เชิญเข้าร่วมสนทนาพิเศษเรื่อง มิติ ความฝัน ชาติภพ จิตวิญญาณ โดย @โนวา อนาลัย@ [Writer]

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย mead, 8 สิงหาคม 2007.

  1. เอกณัฐยศ

    เอกณัฐยศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    3,628
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ขอคำแนะนำจากท่านอาจารย์ โนวา ผ่านพี่นักเขียน

    มนุษย์ทุกคน มีความกลัว ในเรื่องต่างๆ ทั้งที่เป็นความกลัวพื้นฐาน เช่น กลัวไม่มีกิน กลัวไม่มีที่อยู่ และความกลัวที่เพิ่มเฉพาะบุคคล เช่น กลัวไม่มีคนสนใจ กลัวไม่สวย ไม่หล่อ กลัวไม่มีชื่อเสียง กลัวไม่ถูกรางวัลใหญ่ เป็นต้น

    อยากขอคำแนะนำ และความรู้จากท่านอาจารย์ โนวา ผ่าน พี่นักเขียนว่า

    1.ต้นเหตุความกลัว มาจากไหน
    และ ทำไม ความกลัว จึงมีผลในแต่ละบุคคล ในเรื่องต่างๆ ไม่เหมือนกัน

    2.การแก้ไขความกลัว ให้เปลี่ยนไปในทิศทางตรงกันข้าม หรือ ทิศทางที่ต้องการ ทำได้ หรือไม่ และ ทำอย่างไร

    3.หากความกลัว เปรียบได้กับ พลังงานลบ จะมีวิธีใด ปรับเปลี่ยน แก้ไข ให้ พลังงานลบ เป็นพลังงานบวก และบวกมากขึ้นเรื่อย

    4.เกี่ยวกับ การอธิษฐานขอพร จากสิ่งต่างๆ ที่ทำกันมาช้านาน เหตุใด บางครั้งจึงสำเร็จ และเป็นบางคน และใครเป็นผู้กระทำให้ สิ่งที่อธิษฐานเป็นผลสำเร็จได้ ( แม้เป็นเพียงบางครั้ง )

    5.มีวิธีการคิดอย่างไร ให้เป็นจริงตามที่คิด และฝันอย่างไร ให้เป็นจริงตามที่ฝัน

    6.เมื่อมนุษย์ เกิดอาการตาย จิตวิญญาณจะมี การเดินทางไปที่ไหน และอย่างไร มีวิธีใดบ้างที่สามารถกำหนดเป้าหมายหลังการตายได้ และก่อนตาย มีวิธีอะไร ให้อยู่ได้อย่างสมใจนึก

    7. กระแสพลังงาน ที่อยู่ในสถานที่ต่างๆ ที่เรียกกันว่า ฮวงจุ้ย
    บางที่มีพลังงานดี ทำให้คนที่อยู่ในบ้าน หรือสถานที่ค้าขาย นั้นๆ มีความเจริญรุ่งเรือง มีสุขภาพดี แต่ในทางตรงกันข้าม หากเป็นพลังงานที่ไม่ดี ก็มีผลให้การค้าไม่ก้าวหน้า สุขภาพไม่แข็งแรง

    อยากขอคำแนะนำว่า เราจะมีวิธีใด ในการปรับเปลี่ยนพลังงานในสถานที่ๆ เราอยู่ ให้มีผลดีกับเราให้เรื่องต่างๆ ได้

    และในวิชาฮวงจุ้ย ให้ใช้วัตถุ บางอย่างวางในตำแหน่งที่เหมาะสม ก็มีผลให้กระแสพลังในสถานที่นั้นเปลี่ยนแปลง เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น

    ขอความรู้และคำแนะนำด้วยครับ ขอบคุณครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 6oc.jpg
      6oc.jpg
      ขนาดไฟล์:
      16.8 KB
      เปิดดู:
      457
  2. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    เพิ่งรู้ว่าคุณ oakpr ร้องเพลงเก่งมาก เสียงหล่อไม่เบา
    เพราะมากครับ (ยอมยกธง..อิอิ ) พี่นักเขียนไม่ร้องบ้างล่ะครับ

    เห็นคุณโอ๊คบอกว่าช่วงนี้หนังสือขายอืดไปนิด
    เอาใจช่วยครับคุณโอ๊คครับ เป็นธรรมดาสำหรับหนังสือแนวนี้
    มีดีซ่อนอยู่ภายใน ใครที่มองเห็นแก่นแท้เนื้อหาได้ต้องไม่ธรรมดาครับ
    หลายคนบอกว่าอ่านเข้าใจยาก ยิ่งออกมา10เล่มพร้อมกัน คงถอดใจไปเยอะ
    หรือบางคนเห็นปกสีไม่ดึงดูด..ก็มองข้ามไป ทั้งๆที่สวยมาก
    ค่อยๆปรับปรุงไปครับ ทางนี้ถ้าเจอใครสนใจก็แนะนำคนอ่านให้ได้เรื่อยๆครับ
    วันนึงความรู้ตรงนี้จะขยายในกลุ่มผู้สนใจ อย่างกว้างขวางแน่นอนครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 สิงหาคม 2007
  3. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    (verygood)(verygood)(verygood)

    เยี่ยมครับ มีความคิดอ่านและความสนใจเรียนรู้แบบนี้เป็นตัวอย่างที่ดีครับ
    ชีวิตหนึ่งแค่สามหมื่นหกพันวัน จากหัวดำเป็นผมขาวขุนนางใหญ่ก็ยังเกษียณ ชีวิตคนเกิดมามองย้อนหลัง ชนะแพ้กำจัดความมิได้ วีระบุรุษก็ยังเสื่อมโทรม ผู้มีปัญญามีสติช่วยเหลือผู้อื่นได้+รักสงบห่างทุกข์ ห่างความเศร้ากังวลใจ
    ทำจิตใจให้ผ่องใสบริสุทธิ์เหมือนนาม "จิตต์ปภัสสร "
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 สิงหาคม 2007
  4. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    [​IMG]

    พอนึกภาพออกแล้วครับ...คล้ายสีน้ำ มีเข้ม-อ่อนเป็น monotone
    ภาพนี้สวยมากครับ เขียนจากรูปถ่ายหรือนางแบบจริงครับ...
    ทำให้นึกถึงการหัด Drawing..ใหม่ๆ ถ้าว่างเมือไหร่จะลองเขียนนักเขียนในแบบจินตภาพดูบ้างครับ
    ตอนนี้ในหัวเห็นภาพห้องทำงานนักเขียนมีพื้นปูพรมผืนใหญ่ มีเฟอร์นิเจอร์ไม้โอ๊คเก่าๆ ติดงานศิลปะไว้ที่ผนัง เก้าอี้นั่งเป็นเบาะสีเทา+น้ำเงิน หน้าโต๊ะสีขาว..กำลังฝึกจินตภาพครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 สิงหาคม 2007
  5. oakpr

    oakpr เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +264
    ขอบคุณอย่างสูง

    ขอบคุณที่ชมครับ พอฟังได้น่ะครับ ผมเห็นพี่น้อง ๆที่นี่ มีความสุขกับการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ทำให้ผมมีกำลังใจในการทำประชาสัมพันธ์ให้ท่านอาจารย์อนาลัยอีกมาก และผมก็เชื่อว่าหนังสือชุดนี้จะได้รับการตอบรับอย่างดีแน่ ๆ และตอนนี้ผมกำลังเอาข้อมูลของ อาจารญ์ไปให้กรมการแพทย์ทางเลือกจัดเป็นหลักสูตรอบรมผู้ป่วยเรื้อรังอยู่ ถ้าโครงการนี้สำเร็จ เราจะเห็นคนที่หมดหวัง
    ใกล้ตาย กลับมามีความหวังและหายเป็นปกติอย่างแน่นอนครับ
     
  6. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,085
    ขอโมทนากับคุณโอ๊ค ด้วยครับ
    นับเป็นมหากุศลเลยทีเดียว ผมว่าต้องสำเร็จครับ
    ขอเอาใจช่วย
    [b-hi]
     
  7. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    ยอดเยี่ยมไปเลยครับคุณโอ๊ค..ส่งมอบกำลังใจให้กับผู้ป่วยด้วยความรู้
    อะไรก็ตามที่ทำให้จิตใจคนเราเบ่งบานมีกำลังใจได้ ทั้งรูปแบบหนังสือ เสียงเพลง วาดรูป สามารถกล่อมเกลาสมาธิให้เบี่ยงเบนไปทางด้านบวกได้ดีทีเดียวครับ ขอให้โครงการนี้ได้ผลออกมาเป็นรูปธรรมและเป็นที่ยอมรับในวงกว้างครับ
     
  8. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    เห็นภาพห้องทำงาน-ข้ามโลก

    คุณ Mead วิ๊งๆไปไกลแล้ว น่าภูมิใจจัง
    ห้องทำงานเก่า - ใช้โต๊ะสีขาว 2 ตัว ตัวหนึ่งเป็นโต๊ะ computer 3 x 5 ฟุต ขาวล้วน อีกตัวเล็ก Top ขาว แต่ขอบเป็นไม้ เก้าอี้ทำงานบุผ้าสีน้ำเงิน มีตู้ลิ้นชักไม้โอ๊ค 2 ชุด


    ห้องทำงานใหม่ - ใช้โต๊ะไม้สัก 3 x 6 ฟุต สีธรรมชาติ เก้าอี้หนังสีดำ
    แต่ปูพรมผืนใหญ่ ทับพรมในห้องอีกที (เพราะอยู่ใน Basement หน้าหนาวจะหนาวจัด) มีตู้ลิ้นชักไม้โอ๊ค 2 ชุด มีเก้าอี้บุผ้าสีเทาอีกตัว

    ผนังห้องไม่ว่า เก่าใหม่ ถูกเป๋ง มี artwork เต็มไปหมด
    ภาพที่ถ่ายมาให้ดู เป็น artwork ของหนังสือ กับ artwork ที่ได้รับจากเด็กๆแถวบ้านที่มาขอ chocolate จับจิ้งหรีดหลังบ้านพี่นักเขียน และมาขอเล่นเปียโนบ่อยๆ แจกขนมจนผนังไม่พอติดภาพ

    คุณ Mead ถูกทุกข้อ ขอปรมมือค่ะ

    จิตวิญญาณไม่แยกกาลเวลา ดังนั้นจิตวิญญาณจะรู้เห็นต่างจากการรู้เห็นของกายหยาบ เวลาเห็นรวมทั้งอดีต-ปัจจุบัน-อนาคต รวบหมดเป็นป้จจุบัน
    น่าภูมิใจมากๆ สติสัมปชัญญะตามรู้ตามเห็นไวยังยิ่งกว่าไปด้วยยานอวกาศ

    ฝึกบ่อยๆนะคะ พี่นักเขียนจะนำเสนอบทฝึกฝนและทดสอบมาให้อีกหลายบท
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCN8687.JPG
      DSCN8687.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.2 MB
      เปิดดู:
      74
    • DSCN8681.JPG
      DSCN8681.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.7 MB
      เปิดดู:
      75
    • DSCN8691.JPG
      DSCN8691.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.2 MB
      เปิดดู:
      81
    • DSCN8683.JPG
      DSCN8683.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.2 MB
      เปิดดู:
      84
    • DSCN8684.JPG
      DSCN8684.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.1 MB
      เปิดดู:
      79
  9. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    (b-smile)

    หัดวาดครับ ลองจินตภาพรูปนักเขียนบ้าง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • CIMG600744.jpg
      CIMG600744.jpg
      ขนาดไฟล์:
      542.5 KB
      เปิดดู:
      100
  10. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    อ. Nova Analai คือจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์

    เมื่อมีจิตวิญญาณ แปลว่า ยังไม่ดับวิญญาณขันธ์ คือ ยังไม่เข้านิพพาน
    เมื่อมีจิตวิญญาณบริสุทธิ์ ย่อมไม่เหลือกิเลสใดๆ (แต่กิเลสนิพพานแล้ว)
    เมื่อเทศนาธรรมได้ถึงเรื่องจักรวาลภพภูมิ ภูมิธรรมจึงสูงกว่าสาวกภูมิ
    เมื่อเทศนาให้เราทั้งหลายที่นี้ ตั้งความปรารถนา ย่อมเป็นการแสดงธรรม
    ต่อ "โพธิสัตว์"


    จิตวิญญาณที่ไม่เข้านิพพาน ภูมิธรรมสูงกว่าสาวกภูมิ และแสดงธรรมโปรด
    โพธิสัตว์เพื่อให้ตั้งความปรารถนา

    ก็น่าจะเป็น ...... นั่นเอง
     
  11. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    "นิกายสุขาวดี" มีวิธีการถอดจิตขึ้นสวรรค์ดูแดน
    สุขาวดี เพื่อให้ตั้งจิตไปเกิดที่นั่น แล้วบำเพ็ญเพียร
    เพื่อพุทธภูมิ

    อนึ่ง การฝึกถอดจิตขณะนั่งสมาธิทำได้ยาก
    แต่จิตที่ล่องลอยไปเอง ขณะหลับ (คือฝัน)
    นั้นเกิดขึ้นง่ายกว่า

    เพียงตั้งโปรแกรมไว้ เมื่อหลับลงหากสติดี
    ก็สามารถรับรู้ได้เทียบเท่ากับการ "ถอดจิต
    แบบนั่งสมาธิ" ดังนี้ คนมากมายจะสามารถ
    ทำได้ง่ายๆ

    คิดดูนะ ใครหนอ... ใครหนอ...

    (b-smile)
     
  12. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,791
    คุณ Mead ใช้ตาที่สามดูเหร๋อ เจ๋งมากๆ (one-eye)
     
  13. axzon47

    axzon47 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,155
    เมื่อวันก่อน วันว่าไปจะเมืองหนึ่ง แล้วมีคนมาบอกว่า ถ้าอยากรู้ ขอให้เข้านอนก่อนเที่ยงคืน ก่อนหลับได่บอกกับตัวเองว่าต้องการรู้เกี่ยวกับชาติภพ คนที่บอกในฝันเขาหมายความตามที่บอกจริงๆหรือ พี่นักเขียนพอจะตอบได้ไหมครับ
     
  14. oakpr

    oakpr เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +264
    หวัดดี ครับ พี่นักเขียน แม้เอาเสียงผมไปอวดด้วย เขินแย่เลย
    555 จะแจ้งว่าตอนนี้ skype ล่ม เข้าไม่ได้เลย เลยต้องรบกวนเว็บนี้แจ้งข่าวให้ทราบก่อน เดี๋ยวจะหาว่าโดดงาน อิอิ... ใช้ได้เมื่อไรจะรีบต่อไปครับ... 555
     
  15. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ตามประวัติศาตร์ที่ท่านอาจารย์อนาลัยได้อธิบายไว้ในหนังสือ - ประวัติศาตร์ของจิตวิญญาณ - เมื่อจิตวิญญาณมาถือกำเนิดเป็นร่างกายเนื้อหนัง จิตวิญญาณเรียนรู้ที่จะใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า เพื่อรู้เห็นสภาพแวดล้อมในปัจจุบันทำให้สามารถตอบสนองต่อภาวะต่างๆรอบตัวได้อย่างฉับพลัน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการอยู่รอดทางกายภาพ เมื่อจิตวิญญาณเรียนรู้ที่จะใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้ามายาวนานหลายศตวรรษ จิตวิญญาณในร่างกายเนื้องหนังก็ลืมเลือนไปว่า มันยังมีประสาทสัมผัสที่หกอยู่เสมอที่ทำให้รู้เห็นอดีตและอนาคตได้อย่างที่เคยรู้ ก่อนหน้าที่จะมาเป็นร่างกายเนื้อหนัง

    1. ความกลัวของมนุษย์เกิดจากการเผชิญกับความไม่รู้ เมื่อเราเชื่อว่าประสาทสัมผัสทั้งห้าทำให้เรารู้เห็นได้เพียงปัจจุบัน เราก็กลัวความไม่รู้เกี่ยวกับอดึตที่ผ่านพ้นไปแล้ว และกล้วอนาคตที่ยังมองไม่เห็นและยังมาไม่ถึง

    ความกลัวมีผลต่อคนเราไม่เท่ากันก็เพราะเราจดจ่อกับปัจจุบันได้ไม่เท่ากัน
    บางคนจดจ่อกับอดีตมาก ทำอะไรไว้ในอดีต ก็กลัวบาปกรรมจะตามมา เพราะผู้ใหญ่มักเรียนจากสังคมและศาสนาเกี่ยวกับการรับโทษ บางสิ่งบางอย่างก็ไม่ใช่สิ่งที่เราจำเป็นต้องรับโทษ แต่ผู้ใหญ่มักไม่ให้อภัยตนเอง
    บางคนจดจ่อกับอนาคตมาก ทำอะไรในอดึต-ปัจจุบัน ก็เป็นกังวลและกลัวว่าจะส่งผลอย่างไรต่อไปในอนาคต แล้วยังกังวลต่อไปอีกว่า ความรู้ความสามารถอันจำกัดของตนจะรับมือกับมันได้หรือไม่

    คนที่จดจ่อกับปัจจุบันได้มาก มักจะทุกข์น้อย เพราะเขาจะคิดเสมอว่า อดีตผ่านพ้นไปแล้ว ทำอะไรผิดพลาดไป หรือไม่ดี ก็เริ่มต้นใหม่ได้จากปัจจุบัน และอนาคตเป็นสิ่งที่ยังมาไม่ถึง-จะกังวลไปใย สังเกตความเป็นจริงนี้ได้จากเด็กๆ พวกเขาเล่นอะไรก็จดจ่ออยู่กับสิ่งนั้น ไม่เคยกังวลว่าพรุ่งนี้จะได้เล่นอีกไหม เด็กๆทำอะไรผิด ก็รู้จักให้อภัยตนเอง ไม่มีหน้าแตก ไม่มีอคติกับตนเอง หากจะมีก็เพราะผู้ใหญ่ไปตราหน้าเขา ทำให้เขาเข้าใจผิดว่า การให้อภัยตนเองเป็นสิ่งที่ผิด เด็กๆไม่เคยกลัวที่จะเรียนรู้ พวกเขาอยากรู้อยากเห็นไปทุกเรื่องโดยไม่วินิจฉัยตนเองว่า หนูยังไม่เคยทำ หนูทำไม่เป็น หนูไม่มีความสามารถพอ พวกเขาทดลองและกล้าทำทุกสิ่งทุกอย่างเสมอ จนกว่าผู้ใหญ่จะห้ามว่า หนูทำไม่ได้นะเพราะมันอันตราย หนูทานไม่ได้นะเพราะหนูยังไม่เคยทาน หนูทำไม่เป็นหรอกเพราะหนูยังไม่ได้เรียน หนูจะว่ายน้ำเก่งได้ยังไง-พ่อของหนูเขายังว่ายน้ำไม่เป็นเลย ฯลฯ

    สรุปได้ว่า ความกลัวเติบโตมาพร้อมกับมนุษย์ทุกคนด้วยความหวังดีของพ่อแม่ การวินิจฉัยและการถูกจำกัดด้วยการตีตราของครูและผู้ใหญ่อื่นๆในชีวิตของเรา

    "เธอสามารถแก้ไขอดีตและสร้างสรรค์อนาคตได้จากปัจจุบัน"
    (จากหนังสือ โนวา อนาลัย ขยายความ ธรรมชาติของชาติภพ บทที่ 8 อะไรมาเป็นเธอ -การถ่ายทอดจิตวิญญาณมาสู่ความเป็นตัวตนในแต่ละชาติภพ หน้า 119)

    2. -3. การแก้ไขความกลัว ทำได้เสมอด้วยการเปลี่ยนความเชื่อในปัจจุบันให้เป็นไปในทางบวกต่อตนเองและผู้อื่น เมื่อเราเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ เรามองย้อนดูอดีตและพิจารณาได้จากปัจจุบันว่า หลายสิ่งหลายอย่างที่พ่อแม่ ครูหรือญาติผู้ใหญ่ วินิจฉัย ตีตรา หรือให้คำจำกัดความการเป็นตัวตนของเรา ไม่ใช่ความเป็นจริงเสมอไป แต่เป็นเพียงความเชื่อที่เกิดจากเหตุการณ์หนึ่งๆในชีวิตที่ผ่านพ้นไปแล้ว และเราไม่จำเป็นจะต้องหยุดหรือจำกัดตนเองอยู่เพียงแค่นั้น เราสามารถเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างได้ในปัจจุบัน เช่น เราถูกวินิจฉัยว่า "หนูไม่แข็งแรง เพราะแม่ของหนูเขาเป็นคนไม่แข็งแรง" "เธอจะฝันมากไปแล้ว พ่อของเธอทำงานแทบตายจนเกษียณก็ยังไม่รวยเลย" และคำวินิจฉัยนี้ก็อาจเกิดจากการที่เราเผชิญกับประสบการณในช่วงหนึ่งๆของชีวิตที่ทำให้ดูเสมือนว่า คำกล่าวเหล่านั้นเป็นความจริง แม้ว่ามันจะผ่านพ้นหมดแล้ว แต่ความเชื่อในคำจำกัดความเกี่ยวกับการเป็นผู้ที่อ่อนแอหรือยากจนก็ ทำให้เรายึดติดกับคำวินิจฉัยนี้ไปตลอดชีวิต

    "ความเชื่อของเธอไม่ได้เกิดจากประสบการณ์ที่เธอเผชิญซ้ำแล้วซ้าเล่า แต่ประสบการณ์ซ้าแล้วซ้ำเล่าเกิดจากความเชื่อของเธอ" (จากหนังสือ อิสระแห่งความปรารถนา บทที่ 6 กระแสจิตกับความเชื่อ หน้า 79)

    "การจดจ่อคิดคำนึงถึงอดีตและต้นเหตุของปัญหา เป็นการสร้างโครงสร้างของอนาคต และทำให้ปัญหาที่มีอยู่นั้นมีความแข็งแกร่งที่จะดำเนินต่อไปอีกในอนาคต" (จากหนังสือ โนวา อนาลัย ขยายความ ธรรมชาติของชาติภพ - บทที่ 11 อำนาจแห่งปัจจุบัน -หน้า 154)

    เราจะพิชิตความกลัวได้ด้วยความกล้า และความกล้าของเราจะมาจากไหน?
    ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวไว้ในหนังสือ อิสระแห่งความปรารถนา และเล่มอื่นๆแทบจะทุกเล่มว่า "ความเชื่อของเธอ สร้างโลกแห่งความเป็นจริงและประสบการณ์ชีวิตทั้งหมดของเธอ"และความเชื่อใหม่สร้างโลกและชีวิตใหม่ให้เราได้เสมอ เพราะ"ไม่มีมนุษย์ผู้ใดที่มีชีวิตอยู่ โดยปราศจากความสามารถอันสร้างสรรค์ ในทิศทางที่เป็นเอกลักษณ์"

    การขจัดความกลัวจึงทำได้ได้วยการเปลี่ยนความเชื่อ เชื่อถือในธรรมชาติ เชื่อถือในความเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง เชื่อถือว่าทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตเป็นสิ่งที่สามารถเริ่มต้นใหม่หมดได้จากปัจจุบัน และเชื่อถือในพลังอำนาจของจิตวิญญาณของตนเองที่มีคุณสมบัติเสมอเหมือนกับต้นกำเนิด ซึ่งเต็มไปด้วยความสมบูรณ์พูนสุขและการสร้างสรรค์อันเป็นอนันต์ และเราก็ได้รับการสนับสนุนจากต้นกำเนิดของเราเสมอ ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวไว้ใน อิสระแห่งความปรารถนาว่า
    "หากเธอตระหนักถึงพลังอำนาจที่แท้จริงในตัวตนทั้งหมดของเธอ อันเป็นพลังอำนาจที่ทำให้เธอกล้าเลือกที่จะมาถือกำเนิดในโลกมนุษย์ เธอจะรู้ว่-ไม่มีสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้ เธอมาพร้อมกับพลังอำนาจที่จะมีได้-ทำได้-เป็นได้ สมความปรารถนาทุกประการ"

    ความกล้าของเราจึงมาจากการเปลี่ยนความเชื่อที่ทำให้เราตระหนักได้ว่า อำนาจที่ทำให้ชีิวตของเราเป็นไป คืออำนาจของความเชื่อของตนเอง มันจึงเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นอดีตหรืออนาคต ก็เป็นสิ่งที่อยู่ภายใต้การควบคุมด้วยความเชื่อของตนเอง


    4. พลังอำนาจที่ทำให้การอธิษฐานสัมฤทธิ์ผล คือความเชื่ออีกเช่นกัน บางครั้งก็สัมฤทธิ์ผลได้ด้วยความเชื่อส่วนบุคคล และบางครั้งก็สัมฤทธิ์ผลได้ด้วยความเชื่อของส่วนรวม เรามักจะตีความหมายของการอธิษฐานว่า เป็นการจดจ่อกับสิ่งที่พึงปรารถนาด้วยเจตนารมย์และความมุ่งมั่น แม้ว่าเราจะมองเห็นการอธิษฐานเป็นสิ่งที่เป็นพลังบวกมากกว่าลบ แต่การนึกคิดและจดจ่อกับสิ่งต่างๆไปในทางลบส่วนบุคคลและส่วนรวม เช่น การนึกคิดและจดจ่อกับปัญหาและความล่มสลายของธุรกิจ ของบ้านเมือง นึกคิดและจดจ่อกับความไม่ยุติธรรมของระบบการเมือง ความเหลื่อมล้ำทางสังคมและเศรษฐกิจ ก็ไม่ต่างกับอะไรกับการอธิษฐานให้สิ่งเลวร้ายต่างๆเกิดขึ้น

    ความเชื่อของเรา อาจเป็นความเชื่อในพลังอำนาจของผู้อื่น ในพลังอำนาจของวัตถุสิ่งของ หรือในสิ่งที่เหนือมนุษย์ แต่พลังอำนาจที่แท้จริงที่ทำให้แรงอธิษฐาน ผู้อื่นก็ดี หรือสิ่งของและสิ่งที่เราเรียกว่าเหนือมนุษย์มีพลังและทำให้ความรู้สึกนึกคิดทั้งหลายสัมฤทธิ์ผล ก็คือความเชื่อของเราเอง

    "เธอไม่เคยตกเป็นเหยื่อของโชคร้ายใดๆ นอกเสียจากว่าเธอจะตกเป็นเหยื่อของความเชื่อ-ของตนเอง"
    (จากหนังสือ โนวา อนาลัย ขยายความ ธรรมชาติของชาติภพ บทที่ 10 การเป็นอิสระจากขีดจำกัดของโลกมนุษย์ หน้า 139)

    "มนุษย์เกิดมาพร้อมกันความมหัศจรรย์-เหินฟ้า และ ความเรียบง่าย-เดินดิน
    สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือมนุษย์-พระเจ้า เทพ-เทวดา มีอยู่ในตัวมนุษย์"

    (จากหนังสือ ชีวิตนอกเหนือชาติภพ บทที่ 17 เทพ เทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ กับ มนุษย์ หน้า 198)

    5. การคิดและการฝันให้เป็นจริง เริ่มต้นได้ด้วยจินตนาการ ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวไว้ว่า "จินตนาการเป็นปัจจัยที่มีค่าที่สุด เพราะมันเป็นกุญแจที่ไขประตูสู่เส้นทางแห่งความเป็นไปได้ทุกเส้นทาง และเป็นปัจจัยที่กระตุันให้จิตภาวะกลายเป็นวัตถุธาตุ-ประสบการณ์และความเป็นจริงทั้งหลายในโลกทางกายภาพ"

    จินตนาการเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความเป็นจริงทั้งหมด

    (จากหนังสือ โนวา อนาลัย ขยายความ ธรรมชาติของชาติภพ บทที่ 10 การเป็นอิสระจากขีดจำกัดของโลกมนุษย์ หน้า 136-138)

    การทำให้ความปรารถนาเป็นจริงได้ด้วยความคิดและความฝัน ครอบคลุมถึงการฝันกลางวัน หรือที่เราเรียกกันว่า ฝันเฟื่อง หรือเป็นเพียงจินตนาการที่ไร้สาระ เพราะเราไม่ได้รู้ถึงพลังอำนาจของความนึกคิดว่า มันมีคุณสมบัติเป็นพลังงาน เมื่อเรานึกคิดสิ่งใด เราส่งพลังงาน หรือส่งจิตวิญญาณบางส่วนออกไปสู่ประสบการณ์ที่เราจินตนาการ และมันก็เกิดเป็นโลกแห่งความเป็นจริงบนเสันทางแห่งความเป็นไปได้ในโลกใดโลกหนึ่งเสมอ การนึกคิดเพียงแว้บเดียวจึงมีความสำคัญและความหมายมาก ทั้งในทางบวกและลบ เพราะมันเป็นการสร้างเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ขึ้นมาและมันก็พร้อมเสมอที่จะมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงในปัจจุบัน หากเราจดจ่อกับความรู้สีกนึกคิด จินตนาการและความฝันนั้นๆต่อไปบ่อยๆ ตามกฏแห่งการดึงดูดของจักรวาลแล้ว ท่านอาจารย์อนาลัยได้อธิบายไว้ว่า อารมณ์-ความรู้สีกนึกคิดและจินตนาการดึงดูดประสบการณ์และปัจจัยต่างๆตลอดจนวัตถุธาตุต่างๆจากเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ที่คล้องจองกันมาสู่เส้นทางแห่งความเป็นจริงในปัจจุบัน

    "เธอจดจ่อกับสิ่งใด ได้สิ่งนั้น ไม่มีกฎเกณฑ์อื่น"
    (จากหนังสือ อิสระแห่งความปรารถนา บทที่ 6 กระแสจิตกับความเชื่อ หน้า 85)

    6. จิตวิญญาณในร่างกายเนื้อหนังแบ่งได้เป็น 3 ส่วนด้วยกันตามหน้าที่การทำงานด้วยสติสัมปชัญญะซึ่งหมายถึงการจดจ่ออันคมชัดของจิตวิญญาณ ได้แก่ :
    1. สติสัมปชัญญะส่วนที่จดจ่อกับโลกภายใน อันเป็นโลกที่เป็นจินตภาพ
    2. สติสัมปชัญญะส่วนที่จดจ่อกับรูปกาย หรือ ร่างกาย
    3. สติสัมปชัญญะส่วนที่จดจ่อกับโลกภายนอก อันเป็นโลกทางกายภาพ

    เมื่อถึงแก่ความตายของร่างกาย จิตวิญญาณไม่ได้อพยพออกจากร่างกายหนึ่งร่าง ออกไปทั้งดวง ไปสู่ครรภ์มารดาเพื่อถือกำเนิดใหม่ หากแต่ว่าสติสัมปชัญญะส่วนที่จดจ่อกับโลกภายนอก อันเป็นโลกทางกายภาพจะเปลี่ยนวิถีการจดจ่อไปสู่โลกอื่น ชาติภพอื่น มิติอื่น บางส่วนของจิตวิญญาณ เช่น ส่วนที่มีสติสัมปชัญญะส่วนที่จดจ่อกับรูปกาย หรือ ร่างกาย ยังคงอยู่ในร่างกายต่อไป และแปลงสภาวะไปพร้อมกับร่างกายนั้นๆ (ธรรมชาติความเป็นจริงในข้อนี้ที่ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวถึง ทำให้พี่นักเขียนเข้าใจได้ดีขึ้นว่า เหตุไร พระบางองค์ที่มรณภาพแล้ว จึงยังมีสภาวะทางร่างกายที่คงสภาพได้ยาวนาน เช่น ศพไม่เน่าเปื่อย เล็บและผมงอกยาวต่อไป)
    ส่วนสติสัมปชัญญะส่วนที่จดจ่อกับโลกภายใน อันเป็นโลกที่เป็นจินตภาพ เป็นส่วนที่เป็นไปหลายโลก หลายมิติ อยุ่ตลอดวันเวลา ไม่ว่าเราจะยังมีชีวิตอยู่ในร่างกายใด ชาติภพใด หรืออยู่ในภาวะก่อนการเกิดและหลังความตาย ส่วนนี้ก็เป็นส่วนที่เปรียบเสมือนศูนย์กลาง SERVER ที่ทำหน้าที่ประสานส่วนอื่นๆข้ามช่องว่าง ระยะทางและกาลเวลา

    คำว่า การกำหนดเป้าหมายหลังการตายและก่อนตาย กว้างไกลกว่าการไปให้ถึงจุดหมายปลายทางที่เปรียบเสมือนจุดจบ ซึ่งภาวะของการตายไม่ได้เป็นเช่นนั้น หากแต่เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ไม่มีวันจบสิ้น และจิตวิญญาณจะดำเนินต่อไป โดยปราศจากรอยต่อของชีิวิตและความตาย

    เรื่องนี้อยากให้พวกเราที่อยากรู้ช่วยเตือนพี่นักเขียนด้วย ว่าให้เล่าถึงประสบการณ์ส่วนตัวเกี่ยวกับความตาย และความหมายที่ว่า-จิตวิญญาณดำเนินต่อไประหว่างชีวิตและความตายโดยปราศจากรอยต่อนั้นคืออะไร เพราะเป็นเรื่องที่พี่นักเขียนยังไม่เคยกล่าวถึงในบันทึกของนักเขียน http://www.novaanalai.com/novaanalai/C7EFEA5C-0E1C-11DC-93B4-000D932ED860.html เนื่องจากคิดว่าเป็นสาระจำเพาะที่เล่าได้แต่เพียงผู้ที่ต้องการรู้และต้องการทำความเข้าใจเท่านั้น มิฉะนั้นจะเข้าใจไม่ได้ และประสบการณ์ดังกล่าวก็เหนี่ยวนำให้พี่นักเขียนก้าวมาสู่เส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นนี้ ที่กลายมาเป็นผู้เขียนหนังสือชุดนี้ ถ้าสนใจจริงๆก็อย่าลืมเตือนนะ-ลืมเตือนก็จะลืมเล่า

    รายละเอียดเกี่ยวกับภาวะใกล้ตาย ภาวะของความตาย และภาวะหลังความตาย ภาวะก่อนการเกิด วงจรชีวิตในชาติภพ วงจรชีวิตนอกเหนือชาติภพ บทเรียนระหว่างชาติภพ มีรายละเอียดมากมายในหนังสือ อมตะแห่งจิตวิญญาณ ภาคต้น และ ภาคปลายค่ะ

    7. พี่นักเขียนไม่มีความรู้เรื่อง ฮวงจุ้ย แต่เนื่องจากเป็นสถานปนิกและเมื่อมาศึกษาข้อมูลความรู้จากท่านอาจารย์อนาลัย ทำให้เข้าใจว่า พลังงานเป็นต้นกำเนิดของทุกสิ่งทุกอย่างอันมีสภาวะเป็นวัตถุธาตุ

    ความเชื่อใน ฮวงจุ้ย ที่ว่าเมื่อจัดวัตถุหรือแก้ไขวัตถุแล้วจะทำให้พลังงานหมุนเวียนได้ดีขึ้น ก็ส่งผลให้ดีขึ้นได้จริง แต่การปรากฏของวัตถุธาตุ หรือวัตถุสิ่งของทั้งหลายในบ้านเรือนก็คือการแสดงออกถึงภาวะอันเป็นจินตภาพของพลังงานอันเป็นต้นกำเนิด ซึ่งหมายถึงว่าพลังงานที่เป็นไปในมิติอื่นที่เป็นจินตภาพ ทำให้วัตถุสิ่งของปรากฏขึ้นในโลกทางกายภาพเช่นที่เราเห็นและสัมผัสได้ ไม่ใช่ว่าเราสร้างหรือจัดวัตถุแล้วทำให้เกิดพลังงาน พลังงานที่ว่าก็เกี่ยวพันกับความรู้สึกนึกคิด-อารมณ์และจินตนาการโดยตรง เมื่อเราเชื่อว่า เปลี่ยน?ฮวงจุ้ยแล้วจะดี พลังงานที่เกิดจากการเปลี่ยนความเชื่อเกิดขึ้นก่อนในโลกภายในอันเป็นจินตภาพ จากนั้นก็ปราฏในโลกภายนอกทางกายภาพ เป็น การจัดห้องใหม่ ย้ายประตุหน้าต่าง ทางเข้า ฯลฯ ใหม่ ไม่ใช่ในทางกลับกัน

    ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวถึงจุดตัดที่ทำให้พลังงานถ่ายทอดจากมิติหนึ่ง ไปสู่อีกมิติหนึ่ง จุดตัดเหล่านี้เรียกว่า จุดประสานมิติ ใครที่สนใจเกี่ยวกับฮวงจุ้ย จะเข้าใจถึงพลังงานได้ดีขึ้นจากหนังสือ อมตะแห่งจิตวิญญาณ-ภาคต้น บทที่ 4 จุดประสานมิติ กับ การก่อเกิดวัตถุธาตุด้วยจิตวิญญาณ

    ถามเก่งนะคะ วันนี้ได้ A+ อีกแล้ว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 05cover.jpg
      05cover.jpg
      ขนาดไฟล์:
      10.6 KB
      เปิดดู:
      51
    • 06cover.jpg
      06cover.jpg
      ขนาดไฟล์:
      9.2 KB
      เปิดดู:
      55
    • 07cover.jpg
      07cover.jpg
      ขนาดไฟล์:
      9.6 KB
      เปิดดู:
      61
    • 08cover.jpg
      08cover.jpg
      ขนาดไฟล์:
      10 KB
      เปิดดู:
      55
  16. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ปรารถนาที่จะเรียนรู้-ย่อมได้รู้

    อยากรู้เกี่ยวกับชาติภพในนัยใดคะ หรือว่า อยากรู้เกี่ยวกับภาวะของความตาย ประสบการณ์หลังความตาย ก่อนมาถือกำเนิดและการดำเนินชีวิตในชาติภพอื่นต่อไป?

    ตื่นขึ้นมารู้สึกอย่างไร ใช่คุณaxzon47คนเดิมก่อนเข้านอนหรือเปล่า? เล่าให้ฟังหน่อย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 สิงหาคม 2007
  17. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    มองดูภาพที่คุณ Mead วาดแล้วต้องบอกว่าเหมือนส่องกระจกวิเศษ....ไม่ห่างไกลความจริง แอบมานั่งวาดรูปอยู่แถวนี้ตั้งแต่เมื่อไรน้อ?
     
  18. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    รบกวนกลับไป refresh screen อีกทีนะคะ เพราะพื้นสีดำและตัวหนังสือจริงๆแล้วสีเหลือง เห็นได้ชัดค่ะ หาก copy แต่ text มา link จะไม่มาด้วย มี link กับ website อื่นหลายอันค่ะ ถ้ายังอ่านไม่ได้บอกด้วยนะคะ จะได้ปรับปรุงแก้ไข
     
  19. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    Agenda

    ผู้อ่านที่ได้อ่านหนังสือชุดของท่านอาจารย์อนาลัยมาบ้างแล้ว มีคำถามมากมายว่า เราจะฝึกฝนบทฝึกฝนทั้งหมดของท่านอาจารย์อย่างได้ผลได้หรือไม่ หากเราไม่ได้ฝึกสมาธิมาก่อน พี่นักเขียนอยากจะเรียกว่า การฝึกสติสัมปชัญญะให้คมชัดมากกว่า จะได้ไม่ต้องแปลหรือตีความหมายอีกว่า การฝึกสมาธิในห้องวิทย์นี้ หมายถึงอะไร

    พี่นักเขียนเชื่อว่า การฝึกสติสัมปชัญญะให้คมชัดเป็นพื้นฐานของการศึกษาทุกสาขาวิชาในโลกนี้ และ โลกทางกาพและจินตภาพอื่นๆทุกโลก หากปราศจาก สติสัมปชัญญะอันคมชัด เราก็เรียนรู้และสร้างสรรค์ไม่ได้ ยิ่งการศึกษาเกี่ยวกับธรรมชาติของจิตวิญญาณมีสาระที่ลุ่มลึกกว้างไกล และหลายๆคนบอกว่าเข้าใจยาก ยิ่งต้องใช้สติสัมปชัญญะอันคมชัดมากกว่าการศึกษาวิชาอื่นๆ แต่คงไม่มีอะไรวิเศษไปกว่าการศึกษาที่ทำให้เราเรียนไป ใช้ไป ได้ทันที เช่นนี้ เพราะสติสัมปชัญญะ คือ การจดจ่ออันคมชัดของจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นของเราและเป็นของอัจฉริยะและศิลปินอื่นๆซึ่งประสานกันเป็นระบบเครือข่ายอยู่ในปัจจุบัน เราจึงไม่ได้เรียนเพียงร่างเดียวสมองเดียว หากเรากำลังเรียนกันเป็นระบบเครือข่ายได้อย่างรวดเร็ว เช่นที่เราเห็นปรากฏในกระทู้นี้ พวกเราเรียนรู้ร่วมกันด้วยการนำเสนอสาระ ตั้งคำถาม-คำตอบ แสดงความคิดเห็น ฝึกฝน ทดลองและพิสูจน์ร่วมกัน

    พี่นักเขียนได้แนะนำขั้นตอนการฝึกปฏิบัติสมาธิไปแล้วเมื่อ 2 วันก่อน รบกวนคุณ Mead หัวหน้าห้อง พลังจิตพิชิตพลังฝัน รุ่น 1 ช่วยรวบรวมโพยให้พวกเราต่อไปนะคะว่าอยู่หน้าไหนบ้าง กระทู้ไปเร็วจนพวกเราจิตวิญญาณเก่าๆและใหม่ๆอาจตามไม่ทัน คุณน้อง Don't worry โวยมาทาง e-mail ว่า "กระทู้นี้ไปเร็วจัง ช่วยด้วย !" ใครที่เพิ่งจะแวะเข้ามาในห้องวิทย์ฯ นี้ ยินดีต้อนรับค่ะ เอาหมอนและผ้าห่ม มาหามุมสงบ ฝึกลับสติสัมปชัญญะกันได้เลย และขอแนะนำให้อ่านข้อมูลตามลำดับที่คุณ Mead ได้รวบรวมมาเป็นระยะ แวะอ่านหนังสือ และ ฟัง Audio Books (PodCast) ที่ http://www.novaanalai.com/novaanalai/Index.html จะได้ประสานกันเป็นหนึ่งเดียวนะคะ

    พี่นักเขียนได้บอกไว้คราวก่อนว่า หลักการง่ายๆของการทำสมาธิคือ การทำให้ร่างกายของเราหลับ และ ทำให้จิตของเรายังคงตื่นอยู่ คราวนี้มาอธิบาในรายละเอียดให้ฟังว่า มันมีขั้นตอนอย่างไรในขณะที่ทำ และเมื่อทำได้แล้วร่างกายของเราจะรู้สึกอย่างไร จิตของเราจะเป็นอย่างไร และต่อๆไปจะอธิบายว่า เราจะรู้เห็นอะไร รู้เห็นได้อย่างไร และตีความหมายสิ้่งที่รู้เห็นได้อย่างไร

    สาระที่จะบรรยาย นับจากวันนี้เป็นต้นไป จนกว่าพวกเราจะโหวตให้ปิดเทอม เป็นรายละเอียดเกี่ยวกับภาวะต่างๆที่จะเกิดขึ้นกับร่างกายและจิตใจในขณะที่สติสัมปชัญญะเปลี่ยนวิถีการจดจ่อไปสู่ภาวะต่างๆ เมื่อรู้รายละเอียดแล้ว เราจะปราศจากความกลัว ลังเลสงสัย แต่เตรียมพร้อมจะเผชิญกับประสบการณ์และพิสูจน์ความเป็นจริง และทำให้เรารู้ได้ว่า เรากำลังเป็นอะไร อยู่ในภาวะไหน และเราทำอะไรได้บ้างในภาวะนั้นๆ

    ตามปกติแล้วเรามีสติสัมปชัญญะที่จดจ่ออยู่กับโลกแห่งความเป็นจริงทางกายภาพ เมื่อจิตวิญญาณเปลี่ยนวิถีการจดจ่อด้วยสติสัมปชัญญะไป มันก็พาเราไปจดจ่อกับโลกอื่นๆได้อีก 2 ลักษณะด้วยกัน คือ โลกแห่งความเป็นจริงอันเป็นจินตภาพ และโลกแห่งความเป็นจริงอันเป็นจิตวิญญาณ ที่กล่าวว่าอีก 2 ลักษณะก็เพราะ แต่ละลักษณะไม่ได้มีเพียงอีกหนึ่งโลกเท่านั้น แม้แต่โลกทางกายภาพที่เหมือนโลกที่เราอยู่นี้ก็มีมากมายหลายโลก บนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้อันหลากหลาย-เป็นอนันต์ และโลกทางจินตภาพก็มีอีกหลายโลก-เป็นอนันต์ แต่ที่สุดคือโลกแห่งความเป็นจริงอันเป็นจิตวิญญาณ คือโลกรวมอันเป็นต้นกำเนิดของทุกโลก เป็นโลกแห่งองค์ความรู้ทั้งหมด ซึ่งไม่ใช่เป็นโลกที่มีขนาด ปริมาณหรือปริมาตรจำกัดเบ็ดเสร็จตายตัว แต่เป็นโลกที่ดับลง และในขณะเดียวกันก็เกิดหรือระเบิดขึ้น ขยายตัวและสร้างสรรค์ต่อไปอีกอย่างไม่มีวันจบสิ้น (ใครที่เป็นนักวิทยาศาสตร์สาขาจิตวิญญาณ หรือนักฟิสิกส์สาขากจิตวิญญาณ เอาเรื่อง Black Hole vs Big Bang มาคุยให้พวกเราฟังบ้างนะคะ คุณ Zipper อยู่ไหน ? กำลังไปเที่ยว Mars อยู่หรือเปล่า?

    เมื่อจิตวิญญาณเปลี่ยนวิถีการจดจ่อด้วยสติสัมปชัญญะไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงที่เป็น กายภาพ รูปกายของเราก็จะยังคงเป็น กายภาพ รู้เห้นได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า

    เมื่อจิตวิญญาณเปลี่ยนวิถีการจดจ่อด้วยสติสัมปชัญญะไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงที่เป็น จินตภาพ รูปกายของเราก็จะแปลงสภาวะไปเป็น จินตภาพ รู้เห้นได้ด้วยประสาทสัมผัสภายใน

    เมื่อจิตวิญญาณเปลี่ยนวิถีการจดจ่อด้วยสติสัมปชัญญะไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงที่เป็น จิตวิญญาณ เราก็ปราศจากรูปกาย เหลือแต่ตัวรู้ คือผู้รู้และความรู้ซึ่งเป็นหนึ่งเดียวกัน รู้เห้นได้อย่างฉับพลันด้วยจิตวิญญาณโดยตรง

    ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวได้ว่า ตามธรรมชาติแล้วจิตวิญญาณของเราไม่มีการแบ่งแยก แต่ท่านแยกสภาวะการจดจ่อของจิตวิญญาณออกเป็น 3 สภาวะเพื่อให้เราเข้าใจง่ายขึ้น:
    1.สติสัมปชัญญะส่วนที่จดจ่อกับโลกภายใน และตัวตนภายใน
    2.สติสัมปชัญญะส่วนที่จดจ่อกับรูปกายหรือร่างกาย ในระดับอะตอม-เซลล์-โมเลกุล-อวัยวะ-ระบบอวัยวะทั้งหมด ซึ่งอยู่นอกเหนือการควบคุมด้วยสติสัมปชัญญะที่เรารู้จักอันได้แก่ส่วนที่ 3
    3. สติสัมปชัญญะส่วนที่จดจ่อกับโลกภายนอก และตัวตนภายนอก
    (จากหนังสือ ความฝันกับวิถีแห่งจิตวิญญาณ บทที่ 2 - สติสัมปชัญญะของนักฝัน)

    เราจะมาดูกันต่อไปว่า ระหว่างที่เราฝึกสติสัมปชัญญะให้คมชัด และรู้เห็นภาวะที่จิตวิญญาณเปลี่ยนวิถีการจดจ่อด้วยสติสัมปชัญญะไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงโลกอื่นๆ-มิติอื่นๆนั้น เกิดอะไรขึ้นกับสติสัมปชัญญะ 3 ส่วนนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 สิงหาคม 2007
  20. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    โลกแห่งความเป็นจริงทาง-กายภาพ

    จิตวิญญาณจะเปลี่ยนวิถีการจดจ่อด้วยสติสัมปชัญญะไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงโลกอื่นได้โดยปราศจากลำดับ เพราะจิตวิญญาณอยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์ของช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลา

    ตามธรรมชาติแล้วจิตวิญญาณมีอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไป ทุกโลก ทุกมิติ พร้อมกันหมดเป็นป้จจุบัน แต่สติสัมปชัญญะของเราก็สามารถรู้เห็นได้เพียงทีละโลก ทีละมิติ ดังนั้นจะขออธิบายรายละเอียดเป็นลำดับ
    จาก โลกทางกายภาพ ซึ่งเป็นโลกที่ใกล้ตัวและสังเกตเห็นได้ง่ายที่สุด
    ไปสู่ โลกทางจินตภาพ ซึ่งเป็นภาวะจิตที่สังเกตเห็นได้ยากขึ้นไปอีกนิด
    ไปสู่ โลกทางจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นภาวะจิตที่สังเกตเห็นได้ยากที่สุด แต่ใกล้ตัวเราเท่าใจเต้น

    มิติที่ 1: เปลี่ยนวิถีการจดจ่อของจิตวิญญาณด้วยสติสัมปชัญญะไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงทางกายภาพ

    เมื่อเริ่มฝึกสติสัมปชัญญะให้คมชัดในระยะแรกเราจะเผชิญกับ : โลกแห่งความเป็นจริงที่เป็น กายภาพ

    สภาวะของร่างกาย :
    เมื่อเริ่มนั่งสมาธิ จิตวิญญาณเปลี่ยนวิถีการจดจ่อด้วยสติสัมปชัญญะไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงที่ยังเเป็น กายภาพ ซึ่งมักจะยังเป็นจุดเดิมที่เราเริ่มต้น
    ภาวะทางกายที่เกิดขึ้นและสังเกตรู้ได้คือ ประสาทสัมผัสทั้งห้าจะตื่นตัวมากกว่าเดิม ความรู้สึกต่างในร่างกายเนื้อหนังของเราจะคมชัด คัน เจ็บ ปวด หิว กระหายน้ำ ฯลฯ จะชัดเจนมาก เสียงในสภาพแวดล้อมที่แม้จะแผ่วเบากลับดังกว่าที่ได้ยินก่อนเป็นสมาธิมาก บางสิ่งบางอย่างที่เคลื่อนไหวอยู่ในสภาพแวดล้อมอย่างแผ่วเบากลับเสมือนว่ารุนแรง ใครจามใครไอ ขณะที่จิตเรารวมลงเป็นสมาธิและเมื่อจิตวิญญาณเปลี่ยนวิถีการจดจ่อด้วยสติสัมปชัญญะไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงที่เป็นกายภาพแล้ว จะดังและเสมือนสั่นสะเทือนมาก เสมือนบางสิ่งบางอย่างแตกกระจายอยู่ภายใน การจดจ่ออย่างคมชัดของสติสัมปชัญญะจะทำให้เรามีความตื่นตัวต่อสภาพแวดล้อมและอาการทางกายภาพของร่างกายอย่างมาก แม้จะหลับตาอยู่บนเบาะสมาธิก็ตาม

    ดังนั้นก่อนที่เราจะสามารถก้าวล่วงไปสู่ภาวะที่รู้สึกผ่อนคลายได้ทั้งร่างกาย เราอาจจะเผชิญกับภาวะที่รู้สึกอึดอัดทางกายระยะหนึ่งก่อน เช่นเดียวกับคนหลับยาก มักนอนกระสับกระส่ายก่อนพักหนึ่งจึงจะหลับนิ่งได้ ในระยะนี้ จินตนาการและความรู้สึกมักจะชัดเจนกว่าปกติ แม้จะปวดเมื่อยหรือคัน ฯลฯ เราควรใช้ความอดทน เพราะเมื่อเมื่อจิตวิญญาณเปลี่ยนวิถีการจดจ่อด้วยสติสัมปชัญญะไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงที่เป็น จินตภาพ อาการทางกายภาพทั้งหลายจะหายไปเอง เราอาจจะยังคงรู้เห็นความเจ็บปวด เมื่อย คัน ฯลฯ ต่อไป แต่มันก็ไม่ส่งผลกระทบกับเราอีกต่อไป

    การจดจ่อในระยะแรกๆอาจเป็นไปได้สั้นๆ ระหว่างการจดจ่อกับความรู้สึกทางกาย และจดจ่อกับความคิด สลับกันไป เมื่อเราคุ้นเคยกับกระบวนการของอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของตนเอง เราจะตระหนักได้ว่า ยิ่งเราปล่อยความรู้สึกทางร่างกายไปได้มากเท่าไร เราก็จะรู้เห็นอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของตนเองได้ชัดมากขึ้นเท่านั้น เราจะรู้ตัวว่า เรากำลังคิดอะไร ความคิดของเราเปลี่ยนไปบ่อยแค่ไหน และมันกลับมาสู่ความคิดแรกอีกเมื่อไร

    หากเรามีความลังเลสงสัย ความกลัว ความเชื่อในทางที่ผิด เกี่ยวกับการขาดการรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้าในขณะนี้ จิตวิญญาณจะเปลี่ยนวิถีการจดจ่อด้วยสติสัมปชัญญะจากโลกแห่งความเป็นจริงอันเป็นจินตภาพ กลับไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงที่เป็นกายภาพทันที ทำให้เราเผชิญกับอาการทางร่างกายอีก เช่น เจ็บปวด เมื่อย คัน หิว กระหายน้ำ ฯลฯ ขึ้นมาอีก หรือหายใจหอบรุนแรง ใจเต้นไม่เป็นส่ำ เพราะความกลัวและการเปลี่ยนวิถีการจดจ่อกลับไปอย่างฉับพลัน

    เมื่อทำสมาธิและทำให้ร่างกายหลับได้สำเร็จ ในระยะแรกเราจะเผชิญกับการถอนหรือปิดของประสาทสัมผัสทั้งห้า ความอ่อนไหวต่อเสียง ความปวดเมื่อย คัน หิว กระหาย ทั้งหลายทางร่างกายจะจางลง การตื่นตัวรู้เห็นอาการทางกายทั้งหลายจะผ่อนคลายลง ความสนใจของเราเกี่ยวกับอาการทางกาย สภาพแวดล้อมทางกายภาพซึ่งทำให้ประสาทสัมผัสห้ารับรู้-จะลดลง

    สติสัมปชัญญะส่วนที่จดจ่อกับร่างกายจะเริ่มเปลี่ยนวิถีการจดจ่อไป ทำให้เราไม่ค่อยรู้เห็นน้ำหนักตัวของเราเช่นเคย รู้สึกเสมือนตัวเบา ไม่อ่อนไหวกับการรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้าเช่นปกติ สติสัมปชัญญะส่วนที่เคยจดจ่อกับโลกภายนอก และเคยเป็นสติสัมปชัญญะของผู้กระทำในโลกทางกายภาพ จะกลายเป็นสติสัมปชัญญะของผู้สังเกตการณ์ ซึ่งตื่นตัวต่อการรู้เห็นภาวะของการไม่อ่อนไหวนี้

    จากการรู้เห็นภาวะที่แตกต่างไปจากปกตินี้ เราอาจรู้สึกอึดอัดหรือไม่สบายตัว เราอาจจะรู้สึกว่าร่างกายแขนขาชา แต่ถึงกระนั้นเราก็จะรู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวที่มีอยู่ภายใน เราอาจรู้สึกได้ถึงความร้อนที่วิ่งขึ้นลงในร่างกาย การเคลื่อนไหวในท้อง หรือได้ยินท้องร้อง ซึ่งเป็นสัญญลักษณ์ที่ทำให้รู้ถึงของการเคลื่อนไหวของพลังงานในร่างกาย อาการชาของร่างกาย แขน ขา ในจุดนี้จะคล้ายกันกับภาวะที่เรารู้สึกเสมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น หากเราตกอยู่ในภาวะนี้เป็นระยะยาว จะรู้สึกเสมือนเป็นอัมพาต หรือบางคนเรียกว่า ผีอำ ซึ่งเป็นภาวะที่เรารู้เห็นการหลับของร่างกาย

    ร่างกายหลับแล้ว แต่จิตยังตื่นอยู่ จึงรู้เห็นได้

    มาถึงจุดนี้ เสียงหรือการเคลื่อนไหวที่อยู่ไกลออกไป ซึ่งไม่อาจได้ยินได้ตามปกติ อาจได้ยิน และบางสิ่งบางอย่างที่เคลื่อนไหวในสภาพแวดล้อมอย่างแผ่วเบา ซึ่งไม่น่าจะสังเกตได้ จะรับรู้ได้

    หากใครเผชิญกับภาวะที่เสมือนเป็นอัมพาต หรือ ผีอำ ให้อยู่ในท่านั่งหรือนอนที่สงบนิ่งต่อไป อย่าพยายามเคลื่อนไหวร่างกาย แต่ให้สังเกตการณ์โดยไม่ต้องตื่นตระหนก อาการทั้งหมดจะจางหายไปเอง ร่างกายจะรู้สึกเบาสบาย ความตึงเครียดของอารมณ์และความรู้สึกนึกคิดก็จะผ่อนคลายไปด้วย แต่ไม่ได้หมายความว่าละอารมณ์ได้ ภาวะทางกายที่สังเกตได้ว่า ร่างกายของเราได้หลับแล้ว คือ ลมหายใจ

    เมื่อเริ่มต้นทำสมาธิ เราจดจ่อกับลมหายใจ และเราก็หายใจผ่านจมูก และ/หรือปาก โดยหายใจด้วยหน้าอก หรือ ปอด
    เมื่อมาถึงจุดนี้ ที่ร่างกายของเราหลับ แต่จิตยังตื่นอยู่ เราจะพบว่า เราเปลี่ยนไปหายใจด้วยท้อง หรือ กระบังลม (บางคนรู้สึกเสมือนว่าหายใจด้วยสะดือ) หรือหายใจเหมือนเด็กอ่อน ในระยะแรกๆของการฝึกฝน เราอาจพบว่า เราเปลี่ยนกลับไปกลับมา หายใจด้วยปอดบ้าง ท้องบ้าง สลับกัน เพราะสติสัมปชัญญะภายนอกที่เคยจดจ่อกับภาวะทางกายภาพตามปกติ มักเข้ามากวน และพยายามที่จะกลับคืนสู่สภาพที่เคยเป็น

    หากพบว่าการหายใจเปลี่ยนกลับไปสู่ภาวะปกติ หายใจด้วยปอด ให้ผ่อนคลายทุกส่วนของร่างกาย เราอาจพบว่า เรายังยึดติดกับความรู้สึกทางกายบางอย่าง หากผ่อนคลายจากความรู้สึกนึ้ได้ ลมหายใจจะกลับไปสู่ท้องหรือกระบังลมอีก

    สภาวะจิต :
    การจดจ่อของเราจะเป็นระยะสั้นๆ สลับไปมาระหว่างการจดจ่อกับความรู้สึกและอาการของร่างกาย กับ อารมณ์และความรู้สึกนึกคิด หากใช้วิธีการบริกรรม และจดจ่อกับตาที่สามตามที่แนะนำไป เราจะพบว่าวิถีการจดจ่อของเราสลับไปมาระหว่างการบริกรรม กับ อารมณ์และความรู้สึกนึกคิด

    เมื่อใดก็ตามที่จับได้ไล่ทันว่าเรามีความคิดผุดขึ้นมา ให้กลับไปที่จุดวางจิตที่ตาที่สาม หรือหว่างคิ้วอีก และบริกรรมต่อไปอีก เราอาจพบว่าในช่วงนี้ มีภาพ เสียง กลิ่น รส ความรู้สึก ความคิด ที่ควบคุมไม่ได้ผุดขึ้นมามากมาย เหมือนมีการฉายภาพยนต์ในสมอง แต่ถึงกระนั้นเราก็จะพบว่า ความคิดและการปรากฏทั้งหลายเป็นไปอยู่แยกไปจากสติสัมปชัญญะที่เคยเป็นผู้กระทำ และกลายเป็นผู้สังเกตการณ์การกระทำทั้งหมด เสมือนว่า ความคิด ภาพ และความรู้สึกทั้งหลายที่ปรากฏนั้น ปรากฏอยู่แยกไปจากตัวตนของเรา คือ คิดนอกตัวตน รู้สึกนอกตัวตน

    เราอาจเป็นแสงสีมากมาย ปรากฏแว้บขึ้นในมโนภาพ แสงสีเหล่านี้แสงถึงภาวะแห่งอารมณ์ แสงสีบันทึกอารมณ์และความรู้สึกนึกคิดที่สัมผัสได้และสัมผัสไม่ได้ สติสัมปชัญญะในขั้นนี้ยังเป็นไปตามจินตนาการของเราอยู่มาก

    ต่อเมื่อจิตวิญญาณเปลี่ยนวิถีการจดจ่อด้วยสติสัมปชัญญะไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงที่เป็น จินตภาพ เราจะเผชิญกับความสงบ ตัวเบา ลอย รู้สึกเสมือนตัวพองโตใหญ่ยักษ์ หรือเล็กจิ๋ว หรือรู้สึกถึงความสบายอื่นๆที่ผิดธรรมดา แต่ไม่ว่าเราจะรู้สึกอะไร มักก็ยังเกี่ยวพันกับโลกแห่งความเป็นจริงทางกายภาพและจินตภาพ

    ความรู้สึกเป็นบุคคลตัวตน ยังคงยึดติดอยู่กับความเชื่อเดิม แต่ความสนใจจดจ่อของเราจะถอนไปจากโลกภายนอก ถอนไปจากประสาทสัมผัสทั้งห้า และรู้เห็นหรือสัมผัสกับโลกภายในด้วยความรู้สึกตื่นตัวของจิต จิตวิญญาณกำลังจะเปลี่ยนวิถีการจดจ่อด้วยสติสัมปชัญญะ จากโลกแห่งความเป็นจริงที่เป็น กายภาพ ไปสู่
    โลกแห่งความเป็นจริงที่เป็น จินตภาพ

    มิติที่ 1: โลกแห่งความเป็นจริงทางกายภาพ อาจเปรียบได้กับ ฌาน ขั้นที่ 1 - 2 จิตวิญญาณยังมีวิถีการจดจ่อด้วยสติสัมปชัญญะกับโลกแห่งความเป็นจริงที่เป็น กายภาพ ตัวหลับ แต่ จิตตื่น

    ฌานขั้นที่ 1 : ภาวะจิตจะยังมีความคิดในทางบวกและลบ สติสัมปชัญญะยังคงท่วมไปด้วยความคิด ซึ่งกระโดดไปสู่ความคิดหนึ่งๆ แล้วก็กระโดดต่อไปสู่ความคิดอื่นต่อไปอีก ความคิดในภาวะนี้ เป็น เสียงภายใน ซึ่งที่จริงแล้วเป็นมากกว่าเสียง คือเป็นภาพยนต์ ที่ฉายพร้อมๆกันหลายจอภาพในภาวะจิต หากเราไม่วินิจฉัย ไม่วิตกวิจารณ์สิ่งที่ปรากฏ กระบวนการทางจิตเหล่านี้จะร่วงหล่นไปเอง จะเหลือแต่การจดจ่อกับภาวะทางกายภาพ แม้จะเห็นความเจ็บปวด ก็แค่เห็น ไม่ได้เข้าไปเป็นผู้ปวด แต่สังเกตเห็นการปวดเฉยๆ ภาวะนี้เราจะรู้สึกถึงความปลื้ม หรือสนเท่ห์และใฝ่รู้ หากจดจ่อกับภาวะนี้ได้นานพอ จะรู้เห็นภาวะถัดไปคือ

    ฌานขั้นที่ 2 : ภาวะนี้จิต ความคิดในแง่บวกและลบเริ่มจางหายไป ความคิดที่กระโดดไป จะเร่ิมกลับมาจดจ่อ ณ ที่นี เดี๋ยวนี้ ความรู้สึกของร่างกายจะจางหายลงไปอีก รู้สึกถึงความสบายทางกายและทางจิตได้ชัดเจนขึ้นอีก เมื่อจดจ่อกับความรู้สึกนึกคิดได้มากขึ้น การรู้เห็นก็จะเปลี่ยนจากรู้เห็นภาวะทางกายภาพ ไปรู้เห็นภาวะทางจินตภาพได้มากขึ้นไปอีก

    หากฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้จิตวิญญาณเปลี่ยนวิถีการจดจ่อด้วยสติสัมปชัญญะไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงที่เป็น จินตภาพ และรู้เห็นภาวะขั้นต่อไปที่มีอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปของจิตวิญญาณได้คมชัดขึ้นอีก

    ที่จบไปนี้

    เป็นการบรรยายถึงภาวะที่ว่า การมีสติสัมปชัญญะที่คมชัดและรู้เห็นกายหลับ นั้นเป็นอย่างไร
    ร่างกายตกอยู่ในสภาวะอย่างไร
    จิตดำเนินไปอย่างไร
    และในภาวะนี้จิตวิญญาณเปลี่ยนวิถีการจดจ่อด้วยสติสัมปชัญญะไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงที่เป็นยังเป็นกายภาพอยู่ ซึ่งอาจเปรียบได้กับ ฌาน 1 - 2

    ต่อไป
    จะพูดถึง ภาวะที่จิตตื่น ว่าการมีสติสัมปชัญญะที่คมชัดและรู้เห็นจิตตื่นนั้นเป็นอย่างไร
    ร่างกายจะตกอยู่ในสภาวะอย่างไร
    จิตจะดำเนินไปอย่างไร
    จิตวิญญาณเปลี่ยนวิถีการจดจ่อด้วยสติสัมปชัญญะไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงที่เป็นจินตภาพ นั้น เป็นอย่างไร? เราจะรู้เห็นอะไร ? ซึ่งอาจเปรียบได้กับ ฌาน 3 - 4
     

แชร์หน้านี้

Loading...