ว่าด้วย ทิฏฐิ 62 (๑. พรหมชาลสูตร )

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย วิษณุ12, 21 มีนาคม 2012.

  1. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    เรียนคณิตคิดเร็วกันอยู่หรือเด็กๆ ^^
     
  2. นาอินจัง

    นาอินจัง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2009
    โพสต์:
    304
    ค่าพลัง:
    +36
    เรียนคณิต คิดไม่ถึง ล่ะ หมา

    โดนหาข้อตอบเร็วไปไหม ว้า
     
  3. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    ขอลองตอบดูนะครับ นั่งสมาธิไปเรื่อยๆรึเปล่าครับ
     
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อ่าว นะนา ทำไมไม่วาง อะ หยิบจับเป็นคนแรกเลย เหอ เหอ

    ตั้งใจมาแซว มะได้คิดจะปล่อยวางตอนนี้เน้อ

    แต่จะปล่อยวางเป็นบางเรื่อง ถ้าไม่เห็นประโยชน์ในการเสวนา

    อย่างบางเรื่องเห็นแล้ว ห้อยหัวดูอยู่บนภูสุขใจก่าเยอะ
     
  5. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    บอกแล้วใจลอย

    หาซูกัส เคี๊ยวเล่นก็ดีนะ ^^
     
  6. นาอินจัง

    นาอินจัง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2009
    โพสต์:
    304
    ค่าพลัง:
    +36
    แฮะ ใช่เลยอ่ะเจ้ หยิบเป็นคนแรกเลย อิอิ
     
  7. นาอินจัง

    นาอินจัง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2009
    โพสต์:
    304
    ค่าพลัง:
    +36
    ใครมีข้อมูลว่า ชั้นอรูปพรมหม สามารถบรรลุธรรมได้ไหม
    รบกวน หน่อย นะ นึกว่าคนปากเหม็นรบกวนแล้วกัน
    จริงๆ ก็รบกวนนั้นแระ(k)
     
  8. Bull_psi

    Bull_psi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +1,445
    คุณหลงเข้ามาครับ

    คือ ความกำเริบไม่มี

    อย่าเพิ่งเชื่อจนกว่าความกำเริบจะไม่มีด้วยเหตุทั้งปวง
     
  9. Bull_psi

    Bull_psi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +1,445
    อ้าว
    อรูปพรหมบอกเห็นไม่ตามจริงว่าไม่มีอัตตาเลยไม่หมายมั่นในอัตตา เลยไม่ทุกข์
    พระศาสดาบอกว่าเห็นตามจริงว่าอัตตามีความไม่เที่ยง หมดความหมายมั่นเลยไม่ทุกข์
    แล้วจะไปเป็นอรูปพรหมไมอ่ะ
     
  10. นาอินจัง

    นาอินจัง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2009
    โพสต์:
    304
    ค่าพลัง:
    +36
    ถ้าได้ข้อมูลที่ละเอียดกว่านี้ก็ดีนะ
    ไม่รู้จิ อยู่ๆ ก็สนใจเรื่องอรูพรหม พระศาสดาบอกว่า
    จะมีก็ใช่ จะไม่มีก็ไม่ใช่ เพราะระเอียดมาก
    ตรงเลยสงสัยว่า จะสามารถบรรลุธรรมได้ไหม
    อยากฟังเรื่องทิฐิ (ความเห็น)
     
  11. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เอามาให้ทัศนา โปรดใช้วิจารณญาณ

    พยัคฆ์นิล เขียนในกระทู้ http://fws.cc/leavesofeden/index.php?topic=1998.new#new

    : และมีนิพพานพรหมด้วย ทำให้ผู้ที่อ่านคัมภีร์มาหลายเล่มสับสน ว่าสูญญตา คือ นิพพานพรหมหรืออรูปพรหม หรือเปล่าและต่างกันตรงไหน แต่ว่าสำหรับผมมองว่า มันต่างกันตรงตัณหา ผู้ที่จะนิพพานได้ต้องหมดตัณหา เพราะตัณหาคือกิเลส

    ตอบ

    นิพพานพรหม เมืองพระนิพพาน และโลกุตตรนิพพาน แตกต่างกัน
    - นิพพานพรหมต้องทำอรูปณาน....จึงจะเข้าไปถึงได้
    - เมืองพระนิพพาน ต้องเป็นพระอรหันต์ เข้าถึงบุคคลศูนยตา ได้ธรรมกาย อันเป็นอายตนะนิพพาน....จึงจะเข้าไปถึงได้
    - โลกุตตรนิพพาน พระอรหันต์ ต้องละบุคคลศูนยตา หรือละอายตนะนิพพาน เหลือเพียงจิตที่ว่างเฉยๆ(นิโรธ)....จึงจะเข้าไปถึงได้


    นิพพานพรหม เป็นที่สุดแห่งจักรวาลโลก เป็นที่อยู่ของอรูปพรหม 4 ชั้น

    เมืองพระนิพพานคงตั้งอยู่ในที่สุดของโลก คืออยู่ในนิพพานพรหม เหนือแดนอรูปพรหม

    ส่วนนิพพานของพระพุทธเจ้า ซึ่งมีนามว่า โลกุตตรนิพพาน เป็น นิพพานที่สุดที่แล้ว

    นิพพานของพระพุทธเจ้า ซึ่งมีนามว่า โลกุตตรนิพพาน เป็นนิพพานจิต อยู่เหนือจากเมืองพระนิพพาน ที่อยู่เหนือในแดนอรูปพรหม ไปอีก



    อ้างอิงจากคิริมานนทสูตร ตอนนิพพานโลก ที่สุดแห่งโลก พุทธวจน (จากคำบอกเล่าของพระอานนท์)


    "ดูกรอานนท์ นิพฺพานํ นครํ นาม อันชื่อว่าเมืองพระนิพพานย่อมตั้งอยู่ในที่สุดแห่งโลก โลกมีที่สุดเพียงใด พระนิพพานก็ตั้งอยู่ที่สุดเพียงนั้น พระนิพพานเป็นพระมหานครอันใหญ่ เป็นที่บรมสุข หาที่เปรียบมิได้

    คำว่าที่สุดแห่งโลกนั้น จะถือเอาอากาศโลกหรือจักรวาลโลกเป็นประมาณนั้นมิได้

    อากาศโลกและจักรวาลโลกนั้นมีที่สุดเบื้องต่ำก็เพียงใต้แผ่นดิน แผ่นดินนี้มีน้ำรอง ใต้น้ำนั้นมีลม ลมนั้นหนาได้ 9 แสน 4 หมื่นโยชน์ สำหรับรองรับน้ำไว้ ใต้ลมนั้นลงไปเป็นอากาศหาที่สุดมิได้ ที่สุดโลกเบื้องต่ำก็เพียงเท่านั้น

    ที่สุดแห่งจักรวาลโลกเบื้องขวางนั้นมีอนันตจักรวาลเป็นเขต นอกอนันตจักรวาลออกไปก็เป็นอากาศว่างๆ อยู่ จึงว่าโดยขวางมีอนันตจักรวาลเป็นที่สุด

    ที่สุดแห่งจักรวาลโลกเบื้องบนนั้นมีอรูปพรหมเป็นเขต เพราะอรูปพรหม 4 ชั้นนั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นนิพพานพรหมหรือนิพพานโลก นิพพานโลกนี้เป็นที่ไม่สิ้นสุด

    นิพพานของพระพุทธเจ้า ซึ่งมีนามว่า โลกุตตรนิพพาน เป็น นิพพานที่สุดที่แล้ว

    ต่ออรูปพรหม 4 ชั้นขึ้นไปก็เป็นแต่อากาศว่างๆ อยู่ จึงว่าที่สุดเบื้องบนเพียงอรูปพรหมเป็นที่สุดของโลก เมืองพระนิพพานคงตั้งอยู่ในที่สุดของโลกเหล่านั้น ดังนี้


    พระพุทธเจ้าตรัสห้ามเสียว่า อย่าพึงเข้าใจอย่างนั้นเลย ที่ทั้งหลายเหล่านั้น ใครๆ ก็ไม่สามารถจะไปถึงด้วยกำลังกายหรือด้วยกำลังพาหนะมียานช้าง ยานม้าได้ อย่าเข้าใจว่าตั้งอยู่ในที่ใดที่หนึ่งเลย แต่ว่าพระนิพพานนั้นหากมีอยู่ในที่สุดของโลก เป็นของจริงไม่ต้องสงสัย

    ให้ท่านทั้งหลายศึกษาให้เห็นโลกรู้โลกเสียให้ชัดเจน ก็จะเห็นพระนิพพาน พระนิพพานตั้งอยู่ในที่สุดแห่งโลกนั่นเอง..."


     
  12. นาอินจัง

    นาอินจัง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2009
    โพสต์:
    304
    ค่าพลัง:
    +36
    ที่พี่ขวัญยกมา จัดว่าเป็นมิจฉาทิฐิ แน่นอน พี่ขวัญมีความเห็นว่าไง บ้าง
    ชวนพี่ขวัญสนทนา
     
  13. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

    เมื่อ ดุสิตเทพบุตร จุติลงมาจาก แดนดุสิต เกิดเป็น มหาบุรุษ
    ผู้เป็นพระโพธิสัตว์ จะตรัสรู้ในชาติสุดท้ายนี้

    อสิตะดาบส ผู้เข้าฌาณได้ข่าวจาก เทวดาที่ ดาวดีงส์โลกสวรรค์เพราะเห็น
    เหล่าเทวดา ยินดีปรีดา ฉลองการเกิดของ มหาโพธิ์สัตว์ที่พวกเขารอคอย

    ทำให้ อสิตะดาบส รีบเหาะไปหา พระเจ้าสุทโธทนะ เพื่อของพบมหาบุรุษ

    อสิตะดาบส เห็น มหาบุรุษ มีรอยพระบาทรูปจักร แม้นว่าตนเองจะสำเร็จ
    ฌาณสมาบัติ8 แต่ก็มิกล้าจะนำเอา พระบาทแตะศรีษะของตน

    เพราะอสิตะดาบส รู้ดีว่า ศรีษะตน จะต้องแตกเป็น เสี่ยงๆในทันที เพราะกำลัง
    แห่ง ฌาณสมาบัติ8 มิอาจจะลองรับได้

    อสิตะดาบส แลเห็นมหาบุรุษ จะตรัสรู้เป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงปิติยินดี
    ยิ่งนัก แต่.........

    เรื่องมันเศร้ากว่าที่คิดว่า ท่านเองมิอาจจะมีอายุขัย(บุญ)พอจะได้ฟังธรรม
    จาก พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วจึงเข้า ฌาณสมาบัติ8 ตรวจสอบกาลข้างหน้า

    อีก 40มหากัป ก็ไม่พบการอุบัติขึ้นของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    อสิตะดาบส จึงทรง ร้องไห้ เหตุเพราะรู้ว่า ตนเองจะต้องตายแล้วเกิดเป็น
    อรูปพรหมในชั้น สุทธวาส หาได้มีตัวตน ไร้ขันธ์5 เป็นดินแดนที่

    แม้นแต่พระพุทธเจ้า100พระองค์ก็ไม่ทรงเสร็จไปโปรดได้

    ดังนั้น ท่านอสิตะดาบส ผู้ยิ่งใหญ่ จึงยังคงเป็น อรูปพรหมไป อีกอย่างน้อยๆก็หลายหมื่น กัป ก่อนจะเข้าสู้นิพพาน

    ฟังเช่นนี้แล้ว เราๆท่านๆ ได้มีโอกาสเรียนรู้ธรรมะ ของพระพุทธเจ้า
    จึงเร่งศีกษา เพื่อให้สมกับว่า เกิดมาได้พบ(ฟังธรรม) ของพระพุทธเจ้า

    ที่แม้นแต่ อสิตะดาบสผู้สำเร็จ ฌาณ8เข้าสู้อรูปพรหมก็ไม่มีโอกาสได้ฟังธรรม

    ที่มา คุณ <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->YUT_KOP<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_4043888", true); </SCRIPT>

    http://palungjit.org/threads/อสิตะดาบส-อรูปพรหมผู้หน้าเวทนา.267379/
    <!-- google_ad_section_end -->
     
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อรูป พรหมที่เป็นปุถุชน คือยังไม่ถึงมัคคถึงผลเลยนั้น ไม่สามารถเริ่มเจริญวิปัสสนาให้ เกิดโสดาปัตติมัคค โสดาปัตติผลได้ ด้วยเหตุว่าการเจริญวิปัสสนาภาวนาให้บรรลุ มัคคผลในชั้นต้นเริ่มแรกนี้ต้องอาศัยพิจารณาทั้งรูปธรรมทั้งนามธรรม แต่อรูปพรหม ไม่มีรูปธรรมให้อาศัยพิจารณาเลย


    มนุษย์ก็ดี เทวดา ก็ดี รูปพรหมก็ดี เจริญสมถภาวนาจนได้อรูปฌานและเจริญวิปัสสนาภาวนาด้วย จน เป็นโสดาบันบุคคลแล้ว เมื่อถึงแก่มรณะก็ไปเกิดเป็นอรูปพรหมที่เป็นพระโสดาบัน โสดาบันบุคคลที่เป็นอรูปพรหมนี้เจริญวิปัสสนาภาวนา(ต่อ) เพื่อให้บรรลุเป็นพระ สกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ได้ ในการเจริญวิปัสสนาภาวนาต่อเช่นนี้ เพียงแต่พิจารณานามธรรมอย่างเดียวก็ได้ ไม่จำต้องพิจารณารูปธรรมอีกด้วย เพราะ รูปธรรมนั้นได้พิจารณามาแล้ว ตั้งแต่เริ่มต้นนั้น

    ------------------------------------------------------
    อภิธัมมัตถสังคหะ ปริจเฉทที่ ๕ วิถีมุตตสังคหวิภาค บุคคลกับภูมิ

    [​IMG]
    พระอริยะ สามารถไปเกิดบนอรูปพรหม ได้ไหม - ลานธรรมเสวนา
     
  15. นาอินจัง

    นาอินจัง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2009
    โพสต์:
    304
    ค่าพลัง:
    +36
    ในพระไตรกล่าวว่า

    มีเทวดาอยากรู้ว่า เขตของโลกไปถึงไหน อากาศไปถึงไหน
    เขาเหาะจนสิ้นอายุขัย และได้จุติ มาเจอพระพุทธเจ้า
    พระพุทธเจ้าตรัสว่า อากาศไม่มีประมาณ
    อยากรู้สิ้นสุดแห่งโลก เธอจงเหาะเข้าหาตัวเอง หาใจของเธอ นั้นคือขอบเขตแห่งโลก
    สิ้นสุดขอบเขตแห่งอากาศ เทวดาเมื่อได้ฟังและย้อนตามกำลังที่ทำมา ก็สามารถบรรลุธรรมในที่สุด
     
  16. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <BIG><BIG>
    อธิบาย<?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p></O:p>

    . อรูปพรหมจุติ ย่อมได้ปฏิสนธิจิต ๘ ดวง คือ<O:p></O:p>
    . เกิดในอรูปพรหมอีก (ปฏิสนธิด้วยอรูปวิบาก ๔) ย่อมเกิดในอรูปพรหม ชั้นนั้นหรือชั้นที่สูงกว่า ไม่ปฏิสนธิในชั้นที่ต่ำกว่า เพราะเป็นธรรมดาของอรูปพรหม ที่ย่อมเว้นหรือหน่ายจากฌานเบื้องต่ำ<O:p></O:p>
    . เกิดในกามภูมิย่อมเกิดเป็นไตรเหตุ ที่เรียกว่ากามติเหตุกปฏิสนธิ (ปฏิสนธิ ด้วยมหาวิบากญาณสัมปยุตต ๔)<O:p></O:p>
    อนึ่งอรูปพรหมที่เป็นพระอริยนั้น จะไม่กลับมาเกิดในกามภูมิอีกเลย และ เฉพาะเนวสัญญานาสัญญายตนพรหมที่เป็นพระอริยนั้น ก็จะไม่ไปเกิดในภูมิอื่นเลย จะต้องสำเร็จเป็นพระอรหันต์ และปรินิพพานในเนวสัญญานาสัญญายตนภูมินั่นเอง<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>. รูปพรหมจุติ แบ่งได้เป็น ๓ จำพวก คือ<O:p></O:p>
    จำพวกที่ ๑ เป็นพระอนาคามีที่เป็นรูปพรหมในสุทธาวาสภูมิ ๕ พระ อนาคามีในสุทธาวาสภูมินี้ ถ้าไม่สำเร็จเป็นพระอรหันต์และปรินิพพานในชั้นนั้นแล้ว เมื่อจุติก็ต้องปฏิสนธิในสุทธาวาสภูมิชั้นที่สูงกว่าตามลำดับไป จนกว่าจะปรินิพพาน ไม่มีการเกิดซ้ำชั้นเลย<O:p></O:p>
    จำพวกที่ ๒ เป็นรูปพรหมใน ๑๐ ภูมิ คือ เว้นสุทธาวาสภูมิ ๕ และอสัญญ สัตตภูมิ ๑, รูปพรหม ๑๐ ภูมินี้ ย่อมได้ปฏิสนธิจิต ๑๗ ดวง คือ<O:p></O:p>
    . เกิดในอรูปพรหม (ปฏิสนธิด้วย อรูปาวจรวิบาก ๔)<O:p></O:p>
    . เกิดในรูปพรหมอีก (ปฏิสนธิด้วย รูปาวจรวิบาก ๕)<O:p></O:p>
    . เกิดในกามสุคติภูมิ ๗ (ปฏิสนธิด้วยมหาวิบาก ๘) ย่อมเกิดเป็นไตรเหตุ บ้าง ทวิเหตุบ้าง แต่ไม่เกิดเป็นอเหตุกสัตว์<O:p></O:p>
    อนึ่งรูปพรหมที่เป็นพระอริยนั้น จะไม่มาเกิดในกามภูมิอีกเลย และไม่เกิดใน รูปพรหมชั้นที่ต่ำกว่าด้วย สำหรับพระอริยที่เป็นรูปพรหมในชั้นเวหัปผลาภูมิ เมื่อยัง ไม่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ก็ไม่เกิดย้ายไปภูมิอื่น ต้องเกิดซ้ำอยู่ในชั้นเวหัปผลาภูมินั้น จนกว่าจะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ และปรินิพพานในเวหัปผลาภูมินั้นเอง<O:p></O:p>
    จำพวกที่ ๓ เป็นอสัญญสัตตพรหม เมื่อจุติแล้วย่อมไปเกิดแต่ในกามสุคติภูมิ ๗ เท่านั้น เป็นไตรเหตุบ้าง เป็นทวิเหตุบ้าง<O:p></O:p>
    . เทวดาและมนุษย์จุตินั้น ปฏิสนธิไม่เที่ยง บางทีก็ไปเกิดในอบายภูมิบ้าง ในมนุษย์บ้าง ในเทวดาบ้าง ในรูปพรหมบ้าง ในอรูปพรหมบ้างตามควรแก่บาป และ บุญ<O:p></O:p>
    เป็นอันว่า กามสุคติบุคคลจุตินั้น ย่อมได้ปฏิสนธิทั้ง ๒๐<SUP>*</SUP> เกิดได้ทั้ง ๓๑ ภูมิ<O:p>
    . อบายสัตว์จุติ ย่อมได้ปฏิสนธิจิต ๑๐ ดวง คือ ไปเกิดในอบายอีกบ้าง ในมนุษย์บ้าง ในเทวดาบ้าง แต่ไม่สามารถไปเกิดในพรหมโลกชั้นหนึ่งชั้นใดเลย<O:p></O:p>
    ปฏิสนธิจิต ภวังคจิต วิถีจิต และจุติจิต ในภพนี้ ชาตินี้ สืบเนื่องกันฉันใด ในภพหน้า ชาติหน้า ก็เป็นเหมือนกันฉันนั้นอีก<O:p></O:p>
    บัณฑิตทั้งหลาย พิจารณาเห็นสังขารนี้ว่า ไม่ยั่งยืน เพียรให้ถึงซึ่ง ธรรมอัน ไม่จุติ ตัดขาดจากความเยื่อใยที่ผูกมัดอยู่เสียได้จนหมดสิ้นแล้ว ก็ไม่ต้องสืบต่อภพ ใหม่ชาติใหม่อีก ได้แต่เสวย วิมุตติสุข อันประเสริฐกว่าสุขทั้งปวง<O:p></O:p>
    * หมายเหตุ ปฏิสนธิ ๒๐ คือ อุเบกขาสันตีรณจิต ๒ มหาวิบากจิต ๘ มหัคคตวิบากจิต ๙ และรูปปฏิสนธิ ๑<O:p></O:p>

    <SMALL><SMALL><SMALL><SMALL><SMALL><SMALL><SMALL><SMALL><SMALL><SMALL><SMALL><SMALL><SMALL><SMALL><SMALL>จบปริจเฉทที่ ๕ ชื่อวิถีมุตตสังคหวิภาค</SMALL></SMALL></SMALL></SMALL></SMALL></SMALL></SMALL></SMALL></SMALL></SMALL></SMALL></SMALL></SMALL></SMALL></SMALL>
    [​IMG]<SMALL><SMALL>
    </SMALL>จัดทำโดย มูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิ<SMALL>
    http://www.abhidhamonline.org/aphi/p5/088.htm
    </SMALL></SMALL></O:p></BIG></BIG>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มีนาคม 2012
  17. นาอินจัง

    นาอินจัง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2009
    โพสต์:
    304
    ค่าพลัง:
    +36
    อันนี้กล่าวไว้ในอธิธรรม ชิมิ เดี่ยวตี๋ตั๋วไปให้ได้เลย

    มันยิ่งสงสัยใหญ่เลย ทำไงดีเนี้ย นาอิน แย่แย้ว:'(
     
  18. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    พี่ขวัญเห็นว่า ผู้ที่ปฏิบัติสมถะวิปัสสนา มีเป้าหมายคือต้องการพ้นทุกข์แสวงหานิพพาน
    แต่เพราะความไม่รู้ จึงยังไม่พบสัจธรรม ไม่รู้มรรค8
    และท่านเหล่านนั้นก็เพียรเผากิเลส ละกิเลส กำจัดกิเลส ตามแต่ปัญญาของท่านเหล่านั้นจะอำนวย
    พี่ขวัญเห็นว่า ทิฏฐิเหล่านี้เป็นสัมมาทิฏฐิฝ่ายสาสวะ อาสวะ
    พี่ขวัญไม่จัดเป็นมิจฉาทิฏฐิ เพื่อกล่าวในเชิงการให้เกียรติผู้ที่มีเจตนาบำเพ็ญเพียร
    เพื่อความหลุดพ้น เพราะท่านเหล่านั้นมีเจตนาจะค้นหาทางหลุดพ้นจากกองกิเลสทั้งสิ้น
    และเพียรในทางกระทำเพื่อห่างไกลกิเลส ถึงไม่ได้ไปนิพพาน ก็มีสุคติเป็นที่ไป

    และส่วนใหญ่ถ้าพูดถึงมิจฉาทิฏฐิแล้ว จะหมายถึงมีทุคติเป็นที่ไป
    ถ้าเป็นเพราะความไม่รู้ท่านใช้คำว่าทิฏฐิ สักกายทิฏฐิ คือมีทุคติบ้าง สุคติบ้าง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มีนาคม 2012
  19. นาอินจัง

    นาอินจัง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2009
    โพสต์:
    304
    ค่าพลัง:
    +36
    หนูถามพี่ขวัญหน่อยนึง พีขวัญเข้าใจว่า นิพพาน มีความมหมายอย่างไงคะ
     
  20. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ตีตั๋วไปนิพพาน ดีฝ่านะ จะได้ไม่เสียเวลา

    เพราะสุดท้าย ก็ไปที่เดียวกันอยู่ดีคือนิพพาน

    ถ้าสำเร็จเป็นพระโสดาบัน ก่อนก็ได้ แล้วค่อยไปฝึกสมาบัติเอาทีหลัง ถ้ายังติดใจอรูปพรหม (k)
     

แชร์หน้านี้

Loading...