บทความที่เกี่ยวกับ "พญานาค" น่าสนใจมากๆค่ะ

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย lynn@nice, 4 พฤษภาคม 2011.

  1. lynn@nice

    lynn@nice เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    21,530
    ค่าพลัง:
    +19,462
    ขอบคุณค่ะ พี่นก ลินพยายามจะหาบทความที่เกี่ยวกับพญานาค มาลงให้อ่านค่ะ เพราะโดยส่วนตัวก็ชอบเป็นทุนเดิมค่ะ พักหลังๆเห็นมีหลายวัดที่สร้างพญานาคกันจึงอยากรู้ว่าเกี่ยวกับคำทำนายหรือเปล่าค่ะ
     
  2. rungaran

    rungaran เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    15,573
    ค่าพลัง:
    +57,322
    ผมชอบพญานาคครับ เคยฝันเห็น พญานาคครั้งเดียว
    หลังจากที่ได้เม็ดแร่สีดำและด้านใหนไม่รู้ดูดได้แบบแม่เหล็ก พออีกด้านไม่ดูดครับ ติดแผ่นทองคำแท้(เอาไปให้ร้านทองดูแล้ว)จากพระธาตุพนม พอตกกลางคืนฝันว่า เห็นพญานาค ตัวสีขาวทั้งตัว ท่านบอกว่าตัวท่านยาว 12วา แล้วท่านไม่ฟังเสียง ท่านเลี้อยแบบพุ่งเข้าหาผมตกใจมากหนีสุดชีวิตเลย และได้วิ่งขึ้นรถยนต์ขับหนี แต่ท่านกับลอยพุ่งขึ้นฟ้าแล้วเปลี่ยนเป็นตัวสีแดงแล้วพุ่งไล่ผมต่อจนตื่นเลย โอยคืนนั้นเหนื่อยเกือบตายน่ะครับ
    แล้วหวยงวดนั้นก็ออก 12 ครับแต่จำไม่ได้ว่า บน หรือ ล่าง
     
  3. 15 ค่ำ

    15 ค่ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    2,108
    ค่าพลัง:
    +10,575
    เข้ามาติดตามบทความดีๆเช่นเคย ขอบคุณครับพี่ลิน
     
  4. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,205
    นำภาพมาให้ชมค่ะ....

    [​IMG]

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. lynn@nice

    lynn@nice เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    21,530
    ค่าพลัง:
    +19,462
    ลินถ้าได้ฝันถึงพญานาคเมื่อไร เป็นโชคดีทุกครั้งเลยค่ะ แต่อีกในหนึ่ง ท่านก็จะมาบอกในเรื่องการทำบุญทำกุศล เรื่องนี้ห้ามลืมค่ะ
     
  6. lynn@nice

    lynn@nice เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    21,530
    ค่าพลัง:
    +19,462
    ขอบคุณที่ติดตามรับชมค่ะ คุณ เตอร์
     
  7. lynn@nice

    lynn@nice เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    21,530
    ค่าพลัง:
    +19,462
    ขอบคุณ สำหรับภาพสวยๆค่ะ พี่นวล ลินชอบภาพนี้จังเลยค่ะ ดูเหมือนเขายอกล้อกันเลยค่ะ
    [​IMG]
     
  8. เขมทัต

    เขมทัต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2007
    โพสต์:
    623
    ค่าพลัง:
    +2,252
    ขอบคุณ สาระที่นำมาให้อ่านครับ

    ไม่ทราบคุณลิน มีวิธีบูชาพญานาคบ้างไหมครับ
     
  9. lynn@nice

    lynn@nice เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    21,530
    ค่าพลัง:
    +19,462
    คาถาบทนี้ คุณ อำพล เจน เขียนลงเอาไว้

    คาถาบูชาพญานาคคาถาที่ถูกต้องมีดังนี้

    ปัจฉิมรัสมิง ทิศาภาเค สันตินาคา มหิทธิกา เอติตุมเห อนุรักขันตุ อโรคะเย นะสุเขนะจะ
     
  10. เขมทัต

    เขมทัต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2007
    โพสต์:
    623
    ค่าพลัง:
    +2,252
    ขอบคุณคุณลินมากครับ

    แล้วต้องมีวิธียังไงไหมครับ อยากรู้รายละเอียดครับ
     
  11. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,205
    เมื่อประมาณ 4 ปีที่แล้วค่ะ น้องลิน พี่ที่ในหมู่บ้านเขาจัดไหว้ครูและนำบายศรีองค์พญานาคมา....พี่ขับรถผ่านแล้วก็ต้องเลี้ยวกับมาอีกเพราะไม่เคยเห็น เขาสั่งทำจากกรุงเทพและนำมาประกอบเป็นองค์พญานาคงดงามมาก พอดีเพิ่งเจอภาพ เป็นภาพบายศรีภาพแรกที่ได้ขออนุญาตเจ้าของถ่ายมา ส่วนที่ลงไปคราวก่อน พี่เขาจัดใหญ่ขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ก็ออกมาลานหน้าบ้าน....ครั้งที่ 3 ซึ่งจัดไปเมื่อปีที่แล้ว ไม่ได้ถ่ายภาพไว้เพราะติดเฝ้าไข้พี่สาวไม่สบาย....
    นำภาพมาให้ชมค่ะ....ความงดงามของบายศรีองค์พญานาค...

    [​IMG]

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 2.jpg
      2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      246.7 KB
      เปิดดู:
      1,195
    • 4.jpg
      4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      218.6 KB
      เปิดดู:
      1,176
    • 1.jpg
      1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      260.6 KB
      เปิดดู:
      183
  12. lynn@nice

    lynn@nice เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    21,530
    ค่าพลัง:
    +19,462
    โอ้แม่เจ้า ! อะไรจะอลังการงานสร้างกันปานนั้นค่ะ พี่นวล :cool:
     
  13. lynn@nice

    lynn@nice เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    21,530
    ค่าพลัง:
    +19,462
    เรื่องราวของพญานาคเป็นที่รู้จักคุ้นเคยกันดีในพระพุทธศาสนา และมีตำนานเกี่ยวเนื่องกับพระพุทธเจ้าหลายพระองค์ เช่น

    - พญากาฬนาค ผู้รักษาถาดทองคำที่พระพุทธเจ้าทั้ง 4 พระองค์ในกัปนี้ได้ทรงลอยอธิษฐาน และกล่าวว่าจะยังคงอยู่ไปถึงอนาคตสมัยพระศรีอริยเมตตรัยทรงลอยถาดทองคำ แสดงว่าพญานาคท่านนี้มีอายุยืนยาวท่านหนึ่ง
    - พญามุจลินทร์ ที่แผ่พังพานปกป้องพระพุทธเจ้าจากลมและฝน เมื่อครั้งทรงนั่งเสวยวิมุตติอยู่ 7 วัน ต้นแบบพระปางนาคปรก

    ใน สมัยพุทธกาล เหล่าพญานาคได้ทูลขอต่อองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อร่วมรักษาพระพุทธศาสนาให้ยืนยาวครบถ้วน 5000 ปี กล่าวคือ พญานาคมีความเกี่ยวเนื่องกับพระพุทธศาสนามายาวนานหลายยุคหลายสมัย ที่เป็นสัมมาทิฐิก็มาก แต่ที่เป็นมิจฉาทิฐิก็มี เหมือนกับมนุษย์ที่มีทั้งคนดี และ คนไม่ดีปะปนกัน เพียงแต่ส่วนใหญ่จะเป็นสัมมาทิฐิ

    พญานาค กับตำนานท้องถิ่น

    เรื่องราวของพญานาคจะมีปรากฏหลากหลายในตำนานท้องถิ่นทั่วไป ซึ่งพอสรุปคร่าวๆ คือ

    •การเพาะปลูก : พญานาค เป็นสัญลักษณ์แห่งน้ำ และความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดิน
    •การกำเนิดแม่น้ำสายสำคัญต่างๆ เช่น ตำนานการเกิดแม่น้ำโขง
    •การล่มสลายของเมืองโบราณต่างๆ
    •การก่อกำเนิดเมือง เช่น ตำนานกำเนิดประเทศกัมพูชา ที่พญานาคกลืนน้ำซึ่งท่วมดินแดนนั้นอยู่จนแผ่นดินแห้ง กลายเป็นประเทศขึ้นมา
    •กองทหารแห่งพระพุทธศาสนา หน้าที่ปกป้องพระพุทธศาสนาในด้านต่างๆ เช่น ปกป้องพระอริยสงฆ์ ปกป้องสถานที่สำคัญทางศาสนา

    กล่าว คือ พญานาค เป็นผู้มีพลังเกี่ยวเนื่องชัดเจน เกี่ยวกับความเป็นไปของแผ่นดินและผืนน้ำ หากมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญด้านแผ่นดินและผืนน้ำ มักจะมีความเกี่ยวเนื่องกับพญานาคเสมอ

    พญานาคเจ็ดเศียร

    คน ไทยจำนวนมาก นิยมสร้างพญานาค ๗ เศียร เพราะเกี่ยวเนื่องกับพุทธประวัติปางนาคปรก (พญามุจลินท์) เราจึงมีโอกาสพบเห็นนาคตามบันไดวัด หรือหินแกะสลักต่างๆ เป็นนาค ๗ เศียร มีหลากหลายสี

    โดยอีกความเชื่อหนึ่ง คือ คนจำนวนมากเชื่อว่า พญานาคที่ฤทธิ์มาก หรือ นาคสูงศักดิ์ จะต้องมีเศียรจำนวนมาก บางคนก็ว่ากันเป็นพันเศียร แต่ส่วนใหญ่เวลาเวลาสร้างให้ดูสวยงามก็มักจะมาลงที่ ๗ เศียร เช่น

    •พญาอนันตนาคราช กล่าวกันว่าท่านมีพันเศียรแต่เวลามาสร้างเรือพระที่นั่งอนันตนาคราช กลับเป็นหัวเรือนาค ๗ เศียร
    •พญา ศรีสัตตนาคราช เป็นนาคราช ๗ เศียร ตามคำบอกเล่าของหลวงปู่คำพันธ์ กล่าวว่าเป็นกษัตริย์นาคที่ยิ่งใหญ่กว่าใครในสองแผ่นดิน ไทย-ลาว

    สรุป คือ โอกาสพบนาค ๗ เศียรในประเทศไทยนั้นสูงมาก และมีการสร้างอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันตามวัดต่างๆ จึงไม่ได้เป็นสาเหตุการเกิดภัยธรรมชาติตามความเชื่อของบุคคลบางท่านแต่อย่าง ใด

    หน้าที่ของนาคราช กับ งานภัยพิบัติธรรมชาติ

    ใน ปัจจุบันเริ่มมีหลายคน เริ่มทราบความเชื่อมโยงของพญานาคกับภัยธรรมชาติ ผ่านทางสมาธิบ้าง เทพบางฝ่ายมาส่งข้อมูลผ่านความฝันบ้าง ถึงแม้ภาพที่ได้รับยังไม่ชัดเจน แต่เป็นเสมือนการเตือนว่า วันเวลาของงานครั้งใหญ่ ได้ใกล้เข้ามามากแล้ว ตามวลีที่กล่าวว่า ความลับไม่มีในโลก เป็นเพียงว่าจะรู้ช้าหรือเร็ว หรือ ถึงเวลาที่พระท่านเห็นสมควรแก่การเปิดเผยให้ทราบ

    นับ ย้อนหลังประมาณ 3 ปีก่อน ผมได้รับคำสั่งด่วนที่สุด ให้ช่วยสร้างบล๊อคพระนาคปรกสามเศียร เพื่อสร้างพระแจกให้บุคคลที่เกี่ยวข้องในการเตรียมงานฯ โดยจำกัดคนละหนึ่งองค์ให้พกติดตัวไว้ตลอดเวลา เป็นงานที่ทำบล๊อคเสร็จภายใน ๗ วันเหมือนเนรมิต มาทราบภายหลังว่าเป็นข้อตกลงกับกลุ่มนาคราชผู้ดูแลด้านภัยพิบัติธรรมชาติ ใช้เป็นจุดในการสังเกต เพื่อความรวดเร็วของการเข้าช่วยเหลือขณะเกิดภัยพิบัติ

    เมื่อ ค่อยๆได้รับข้อมูลมากขึ้นทราบว่า กองทัพนาคราช มีรายชื่อของบุคคลที่จะได้รับการคุ้มครอง และเริ่มส่งบริวารไปดูตามบ้านของบุคคลตามบัญชีรายชื่อ เพื่อให้การคุ้มครองป้องกัน บุคคลเหล่านี้คือผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบในทุกสายการปฏิบัติธรรม ไม่มีการแบ่งแยกสาย ตรงนี้ทำให้ทราบว่า งานด้านภัยพิบัติของกองทัพนาคราชมีระบบ มีขั้นตอนในการทำงาน รวมถึงมีหน้าที่ช่วยเหลือคนดีให้อยู่รอดปลอดภัยจากภัยพิบัติ ตามกรรม ตามวาระ

    ถ้าเปรียบเทียบก็คล้ายกับ การส่งกองกำลังทหารเข้าเคลียพื้นที่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ... ทหารไม่ได้มีหน้าที่ทำร้ายคนดี แต่การทำหน้าที่ก็อาจมีผลกระทบกระเทือนบ้าง ตลอดจนทหารมีหน้าที่เข้ากู้ภัยช่วยเหลือประชาชนในกรณีภัยพิบัติต่างๆ เช่น น้ำท่วม และอื่นๆด้วย กองทัพนาคราชก็มีหน้าที่คล้ายกองกำลังทหาร

    ภัย พิบัติทางธรรมชาติหลายๆอย่าง ก็ล้วนมาจากฝีมือมนุษย์ที่ทำให้โลกขาดความสมดุล และมนุษย์ทำลายล้างกันเอง จนฝ่ายโลกทิพย์ ตลอดจนฝ่ายต่างดาว ต้องยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยว

    หน้าที่กองทัพนาคราช เกี่ยวกับภัยพิบัติ โดยย่อ

    •ปกป้องพระศาสนา จากฝ่ายมาร
    •ป้องกันพุทธสถาน ขณะเกิดภัยพิบัติ
    •ช่วยเหลือคนดี ขณะเกิดภัยพิบัติ

    นาคาธิบดีแห่งไตรยุค ผู้อยู่เหนือภัยธรรมชาติ

    กล่าว ว่า กลุ่มนาคราช หมายถึง ไม่ใช่มีเพียงนาคราชท่านเดียว แต่เป็นการรวมตัวของ นาคราชสามพี่น้องผู้รับหน้าที่หลักดูแลยุคทั้งสาม ในการดูแลปกป้องพระพุทธศาสนามาตั้งแต่ สมัยพระพุทธเจ้าพระองค์แรก (สมเด็จองค์ปฐม) เรื่อยมาจนถึงยุคพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน และ รวมถึงนาคราชผู้รับหน้าที่จะดูแลในอนาคตกาล สมัยที่พระอริยเมตตรัยมาตรัสรู้ธรรม เรียกรวมว่า ไตรยุค คือ อดีต ปัจจุบัน อนาคต รวมเป็นหนึ่ง มาช่วยกันดำเนินงาน ... แต่ละท่านมีจำนวนเศียร ขนาด สีแตกต่างกัน แต่ศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน เมื่อรวมจำนวนบริวารของแต่ละท่านก็มากมายประดุจกองทัพ ... บ่งบอกว่างานครั้งนี้เป็นงานที่สำคัญครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่สมควร จารึกไว้

    ในการกำหนดสัญลักษณ์ แทนนาคาธิบดีแห่งไตรยุค เนื่องจากแต่ละท่านมีลักษณะแตกต่างกัน เพื่อความสะดวก ทุกท่านตกลงให้ใช้เป็นรูปนาคราชสามเศียร เรียกนามรวมว่า สีติกะนาคราช ( สีติกะนาคาธิบดี ) และให้มีรูปของพระพุทธเจ้า หรือ เครื่องหมายของพระรัตนตรัย ควบคู่กันไปเสมอ ด้วยพวกท่านมีหน้าที่ผู้ดูแลปกป้องพระพุทธศาสนาในสามยุค มิใช่มาสร้างลัทธิใดๆ ตามที่ได้กล่าวไว้แล้วข้างต้น พญานาค เป็นผู้มีพลังพิเศษเกี่ยวกับความเป็นไปของแผ่นดินและผืนน้ำ งานในส่วนการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญด้านแผ่นดินและผืนน้ำของโลกครั้งนี้ ทั้งสามภพจึงมีมติให้เป็นหน้าที่ของสีติกะนาคาธิบดีแห่งไตรยุคเป็นกองหน้าใน การดำเนินงาน


    <center>นาคาธิบดีแห่งไตรยุค กับ กองกำลังอภิญญา </center>
    งาน ของกลุ่มนาคาธิบดีแห่งไตรยุค ทำงานเป็นระบบเชื่อมโยงกับงานของกลุ่มพระอริยะสงฆ์ที่บุคคลทางโลกเรียกว่า คณะหลวงปู่ใหญ่เทพโลกอุดร เปรียบเหมือนหน่วยงานในบริษัทเดียวกัน แต่ต่างแผนก ต่างหน้าที่ โดยทำงานประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน

    หาก งานของแผนกหนึ่งมีการเลื่อนกำหนดงาน หรือปรับปรุงแผนงาน แผนกอื่นก็ต้องเลื่อนหรือปรับตามกัน เพื่อให้สอดคล้องและสนับสนุนกัน "สิ่งนี้จึงเป็นลักษณะเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ใช่สิ่งตายตัว เกินกว่าที่มนุษย์จะเปิดตำราหรือทำนายได้แม่นยำ จึงกล่าวได้ว่า มนุษย์ทำนาย ฤาจะสู้ฟ้าลิขิต"

    หน้าที่ของคณะหลวงปู่ใหญ่เทพโลกอุดร ดูแลเตรียมงานการรองรับภัยพิบัติทั้งหมด เช่น

    •การเตรียม กองกำลังผู้มีอภิญญาพลังจิต เพื่อดำเนินงานต่างๆ
    •การคัดกรองรายชื่อของบุคคลผู้ปฏิบัติดีและมีจิตใจดีงาม จากบุคคลทุกสายการปฏิบัติธรรม
    •การเตรียมสถานที่หลบภัย เสบียงอาหาร การเคลื่อนย้ายบุคคลเข้าสู่สถานที่หลบภัย
    •การรักษา เอกสารสำคัญ ตลอดจนองค์ความรู้และเทคโนโลยีต่างๆ จากภัยพิบัติ
    •ฝ่ายสนับสนุนให้ความช่วยเหลือ ประสานงานกับ กลุ่มบุคคลทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ
    •การประสานงานกับฝ่ายดำเนินการภพภูมิต่างๆ

    ตัวอย่าง การประสานงาน : ก่อนเกิดสึนามิในไทย คณะหลวงปู่ใหญ่เทพโลกอุดรกำหนดจุดตรึงแผ่นดินในบางส่วนของประเทศไทย ไม่ให้เคลื่อนตัวรุนแรงตามแผ่นดินไหว โดยแต่ละจุดที่ถูกกำหนด ทางนาคาธิบดีแห่งไตรยุคได้ส่งบริวารนาคไปทำการอารักขาและตรึงแผ่นดินไม่ให้ เคลื่อนจนกว่าจะถึงวาระ เช่น บริเวณเขื่อน จ.กาญจนบุรี

    จิตใจที่ดีงาม คือ ความรอด

    เรื่อง ของภัยพิบัติ เป็นเรื่องที่รู้เพื่อ เตรียมกาย เตรียมใจ เตรียมการณ์ให้พร้อม โดยยังดำเนินชีวิต ทำกิจกรรม ทำงานตามปกติ ไม่ตื่นตระหนกหรือกังวลเกินขอบเขต

    การเตรียมใจ คือ การฝึกจิต ยึดมั่นในความดี ในทางพุทธคือ การรักษาศีล5 ฝึกสมาธิ และแผ่เมตตาให้มากๆ

    ด้วยจิตใจที่ดีงาม และมีการเตรียมกาย เตรียมใจที่ดี จะส่งผลให้รอดพ้นจากภัยพิบัติในรูปแบบแตกต่างกัน เช่น

    •รอดด้วยผลแห่งกรรมดีของตน
    •ได้รับคำเตือนจากกัลยาณมิตร และนำพาให้รอดพ้นด้วยกัน
    •ได้รับคำเตือนจากพระสุปฏิปันโน และนำพาให้รอดพ้น
    •ได้รับการช่วยเหลือจากกองทัพนาคราชให้ผ่านพ้นวิกฤตเฉพาะหน้าขณะเกิดภัยพิบัติ
    •สำหรับบุคคลพิเศษ ได้รับการช่วยเหลือโดยตรงจากกองกำลังอภิญญาของหลวงปู่ใหญ่ พาไปยังสถานที่ปลอดภัย
    •อื่นๆ เช่น การช่วยเหลือจากมนุษย์ต่างมิติ มนุษย์ต่างดาว

    ปัจจุบัน ทั้งทางวิทยาศาสตร์และจิตศาสตร์ ได้เชื่อมโยงแนวโน้มแห่งภัยพิบัติธรรมชาติ ไปในแนวทางเดียวกัน จึงเป็นสิ่งที่เราทุกคนควรตระหนักและเตรียมการณ์ด้วยความไม่ประมาท

    ***************************************************************
    แล้ว พวกคุณแต่ละคนล่ะ เลือกทางเดินให้ชีวิตของตัวเองกันหรือยัง การทำในสิ่งดีงาม หรือ การปฏิบัติธรรม ไม่ว่าจะเกิดภัยพิบัติหรือไม่ก็ตาม ความดีงามเหล่านั้นก็ไม่ได้สูญหายไปไหน สิ่งเหล่านี้ก็จะอยู่กับตัวท่านเอง ไปตราบจนนานเท่านาน นานเกินกว่าที่ทุกท่านจะรู้ได้ ท่านเคยรู้สึกบ้างมั้ยว่าทำไมเวลาท่านทำความดีในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่ทำไมเรากลับรู้สึกสุขใจอย่างบอกไม่ถูก ......

    เรื่องนี้โปรดใช้วิจารณญาณของท่านในการไตรตรอง ว่าท่านจะเชื่อ หรือ ไม่เชื่อ

    ที่มา
    http://www.watthamfad.com/Index_TH.htm

    หมายเหตุ

    "กลุ มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ" ของพวกเราซึ่งนำโดยคุณคณานันท์ ทวีโภค เป็นหัวหน้ากลุ่ม เป็นสายงานโดยตรงของ"หลวงปู่ใหญ่เทพโลกอุดร"ครับ ซึ่งคุณคณานันท์ จะสื่อสารทางสมาธิจิตกับหลวงปู่เทพโลกอุดร อยู่ตลอดเวลา จึงขอให้ท่านผู้อ่านมั่นใจได้ว่า ทางกลุ่มของเราไม่ได้ทำงานแบบโดดเดี่ยวตามลำพังแต่อย่างใด แต่ได้ร่วมมือกันทำงานกับทุกๆ กลุ่ม ทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเขากะลา(มนุษย์ต่างดาว) หรือกลุ่มพญานาค ที่กำลังวางแผนงานช่วยเหลือคนดีมีศีลธรรม ให้รอดพ้นจากภัยพิบัติใหญ่ในครั้งนี้ เพื่อมาร่วมมือกันฟื้นฟูพระพุทธศาสนาให้กลับมารุ่งเรืองขึ้นอีกครั้ง ตราบเท่าจนครบ 5,000 ปีตามพุทธฏีกาพยากรณ์ครับ

    ที่มาของเรื่องราว
    http://palungjit.org/threads/พญานาค-อภิญญา-กับ-ภัยพิบัติโลก.285626/
     
  14. เฉียวฟง

    เฉียวฟง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,190
    ค่าพลัง:
    +4,913
    สวัสดีครับคุณลิน และสมาชิกทุกท่าน มารออ่านบทความดีๆด้วยคนครับ:cool:
     
  15. lynn@nice

    lynn@nice เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    21,530
    ค่าพลัง:
    +19,462
    สวัสดี ค่ะ คุณ เฉียวฟง ขอบคุณนะคะที่แวะมาเยี่ยมชม ลินจะพยายามหาบทความดีๆมาให้อ่านค่ะ ถ้ามีวัตถุมงคลที่เกี่ยวกบพญานาค ก็นำมาโพส์ได้เลยค่ะ
     
  16. lynn@nice

    lynn@nice เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    21,530
    ค่าพลัง:
    +19,462
    หลวงปู่คำคะนิง เที่ยวเมืองนาค

    หลวงปู่คำคะนิง จุลละมณี เป็นชาวคำม่วน แขวงคำม่วน ประเทศลาว แรกเริ่มเดิมทีก่อนจะเข้าสู่ร่มผ้ากาสาวพัสตร์นั้น มีครอบครัวลูกเมียเป็นฝั่งเป็นฝามาก่อน

    แต่พออายุได้ 30 ปีก็เบื่อหน่ายชีวิตครองเรือน จึงอำลาลูกเมียออกบวชเป็นฤๅษีดาบส ท่องเที่ยวธุดงค์ไปในป่าเขาลำเนาไพร เป็นเวลานานถึง 15 ปี ไม่เคยเข้าอยู่หมู่บ้านเลย อยู่แต่ในป่าเป็นวัตร ถือสัจจะเคร่งในศีลฤๅษีโยคี ฝึกตนอย่างเคร่งเครียดละเว้นความชั่วทุกประการ

    7 วันขบฉันอาหารครั้งหนึ่ง 15 วันขบฉันอาหารครั้งหนึ่ง เป็นการบำเพ็ญตบะอย่างแรงกล้า เพื่อพิสูจน์กำลังใจและความทรหดอดทนของตนว่า มีความกลัวตายไหม ? อาลัยใยดีในสังขารร่างกายขนาดไหน ?

    จากการปฏิบัติตนแบบฤๅษีชีไพรอย่างยิ่งยวดนี้เอง ทำให้ท่านพบกับความศานติสงบกายสงบจิตอย่างล้ำลึก มีความสุขอย่างหาที่เปรียบมิได้ในองค์ฌานสมาธิ เป็นพระฤๅษีผู้แก่กล้าฌานสมาบัติ สามารถเข้าฌานได้นานวัน โดยไม่อ่อนเพลีย ไม่หิวโหย

    ร่างกายกระชุ่มกระชวยแข็งแรงเป็นปกติ สามารถเดินธุดงค์ขึ้นเขาลงห้วยได้เหมือนคนหนุ่มฉกรรจ์ เพียงแต่ว่าร่างกายไม่อ้วน ร่างกายผอมเกร็ง แข้งขามือกำได้รอบ แต่ทว่าแข็งแรงอย่างน่าอัศจรรย์ ไปไหนมาไหนในป่าในถ้ำ สัตว์ป่าก็เป็นมิตรไม่กล้ามาทำอันตราย ด้วยอำนาจเมตตาที่แผ่ออกมาจากฌานสมาธิ

    อยู่แต่ในป่าในถ้ำนับร้อยนับพันถ้ำในภูเขาแดนลาว เสวยสุขในฌานจนเบื่อหน่าย เห็นว่าไม่ใช่ทางหลุดพ้นทุกข์ ไปสู่มรรค ผลนิพพาน หลวงปูคำคะนิงจึงได้ลาเพศฤๅษีดาบสเข้าสู่พระพุทธศาสนาอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เพื่อปฏิบัติธรรมสูงทางพ้นทุกข์อันถูกต้องร่องรอย

    เมื่อบวชเป็นพระแล้วก็ยังถือมั่นอยู่ในสัจจอธิษฐานคืออยู่ในป่าในถ้ำเป็น วัตร ไม่ยอมเข้าอยู่หมู่บ้านหรือสำนักสงฆ์และวัดวาอารามใด ๆ เป็นเด็ดขาด มุ่งถือ “พระธรรม” คือการปฏิบัติทางจิตเพื่อความหลุดพ้นเป็นใหญ่ ได้ธุดงค์ไปจำพรรษาตามถ้ำตามทิวเทือกเขาต่าง ๆ ….

    <hr width="300" align="center" color="#ff9966" size="1">
    ถ้ำมืดชาวบังบด

    หลวงปู่คำคะนิงได้ทราบจากคำเล่าลือของชาวบ้านและพระธุดงค์ว่า ณ ที่ถ้ำมืดใกล้กับภูปัง ฝั่งไทยเขตโขงเจียม อยู่เลยอำเภอบ้านด่านขึ้นไปทางเหนือนั้น เป็นถ้ำ “เมืองลับแล” หรือที่ชาวบ้านเรียก “ชาวบังบด”

    “ถ้ำมืด” นี้เป็นถ้ำศักดิ์สิทธิ์มี เหล็กไหล ชาวเมืองลับแลหวงแหนมาก แต่วันดีคืนดี ใครมีวาสนาหลงเข้าไปในถ้ำเมืองลับแลที่ว่านี้ จะได้รับแก้วแหวนเงินทองจากชาวลับแล หรือไม่ก็ได้พระทองคำมาบูชา

    ลึกลงไปใน “ถ้ำมืด” เป็นนครเร้นลับใต้พิภพ คือเมืองบาดาลของพญานาค อยู่ใต้แม่น้ำโขง เป็นเมืองใหญ่โตมโหฬาร ถ้าเข้าไปจากถ้ำฝั่งไทยจะลอดไปใต้แม่น้ำโขง เป็นอุโมงค์กว้างใหญ่และมีทางแยกไปสลับซับซ้อนคล้ายรวงผึ้ง สามารถจะทะลุขึ้นฝั่งโขงด้านประเทศลาว

    อุโมงค์บางสายทะลุไปออกแก่งลี่ผีสีทันดร ระยะทางนับร้อยกิโลเมตร อุโมงค์บางสายซึ่งเป็นเมืองบาดาลนี้ไปทะลุออกเมืองแกวเมืองญวน ซึ่งพระธุดงค์หลายรูปได้นั่งทางในตรวจสอบด้วยกระแสญาณแล้ว เห็นตรงกันว่าเป็นความจริง

    ได้มีชาวบ้านพวกแสวงหาทรัพย์สินโบราณสมบัติปู่โสมหลายคณะ ได้เข้าไปค้นหาสมบัติในถ้ำมืดนี้ ปรากฏว่า เป็นถ้ำกว้างใหญ่ลักษณะถ้ำตัน ไม่มีอุโมงค์ลับซับซ้อน ไม่มีเมืองพญานาคไม่มีเหล็กไหล ไม่มีทรัพย์สมบัติโบราณแต่อย่างใดเลย

    พวกคนโลภโมโทสันทั้งหลายต่างผิดหวังพากันด่าว่านินทาพระสงฆ์องค์เจ้าหาว่า โกหกหลอกลวงนั่งหลับตาพยากรณ์ส่งเดชอวดอุตริมนุสธรรม ด่าว่านินทาพระสงฆ์องค์เจ้า ผลกรรมทันตาเห็น ปรากฏว่าพวกค้นหาสมบัติในถ้ำ พากันหาทางออกจากถ้ำไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่จุดคบไฟสว่าง พวกเดียวกันแท้ ๆ ก็มองไม่เห็นกันต่างหลงทางเดินร้องตะโกนเรียกหากันโหวกเหวกอยู่ 15 วัน อดข้าว อดน้ำแทบตาย จนต้องดื่มน้ำปัสสาวะตัวเองแทนน้ำ พอวันที่ 16จึงหาทางออกจากถ้ำได้ นับเป็นเรื่องเร้นลับอาถรรพณ์ น่าพิศวง

    <hr width="300" align="center" color="#ff9966" size="1">
    ค้นหาด้วยฌาน

    มีอยู่วันหนึ่ง พระอาจารย์คำดี พาชาวบ้านกลุ่มหนึ่งมาจากศีรสะเกษ โดยตั้งใจจะไปถ้ำมืดนั้นเพื่อหาเหล็กไหล พระพุทธรูปมาบูชา ถ้าจะไปเพียงลำพัง ก็กลัวอันตราย จำพากันมาหาหลวงปู่คำคะนิง เพื่อนิมนต์ให้ไปคุ้มครองอันตราย
    หลวงปู่คำคะนิงอยากจะพิสูจน์ความจริงเรื่อง “ถ้ำมืด” นี้ให้กระจ่างออกมา จึงรับนิมนต์ชาวบ้านว่าจะไปด้วย จากนั้น จึงเดินทางไปยังถ้ำมืดพร้อมกับคณะของอาจารย์คำดี

    เมื่อเข้าไปในถ้ำได้พบว่า เป็นถ้ำกว้างใหญ่มาก ถ้าติดฟืนไฟให้สว่างขึ้นในถ้ำมืดนั้นสามารถจะใช้เป็นห้องประชุมผู้คนได้เป็น หมื่น ๆ คนทีเดียว

    ในถ้ำมีค้างคาวอาศัยอยู่มาก มีลำธารไหลลอดใต้ภูเขาอยู่ในถ้ำ มีบาตรโบราณเก่า ๆ บรรจุพระเครื่องหักชำรุดและผ้าไตรผุเปื่อยซุกอยู่ซอกถ้ำแห่งหนึ่ง แสดงว่ามีคนเข้ามาบูชาเอาพระเครื่องไปหรือแก้บนผีสางเทวดา

    หลวงปู่คำคะนิงได้ออกเดินสำรวจดูถ้ำมืด ใช้คบไฟจุดให้แสงสว่าง สำรวจตรวจดูทุกซอกทุกมุมอย่างละเอียดถี่ถ้วน ก็ไม่พบว่ามีช่องทางจะทะลุเข้าไปข้างในได้อีกเลย มันเป็นถ้ำตันขนาดใหญ่ คล้ายห้องโถงที่มีทางเข้าและออกทางเดียวเท่านั้น

    เมื่อหาทางเข้าไปพบ คณะของอาจารย์คำดี เข้าใจว่า คงเป็นเพราะผีบังไว้ หรือเจ้าของเขาไม่เปิดทางให้ จึงตกลงกันทำพิธีบวงสรวงเพื่อขอต่อเจ้าที่ ทุกคน นั่งล้อมวงกัน และนั่งสมาธิ

    ส่วนหลวงปู่คำคะนิง ได้ปลีกตัวออกมาลำพัง และนั่งสมาธิ เพื่อตรวจดูด้วยตาทิพย์

    เมื่อหลวงปู่คำคะนิงนั่งเข้าฌานตรวจสอบด้วยทางใน เห็นนิมิตปรากฏสว่างจ้าขึ้นตรงมุมถ้ำด้านหนึ่ง มองเข้าไปตรงผนังถ้ำเห็นใสกระจ่างคล้ายผนังถ้ำทำด้วยแผ่นกระจก ในผนังถ้ำนั้นมีบ่อน้ำหิน ในบ่อน้ำนี้มีหินก้อนหนึ่งแช่อยู่รูปร่างคล้ายจระเข้ เสียงในนิมิตบอกว่า ให้ข้ามหรือลอดใต้ท้องจระเข้หินนี้เข้าไป แล้วจะพบประตูลับแลเข้าสู่ถ้ำชั้นใน

    เมื่อทราบแล้วดังนั้น หลวงปู่คำคะนิงจึงได้ออกจากสมาธิแล้วออกเดินสำรวจถ้ำมืดอีกครั้ง โดยตรงไปที่ผนังถ้ำที่ปรากฏเห็นในนิมิตก็พบด้วยความประหลาดใจว่า มีหินย้อยลงมาคล้ายหลืบฉากเล็ก ๆ ซึ่งตอนแรกเดินตรวจดูอย่างละเอียดแล้วไม่ได้พบหินย้อยตรงนี้ ดูคล้ายตาเซ่อไปเองหรือไม่ก็มีอะไรบังตาไว้ยังงั้นแหละ

    หลวงปู่คำคะนิงจึงนั่งยอง ๆ ลงชะโงกเข้าไปดูในซอกหลืบหินย้อยนี้ก็พบว่า เป็นซอกมุมทำเลพิกล มีรูดำมืดเข้าไป เป็นรูขนาดคนธรรมดามุดคลานเข้าไปได้ทีละคน แต่เมื่อเข้าไปแล้วจะเป็นรู้ตันหรือข้างในเป็นเหวลึกยังไม่รู้ อาจเป็นรูเข้าสู่ที่อยู่อาศัยของงูเหลือมยักษ์ก็เป็นได้

    จากนั้น หลวงปู่คำคะนิง จึงเดินมาหาคณะของพระอาจารย์คำดี บอกว่าพบทางเข้าถ้ำแล้ว มา จะพาไปดู... ทุกคนตามไปดู เมื่อเห็นทางเข้า ไปรูเล็กๆ ที่ต้องมุดเข้าไปทีละคน.. ด้วยความกลัว สุดท้าย ไม่มีใครกล้าเข้าไปในถ้ำ เพราะหลายคนเมื่อนั่งสมาธิ เห็นนิมิตงูใหญ่ เลื้อยอยู่ในถ้ำ... หลวงปู่คำคะนิง จึงเข้าไปคนเดียว และบอกให้ทุกคน ถอยห่างออกจากปากถ้ำไปไกลๆ เผื่อมีอะไรอันตรายไม่คาดคิด จะได้ปลอดภัย

    คณะของพระอาจารย์คำดี จึงได้แต่ถอยออกไปรออยู่ด้านนอก

    <hr width="300" align="center" color="#ff9966" size="1"> มีอีหยังขอเบิ่งแหน่

    หลวงปู่คำคะนิง กำหนดจิตอธิษฐานว่า

    “สาธุ นโม อันว่านมัสการแด่พระพุทธ พระธรรมพระสงฆ์ อันเป็นสรณะที่พึ่งประเสริฐสูงสุด อาตมาภาพจักขออนุญาตเข้าไปในถ้ำสถานอันลึกลับแห่งนี้ ขอปวงเทพเจ้าทั้งหลาย อันมีเจ้าป่า เจ้าเขา เจ้าถ้ำ ตลอดจนยักษ์ คนธรรพ์ และพญานาคทั้งหลายที่สิงสถิตอยู่ ณ ถ้ำสถานแห่งนี้ จงได้รับทราบและเปิดทางสะดวกให้แก่อาตมาภาพด้วยเถิด อาตมาภาพอยากจะขอเข้าไปดูชมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้เป็นวาสนาบุญหูบุญตาม ถ้าหากมีจริงก็ขอให้ได้ดูชมสมใจ มิได้มีเจตนาโลภโมโทสันอยากได้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือทรัพย์สมบัติของพวกท่านแต่ประการใดเลย”

    เมื่ออธิษฐานจบแล้ว หลวงปู่คำคะนิงก็จุดเทียนเล่มใหญ่ที่เตรียมมาในย่ามหลายห่อ แล้วมุดคลานเข้าไปในรูดำมืดนั้น เข้าไปลึกประมาณสองร้อยวาก็ทะลุออก คูหาถ้ำข้างในเป็นถ้ำกว้างประมาณห้าวา เพดานสูง มีหินย้อยจากเพดานและผนังถ้ำสีขาวหม่น ๆ งดงาม บ้างเป็นพู่พวงห้อยลงมาคล้ายม่านหรือโคมระย้า พื้นถ้ำเป็นตระพักซ้อนขึ้นไปมีขั้นบันไดธรรมชาติ

    บนตระพักนั้นเป็นแอ่งน้ำใสแจ๋วปานกระจก มีหินรูปร่างคล้ายจระเข้แช่ขวางอยู่ในแอ่งน้ำพอปริ่มๆ ถัดลึกเข้าไปมองเห็นปากอุโมงค์ดำมืดพอที่จะคลานมุดเข้าไปได้ ซึ่งตรงกับนิมิตในสมาธิทุกประการ

    หลวงปู่คำคะนิงจึงเดินลุยลงไปในแอ่งน้ำนั้นซึ่งลึกแค่เอว พอไปถึงจระเข้หิน พอจะปีนป่ายขึ้นหลังมันเพื่อจะข้ามไป แต่เป็นที่น่าประหลาดว่า จระเข้หินนั้นเคลื่อนไหวได้ มันยกตัวลอยสูงขึ้นเหนือน้ำปิดทากอุโมงค์ไว้ เอ๊ะ...นี่มันยังไงกัน ? หลวงปู่คำคะนิงแปลกใจ จึงลองเอาเท้าแหย่เข้าไปใต้ท้องจระเข้หินดู ทำท่าคล้ายจะมุดลอดใต้ท้องมันไป

    แปลกอีกแล้ว จระเข้หินก็จมตัวลงในน้ำ ไม่ยอมให้มุดลอดไปอีก นี่ไม่ใช่เรื่องธรรมดาเสียแล้ว ต้องเป็นสิ่งลึกลับอาถรรพณ์คอยพิทักษ์รักษาปากถ้ำไว้เป็นแม่นมั่น

    ท่านจึงกำหนดจิตอธิษฐานขึ้นดัง ๆ ว่า

    “โอ๊ย...ผู้ข้า... ขอเข้าไปเบิ่งบูชาหูบูชาตาดอก ถ้ามีอีหยังขอเบิ่งแหน่ บ่มีเจตนาอย่างอื่นใดดอก”

    เป็นภาษาไทยอีสานมีความหมายว่า ตัวข้าหรือกระผม ขอเข้าไปดู เพื่อบูชาหูบูชาตา ถ้ามีอะไรขอดูหน่อย ไม่มีเจตนาอย่างอื่นใดหรอก

    ทันทีที่อธิษฐานจบลง จระเข้หินจมตัววูบลงไปกบดานอยู่ใต้น้ำราวมีชีวิต อนุญาตให้หลวงปู่คำคะนิง ลุยน้ำข้ามหลังมันไปโดยสะดวก จากนั้นก็คลานมุดเข้าไปในปากอุโมงค์ดำมืดนั้น

    อุโมงค์ลาดต่ำลึกลงไปยาวประมาณสามสิบวา ก็ทะลุถึงอีกคูหาถ้ำ เป็นถ้ำกว้างพอสมควรเพดานสูงโค้ง มีหินย้อยใหญ่น้อยทั้งยาวและสั้น สีต่าง ๆ เช่น น้ำตาลอ่อน ขาวนวล แดงและเหลืองรูปร่างแปลก ๆ คล้ายจีบม่านแพรเป็นริ้ว ๆ ก็มี คล้ายสายน้ำตกก็มี สลับซับซ้อนคล้ายตำหนักที่เทพเจ้าสร้างไว้ เมื่อกระทบแสงไฟเทียนจะเกิดประกายระยิบระยับ ดุจโรยด้วยกากเพชร สวยงามวิจิตรพิสดารมาก

    <hr width="300" align="center" color="#ff9966" size="1"> พุทโธคุ้มหัว

    ตรงกลางถ้ำมีสิ่งมีชีวิตร่างหนึ่งตระหง่านอยู่ ทำให้หลวงปู่คำคะนิงต้องตะลึงจังงัง

    สิ่งมีชีวิตนั้นคือพญางูตัวหนึ่งใหญ่เท่าต้นตาล ดำมะเมื่อมเลื่อมพราย ชูคอขึ้นสูงท่วมหัว นัยน์ตาเขียวเปล่งประกายเจิดจ้าคล้ายแสงมรกต จ้องมองมายังหลวงปู่คำคะนิงอย่างน่าสะพรึงกลัว เป็นพญางูที่ไม่มีหงอน

    หลวงปู่คำคะนิงเล่าถึงตอนนี้ว่า ท่านไม่รู้สึกหวาดกลัวมัน แต่ขนลุกซู่ซ่าไปหมด จะกลัวไม่ได้ ถ้านึกกลัวจะเป็นอันตราย ต้องกำหนดจิตอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกภาวนา “พุทโธ ๆ ๆ ” ไว้ในใจเรื่อย ๆ

    “ท่องพุทโธตัวเดียวนี้แหละคุ้ม ครองได้หมด พระธรรมแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์รวมลงอยู่ที่พุทโธตัวเดียวนี้แหละ พุทโธตัวเดียวเป็นพระคาถาศักดิ์สิทธิ์สูงสุดในสากลโลกนี้ จำไว้ให้ดี คาถาของหลวงปู่มีพุทโธตัวเดียว ใช้ได้ทุกอย่างแล้วแต่จะอธิษฐานเอา ”

    เมื่อกำหนดจิตกาวนาพุทโธ ๆ ๆ แล้ว หลวงปู่คำคะนิงได้พูดขึ้นกับพญางูดัง ๆ ว่า “อาตมา ภาพถือสัจจะที่เข้ามานี้ มาขอดูชมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในบ้านเมืองของท่าน ถ้ามีอะไรก็ขอดูชมให้สมใจเพื่อเป็นวาสนาบุญตาด้วยเถิด ขอดูชมเฉย ๆ ไม่เอาไปหรอก”

    <hr width="300" align="center" color="#ff9966" size="1"> อุโมงค์แก้วใต้น้ำโขง

    เมื่อกล่าวจบลง สิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น พญางูใหญ่ลดหัวลงต่ำทันที มันเลื้อยเข้าไปข้างใน ตัวมันยาวใหญ่มาก หลวงปู่คำคะนิงยังคงยืนงุนงงถือเทียนเฉยอยู่

    พญางูได้เอี้ยวคอหันมาดูแล้วผงกหัวให้คล้ายเป็นเชิงบอกให้ตามไป หลวงปู่คำคะนิงจึงถือเทียนเดินตามไปห่าง ๆ ลำตัวพญางูยาวคล้ายจะไม่สิ้นสุด ท่านเดินตามไปข้าง ๆ มัน

    ครั้นแล้วมันก็หยุดลง ทำหัวก้ม ๆ เงย ๆ ลงที่พื้นถ้ำ 2 3 ครั้ง ตรงนั้นเป็นปากหลุมถ้ำดำมืด ท่านเข้าใจได้โดยวิถีจิตว่าพญางูบอกกล่าวไม่ให้ลงไปในปากถำหลุมดำมืดนั้น เพราะจะเป็นอันตรายให้ระวัง

    จากนั้นพญางูได้เลื้อยตรงไปทางขวามือแล้วหันมาผงกหัวขึ้น ๆ ลง ๆ ให้ท่านเข้าไปดู เมื่อเข้าไปดูพบว่าตรงนั้นมีหินย้อยลงมาสวยงามมาก คล้ายม่านแพรริ้ว ๆ พญางูได้ยื่นหัวของมันชะโงกเข้าไปข้าง ๆ หินย้อยรูปม่าน

    ปรากฏว่ามีรูใหญ่ดำมืด พญางูผงกหัวขึ้น ๆ ลง ๆ คล้ายจะบอกให้ลงไปในรูนี้ จากนั้นมันก็เลื้อยนำทางลงไปก่อน

    ท่านถือเทียนจุดสว่างลงไปในรูนี้ตามหลังมันไป ทางลงราบรื่นเกลี้ยงเกลา เพดานและผนังอุโมงค์ทางลงกระทบแสงเทียน เป็นประกายระยิบระยับพร่างพรายไปหมด คล้ายแสงดาวนับแสนนับล้านดวงในท้องฟ้า บอกให้รู้ว่าเป็นพวกแร่ธาตุอัญมณี อุโมงค์ทางลงลาดต่ำลงไปเรื่อย ๆ จากการกำหนดหมายจดจำไว้

    หลวงปู่คำคะนิงเล่าว่า

    อุโมงค์นี้พุ่งตรงไปยังด้านทิศตะวันออกคือแม่น้ำโขง อุโมงค์ยาวมาก เดินจนรู้สึกเหนื่อย เทียนหมดไปหลายเล่ม

    เมื่อท่านหยุดยืนพักเหนื่อย พญางูก็จะหยุดบ้างแล้วเอี้ยวคอมาดูผงกหัวขึ้น ๆ ลง ๆ คล้ายบอกให้ตามไป ท่านก็ออกเดินต่อไปอีก กะว่าเดินไปหนึ่งวันเต็ม ๆ

    ไปถึงสถานที่แห่งหนึ่ง เป็นคูหาถ้ำกว้าง วิจิตรพิสดารด้วยหินย้อยเป็นหลืบฉากคล้ายท้องพระโรง มีแสงสว่างรุ่งเรืองอันเกิดจากหินย้อยเปล่งแสงคล้ายดวงดาว

    ตอนนี้เทียนที่จุดสว่างนำทางได้ดับลง หลวงปู่คำคะนิงรู้สึกหายใจไม่ออก ไม่มีอากาศหายใจ จึงกำหนดจิตอธิษฐานขึ้นว่า

    “โอ๊ย...ข้าน้อย...ขอให้ได้เห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เถิด ข้าน้อยอยากเบิ่ง อย่าเพิ่งให้ตายเลย”

    อธิษฐานจบก็มีอากาศหายใจอย่างสดชื่น รู้สึกร่างกายหายเหนื่อยกระปรี้กระเปร่าขึ้น ตอนนี้พญางูใหญ่ซึ่งหยุดดูอยู่ได้ผงกหัวขึ้น ๆ ลง ๆ ให้ตามไป

    เมื่อออกเดินไปก็เห็นเพดานอุโมงค์ข้างบนเป็นหินสีขาวใสกระจ่างเหมือนกระจก กว้างประมาณยี่สิบวา มองขึ้นไปเห็นเป็นแม่น้ำใหญ่ไหลเอื่อย เห็นท้องฟ้าอยู่เหนือน้ำด้วย

    ความรู้สึกบอกว่า ข้างบนคือแม่น้ำโขง เวลานี้ท่านกำลังอยู่ในอุโมงค์แก้วเมืองบาดาลใต้แม่น้ำโขง

    พญางูเลื้อยนำทางเข้าถ้ำโน้นออกถ้ำนี้ วกไปวนมาคล้ายรวงผึ้งยักษ์ แต่ละถ้ำสวยงามพิสดารด้วยหินงอกหินย้อย ตามผนังถ้ำรุ่งเรืองไปด้วยแสงแก้วมณีสีต่าง ๆ สว่างไสวเต็มไปหมด

    <hr width="300" align="center" color="#ff9966" size="1"> เมืองใต้พิภพ

    ไปเรื่อย ๆ 3 วัน 3 คืน ไม่ได้ฉันข้าวน้ำอะไรเลย แต่ไม่รู้สึกหิวโหยอ่อนเพลียแต่ประการใด กลับมีแต่ความรู้สึกอันสดชื่นเบิกบาน ร่างกายกระชุ่มกระชวยผาสุก อุโมงค์และคูหาถ้ำน้อยใหญ่ที่พญางูใหญ่นำเที่ยวดูชม ล้วนงามรุ่งเรืองตระการตา ทำให้เพลิดเพลินเจริญใจจนลืมเวล่ำเวลาที่ผ่านไปไม่รู้ตัว

    จนกระทั่งมาถึงแม่น้ำสายหนึ่งไหลเอื่อยอยู่ใต้พิภพ น้ำไม่ลึกมองเห็นกรวดทรายสีต่าง ๆ ระยิบระยับอยู่ใต้ขึ้นน้ำที่ใสกระจ่างปานกระจก พญางูใหญ่เลื้อยปราดลงไปในแม่น้ำแล้วหายวับไป. จะว่ามุดน้ำหนีไปก็ไม่ใช่เพราะจับตาดูอยู่ เป็นการหายไปเฉย ๆ คล้ายแสงไฟดับยังงั้นแหละ

    หลวงปู่คำคะนิงตัดสินใจ เดินลุยน้ำข้ามไป พอหลวงปู่คำคะนิงขึ้นถึงฟากฝั่งตรงข้ามก็ต้องประหลาดใจ เมื่อพบว่า มีรอยมนุษย์เพิ่งขึ้นจากน้ำไปใหม่ ๆ รอยนั้นเปียกน้ำอยู่ แต่ไม่เห็นตัวคน

    หลวงปู่คำคะนิงก็ล่วงรู้ได้ด้วยญาณว่า แม่น้ำสายนี้ เป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ ขวางกั้นด่านชั้นในเข้าสู่เมืองพญานาคใต้พิภพ เมื่อพวกพญานาคหรืองูใหญ่เลื้อยลงสู่แม่น้ำนี้แล้ว จะกลายร่างจากงูใหญ่เป็นร่างมนุษย์ไปในบัดดล

    แน่แล้วพญางูผู้นำทาง จะต้องเป็นเจ้าของรอยเท้ามนุษย์เปียกน้ำ ท่านจึงออกเดินสะกดรอยนั้นไป แต่เพื่อป้องกันหลงทางในตอนขากลับ จึงได้เก็บเอาก้อนหินมาวางไว้เป็นเครื่องหมาย

    เดินไปได้ไม่ไกลก็เห็นคูหาถ้ำอันกว้างใหญ่ไพศาล เพดานถ้ำอยู่สูงลิ่วเป็นรูปโค้งคล้ายโดม แสงสว่างรุ่งเรืองสดใสคล้ายอาบด้วยละอองสีทอง ทำให้จีวรย้อมฝาดของหลวงปู่กลายเป็นสีทองเข้ม ไหลออกไปสุดสายตาเป็นแสงสว่างสีชมพูอ่อน ๆ สลัวหมอกมัวมองไม่ทะลุ

    ภายในคูหาถ้ำแห่งนี้มีพระมหาเจดีย์องค์ใหญ่สูงลิบลิ่ว เป็นทองคำทั้งแท่ง สุกปลั่งอร่ามพร่างพราย ชวนให้ตะลึงลาน รอบ ๆ องค์มหาเจดีย์ทองคำมีพระพุทธรูปทองคำตั้งเรียงรายไว้เป็นชั้น ๆ มากมายสุดคณานับ แต่ละชั้นทำด้วยหินผลึกสลักลายทองคำลวดลายละเอียดยิบ กระถางธูปและเชิงเทียนตั้งเรียงราย ตัวกระถางเป็นสีมรกตจางใสโตขนาดช่วงแขนโอบ

    ภายในกระถางบรรจุไว้ด้วยทรายทองคำเต็มสำหรับปักธูปซึ่งจุดส่งควันกรุ่น มีกลิ่นหอมตลบอบอวลชื่นใจ เชิงเทียนเป็นมณีสีแดง เทียนที่จุดมีทั้งเทียนขาว เหลือง แดง

    ถัดออกไปเป็นกำแพงแก้วล้อมรอบพระมหาเจดีย์ กำแพงแก้วฝังไว้ด้วยเพชรเม็ดใหญ่ ๆ ตามลวดลายกนกส่องแสงวุบวับเป็นประกาย ดุจดวงดาวนับหมื่นนับแสนดวงมาประดับไว้ ณ ที่นั้น

    นอกกำแพงแก้วออกไปเป็นมหาวิหารคด และพระอุโบสถสร้างด้วยหินอ่อนสีขาวประดับลวดลายด้วยเส้นลายทองคำฝังแก้วเจ็ด ประการ งามรุ่งเรืองวิจิตรพิสดารน่าอัศจรรย์

    “หลวงปู่ไม่ได้ฝันไปนะ ไม่ได้เข้าฌานถอดกายทิพย์ไป แต่ไปด้วยร่างกายแก่เฒ่าของปู่นี้แหละ หลวงปู่ยังเข้าไปโอบกอดพระมหาเจดีย์ทองคำเลย เป็นทองคำจริง ๆ เนื้อแน่นหนาทึบเย็นเหมือนน้ำ หลวงปู่ดูละเอียดหมด ยังได้จุดธูปเทียนในภาชนะแก้วทองสักการะเลย” หลวงปู่คำคะนิงกล่าวยืนยันเป็นถ้อยคำแข็งแรง

    <hr width="300" align="center" color="#ff9966" size="1"> มนุษย์นาค

    “หลวงปู่พบพระสงฆ์องค์เจ้าหรือเปล่าครับ”

    “ไม่มีพระเณร เงียบมาก เงียบจนกระทั่งหลวงปู่ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นดังตึก ๆ หลวงปู่เดินเที่ยวดูหมด ไม่มีพระเณรเลยสักองค์จริง ๆ กุฏิหินอ่อนสีขาวหลังคาเป็นแก้วประพาฬปลูกไว้เรียงรายหลายสิบหลัง ปิดประตูหน้าต่างเงียบ คล้ายเป็นวัดร้าง” หลวงปู่กล่าว

    “วัดนี้ไปอยู่ในถ้ำได้อย่างไรครับ”

    “มีผู้สร้างขึ้นไว้ ไม่ใช่มนุษย์บนโลกสร้าง แต่ เป็นมนุษย์นาคสร้าง”

    “มนุษย์นาค??”

    “ก็พญานาคนั่นแหละ ที่นี่เป็นเมืองบาดาลของพวกพญานาค พวกเขานับถือพระพุทธศาสนาเหมือนกัน พญานาคเป็นสิ่งมีชีวิตเร้นลับ เป็นกึ่งสัตว์เดรัจฉานและกึ่งเทพเจ้า มีมหิทธานุภาพมาก สามารถจำแลงกายเป็นชายหนุ่มละหญิงสาวสวยงามได้ ชอบทำบุญสร้างกุศลในพุทธศาสนา”

    “หลวงปู่ทำไมไม่อยู่จำพรรษาที่นั่นล่ะครับ”

    “อยู่ไม่ได้ เพราะหลวงปู่แค่ขออนุญาตเขาเข้าไปดูชมให้เป็นบุญหูบุญตาเท่านั้น”

    “นอกจากวัดที่หลวงปู่เห็นแล้วมีอะไรอีกครับ”

    “หลวงปู่เดินดูชมบริเวณวัดจน ทั่วแล้วก็เลยไปทางสระใหญ่มีดอกบัวสีต่าง ๆ ขึ้นเต็ม ดอกบัวส่งกลิ่นหอมชื่นใจมาก มีสนามหญ้าสีเขียวตัดเรียบ มีสวนดอกไม้กว้างสุดสายตา แล้วก็มีทางเดินปูลาดด้วยแผ่นแก้วสีขาวหม่น ๆ สองข้างทางเป็นต้นไม้ทั้งดอกทั้งใบสีแปลก ๆ ลูกผลยั้วเยี้ยเลย ก็เลยเดินเข้าไปตามทางนี้ รู้สึกกว่ากลิ่นหอมของดอกไม้รุนแรงยิ่งขึ้น หอมจนฉุนกึ้กขึ้นจมูกเลย หลวงปู่รู้สึกวิงเวียน”

    <hr width="300" align="center" color="#ff9966" size="1">
    ดาบสฤๅษี

    “ก็พอดีเดินเข้าไปถึงเบื้องผาแห่งหนึ่ง มีขั้นบันไดหินทอดขึ้นไปสูงประมาณสองวา พบคนผู้หนึ่งนั่งอยู่เป็นพระฤๅษีดาบสผมยาว”

    “พระฤๅษีหรือครับ”


    “เป็นคนนี่แหละ แก่เฒ่าแล้ว ผมขาวยาวหนวดเครายาวถึงเอว นั่งพิงหมอนขวานใบใหญ่อยู่ใต้เงื้อมผา อาสนะที่นั่งเป็นเบาะปูลาด”


    “หลวงปู่ก็นั่งลงยกมือไหว้ ตาแก่คนนั้นร้องห้ามหลวงปู่ไว้ ไม่ให้ไหว้ แกบอกว่า ข้าเจ้าไม่ใช่พระ อย่าไหว้ข้าเจ้าให้เป็นบาปเลย ข้าเจ้าเป็นตาปะโสหรือดาบสฤๅษี”


    “ดาบสฤๅษีเป็นพญานาคแปลงกายหรือครับ”


    “ไม่ใช่ ท่านบอกว่าท่านบวชเป็นพระฤๅษีดาบสมาได้ 3,000 ปีแล้ว บำเพ็ญศีลเจริญภาวนาอยู่ แก่งลี่ผี”


    “เป็นไปได้หรือครับ ที่คนเราจะมีอายุถึงสามพันปี”


    “พวกฤๅษีดาบสที่บำเพ็ญพรตเจริญภาวนา ในพระธรรมจนบรรลุอภิญญาสมาบัติชั้นสูงพวกท่านย่อมมีอำนาจสามารถยืดอายุเวลา ให้ยืนนานออกไปได้นับพัน ๆ ปี อันนี้หลวงปู่เชื่อว่าเป็นความจริง มันเป็นวิชชาลึกลับ”

    <hr width="300" align="center" color="#ff9966" size="1">
    แก่งลี่ผี

    “แก่งลี่ผีอยู่ที่ไหนครับ”

    “แก่งลี่ผีอยู่ในแม่น้ำโขง เบื้องทิศใต้นครจำปาศักดิ์ลงไป แม่น้ำโขงแถว ๆ นั้นมีเกาะแก่งมากมายนับร้อย ๆ เกาะ แล้วมีภูเขาลูกหนึ่งขวางกั้นแม่น้ำโขงอยู่ แม่น้ำโขงไหลข้ามเขาไปกลายเป็นน้ำตกลงไป”


    “ชาวบ้านเรียกว่าลี่ผี หมายถึงที่ดักปลาของภูตผี ท่อนซุงใหญ่ ๆ ขนาดหลายคนโอบตกลงไปในแก่งลี่ผีจะแหลกละเอียดหมด เรือแพผ่านเข้าไปไม่ได้ เป็นวังน้ำวนแก่งน้ำตกมฤตยู แล้วยังมีอุโมงค์ใต้น้ำ ให้น้ำโขงไหลลอดภูเขาด้วยหลายอุโมงค์”


    “ภูเขาลูกนี้ลึกลับอาถรรพณ์ เป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ พวกฤๅษีชีไพรตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว ชอบไปบำเพ็ญเพียรอยู่ที่นั่น เพราะเงียบสงบ คนไปรบกวนไม่ได้”


    “ดาบสฤๅษีตนนี้ มาทำไมที่นี่ครับ”


    “หลวงปู่ถามดูแล้ว ท่านดาบสผู้มีอายุยืนนานเล่าให้ฟังว่า พวกบังบดนิมนต์ท่านมาเทศนาธรรม”


    “พวกบังบด คืออะไรครับ”


    “หมายถึงพวกลับแลหรือพวกมีสภาวะเป็นทิพย์ อย่างพวกพญานาคนี้ก็ถือว่าเป็นพวกลับแลพวกหนึ่งได้เหมือนกันเพราะมีสภาวะทิพย์”


    “พระฤๅษีดาบสบอกว่า ท่านมาเทศนาธรรมอบรมชาวลับแลได้สามวันแล้ว ต่อจากนั้นก็จะเดินทางไปบำเพ็ญเพียรอยู่ภูจอมทองฝั่งลาว”

    หลวงปู่ถามว่า

    “แล้วพวกชาวเมืองลับแลไปไหนหมด ทำไมไม่เห็นสักคนเดียว ท่านตอบว่า พวกชาวลับแลไม่อยากแสดงตัวให้เห็น หลวงปู่เลยบอกท่านว่า จะเข้าไปเที่ยวดูชมข้างในต่อไป ท่านได้ห้ามไว้”


    “ทำไมพระฤๅษีถึงห้ามไว้ครับ”

    <hr width="300" align="center" color="#ff9966" size="1"> กฎลึกลับ

    “พระฤๅษีท่านบอก ว่า ข้างในเป็นเวียงวังของพญานาค เป็นเขตอาถรรพณ์ หากมนุษย์เข้าไปแล้วจะต้องอยู่ที่นั่นเลย กลับออกมาไม่ได้ ถ้ากลับออกมาต้องตาย มนุษย์ที่จะเข้าไปได้ต้องเป็นผู้ทรงศีลบริสุทธิ์ มีวิชาอาคม ได้ฌานสมาบัติ ถึงจะมีอำนาจต้านทานพิษร้ายแรงของพญานาคได้ แต่เมื่อเข้าไปแล้วต้องจำพรรษาอยู่ในเวียงวังพญานาคตลอดไป จะออกมาไม่ได้”

    “ทำไมถึงกลับออกมาไม่ได้ ครับ”


    “มันเป็นกฎลึกลับของบ้านเมืองบาดาล เป็นอย่างนั้น อย่างพระฤๅษีดาบสท่านมาจากแก่งลี่ผี ท่านก็ยับยั้งอยู่แค่เขตวัดมหาเจดีย์ทองคำนี้เอง ไม่เข้าไปในเขตเวียงวังของพญานาค ถ้าเข้าไปแล้วท่านว่าต้องอยู่เป็นสมภารเจ้าวัดในเมืองบาดาลตลอดไป กลับออกมาอีกไม่ได้ ดังนั้นพวกพญานาคจึงออกจากเวียงวังชั้นในมาฟังธรรมเทศนาของท่านที่ข้างนอก แห่งนี้”


    “แล้วหลวงปู่ไปไหนอีก”


    “พระฤๅษีดาบสท่านบอกให้หลวงปู่กลับ ท่านว่าหลวงปู่มาสามวันแล้ว อย่าอยู่นานกว่านี้เลยไม่ดี อาจแพ้พิษของพวกพญานาคได้ เพราะในอาณาเขตใต้พิภพเมืองบาดาลนี้ พวกพญานาคคายพิษอันตรายไว้ทั่วไป อากาศเป็นพิษกับมนุษย์และสัตว์ทั่วไป หลวงปู่ได้รับคำเตือนเช่นนั้นก็เลยกลับออกมา”.


    “กลับออกมายังไงครับ”


    “กลับออกมาทางเก่า พอข้ามแม่น้ำที่หลวงปู่ทำเครื่องหมายกองหินไว้ก็พบพญางูใหญ่ตัวนั้นอีก แปลกแท้ ๆ เขามารออยู่แล้วคล้ายรู้ว่าหลวงปู่จะกลับ”


    “พญางูตัวนั้นนำทางอีกใช่ไหมครับ”


    “เออ...ขากลับนี้เขาเลื้อยนำหน้า พากลับทางลัด เป็นอุโมงค์มีขั้นบันไดหิน สูงชันมาก สองข้างอุโมงค์มีแสงสว่างคล้ายแก้วระยิบระยับ แล้วก็มีกลิ่นหอมคล้ายดอกพิกุล หลวงปู่รู้สึกว่ามาประมาณเดี๋ยวเดียวก็ถึงแล้ว ในราวสักครึ่งชั่วโมงกระมั้ง”


    “กลับมาถึงไหนครับ”


    “ก็กลับมาถึงถ้ำมืดนั่นแหละ”


    “หลวงปู่ไม่ได้ฝันไปแน่นะครับ ”


    “จะฝันอะไร ก็หลวงปู่เดินไปนี้แหละ หลวงปู่ได้ไปเห็นมาจริง ๆ ก็เล่าให้พระสงฆ์องค์เจ้าด้วยกันฟังรู้กันหมด”

    <hr width="300" align="center" color="#ff9966" size="1"> อาจารย์คำดี

    “คืออย่างนี้ หลวงปู่ลืมเล่าให้ฟังตอนแรก ทีแรกนั้นตอนจะได้ไปถ้ำมืด เพื่อค้นหาถ้ำเมืองพญานาคใต้บาดาล ท่านอาจารย์คำดี บ้านแก่งยาง พาพวกชาวบ้านจากจังหวัดศรีสะเกษมาไหว้หลวงปู่ มากันเต็มสองคันรถเลย”

    “พวกอาจารย์คำดีอยากได้พระ เครื่องของโบราณในถ้ำมืดไปบูชา แล้วก็มีพวกฆราวาสที่มาด้วย เป็นนักวิชาอาคมเก่งไสยศาสตร์ เขาอยากค้นหาเหล็กไหลในถ้ำมืดด้วย”


    “ทีนี้ก็อยากจะให้หลวงปู่พาไปถ้ำมืด ลำพังพวกพระพวกโยมที่มาจากศรีสะเกษกลัวจะแพ้ภัยตัวเองเป็นอันตราย เพราะข่าวเล่าลือว่าถ้ำมืดศักดิ์สิทธิ์ เฮี้ยนหลาย เป็นเมืองลับแลมีงูใหญ่ตัวเท่าต้นตาลให้คนเห็นอยู่บ่อย ๆ พวกเขาหวังพึ่งหลวงปู่ในเรื่องนี้ ว่าคงจะช่วยคุ้มครองให้เขาได้”


    “หลวงปู่ไม่อยากขัดศรัทธาก็เลยไป เพราะได้ตั้งใจไว้อยู่แล้วเหมือนกัน อยากจะไปพิสูจน์ความจริงเรื่องถ้ำมืดนี้”


    “พวกที่ไปด้วย ทำไมไม่เข้าไปเที่ยวเมืองพญานาคกับหลวงปู่ละครับ”


    “เขากลัวกัน ไม่กล้าเข้าไปด้วยกับหลวงปู่น่ะซี พวกเขาทำพิธีเซ่นสรวงสักการะเจ้าเขาเจ้าถ้ำกัน อ้อนวอนขอพระเครื่องพระบูชาของโบราณ และขอเหล็กไหลด้วย”


    “หลวงปู่ไม่ยุ่งด้วยกับพิธีของเขา หลวงปู่ใช้สมาธิอธิษฐานธรรมตรวจสอบ”


    “ทีนี้พวกเขาเกิดกลัวกันขึ้นมาเพราะ มีนิมิตอะไรบางอย่างในพิธีของเขา รู้สึกว่าเขาจะพบนิมิตเป็นงูใหญ่น่ากลัวมาก พอหลวงปู่จะเข้าถ้ำลึก พวกเขาไม่ยอมเข้าไปด้วย หลวงปู่ก็ฉุดแขนพระอาจารย์คำดีจะให้มุดเข้ารูถ้ำไปด้วยกัน พระอาจารย์คำดีกลัวมาก ไม่ยอมเข้าท่าเดียว บอกว่าจะคอยอยู่ข้างนอกถ้ำมืด”


    “เมื่อพวกเขากลัวกันไม่ยอมเข้าไปด้วย หลวงปู่ก็ไล่ให้พระอาจารย์คำดีพาญาติโยมทั้งหมดหนีไปให้ห่างไกล อย่าอยู่ใกล้ถ้ำมืดเป็นอันขาด เพราะหากมีอะไรออกมาแปลก ๆ เช่น พญางูใหญ่ออกมา จะทำให้พวกเขาตกใจกลัว อาจพากันวิ่งหนีด้วยความเสียขวัญตกเหวตกหน้าผาตายกันหมด”


    “พวกเขาก็เชื่อ พากันรีบหนีออกจากถ้ำมืดไปคอยหลวงปู่อยู่ตั้งไกล สามวันให้หลัง เมื่อหลวงปู่กลับออกมาพวกเขาก็ยังคอยอยู่”


    “หลวงปู่ไม่ได้อะไรออกมาฝากพวกพระอาจารย์คำดีบ้างหรือครับ อย่างเช่น พระเครื่องของโบราณ”


    “ไม่มี......หลวงปู่ไม่เห็นมีพระ เครื่องที่เขาอยากได้กัน อีกอย่างไม่กล้าหยิบเอาอะไรออกมา เพราะได้บอกเจ้าถ้ำเจ้าเขาแล้วว่า ไม่ต้องการอะไร อยากจะเข้าไปดูชมเพื่อเป็นวาสนาบุญตาเท่านั้น”

     
  17. rungaran

    rungaran เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    15,573
    ค่าพลัง:
    +57,322
    มาอ่าน มาดู มาให้กำลังใจ แล้วจะรอตอนต่อไปนะครับ
    ขอบคุณมากๆครับสำหรับบทความดีๆแบบนี้
     
  18. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,205
    สวัสดีค่ะน้องลิน และทุกท่าน ....
    วันนี้มาเล่าเรื่อง..ค่ะ

    [​IMG]

    ครั้งหนึ่งไปงานบวชชี หลานสาวค่ะ ที่วัดเอก อ.ระโนด จ.สงขลา

    ขากลับก็ตั้งใจเที่ยวชมวัด.ในดินแดนบ้านเกิด...ของหลวงปู่ทวดค่ะ....คือเป็นทางผ่านที่จะกลับหาดใหญ่อยู่แล้ว วัดแรกที่จะถึงก่อนก็ วัดเจดีย์งาม วัดสีหยัง วัดประดู่ วัดนางหล้า วัดพะโคะ วัดต้นเลียบ วัดดีหลวง ฯลฯ.....
    ก่อนที่จะถึงวัดนางหล้า ระดับสายตาที่มอง ปรากฏว่าภาพข้างหน้าเหมือนพญานาคนอนยาวอยู่ซึ่งท่ามองตรงก็จะเห็นตั้งแต่ส่วน หัวยาวไปถึงหาง....ตัวใหญ่มากมองในระยะไกลที่สายตาเห็นครั้งนั้น ก็พูดบอกสมาชิกในรถ ซึ่งวันนั้น พี่ชาย เพื่อนพี่ชาย และตัวเอง 3 คนในรถ บอกว่าเห็นเหมือนที่เห็นมั้ย คนในรถก็ถามว่าเห็นอะไร....พญานาคข้างหน้าเห็นหรือเปล่า คนในรถทั้งสองบอกไม่เห็น ไหนอยุ่ตรงไหน บอกอยู่ข้างหน้า.. เขาก็ว่าตาฝาดมั่ง...บอกเห็นจริงๆ ......แล้วพอขับมาใกล้หน่อย ก็เลยบอกว่าเลี้ยวขวาเข้าไปหน่อย...อยากเขาไปดู.....ตกลงเลี้ยวรถเข้าไปที่วัดนางหล้า ซึ่งภาพที่เห็น ก็มีดังนี้ค่ะ

    เป็นพระนาคปรก องค์ใหญ่มาก.....
    และมีรูปปั้นสวยงามอีกหลายอย่างมีองค์พระแม่กวนอิม และมีองค์พญานาคอยู่ข้างหน้าด้วย เสียดายค่ะวันนั้นเก็บภาพไว้หลายภาพแต่หาภาพไม่เจอ คิดว่าจะกลับไปอีกครั้งเพราะอยู่ระหว่างวัดพะโคะ กับ วัดสีหยัง ซึ่งใกล้บ้านญาติอยู่แล้ว บุคคลที่สร้างรูปปั้นประติมากรรมสวยงามวัดนางหล้าทราบว่าเมื่อก่อนพระท่านอยู่ที่ประเทศมาเลเซีย ท่านได้สร้างประติมากรรมภายในวัดได้อย่างสวยงาม....หากท่านใดผ่านเส้นทางดั่งกล่าวหรือได้ไปเที่ยววัดพะโคะก็แวะชมวัดนางหล้าด้วยนะคะ ....
    ผู้สร้างท่านคงออกแบบได้เก่งมากคือหากตั้งต้นจากปากทางเข้าวัดเอก หรือเริ่มจากวัดเจดีย์งาม แล้วขับรถไปตามเส้นทางที่จะไปวัดสีหยัง มองระยะไกลจะเห็นว่าเหมือนมีพญานาคลำตัวยาวอยู่ข้างหน้า .....จะเห็นเหมือนองค์พญานาคอยู่ข้างหน้าอีกหรือเปล่าแต่ยังคาใจอยู่ทำไมอีก 2 คนในรถบอกไม่เห็น....(ท่านใดขับรถผ่านเส้นทางนั้นเห็นแบบที่หรือเปล่า)




    ภาพที่มาจาก
    http://www.songkhladopa.go.th/index.php?cmd=travel&mode=detail&id=52]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. lynn@nice

    lynn@nice เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    21,530
    ค่าพลัง:
    +19,462
     
  20. lynn@nice

    lynn@nice เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    21,530
    ค่าพลัง:
    +19,462
    ขอบคุณค่ะ ที่แวะมาเยี่ยมชม ถ้ามีเรื่องราวดีๆที่สัมผัสได้กับองค์พญานาค ก็นำมาบอกเล่าพูดคุยกันนะคะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...