เชิญเข้าร่วมสนทนาพิเศษเรื่อง มิติ ความฝัน ชาติภพ จิตวิญญาณ โดย @โนวา อนาลัย@ [Writer]

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย mead, 8 สิงหาคม 2007.

  1. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    1. จิตวิญญาณของเราสถิตย์อยู่พร้อมกันหมดในอดีต-ป้จจุบัน-และอนาคต ในทุกชาติภพ ทุกมิติ เพื่อเอื้ออำนวยให้การเรียนรู้อันเกิดจากการเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์เป็นไปได้สูงสุด ทำให้จิตวิญญาณเรียนรู้คุณค่าชีวิตได้อย่างถ่องแท้ ยกตัวอย่างนะคะ จิตวิญญาณของเราสถิตย์อยู่ในชาติภพหนึ่งๆ มิติหนึ่งๆ โดยเป็นบุคคลตัวตนที่กำลังเผชิญกับการถูกกล่าวโทษ การถูกเอารัดเอาเปรียบ การทารุณกรรม และในปัจจุบันเราก็เป็นบุคคลตัวตนที่กำลังเผชิญกับสิ่งที่ตรงกันข้าม ประสบการณ์ที่แตกต่างกันทำให้จิตวิญญาณเรียนรู้ได้อย่างลึกซึ้ง แม้ร่างกายตัวตนในปัจจุบันของเราจะจดจ่อได้แต่เพียงปัจจุบัน และการเป็นบุคคลตัวตนในชาติภพนี้เท่านั้น และเราก็ไม่ได้รู้ว่า เหตุใดเราจึงชื่นชมกับการได้รับการให้อภัย ชื่นชมกับการที่มีผู้ให้บางสิ่งบางอย่างกับะรา หรือการได้รับความโอบอ้อมอารีจากผู้อื่นเป็นอันมาก เราไม่ได้รู้ว่า ความชื่นชมและความพอใจเหล่านี้ เกิดจากการที่จิตวิญญาณของเรารู้เห็นความเป็นไปในประสบการณ์ตรงกันข้ามที่ทำให้เราตระหนักในคุณค่าของสิ่งที่เราเผชิญอยู่ได้อย่างลึกซึ้ง

    2. สติคือการจดจ่ออย่างคมชัดของจิตวิญญาณ ตามธรรมชาติแล้ว สติของเราสามารถจดจ่อได้มากกว่าหนึ่งจุด หรือจดจ่อได้มากกว่าเพียงแค่ปัจจุบัน แต่เนื่องจากว่าเราคุ้นเคยกับการรู้เห็นด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า ซึ่งบังค้บให้เรารู้เห็นและตอบสนองต่อสิ่งต่างๆในสภาพแวดล้อมได้อย่างฉับพลันในปัจจุบันเพื่อการอยู่รอด ในอดึีตซึ่งมนุษย์ต้องฟันฝ่ากับภัยธรรมชาติ และอันตรายจากสภาพแวดล้อม มนุษย์ใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าเพื่อการอยู่รอด จนกระทั่งมันกลายเป็นวิธ๊การรู้เห็นแทบจะวิธีการเดียวที่มนุษย์จดจ่อหรือใช้งาน มาถึงยุคสมัยนี้ที่มนุษย์ไม่ได้จำเป้นจะต้องจดจ่อกับการอยู่รอดจากภัยธรรมชาติเช่นในอดีต เราสามารถที่จะหันไปให้ความสนใจและใช้ประสาทสัมผัสที่หกเพื่อรู้เห็นอดีตหรืออนาคตได้พร้อมๆกัน

    การที่เรารู้สึกว่า เราไม่สามารถรู้เห็นอดีต หรือ อนาคตได้นั้น และเรารู้เห็นได้แต่เพียงปัจจุุบัน มันเป็นเพราะว่า เราเชื่อว่าเรารู้เห็นไม่ได้ และจำกัดตนเอง

    แต่บ่อยครั้งที่เราอยู่ในภาวะที่เสมือนฝันกลางวัน หรือในความฝันในขณะที่นอนหลับ เราก็รู้เห็นอดีตหรืออนาคตได้ไม่น้อยกว่าปัจจุบัน หากแต่ว่าเมื่อเราไม่มีความรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่เป็นไปเสมออย่างเป็นธรรมชาติ เราจึงไม่เคยใส่ใจหรือรับว่ามันเป็นจริง

    สติของเรามักจดจ่อกับปัจจุบันด้วยความเคยชิน แต่เราก็สามารถฝึกฝนได้ การฝึกสมาธิก็ดี การฝึกฝันก็ดี เป็นการฝึกให้เรามีสติที่จะรู้เห็นว่าจิตวิญญาณเปลี่ยนวิถีการจดจ่อด้วยสติสัมชัญญะไปสู่อดีตหรืออนาคต หรือปัจจุบันอื่นๆ มิติอื่นเมื่อใด

    ทั้งนี้ไม่ใช่ว่าการฝึกสมาธิหรือการฝึกฝัน เป็นการฝึกเพื่อเปลี่ยนวิถีการจดจ่อของจิตวิญญาณด้วยสติสัมปชัญญะไปสู่อดีตหรืออนาคตนะคะ เพราะการเปลี่ยนวิถีการจดจ่อนั้นเป็นไปตามธรรมชาติอยู่ตลอดเวลา หากแต่ว่าเราฝึกเพื่อที่จะให้มีสติสัมปชัญญะที่คมชัดพอที่จะรู้เห็นและติดตามได้ว่า มันไปจดจ่อกับอดึตหรืออนาคต อย่างไร เมื่อไร และมันเกิดขึ้นได้อย่างไร (rose)
     
  2. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ผู้ถูกเลือก-ผู้เลือก

    เมื่อท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวว่า จิตวิญญาณคือความรู้ และ ความรู้คือจิตวิญญาณ การมาถือกำเนิดเป็นบุคคลตัวตนของเรา จึงเป็นการมาถือกำเนิดจากฐานข้อมูลความรู้สามแหล่งด้วยกัน อันได้แก่ :
    1. จิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมมิติในอดีต-อนาคต ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของเรา
    2. จิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมวัตถุประสงค์ในปัจจุบันชาติ ซึ่งอาจเป็นคนรัก คนใกล้ตัวหรือแม้แต่ศัตรูของเรา
    3. จิตวิญญาณ (เสมือน) ร่วมร่างแต่ต่างมิติ ในอดีต-ปัจจุบัน-อนาคต ซึ่งเป็นตัวตนของเราบนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้อันเป็นอนันต์

    หลายๆคนที่เริ่มเข้าใจการเป็นบุคคลตัวตนของเราได้กว้างขึ้น มักจะยอมรับได้ไม่ยากว่า เรามีจิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมวัตถุประสงค์ในปัจจุบันชาติ และการยอมรับของเราก็ทำให้เราหาพวกเขาพบได้โดยง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพวกเขามีความเชื่อคล้องจองกับเรา หรือสนใจใฝ่รู้ในสิ่งเดียวกับเรา เราก็จะพบและรู้ว่าใช่-ได้อย่างมั่นใจ

    การเรียนรู้ถึงแหล่งที่มา สู่การมาถือกำเนิดเป็นบุคคลตัวตนนี้ ทำให้เราสามารถมองเห็นการเป็นตัวตนของเราได้กว้างขึ้นจากเดิมก็จริง แต่เรามักจะจำกัดตนเองให้อยู่ภายใต้กฏเกณฑ์ของช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลาด้วยการยอมรับหรือมองหาสิ่งที่เราคิดว่าเราจะหาพบได้ง่าย คือ มองหาจิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมวัตถุประสงค์ในปัจจุบันชาติ เพราะมันดูเสมือนว่า แทบจะเป็นบุคคลตัวตนประเภทเดียวที่เราจะหาพบได้ในปัจจุบัน

    หากเราพิจารณาบุคลิกภาพของคนใกล้ตัว เช่นลูกหลานของเรา เราจะมองเห็นจิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมมิติในอดีต-อนาคต ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของเรา ในลูกหลานของเราได้ไม่ยาก และหากเรามองย้อนดูตนเอง เราก็จะพบบุคลิกภาพของบรรพบุรุษของเราได้ไม่น้อยไปกว่าที่เราพบเห็นในลูกหลาน แต่เรามักเรียกคุณสมบัต้เหล่านี้เป็นภาวะทางกายภาพว่า ลักษณะทางกรรมพันธุ์ เรามักจะไม่พูดว่า จิตวิญญาณส่วนหนึ่งของคุณปู่อยู่ในลูกหลานของเรา หรือกล่าวว่า จิตวิญญาณส่วนหนึ่งของคุณพ่ออยุ่ในตัวฉัน เป็นต้น

    หากเราพิิจารณาบุคลิกภาพและความสามารถ หรือรูปลักษณ์ของตัวเราเอง เมื่อ 10 ปีก่อนนี้ เมื่อ 10 เดือนก่อนนัี้ หรือแม้แต่ 10 วันที่แล้ว เราก็จะพบความแตกต่างไม่มากก็น้อยในตนเอง บางคนบอกว่าเคยชอบดื่ม อยู่ๆก็เลิกดื่มโดยไม่รู้สาเหตุ บางคนเลิกบุหรี่โดยไม่ได้ถูกบังคับ และในทางกลับกันคนไม่เคยดื่ม ไม่เคยสูบบุหรี่กลับหันมาดื่มหรือสูบบุหรี่ บางคนก็อ้วนหรือผอมผิดตา ผมเผ้า หรือผิวเปลี่ยนแปลงสภาพไปโดยสิ้นเชิง แต่เราก็ไม่เคยตระหนักว่า เราคืิอ จิตวิญญาณ(เสมือน)ร่วมร่างแต่ต่างมิติ ในอดีต-ปัจจุบัน-อนาคต หรือกลายเป็นบุคคลบนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นทางอื่นๆที่แตกต่างไป เรียกได้ว่า เราเป็นบุคคลตัวตนบนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นใหม่ไปเรื่อยๆอย่างไม่มีวันจบสิ้น

    การยอมรับการเป็นบุคคลตัวตน จากการศึกษาข้อมูลความรู้ผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า เป็นการทำให้จิตวิญญาณขยายตัวหรือแปลงสภาวะได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่ถาวรหากความเชื่อของเรายังไม่เปลี่ยนเป็นความรู้

    แต่การยอมรับการเป็นบุคคลตัวตนจากการตระหนักในความเป็นจริงอันเกิดจากการรู้เห็นหรือรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสที่หก เป็นการทำให้จิตวิญญาณขยายตัวได้ในอีกระดับหนึ่ง ซึ่งเป็นระดับที่เรียกได้ว่า แปลงสภาวะผู้รู้หรือแปลงสภาวะของจิตวิญญาณไปด้วยอย่างถาวร

    เมื่อมนุษย์แยกตนเองออกจากจิตวิญญาณ และระบุความเป็นมนุษย์ว่าเป็นร่างกายเนื้อหนัง และระบุความเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าเป้นจิตวิญญาณหรือสิ่งที่จับต้องไม่ได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า มนุษย์ก็กำหนดภาวะที่นอกเหนือการรู้เห็นและเป็นไปด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้าว่าเป็น การถูกสิ่งศักดิ์สิทธิ์เลือก แต่แท้จริง-การถูกสิ่งศักดิ์สิทธิ์เลือก-เป็นเพียงภาวะที่มนุษย์กำหนดขึ้นเท่านั้น

    หากเเราตระหนักได้ว่า มนุษย์คือจิตวิญญาณที่เป็นร่างกายเน้ือหนัง เราจะพบว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายอยู่ในตัวมนุษย์ เทพ เทวดา พระเจ้า อยู่ในตัวมนุษย์

    ความหมายที่แท้จริงของคำว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดได้เลือกเธอ จึงมีความเป็นจริงเมื่อมันหมายความว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดได้เลือกเธอทุกคนเสมอเหมือนกันหมด โดยปราศจากข้อยกเว้นและปราศจากเงื่อนไข เสมือนพ่อแม่ที่รักลูกและเลือกที่จะให้ลูกทุกคนเสมอเหมือนกันหมดโดยปราศจากข้อยกเว้นและเงื่อนไข

    ผู้ที่รู้สึกตนเองว่าเป็นผู้ถูกเลือก ในส่วนลึกแล้ว-เราจะพบความเป็นจริงอีกข้อหนึ่งว่า-เราคือผู้เลือกด้วยเช่นกัน
    และผู้ที่รู้สึกตนเองว่า เป็นผู้ที่ไม่ได้ถูกเลือก ในส่วนลึกแล้ว-เราจะพบความเป็นจริงอีกข้อหนึ่งว่า-เราเลือกที่จะเป็นเช่นนั้น

    พวกเราในที่นี้อาจมองเห็นนความเป็นจริงที่พี่นักเขียนกล่าวถึงนี้ได้จากประสบการณ์ที่ว่า เมื่อเราพยายามที่จะติดต่อสื่อสารหรือถ่ายทอดข้อมูลความรู้ที่เราเห็นว่ามีคุณค่าต่อจิตวิญญาณให้กับคนบางคนที่เรามีสัมพันธภาพด้้วย เราจะพบว่า บางคนรับอย่างแทบจะตาไม่กระพริบ และเราก็ไม่ต้องใช้ความพยายามที่จะถ่ายทอดอะไรให้เขาเลย เพราะเขาจะกลายเป็นเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับทุกสิ่งทุกอย่างที่เราถ่ายทอดให้อย่างเต็มใจ และบ่อยครั้งเราให้ข้อมูลความรู้เขาเพียงนิดเดียว เขาก็จะเข้าใจได้ลุ่มลึกแตกฉานไปเป็นอันมากด้วยตนเอง และให้ความรู้แก่เรากลับมาด้วยเช่นกัน เช่นเดียวกับที่กำล้งเป็นไปในห้องวิทย์ของเราอยู่ในขณะนี้

    ในขณะเดียวกันเราก็จะพบกับคนบางพวกที่เป็นชาเต็มถ้วย และมองเห็นสิ่งที่เราพยายามถ่ายทอดให้เป็นเรื่องไกลตัว หรือบางคนก็ปฏิเสธและไม่ให้ความสำคัญกับสาระเหล่านี้เลย แต่ในทึ่สุดพวกเขาก็จะแสวงหาความรู้ไม่วันใดก็วันหนึ่งตามวิถีทางอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา

    หลายคนรู้สึกและตระหนักได้ถึงแรงดึงดูดที่ทำให้เราทั้งหลายมาร่วมแสวงหาความรู้กัน ณ ห้องวิทย์นี้ และสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น ความรักที่นอกเหนืออารมณ์รักทางโลก แต่เป็นอารมณ์รักในความรู้ที่เราให้กันและกันอย่างปราศจากข้อแม้หรือเงื่อนไข ผู้ที่สัมผัสได้ถึงอารมณ์รักในความรู้นี้ จะพบว่าความเป็นระบบเครือข่ายของจิตวิญญาณเป็นหนทางเดียวที่ทำให้อารมณ์รักในความรู้นี้มีพลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆอย่างไม่จืดจาง แต่่ในขณะเดียวกันเราก็จะพบเห็นได้เช่นกันว่า ผู้ที่ไม่สามารถสัมผัสได้ถึงอารมณฺ์รักในความรู้ จะแสวงหาอารมณ์นั้นต่อไปเสมือนเมล็ดข้าวสีดำในนิทานเรื่องน้ำค้างกับเมล็ดข้าว

    ไม่ว่าเขาจะรับหรือปฏิเสธสิ่งที่เราเห็นว่ามีคุณค่าต่อจิตวิญญาณเพียงใด หรือพอใจที่จะแสวงหาตามลำพังด้วยตนเอง ด้วยการสร้างท้องนาแห่งใหม่ที่ทำให้เขารู้สึกว่ามีพลังอำนาจที่จะควบคุมสภาพแวดล้อมนั้นได้ดีขึ้น พี่นักเขียนเชื่อว่า เขาต่างก็เป็นจิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมวัตถุประสงค์ของเราในปัจจุบันชาติด้วยกันทั้งนั้น เพราะเป้าหมายสูงสุดของจิตวิญญาณของเขาไม่ได้แตกต่างไปจากเราเลย เพียงแต่ว่าตามเส้นทางแห่งกาลเวลาที่เรารู้จัก ณ วันนี้ เขาไม่ได้หันเหมาสู่เส้นทางแห่งความเป็นไปได้ที่ตัดกันกับเรา เสมือนเมล็ดข้าวสีดำที่ปรารถนาจะเผชิญกับการผจญภัยที่ต่างไปจากเมล็ดข้าวสีทองในท้องนาเดียวกัน แต่ก็ไม่ได้หมายความเมล็ดข้าวสีดำนั้นจะไม่มีวันงอกงาม แม้อาจจะดำก็เพียงแค่เปลือกนอก เนื้อในแล้วก็ไม่ต่างกัน กล่าวได้ว่า เมล็ดข้าวทุกสีี ทุกเมล็ดได้รับพรให้เจริญงอกงามเป็นต้นข้าวอย่างดีที่สุดในทิศทางอันเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง คำว่าเร็วหรือช้า ได้หรือยังไม่ได้ ก่อนหรือหลัง เป็นความจริงก็แต่เพียงเมื่อมันอยู่บนเส้นทางแห่งกาลเวลาเท่านั้น คนบางพวกจำเป็นต้องเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์และคุณค่าชีวิตด้วยการเลือกที่จะผจญภัยด้วยตนเองอย่างโดดเดี่ยวเพื่อเผชิญกับบทเรียนที่ทำให้เขาตระหนักได้ว่า ความโดดเดี่ยวไม่ใช่หนทางที่จะทำให้จิตวิญญาณพัฒนาได้อย่างกว้างไกล เพราะจิตวิญญาณประสานกันเป็นระบบเคริือข่าย การพัฒนาของจิตวิญญาณจึงเป็นการพัฒนาเป็นระบบ

    ตามประวัติศาสตร์ของโลก แม้แต่ผู้ที่สำเร็จได้ภูมิความรู้ทั้งหลายที่เหนือชั้นราวกับว่าถูกเลือกเพียงคนเดียวในยุคสมัยหนึ่งๆ ต่างก็ถ่ายทอดความรู้ให้กับคนจำนวนมากทั้งนั้น ไม่มีท่านใดที่จากโลกไปอย่างเงียบๆอย่างโดดเดี่ยวพรัอมกับความรู้ทัั้งหมดเลยแม้แต่ท่านเดียว (rose)
     
  3. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ผีอำ - paralysis (อัมพาต)- จิตตื่น - กายไม่ยอมตื่นตาม

    ประสบการณ์ที่คุณ Mead และคุณน้องขจรวรรณเล่าให้ฟัง ทำให้พี่นักเขียนนึกถึงคำๆหนึ่งขึ้นมาคือคำว่า paralysis หรือการเป็นอัมพาตไปชั่วคราว เป็นคำที่น้กเรียนสมาธิชาวอเมริกันใช้อธิบายถึงภาวะที่เขาเผชิญในขณะที่จิตรวมลงเป็นสมาธิ และเมื่อทำความเข้าใจกันโดยทั่วหน้าแล้ว ทั้งนักเรียนท่านอื่นๆและพี่นักเขียนก็เห็นพ้องต้องกันว่า ภาวะดังกล่าวนี้ตรงกันกับภาวะที่เรามักจะเผชิญเมื่อเรารู้สึกเสมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น คิือจิตตื่น แต่ตัวไม่ยอมตื่นตาม เคลื่อนไหวไม่ได้ ส่งเสียงไม่ได้ แม้ว่าสมองจะรู้และสั่งการอย่างไร กายก็ไม่ทำตาม เป็นภาวะที่เราทั้งหลายมักจะตื่นตระหนกหรือรู้สึกสยองขวัญมาก ไม่ใช่เพียงเพราะว่า เราไม่สามารถจะควบคุมร่างกายของเราได้อย่างที่ควรจะเป็นเท่านั้น แต่บางคนยังเผชิญกับการรู้เห็นสิ่งที่ไม่น่าจะรู้จะเห็นอีกด้วย และเป็นภาวะที่เกิดขึ้นโดยที่เราไม่ได้บังคับหรือพยายามจะให้เป็นไป แต่มักเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ไม่ได้เตรียมการมาก่อนเช่นการทำสมาธิ หรือฝึกฝัน

    พี่นักเขียนเผชิญกับภาวะที่ว่านี้เมื่อเดินทางไปพักแรมอยู่ ณ วัดไทยในประเทศ Canada หลายปีมาแล้ว นั่งสมาธิก่อนนอนตามปกติ พอล้มตัวลงนอน รู้สึกว่ายังไม่ทันจะหลับเลย เห็นแม่อุ้มลูกมายืนอยู่ปลายเท้าเตียง หน้าของแม่หมองคล้ำ ลูกอายุไม่ถึงขวบก็เปียกปอนดูเศร้าสร้อยน่าสงสารมาก เห็นทั้งแม่ลูกจิตก็รับเอาทันทีว่าเขาเป็นชาวฟิลิปปินส์ และเขาตายเพราะไฟไหม้บ้าน สวดมนต์แผ่เมตตาให้เขาก็หายวับไป ไม่ทันจะหายหวาดก็เห็นผู้หญิงตัวใหญ่โตมากทะลุกำแพงเข้ามาทางหัวเตียงแล้วมานั่งทับอกเลย ผมของเขาสีน้ำตาลแดงและตาสีเขียวเข้ม พอมองเห็นก็รู้ทันทีว่าเขาเป็นชาวเยอรมัน ถามเขาว่ามาทำไมจะเอาอะไร เขาก็ไม่ตอบเหมือนว่าไม่ได้ยินหรือไม่สนใจ แต่อารามที่เห็นคุณเธอตัวโตมากๆ พาลจะหายใจไม่ออก ขอให้เขาลุก เขาก็ไม่ยอมลุก พี่นักเขียนถอดสร้อยพระเก็บไว้ในกระเป๋าถือข้างหัวเดียง ขยับตัวก็ไม่ได้ มองเห็นสามีนอนหลับปุ๋ยอยู่บนเตียงติดผนังอีกด้านหนึ่งของห้อง เรียกเขาก็ไม่ได้ ร่างกายไม่ function เลย ทำได้อย่างเดียวที่คิดได้คือ หาลมหายใจให้พบ หายใจเข้าแล้วเป่าให้ภาพหรือตัวตนที่ปรากฏอยู่นั้นปลิวหายไป ทันทีที่เป่า เขาก็วูบหายทะลุกำแพงกลับออกไป เคยทำเช่นนี้มาก่อนแล้วได้ผล แต่คราวก่อนหน้านั้นเหตุเกิดที่คอนโดตากอากาศที่ชะอำ และคนที่มานั่งทับตัวเล็กนิดเดียวเป็นสาวไทยหุ่นบางแต่ไร้ศีรษะ เห็นแล้วสงสาร บอกเขาว่าไปต่อแบบมีหัวก็ได้ ไม่ต้องหัวขาดอย่างนี้หรอกเพราะรู้ว่าเขาเป็นผู้หญิงสาวที่หน้าตาสะสวยมาก พอเป่าแล้วเขาก็มีหัว ทำผมมวยเหมือนคนโบราณแล้วก็ลุกหายวูบไป ประสบการณ์ครั้งแรกได้คำอธิบายจากคนที่เป็นร่างทรงและรับรักษาโรคอยู่จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งพี่นักเขียนไปพบโดยตามผู้ใหญ่ที่รู้จักไปไม่กี่วันให้หลัง ทันทีที่พบร่างทรงเป็นครั้งแรกเธอก็บอกกับพีนักเขียนว่า "หนูเคยรู้จักพี่ตอนชาติก่อนที่หนูเป็นสาวหัวขาด บ้านหนูอยู่ริมทะเลชะอำ"

    เช้าวันรุ่งขึ้น ไปถวายภัคตาหารท่านเจ้าอาวาส สามีของพี่นักเขียนเป็นสถาปนิก เมื่อเขามองเห็นโครงสร้างของเพดานโบสถ์ เขาก็อดถามท่านไม่ได้ว่า วัดนี้ถูกสร้างขึ้นเป็นวัดของชาติใดมาก่อน เพราะรูปลักษณ์ไม่ใช่วัดไทย ท่านก็เล่าเรื่องประวัติความเป็นมาของวัดให้ฟังว่า ดั้งเดิมเลย วัดนี้ถูกสร้างขึ้นเป็นวัดคริสต์ของชาวฟิลิปปินส์ เพื่อจัดงานศพโดยเฉพาะ เพราะพวกเขามีธรรมเนียมปฏิบัติที่แตกต่างๆไปจากชาวคริสต์ในประเทศ Canada เขาจึงไปใช้สถานที่ของวัดคริสต์อื่นๆไม่ได้ จากนั้นก็เกิดไฟไหม้วัด เขาไม่มีตังซ่อมเลยต้องขายต่อให้กับกลุ่มผู้นับถือศาสนาคริสต์ชาวเยอรมัน แล้วในที่สุดก็ตกมาเป็นของไทยเป็นเจ้าของที่สาม

    พี่นักเขียนนั่งฟังท่านเจ้าอาวาสเล่าประวัติวัด ก็ถึงบางอ้อ แต่อดคิดไม่ได้ว่า ไหงถึงต้องเป็นเรา? ขอรู้แบบตอนตื่นให้พระท่านเล่าให้ฟังก็พอแล้ว

    มาเดี๋ยวนี้ พี่นักเขียนเข้าใจภาวะดังกล่าวนี้ได้ดีขึ้นว่า เป็นภาวะที่ประสาทสัมผัสทั้งห้าของเราหยุดทำงาน แต่สติสัมปชัญญะของเราคุ้นเคยกับการสั่งการร่างกายผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้าตามเดิม แม้เราจะรู้เห็นด้วยประสาทสัมผัสที่หก แต่เราก็ยังคงพยายามเคลื่อนไหวหรือตอบสนองด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า ซึ่งในขณะนั้นใช้การไม่ได้ เราจึงไม่อาจจะเคลื่อนไหวหรือออกเสียงได้เลย

    หากเรามีความรู้เกี่ยวกับประสาทสัมผัสภายในหรือประสาทสัมผัสที่หก แม้ว่าจะเริ่มต้นจากการอ่านข้อมูลจากหนังสือ ความฝันกับวิถีแห่งจิตวิญญาณ อย่างน้อยที่สุดเราจะเริ่มรู้จักว่า ประสาทสัมผัสที่หกของเราคืออะไร ทำงานอย่างไร เมื่อเราเผชิญกับภาวะดังกล่าวนี้อีก กลไกของประสาทสัมผัสที่หกที่มีอยู่แล้วอย่างเป็นธรรมชาติจะถูกนำมาใช้ได้อย่างเป็นอัตโนมัติ

    กลับมาจาก Mexico พี่นักเขียนรู้สึกเหนื่อยมากเพราะระหว่างที่ไปพักที่นั่นสนุกกันมากๆ นอนน้อย และตากแดดทั้งวัน กลับมาถึงบ้าน 4 ทุ่มกว่าก็นอนไม่ค่อยหลับดีเพราะ sunburn ทั้งตัวหัวจรดเท้า (ไม่น่าสงสารหรอกค่ะ-เพราะเข้าข่ายรักสนุก-ทุกข์สหนักค่ะ) พอวันรุ่งขึ้นก็เลยนอนพักตอนบ่าย ซึ่งปกติแล้วเป้นคนไม่เคยนอนกลางวันเลย

    ก็เผชิญกับภาวะที่เราเรียกกันว่าผีอำนี่แหละ มีเจ้าหนูน้อยนุ่งกระโปรงสีชมพูเดินเข้ามาหาแล้วชูแขนให้อุ้ม เห็นแล้วก็สงสารว่าแม่เขาไปไหน เลยอุ้ม เด็กคนนี้ตัวโตผิดธรรมดา เสมือนว่าอายุเพียง 2 ขวบแต่ตัวโตเท่าเด็ก 7 ขวบ ผมไม่มีเลยสักเส้น อุ้มขึ้นมาแล้วก็รู้ว่า เด็กคนนี้ป่วยหน้กด้วยโรค Kidney Failure เข้าใจว่าภาษาไทยคงจะตรงกับโรคไตวาย

    พออุ้มเขาขึ้นมา ก็ตกเข้าภาวะผีอำ กระดุกกระดิกไม่ได้ หนูน้อยนั้นก็หนักเหลือเกิน พอตัั้งสติได้ก็ไม่ได้ตกใจ แต่อยากรู้ว่าจะช่วยอะไรเขาได้บ้าง ความสงสารทำให้กลับไปจดจ่อที่ตัวเขา รู้สึกเสมือนว่าถ่ายทอดความรักให้ไปรักษาเขา ตระหนักว่าเราไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ด้วยกาย แต่เราเคลื่อนไหวได้ด้วยใจ อยากจะกล่อมหนูน้อยยคนนี้ และใช้จิตคิดเอาว่า เราสามารถเคลื่อนไหวได้เสมือนโล้ชิงช้า ให้เขานอนอยู่บนอกแล้วเราก็โล้ชิงช้ากล่อมเขาด้วยความคิด แค่คิดก็เกิดการเคลื่อนไหวทีปรารถนา ทำให้ตระหนักว่า เออ! ประสาทสัมผัสที่หกใช้การง่ายดี แค่คิด เลยลองคิดว่าให้มันหยุด มันก็หยุดทันที ลองให้มันไกวใหม่ มันก็ไกวอีก ลองอีกหลายรอบ เป็นไปได้ดังคิด

    ตัวหนูนัอยนั้นก็เบาลงเรื่อยๆจนไร้น้ำหนัก ภาพสุดท้ายที่เห็นก่อนจะถอนออกมาจากภาวะนี้คือ เห็นดวงจันทร์สว่างอยู่ในท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้ม แล้วมีแสงสว่างดวงเล็กๆนับรัอยนับพันดวง เคลื่อนไหวออกจาดวงจันทร์เสมือนกับฝูงหิ่งห้อยบินออกจากดวงจันทร์พร้อมกันอย่างเชื่องช้า สวยงามมากจนไม่อยากจะละสายตา จับความรู้สึกขึ้นมาได้ว่า เด็กน้อยคนนั้นไม่ได้รอดตายทางกายภาพ แต่จิตวิญญาณของเขาได้ดำเนินต่อไปอย่างสง่างาม รู้สึกตื้นตันจนน้ำตาซึม เรียกได้ว่าเป็นประสบการณ์ผีอำที่ประทับใจที่สุด หากผีทั้งหลายที่มาอำเป็นเด็กๆอย่างนี้หมด พี่นักเขียนว่าจะรับอำแล้วต่อไปนี้ (rose)
     
  4. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    สำหรับพี่นักเขียนซึ่งเป็นนักเดินทางทั้งยามตื่น-ยามหลับ-ยามฝันนะคะ คงต้องขอออกความเห็นว่า การเดินทางทั้งทางกายภาพ จินตภาพและจิตวิญญาณ เป็นโอกาสที่ทำให้ได้เรียนรู้โลกกว้าง ทั้งโลกทางกายภาพ จินตภาพและจิตวิญญาณ หากเรามัวเกรงกลัวว่า การท่องเที่ยวโลกกว้างจะทำให้เราหลงทางและไปไม่ถึงจุดหมาย ก็คงไม่ต่างไปจากการที่เราพอใจที่จะอยู่บนเกาะเล็กๆ และคาดหวังว่าวันหนึ่งเราจะไปถึงฝั่งได้โดยปลอดภัย แต่การท่องเที่ยวกลับทำให้เราได้สั่งสมประสบการณ์ เราอาจได้เผชิญกับการเดินทางหลากหลายวิธี แม้จะเผชิญกับคลื่นลมบ้าง ขึ้นฝั่งดีบ้าง ไม่ดีบ้าง แต่ทั้งหมดก็เป็นโอกาสให้เราได้เรียนรู้ จริงไหมคะ สักวันหนึ่งเมื่อเราสะสมประสบการณ์ได้มากพอ เราจะตระหนักได้ว่า เป้าหมายหรือชายฝั่งใด คือจุดหมายปลายทางที่ดีที่สุดเท่าที่เราเคยไปมา (b-2love)
     
  5. แก้วทิพย์

    แก้วทิพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    450
    ค่าพลัง:
    +2,435
    รู้สึกซาบซึ้งกับคุณพี่นักเขียนที่อธิบายแจ่มแจ๋วกระจ่างชัด ต่อคำถามของทั้ง 3 สมาชิกห้องวิทย์(คุณ Little Yoda, เทวารักษ์,Khajornwan) แก้วขอกราบขอบคุณ เพราะรู้สึกว่า แค่คลิกอนุโมทนายังไม่จุใจต่อความรู้ความเข้าใจที่ได้รับในวันนี้ ประสบการณ์เรื่องการขายบ้านในเมืองไทยของคุณพี่ ทำให้แก้วนึกถึงเรื่องราวของแก้วเองที่เคยตัดสินใจโดยใช้ความเชื่อภายในมากกว่าเหตุผลที่คนทั้งหลายคิดกัน เมื่อ2-3ปีก่อน แก้วต้องไปประชุม workshop ที่ฟลอริดา ก่อนที่จะไปช่วงนั้นมีแต่ข่าวพายุใหญ่ถล่มแถบนั้น แล้วรัฐนิวออร์ลีนก็โดนอุทกภัยไปอย่างถล่มทะลาย ฟลอริดาต่อมาก็โดน แต่ไม่รุนแรงเท่า แต่กระนั้นวันที่ไปถึง (แก้วถูกทัดทานให้เลิกล้มการเดินทาง เพราะดูจะเสี่ยงมาก สำหรับการไปครั้งนี้ แต่ก็ไปด้วยความเชื่อมั่นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น) คนขับแทกซี่ที่พาส่งโรงแรมเล่าว่า พายุฝนฟ้าตกหนักกระหน่ำทุกวัน ไฟสัญญาณจราจรตามสี่แยกเสียหายหมดต่างๆเพิ่งจะซ่อมใช้ได้วันที่แก้วไปถึง แดดก็เพิ่งเห็นวันนี้ ปรากฏว่าช่วงที่แก้วอยู่ประมาณ 7 วัน ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แดดสว่างจ้า อากาศดีทุกวัน แม้รายงานอากาศออกทีวีรายงานทุกวันพายุที่กำลังมุ่งมาทิศทางนี้ พอบินกลับมาถึงกรุงเทพ 2-3 วัน อ่านข่าวจากเน็ตทราบว่า แถบนั้นเจอของจริงเข้าแล้ว ชาวเมืองไม่มีไฟฟ้าใช้ไปหลายวัน สนามบินก็ปิด คิดย้อนหลังก็เสียวเหมือนกัน ถ้าไปตกค้างที่นั่น เพราะโรงแรมที่ไปพักอยู่เกือบจะชั้นสิบกว่าๆขึ้นไป
    ขอบอกว่ามีแรงบันดาลใจเกิดขึ้นท่วมท้นเลยค่ะ สำหรับคำตอบของพี่นักเขียนวันนี้
     
  6. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    สิ่งต่างๆที่รู้เห็นล้วนมีความหมาย-แม้แต่ใบไม้ร่วง


    พีนักเขียนอ่านรายละเอียดที่คุณkaewta77 ตีความหมายจากบุคลิกภาพที่ปรากฏให้เห็นในภวังค์แล้วประทับใจ ไม่ใช่เพราะว่าคุณkaewta77บรรยายถึงแต่คุณลักษณะในแง่บวกล้วนๆ แต่เป็นเพราะว่า การตีความหมายของคุณkaewta77ตรงกันกับที่ท่านอาจารย์อนาลัยสอนไว้ว่า สิ่งต่างๆที่ปรากฏในจินตภาพล้วนมีความหมายเป็นรหัส หรือสัญญลักษณ์ ซึ่งถอดรหัสได้จากอารมณ์และความรู้สึกนึกคิดของเราเอง เราไม่สามารถให้ผู้อื่นถอดรหัสความฝันหรือตีความหมายสัญญลักษณ์ทางจินตภาพของเราแทนเราได้ เพราะเราแต่ละคนต่างก็มีรหัสและสัญญลักษณ์จำเพาะที่เป็นส่วนตัว ที่ว่าประทับใจก็เพราะคุณkaewta77 ถอดรหัสได้อย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งเป็นความสามารถที่เราทุกคนมีและควรจะนำมาใช้บ่อยๆให้ชำนาญ และต้องให้เครดิตกับภาพที่ปรากฏเสมอว่า มันมีความหมาย หากเราเริ่มต้นด้วยความคิดที่ว่า มันไม่มีความหมาย เราอาจคิดไปเอง มันไม่ใช่ความจริง แม้มันจะมึความหมายสำคัญและลึกซึ้งเพียงใด มันก็ปราศจากความหมายไปโดยปริยาย

    วันก่อนพี่นักเขียน เขียนนิทานเรื่อง น้ำค้างกับเมล็ดข้าว
    ยังไม่ได้อธิบายให้พวกเราฟังว่า เรื่องราวทั้งหมดได้มาอย่างไร ทำไมจึงใช้สีน้ำตาลกับสีแดง

    ได้มาด้วยการตั้งจิตถามว่า พวกเราทั้งหลายในห้องวิทย์ฯนี้คือใคร เรามาสนทนากันในฐานะญาติมิตรทางจิตวิญญาณหรือเป็นจิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมวัตถุประสงค์กันใช่หรือไม่ และเป้าหมายของเราคืออะไร? คำตอบที่ได้จากความฝัน คิือนิทานเรื่อง น้ำค้างกับเมล็ดข้าว

    ประสบการณ์นี้เป็นหนึ่งในหลายครั้งที่เคยฝันเป็นนิทาน บางเรื่องพอจะเขียนออกมาเป็นนิทาน กลับกลายเป็นสาระยาวหลายบท แต่บางครั้งก็ออกมาเป็นนิทานตรงๆ เช่น เรื่องเกาะน้อยอันโดดเดี่ยว และเรื่อง มดนักปราชญ์ (ดวงดาวกับจิตวิญญาณ) ในหนังสือ-โลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติ ภาคปลาย บทที่ 21 และ 24 ตามลำดับ

    ถ้าหากพี่นักเขียนคิดไปว่า เอ เราถามคำถามซีเรียส แต่ทำไมเราไปฝันเป็นนิทาน มันไม่สัมพันธ์กันเลยนะ ความคิดของพี่นักเขียนอาจทำให้เก็บนิทานนั้นไว้ในสมุดบันทึก ไม่เอามาเล่าให้พวกเราฟัง แล้วความหมายต่างๆก็หายไปด้วย

    บ่อยครั้งเราเคยเผชิญกับเหตุการณ์ที่ใครบางคนรำพึงอะไรออกมาตามความรู้สึกจากใจ โดยที่เจ้าตัวไม่ได้คิดว่ามีความหมายสักเท่าไรนัก แต่ข้อมูลง่ายๆตรงใจนั้นกลับมีความหมายมาก หากเราได้รับบางอย่างมาด้วยความรู้สึก และเราถ่ายทอดออกมาอย่างตรงไปตรงมา-ตรงใจ มันก็อาจมีความหมายกับผู้อื่นเป็นอันมากด้วยเช่นกัน ในทางกลับกันข้อมูลที่บางคนสรรหามาพูดอย่างเป็นเหตุเป็นผลตามหลักวิชาการและนำมาบรรยายมากมาย คนฟังจนง่วงกลับไม่ค่อยได้อะไรเลย จริงไหมคะ? [Embarrass
     
  7. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ความเชื่อของเราสร้างโลกแห่งความเป็นจริงและประสบการณ์ชีวิตทั้งหมดของเรา

    ประสบการณ์ของคุณน้องแก้วทิพย์ ทำให้พี่นักเขียนอยากจะขอขยายความที่ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวไว้ว่า "ความเชื่อของเธอ สร้างโลกแห่งความเป็นจริงและประสบการณ์ชีวิตทั้งหมดของเธอ"
    เมื่อเราเผชิญกับประสบการณ์ที่แคล้วคลาดอย่างไม่น่าเชื่อ เช่นที่คุณน้องแก้วทิพย์เผชิญ หรือที่พี่นักเขียนวางแผนว่าจะไป Cancun, Mexico แล้วมี Hurricane Dean เข้ามา ติดตามด้วย Hurricane Felix พี่นักเขียนก็จินตนาการเห็นแต่แดดจ้าฟ้าใสตลอดเวลา ไม่ว่าจะฟังข่่าวบ้างไม่ฟังบ้าง ก็เห็นแต่ภาพแดดจ้าฟ้าใสโดยตลอด ใครๆก็เตือนและบางคนชวนให้ล้มเลิก trip นี้

    ก่อนเครื่องจะออกจาก DFW (Dallas-Fortworth) แอร์เสีย ทำให้เครื่อง delay ไปกว่าชั่วโมง ผู้คนบนเครื่องเต็มไปด้วยคนอารมณ์ดี พี่นักเขียนได้ยินคนพูดกันว่า ช้าเท่าไรก็คอยได้ บางคนก็บอกว่าคอยได้สำหรับ vacation แสนสุขที่คอยอยู่ข้างหน้า บางคนก็ลุกขึ้นเต้นรำแล้วร้องว่า Cancun รอฉันหน่อยอย่าเพิ่งหนีไปไหน คนที่นั่งนิ่งๆไม่ยิ้มก็เริ่มหัวเราะหัวไห้จนการรอคอยเต็มไปด้วยความขบขัน เสียงหัวเราะดังมาจากทางโน้นบ้างทางนี้บ้างไม่ขาดสาย พีนักเขียนบอกกับสามีว่า เที่ยวบินนี้ energy ดีจริงๆเลย รับรองได้ว่าเดินทางโดยราบรื่นไร้ปัญหา ไม่มีวันเจอพายุ

    แล้วในที่สุดก็ไปพัก Cancun 4 วัน แดดจ้าฟัาใสไร้เมฆจริงๆ แม้จะเห็นยอดต้นปาล๋มกุดๆ เพราะเพิ่งโดน Hurricane Dean มาหยกๆ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าที่ท่านอาจารย์อนาลับกล่าวไว้นั้น มีความเป็นจริงยิ่งใหญ่กว่าที่เราตีความหมายมากนัก

    พี่นักเขียนเชื่อว่า มีคนจำนวนไม่น้อยที่วางแผนเหมือนพี่นักเขียน ไปเที่ยว Cancun เหมือนกัน แต่จินตนาการเห็นภาพพายุฝน เห็นภาพความหมดสนุก และก็ต้องเผชิญกับสภาพนั้นๆจริงๆ ทั้งนี้พี่นักเขียนไม่ได้หมายความว่า เขาไป Cancun ต่างเวลาไปจากพี่นักเขียนนะคะ แต่หมายความว่า โลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติ บนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้มีอยู่่เป็นอนันต์ ท่านอาจารย์อนาลัยยังกล่าวไว้อีกว่า เธอจดจ่อกับสิ่งใด-ได้สิ่งนั้น-ไม่มีกฎเกณฑ์อื่น คนทีจดจ่อกับพายุฝนและความหมดสนุก ก็ก้าวล่วงไปสู่เส้นทางแห่งความเป็นไปได้อีกเส้นหรือเรียกได้ว่าอีกโลกหนึ่งที่แตกต่างไปจากพี่นักเขียนโดยสิ้นเชิง โลกที่จิตวิญญาณของเขาไปจดจ่ออยู่ Cancun ของเขาถูกพายุกระหน่ำ

    ความแคล้วคลาดที่ว่าจึงไม่ได้เป็นไปเพียงระนาบเดีึยว มิติเดียว บนเส้นทางแห่งกาลเวลาเพียงเส้นเดียว พี่นักเขียนเองก็ไปเที่ยว Louisiana ช่วงที่มีข่าวว่าพายุ Hurricane Catrina เข้า แต่ก็จินตนาการเห็นความสดใสอีกเพราะอยากไปและวางแผนล่วงหน้ามานาน ลูกๆถามก็บอกว่าให้ช่วยกันจินตนาการให้สดสวย วางแผนว่าจะไปพักที่นั่น 4 คืน แต่เปลี่ยนใจและชวนสามีออกก่อน 1 วัน ก็ปรากฏว่า เราออกจากที่นั่นมาตอนเช้า พอตอนสายเราก็ขับรถขึ้นมาถึงแถว Arkansas แล้ว ฝนกลายเป็นน้ำแข็งแล้วเปลี่ยนเป็น snow มาตลอดทาง ระหว่างนั้น Hurricane ก็เข้าถล่มทางใต้

    ก็รอดมาได้ด้วยความคิดที่ว่า แม้ว่าจะอยู่ในเส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นเดิม ก็หวุดหวิดหรือรอดได้ด้วยกาลเวลา

    ดั้งนั้นเมื่อกล่าวถึงภัยพิบัติ พวกเราหลายคนพูดถึงการล่มสลายของโลกเพราะภัยพิบัติทางธรรมชาติ ท่านอาจารย์อนาลัยจึงกล่าวว่า "ทางเลือกเป็นของเธอ"
     
  8. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    พี่นักเขียนได้ sunburn มาอย่างหนัก ศีรษะจรดปลายเท้าเลยค่ะ อุตส่าห์โปะ lotion กันลอก พอมาเห็นคุณ Mead คุณ Mountain และพวกเราทั้งหลายลุกขึ้นเต้นรำ ส่งดอกไมักัน เล่นเอาพี่นักเขียนหัวเราะจนหน้าลอกก่อนเวลาอันควรเลยเจ้าค่ะ (555)
     
  9. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ประสบการณ์ของคุณน้องขจรวรรณทำให้พี่นักเขียนระลึกถึงประสบการณ์ส่วนตัวหลายปีก่อนหน้าที่พี่นักเขียนจะฝันถึงท่านอาจารย์อนาลัย

    ช่วงนั้นพี่นักเขียนได้เรียนสมาธิแนวพุทธและไม่ได้มีความรู้หรือประสบการณ์อื่นใดที่ทำให้รู้จักธรรมชาติที่แท้จริงของจิตวิญญาณ มีแต่คำถามเสียมากกว่าคำตอบ และเพียงแต่รู้สึกว่าการทำสมาธิมักทำให้ตัวเองเห็นหรือได้ยินในสิ่งที่อยู่นอกเหนือสภาพแวดล้อมทางกายภาพบ่อยๆ เช่นเห็นแสงเหมือนหิ่งห้อย แต่เป็นแสงสีเงิน ที่มักปรากฏให้ในขณะจิตที่กำลังต้องการตัดสินใจสิ่งที่สำคัญมากๆ เมื่อเห็นแสงนั้นๆปรากฎวาบขึ้นมา จะรู้ว่าตัดสินใจถูก เป็นต้น แต่ก็เป็นสิ่งที่รู้เห็นลำพัง ไม่เคยถามใครเพราะครูบาอาจารย์ท่่านไม่เคยกล่าวถึง และเกรงว่าท่านจะว่าอุปาทาน แต่เมื่อมันเป็นปรากฏการณ์ส่วนตัวที่ให้ผลในแง่บวกเสมอมา จึงแอบใช้อย่างเงียบๆเพราะคิดว่าไม่เสียหายอะไร

    วันหนึ่งไปนั่งสมาธิสองคนกับสามีที่บ้านตากอากาศเชิงเขาถ้ำค้างคาว-เขาใหญ่ ในใจนึกคิดว่า ณ ที่แห่งนั้นจะมีสิ่งศักดิ์หรือไม่และเป็นอย่างไร? เคยได้ยินคนอื่นกล่าวถึงเจ้าพ่อเขาใหญ่ บ้างก็ว่าปรากฏเป็นเสือ แต่ตนเองไม่ได้มีความเชื่อที่ปักใจว่าท่านจะเป็นอะไร แต่ก็มีความเคารพให้ท่าน ช่วงนั้นได้ข่าวว่าแล้งฝน จึงจุดธูปบูชาแล้วถวายน้ำทั้งแกลลอน โดยเปิดฝาแกลลอนทิ้งไว้ด้วย และตั้งไว้บนสนามหญ้าตรงข้างหน้า คู่กับกระถางธูป ห่างจากที่เรานั่งประมาณ 2-3 เมตร

    เมื่อนั่งลงได้ครู่ใหญ่จนรู้สึกสงบแล้ว ในจิตแลเห็นลูกไฟดวงใหญ่กว่าบ้าน พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว แล้วชนเข้าอย่างจังกลางหว่างคิ้วหรือตาที่สาม ตัวเองกับสามีนั่งในท่าสมาธิอยู่บนเก้าอิี้ยาวเป็นไม้ทำจากล้อเกวียน ซึ่งค่อนข้างเก่าและผุบ้าง เมื่อถูกแสงไฟดวงใหญ่ชน พี่นักเขียนหงายหลังตกเก้าอี้ ที่พิงหักไปเลยค่ะ ไม่เจ็บแต่ตกใจมากกว่า สามีก็ตกใจรีบลุกมาอุ้มเราขึ้น พอซักได้ความว่าเกิดอะไรขึ้น ต่างก็หันไปดูแกลลอนน้ำ ปรากฏว่าล้มคว่ำลงน้ำออกหมดเกลี้ยง ทั้งที่ตั้งอยู่บนดินราบๆ กระถางธูปเสียอีกตั้งเอียงนิดหน่อยกล้บคงอยู่ตามเดิม

    พี่นักเขียนเล่าให้ประสบการณ์ให้อาจารย์ลัทธิเต๋าฟัง ท่านก็ว่าเป็นจิตวิญญาณของเจ้าพ่อเขาใหญ่มาปรากฏให้เห็น ตัวพี่น้กเขียนเองก็เข้าใจหรือรู้สึกว่าเป็นเช่นนั้น

    ทุกวันนี้เมื่อได้ศึกษาเกี่ยวกับ เทพ เทวดา สิ่งศักดฺิิ์สิทธิ์จากท่านอาจารย์อนาลัย ทำให้เข้าใจว่า จิตวิญญาณอันเป็นเจ้าป่า เจ้าเขา เจ้าแม่คงคา แม่พระธรณี ฯลฯ ที่สถิตย์อยู่ในธรรมชาติ ล้วนมีความเป็นจริง และท่านอาจารย์อนาลัยเรียกจิตวิญญาณเหล่านี้ว่า เป็นจิตวิญญาณของโลกซึ่งเกื้อกูลสิ่งมีชีววิตอืิ่นๆที่อาศัยอยู่บนโลก

    หากเราเข้าใจได้ว่า จิตวิญญาณคือพลังงาน ซึ่งจะเรียกว่าปราศจากรูปลักษณ์จำเพาะก็คงไม่ผิด แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้ความว่าปราศจากรูปกาย แต่ในทางตรงกันข้ามน่าจะเรียกได้ว่า มีรูปกายที่ปราศจากขึดจำกัด ซึ่งเราจะมองเห็นได้ตามความเชื่อและมุมมองส่วนบุคคล ซึ่งที่จริงแล้วเราไม่ได้เห็นด้วยตา แต่เรารู้สึกได้ พี่นักเขียนมีความเชื่อในความยิ่งใหญ่ของเจ้าพ่อเขาใหญ่ และเข้าใจว่าความเชื่อของตนเองเป็นปัจจัยกำหนดรูปลักษณ์ของท่าน ดังที่ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวว่า เมื่อเราคิดว่าเห็นผี แท้จริงแล้วเรารู้สึกถึงตัวตนของผีเป็นรูปลักษณ์ตามความเชื่อของเรา ซึ่งท่านไม่ได้หมายความว่าเราเห็นภาพหลอนหรือสร้างภาพหลอนนั้นขึ้นมา หากแต่ว่าเรามองเห็นหรือรู้สึกได้ตามความเชื่อและมุมมองส่วนบุคคล เช่นเดียวกับที่เรามองเห็นพ่อแม่หรือลูกของเรา ซึ่งแตกต่างไปจากความเชื่อและมุมมองของผู้อื่นที่มองเห็นพ่อแม่หรือลูกของเรา แม้จะมองเห็นบุคคลเดียวกันแต่ก็เห็นได้แตกต่างกัน

    หากคุณน้องขจรวรรณกลับไปพิจารณาถึงความรู้สึกนึกคิดของตนเองในขณะที่เผชิญกับแสงดังกล่าว ให้ถามตนเองว่า เรามีความรู้สึกนึกคิดถึงอะไรอยู่ พี่นักเขียนเชื่อว่าคุณน้องจะได้คำตอบว่า แสงไฟที่ปรากฏนั้นเป็นรูปกายของสิ่งใด (rose)
     
  10. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ทะเล Cancun

    เอาทะเลมาฝากจาก Cancun, Mexico ตามสัญญาค่ะ เที่ยวหน้าหวังว่าคงจะมีโอกาสเอาปิรามิดมาฝากนะคะ สองรูปยาวๆนั้น พยายามใช้กล้องธรรมดาถ่ายให้เป็น panorama เลยต่อภาพหลายช่วงหน่อย อยากให้พวกเราได้เห็นภาพหาดทรายกว้างได้เต็มตา ใช้จินตนาการไปกับตากล้องสมัครเล่นหน่อยนะคะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_0089.JPG
      IMG_0089.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.4 MB
      เปิดดู:
      49
    • IMG_0112.JPG
      IMG_0112.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.4 MB
      เปิดดู:
      56
    • IMG_0269.JPG
      IMG_0269.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.5 MB
      เปิดดู:
      44
    • IMG_0361.JPG
      IMG_0361.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.3 MB
      เปิดดู:
      42
    • IMG_0382.JPG
      IMG_0382.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.2 MB
      เปิดดู:
      47
    • IMG_0383.JPG
      IMG_0383.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.2 MB
      เปิดดู:
      51
    • 01cancun_panorama.jpg
      01cancun_panorama.jpg
      ขนาดไฟล์:
      56.1 KB
      เปิดดู:
      56
    • 02cancun_panorama.jpg
      02cancun_panorama.jpg
      ขนาดไฟล์:
      75.4 KB
      เปิดดู:
      48
  11. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    กำลังอ่านสายตาแทบไม่กระพริบเลยคับ
    วันนี้รู้สึกเข้าใจรายละเอียดหลายอย่างแจ่มชัดขึ้นมากเลยครับ กลับมาเที่ยวนี้พี่นักเขียนหอบเอาความรู้มาฝากมากมาย
    เหมือนที่คุณขจรวรรณบอก กดปุ่มอนุโมทนายังน้อยไปสำหรับคำขอบคุณที่ถ่ายทอดความรู้มาให้ครับ
    ขอบคุณพี่นักเขียนเป็นอย่างสูงครับกับมุมมองอันหลากหลายมิติ อ่านแล้วรู้สึกได้ขยายความรู้ตามไปด้วยตลอดทุกๆคำตอบครับ
    ภาพทะเล+ท้องฟ้า+หาดทราย และi-pod[กล่องสีขาว] สวยจริงๆครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กันยายน 2007
  12. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,085
    พี่นักเขียนกลับมาเที่ยวนี้ พวกเราไม่ผิดหวังเลยครับ
    [b-wai] [b-wai] [b-wai]
     
  13. มโนกรรม

    มโนกรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +877
    ไม่ทราบว่าเมื่อคืนใครดูรายการ"ตีสิบ"บ้างครับ? พอดีมีการนำเทปสัมภาษณ์คนที่ตายแล้วฟื้นมาออกซ้ำ พร้อมทั้งเชิญเจ้าตัวมาตอบคำถามและอธิบายเพิ่มเติมในจุดที่มีคำถามหรือข้อสงสัยด้วย

    ผมว่าเรื่องนี้น่าจะเป็น case study ที่ดีสำหรับทุกท่านที่กำลังอ่านเรื่องจิตวิญญาณอยู่นะครับ ดูแล้วคล้ายๆกันกับเรื่องของพี่นักเขียนตอนที่โดนแมงมุมมีพิษกัด แต่เธอคนนี้ได้ไปพบกับยมฑูต พระยายมราช และได้ไปพบกล่องบุญ แสงบุญ และกล่องชะตาชีวิต(ถ้าจำไม่ผิด) ก่อนที่จะได้กลับมาเข้าร่างเดิมที่โรงพยาบาลจึงฟื้นคืนสติขึ้นมาเป็นปกติอีกครั้ง

    สิ่งที่ผมได้จากที่ได้ชมเรื่องนี้คือ

    - ขณะที่จิตวิญญาณของเธอออกจากร่างแล้วเดินตามยมฑูตไป ยังสามารถกลับมาตอบสนองกับร่างที่เป็นกายภาพได้อีก(มีคนที่เข้าไปช่วยถามเบอร์โทรศัพท์ และโรงพยาบาลที่ใช้ประจำอยู่ก็ยังสามารถกลับมาตอบได้) แล้วก็ยังเดินตามยมฑูตต่อไปได้ในเวลาเดียวกัน แสดงว่าจิตวิญญาณของเธอจดจ่ออยู่กับตัวตนภายในและตัวตนภายนอกในเวลาเดียวกัน และเป็นการสนับสนุนคำกล่าวที่ว่าจิตวิญญาณไม่มีช่องว่าง ระยะทาง และกาลเวลาได้อีกด้วย

    - การที่เธอสามารถจดจำสิ่งที่ไปพบมาในขณะที่จิตวิญญาณออกจากร่าง (ซึ่งผมควรจะเรียกว่าขณะที่ฝันมากกว่า) ได้อย่างแม่นยำก็แสดงว่าเธอต้องมีสติสัมปชัญญะที่ดีในขณะที่ฝันหรือจิตวิญญาณออกจากร่างนั้นด้วย

    - การที่เธอทำดีและกตัญญูต่อบุพการีมาตลอดนั้น ส่งผลที่ดีต่อเธอแม้ในโลกของจิตวิญญาณที่เธอได้ไปพบมา ซึ่งทำให้เธอได้มีโอกาสกลับมามีชีวิตเหมือนเดิม และเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เธอได้รับแรงบันดาลใจให้ทำดียิ่งๆขึ้นไป เพื่อที่เธอจะได้รับสิ่งที่ดีในชาติภพหน้าของเธอ เพราะเธอเชื่อว่าทำดีแล้วได้ดี บูญที่ทำย่อมส่งผลดีให้เธอแน่นอน

    ท่านใดที่ได้ดูอยากให้ช่วยแชร์ด้วยครับ ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกันในเรื่องของจิตวิญญาณที่พวกเรากำลังศึกษาหรืออ่านอยู่นะครับ
     
  14. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ขอขอบคุณพี่นักเขียนมากนะคะ ที่ให้ความกระจ่างในบางเรื่องที่บางครั้งตัวเราก็คิดไม่ถึง ทำให้ขยายความรู้ได้อีกเยอะเลยค่ะ..

    วันนี้ก็เลยเกิดความสงสัยขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่ง คือที่พี่นักเขียนกล่าวไว้ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายอยู่ในตัวมนุษย์ เทพ เทวดา พระเจ้า อยู่ในตัวมนุษย์นั้น เหมือนหรือต่างกันอย่างไรกับร่างทรงคะ

    ขจรวรรณมีเพื่อนคนหนึ่งที่เค้าบอกว่าได้ยินเสียงของเทพ, พรหม และท่านก็ให้เค้าพูดให้ผู้อื่นฟังตามที่ได้ยินมาประมาณว่าแนะนำให้ดำเนินชีวิตอย่างไรจึงจะประสบความสำเร็จ การกระทำเช่นนี้ทำให้เราสูญเสียพลังอำนาจในตัวเองหรือไม่?

    อีกเรื่องนึงก็คือ มีเพื่อนบ้านสมัยที่เรายังเป็นเด็ก ๆ พึ่งทราบว่าเค้าไปรับขันธ์เพื่อที่จะเป็นร่างทรงมาแต่กลายเป็นว่าร่างของเค้าเป็นที่ผ่านของสิ่งต่าง ๆ หลายสิ่งมาก จนรู้สึกอายเวลาไปทำบุญหรือเวลาอยู่กับผู้คนเยอะก็จะมีอาการสั่นหรือร่ายรำเป็นบุคคลิกต่าง ๆ จึงไม่ต้องการที่จะเป็นร่างทรงอีกต่อไปแต่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรจึงไม่เป็นอย่างนั้นอีก พี่นักเขียนพอจะให้คำแนะนำอะไรได้บ้างมั้ยคะ?
    (b-2love)
     
  15. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ไม่ได้ดูเหมือนกันค่ะ เพราะรายการนี้มีค่อนข้างดึกจึงไม่ค่อยได้ดู ( เอาไว้ไปฝึกฝันดีก่า.. อิ..อิ.. ) แต่จากที่คุณมโนกรรมเล่า ๆ ให้อ่านแล้วคงจะเป็นเพราะว่าสติสัมปะชัญญะของเธอคนนี้จดจ่ออยู่กับนรกหรือยมฑูตตามที่ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวไว้ว่า " จิตวิญญาณจดจ่อกับภาวะใด จิตวิญญาณมีชีวิตอยู่ เป็นอยู่ ดำเนินไป เป็นภาวะนั้น " และเท่าที่เคยเรียนรู้มา ( ยังไม่เคยสัมผัสด้วยตัวเอง ) ก็น่าจะพอเชื่อถือได้ว่านรก สวรรค์ ก็มีซ้อนอยู่อีกมิติหนึ่งของโลกทางกายภาพที่เราสัมผัสรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 นี้ บางกลุ่มก็บอกว่านรกนั้นเปรียบเสมือนกับโรงพยาบาลซ่อมจิตวิญญาณที่เสื่อมลง เหมือนร่างกายของเราที่ชำรุดจึงนำส่งไปรักษาที่โรงพยาบาล ก็ลองคิดดูนะคะว่าเป็นไปได้หรือปล่าวเพราะเราต่างก็ยังไม่เคยไปเรียนรู้ด้วยตนเองเหมือนกันค่ะ...
    (sing)
     
  16. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    สำหรับเรื่องที่ออกตีสิบนั้น ผมก็ได้ดูเหมือนกัน ก็ได้คิดว่า เรื่องอย่างนี้ บางคน ถ้าไม่เจอกับตัวเข้าก็ไม่เชื่อเหมือนกันว่าเรื่องอย่างนี้มันมีจริง โชคดีที่เค้ายังกลับมาได้ (แต่รู้สึกว่าทำไมเจ้าที่โหดจัง เล่นกันถึงตายเลย)

    ส่วนเรื่องที่พี่นักเขียนเขียนว่า "สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายอยู่ในตัวมนุษย์ เทพ เทวดา พระเจ้า อยู่ในตัวมนุษย์" นั้น ผมอ่านแล้วนึกถึงเรื่องของเซนที่เขียนว่า....

    ตามทัศนะของเซนนั้น สรรพสัตว์ในจักรวาลนี้ มีพุทธภาวะ (Buddhahood) หรือความรู้แจ้งซึ่งเป็นภาวะที่สะอาด สว่าง สงบ อยู่ภายในตัวแล้ว

    ภาวะดังกล่าวอาจเรียกชื่อแตกต่างกันออกไปบ้าง เช่นที่อาจารย์บางท่านเรียกว่า จิตหนึ่ง (One Mind) และบางท่านก็เรียกว่าจิตเดิมแท้ (Essence of Mind) แต่ไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไรก็ตาม สิ่งนั้นก็ยังคงเป็นภาวะที่ไม่อาจจะเอาชื่อหรือสัญลักษณ์ทางภาษาใด ๆ ไปนิยามได้ เพราะเป็นภาวะที่อยู่เกินเลยขอบเขตของภาษาและไม่ใช่สิ่งที่จะเอาการใช้เหตุผล (Reasoning) ไปทำความเข้าใจได้ ดังคำที่ท่านฮุยเหน็งได้กล่าวเอาไว้ว่า "ธรรมชาติแท้ของเรานั้นคือธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะ และนอกเหนือจากธรรมชาติอันนี้แล้วหามีพุทธะที่ไหนอีกไม่เลย...เรากล่าวว่าจิตเดิมแท้เป็นของใหญ่หลวง ก็เพราะมันรวมสิ่งต่าง ๆ เข้าไว้หมด โดยที่สิ่งทุกสิ่งนั้นมันอยู่ในตัวธรรมชาติแท้ของเรา เมื่อเราพบเห็นความดีหรือความชั่วก็ตามของบุคคลอื่น เราไม่ถูกดึงดูดให้ชอบ หรือไม่ถูกผลักดันให้ชัง หรือเราไม่เกาะเกี่ยวกับมัน เมื่อนั้นลักษณะแห่งจิตใจของเราก็เป็นของว่างเท่ากับอากาศ ด้วยเหตุนี้เราจึงกล่าวว่า ใจของเราใหญ่หลวง (ไม่มีขอบเขตเหมือนอากาศ)"

    ในเรื่องนี้ ท่านฮวงโป (Huang-Po) ซึ่งเป็นอาจารย์ของท่านรินไซก็ได้กล่าวไว้ในทำนองเดียวกันว่า "พระพุทธเจ้าทั้งหลายและบรรดาสัตว์โลกทั้งมวลต่างก็เติบโตมาจากจิตหนึ่ง(One Mind)นี้ และไม่มีความจริงอะไรอื่นอีกเลยนอกจากจิตหนึ่งนี้เท่านั้น จิตหนึ่งนี้ดำรงอยู่ตั้งแต่อดีตที่ไม่มีจุดเริ่มต้น มันไม่ได้เกิดขึ้นและก็ไม่อาจสูญสลายไปได้ มันไม่ได้เป็นสีน้ำเงินหรือสีเขียว ทั้งไม่ได้มีรูปทรงหรือรูปแบบแต่อย่างใด มันดำรงอยู่เหนือสิ่งที่มีอยู่และสิ่งที่ไม่มีอยู่ มันไม่อาจกำหนดวัดได้ด้วยอายุว่าเก่าหรือใหม่ มันไม่ใช่ของยาวหรือสั้น มันไม่ใช่ของใหญ่หรือของเล็ก เพราะมันอยู่เกินเลยขอบเขตที่จำกัด อยู่เกินเลยคำพูด อยู่เกินเลยร่องรอยและสิ่งตรงกันข้าม(สิ่งเปรียบเทียบ)ทั้งหมด จิตหนึ่งนี้จะต้องถูกเห็นตามสภาวะเดิมอย่างที่มันเป็นอยู่เท่านั้น เมื่อเราพยายามจะคว้าจับมันไว้ในใจของเรา มันก็จะหลุดลอยไป มันเป็นเหมือนกับช่องว่างที่ไม่อาจวัดขอบเขตมันได้ ไม่อาจใช้ความคิดคำนึง (Concept) ไปวัดหยั่งในกรณีนี้ได้"


    เพิ่มเติมอีกนิดหน่อย

    เพราะเหตุที่มีทัศนะเช่นนี้เอง เซนจึงถือว่า พระอรหันต์กับปุถุชนไม่มีความแตกต่างกันแต่อย่างใด เพราะต่างก็มีพุทธภาวะหรือธรรมชาติเดิมแท้ที่บริสุทธิ์หมดจดเป็นแก่นสารเหมือนกัน แต่ถ้าจะมองให้แตกต่าง ก็มีอยู่แค่ว่า ปุถุชนคือผู้ที่ยังไม่สามารถขจัดอวิชชาที่ห่อหุ้มพุทธภาวะออกไปได้ ธรรมชาติแท้ของเขาจึงยังไม่ส่องประกายออกมา เขาจึงยังคิดปรุงแต่งไปในอารมณ์ต่าง ๆ ก่อเกิดกระแสแห่งการเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบสิ้น ส่วนพระอรหันต์นั้นสามารถขจัดอวิชชาที่ปิดบังพุทธภาวะออกได้แล้ว จึงรับรู้โลกและชีวิตจากธรรมชาติแท้ที่บริสุทธิ์ของตนเอง ไม่มีอะไรมาปิดบังเคลือบแฝงอีกต่อไป จึงอยู่ในภาวะที่เหนือสุขและทุกข์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กันยายน 2007
  17. mindanaric

    mindanaric เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    161
    ค่าพลัง:
    +1,964
    แล้วแบบนี้ แสดงว่าการที่เราเคยรู้สึกเหมือนได้ทำบางสิ่งบางอย่างนี้แล้ว แต่มันกลับเกิดขึ้นอีก หรือเพิ่งเกิดขึ้นแต่เรารู้สึกว่ามันเคยเกิดขึ้นแล้ว โดยสามารถตอบเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ทุกอย่าง(อย่างทุกถ้อยคำ ทุกวินาทีว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง) แบบนี้แสดงว่าเราอาจเคยฝันถึงเหตุการณ์นั้นแต่เราจำไม่ได้ว่าเราฝันถึง เป็นการรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าที่จิตวิญญาณของเราได้ล่วงรู้อยู่ก่อนแล้ว ที่เค้าเรียกว่า deja vu หรือเปล่าค่ะคุณน้านักเขียน OwO โอ้ววว!!!

    ปล.กำลังมีปัญหาแก้ไม่ตกเกี่ยวกับเรื่องความจำที่จะใช้ในการจำตำราเรียนอยู่พอดี แล้วจะเอาวิธีที่ คุณอนาลัย บอกไปลองทำดูถ้าได้ผลชาตินี้หนูจะไม่ขอลืมพระคุณเลยค่ะ ถ้าทำได้คงแก้เปาะอื่นๆให้หลุดได้ด้วย ขออนุโมทนาเลยค่ะ (เด๋วจะเลี้ยงส้มตำด้วยเจงๆนะเนี่ย ><) !!!!!!!!~
     
  18. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441



    [​IMG]

    เทปย้อนหลังรายการตีสิบ ตอนวิญญาณออกจากร่าง ยมทูตพาทัวร์นรก
    http://www.palungjit.org/board/showthread.php?p=676009

    ตามไปดูเทปย้อนหลังกันได้ครับ..ตรงหน้าแท่นพระยายมฯ[ร่างท่านหดขยายได้ตามต้องการ] ที่น่าสนใจตรงที่มี"กล่องทองคำ"หลายขนาดปรากฎขึ้น ดูได้ทันทีว่าได้ทำบุญกุศลมาก-น้อย กตัญญูมาก-น้อย ทำชั่วมาก-น้อย เหมือนด่านชั่งน้ำหนักบุญกุศลว่าจะส่งไปต่อที่ใด..เช่นสวรรค์หรือนรก

    คนจีนที่เคยประสบเหตุการณ์แบบนี้ ก็เล่าว่าเห็นเป็นดอกไม้ เบ่งบานหลากหลายขนาดว่าได้ทำบุญกุศลอะไรมาบ้างตอนมีชีวิตอยู่
    ชาวคริสต์จะเห็นอุโมงค์เป็นแสงสว่าง..มีทูตสวรรค์มารับ

    ดูแล้วจินตนาการแต่ละบุคคลจะต่างกันนะครับช่วงที่จิตหลุดจากร่าง..ที่คล้ายๆกันตรงความหมายที่ได้รับรู้..คือไปสถานที่หนึ่ง ที่ไม่คุ้นเคยโดยมีทูตมารับ..และพูดตรงกันว่าโลกของจิตวิญญาณนี่สื่อสารได้โดยไม่ต้องพูดออกมา แค่คิดก็ไปถึงแล้ว ที่ต่างกันในรายละเอียดน่าเกิดจากการจินตนาการตามความเชื่อความคุ้นเคยที่จิตรับรู้มาก่อน และพยายามสร้างรูปธรรมขึ้นมาตามที่จิตรู้สึกในขณะนั้น เพื่อให้รับรู้และจดจำได้ (เสมือนให้สมองแปลความตามความเคยชิน) น่าจะเป็นแบบนั้นครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กันยายน 2007
  19. mindanaric

    mindanaric เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    161
    ค่าพลัง:
    +1,964
    อืม...พอเห็นรูปหน้าปกรู้สึกว่าเคยเห็น..... เมื่อก่อนนึกว่าเป็นนิยายฝันๆเกี่ยวกับอวกาศเลยไม่ได้หยิบมาสนใจ (พอดีเป็นหนอนหนังสือกะเค้าเหมือนกัน แหะๆๆ) คราวนี้ไม่พลาดแล้ว จะวิ่งไปซื้อยกชุดเลย ตอนนี้กะลางต้วมเตี้ยมอ่านกระทู้นี้อยู่ เพิ่งหน้า 13 เอง อดใจไม่ไหวต้องรีบมาเม้นต์ก่อง เดี๋ยวลืม

    ถ้าลองทำได้สำเร็จเดี๋ยวจะมาเล่าประกาศศักดาข้อมูลของ คุณโนวาโดยด่วน
    ><~ ขอบคุณอะไรก็แล้วแต่ที่ดลใจให้เข้ามาในกระทู้นี้เจ้าค่ะ!!!!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กันยายน 2007
  20. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    ค่อยๆอ่านไปนะครับคุณ mindanalic..ผมยังไม่ได้ update สารบัญหน้าให้เลยครับ อิอิ
     

แชร์หน้านี้

Loading...