เชิญเข้าร่วมสนทนาพิเศษเรื่อง มิติ ความฝัน ชาติภพ จิตวิญญาณ โดย @โนวา อนาลัย@ [Writer]

เรือยๆ มาเรียงๆ เอื่อยๆมา เรื่อยๆ ตามแต่ลมจะพาพัดพา

แต่ 1+1 อาจเท่ากับ อนันต์จักรวาลก็ได้ อยู่ที่จุดมุ่งหมายและจินตนาการ ทุกอย่างอาจจะไม่เป็นดังที่คิด
อย่าจดจ่อให้มากนักปล่อยสบายๆ อาจจะพบสิ่งที่
ไม่คลาดฝันมาก่อน ธรรมชาติของชาติภพก็เฉกเช่นกัน
อิสระพอที่จะเรียนรู้และใฝ่หาประสบการณ์
ล้ำลึกในจิตหากไม่เคร่งเครียดในระบบความนึกคิด


สบายๆ สไตร์ คนภูเขา......


​

 

"แต่ท่านอาจารย์อนาลัยบอกว่า - ไม่มีกรรมเก่าใดๆ
จะมากำหนดชีวิตของใครได้ทั้งสิ้น.."

อันนี้ผมว่าตรงหลักพุทธเลยครับ มีกรรมก็จริงแต่เราเลือกที่จะแก้ไขทุกอย่างจากการกระทำในภพชาติปัจจุบันไงครับ พลังอำนาจแห่งปัจจุบัน..

ขอสนับสนุน ดังคำท่านพระอาจรย์อนาลัย คะ <!-- / message --><!-- sig -->​

 

อาจไม่ใช่เรื่องใหญ่หากจะคอยจ้องมอง พี่นักเขียน
.....จากแววตาของจ้าวจันทร์....
คละเคล้าสายใยของดวงดาว มามานั่งใกล้ๆ บนยอดเขาแห่งนี้
ลมเย็นๆ กระโชคมาแต่ละครั้ง ราวกับรับสัมผัส...กับอีกหน่งบุคคลิกภาพ.....
ของท่านอนาลัย..แล้วพี่นักเขียนจะไปไหนได้ไกลหละ....

​

 

จริงแท้เลย คุณชมภูเขา การที่เรามัวแต่กำหนดกฏเกณฑ์ว่าคำตอบต้องเป็นอย่างนี้ บางที มันก็ทำให้มองข้ามคำตอบอื่นที่ใช่ไปเหมือนกัน

 

ชื่นชมในความลุ่มลึกที่พี่นักเขียนปารภมา จุดนี้คือความงดงามที่บางคนไม่สามรถนำออกมาใช้ ในการจรรโลงจิตวิญญาน หากลองหยุดนิ่งๆสำรวจจิตที่ลุ่มลึกของตัวเราเองแล้วลองนำมา Display ดู เราอาจจะค้นพบ สิ่งพิเศษสุดก็ได้ หากทุกคนจะลองดูก็ น่าจะสนุกดี..

 

​

Today We're celebrate
Anniversary 100th Page​

ฉลองยอดขายครบ 100 ตลับ
อ้อ..ผิดงาน อิอิ
100 หน้าแล้วแค่เดือนกว่าๆเอง​

​

 

รูปหยดน้ำพวกนี้ เห็นแล้วชุ่มชื่นใจดีครับ
มีบทกลอนเพราะ ความหมายดีของคุณชมภูเขาอีกด้วย เก่งจริงๆ
ตั้งแต่คุณชมภูเขาเข้ามา รู้สึกเหมือนพกพาเอาป่าเขามาหมดทั้งป่าเลยนะครับ

 

เผลอไปไม่ได้เข้ามาอ่าน เพียงวันครึ่ง กระทู้วิ่งไปถึงหน้าที่ 100 แล้ว
อะไรจะรวดเร็วปานนั้น ต้องค่อยๆอ่านตามอีกแล้ว



ขอฉลอง 100 หน้า ด้วยคนครับ

 

หน่วยย่อยของจิตวิญญาณ 1 หน่วย + หน่วยย่อยของจิตวิญญาณ 1 หน่วย + หน่วยย่อยของจิตวิญญาณ 1 หน่วย + หน่วยย่อยของจิตวิญญาณ 1 หน่วย = จิตวิญญาณรวม 1 หน่วย แต่แม้ว่าจะเรียกว่าจิตวิญญาณรวม 1 หน่วย ก็เป็นเพียงหน่วยย่อยอยู่ดี เพราะยังสามารถรวมกับหน่วยอืนๆต่อไปได้อีกอย่างไม่มีวันสิ้นสุด

ถ้าตอบถูก คุณ zip มีรางวัลหรือเปล่าเนี่ย ?
หายป่วยหรือยังคะ ลุกขึ้นมาคิดปัญหาตัวเลขแล้ว สงสัยจะเป็นวิธีพักผ่อนสมองของ Einstein (rose)

 

ถ้าต้องเห็นได้ด้วยตา หยดน้ำหรือ
การรวมตัวกันของปรอท หรือ Mercury ใช่ไหมเอ่ย ? (rose)

 

เย้ๆ อย่างนี้ต้องฉลองกันหน่อยทุกคน วู้วววววว

 

(rose) Happy Anniversary 100 หน้า-ห้องวิทย์ฯค่ะ


ไฟแว้บ-ประดับเวที-น้องนกร้องเพลง-หัวหน้าฯเล่นกีต้า(rose)

 

เจอแสงสีเข้าไปอย่างงี้ก็เต้นไม่เลิกนะคะเนี่ย .....ตึ๊ง ดึง ดึ่ง ดึง ตึ่ง ดึง ดึง ดึง......

 

อันนี้ก็คิดว่าใช่เหมือนกันนะเนี่ย ตอบถูกไม่ได้อะไรหรอกครับ นอกจากว่าได้ฝึกสมอง (จริงๆ ไม่ได้เตรียมของไว้)
อาการป่วยยังทรงๆ ไม่รู้ว่าดีหรือทรุด คงต้องดูอาการวันต่อวันไป
เป็นวิธีพักสมอง แต่ทำให้สมองคนอื่นทำงานครับ อิอิ

อันนั้นก็ใช่ครับ อันที่จริงของเหลวทุกชนิดก็เป็นเหมือนกันหมด ทีแรกลุ้นๆ อยู่ว่าจะมีคนบอกว่า ของเหลวสองชนิดถ้าความถ่วงจำเพาะไม่เท่ากันมันก็จะไม่รวมตัวกันหรือเปล่า ก็โชคดีไม่มีใครพูดประเด็นนั้น

อันที่จริงถ้าไม่ยึดว่าคำตอบจะต้องเป็นน้ำอย่างที่คิดไว้ในใจอย่างทีแรก คำตอบก็มีได้หลากหลาย ความสามัคคีกันตอนดึงชักเย่อ ถ้าดึงพร้อมๆ กัน จะรวมแรงจากหลายๆ แรงให้เป็นแรงเดียวกันได้ 1+1=1; 1+1+1+1+1=1
ถ้าดึงไม่พร้อมกัน ก็จะแตกเป็นแรงหลายๆ แรง ซึ่งก็จะไม่มากพอที่จะดึงเชือกกลับมาฝั่งเราได้

1+1=2 (คนนึงดึงทีนึง อีกคนก็ดึงอีกทีนึงไม่พร้อมกัน กลายเป็นแรงสองแรงที่ดึงเชือกไม่พร้อมกัน ก็จะสู้แรงๆ เดียวแต่แรงเยอะๆ ไม่ได้)

นี่ก็คงพอจะเป็นอีกคำตอบได้กระมัง ถามเองตอบเองซะด้วยเรา
(555)

ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เป็นเหมือนที่คุณชมภูเขาว่าไว้

เรื่อยๆ มาเรียงๆ เอื่อยๆมา เรื่อยๆ ตามแต่ลมจะพาพัดพา

แต่ 1+1 อาจเท่ากับ อนันต์จักรวาลก็ได้ อยู่ที่จุดมุ่งหมายและจินตนาการ ทุกอย่างอาจจะไม่เป็นดังที่คิด
อย่าจดจ่อให้มากนักปล่อยสบายๆ อาจจะพบสิ่งที่
ไม่คลาดฝันมาก่อน ธรรมชาติของชาติภพก็เฉกเช่นกัน
อิสระพอที่จะเรียนรู้และใฝ่หาประสบการณ์
ล้ำลึกในจิตหากไม่เคร่งเครียดในระบบความนึกคิด


สบายๆ สไตร์ คนภูเขา......​

<hr>
ฉลองครบ 100 หน้ากันแล้ว อันที่จริงก็เล็งๆ ตั้งแต่อยู่หน้า 99 แล้ว ว่าเอ๊ะ นี่ใกล้จะ 100 หน้าแล้วนี่นา เร็วจังนะเนี่ย น้องมายด์คงไล่อ่านกันตาถลนแน่เลย

เห็นมีเปิดฟลอเต้นกันด้วย เต้นก็เต้นด้วยมั่ง

 

คุณขจรวรรณ มีอ.คอยส่งไม้ต่อให้เรียนเป็นทอดๆ ด้วย มีอ.ฝากให้อย่างนี้ ดูท่าจะเป็นเด็กเส้นนะเนี่ย อิอิ

สงสัยถ้าอ.ของคุณขจรวรรณมาเจอกัน คงคุยกันน้ำไหลไฟดับแน่เลย

 

วันนี้ครบ 100 หน้า วู้วู้ววววววว
พรุ่งนี้ครบการบ้าน 21 วันของผม ว้าวววววว
พรุ่งนี้จะมารายงานครับ
ตาสวย
รถใหม่
บ้านหรู

 

ดีใจด้วยและแสดงความยินดีกับทุกๆท่าน
ขอให้ห้องวิทย์อายุยืนหมื่นๆปี

 

มาอีกแล้ว..อีตาคนนี้..
หลายคนอาจจะแอบคิดแบบนี้อยู่นะเนี่ย..

มันจำเป็นต้องมาครับ..
เพราะในชีวิตประจำวันของผมเอง..
หรือต่อให้ของท่านทั้งหลายที่อยู่ในห้องนี้ก็เถอะ..
ท่านคิดว่าท่านจะไปสนทนาเรื่อง(บ้าๆ-สำหรับคนทั่วไป) แบบนี้กับใครได้..

เอาหละครับ..มาฟังผมสงสัยต่อไป
อย่าเพิ่งเบื่อกันนะครับ..
เพราะมันเป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจอะไรเลย
(ตามนัยของท่านอาจารย์อนาลัย)
ที่ผมจะมีทางเลือกที่จะคิดและตัดสินใจได้หลากหลาย
"อย่างเป็นอนันต์"

..ก็ในเมื่อหากอะไรที่เป็น "ความรู้" ที่แท้จริง
จะปราศจากการขัดแย้งในทุกๆศาสนา และ ทุกๆสถานการณ์

แสดงว่าแม้แต่ผู้ที่เป็นจิตวิญญาณชั้นสูงจากนอกโลก
อย่างท่านอาจารย์อนาลัย และท่านจิตจักรวาลเอง
ก็ยังต้องมีผู้หนึ่งผู้ใดที่บอกเรื่องราวบางอย่างกับเรา
ที่มัน ไม่ใช่ความรู้ที่แท้จริงอยู่กระมัง..มันถึงได้ขัดแย้งกันได้
แม้ว่าท่านผู้อ่านทั้งหลาย จะจัดการความขัดแย้งของข้อมูลที่ท่านได้รับมา
ด้วยวิธีการที่ละมุนละม่อม แบบบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่นอยู่ก็ตาม
แต่ผมก็เชื่อว่า..ไม่มากก็น้อย ที่ท่านต้องเอะใจบ้างหละน่า..
เพียงแต่เมื่อเทียบ "ประโยชน์" ที่ได้รับแล้ว มันดีกว่าจะมานั่งสงสัยอยู่

ขอโยงความรู้-ข้อมูลต่อ ให้เห็นสิ่งที่ผมกำลังสงสัยอยู่
สักเล็กน้อยก่อนนะครับ..

จากกระทู้ของคุณพี่สุดใจ
แห่งกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัยเขากะลา
หากข้อมูลนี้เป็นที่เชื่อถือได้..

ก็จะสรุปได้ว่า..

1. มนุษย์ต่างดาวที่มีวิวัฒนาการสูงกว่ามนุษย์
โดยเฉพาะบางกลุ่ม มีความสามารถทางจิตสูงมาก
พวกเขาสามารถ
- รู้ความคิดของมนุษย์ได้ แม้ไม่ได้อยู่ใกล้ๆก็ตาม
- สามารถเปิด-ปิด ประตูมิติได้
- ย้ายสิ่งของจากมิติหนึ่งไปยังอีกมิติหนึ่งได้
- สื่อสารทางจิตมายังมนุษย์เป้าหมายได้
- บางกลุ่มมีรูปกายเป็นสัดส่วนของพลังงานมากกว่าวัตถุธาตุทางกายภาพ
- สะกดจิตมนุษย์ได้ แบบว่า ณ.จังงัง ก็ได้ เป็นต้น
- และผมคิดว่าคงมีอีกเยอะ ที่ในกระทู้ยังไม่ได้กล่าวถึง

2. และพวกเขาบอกว่า ได้เดินทางมายังโลกมนุษย์ของเรานี้
เป็นเวลาช้านานแล้ว โดยมีการวางแผนการดำเนินงานเป็นระยะๆ
เพื่อวัตถุประสงค์ในการช่วยเหลือมนุษย์กรณีภัยพิบัติที่กำลังจะเกิดขึ้น
กับโลกมนุษย์ในเวลาอันใกล้นี้ (พวกเขาทราบได้จากการคำนวณ
แบบง่ายๆของพวกเขา เพราะโลกมนุษย์ไม่ใช่ดาวดวงแรกที่จะเกิด
ภัยพิบัติ เพราะมันเกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆในจักรวาล ดังนั้นพวกเขาจึงต้อง
รวมกลุ่มกัน นำผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ ตามความถนัดของเผ่าพันธุ์ตนเอง
เดินทางไปเพื่อให้ความช่วยเหลือดวงดาวต่างๆ อยู่ไม่ว่างเว้น
และอีกอย่าง..ภัยพิบัติครั้งนี้ ก็ไม่ใช่ครั้งแรกของโลกมนุษย์ซะด้วย
เพราะมันมีรอบการเกิดของมัน เป็นรอบๆไป เป็นปกติธรรมดา
เหมือนข้างขึ้น-ข้างแรมของดวงจันทร์อะไรแบบนั้น-
เออ อันหลังนี่ผมเสริมเองนะครับ)

ดูตัวอย่างการวางแผนการดำเนินงานของพวกเขานะครับ
เขาบอกว่า บางแผนก็ส่งพวกเขาเองลงมาเกิดเป็นมนุษย์
เพื่อแจ้งข่าวสารและเตือนเกี่ยวกับภัยพิบัตินี้แก่มนุษย์
ตัวอย่างของคนที่ทำหน้าที่นี้ก็คือ "นอสตาดามูด"
ซึ่งมีชีวิตอยู่ในโลกตั้งแต่ประมาณ 400 ปีก่อนแล้ว

เอาหละครับ..มาเข้าประเด็นที่ผมจะสงสัยกันนะครับ..

ก็ในเมื่อมนุษย์ต่างดาวเอง

1. เป็นสิ่งมีชีวิต ที่ประกอบด้วยจิตวิญญาณเช่นเดียวกับเรา
2. บนเส้นทางชีวิตของพวกเขา ถึงแม้ว่าอายุและความสามารถ
ของพวกเขาจะเหนือกว่าเรามากกกๆๆ

แต่..พวกเขา และแม้แต่ท่านอาจารย์อนาลัยเอง ก็ยังหาใช่
ผู้รู้แจ่มแจ้งไปซะทุกเรื่อง จริงไหมครับ
เพราะท่านอาจารย์บอกเช่นนั้นเอง จากที่ท่านต้องเดินทาง
ต้องเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา และท่านก็ยังบอกว่า ตัวตนรวม
ของจิตวิญญาณทั้งหลายที่คล้ายๆท่าน ก็ใช่ว่าจะรู้เท่ากันหมด

เห็นข้อสงสัยของผมหรือยังครับ ??

จริงอยู่..แม้แต่ในโลกมนุษย์ของเรานี้
แม้ว่าพ่อ-แม่-ครู-อาจารย์ของเราเองแท้ๆ
ท่านก็ไม่ได้รู้แจ้งโลกไปซะทุกอย่างหรอก
แต่ที่แน่ๆ คือ "ท่านรู้มากกว่าเรา" และสอนเราได้แน่นอน
(เมื่อเทียบกับเราซึ่งเกิดมาทีหลังท่าน)
ดังนั้น..อย่างไรเสีย เราก็สมควรที่จะรับเอา
คำสั่งสอนของพวกท่านไว้นำมาประพฤติปฏิบัติ
ไม่เสียหลาย..

ประเด็นนี้ผมไม่เถียง..และผมก็เข้าใจได้ดีแล้ว

แต่ที่ยังแคลงใจ..ก็ด้วยติดกับความคิดที่ว่า
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระองค์ทรงเป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง
พระองค์ทรงเป็นสรรพัญญูพุทธะ (เขียนไม่ถูก)
และพระองค์ก็เคยกล่าวว่า "ไม่มีพระเจ้า ผู้สร้างโลก"
(หากข้อความที่พระไตรปิฎก บอกว่าพระองค์กล่าวไว้
เป็นความจริง ว่าพระองค์กล่าวไว้จริงๆนะครับ)

แล้ว..อย่างนี้ใครจะรู้มากกว่ากัน
เราควรจะเชื่อใครมากกว่ากัน
เน้นนะครับว่า..เราควรจะเชื่อใครมากกว่ากัน
ผมไม่ได้พูดว่า "เราควรเชื่อใครดี" นะครับ
เพราะผมเชื่อว่า ทุกฝ่ายมีส่วนพูดถูกหมด แต่
ใครถูกในประเด็นไหน และถูกที่สุด

(อีกแล้ว แม้ว่าหลายท่านจะพยายามบอกผมว่า
อย่าเอามาเปรียบเทียบก็เถอะ..
แต่ผมขอใช้สิทธิ์ของผมนะครับ)

เดี๋ยวจะมาต่อครับ

 

(f) พี่นักเขียนขอต้อนรับคุณ Jintawadee สู่ห้องวิทย์ฯค่ะ (bb-flower

พี่นักเขียนขอตอบคำถามให้ท่านอาจารย์อนาลัย ในฐานะนักเขียนผู้ทำหน้าที่ล่ามและเลขาให้ท่านนะคะ

ก่อนอื่นขอตอบคุณ Jintawadee พร้อมกันกับขอเน้นความเป็นจริงที่ว่า หนังสือชุดของท่านอาจารย์อนาลัยไม่ได้อิงศาสนาใด และพี่นักเขียนเองก็ไม่ใ่ช่ผู้ชำนาญการในศาสนาใดเป็นพิเศษ แต่หนังสือชุดของท่านอาจารย์อนาลัย เป็นข้อมูลความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติความเป็นจริงของจิตวิญญาณซึ่งพี่นักเขียนรับถ่ายทอดมาจากความฝัน

ข้อมูลความรู้ที่ปรากฏให้หนังสืออาจคล้องจองกับสาระที่เราคุ้นเคยในบางศาสนา หากคุณ Jintawadee มองเห็นจุดมุ่งหมาย หรือแนวทางเหมือนกันจากหนังสือ แม้จะต่างในวิธีฝึกฝนไปบ้างก็ตาม พี่นักเขียนก็เชื่อว่าคงจะได้ประโยชน์สุขจากหนังสือไม่น้อยไปกว่าท่านผู้อ่านอื่นๆซึ่งนับถือศาสนาอื่นๆ และมองเห็นจุดมุ่งหมาย หรือแนวทางเหมือนกันจากหนังสือได้เช่นกัน กล่าวได้ว่า ข้อมูลความรู้ในหนังสือเป็นสาระที่เกี่ยวกับธรรมชาติของจิตวิญญาณล้วนๆ ไม่ได้อ้างอิง หรือเกี่ยวกับศาสนาใดๆ

ความกลัวของคนเรามักเกิดจากความไม่รู้ เช่น ไม่รู้ถึงที่มาของสิ่งที่เรากำลังเผชิญอยู่ ไม่รู้ที่ไปของสิ่งที่เรากำลังเผชิญอยู่ หรือ เกิดจากความเชื่อที่ว่าเราไม่รู้อดีตและมองไม่เห็นอนาคต เป็นต้น ยกตัวอย่าง หากเรากำลังเผชิญกับบุคคลแปลกหน้า เราไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร มีประวัติความเป็นมาในอดีตอย่างไร เขาจะทำอะไรกับเราต่อไป เราก็อาจจะตกอยู่ในความกลัวว่า เราอาจเป็นอันตราย อยู่ๆมีเสือมาปรากฏในสภาพแวดล้อมของเรา โดยที่เราไม่รู้ว่ามันมาจากไหน เราก็ย่อมตกใจกลัว เป็นต้น แต่ถ้าหากเรารู้ว่าบุคคล สิ่งของ เหตุการณ์ หรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆที่มาปรากฏให้เรารู้เห็นเป็นใคร คืออะไร มาจากไหน มีประวัติความเป็นมาอย่างไร เหตุใดจึงมาอยู่ตรงหน้าเรา ความกลัวก็ย่อมไม่มี

เมื่อเราได้ยินเสียงที่ผู้อื่นไม่ได้ยิน แต่สัตว์รับรู้ได้ ตามหลักการวิทยาศาสตร์ก็อ้างอิงได้ว่าที่มาของเสียงนั้นเป็นไปได้ 2 ทิศทางคือ :
1. เป็นเสียงที่มีคลื่นความถี่เกินขอบเขตที่หูของเราจะรับได้ แต่หูหรืออวัยวะที่รับการสั่นสะเทือนของสัตว์รับได้ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นเสียงที่ยังเป็นกายภาพ รับได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า หรือหูทางกายภาพของเรา ซึ่งเสียงในลักษณะนี้ ตามหลักวิทยาศาสตร์พบว่า แม้คนเราซึ่งอายุต่างวัยกัน ก็รับคลื่นเสียงได้ต่างกัน เด็กเล็กจนถึงวัยไม่เกิน 12 ขวบ สามารถได้ยินเสียงที่มีคลืนความถี่ซึ่งสุนัขได้ยินได้ แต่ผู้ใหญ่ไม่อาจได้ยินได้ เป็นต้น แต่ก็มีผู้ใหญ่บางคนที่ยังคงมีความสามารถเช่นนี้ต่อไป แม้อายุจะล่วงเลยวัยกลางคนไปแล้วก็ตาม

2. เป็นเสียงที่อยู่นอกเหนือที่ประสาทสัมผัสทั้งห้าจะรับได้
เสียงในลักษณะที่ 2 นี้ รับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสภายใน หรือประสาทสัมผัสที่หก ซึ่งถ้าหากจะกล่าวให้ถูกต้องตามธรรมชาติความเป็นจริงของการรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสที่หก อาจกล่าวได้ว่ารู้สึกได้ถึงเสียง เพราะการรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสที่หกนั้นไม่ได้เป็นไปด้วยหูจริงๆ เช่นเดียวกับการได้ยินเสียงภายใน เสียงในความคิดคำนึง ล้วนเป็นการรู้สึกถึงเสียง หรือรู้เห็นได้ด้วยอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด

คุณ Jintawadee สามารถขจัดความกลัวได้ไม่ยาก ด้วยการพิจารณาและศึกษาให้รู้ถึงที่มา ที่ไปของสิ่งที่เราเผชิญอยู่ หากกลัวสิ่งที่มองไม่เห็นพิสูจน์ไม่ได้ เช่น จิตวิญญาณ ก็ศึกษาหาความรู้ได้เช่นกันทั้งจากหนังสือ และจากห้องวิทย์ฯ ซึ่งเต็มไปด้วยนักอ่านที่เต็มใจเสนอแนะและให้ข้อมูลมากมายกับคุณ Jintawadee

การอ่านหนังสือของท่านอาจารย์อนาลัย จำเป็นต้องอ่านอย่างมีสมาธิ เพราะข้อมูลที่บรรจุอยู่ในหนังสือค่อนข้างลึกกว่าหนังสืออ่านเล่นทั่วไป หากอ่านด้วยสมาธิและเข้าใจได้จริง จะพบข้อมูลความรู้ทำให้ความกลัวหายไปได้มาก เพราะจะทำให้คุณ Jintawadee รู้ถึงที่มา ที่ไปอันเป็นธรรมชาติความเป็นจริงของส่ิงที่เรามักคิดว่า เป็นสิ่งลี้ลับ เหนือมนุษย์ มีอำนาจประหลาดที่ทำให้เราเป็นไป หรือควบคุมเรา หากเราศึกษาและเข้าใจสิ่งเหล่่านี้ได้อย่างแท้จริง ความกลัวทั้งหลายจะสลายตัวไป เพราะเราจะตระหนักได้ว่า พลังอำนาจทั้งหลายที่ทำให้ชีวิตของเราเป็นไป และพลังอำนาจทั้งหลายที่สร้างประสบการณ?์ต่างๆให้เราต้องเผชิญกับมันนั้น อยู่ภายในตัวตนของเราเอง อดีตจึงเป็นสิ่งที่เราหวาดระแวง ก็แก้ไขได้ อนาคตที่น่าสะพึงกลัวก็เป็นสิ่งที่เราสร้างสรรค์ได้

หากคุณ Jintawadee ศึกษาหนังสือชุดของท่านอาจารย์อนาลัย โดยเฉพาะเรื่อง อมตะแห่งจิตวิญญาณ และ โลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติ จะทำให้เข้าใจได้ดึขึ้นถึงที่มา ที่ไป ของสิ่งต่างๆที่เรารู้เห็นได้นอกเหนือประสาทสัมผัสทั้งห้า เพราะมันเป็นเพียงความเป็นไปอันเป็นธรรมชาติ ซึ่งตามปกติแล้ว เราทุกคนควรจะรู้ได้ เห็นได้ แต่น้อยคนจะกล่าวถึงหรือยอมรับว่ารู้ ว่าเห็น หรือมั่นใจว่ารู้ ว่าเห็น

เมื่อเราปราศจากข้อยืนยันสนับสนุนจากผู้อื่่น จึงทำให้คุณ Jintawadee เกิดความกลัวในความแปลกแยกนั้น หากศึกษาและเข้าใจได้ในธรรมชาติความเป็นจริงเหล่านี้ นอกจากความกลัวจะหมดไปแล้ว คุณ Jintawadee จะพบด้วยว่า เราสามารถนำสิ่งที่รู้เห็นเหล่านั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อีกด้วย

ห้องวิทย์ฯ เป็นสถานพบปะพิเศษที่เรารับฟังปัญหา แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันค่ะ มาถูกที่แล้วหละค่ะ ถ้าไม่หายกลัว คงไม่มีใครปล่อยให้กลับออกไปนอกห้องวิทย์ฯแน่ๆจนกว่าจะช่วยกันแก้ปัญหาได้สำเร็จนะคะ (rose)

 

ต่อครับ..

ผมขอยกเอาความคิดของผม ที่ได้ตั้งสมมุติฐาน หรือข้อสงสัยเอาไว้แล้ว
บนพื้นฐานของ "ความเป็นไปได้ อันหลากหลาย อย่างเป็นอนันต์"
ตามความเข้าใจของผมว่า..

จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเจ๊กิ้งก่า ตามกระทู้ของคุณ Zipper พูดไว้ถูกต้อง
(เอ่อ..กระทู้ชื่อ "คำแปลบทสัมภาษณ์ Lacerta ชาวโลกอีกเผ่าพันธุ์นึง"
อยู่ในห้องวิทย์นี่แหละ แต่ตอนนี้ไม่รู้ถูกดันตกไปอยู่หน้าไหนแล้ว)

ว่า..

..มนุษย์ต่างดาวบางเผ่าพันธุ์ ก็เล่นบทเป็นพระเจ้าของมนุษย์ด้วยซ้ำไป..

คือ พวกเขามีความสามารถมากมาย เพียงพอที่จะทำให้มนุษย์
ปุถุชน คนเดินดิน กินข้าวแกง อย่างเราๆท่านๆนี่ อึ้งกิมกี่ไป
กับความสามารถของพวกเขาได้ง่ายๆ เหมือนปอกกล้วยเลยทีเดียว
โดยเฉพาะในสมัยโบราณ ยิ่งเห็นรูปกายที่เขามาปรากฎให้เห็น
มีลำแสงพวยพุ่งออกมาสวยงาม สว่างไสว เหาะได้
แสดงปาฏิหารย์ต่างๆได้ จะพูดจะสอน จะบอกอะไร
มนุษย์ก็เชื่อได้ง่ายๆอยู่แล้ว..

แม้แต่บอกว่าเขาคือ "พระเจ้าผู้สร้างโลก" ก็ไม่แปลก

และถ้าเจตนาของมนุษย์ต่างดาวเหล่านั้น ต้องการให้มนุษย์เชื่อ
อย่างที่พวกเขาเชื่ออยู่ (ผมไม่ได้กำลังบอกว่าเขาเจตนาไม่ดีนะครับ)

มันจะเกิดอะไรขึ้น.??

และก็ด้วยความที่พวกเขามาเยือนโลกนี้นานแล้ว
พวกเขาคอยมองดูมนุษย์อยู่แทบจะตลอดเวลาอยู่แล้ว
ผมคิดว่า มันจะไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกอะไรเลย
ที่พวกเขาจะมีแผน 1 แล้วก็ตามด้วยแผน 2 แผน 3 และต่อๆไป
เพื่อตอกลงไป ย้ำลงไป ว่านี่คือ "ความจริงที่จริงแท้"

ขออนุญาตเตือนความจำของท่านผู้อ่านอีกครั้งนะครับ
ว่า..ที่ผมกำลังบอกท่านอยู่นี่ เป็นเพียงความคิดของผม
บนพื้นฐานแห่งความเป็นไปได้ที่เป็นอนันต์ เท่านั้น
ไม่ได้บอกว่า ผมเชื่อเช่นนี้นะ ผมเพียงต้องการ ถามว่า

"จะเกิดอะไรขึ้น..ถ้า ฯลฯ" เท่านั้น

ต่อครับ...

ดังนั้น..

- การที่ฝรั่งคนหนึ่ง นึกสงสัยอะไรบางอย่างแล้ว ก็เลยเขียน
คำถามลงบนกระดาษ แต่ปรากฎว่ามือของเขาเขียนคำตอบ
ออกมาได้เองอย่างไม่น่าเชื่อ และผู้ที่สื่อสารกับเขาอยู่
บอกกับเขาว่า..คือ "พระเจ้า"

- และการที่ฝรั่งอีกคนหนึ่ง (หรือเปล่านะ หรือเป็นคนเดียวกันกับตะกี้ไม่แน่ใจ
เพราะผมอ่านมานานแล้ว จากหนังสือชื่อ "ครายออนท์" มี 2 เล่ม
กล่าวถึงการมาเปิดเผยความจริงที่จริงแท้ และแจ้งข่าวเกี่ยวกับภัยพิบัติ
เหมือนกับกรณีของอาจารย์ปริญญาเลยครับ)
ก็ได้รับการสื่อสารจากจิตวิญญาณชั้นสูงจากนอกโลก
และบอกว่า ท่านคือ "พระเจ้า"

- การที่โมสาส ,พระเยซู , พระโมฮัมหมัด ,ศาสดาของศาสนาซิกซ์
(ผมจำชื่อไม่ได้ เคยอ่านหนังสือ "11 ศาสนาสำคัญของโลก" มานานแล้ว)

ตลอดจนศาสดาของศาสนาเชน (ไม่ใช่เซนนะครับ)

และล่าสุดของศาสดาของศาสนาบาไฮ
ก็ได้รับการสื่อสารทางจิตจากจิตวิญญาณชั้นสูงที่บอกว่า ท่านคือ "พระเจ้า"
........................................................
(ปล. ศาสนาบาไฮ ศาสนานี้เป็นศาสนาน้องใหม่ของโลก
เกิดที่อิหร่านเมื่อประมาณ 200 ปีมานี่เอง เชื่อในพระเจ้าเหมือนกัน
และเชื่อว่าพระเจ้าส่งพระบุตรลงมาสอนชาวโลกเป็นระยะๆ รวม 10 องค์แล้ว
นับตั้งแต่พระกฤษณะ,โมสาส,พระพุทธเจ้า,พระเยซู,พระโมฮัมหมัด,...,จนถึงศาสดาของเขา ผมจำชื่อไม่ได้ ซึ่งเป็นลำดับสุดท้าย ซึ่งพวกเขาเชื่อว่า
ศาสดาของเขานี้เองที่เป็นผู้ที่หลายๆศาสนารอคอยอยู่ เช่น

เป็นพระศรีอารย์ สำหรับพุทธ
เป็นพระเมสสิอาร์ (เขียนถูก?) สำหรับคริสต์ เป็นต้น)

ปัจจุบันนี้ ศาสดาของศาสนานี้เสียชีวิตแล้ว รู้สึกจะถูกอิสลาม
ขังแล้วขังอีก รุกรานแล้ว รุกรานอีก เหมือนที่ทำกับศาสนาอื่นๆ
นั่นแหละครับ
ที่ผมได้อ่านเรื่องราวของศาสนานี้ก็เพราะหนังสือชื่อหนังสือ
สะดุดตามาก เป็นเล่มสีเหลืองๆขนาดพ็อกเก็ตบุ๊ก แต่หนามากๆ
ชื่อ "พระเจ้าของพระพุทธเจ้า" และ "พระศรีอาริยเมตตรัยทรงอุบัติขึ้นแล้ว"
.......................................................

ทั้งหลายทั้งปวงนี้ ท่านผู้อ่านทุกท่าน
มันน่าจะอยู่นอกเหนือความสามารถของมนุษย์ต่างดาวกลุ่มนั้นได้ไหม ?

และถ้าในกรณีของอาจารย์ปริญญา และพี่นักเขียนอีกหละครับ
ถ้าเกิดว่า ท่านอาจารย์อนาลัย ไม่บอกพี่นักเขียนว่า
ให้เรียกท่านว่า "โนวา อนาลัย" แต่ให้เรียกท่านว่า "พระเจ้า"

ผมถามหน่อยเถอะครับว่า พี่นักเขียนจะรู้ได้ไหมครับว่า
แท้ที่จริงแล้ว ท่านเป็นใครกันแน่ เพราะที่ผมยกมากล่าว
ตั้งยืดยาวมานี้..เราไม่สามารถพิสูจน์ได้เลยว่า
ที่ท่านบอกว่า ท่านเป็นโน่น เป็นนี่ แล้วเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่

คงต้องยอมรับว่า..เอ๊า !! พระเจ้า ก็พระเจ้า กระมัง..
จะเอาอะไรมาพิสูจน์หละครับ..

แน่นอนหละ คำสอนเหล่านั้น ไม่มีอะไรที่ไม่ดีเลย
ทุกๆคำสอนล้วนเป็นไปด้วยความรัก ความเมตตา
เป็นไปเพื่อความสุขของมนุษย์ และ ฯลฯ


(b-hmm)