จิตคิดหรือจิตกับอารมณ์ตามที่เห็นมา

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ได้คับ, 8 เมษายน 2013.

  1. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ..มะนาวใบละ13 บาท แถมตาขวางนิดๆห้ามบีบ
    ทางด่วนจะขึ้นอีกแล้ว..กุจะเดินแทน
    มากาแรต แทชเชอร์ เพื่อนซี้ข้าฯ..บ้านเลขที่10 ถนน.ดาว์นิ่ง..ก็นอนนิ่งไปอีกคนแล้ว
    ไอ้คิมจุ๊กกุ๊ก..ขู่บอมบ์คิม เจี๊ยกๆๆๆอีก..

    ..เฮ้อ..กุจะเป็นอริเยอะ ทันท่าน new..ไหมนี่..
    นุึกถึงคำนี้..ยามที่บ้านเมืองปกติรีบภาวนาซะ..ไม่ทัน ไอ้คิมจุ๊กกุ๊ก..มันซะและ..อิอิ:boo:
     
  2. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    .......ลองดูอุเทสของสัมมาสตินะครับ--พระวจนะ" ภิกษุทั้งหลาย สัมมาสติเป้นอย่างไรเล่า ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในกรณีนี้ ย่อมเป็นผู้พิจารณาเห็นกายในกายอยู่เป็นประจำ มีความเพียรเครื่องเผากิเลส มีสัมปชัญญะมีสติ ถอนความพอใจและความไม่พอใจในโลกออกเสียได้ ย่อมเป็นผู้พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่เป็นประจำ มีความเพียรเครื่องเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ ถอนความพอใจและความไม่พอใจ ในโลกออกเสียได้ ย่อมเป็นผู้พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่เป็นประจำ มีความเพียรเครื่องเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ ถอนความพอใจและความไม่พอใจ ในโลกออกเสียได้ ย่อมเป้นผู้พิจารณาเห้นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่เป้นประจำ มีความเพียรเครื่องเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ ถอนความพอใจและความไม่พอใจในโลกออกเสียได้ ภิกษุ ทั้งหลาย อันนี้เรากล่าวว่าสัมมาสติ--มหา.ที.10/349/299..:cool:---------------มีความเพียรเครื่องเผากิเลส คืออะไร เป็นสัมมัปธานสี่หรือไม่?...ถอนความพอใจและไม่พอใจในโลกออกเสียได้ ทำอย่างไรเห็นอย่างไร?:cool:
     
  3. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    --มีความเพียรเครื่องเผากิเลส คืออะไร เป็นสัมมัปธานสี่หรือไม่?...ถอนความพอใจและไม่พอใจในโลกออกเสียได้ ทำอย่างไรเห็นอย่างไร?:cool:[/QUOTE]
    ท่อนท้ายนี่ โดยรวมคือ..อาตาปี..อิอิ:cool:
    สัมมัปปทาน4..คือ มรรคมีองค์8 กลายๆนั่นแหละเจริญกุศลไว้ตลอด .
     
  4. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ....ถ้าคิดแบบ ขมองล้ำหน้านะเจ่ก....ถ้าจะเอามรรคผลกันเลย...ก็ต้องมรรคสมังคี...อานาปานสติ ยังให้ สติปัฎฐานสี่บริบูรร์ ยังให้โพชฌงค์เจ็ดบริบูรณ์ ยังให้วิชชาวิมติบริบูรณ์....โพชฌงค์เจ็ดปรารภแล้วก็ปรารภมรรคด้วย.......คือไปฟังฆราวาสท่านนึงบรรยายธรรม ท่านก็ว่า เมื่อทำไปจนเห็นแล้วว่า สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดับ หรือเบื่อหน่าย มันก็สลัดคืนเอง หรือ วิญญานปัจจัยนามรูป นามรูปปัจจัยวิญญาน พอแล้ว พอ...พอแล้วพอ เอง..อิอิ หรือมันจะไปเข้าสู่อินทรีย์ภาวนาชัเนเลิศเอง คือ อามรมณ์ที่ชอบใจ ไม่ชอบใจทั้งชอบใจไม่ชอบใจ ดับไปดุจกระพริบตา อุเบกขายังคงเหลืออยู่...เขาเ็นของเขาแล้ว เขาจึงเลือก เนกขัมมะ เอง กุศลเอง:cool::cool:
     
  5. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    ท่อนท้ายนี่ โดยรวมคือ..อาตาปี..อิอิ:cool:
    สัมมัปปทาน4..คือ มรรคมีองค์8 กลายๆนั่นแหละเจริญกุศลไว้ตลอด .[/QUOTE]

    อย่าเพิ่งรีบงับครับปู่ กลายๆนี่บ้านผมแปลว่าเพี้ยนนะปู่
     
  6. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ท่อนท้ายนี่ โดยรวมคือ..อาตาปี..อิอิ:cool:
    สัมมัปปทาน4..คือ มรรคมีองค์8 กลายๆนั่นแหละเจริญกุศลไว้ตลอด .[/QUOTE]

    คิดแบบขมองล้ำอีกที.....องคืแห่งมรรคที่แวดล้อมเอกัคตาจิตชนิดนึงที่เรียกว่า สัมมาสมาธิ มีองค์สามองค์ นำหน้า และแวดล้อมทุกองค์ นั้นคือ สัมมาทิฎฐิ สัมมาวายามะ(อุเทสคือสัมมัปธานสี่) สัมมาสติ.....เมื่อเห็นแล้วว่าอะไรเป็นอะไร ทางทางหนึ่ง ยึดมั่นมีอุปาทานด้วยอาสวะกิลสตัณหา เมื่อเห็นแล้วว่ามันทุกข์โทมนัสเพราะสักกายทิฎฐิ อัตวาทุปาทาน....แต่เมื่อเห็นความไม่เที่ยงของสภาพธรรมขันธิ์5ทั้งหลาย......อินทรียืภาวนาชั้นเลิศคงเกิดขึ้นมาและโน้มไปทางสุญตา หรือเอกัคตาจิตสัมมาสมาธิ เอง(แต่ต้องเริ่มภาวนา):cool:
     
  7. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    .....งั้นก็ต้อง อธิบายคำว่า จิตตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดุ....[SIZE="5จิตตั้งมั่นมีสติเป้นผู้รู้ผู้ดูเป็นอย่างไร ถึงไม่ใหลไปเป็นจิต[/SIZE]ที่ผูกติดกับอารมณ์:cool:
     
  8. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ...ต้องเข้าใจ หรือรู้ จักคำว่า สติ ที่ถูกต้องก่อนว่ามีลักษณะเช่นไร...สติคือการระลึกรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง(รู้ชัด) มีลักษณะเมื่อมีสติจริงจริงแล้ว จะถือเอากุศล ละอกุศล มีลักษณะ กั้นอกุศล....ถ้าไม่มีสติ ก็คือไม่มีสติ มีสติก็คือมีสติ แค่นั้นเอง สำคัญที่สุดว่าเข้าใจหรือรู้ จักคำว่าสติ ตรงหรือ ไม่ ตรงหรือ เปล่า...:cool:
     
  9. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    พออนุโลมเลยน้าจร:cool:


    สติที่ตรงต้องระลึกสภาพธรรมตามความเป็นจริง

    กุศลาธัมมา
    อกุศลาธัมมา
    อัพยากตาธัมมา
    อย่างไม่เลือกข้าง

    หากเลือกข้างเอาแต่ข้างใดข้างหนึ่ง
    ยังไม่เรียกว่า ระลึกตามสภาพธรรมที่เป็นจริง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 เมษายน 2013
  10. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ขออนุญาตอธิบายสักนิดนะครับ

    หลวงพ่อกล้วย ท่านให้ฝึกแยกจิตกับความคิดด้วยสติ หรือนั่นก็คือให้ฝึกจนกระทั่งแยกรูปแยกนามได้นั่นเอง มันมีความสำคัญยังไง คนทั่วไปเวลาคิด จิตมักเกิด มีอารมณ์ร่วมด้วยเสมอ เขาไม่รู้ตัวว่า ขณะนั้นกำลังคิดและพูดด้วยอารมณ์ แต่ถ้าเราฝึกสติบ่อย ๆ เข้า ฝึกสม่ำเสมอ เผลอแล้วรู้ตัวบ่อย ๆ สติมันจะเกิดเร็วขึ้น ๆ วันหนึ่ง เราเริ่มเผลอจิตจะเกิด สติมันทันอาการตอนนั้นพอดี เราก็จะเห็นอาการที่จิตมันเริ่มกระเพื่อมน้อย ๆ ก่อนที่มันจะแน่น ๆ ขึ้นมาที่กลางอกและโพร่งออกไปดังที่เคย ๆ นั่นเอง ขณะที่ความคิดมันก็มีอยู่ แต่อยู่คนละส่วนกัน ถ้าเห็นทันปุ๊บนี่ มันค้างเลยนะ ทีนี้พอเวลาจิตจะเกิด พอมีอาการจะกระเพื่อมหรือเริ่มกระเพื่อมน้อย ๆ อย่างนี้ขึ้นมาอีก มันก็เหมือนกับว่า อาการพวกนี้มันไปปลุกตัวสติขึ้นมาดูของมันเอง เราจึงรู้ทันได้มากขึ้น ๆ

    ต่อไปเราก็จะเริ่มแยกได้ บริหารจัดการได้ว่า เวลาคิด คิดแบบไหนจิตเกิดเราก็ไม่คิด คิดขณะจิตเกิด ๆ เราก็ไม่คิด คิดแล้วพอทำท่าจิตจะเกิดเราก็เลิกคิด เรามีจุดให้สังเกตแล้ว แต่อันนี้เป็นแค่เพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ต่อไปยังต้องทำความเข้าใจให้เห็นชัดเจนยิ่ง ๆ ขึ้นไป จิตเกิดเป็นอย่างไร จิตไม่เกิดเป็นอย่างไร ความคิดขณะจิตเกิดกับจิตไม่เกิดเป็นอย่างไร มันยังมีอะไรที่ต้องดูต้องศึกษาทำความเข้าใจอีกมากมาย คนไม่รู้ก็นึกว่ามันมีแค่นี้ บางคนถึงกับคิดว่าตัวเองจบกิจแล้วก็มี บางทีก็คิดว่าบรรลุธรรม ได้โสดาบันแล้ว ที่จริงยังอยู่แค่ขั้นของการเจริญสมถะเท่านั้น เป็นเรื่องของการควบคุมจิต ทำให้จิตสงบ สามารถแยกได้ว่า เวลาจะคิดจะพิจารณาอย่างไรไม่ให้จิตเกิดร่วมด้วยเท่านั้น แค่นี้เขาก็ออกสอนสั่งกันไปทั่วแล้ว ภายหลังสอนเขามาก ๆ แต่ไม่ปฏิบัติให้ต่อเนื่อง หลงระเริง พออำนาจสมาธิเสื่อม ก็พาคนไขว้เขวหนักกว่าเก่า เผลอทำกรรมโดยไม่รู้ตัว แต่มันก็เป็นธรรมชาติของเขา เขาต้องเรียนรู้ ต้องผ่านจุดนี้ไปให้ได้ ต่อไปเมื่อเสพสมาธิจนอิ่มจนเต็ม จนเริ่มมั่นใจ คลายความกลัว (ลึก ๆ คือมันยังกลัว) ลงได้แล้ว ความตึงเคร่งเครียดแบบไม่รู้ตัวก็จะค่อย ๆ คลายตัวออก ปล่อยจิตให้มีความเป็นอิสระเป็นธรรมชาติมากขึ้น ดูแลอยู่ห่าง ๆ อย่าให้ทำให้เสียเรื่อง เสียการเสียงานก็เท่านั้นเอง ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่เริ่มต้นเท่านั้น ยังไม่ได้ไปถึงไหนเลย วิปัสสนาก็ยังไม่ได้เริ่มเลย กิเลสยังไม่ได้ละ ยังไ่ม่ได้เรียนรู้เลยสักตัว แต่คนไม่เคยเจอก็นึกว่าใช่แล้วทั้งนั้น ดังนั้นการมีกัลยาณมิตรมีครูบาอาจารย์ที่รู้จริงคอยชี้แนะจึงเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นอย่างมากครับ

    คุณอย่าได้ไปด่าคุณนิวรณ์เลย คุณนิวรณ์เป็นกัลยาณมิตรที่ดี คนที่เข้าใจแล้ว จะไม่มีใครด่าคุณนิวรณ์นะ มีแต่จะขอบคุณ เขาพูดจริงทั้งนั้น แต่คุณยังไม่เห็นเองต่างหาก ถ้าคุณมัวแต่ถือสาเรื่องที่ว่า ต้องวาจาต้องสุภาพอ่อนโยน คุณก็จะเสียโอกาสดี ๆ ไป อย่าไปมีเงื่อนไขให้กับตัวเองมาก ความทุกข์มันจะท่วมทับพวกเราตายเปล่านะ สุสสูสัง ลภเต ปัญญัง - ฟังด้วยดีย่อมได้ปัญญา


    ขอให้เจริญสติสมาธิวิปัสสนา ได้ดวงตาเห็นธรรมในเร็ววันนะครับ
     
  11. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    .........อาจจะต่างกันที่ว่า...คุณว่าคุณพ้นแล้ว อนัตตาแล้ว...ในการทำเพียงครั้งเดียว...แต่คนอื่นอื่น ก็รู้อยู่ว่า ยัง ยังต้องเจริญไป เหมือน ลูกไก่ เจาะฟองไข่ออกมาเอง...:cool:
     
  12. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984

    เดี๋ยวๆขอพูดก่อน..เดี๋ยวๆ..ครับ
    ผมมัว งงใจ จิต ของท่านไรวานี่แหละครับ จึงอ่านแบบไม่ลื่นไหลเพราะต้องเทียบ แปล ให้ตรงกับใจตนเองที่เข้าใจ ..มันเลยเบลอครับ
    เอาละ ต่อไปผมจะใช้วิชาของสำนัก อยุทธยา เหมยงค์ เท่านนั้นคุยกับท่าน ไรวา..ขอถาม
    ขณะนี้ ท่าน ไรวา .."เห็นตัวผู้รู้แล้วรึครับ"..ใช้อะไรดู และดูตอนไหนครับ
    ชวนสนทนาธรรมให้แจ้ง ไม่ใช่มาชวนหาเรื่องนะครับ ผมจะตั้งจิตไว้ว่า ท่านไรวา..รู้แล้ว ผมจึงตั้งคำถามครับ :cool:
     
  13. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984

    ..นิวรณ์..นั่น ผมชมเขานะครับ..ไม่ได้ด่า เครื่องกั้นความดี..อิอิ
    ท่าน T-boon..อย่าจริงจัง นักเรื่องนิวรณ์ ผมรู้ว่าคุณเข้าใจเจตนาผมละ
    ..อย่างที่ท่านt-boon ยกมานั้น การทรงสติปัฎฐาน4 ก็ไม่ยากแล้ว

    หากห้ามความคิดหรือหยุดความคิดได้ สติ..ต้องแข็งแกร่ง สมาธิก็ต้องแกร่งตาม
    เพราะเขาเกิดมาคู่กัน ปัญหาคือ สมาธิจิต-สติ ไม่ได้เกิดง่ายๆครับ บางคนเกิดแล้ว จะเอาไปทำอะไรก็ยังไม่เข้าใจอีกก็มี..
    (k)อันวิปัสสนา ของท่านวัด เหมยงค์ ก็น่าสงสัยนัก แค่ดูปรมัถสัจจะ..เท่านั้น ร้อน-เย็น อ่อน-แข็ง ตึง-ไหว ..จะรู้แจ้งได้รึ ขาดเหตุผล การค้นสืบหาต้นตอแห่งทุกข์ ตามอริยสัจจ์4 ไม่มี..
    จุดจบที่ท่านสอน ผมฟังได้แค่นี้ คือเอาผู้รู้ มาดู ผู้รู้ ให้เห็นเท่านั้น..:cool:
     
  14. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ..การแยกรูป-นาม
    ได้..จิต..จะขาดกำลังทันที มันก็ถูกแต่ไม่ได้ทำให้เกิดได้ง่ายๆ ต้องสะสมกุศลอีกเท่าใด ยังต้องผ่านกำลังสมาธิอีกนะครับ ท่านT-BOON
    แยก-รูป-นาม ได้ ..ทิฏฐิที่เกิดกับจิต จะขาดกำลัง แปลได้ว่า เจตสิก จะไม่ทำงานหรืออ่อนกำลังลงนั่นเองความคิดจะอ่อนตัว หรือหยุดคิด ..สติจึงเกิด ไล่ไป ไล่มา ก็เข้ามาบรรจบกันเหมือนเดิม คือ เจริญสติให้เกิดสมาธิ มากๆ..ดูกายครับ เท่านั้นเอง:cool:
     
  15. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ..ถ้าอย่างนั้น..สติอยู่กับผู้รู้ หรือ ตัวรู้ดี ..ท่านไรวา:cool:
    หากผู้รู้ คือจิตหรือใจ(ตามความหมายของท่าน-รึอะไรแน่)..ผู้ถูกรู้ คือ ..ที่ตั้งของตัวรู้..ใช่ไหมครับ
     
  16. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    ปู่นักเล็งปฏิเวธพี่ทีบอกว่าเพิ่งเริ่มนะจ้ะๆ
    จริงรึที่ว่า เจริญสติให้เกิดสมาธิมากๆ เล่าความหน่อยปู่
     
  17. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    .........คำว่ารู้แจ้ง คงหมายถึง รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นสภาพธรรมหนึ่ง เกิดจากเหตุปัจจัย ดับ ไปตามธรรมดา.......ส่วนทำไปจนกลายเป็นอินทรีย์ภาวนาชั้นเลิศ คือ อารมณ์ที่น่าพอใจไม่น่าพอใจพอใจและไม่พอใจดับไปแต่อุเบกขายังคงเหลืออยู่...อันนี้ ย่อมเป็นไปเองด้วยเหตุปัจจัยที่สร้าง ส่วนที่เรียกว่าปัญญาอาจจะเกิดแล้วเลือกเองทำเองโดยธรรมชาติ...หมายถึง รู้ว่า อารมณ์นั้นไม่เที่ยง เราจะทำอย่างไรกับมัน .....มันจะเป็นอย่างไรเอง เมื่อถึงเวลานั้น..............................แต่ ณ ตอนนี้ของการภาวนา ไป มอเตอร์โชว์ เห็นพริตตี้...อินทรีย์ภาวนาชั้นอ่อน ก็ ใหลเป็นโจ้ก แล้ว เข้าใจ ป่ะ:cool:
     
  18. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ..อารมณ์..ไม่ใช่เกิดจากจิต อารมณ์คือสิ่งที่ถูกรู้โดยจิตมิใช่รึท่าน riwa..
    :cool:

    ..สติ..ก็คือจิตนั่นแหละ ท่านriwa..(ดูได้จาก หากจิตรวมเป็นหนึ่ง..สติก็คือ จิต นั่นเองครับ):cool:

    ..อารมณ์คืออะไร..แบ่งเป็น2ลักษณะ 1.อารมณ์ก็คือ เจตสิกที่จรมายังจิต ที่ปรุงแต่งด้วยสังขาร จนเกิดการรับรู้โดยวิญาณ พูดง่ายๆ อารมณ์เกิดจากความคิด จนจบเป็นเรื่องๆ นั่นเอง..หรือ 2.คือ สภาพธรรมที่เป็นลักษณะสัณฐาน คือรูป เช่น พิจราณากาย จะไม่เกิดอารมณ์อื่นๆนอกจากอารมณ์เฉยๆนั่นคือสภาพธรรม อารมณ์เฉยๆ..อิอิ(k)
     
  19. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ดูกาย..ดูกายไปเลยเท่ากับการเจริญ สติ..ต่อเนื่อง สันตติ สมาธิก็เกิดพร้อมกัน อิอิ:mad:
     
  20. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    "..หลวงพ่อกล้วย ท่านให้ฝึกแยกจิตกับความคิดด้วยสติ หรือนั่นก็คือให้ฝึกจนกระทั่งแยกรูปแยกนามได้นั่นเอง.."

    :cool:..การเกิดสติ..เราก็แยกความคิดได้แล้วด้วยการกั้นมิให้ความคิดไม่ดีเข้ามายังจิต ปัดกั้นความคิดนั้นออก หากความคิดนั้นเกิดโทษ เพราะสติเขาจะตรวจสอบคุณ-โทษ ของความคิดนั้นๆได้ ส่วนจะเลยไปถึงการแยก รูป-นาม นั้น ผมไม่เถียงครับ หากสติแกร่งอะไร อะไร ก็ทำได้หมด แต่ต้องมีสมาธิเป็นองค์ประกอบ กับสติด้วยครับ ..

    :cool:..ส่วนที่ว่า ..เผลอแล้วระลึกขึ้นบ่อยๆ จนทันความคิด ไม่เผลอ ..จนไม่เผลอ...นี่คือการฝึกสมถะสมาธิครับ ท่าน T-BOON

    ..ตรงนี้คือ ฝึกสมถะโดยการระลึกถึงสติ..หรืออะไรครับ(จิต)..เผลอแล้วระลึกขึ้นบ่อยๆ ระลึกถึงความเผลอให้ทัน ระลึกบ่อยๆ..สมาธิจะเกิดเพราะการสันตติของสติ ที่ต่อเนื่องสุดท้ายคือ เร็วขึ้นๆๆๆจนต่อเนื่อง จนเกิดสมาธิ-สติ นี่คือการฝึกสมถะสมาธินั่นเอง ระลึก ระลึก ระลึก..อะไร อะไร ไม่ให้เผลอ(สติ-จิต) ..จนเกิดสมาธิอ่อนๆไปจนตั้งสติได้..เพราะสติจะต่อเนื่องเพราะเกิดสมาธิ เกิดสมาธิ สมาธิ จะทำให้สติต่อเนื่อง แต่ยากส์ ยากส์ ยากส์กว่าการดูกายมาก ครับ..(k)
     

แชร์หน้านี้

Loading...