ถาม ตอบ มีสาระ

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย telwada, 5 ตุลาคม 2007.

แท็ก: แก้ไข
  1. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    quote="bad&good"]1. ท่านอายุเท่าไรแล้ว
    คำตอบ "แล้วคุณละอายุเท่าไหร่ ถ้าจะให้ประมาณอายุของคุณ คงไม่เกิน 65 ละซินะ
    ถ้าคุณอายุ ตั้งแต่ 60 -65 ข้าพเจ้าอายุน้อยกว่าคุณหลายปี

    2. ท่านยังไม่ตอบข้าพเจ้าเลย ว่า พระพุทธเจ้าท่านตรัสอย่างไร ที่จะทำให้พ้นกิเลสสิ้นเชิง เพราะได้เห็นแล้วซึ่ง ภพสวรรค์ แล้วจึงหมดกิเลส ใช่หรือไม่
    คำตอบ,, คุณถามข้าพเจ้าเมื่อไหร่ละ ไม่ได้อ่าน และ คำถามของคุณนั้น หมายถึงพระพุทธเจ้าพระองค์ไหน พระพุทธเจ้าเกิดไปแล้ว 4 พระองค์แล้ว แต่พระพุทธเจ้าองค์ที่ 5 ไม่มีนะ เหตุเพราะศาสนาในโลก เกิดมีหลายศาสนา จึงเป็นหน้าที่ของข้าพเจ้าที่ต้องมาแก้ไขศาสนาให้ถูกต้อง
    ส่วนคำถามที่ว่า พระพุทธเจ้าตรัสอย่างไร ที่จะทำให้พ้นจากกิเลสสิ้นเชิง นั้น ขอตอบว่า การที่บุคคลจะพ้นจากกิเลสอย่างสิ้นเชิงได้นั้น ต้องประกอบไปด้วย "การเอาใจจดจ่อในสิ่งนั้นหรือเอาใจฝักใฝ่ในสิ่งนั้น หรือสมาธิ" 2.ต้องประกอบด้วย "ญาณ" คือความรู้ทั้งหลาย อันเกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิตของบุคคล"3.ต้องประกอบด้วย วิธีการปฏิบัติ หรือการปฏิบัติ อันเรียกว่า วิปัสสนา
    คำตอบข้างต้นนี้เป็นหลักการเป็นหลักธรรมหัวข้อใหญ่ สามารถจะแยกแยะรายละเอียดได้อีกว่า หากคุณต้องการหลุดพ้นจากสิ้นเชิง ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ (หมายความว่า การหลุดพ้นจากกิเลสอย่างสิ้นเชิงนั้น มี 2 รูปแบบ คือ ตาย อย่างหนึ่ง) คุณก็ต้องรู้จักขจัดอาสวะแห่งกิเลส การขจัดอาสวะให้แห่งกิเลสให้สิ้นนั้น จะต้องประกอบด้วยปัจจัยดังที่ได้กล่าวไปแล้ว หรือคุณจะต้องรู้หลักการหรือหลักธรรมะ ที่เรียกว่า" เครื่องดิ้นรน อันมี องค์ 8 ซึ่งได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค"ได้แก่
    1.ระลึก 2.ดำริ
    3. สรรพอาชีพ 4. ประพฤติ
    5.กตัญญู 6. เจรจา
    7. ทาน 8.การครองเรือน
    ถ้าคุณไม่เข้าใจในหลักธรรมทั้งหลายเหล่านั้น ก็ถามได้จะอธิบายให้ฟังบ้างเล็กน้อย
    3.ถ้า ใช่แล้ว
    ผู้ที่บรรลุธรรม ไม่เคยพบเห็นภพสวรรค์ ไม่เคยพบเทพทางด้านพราหมณ์-ฮินดู
    เช่นนั้น ถือว่ากิเลส น้อยลงใช่หรือไม่
    คำตอบ การบรรลุธรรม ก็ไม่ได้เกี่ยวของกับการเห็นภพสวรรค์อยู่แล้ว และเทพเจ้าทางด้านพราหมณ์ ฮินดู ก็ไม่ได้เกี่ยวของกับการบรรลุธรรม แต่เกี่ยวข้องในฐานะ เป็นผู้สร้างธรรมะ เป็นผู้สร้างหลักการทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นหลักวิชาการ หรือธรรมะ รวมไปถึงหลักปฏิบัติด้วย

    4.ถ้าผู้ใฝ่พุทธธรรม กลับเห็นเทพทางญี่ปุ่น เทพทางคริสตจักร แต่ไม่เห็นเทพทางพราหมณ์-
    ฮินดู เช่นนั้น ถือว่ากิเลส น้อยลงใช่หรือไม่
    คำตอบ ไม่เกี่ยวกันนะคุณ ข้าพเจ้าเอง ก็เห็น พระเยซู พระอัลเลาะห์ เห็น เจ้าแม่กวนอิม ฯลฯ อยู่บ่อยครั้ง ก็ไม่เกี่ยวกับกิเลสอะไร มันอยู่ที่ตัวคนว่าจะรู้จักกิเลสหรือไม่ อย่างคุณไม่รู้ว่ากิเลสคืออะไร ก็ย่อมมีกิเลส คนที่เขารู้เขาก็ขจัดกิเลสได้

    5.การที่ท่าน จะมาแจ้งเหตุการณ์ที่ท่านพบเห็น ต่อคนสามัญชนคนธรรมดาเช่นข้าพเจ้า หรือผู้อื่น ท่านไม่กลัวถูกตำหนิว่า สติสมปฤดี หรือเปล่า
    คำตอบ แล้วคุณจะพิสูจน์ไหมละว่า ข้าพเจ้ายังสติสัมปชัญญะครบถ้วนทุกประการ แถมยังกล้าท้าให้พิสูจน์ด้วยว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้บรรลุธรรมชั้น อรหันต์เป็นอย่างต่ำ

    6. ท่านไม่สงสัยเลยหรือว่า เหตุใดพระพุทธเจ้ามักไม่ตรัสต่อบุคคล สามัญชนธรรมดา ว่าพระองค์เห็น เทพ มาร อยู่เนือง ๆ แล้วกิเลสจะลดลง แล้วถือว่าพ้นทุกข์
    คำตอบ คำพูดแบบคุณนะ เป็นคำพูดของคนที่เรียนด้านเปรียญธรรม มาก่อนอย่างน้อยๆก็ เปรียญ 3ขึ้นไป ชอบเอาพระพุทธเจ้ามาอ้าง แล้วคุณเคยเห็นเคยได้ยิน พระพุทธเจ้าที่กล่าวถึงพูดหรือตรัสว่าอย่างไรบ้างกันละคุณ หัดใช้สมองพิจารณาถึงหลักความจริงซะบ้าง ข้าพเจ้าไม่ได้กล่าวว่า ถ้าได้เห็นเทพเจ้าหรือหรือพิฆเณศน์แล้วกิเลสจะลดลง แต่การที่ได้เห็นพระพิฆเณศน์ และได้ลอยขึ้นไปนั่งบนตัก ของพระองค์"ทำให้หายสงสัย"

    "ความสงสัยคือกิเลส เมื่อได้เห็นแล้ว ความสงสัยก็หมดไป กิเลสก็ย่อมหมดไปด้วย"
    มันก็ไม่พ้นคำที่ข้าพเจ้าสอนคุณ คือไม่รู้จักอ่านบริบทของภาษาให้ดี เหมือนเดิมนั่นแหละคุณ (ไม่รู้ว่าอ่านแล้วจะเข้าใจอีกหรือไม่ เพราะมันยาวคงขี้เกียจอ่าน)
     
  2. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    ถาม
     
  3. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    ในบรรดาพระศรีฯหลายๆท่าน ที่ปรากฏใน Web นี้ ลุงเทวดาน่าสนใจที่สุด
    ด้วยน่าจะให้ความรู้ผมเพิ่มเติมได้

    เมื่อลุงตั้งกระทู้นี้ ผมจึงขอโอกาส ขอความรู้จากลุงเพิ่ม

    ผมได้วางใจเฝ้าดูกิเลส อยู่นานพอดู จนรู้เห็นขบวนการเกิดขึ้น การดำเนินไป และจบลง ของบรดากิเลสทั้งปวง และด้วยเคยเป็นวิศวกร จึงเกิดแรงบันดานใจทดลองเข้าไปตัดต่อพันธุกรรมการเกิดของกิเลส เพื่องลองเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างดู ปรากฏว่าทำได้ แลยเล่นอยู่กับมันด้วยความสนุก จนอาจกล่าวได้ว่าทำให้สามารถควบคุมมันได้ แปรเปลี่ยนเวทนาจากที่ควรเป็นให้เป็นสิ่งตรงข้ามได้ ในสายตาผู้อื่น ดุจดังเป็นคนวิปลาส

    ทีนี้เกิดความสงสัย ขอตั้งคำถามลุงว่า
    "ผมควรจะตัดกิเลสทิ้งไปแบบไม่เหลือเชื้อ หรือควรเก็บเอาไว้ใช้งานดี"

    ขอคำตอบด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 ตุลาคม 2007
  4. Khaning

    Khaning เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2007
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +197
    ตัดต่อยังไงคะ เผื่อจะหัดทำบ้าง?
     
  5. thanawh

    thanawh เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    722
    ค่าพลัง:
    +128
    ก็ตัดต่อแบบหนังน่ะครับ
     
  6. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    คำถามของคุณนั้น ถ้าคุณได้อ่านกระทู้ของข้าพเจ้าในเคสนี้อย่างละเอียด และได้คิดพิจารณาแล้วก็น่าจะเกิดความเข้าใจในเรื่องของกิเลสบ้าง ถ้าคุณคิดว่าคุณตัดต่ออะไรของคุณนั้นได้จริง ศัพท์ภาษาที่คุณนำมาใช้ และวิธีการปฏิบัติ ข้าพเจ้าเองก็ไม่รู้ว่าคุณทำอย่างไร ที่คุณเรียกว่าตัดต่อ
    แต่คำถามของคุณ ก็ควรค่าต่อการแนะนำ และให้ความเข้าใจกับคุณ และต่อผู้ที่ได้แวะเวียนเข้ามาอ่าน ได้เป็นอย่างดี
    คำตอบ------ กิเลส ในทางศาสนาพุทธนั้น หมายถึง ความโลภ ความโกรธ ความหลง ซึ่งสามารถแยกแยะรายละเอียดแห่งการเกิด ความโลภ ความโกรธ ความหลง ได้อีกเยอะแยะ มีทั้งอย่างบาง อย่างหนา อย่างหยาบ อย่างละเอียด นี้หมายถึงกิเลสนะขอรับ
    กิเลส เป็นธรรมชาติของมนุษย์(และอื่นๆ ในที่นี้หมายเอาเฉพาะมนุษย์) ไม่มีผู้ใดไม่มีกิเลส จะมีมาก จะมีน้อย จะมีอย่างหยาบ จะมีอย่างละเอียด จะมีอย่างหนา อย่างบาง ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ขอย้ำว่า ทุกคนล้วนมีกิเลส
    เพราะตราบใดที่ทุกคนยังอยู่ในโลก กิเลสย่อมเกิดขึ้นในจิตใจ แต่ในทางศาสนาพุทธย่อมมีวิธีการขจัดกิเลส ตั้งแต่ระดับปุถุชนคนทั่วไป จนไปถึงระดับอริยะบุคคล วิธีการขจัดอาสวะแห่งกิเลสนั้น ก็ย่อมแตกต่างกันไปตาม ความรู้ ความเข้าใจ และสมองสติปัญญา ของแต่ละบุคคล และวิธีการขจัดอาสวะแห่งกิเลสของระดับปุถุชนคนธรรมดา ก็ยังแตกต่างจากวิธีการขจัดอาสวะแห่งกิเลสของบุคคลระดับอริยะบุคคล ทั้งนี้ก็ด้วยเหตุที่ได้กล่าวไปแล้วว่า ขึ้นอยู่กับ ความรู้ ความเข้าใจ และระดับสมองสติปัญญา
    การจะขจัดอาสวะแห่งกิเลสให้สิ้น โดยไม่เหลือเชื้อนั้น จะมีบุคคลจำพวกเดียวที่กระทำได้ คือบุคคลที่บรรลุนิพพาน หรือปรินิพพาน เท่านั้น เพราะ ผู้บรรลุนิพพานนั้น จะมีเกราะป้องกัน อันเป็นคลื่นคล้ายสนามแม่เหล็กป้องกันมิให้คลื่นกิเลสจากภายนอกเข้าสู่ร่างกาย และภายในร่างกายก็จะมีการขจัดคลื่นต่างๆ ไม่ว่าคลื่นความคิด อารมณ์ ความรู้สึก มิให้เกิดขึ้น
    ถ้าเป็นระดับอรหันต์ คลื่นต่างๆที่ทำให้เกิดกิเลสนั้น ยังสามารถไหลเข้าสู่ร่างกายได้ แต่ก็สามารถขจัดออกไปได้ เช่นกัน
    ถ้าเป็นการขจัดอาสวะแห่งกิเลสให้สิ้นในระดับปุถุชนคนธรรมดาขึ้นไป ก็คือการทำความเข้าใจ เรียนรู้
    "เครื่องดิ้นรนอันมีองค์ 8 ซึ่งได้แก่ ทุกข์,สมูทัย,นิโรธ,มรรค อันประกอบด้วย
    1.ทาน 2. การครองเรือน
    3.กตัญญู 4.เจรจา
    5.สรรพอาชีพ 6. ประพฤติ
    7.ระลึก 8. ดำริ

    หากบุคคลได้เรียนรู้ และทำความเข้าใจในหลักธรรมหรือหลักการที่ได้กล่าวไปแล้วนี้ ก็จะสามารถขจัดอาสวะแห่งกิเลสได้ในระดับหนึ่ง
    หากท่านทั้งหลายได้อ่านและคิดพิจารณาให้ดี ก็จะพบคำตอบที่ถามว่า "ควรจะตัดกิเลสทิ้งไปแบบไม่เหลือเชื้อ หรือควรเก็บเอาไว้ใช้งานดี"
    ถ้าจะให้ตอบแบบตรงไปตรงมา ก็คือ" ไม่มีมนุษย์คนไหน ตัดกิเลสทิ้งไปแบบไม่เหลือเชื้อได้เลย" เพราะมันเป็นธรรมชาติของมนุษย์(และอื่นๆ)
    แต่ถ้าคุณอยากจะ ตัดกิเลสทิ้งแบบไม่เหลือเชื้อ คุณก็ต้อง
    1. ตายไปจากโลกนี้ (ไม่ได้แนะนำให้คุณตายนะขอรับ)
    2. ศึกษา วิธีการ หลักการหรือหลักธรรม และฝึกฝนปฏิบัติ แต่ก็ต้องใช้เวลา ซึ่งก็แล้วแต่สมองสติปัญญา ความรู้ ความเข้าใจ ฯลฯ
     
  7. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    ตอนที่ 7
    กิเลส ในทางศาสนาพุทธนั้น หมายถึง ความโลภ ความโกรธ ความหลง ซึ่งสามารถแยกแยะรายละเอียดแห่งการเกิด ความโลภ ความโกรธ ความหลง ได้อีกเยอะแยะ มีทั้งอย่างบาง อย่างหนา อย่างหยาบ อย่างละเอียด นี้หมายถึงกิเลสนะขอรับ
    กิเลส เป็นธรรมชาติของมนุษย์(และอื่นๆ ในที่นี้หมายเอาเฉพาะมนุษย์) ไม่มีผู้ใดไม่มีกิเลส จะมีมาก จะมีน้อย จะมีอย่างหยาบ จะมีอย่างละเอียด จะมีอย่างหนา อย่างบาง ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ขอย้ำว่า ทุกคนล้วนมีกิเลส
    เพราะตราบใดที่ทุกคนยังอยู่ในโลก กิเลสย่อมเกิดขึ้นในจิตใจ แต่ในทางศาสนาพุทธย่อมมีวิธีการขจัดกิเลส ตั้งแต่ระดับปุถุชนคนทั่วไป จนไปถึงระดับอริยะบุคคล วิธีการขจัดอาสวะแห่งกิเลสนั้น ก็ย่อมแตกต่างกันไปตาม ความรู้ ความเข้าใจ และสมองสติปัญญา ของแต่ละบุคคล และวิธีการขจัดอาสวะแห่งกิเลสของระดับปุถุชนคนธรรมดา ก็ยังแตกต่างจากวิธีการขจัดอาสวะแห่งกิเลสของบุคคลระดับอริยะบุคคล ทั้งนี้ก็ด้วยเหตุที่ได้กล่าวไปแล้วว่า ขึ้นอยู่กับ ความรู้ ความเข้าใจ และระดับสมองสติปัญญา
    การจะขจัดอาสวะแห่งกิเลสให้สิ้น โดยไม่เหลือเชื้อนั้น จะมีบุคคลจำพวกเดียวที่กระทำได้ คือบุคคลที่บรรลุนิพพาน หรือปรินิพพาน เท่านั้น เพราะ ผู้บรรลุนิพพานนั้น จะมีเกราะป้องกัน อันเป็นคลื่นคล้ายสนามแม่เหล็กป้องกันมิให้คลื่นกิเลสจากภายนอกเข้าสู่ร่างกาย และภายในร่างกายก็จะมีการขจัดคลื่นต่างๆ ไม่ว่าคลื่นความคิด อารมณ์ ความรู้สึก มิให้เกิดขึ้น
    ถ้าเป็นระดับอรหันต์ คลื่นต่างๆที่ทำให้เกิดกิเลสนั้น ยังสามารถไหลเข้าสู่ร่างกายได้ แต่ก็สามารถขจัดออกไปได้ เช่นกัน
    ถ้าเป็นการขจัดอาสวะแห่งกิเลสให้สิ้นในระดับปุถุชนคนธรรมดาขึ้นไป ก็คือการทำความเข้าใจ เรียนรู้
    1. การฝึกการเอาใจจดจ่อในสิ่งนั้นหรือการฝึกเอาใจฝักใฝ่ในสิ่งนั้น เพื่อให้เกิด สมาธิ
    2. ญาณ คือความรู้ยิ่ง อันหมายถึง ความรู้ในหลักการหรือหลักธรรมะซึ่งล้วนเป็นหลักการทางธรรมชาติที่มีอยู่ในสรรพสิ่งทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต
    3. วิปัสสนา คือ การแปลงความรู้หรือญาณอันประกอบด้วยสมาธิเป็นการปฏิบัติโดยอัตโนมัติ
    ความรู้หรือญาณ ชั้นพื้นฐาน หรือชั้นหลักการใหญ่ หรือหัวข้อหลักได้แก่
    "เครื่องดิ้นรนอันมีองค์ 8 ซึ่งได้แก่ ทุกข์,สมูทัย,นิโรธ,มรรค อันประกอบด้วย
    1.ทาน 2. การครองเรือน
    3.กตัญญู 4.เจรจา
    5.สรรพอาชีพ 6. ประพฤติ
    7.ระลึก 8. ดำริ

    หากบุคคลได้เรียนรู้ และทำความเข้าใจในหลักธรรมหรือหลักการที่ได้กล่าวไปแล้วนี้ ก็จะสามารถขจัดอาสวะแห่งกิเลสได้ในระดับหนึ่ง
    หากท่านทั้งหลายได้อ่านและคิดพิจารณาให้ดี ก็จะพบคำตอบที่ถามว่า "ควรจะตัดกิเลสทิ้งไปแบบไม่เหลือเชื้อ หรือควรเก็บเอาไว้ใช้งานดี"
    ถ้าจะให้ตอบแบบตรงไปตรงมา ก็คือ" ไม่มีมนุษย์คนไหน ตัดกิเลสทิ้งไปแบบไม่เหลือเชื้อได้เลย" เพราะมันเป็นธรรมชาติของมนุษย์(และอื่นๆ)
    แต่ถ้าคุณอยากจะ ตัดกิเลสทิ้งแบบไม่เหลือเชื้อ คุณก็ต้อง
    1. ตายไปจากโลกนี้ (ไม่ได้แนะนำให้คุณตายนะขอรับ)
    2. ศึกษา วิธีการ หลักการหรือหลักธรรม และฝึกฝนปฏิบัติ แต่ก็ต้องใช้เวลา ซึ่งก็แล้วแต่สมองสติปัญญา ความรู้ ความเข้าใจ ฯลฯ
     
  8. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    สาธุ..... ลุงตอบได้กินใจมาก เราคงเป็นมิตรและคุยกันได้ยาวนาน

    "เครื่องดิ้นรนอันมีองค์ 8 ซึ่งได้แก่ ทุกข์,สมูทัย,นิโรธ,มรรค อันประกอบด้วย
    1.ทาน 2. การครองเรือน
    3.กตัญญู 4.เจรจา
    5.สรรพอาชีพ 6. ประพฤติ
    7.ระลึก 8. ดำริ


    เออ.. เห็นลุงอนุญาติให้ถามได้ในเรื่องมรรค มีองค์แปด ผมอยากรู้เพิ่ม ขอลุงช่วยขยายความด้วย

     
  9. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543

    ในกระทู้นี้ผมเป็นเพียงนักเรียน ขอเรียนรู้จากลุงเทวดาอยู่
    หากอธิบายตอบคุณไป ก็จะเป็นการไม่เคารพเจ้าของกระทู้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ตุลาคม 2007
  10. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    เอาข้อที่คุณไม่เข้าใจจริงๆ จะดีกว่า ข้อไหนที่พอจะเข้าใจก็ไม่ต้อง ถ้าไม่เข้าใจหรือต้องการให้ขยายความในข้อไหน ก็บอกมา
    และคุณอธิบาย เกี่ยวกับตัดต่ออะไรของคุณนั่น ไม่ต้องเกรงใจ เพราะชื่อกระทู้ก็บอกอยู่แล้วว่า "ถามตอบ มีสาระ"
     
  11. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    เอ้อ........ความจริงจะว่าไม่เข้าใจก็ไม่ได้ครับ พอจะรู้อยู่บ้างทุกตัว
    แต่ว่าต่างคนต่างความคิด...ต่างความเห็น
    จึงอยากได้แนวความคิดเห็นของลุงเทวดาบ้าง

    ด้วยภูมิรู้เหนือชั้นของลุงเทวดา อาจมีข้อคิดเห็นบางอย่างที่ไม่เหมือนไคร
    และอาจกระตุ้นความรู้ใหม่ๆให้เกิดกับตัวผมได้
    จึงเป็นเหตุให้ผมถามลุงครับ
    ถ้าจะกรุณา อธิบายเพิ่มด้วยครับ น้อมรับฟัง

    ส่วนเรื่องการตัดต่อพันธุกรรมของ(สังขารธรรมของ)กิเลส นั้น
    ผมยินดีเล่าให้ฟังครับ
    แต่ตอนนี้ขอไว้ก่อนนะครับเรื่องมันยาว ต้องปูพื้นก่อน ไม่งั้น ไม่รู้เรื่อง เถียงกันตาย
    สัญญาครับ จะมาเล่าให้ฟังในกระทู้นี้ ถ้าลุงยินยอม
     
  12. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    คุณ suwi คุณอ่านหลักการหรือหลักธรรมะของข้าพเจ้าแล้ว คุณคิดว่าหลักการหรือหลักธรรมะของข้าพเจ้านั้น เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาจากพื้นฐานความคิดที่ไม่เหมือนผู้คน ไม่ใช่สิ่งธรรมชาติอย่างนั้นหรือ หลักการหรือหลักธรรมะ ทั้ง 4 คู่ 8 ข้อที่ได้กล่าวไปในตอนก่อนแล้วนั้น เป็นแม่แบบ แม่บทแห่งพระไตรปิฎก นะคุณ เป็นหลักการหรือหลักธรรมะที่ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน บนโลก ในโลก หรืออยู่นอกเหนือจากโลกมนุษย์นี้ รับรองไม่มีทางหนีพ้นจากหลักการหรือหลักธรรมะของข้าพเจ้า อย่างเด็ดขาดและแน่นอน เพียงแต่หลักการหรือหลักธรรมะ ทั้ง 4 คู่ 8 ข้อนี้เป็นหลักการหรือหลักธรรมะทางศาสนาพุทธ ส่วนหลักการหรือหลักธรรมะของศาสนาอื่นก็มีเหมือนกัน แต่ช่วงระยะเวลานี้ ต้องเอาศาสนาพุทธก่อน ศาสนาอื่นค่อยว่ากันทีหลัง
    ดังนั้น เมื่อคุณได้เข้าใจแล้วว่า หลักการหรือหลักธรรมะของข้าพเจ้านี้ เป็นหลักธรรมชาติ เป็นหลักความจริงที่ไม่มีผู้ใด ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน หนีไม่พ้น
    คุณจะคิดอย่างไร ก็ถูกต้องทั้งนั้น เพียงแต่คุณจะคิดได้กว้างได้ไกลแค่ไหนก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง คุณจะคิดในแง่ที่ทางค่านิยมทางสังคมเรียกว่า "ดี" ก็ถูก คุณจะคิดในแง่ที่ทางค่านิยมทางสังคมเรียกว่า"ไม่ดี" ก็ถูก แต่จะทำให้คุณเกิดความทุกข์ หรือจะทำให้คุณเกิดความสุขหรือความสงบทั้งทางกาย ใจ มากน้อยเท่าไหร่ ก็ขึ้นอยู่กับสมองสติปัญญาของบุคคล อันนี้คุณควรได้ทำความเข้าใจไว้ จะได้ไม่หลงคิดว่า ข้าพเจ้ามีความคิด แบบหลุดโลก หรือบ้า หรือบ๊อง

    ส่วนคำว่า การตัดต่อพันธุกรรม ของกิเลสนั้น ข้าพเจ้าจะสอนคุณไว้ว่า ศัพท์ภาษาบางอย่าง ไม่สามารถนำมาใช้กับ พฤติกรรมทั้งทางกาย วาจา และใจ ได้
    เช่นคำที่คุณกล่าวมาว่า "การตัดต่อพันธุกรรม ของกิเลส" คุณตัดต่อพันธุกรรมของกิเลสไม่ได้ดอกนะ เพราะ กิเลส ไม่ใช่พันธุกรรม แต่กิเลสคือคลื่นไฟฟ้าที่เกิดจาก การได้เห็น ได้ยินไดฟัง แล้วเกิดเป็นความคิด แล้วเกิดเป็นอารมณ์ แล้วเกิดเป็นความรู้สึก
    เพราะหลักการ ตัดต่อพันธุกรรมนั้น เขาจะตัดเอาส่วนด้อย ออกไป เหลือไว้แต่ส่วนดี แล้วเอาส่วนดีของแต่ละพันธุกรรม อันเป็นพันธุกรรมชนิดเดียวกัน หรือพันธุกรรมที่สามารถเข้ากันได้ มาผสมกัน ได้เป็นพันธูกรรม ตัวใหม่
    เพราะฉะนั้น ต่อไปก็อย่าเอาสิ่งที่ไม่ควรใช้กับอีกสิ่งหนึ่งไปใช้อีกสิ่งหนึ่ง
    หากจะยกตัวอย่างให้เห็นชัด สิ่งที่คุณเพ้อเจ้อมานั้น ก็เหมือนกับ น้ำปลา แล้วคุณจะเอาน้ำปลา มาใส่ในของหวาน ประเภท รวมมิตร น้ำแข็งใส อย่างนี้เป็นต้น (บ้าละซินะ)
     
  13. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543

    ลุงครับ...ผมไม่เคยมีความคิดปรามาส หรือคิดว่าลุงหลุดโลก หรือบ๊องเลย
    ผมเคยติดตามอ่านผลงานของลุง ในหลายที่ แต่ผมพบแต่เพียงเปลือกแห่งธรรมมากมาย ที่ลุงได้ทิ้งไว้ให้ได้สัมผัส

    ลุงครับ เพียงเปลือกแห่งธรรมที่ลุงทิ้งไว้ให้ดูให้สัมผัส ผมยังได้กลิ่นหอมแห่งเนื้อธรรมที่ลุงตั้งใจทิ้งไว้ให้ ว่าน่าไขว่คว้าน่าศึกษามากเพียงไร
    ดังนั้นผมจึงมีความปรารถนาคุยกับลุง เพื่อให้ลุงแสดงเนื้อแท้แห่งธรรมให้ผมได้ศึกษา ได้เดินตามทางที่ลุงเคยเดินผ่านมาแล้วบ้าง

    หวังว่าลุงคงไม่หวงความรู้ ที่เป็นเนื้อแท้แห่งธรรมที่ลุง "ได้รู้เอง ได้เห็นเอง ได้สัมผัสเอง และได้เป็นเอง"
     
  14. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543


    ลุงครับ.. ที่ผมกล้าใช้คำว่า "การตัดต่อพันธุกรรมของกิเลส" นั้น เพราะพิจารณาแล้วมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ และคำนี้มันไกล้เคียงกับสิ่งที่ผมได้ทำและผลที่ได้รับ มากที่สุด เช่นผมตัดสัญญาแห่งเวทนาหนึ่ง (เช่นความเศร้า) ออกไป และนำสัญญาแห่งแห่งปิติเข้าแทนที่ สังขารธรรมที่ได้ก็แปรเปลี่ยนไป
    สิ่งที่แสดงออก ก็เพียงการหัวเราะ ฮึๆ..แทนการรำร้องไหยไห้น้ำตาฟูมฟาย

    ลุงครับ เดิมผมเป็นวิศวกรไฟฟ้า อิเล็คโทรนิค การสื่อสาร ผมยืนยัน สัญญานไฟฟ้าทุกอย่างผมตัดต่อได้ครับ ด้วยเทคโนโลยี่นี้ผมสามารตัดต่อ แปรเปลี่ยนสัญญานเสียงจากคนหนึ่งให้เป็นอีกคนหนึ่งได้ ดัดแปลงรูปลักณ์ของสัญญานต่างได้ ทั้งอนาล๊อก และดิจิทอล และผมก็ใช้ความรู้นี้นะครับมาประกอบกรศึกษาธรรมของผมเอง

    อีกประการ ลุงครับ น้ำปลาที่บ้านผมทำของหวานได้ครับ มะม่วงน้ำปลาหวาน ครับ
     
  15. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    ที่คุณกล่าวมาไม่ใช่การตัดต่อพันธุกรรม เพราะสัญญา หรือความจำนั้น อยู่ในสมองอยู่ในรูปของคลื่นไฟฟ้า เวทนา นั้น เป็นผลแห่งความจำ เกิดที่หัวใจ และเวทนาผลแห่งความจำอันเกิดที่หัวใจนั้น ก็จะส่งคลื่นไปสู่สมองอีกครั้งทำให้เกิดความคิด คุณไม่สามารถตัดทั้งสองอย่าง คือทั้งสัญญาและเวทนาได้ เพราะสัญญาหรือความจำนั้น เมื่อถูกเก็บไว้ในสมองแล้ว จะไม่สามารถตัดมันหรือลืมมันหรือลบมันได้ แต่ก็ถึงกับลบไม่ได้ ก็มีสัญญาหรือความจำบางชนิดลบได้ แต่เป็นความจำที่ไม่มีความจำเป็น ที่บุคคลลืมบางสิ่งบางอย่าง ไม่ใช่ว่า สัญญาหรือความจำถูกลบไป เพียงแต่สัญญาตัวนั้นๆถุกสัญญาตัวอื่นบดบังคือมีคลื่นที่แรงกว่าบดบัง บางครั้งอาจทำให้สัญญาตัวที่มีคลื่นอ่อนกว่านั้นถูกลบเลือนไป หากได้รับการกระตุ้น สัญญาตัวที่ว่าคลื่นอ่อนก็จะกลับมาอีก
    กิเลส เกิดจากประสบการ การเรียนรู้ การได้รับการขัดเกลาทางสังคมและสิ่งแวดล้อม แค่สิ่งที่คุณตอบมา ก็คือกิเลสแล้ว เขาเรียกว่าความหลง หากคุณไม่เข้าใจในเรื่องกิเลส ลองเข้าไปที่หมวด อภิญญา หากระทู้ " กิเลสในแง่มุมหนึ่ง"อ่านดู คงจะเกิดความเข้าใจได้บ้าง
    ข้าพเจ้าบอกคุณแล้วว่า ศัพท์ ภาษาเขามีไว้ใช้เฉพาะอย่าง ส่วนใหญ๋ศัพท์ภาษาในหลักวิชาการจะไม่นำมาใช้ปนเปกัน โดยเพื่อหวังความสนใจ หรือเพื่อหวังจะเป็นสิ่งแปลกใหม่
    คุณลองเข้าไปหมวดอภิญญา หาอ่านเรื่องที่ข้าพเจ้าเขียนไว้ คงจะเกิดความเข้าใจบ้าง
    การแปรเปลี่ยนสัญญาณ ที่คุณกล่าวมา ใช้ไม่ได้กับมนุษย์ เนื่องคลื่นไฟฟ้าในตัวมนุษย์ต่างจากคลื่นไฟฟ้าในทางวิทยุหรือเครื่องเสียง
    ที่คุณกล่าวว่า "ผมตัดสัญญาแห่งเวทนาหนึ่ง (เช่นความเศร้า) ออกไป และนำสัญญาแห่งแห่งปิติเข้าแทนที่ สังขารธรรมที่ได้ก็แปรเปลี่ยนไป
    สิ่งที่แสดงออก ก็เพียงการหัวเราะ ฮึๆ..แทนการรำร้องไหยไห้น้ำตาฟูมฟาย" นั่นไม่ใช่การตัดต่อพันธุกรรมกิเลส หรือตัดสัญญาหรือเวทนา
    แต่คุณมีสติ คือมีความระลึกได้ และสัมปชัญญะ คือความรู้ตัว ว่าสิ่งใดควรหรือสิ่งใดไม่ควร อันเกิดจากข้อมูลความจำ หรือประสบการณ์ หรือความจำเป็นใน บทบาทและหน้าที่ อันเป็นคลื่นไฟฟ้าอยู่ในสมอง ทำให้คุณแปลงคลื่นเหล่านั้นออกมาเป็นการประพฤติ ด้วยการ หัวเราะ แทนที่จะร้องไห้

    อนึ่งคุณคงมี แม่ หรือมารดานะ คุณไปถามแม่คุณหรือมารดาคุณนะว่า
    "น้ำปลาหวาน"ที่เขาใช้จิ้มมะม่วงนั้น เป็นของหวาน หรือของคาว
    ไม่รู้แต่ยังดันเขียนมาได้ ข้าฯละเซ็ง จริงๆวะ
     
  16. กิเลศเยอะ

    กิเลศเยอะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    192
    ค่าพลัง:
    +676
    ไอ้บ้า
    ไปไกลไป
    ไปบ้าไกลๆไป
    รำคาญ
     
  17. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    แล้วคุณไม่บ้าหรือ ไอ้,,,,,,,,,,รำคาญก็อย่าเข้ามาอ่านซิวะ ไอ้ พันธุ์ประเภทเวลาเดินเอาลำตัวขวางกับแผ่นดิน
    ใครใช้ให้คุณมึงเข้ามาอ่านวะ
     
  18. NiNe

    NiNe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2005
    โพสต์:
    4,780
    ค่าพลัง:
    +7,482
    อ้าวท่านมีอารมณ์โมโหอีกแล้วรึ?
     
  19. พิชญ์

    พิชญ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2007
    โพสต์:
    760
    ค่าพลัง:
    +3,392
    น่าสนใจทีเดียว.....
    โมทนาบุญกับทุกท่านค่ะ...สาธุ
     
  20. จอกแหน

    จอกแหน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    272
    ค่าพลัง:
    +873
    ช่างเป็นกระทู้ธรรมะที่เพิ่มอารมณ์ขันได้ดีจริงๆ (ผมขอรับไว้แต่ส่วนดีและกันนะครับ งก) ขออนุโมทนาในหัวข้อธรรม
     

แชร์หน้านี้

Loading...