venus, ได้
    รัฐบาลนั้นยังปิดบังโกหกต่อสาธาระณะชน อย่างมากในเรื่องพวกนี้

    เช่นความจริงที่ว่า บนดวงจันทร์ มีต้นไม้และพืช เติบโตที่นั่น และสามารถเปลี่ยนสีได้ตามฟดูกาล
    และมีก้อนเมฆ ด้วย(ด้านมืดของดวงจันทร์)
    และสามารถเดินได้บนดวงจันทร์โดยมีแรงโน้มถ่วงเช่นเดียวกับโลก

    และ ในปี 1969 บนดวงจันทร์ได้มีการสู้รบกัน ระหว่างอเมริกา และ โซเวียต เพื่อแย่งดินแดนที่นั่น
    และมีคนเสียชีวิตไป 66 คน
    แต่หลังจากนั้นก็กลับมาจับมือกันอีกครั้ง


    เขียนโดย Dots conector ที่ 12/24/2009 0 ความคิดเห็น ลิงก์ไปยังบทความนี้
    ป้ายกำกับ: MJ 12 Group



    * Reptilians


    Reptilian ที่ผสมข้ามพันธ์กับสัตว์ ไม่น่าจะใช่ Grays
    คลิปนี้ถ้าเป็นคนไทยก็บอกว่าเป็นผี
    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/6N2yEjcmnSs&hl=en_US&fs=1& width=425 height=344 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>

    สังเกตุว่าเป็นกลอ้งวงจรปิด ไม่มีทางที่จะแต่งภาพได้ และสังเกตุเวลาว่ารันตลอด
    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/1VFWL2p7IxE&hl=en_US&fs=1& width=425 height=344 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>
    ส่วนนี่กล้องCCTV Video of Half Man, Half Dog?
    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/LZJ6drs5Jmg&hl=en_US&fs=1& width=425 height=344 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>
    ชายสองคนนี้เค้าเป็นนักล่า คือแอบถ่ายภาพ Alienนะครับ คลิปแรกก็ของเขา
    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/nDMY4ENwu3w&hl=en_US&fs=1& width=425 height=344 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>
    ส่วนอันนี้ที่colombia สังเกตุว่าภาพเป็นคลื่นก้อไม่น่าจะแต่งภาพได้
    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/OKslZJUY5nk&hl=en_US&fs=1& width=425 height=344 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>
    และคลิปหมาดูดเลือดChupacabra (มันดูดเลือดไก่ชาวไร่เกลี้ยงฟร์าม)
    มันกระโดดคล้ายจิงโจ้ และสังเกตุที่ขาหน้ามันสั้นกว่าขาหลังและมีนิ้ว เกือบเหมือนคน และเท้ามันก็เกือบคล้ายคน
    (ตอนนี้ผู้ชายคนนี้ที่ฆ่าหมาอยู่ที่โรงพยาบาลเพราะมีเรื่องเหลือเชื่อเกิดขึ้น)
    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/wYemBLuou90&hl=en_US&fs=1& width=425 height=344 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>
    หน้าตาของมันมีหลายแบบChupacabra (reptilian)
    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/3LOskWDahIU&hl=en_US&fs=1& width=425 height=344 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>
    ส่วนนี่ก็รวมคลิปซาก Reptilian ต่างๆ
    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/k7YXTIymgYQ&hl=en_US&fs=1& width=425 height=344 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>
    ส่วนนี่ภาพ UFO จากยานApollo 15&(20).บนดวงจันทร์
    Footage and Photographs from Apollo 15 &(20).
    Lunar Planetary Institute - Apollo 15:
    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/v3pkO3i-DyI&hl=en_US&fs=1& width=425 height=344 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>


    เขียนโดย Dots conector ที่ 12/24/2009 0 ความคิดเห็น ลิงก์ไปยังบทความนี้
    ป้ายกำกับ: Reptilians



    * แปลจาก Alex Collier


    2009/12/20 ทำไม Alex Collier ได้ถูกเผ่าพันธ์ Andromedans เป็นเผ่าพันธ์ที่เป็นมิตรกับ เผ่าพันธ์เรา จับตัวไปเมื่อตอนเด็ก อายุประมาณ 6-7 ขวบ
    แต่ตอนนั้นมีความทรงจำบางส่วนที่ถูกลบไป (เพราะเค้ายังเด็กเกิน)แต่พอ อายุ 14 ก็ถูกจับตัวไปอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้ Alex บอกว่าเค้าไม่รู้สึกกลัวไดๆเลย
    และ Andromedans ขอความร่วมมือจากเค้า ที่จะติดต่ดผ่านและหาข้อมูลให้ Alex ตอบตกลง และก็มีการติดต่อกันอีกหลายครั้งโดยAndromedans
    ได้ให้เครื่องมือสื่อสารชนิดพิเศษ

    ทีนี้เอาแบบพอกว้างๆนะครับ

    ในจักวาลนี้ มีมากมายหลาย planet หลาย galaxy มีเผ่า พันธ์ หลายเผ่าพันธ์ โลกเรานั้น มนุษย์เป็นเผ่าพันธ์ที่ถูุกสร้างให้เชื่อมโยงกับโลก
    และเป็นเผ่าพันธ์ดั้งเดิมอาศัยอยู่ที่นี่
    เพราะโลกใบนี้จริงๆแล้วมีชีวิต มนุษย์มีพลังงานที่เชื่อมโยงกับโลกทำให้โลกมีชีวิตอยู่ได้ และทำให้จักวาลขับเคลื่อน
    (ผู้สร้างที่หลายศาสนาเรียกว่าพระเจ้าเป็นพลังงานเริ่มต้นสร้างทุกเผ่าพันธ์ทุก planet ทุกgalaxy )
    และในจักวาลนั้นมีระบบระเบียบ (ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงดี) เอาแบบเข้าใจง่ายๆนะ ก็เหมือนประเทศเราที่มี ประมุข ของประเทศ และหลากหลายระดับ และโลกนี้เป็น planet ที่สามารถไปได้หลาย dimension เปรียบเทียบเหมือนกับเมืองหลวงของประเทศอะครับ
    เพราะเหตุนี้จึงเป็นที่หมายตาของ เผ่าพันธ์ Reptilian
    หลายล้านล้านปีก่อนที่มนุษย์ถูกสร้างนั้น มีหลายเผ่าพันธ์เข้ามาเยือนโลก แต่ไม่ได้มาอาศัยอยู่
    Reptilian เป็นเผ่าพันธ์แรกที่นำโลกใบนี้เข้าสู่แผนที่จักวาล และถือยึดครอง (คล้ายกับโคลัมบัสอ่ะครับ)
    ย้อนไปอีกนิด Reptilian นั้นมาจากดาว Dragonis และทำสงครามยึดครองดาวดวงอื่น เช่น Orionซึ่ง Graysอาศัยอยู่

    Grays เผ่าพันธ์ที่ อ่อนแอ จึงแพ้สงคราม จึงโดน พวก Reptilian เปลียน ยีนส์ ทำให้ไม่สามารถสืบเผ่าพันธ์ได้
    และบางส่วนก็อนำไปใช้แรงงาน
    เพราะฉนั้นเอง Grays ที่อาศัยอยู่ในโลกนี้จึงต้องการ รักษาเผ่าพันธ์ของตัวเองไว้โดยการสต๊อคยีนส์ ไว้ผสมข้ามเผ่าพันธ์
    พวกนี้อาศัยอยู่ได้โดยดูดพลังงานจากมนุษย์ และในขณะเดียวกันก็ทำงานให้กับ Reptilian แต่บางที Grays ก็ช่วยอะไรบางอย่างกับ
    มนุษย์เหมือนกันแต่ต้องมีอะไรแลกเปลี่ยนเสมอ
    มาถึง Reptilian ที่ยังไม่ผสมDNA ก็อยู่ไต้ดิน ในน้ำ (โลก) พวกนี้มีชีวิตอยู่ด้วยการอาศัยเลือดจากสิ่งมีชีวิตในโลกนี้
    บางส่วนที่ผสมแล้วก็ยังดื่มเลือดอยู่
    และ anunaki ก็เป็นเผ่าพันธ์Reptilian เหมือนกันตามภาพครับ
    Reptilian เป็นเผ่าพันธ์ระดับ 3 (เทคโนโลยีสุงแต่spiritualหรือพลังงานต่ำกว่ามาก)จะต่ำกว่า Andromedas (เทคโนโลยีสุงเท่ากับ spiritualหรือพลังงาน)
    ส่วนลักษณะ Andromedas นั้นไม่มีน้ำหนัก พูดตรงๆคือจับต้องไม่ได้ แต่เป็นรูปร่างของพลังงาน

    ก่อนหน้าAndromedas ก็มีอีกเผ่าพันธ์ผมจำชื่อไม่ได้แล้ว เดี๋ยวค่อยหามาตอบ เคยเข้ามาเฝ้าาดูเผ่าพันธ์เราเหมือนกันแต่ไม่ได้ช่วย
    จนกระทั่งระบอบจักวาลเกิดสดุด จึงเป็นสาเหตุให้Andromedas ต้องยื่นมือมาช่วย
    และAndromedas พูดถึงเผ่าพันธ์มนุษย์ว่า เป็นเผ่าพันธ์ที่ถูกสร้างมาพิเศษมากเพราะมีการรวมเอายีนส์ DNA ของเผ่าพันธ์humanoid ทั้งหมด
    20กว่าสายพันธ์ (อันนี้ไม่แน่ใจจำนวนเดี๋ยวกลับไปฟังวิดิโออีกที) Andromedas บอกว่าพลังงานที่อยู่ในมนุษย์นั้นเป็นพลังงานเดียวกันกับพลังงานต้นแบบ(ผู้ สร้าง)
    (ยกตัวอย่างเช่นน้ำทะเลหยดเดียวกับน้ำทะเลทั้ง ocean นั้นมีโมเลกุลเหมือนกัน)

    นี่เป็นอีกสาเหตุนึงที่ Reptilians ต้องการผสมDNA กับมนุษย์ มนุษย์เป็นเผ่าพันธ์เดียวที่มีการรวบยีนส์DNA ได้สมบูรณ์แบบ

    และพวกนี้หลอกใช้มนุษย์บางส่วนที่เห็นแก่ได้โดยแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี กับเผ่าพันธ์ของตัวเอง (โดยการทำลายเผ่าพันธ์ของตัวเอง ผ่าน สงคราม โรคระบาด และอื่นๆอีกมากมาย)และกุมความลับไว้จากสายตาของเผ่าพันธ์ตัวเอง มนุษย์ส่วนนี้ ต้องการย้ายถิ่นฐานไปดาวดวงอื่น(เพราะไม่ต้องการอยู่ไต้การควบคุมของ Reptilians ) เช่นดวงจันทร์หรือ ดาวอังคาร แต่หารู้ไม่ว่า ที่ดวงจันทร์และดาวอังคาร
    ก็มีพวกReptilians เหมือนกัน

    ณ ตอนนี้ NASA จึงยกเลิกความคิดที่จะย้ายไปดาวดวงอื่นโดย การยึดขั้วโลกเหนือไว้เป็นอณานิคม โดยการใช้ระเบิดนิวเคลียร์ระเบิดไต้ผิวโลกทำให้แกนโลกเอียง
    เพื่อจะให้ขั้วโลกหนืออุ่นขึ้น

    ผมแปลจากที่ Alex พูดไว้ และรายละเอียดนั้นยังมีอีกมากมาย จากเวบdavidicke ก้อมี ที่อธิบายว่าอาหาร และ ยา
    บางชนิดทำให้
    ยีนส์ของมนุษย์เปลี่ยนไป ไม่สามารถมีลูกได้(เป็นหมัน) ก็เป็นการลด กำจัดเผ่าพันธ์มนุษย์อีกทางหนึ่ง


    เขียนโดย Dots conector ที่ 12/20/2009 0 ความคิดเห็น ลิงก์ไปยังบทความนี้
    ป้ายกำกับ: Aliens{by Alex Collier}



    * illuminati คือใคร?



    อันนี้ผมขอเก็บข้อมูลมาจากที่ผมเคยไปโพสไว้ที่เวบหนึ่งมานะครับ

    ผมมีวิดิโอมาให้ดู Alex Collier มีทั้งวิดิโอเก่า ที่อธิบายไว้อย่างละเอียด ตั้งแต่ 13 ปีที่ผ่านมา และปีล่าสุด 2009
    Alex+Collier

    แล้วนี่ก็ เวบของ David Icke ที่มีรายละเอียดน่าสนใจมากมาย
    davidicke
    ส่วนนี่ก็บทสัมภาษณ์ Alex Jones, David Icke and the Reptilians
    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/gx0jQAh0aaw&hl=en_US&fs=1& width=425 height=344 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>

    ผมเพิ่งรู้มาไม่นาน ค้นเจอโดยบังเอิญเพราะผมเป็นคนที่อยากรู้อะไรซักอย่างผมต้องรู้ให้ได้
    ผมว่าความจริง น่าเชื่อถือเกือบ 100% ก้อว่าได้ น่าสนใจมากๆ คุณหล่ะคิดยังงัยกับเรื่องแบบนี้
    ผมไม่แน่ใจว่าพวกคุณพอรู้เรื่องแบบนี้บ้างมั้ย ค่อนข้างช๊อคพอสมควรหลังจากรู้ว่าแท้จริงแล้ว illuminati เป็นใคร แล้วเกิดอะไรขึ้นกะโลกใบนี้
    ถ้าเรายังไม่ยอมเปิดความคิด มันก็ยากที่จะเชื่อ ยากที่จะเข้าใจ แต่ผมเชื่อว่าในจักวาลนี้เราไม่ใช่เผ่าพันธ์เดียวแน่นอน

    เท่าที่ผมพอศึกษามาคือ Reptilians เทคโนโลยีเค้าก้าวใกลกว่าเราหลายสิบล้านปี
    ตามที่ Alex อธิบาย เป็นการผสมDNA Human-Animal( Reptilians)Hybrids จึงเรียกว่า humanoid

    แต่จะมีพวก Grays มาจากดาว Orion ซึ่งพวกReptilians ยึดครองไปแล้ว Grays มีแบบ พวกผสมDNA เหมือนกัน

    Reptilians มาจากดาว Dragonis พวกนี้เกลียดเผ่าพันธ์มนุษย์อย่างเรา และพวกนี้ ณ ตอนนี้ก็อาศัยอยู่ ด้านมึดของดวงจันทร์
    เพื่อหลบเลี่ยงเรด้าค้นหา และไต้ดินของดาวอังคาร (ซึ่ง Alex บอกว่ามีเผ่าพันธ์มนุษย์ไปตั้งรกรากที่นั่น ตั้ง 300000 คน
    แต่ตอนนี้ถูก กินบ้าง ถูกนำไปเป็นทาส บ้าง หลบซ่อนตัวอยู่ก็มี )

    และที่ในอเมริกาก็สร้างสนามบิน UFOตั้งหลายที่ไม่ใช่แค่ Area 51 ที่เดียว พวกที่ขายมนุษย์ด้วยกันเพื่อแลกกับ ยานบิน(UFO) เทคโนโลยีทันสมัยเพื่อไปดาวดวงอื่น
    ร่วมมือกับพวกReptilians ถึงกับเซ็นสัญญา เพราะเหตุนี้กลุ่ม Andromedans จึงตัดสินใจยากที่จะช่วยเรา

    มันมีรายละเอียดมากมาย คุณลองศึกษาดูลึกๆก็แล้วกัน ความเป็นไปได้สุงมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ถ้าไม่ปิดกั้นความคิดของตัวเอง

    ผมว่าหนังที่สร้างหลายเรื่องพยามยามบอกอะไรกับมนุษย์อย่างเราหรือเปล่า น่าคิดนะ

    (อันนี้เกี่ยวกับAlien Species 2 - Greys and Reptilians แบบให้เห็นภาพชัดเจน และเข้าใจมากขึ้นว่าWe Are Not Alone)

    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/UWR6WE4z20g&hl=en_US&fs=1& width=425 height=344 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>

    มีคำอธิบายที่ชัดเจนมากเกี่ยวดาวNibiru ยุค Sumarian และอธิบายว่า Reptilians เข้ามาในโลกได้ยังไง
    อาศัยอยู่ที่ไหนของโลก และ Illuminati history

    Nibiru2012, Illuminati history
    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/Iempod2GaAg&hl=en_US&fs=1& width=425 height=344 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>

    The Anunnaki
    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/fpN_KD7b0NQ&hl=en_US&fs=1& width=425 height=344 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>

    และNASAปิดบังข้อมูลอะไรบ้าง แล้วที่จริงดวงจันร์ดวงนี้ว่าที่จริงไม่ใช่ดวงจันทร์ แต่เป็นยาน(หรืออะไรก้อตามที่เคลื่อนที่เข้าใกล้โลก โดย Reptilian)

    Are you Ready? 3 (Answers & Facts!)
    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/U-3RLx_4Y5Y&hl=en_US&fs=1& width=425 height=344 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>
    บ้างพอรู้เรื่องก็เตรียมพร้อมสำหรับDoomsday 2012 สร้างเป็นเรือลำใหญ่ เหมือนสมัยโนอาร์ ที่ นอเวย์ แต่บ้านเรามีใครตื่นตัวสำหรับเรื่องนี้บ้าง
    อย่างน้อยก็พอรู้เรื่องว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้ มีซักกี่เปอร์เซ็นนะ
    Norway's ark-Doomsday
    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/2yMyis1MVOA&hl=en_US&fs=1& width=425 height=344 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>

    Anunnaki of Planet X Nibiru
    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/bRgN_XZFiq4&hl=en_US&fs=1& width=425 height=344 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>

    Dots connector
     
  15. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +1,697
    มาฝากข่าวเฉยๆ หน่อยจ๊ะ
    ถ้า ซาโต้ เป็น ดร.เทอดศักดิ์ จริง
    ก็เวียนวนกันอยู่แค่นี้เองเนอะ

    ..

    <TABLE border=0 width="100%" height=36><TBODY><TR><TD vAlign=top width="80%" noWrap>ความคิดเห็นที่ 30</TD><TD vAlign=top width="50%" noWrap align=right>[​IMG] <!--InformVote=30--><SCRIPT language=JavaScript>MsgStatus(Msv[30], 30);</SCRIPT>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <!--MsgIDBody=30-->ผศ.ดร. เทอดศักดิื์ เตชะกิจขจร ผู้ประสานงานกล่าวโทษร้องทุกข์

    ก่อนหน้้านี้เรารู้จักคุณ ซาโตรานัย satoranai บอกว่าเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ที่เรียกลูกศิษย์ว่า นิสิต ในประเทศไทย ก็มีนิสิตจุฬานี่แหละ เมื่อค้นประวัติ อาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรม จุฬา คนหนึ่ง ซึ่งไม่เคยเปิดเผยชื่อมาก่อนเลย ชอบตีกอล์ฟ ชอบแอบอ้างชื่อมาสมัครนับหลายครั้ง จู่ๆก็โผล่ออกมาแบบนี้ นั่นกำลังจะบอกว่า นายซาโต ก็คื ผศ.ดร. เทอดศักดิื์ เตชะกิจขจร ใช่หรือไม่ครับ (นายซาโตออกมายืนยันหน่อยครับ)

    ซึ่งบุคคลนี้เขาก็เคยเดินทางไปทำวิจัยที่ญี่ปุ่น รู้ภาษาญี่ปุ่น แหม พอเชื่อมโยงกันแล้วแบบนี้ ต้องถามกลับไปยัง ซาโตครับ เกี่ยวข้องอะไรกันบคุณอ้อย แล้วไปเกี่ยวกับ ลพ ปราโมทย์เมื่อครั้งถูกทักจิตคราวนั้น นายซาโตยังเป็นคนประสานงานกลุ่มประท้วงด้วยนะเนี่ย



    ที่แท้ก็อยู่ใกล้กันนะเนี่ย เอาไว้จะเดินไปทักทายถึงห้องพักนะครับ

    เปิดไพ่เล่นแบบนี้ แสดงว่าคนมีหลักฐานเด็ดเหรอเปล่าครับ 5555

    ซาโตรานัย ===> ผศ.ดร. เทอดศักดิื์ เตชะกิจขจร ??? (อย่าลืมตอบใน ATW นะครับ)
    โอ้โห พอไปค้นใน google แล้ว อาจจะเก่งทางโลกนะครับ

    แต่ว่า ความรู้ทางธรรมของซาโต ยังสับสปนเป ไม่น่าเชื่อว่าจะมี สมุทัยความอยากล้นเหลือ
    <!--MsgFile=30-->
    <TABLE border=0 cellSpacing=1><TBODY><TR><TD vAlign=top width=75 noWrap>จากคุณ</TD><TD>: <!--MsgFrom=30-->venture [​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=bottom width=75 noWrap>เขียนเมื่อ</TD><TD vAlign=bottom>: <!--MsgTime=30-->14 ก.ย. 53 15:01:09 <!--MsgIP=30-->[​IMG]</TD></TR><TR><TD id=xscore30 vAlign=top width=75 noWrap></TD><TD id=score30></TD></TR></TBODY></TABLE>


    PANTIP.COM : Y9686499 ��;Ԩ�ó�����Ѻ��͡������㹸�����ȹҢͧ��ǧ��ͻ������� []
     
  16. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    คุณเต้าเจี้ยว เราไม่รู้จักพวกเขาหรอก เดาว่า วิบากผูกพันธ์กันเยอะอยู่
    เรื่องทางโลก ก็รอกระบวนการยุติธรรมว่ากันไปตามพยานหลักฐาน
    เรื่องทางธรรม ก็มีกฏแห่งกรรมส่งผลอยู่แล้ว
    ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาอย่างไร ลพ.ก็คือผู้มีพระคุณต่อเรา ที่ช่วยชี้ทางธรรมให้เรา
    เปิดทัศนคติในมุมมองใหม่ๆให้เรา อย่างไรเราก็เป็นคนนอก และเราก็เชื่อว่า
    ธรรมะย่อมรักษาผู้มีธรรม ผู้ใดปฏิบัติธรรมย่อมมีธรรมรักษาตัวไม่มากก็น้อย
    สุดท้ายเราเชื่อว่าผลดีจะตกอยู่กับพุทธศาสนิกชน ทำเรื่องคลุมเคลือให้แจ้ง
    ทำความจริงให้ปรากฏก็ย่อมเป็นผลดีต่อศาสนา และเราเองก็ไม่ได้ยึดในตัว ลพ.
    เราพิจารณาธรรมตามที่เห็นจากการปฏิบัติของเราเอง อย่างไรเสียพระธรรมก็จะ
    ดำเนินต่อไปตามธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กันยายน 2010
  17. vergo shaka

    vergo shaka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +835
    ไหนบอก ว่า กระทู้ แบล็คโฮล ไร้สาระไง มีความรู้มากมายเลยนะ ถ้าใจเปิด หรือ ชาไม่ล้นถ้วย ก็สามารถเข้ามาอ่านได้ ดีๆๆ ชอบๆ
     
  18. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=iXmHjTqxW-w&feature=related"]YouTube - ALIEN APPEARS DURING INTERVIEW LIVE TV SOUTH AMERICA AUGUST 8 2010!![/ame]
     
  19. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ผมเป็นบุคคลหนึ่งที่ แสวงหาครูอาจารย์ ที่เคารพนับถือ
    เช่นหลวงปู่มั่น พระอาจารย์ชา
    จนกระทั่งมาพบหลวงพ่อปราโมทย์
    ท่านทำให้ผมศึกษาพระไตรปิฏกได้เข้าใจ และนำไปใช้ในการปฎิบัติในชีวิตประจำวันได้ดี

    พระธรรมคำสอน ของพระพุทธเจ้า ในอดีตแม้จะเลือนหายไป

    พระโพธิ์สัตว์หรือผู้มีปัญญาก็ยังค้นหาที่จะได้ฟัง
    เช่นในตอนหนึ่งของพระไตรปิฎก พระโพธิสัตว์เป็นราชาอยุ่เมืองหนึ่งจะให้เงินกับคนที่นำมนต์ สุภาษิต มาถ่ายทอดให้
    วันหนึ่งมีพราห์มแก่ๆนำบทคาถาบทหนึ่งมาขาย
    พระโพธิ์สัตว์ได้ฟัง ถึงกับน้ำตาไหล จึงว่ามนต์นี้ไม่ใช่มนต์ธรรมดา ต้องเป็นอดีต คาถาบทใดบทหนึ่งของพระพุทธเจ้า
    จึงถามพราห์มว่า มนต์นี้ปกติขายเท่าไหร่
    พราห์มตอบว่า ประมาณ3 ตำลึง
    พระโพธิ์สัตว์จึงตอบว่า เราจักให้สมบัติทั้งหมดแก่ท่าน

    เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า พระจะดี หรือไม่ดี แต่ ธรรม นั้นย่อมดีเสมอ <!--MsgFile=0-->

    <TABLE cellSpacing=1 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom width="10%">จากคุณ</TD><TD>: <!--MsgFrom=0-->aunemaek2 [​IMG] [​IMG] </TD></TR><TR><TD vAlign=bottom width="10%">http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y9694892/Y9694892.html</TD><TD vAlign=bottom>: <!--MsgTime=0-->16 ก.ย. 53 08:24:33 <!--MsgIP=0-->[​IMG]





    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  20. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    ให้กำลังใจ กัน
    อย่าไปซ้ำเติมกัน
    เคยบอกแล้วว่า อย่าไปก่อกระแสเพิ่ม

    คนมีกรรม เวลาทำอะไร กรรมก็ผลักดันให้ไปในทิศทางที่กรรมบันดาล

    แม้แต่เวลาจะ ชี้แจงให้ดีขึ้น ถ้ามีกรรมเข้ามา และ ทำไปเพื่อแก้หน้า บางที ก็สลับกลับกลายเป็น การเพิ่มกรรม คือ ยิ่งทำให้แย่ไปอีก

    สมัยก่อน ตอนที่โดนตำหนิใหม่ๆ ก็ชี้แจง ประกาศ กลายเป็นว่า ประกาศนั้นเป็นหอกกลับเข้าที่ตน

    สรรพสิ่งในโลกนี้ กรรมมีอำนาจใหญ่สุด จงทำแต่กุศลกรรมกันให้มาก

    เพราะ มีแต่กุศลกรรม เท่านั้นที่เป็นน้ำดับไฟ
     

แชร์หน้านี้

Loading...