สงสัยเรื่องพระอนาคามี ครับ ใครเชี่ยวชาญช่วยตอบทีครับ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย bankzar, 21 มิถุนายน 2013.

  1. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    -------------
    นิยามของพระอนาคามี คือ ผู้ที่สามารถละสังโยชน์เบื้องต่ำ 5 ประการทั้งหมดได้อย่างเด็ดขาดเป็นสมุทเฉจประหาร คือ ละได้แล้วไม่สามารถทำให้สังโยชน์ที่ละนั้นกำเริบกลับมีขึ้นมาอีกได้

    สังโยชน์เบื้องต่ำ 5 ประการคืออะไร
    1. สักกายทิฏฐิ (ความเห็นว่า ขันธ์ 5 เป็นตัวตน)
    2. วิจิกิจฉา (ความลังเลสงสัยในพระรัตนตรัย)
    3. สีลพตปรามาส (การเชื่อถือทางปฏิบัติอื่นนอกจากพุทธศาสนาว่านำไปสู่การพ้นทุกข์ได้)
    4. กามราคะ
    5. ปฏิฆะ (ความไม่พอใจ ความโกรธ ความหงุดหงิด)

    เพราะละกามราคะและปฏิฆะได้แล้ว ท่านจึงไม่กลับมาเกิด ใน กามวจรภูมิ เช่น มนุษย์ หรือ สวรรค์ชั้นที่ 1-6 อีกต่อไป
    -------------------
    ส่วนนิยามของพระโพธิสัตว์คือ ผู้ที่ปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า
    มี 2 แบบคือ
    1. อนิยตโพธิสัตว์ คือ ผู้ที่ยังไม่ได้รับคำยืนยันจากพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง
    2. นิยตโพธิสัตว์ คือ ผู้ที่ได้รับคำยืนยันจากพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งแล้วว่า จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตอย่างแน่นอน
    ---------------------
    โพธิสัตว์นั้น ถ้ายังมีความปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้าอยู่ จะไม่สามารถบรรลุธรรม เป็น พระอริยสาวก ได้เลย (อริยสาวกตามความหมายของพระพุทธเจ้าคือ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ที่เป็นสาวกภูมิคือไม่สามารถรู้วิธีตรัสรู้ได้เองต้องฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าก่อน) เพราะ ความปรารถนานั้นจะมารบกวนเวลาที่จิตจะก้าวข้ามขั้นปุถุชนไปสู่อริยะที่เป็นสาวกภูมิ ทำให้จิตไม่ตัดกิเลสและสังโยชน์ (ดังที่เล่าในประวัติหลวงปู่มั่น)

    ดังนั้นพระโพธิสัตว์จึงมีสังโยชน์อยู่ครบ 10 ข้อ
    ผมขอยกตัวอย่างนะครับ เอาที่ใกล้ตัวที่สุด คือ เจ้าชายสิตธัตถะ ก่อนตรัสรู้ ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ใช่ไหมครับ และก็เป็นโพธิสัตว์ที่บารมีมากเกือบจะเต็มที่แล้วเสียด้วย เพราะเป็นชาติสุดท้าย ในพุทธประวัติยังมีกล่าวไว้เลยว่า ท่านก็เสวยกามสุขอันปราณีต มีปราสาท 3 ฤดู มีมเหสี (พระนางพิมพา) และมีบุตร (คือ ท่านราหุล) จึงเป็นข้อยืนยันอย่างชัดเจนว่า พระโพธิสัตว์นั้นไม่ใช่พระอนาคามี เพราะท่านยังมีกามราคะอยู่

    ส่วนพระโพธิสัตว์ถ้าอยากจะบรรลุธรรมเป็นพระอริยสาวก ก็ต้องละความปรารถนาที่จะเป็นพระพุทธเจ้าก่อน เรียกว่าลาพุทธภูมิ จึงจะสามารถดำเนินจิตให้ก้าวความเป็นปุถุชน ไปสู่เป็น อริยบุคคล ได้

    แต่พระโพธิสัตว์ที่จะลาพุทธภูมิได้นั้นต้องเป็น อนิยตโพธิสัตว์เท่านั้น (เช่น หลวงปู่มั่น , หลวงตามหาบัว ฯลฯ) ส่วนนิยตโพธิสัตว์นั้นกำลังความปรารถนาแรงกล้ามากจนไม่สามารถถอนตัวจากพุทธภูมิและ ไม่สามารถละความปรารถนาได้ จึงต้องบำเพ็ญบารมีต่อไปจนกว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันต์พุทธเจ้าในชาติสุดท้ายครับ
     
  2. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,364
    ดังนั้นพระโพธิสัตว์จึงมีสังโยชน์อยู่ครบ 10 ข้อ
    ผมขอยกตัวอย่างนะครับ เอาที่ใกล้ตัวที่สุด คือ เจ้าชายสิตธัตถะ ก่อนตรัสรู้ ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ใช่ไหมครับ และก็เป็นโพธิสัตว์ที่บารมีมากเกือบจะเต็มที่แล้วเสียด้วย เพราะเป็นชาติสุดท้าย ในพุทธประวัติยังมีกล่าวไว้เลยว่า ท่านก็เสวยกามสุขอันปราณีต มีปราสาท 3 ฤดู มีมเหสี (พระนางพิมพา) และมีบุตร (คือ ท่านราหุล) จึงเป็นข้อยืนยันอย่างชัดเจนว่า พระโพธิสัตว์นั้นไม่ใช่พระอนาคามี เพราะท่านยังมีกามราคะอยู่
    ==========

    ที่ท่านกล่าวมาตรงนี้ กระผมเข้าใจและ รู้ตรงเหมือนท่าน แต่ในกรณีนี้เป็นพุทธประเพณีที่ในพระชาติสุดท้าย ที่พระพุทธเจ้าต้องเกิดมาและมีครอบครัวเป็นอย่างนี้

    =============

    ส่วนที่กระผมถามท่าน ท่านยังไม่ตอบว่าผิดจากที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างไร

    ===========

    กระผมถามไปอย่างพระโพธิสัตว์ที่ท่านมาสร้างบารมีโดยเกิดมาเป็นพระสงฆ์สาวก ท่านรู้ได้อย่างไรว่า ท่านพระสงฆ์โพธิสัตว์เหล่านั้นภูมิธรรมแค่กัลยาณบุคคลหรือกัลยาณปุถุชนตามที่ท่านกล่าว ท่านยังไม่ตอบข้อนี้เลยครับ

    หลวงปู่ทวด สมเด็จโต พระครูบาศรีวิชัย ท่านหลวงพ่อเงิน หลวงพ่อปาน หลวงพ่อเดิม นี่ ท่านเป็นแค่กัลยานบุคคลอย่างนั้นหรอ ท่านลองไปถามพระอริยะรูปอื่นๆที่ท่านนับถือดูว่าเป็นอย่างไรในข้อนี้ เพราะท่านคิดว่าไม่ใช่พระอริยะอย่างนั้นเหรอ ท่านลองไปทบทวนดูใหม่นะครับ หากท่านไม่ทรงภูมิจิตภูมิธรรมสูง ใกล้พระอรหันต์ แล้วท่านจะสอนให้ผู้อื่นเป็นพระอริยะได้อย่างไร

    ผมว่าผมให้เหตุผลที่กระจ่างชัดมากแล้วนะ หลายๆคนที่เขาเข้ามาอ่าน เขาเข้าใจดี ว่า ความเป็นอริยะนี่เขาดูกันที่ ทานศีลภาวนา การปฏิบัติ การทรงคุณธรรมทางจิตที่กระผมกล่าวมากกว่า จะเป็นโพธิสัตว์หรือไม่เป็น เขาไม่ได้สนใจหรอกครับ

    อย่างน้อยกระผมก็ได้ปัญญารู้แจ้งว่า ทิฏฐิมานะนั้นแก้ไขยากจริงๆครับ มันจะยากอะไรกับการยอมรับความจริงที่เขากล่าว
    มันจะยากอะไรกับการยอมรับฟังในเหตุผลอื่นๆที่มีเหตุมีผลประกอบที่มากพอ

    แต่มันคงยากหากยังไม่รู้ว่าใน จิตตน ว่ามันไม่ยอมรับอะไรง่ายๆ เพราะ มันมีทิฏฐิมานะของมันอย่างนี้ ก็เพราะอย่างนี้แล จึงดื้อด้านดึงดันอยู่อย่างนี้ แล้วอย่างนี้ จะเป็นปราชญ์หรือผู้รอบรู้ได้อย่างไร ก็ใจมันแคบไม่ได้กว้างอย่างทะเล

    กระผมขอจบการแสดงความเห็นไว้เพียงเท่านี้ครับ และจะไม่มารบกวนท่านอีกแล้วครับ
    ขอท่านจงเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปครับ สาธุ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มิถุนายน 2013
  3. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    ผมว่าผมก็ตอบเคลียร์แล้วนะครับ ผมเองก็ไม่ได้มีทิฏฐิมานะอะไร กับคุณ tjs เลย เพราะผมตอบตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า

    "พระอนาคามีนั้น ไม่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก เพราะละสังโยชน์ได้ 5 ประการ"

    แต่คุณ tjs บอกในตอนแรกว่า

    "พระอนาคามีกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ได้อีก ถ้าพระอนาคามีนั้นเป็นพระโพธิสัตว์"

    ตรงนี้ที่ผิดจากพระพุทธพจน์ไงครับ เพราะถ้าบรรลุพระอนาคามีแล้ว นั่นคือความเป็นพระโพธิสัตว์จะหมดไป เพราะท่านจะเลื่อนขั้นเป็นพระอรหันต์เข้านิพพานในฐานะสาวกภูมิ ไม่ต้องมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอีกแล้ว

    มนุษย์ที่เป็นพระอนาคามี ถ้าไม่เลื่อนขั้นเป็นพระอรหันต์และนิพพานในชาตินั้น ก็จะเกิดอีกทีในพรหมโลก และนิพพานในพรหมโลก ไม่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกไม่ว่าจะเพื่อบำเพ็ญบารมี ไม่ว่าจะเพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า อีกแล้ว นี่คือ คำสอนของพระพุทธเจ้าครับ

    ส่วนหลักฐาน ผม เองก็อ้างอิงจาก เว็บ 84000.org ในความเห็นก่อนๆแล้ว

    เคลียร์ไหมครับ
    ------------------------------------------

    ส่วนเรื่องอริยบุคคล นั้น เป็นสมมุติบัญญัติของพระพุทธศาสนา ที่ใช้เรียก ผู้ที่บรรลุธรรม ได้แก่ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์

    แต่พระโพธิสัตว์ ยังไม่ได้บรรลุธรรมดังกล่าวข้างต้น จึงไม่นับเป็นพระอริยบุคคล ตามนัยของพุทธศาสนา แต่ถ้าวันใดที่ที่นิยตโพธิสัตว์ท่านบรรลุขึ้นมา เราก็จะเรียก ว่าเป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครับ

    ส่วนถ้าคุณ tjs จะนิยามพระอริยบุคคลว่า เป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบก็แล้วแต่คุณเถอะครับ บรรลุธรรมหรือไม่ก็อีกเรื่องนึ ก็แล้วแต่คุณจะนิยามละกันครับ
    แต่นิยามในทางพุทธศาสนา พระอริยะนั้นหมายเอา พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ เท่านั้น

    ส่วนพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ที่คุณ tjs ยกมานั้น ผมเองก็ขอบอกว่า โดยส่วนตัวผมเองผมไม่รู้ในภูมิธรรมของท่านเหล่านั้น ว่าท่านเป็นพระโพธิสัตว์ หรือ พระอริยะ (แต่ที่ผม กล่าวนั้น กล่าวตามคำอ้างของศิษย์ของท่านเหล่านั้น ว่าท่านคือ พระโพธิสัตว์ ส่วนความจริงเป็นเช่นไร ผมไม่ทราบ ท่านอาจจะไม่ใช่พระโพธิสัตว์แต่ท่านอาจจะลาพุทธภูมิแล้วบรรลุธรรมก็ได้)

    แต่ที่ผมทราบแน่ๆ คือ ถ้ายังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ก็จะไม่ใช่อริยบุคคลแน่นอน

    แต่ทั้งนี้ผมไม่ได้สนว่า ใครจะเป็น พระโพธิสัตว์ ใครจะเป็นพระอริยะบุคคล
    ต่อให้เป็น พระปุถุชน ธรรมดา แต่ถ้าปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่ในธรรมวินัย
    ผมก็ให้ความเคารพทั้งสิ้นครับ

    ผู้ที่จะบรรลุเป็นพระอริยะนั้น บารมีในระดับสาวกภูมิมากแล้ว ไม่ว่าฟังธรรมจากผู้ที่ไม่บรรลุก็ตามย่อมพิจารณาธรรมและบรรลุได้ ในพุทธกาลก็มี พระรูปหนึ่งรูปร่างเล็ก มีโสเภณีเดินผ่านแล้วหัวเราะเยาะ พระรูปนั้นเห็นฟันของโสเภณี แล้วพิจารณา อสุภกรรมฐานลงไตรลักษณ์ก็บรรลุอรหันต์ ได้

    หรืออีกเรื่องนึงในสมัยพุทธกาล พระกลุ่มหนึ่งไปบำเพ็ญบารมี แถวนอกเมือง เทศน์ให้ผู้หญิงชาวบ้านฟัง จนผู้หญิงนั้นบรรลุอนาคามี และรู้วาระจิตว่า ตนเองบรรลุ เพราะฟังธรรมจากพระกลุ่มนี้ แต่พระกลุ่มนี้ยังไม่มีผู้ใดบรรลุธรรมเลย เพราะอาหารไม่ถูกปาก หญิงนั้นจึงจัดแจงอาหารสัปปายะให้ ภิกษุเหล่านั้น จนได้บรรลุธรรมในกาลต่อมา

    หรือ เรื่องพระนาคเสน (ประมาณ พศ. 400-500) ท่านเทศน์ตามคัมภีร์ให้ อุบาสิกา ท่านหนึ่งฟัง อุบาสิกา นั้นบรรลุธรรม เพราะฟังธรรมจากพระนาคเสนที่ยังไม่ได้บรรลุธรรมด้วยซ้ำ
    ------------------------
    ผมพูดตามความเป็นจริง ตามอรรถตามธรรม ถ้าขัดใจคุณ tjs ก็ขออภัยด้วยนะครับ
     
  4. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,364
    ขอบคุณครับที่คุณและผม ได้มีเจตนาที่ดี ในการช่วยอธิบาย ในเรื่องนี้ ผมดีใจครับเพราะ ตรงนี้เป็นการถกกันเพื่อปัญญารู้แจ้ง ผิดถูกเราอย่าไปยึดมั่น เอาแค่ปราถนารู้แจ้งในแก่นธรรมหรือแก่นแท้ของเรื่องนั้นๆก็พอครับ สาธุ

    โอกาสนี้ก็ขอให้เราท่านทั้งหลายจงไม่ประมาทว่า ความเป็นพระโพธิสัตว์ที่เกิดมาเป็นพระสงฆ์หรือคนธรรมดา อาจจะมีส่วนหนึ่งที่ท่านอาจจะสามารถบรรลุธรรม เป็นพระโสดาบันได้ด้วย พระสกิทาคามีได้ด้วย หรือแม้พระอนาคามีก็สามารถบรรลุได้ ก็อยู่ที่ความเพียรทางจิตของท่าน สักวันท่านอาจจะได้พบเจอและมีโอกาสได้ทำบุญกับท่านก็ได้ แล้วท่านจะทราบและเข้าใจในสิ่งที่กระผมกล่าวมาได้เองครับ

    ส่วนความเป็นพระอรหันต์นั้นจะไม่เกิดกับพระโพธิสัตว์ อันข้อนี้ทุกคนทราบดี ก็ขออนุโมทานาครับ

    คำถามที่ไม่ต้องการคำตอบคือว่า ธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่มีปิดกั้น ใครเจริญอย่างไรได้อย่างนั้น พระโพธิสัตว์จะสามารถเจริญธรรมว่าด้วยธรรมที่ให้บรรลุเป็นพระอนาคามีได้หรือไม่ เพราะอะไรถึงได้หรือไม่ได้ หากพระโพธิสัตว์เหล่านั้นเจริญธรรมของพระอนาคามีได้สำเร็จแล้ว ก็ย่อมได้ชื่อว่า เป็นพระอนาคามีใช่หรือไม่

    จะมีเพียงส่วนเดียวที่พระโพธิสัตว์ไม่สามารถบรรลุธรรมสูงสุดคือธรรมของพระอรหันต์ได้เท่านั้น เพราะเหตุที่มโนปณิธาณปราถนาเป็นพระพุทธเจ้าฝังอยู่ในจิต คือยังมีสัญญาที่ปราถนาเอาไว้อยู่ จึงไม่สามารถสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้ การจะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้ก็ต้องลาพุทธภูมิเสียก่อน ปล่อยวางสัญญาข้อนี้ลง จึงสำเร็จเป็นอรหันต์บุคคลได้

    เราคุยกันมามากแล้ว ก็ขอชมเชยครับ ด้วยเจตนาที่ดี จิตที่ดีขอให้ทุกๆท่าน ขอทุกท่าน จงเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปนะครับ มีดวงตาบรรลุธรรมในที่สุดครับ สาธุ
     
  5. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ tjs
     กระผมขอถามท่าน รณจักรว่า เพราะเหตุใด ท่านจึงคิดว่าพระโพธิสัตว์ท่านไม่สามารถ บรรลุพระอนาคามีได้

    อีกตัวอย่างนะครับที่ผม กล่าวใน ความเห็นก่อน เรื่องโชติปาละโพธิสัตว์ (อดีตชาติของพระโคดมพุทธเจ้า) ในพุทธกาลที่แล้ว (สมัยพระกัสสปพุทธเจ้า)

    พระอนาคามีต้องละ วิจิกิจฉา คือ ความลังเลสงสัยใน พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ได้ แต่โชติปาละโพธิสัตว์ นี่ตอนเพื่อนชวนไปหาพระพุทธเจ้า กลับตอบว่า จะมีประโยชน์อะไรกับการไปพบสมณะโล้นนั่น สุดท้ายทนเพื่อนตื้อไม่ไหวจึงยอมไปพบพระกัสสปพุทธเจ้า พอไปพบก็ยังลังเลสงสัยว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้จริงหรือ และกล่าวว่า การตรัสรู้เป็นของยากท่านไปตรัสรู้ใต้ต้นไม้ที่ไหนกัน

    คุณ tjs คิดว่า พระอนาคามี จะกล้ากล่าวบริภาษพระพุทธเจ้าไหมครับ
    อย่าว่าแต่พระอนาคามีเลย แค่พระโสดาบันก็ละความลังเลสงสัยในพระพุทธเจ้าได้แล้ว นี่เป็นอีกหลักฐานหนึ่งที่ยืนยันว่า พระโพธิสัตว์ ไม่ใช่พระอนาคามี
    ขนาด โชติปาละโพธิสัตว์นี่เป็นพระโพธิสัตว์ที่บารมีมาก ได้รับคำยืนยันจากพระทีปังกรพุทธเจ้าเมื่อสี่อสงไขยแสนมหากัป ที่แล้ว และจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปอยู่แล้ว ยังพลาดทำบาปได้ ต่างกับพระอริยเจ้าที่ไม่ทำบาปอีกต่อไป ปิดอบายภูมิได้ถาวร

    คงเคลียร์นะครับ
     
  6. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,364
    แหมคุณก็ยกเฉพาะตัวอย่างของพระโพธิสัตว์ที่ท่านปราถนามาสร้างบารมีที่ไม่เกี่ยวข้องด้วยการปฏิบัติภาวนา ที่จะยังจิตให้ตนสำเร็จเป็นอริยะบุคคล ทั้งนั้นเลย

    ก็แล้วอย่างพระอชิตะ ภิกษุผู้เกิดในสมัยพุทธเจ้าและได้รับทำนายว่า อนาคตจะได้มาเป็นพระศรีอริยะเมตตรัยพุทธเจ้า ละท่านไม่เห็นจะกล่าวถึงบ้างเลยเอาแค่ตามประวัตินะครับ

    ส่วนที่เหลื่อที่กระผมยกมานั้นเป็นพระสงฆ์โพธิสัตว์หลังพุทธกาลทั้งนั้น ครับเช่นหลวงปู่ทวด สมเด็จโต เป็นต้น เวลาเราพูดนี่เราควรพูดเป็นกรณีเฉพาะบุคคลนั้นๆ เราไม่สามารถเหมารวมได้ เพราะพระโพธิสัตว์แต่ละพระองค์มาเพื่อสร้างบารมีที่แตกต่างกัน บางพระองค์บางชาติ ก็มาแต่บำเพ็ญบารมีแค่ทานอย่างเดียว อย่างนี้ท่านไม่ได้สนใจความเป็นพระอริยะ ท่านทำแค่ทานบารมีของท่านเท่านั้น ก็เลยเห็นหรือเข้าใจว่าท่านไม่ใช่พระอริยะในชาตินั้น ก็ไม่แปลกครับ เพราะเวลากล่าวต้องกล่าวเฉพาะบุคล เฉพาะกาล เฉพาะภพชาตินั้นๆ ไม่สามารถเหมารวมได้ครับ แล้วแต่การสร้างบารมีในชาตินั้นๆครับ
     
  7. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,364
    ==========

    และก็มีพระโพธิสัตว์บางพระองค์ บางพระชาติ ที่ท่านเกิดมาเพื่อบรรลุเป็นพระอริยะสงฆ์ ก็มีเช่นกันแต่ท่านบรรลุได้เต็มที่ก็พระอนาคามีเท่านั้น อย่างเช่นที่กระผมพยายามยกตัวอย่างให้ท่านทราบที่ผ่านมานั้นแหละ ก็มีใจความตามนั้นครับ
     
  8. ฐสิษฐ์929

    ฐสิษฐ์929 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +1,844
    ยทา หเว ปาตุภวนฺติ ธมฺมา อาตาปิโน ฌายโต พฺราหฺมณสฺสฯ เป ฯ สูโรว โอภาสยมนูตลิกฺขํ.
    ในกาลใดแล ธรรมทั้งหลายย่อม ปรากฏแก่พราหมณ์ผู้มีความเพียร เพ่งอยู่ ในกาลนั้น
    ความสงสัยทั้งปวงเทียว ของพราหมณ์นั้นย่อมสิ้นไป เพราะมาทราบชัดซึ่งธรรมพร้อมทั้งเหตุ
    ในกาลใดแล ธรรมทั้งหลาย ย่อมปรากฏแก่พราหมณ์ผู้มีความเพียร เพ่งอยู่ในกาลนั้น
    ความสงสัยทั้งปวงเทียว ของพราหมณ์นั้นย่อมสิ้นไป เพราะได้รู้แล้วซึ่งความสิ้นไปแห่งปัจจัยทั้งหลาย.
    ในกาลใดแล ธรรมทั้งหลาย ย่อมปรากฏแก่พราหมณ์ผู้มีความเพียร เพ่งอยู่ในกาลนั้น
    พราหมณ์นั้น ย่อมกำจัดมารและเสนามารได้เหมือนพระอาทิตย์ยังท้องฟ้าให้สว่างอยู่ ฉะนั้น.
    ฌาน เพราะแปลว่า เพ่ง คือเข้าไปเพ่งอารมณ์นั้นเสียเอง
    เพราะเหตุนั้นแล ฌานนั้นท่านว่ามีอันเข้าไปเพ่ง อันเป็นลักษณะ
    ข้อความข้างบนนี้ผมก็ยกมาจากพระไตรปิฎก ซึ่งเป็นอุทานของพระพุทธเจ้าภายหลังตรัสรู้แล้ว ๗ วัน
    ตรงนี้หลวงปู่สาวกโลกอุดรแสดงไว้ว่าข้อความนี้ถูกต้อง เป็นการเพียรเพ่งไม่ใช่เพียรพิจารณา จะเรียกว่าฌานสมาบัติก็ได้ จะเรียกวิปัสสนาญาณก็ได้ แต่หลักการปฏิบัติคือการเพ่ง
    ระดับพระอริยะบุคคลนั้นถึงฌานสัญญาเวตยิตนิโรธทั้งหมดก็จริง แต่ระดับพระโสดาบัน - พระอนาคามีนั้น ทรงสภาวะนี้ได้เพียงเล็กน้อยขณะบรรลุธรรมเท่านั้น ซึ่งผมก็ได้อธิบายแล้วว่าระดับพระอนาคามีขณะบรรลุถึงจะทรงอยู่สภาวะนั้นได้ประมาณ 5 นาทีครับ ขณะดับเรียกว่าอนาคามิมรรค เมื่อคลายออกเรียกว่าอนาคามิผล ก็เข้าได้ครั้งเดียวที่บรรลุธรรมนั้นละครับ ฌานสัญญาเวตยิตนิโรธเหมือนกันก็จริงหากว่าไม่สามารถทรงได้ถึง 1 ชั่วโมงขึ้นไปที่ระดับพระอรหันต์ปฏิบัติได้ หลวงปู่ท่านก็ไม่เรียกว่านิโรธสมาบัติ ท่านเรียกว่าเป็นมรรคเท่านั้นเพราะยังเดินทางอยู่ ก็ยังเป็นผู้ต้องศึกษาต่อยังไม่จบกิจพรหมจรรย์ ผมก็อธิบายตามที่หลวงปู่อธิบายครับ
    พระอนาคามีที่เราทราบเมื่อท่านเสียชีวิต ท่านจะไปจุติที่ชั้นอรูปพรหมและปฏิบัติจนสำเร็จนิพพานที่นี่ จะไม่ไปเกิดเป็นอะไรอีกโดยเด็ดขาด ผมมีความเห็นสอดคล้องกับคุณรณจักรว่าพระโพธิ์สัตว์จะเป็นพระอนาคามีไม่ได้เพราะว่าจะไม่มีโอกาสกลับไปเกิดเป็นคนได้อีกครับ
    อีกอย่างพระพุทธเจ้านั้นท่านตรัสรู้เองโดยชอบครับ ประกอบกับต้องสร้างบารมีมาเองมาหลายแสนหลายล้านอสงขัยปีครับ แม้นในระดับโสดาบันซึ่งแปลว่าผู้เข้ากระแสนิพพานจะเกิดอีกก็ไม่กี่ชาติ พระโพธิสัตว์ก็ไม่สามารถเข้าถึงได้ หากเข้าถึงได้ก็จะถือว่าพระโพธิสัตว์นั้นไม่ได้ตรัสรู้เองโดยชอบนะชิครับ แล้วจะสร้างบารมีมาทำไมกัน ระดับพุทธสาวกที่ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้าก็สร้างบารมีมาเป็นแสนมหากัปป์นะครับ
    เจริญในธรรมครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มิถุนายน 2013
  9. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    เรื่องพระอชิตะ ที่จะตรัสรู้เป็นพระศรีอริยเมตไตรนั้น พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสถึงในพระไตรปิฎกเลย พระอชิตะในพระไตรปิฎกเป็นพระอรหันต์ครับ

    ส่วนพระร่วมสมัยที่เคยเป็นพระโพธิสัตว์ และบรรลุธรรมผมก็เล่าไว้แล้ว เช่น หลวงปู่มั่น แต่ท่านก็เล่าว่า ท่านต้องลาพุทธภูมิก่อน จึงบรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลได้

    ส่วนหลวงปู่ทวด หลวงปู่โต หลวงพ่อปาน นั้น คุณ tjs ทราบภูมิธรรมของท่านจากไหนว่า ท่านเป็นพระอนาคามี และเป็นพระโพธิสัตว์ด้วยพร้อมกัน

    ซึ่งตรงนี้ขัดกับธรรมของพระพุทธเจ้า

    การที่ประพฤติตามพระอนาคามี นั้นไม่ใช่หลักตัดสินว่า ท่านเป็นพระอนาคามี เพราะนิยามพระอนาคามีคือตัดสังโยชน์ 5 ประการได้เด็ดขาดตลอดไปไม่ว่าชาตินี้หรือชาติต่อไป

    ถ้าท่านเป็นพระอนาคามี นั่นหมายความว่าท่านก็ไม่ได้เป็นพระโพธิสัตว์แล้ว เพราะท่านจะสิ้นกิเลสในอัตภาพนั้นหรือไม่ก็ไปสิ้นกิเลสบนพรหมโลก ไม่ได้มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว

    ถ้าเป็นพระอนาคามีท่านจะละกามได้เด็ดขาด ไม่มีลูกเมียตั้งแต่ที่บรรลุแล้ว และคุณ tjs ก็ยอมรับเองว่า พระโพธิสัตว์ทุกพระองค์จะต้องมีลูกเมียก่อนตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าไม่ใช่หรือ การมีลูกก็เกิดจากกามระคะ ซึ่งขัดแย้งจากนิยามพระอนาคามีว่าต้องละกามราคะได้อย่างถาวรไงครับ

    ส่วนที่ผมยกตัวอย่างโชติปาละโพธิสัตว์ เพราะเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน และมีหลักฐานชัดเจน

    และผมขอพูดถึงเรื่องบารมีเพิ่มเติมนะครับ
    พระโพธิสัตว์ที่จะได้รับคำยืนยันจากพระพุทธเจ้าได้เนี่ย บารมีท่านต้องเทียบเท่ากับพระที่จะบรรลุอรหันต์เสียก่อน จึงจะได้รับคำยืนยันจากพระพุทธเจ้าได้ (มีความสามารถพอที่จะบรรลุอรหันต์อย่าว่าแต่พระอนาคามีเลย แต่ไม่บรรลุเพราะเดินวิปัสสนาต่อไม่ได้ เหมือนโค้ชที่สอนนักกีฬาโอลิมปิกเหรียญทอง คือมีความสามารถพอที่แข่งชนะ แต่ไม่ได้ลงแข่งจึงไม่ได้เหรียญ) จึงไม่มีพระนิยตโพธิสัตว์ที่ไหนหรอกครับที่จะไม่เกี่ยวข้องกับการภาวนา เพราะทุกองค์ต้องภาวนาอยู่แล้ว ถ้าไม่ภาวนาก็คือขาดเนกขัมมะบารมี บำเพ็ญบารมีไม่ครบ ก็ยากที่จะได้รับคำยืนยันจากพระพุทธเจ้า ถ้าไม่ปฏิบัติภาวนา

    แต่ท่านก็ยังเป็นปุถุชนอยู่ ยังพร้อมจะทำบาปและลงนรกได้ในชาติถัดๆไป เพราะจิตท่านไม่สามารถเดินวิปัสสนาญาณต่อไปจนถึงขั้นตัดสังโยชน์ได้อย่างถาวร เนื่องจากความปรารถนาพุทธภูมิมากั้นไว้ ตามที่หลวงปู่มั่นเล่าให้ฟัง จึงยังมีกิเลสอยู่ครบ

    ต่างจากพระอริยบุคคลที่ละกิเลสสังโยชน์ ที่จะก่อให้เกิดบาปและนำไปสู่อบายได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 มิถุนายน 2013
  10. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,364
    ===========

    อย่างไรก็ตามกระผมขอยืนยันว่า
    ความเป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามี และพระอนาคามี สามารถเกิดได้กับ ทุกคน จะเป็นพระโพธิสัตว์หรือไม่ไม่เกี่ยว จะเป็นพระสงฆ์หรือไม่ม่เกี่ยว จะเป็นใครก็ตามไม่เกี่ยว ขอให้เธอเหล่านั้นเดินทางปฏิบัติธรรม ตามหลักธรรมที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ ใครทำใครได้ ใครทำได้มากก็บรรลุมาก ก็ขึ้นอยู่ที่ตัวท่านจิตของท่านครับ


    ขอจำกัดใดๆเงื่อนไขใดๆมันไม่มีผลหรอก มันอยู่ที่จิตของท่านอย่างเดียวครับ
    กระผมเชื่อในสิ่งที่พระองค์ตรัสไว้ หากเรากระทำเหตุไว้อย่างไร เราจะได้รับผลอย่างนั้น หากเราปฏิบัติธรรมดีงามอย่างไร เราก็ย่อมได้รับผลอย่างนั้น ไม่เกี่ยวว่าเราจะเป็นใคร เพราะความเป็นนั่นเป็นนี่ เหล่านี้ล้วนเป็นเปลือกนอกที่สมมุติเท่านั้นครับ ขอให้ใช้ปัญญาให้มากพิจารณาให้ลึกลงไปข้างในจิต และท่านจะพบคำตอบที่แท้จริง สิ่งที่เป็นความสัตย์จริงครับ สาธุ

     
  11. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,364
    รู้จริง รู้จัง รู้จำตั้งมากมาย แต่ทำไม่ได้ ก็ไม่มีประโยชน์
    รู้ไม่จริง รู้ไม่จัง จำไม่ได้ แต่ทำได้ นับว่าดีมีประโยชน์
    ชีวิตจึงต้องรู้จริง รู้จัง รู้จำ และต้องทำให้ได้จริง จึงจะดีมีประโยชน์สูงสุด ครับ สาธุ
     
  12. อภิมาร

    อภิมาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    711
    ค่าพลัง:
    +2,154


    ทำไมต้องไปอยากให้เขาเชื่อด้วยล่ะ.
     
  13. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    จริงครับ ใครปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ย่อมบรรลุธรรม
    แต่พระโพธิสัตว์มี 2 แบบ
    1. อนิยตโพธิสัตว์ พวกนี้บรรลุธรรมเป็นอริยบุคคลได้ และเมื่อได้บรรลุธรรมแล้ว เรียกว่า อนุพุทธะ (สาวกภูมิ) ความเป็นพระโพธิสัตว์ก็จะหมดไป หมดสิทธิ์ที่จะเป็นพระพุทธเจ้าอีกต่อไป
    2. นิยตโพธิสัตว์ พวกนี้จะบรรลุธรรมในฐานะพระพุทธเจ้าเท่านั้น ไม่บรรลุเป็น พระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี และ อรหันต์(ที่เป็นสาวกภูมิ)

    คุณ tjs ยังไม่ตอบผมเลย ว่าคุณทราบได้อย่างไรว่า
    หลวงปู่ทวด หลวงพ่อโต หลวงพ่อปาน ท่านเหล่านี้บรรลุโสดาฯ หรือ สกทาคามี หรือ อนาคามี และจะเกิดเป็นพระพุทธเจ้าได้ในชาติถัดๆไป?

    แต่ที่ผมพยายามจะบอกก็คือ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า

    เมื่อบรรลุธรรมขั้น อนาคามี แล้ว จะไม่เกิดในมนุษย์ภูมิอีกต่อไป และหมดสิทธิ์เป็นพระพุทธเจ้า เท่านั้นเองแหละครับ

    นี่ไม่ใช่คำพูดของผม แต่เป็นพระพุทธพจน์ ส่วนคุณจะเชื่อนิมิตของคุณหรือเชื่อพระพุทธเจ้าก็แล้วแต่วิจารณญาณของคุณเองละกันครับ
     
  14. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,364
    พระพุทธเจ้าท่าน ตรัสไว้ตรงไหนอย่างไรครับ ผมก็ศึกษาพระไตรปิฏกมามากเช่นกัน
    ขอยืนยันว่า ท่านไม่เคยกล่าวไว้อย่างนั้น ขอที่มาที่ชัดเชนช่วยคัดลอกมาหน่อยครับ

    คุณ tjs ยังไม่ตอบผมเลย ว่าคุณทราบได้อย่างไรว่า
    หลวงปู่ทวด หลวงพ่อโต หลวงพ่อปาน ท่านเหล่านี้บรรลุโสดาฯ หรือ สกทาคามี หรือ อนาคามี และจะเกิดเป็นพระพุทธเจ้าได้ในชาติถัดๆไป?

    ขอตอบว่าทุกๆพระองค์ที่กระผมกล่าวมา ในสายพุทธภูมิและสายอภิญญาเขาทราบกันดีว่าใครเป็นอะไรมีภูมิจิตภูมิธรรมอย่างไร บรรลุธรรมอย่างไร

    ขออธิบายเสริมว่า ผมดูจากจริยะวัตรของท่านและความดีที่ท่านประกอบตลอดจนความรอบรู้ในทางธรรมที่ท่านสื่ออกมาสั่งสอนลูกหลานหรือญาติโยมที่ไปขอคำแนะนำจากท่านตลอดจนประวัติการเทศอบรมสั่งสอน ล้วนเป็นธรรมะชั้นสูงและแน่นอนอภิญญาส่วนหนึ่งที่ท่านมี ก็เป็นผลจากการบรรลุธรรมในระดับหนึ่งๆ สุดท้ายทุกพระองค์ที่กล่าวมา ท่านเป็นผู้ทรงศีล ดำรงมั่นด้วยพระรัตนตรัย เป็นผู้ห่างไกลแล้วจากกามราคะโดยสิ้นเชิง และเมื่อเทียบกับสังโยชน์ ด้วยจริยะวัตรของท่าน ด้วยปัจจัยประกอบในความเป็นท่าน กระผมจึงมั่นใจได้ว่า ท่านเป็นยิ่งกว่า ปุถุชนกัลยานมิตร แต่ท่านเป็นดั่งเช่นพระอริยะเช่นกัน ครับ สาธุ

     
  15. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,364
    ผมว่าผมก็ตอบเคลียร์แล้วนะครับ ผมเองก็ไม่ได้มีทิฏฐิมานะอะไร กับคุณ tjs เลย เพราะผมตอบตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า

    "พระอนาคามีนั้น ไม่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก เพราะละสังโยชน์ได้ 5 ประการ"


    ขอทราบที่มาครับว่าคัดลอกมาจากที่ไหนวรรคไหน หน้าไหนครับ

    อนึ่ง พระวัจนะก็ดี พระไตรปิฏกก็ดี ส่วนหนึ่ง เราก็ทราบดีว่าเกิดจากการรวบรวมและเรียบเรียงแก้ไขโดยพระอรหันต์ แน่นอนว่า ส่วนใหญ่เป็นของจริงแท้ของพระพุทธเจ้า และอีกส่วนคือการเพิ่มเสริมเติมแต่ง

    สุดท้ายกระผมจึงไม่อยากให้ยึดติดตำราให้มากแต่เราต้องทำหรือต้องปฏิบัติให้ได้ด้วยตนเองเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องทำให้ได้ครับเพื่อความหยั่งรู้ต่างๆในจิตตน

    อนึ่งกระผมขอกล่าวเสริมว่า พระธรรมบางส่วนพระพุทธเจ้า กล่าวโดยส่วนใหญ่มีธรรมชาติเป็นอย่างนั้นจึงกล่าว
    อธิบายไว้อย่างนั้น แต่ก็อาจจะมีใบไม้บางส่วนที่ท่านอาจจะไม่ได้กล่าวถึงเพราะเป็นส่วนน้อยหรือเป็นส่วนพิศดารเฉพาะบุคคลเฉพาะส่วน ฉนั้นธรรมทั้งหลาย เราไม่ควรประมาทว่า จะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ให้เราปฏิบัติธรรมสั่งสมให้มากยิ่งๆขึ้นไป ให้มาก และในที่สุดก็จะเกิดปัญญารู้แจ้งเฉพาะตนได้ในที่สุดครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มิถุนายน 2013
  16. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    บุคคลชื่อว่าอนาคามี เป็นไฉน
    บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะความสิ้นไปรอบแห่งโอรัมภาคิยสัญโญชน์
    ทั้ง ๕ มีกำเนิดเป็นอุปปาติกะ ปรินิพพานในเทวโลกชั้นสุทธาวาสนั้น มีอัน
    ไม่กลับมาจากโลกนั้นเป็นธรรมดา บุคคลนี้เรียกว่า อนาคามี
    [๕๒] บุคคลชื่อว่าอันตราปรินิพพายี เป็นไฉน
    บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะความสิ้นไปรอบแห่งโอรัมภาคิยสัญ-
    *โญชน์ทั้ง ๕ มีกำเนิดเป็นอุปปาติกะ ปรินิพพานในเทวโลกชั้นสุทธาวาสนั้น มี
    อันไม่กลับมาจากโลกนั้นเป็นธรรมดา บุคคลนั้น ย่อมยังอริยมรรคให้เกิดขึ้น
    เพื่อละสัญโญชน์อันมีในเบื้องบน ในระยะเวลาติดต่อกับที่เกิดบ้าง ยังไม่ถึง
    ท่ามกลางกำหนดอายุบ้าง บุคคลนี้เรียกว่า อันตราปรินิพพายี
    [๕๓] บุคคลชื่อว่าอุปหัจจปริพพายี เป็นไฉน
    บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะความสิ้นไปรอบแห่งโอรัมภาคิยสัญ-
    *โญชน์ทั้ง ๕ มีกำเนิดเป็นอุปปาติกะ ปรินิพพานในเทวโลกชั้นสุทธาวาสนั้น
    มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา บุคคลนั้น ย่อมยังอริยมรรคให้เกิดขึ้น เพื่อ
    ละสัญโญชน์อันมีในเบื้องบน เมื่อล่วงพ้นท่ามกลางกำหนดอายุบ้าง เมื่อใกล้จะ
    ทำกาลกิริยาบ้าง บุคคลนี้เรียกว่า อุปหัจจปรินิพพายี
    [๕๔] บุคคลชื่อว่าอสังขารปรินิพพายี เป็นไฉน
    บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะความสิ้นไปรอบแห่งโอรัมภาคิยสัญโญชน์
    ทั้ง ๕ มีกำเนิดเป็นอุปปาติกะ ปรินิพพานในเทวโลกชั้นสุทธาวาสนั้น มีอันไม่
    กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา บุคคลนั้นย่อมยังอริยมรรคให้เกิดขึ้นโดยไม่ลำบาก
    เพื่อละสัญโญชน์อันมีในเบื้องบน บุคคลนี้เรียกว่า อสังขารปรินิพพายี
    [๕๕] บุคคลชื่อว่าสสังขารปรินิพพายี เป็นไฉน
    บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะความสิ้นไปรอบ แห่งโอรัมภาคิยสัญ-
    *โญชน์ทั้ง ๕ มีกำเนิดเป็นอุปปาติกะ ปรินิพพานในเทวโลกชั้นสุทธาวาสนั้น
    มีอันไม่กลับมาจากโลกนั้นเป็นธรรมดา บุคคลนั้น ย่อมยังอริยมรรคให้เกิดขึ้น
    โดยลำบาก เพื่อละสัญโญชน์อันมีในเบื้องบน บุคคลนี้เรียกว่า สสังขารปรินิพพายี
    [๕๖] บุคคลชื่อว่าอุทธังโสโตอกนิฏฐคามี เป็นไฉน
    บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะความสิ้นไปรอบแห่งโอรัมภาคิยสัญโญชน์
    ทั้ง ๕ มีกำเนิดเป็นอุปปาติกะ ปรินิพพานในเทวโลกชั้นสุทธาวาสนั้น มีอันไม่
    กลับมาจากโลกนั้นเป็นธรรมดา บุคคลนั้น จุติจากอวิหาไปอตัปปา จุติจากอตัปปา
    ไปสุทัสสา จุติจากสุทัสสาไปสุทัสสี จุติจากสุทัสสีไปอกนิฏฐา ย่อมยังอริยมรรค
    ให้เกิดขึ้นในอกนิฏฐา เพื่อละสัญโญชน์เบื้องบน บุคคลนี้เรียกว่า อุทธังโสโตอก
    นิฏฐคามี
    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=36&A=2893&w=%CD%B9%D2%A4%D2%C1%D5

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลที่โผล่ขึ้นมาแล้วได้ที่พึ่งอย่างไร บุคคลบางคนใน
    โลกนี้ โผล่ขึ้นมาได้ คือ เขามีธรรมเหล่านี้ คือ ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ
    วิริยะ ปัญญา ชั้นดีๆ ในกุศลธรรมทั้งหลาย เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕
    สิ้นไป เขาเป็นพระอนาคามี จักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้น
    เป็นธรรมดา บุคคลที่โผล่ขึ้นมาแล้วได้ที่พึ่งอย่างนี้แล ฯ
    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=23&A=233&Z=278

    ดูกรสารีบุตร อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ ละโอรัมภาคิยสังโยชน์ได้แล้ว
    เขาบรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนะ ในปัจจุบัน บุคคลนั้นชอบใจ ยินดี และถึง
    ความปลื้มใจ ด้วยเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น ยับยั้งในเนวสัญญานา-
    *สัญญายตนะนั้น น้อมใจไป อยู่จนคุ้นในเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น ไม่เสื่อม
    เมื่อกระทำกาละ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเหล่าเทวดาผู้เข้าถึงชั้นเนวสัญญา-
    *นาสัญญายตนภพ เขาจุติจากชั้นนั้นแล้ว ย่อมเป็นอนาคามี ไม่กลับมาสู่ความ
    เป็นอย่างนี้
    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=21&A=4300&Z=4616


    ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลจำพวกไหน ละโอรัมภาคิยสังโยชน์ได้ แต่ยัง
    ละสังโยชน์อันเป็นปัจจัยเพื่อให้ได้อุบัติไม่ได้ ยังละสังโยชน์อันเป็นปัจจัยเพื่อ
    ให้ได้ภพไม่ได้ คือ พระอนาคามีผู้มีกระแสในเบื้องบน ไปสู่อกนิฏฐภพ ดูกร-
    *ภิกษุทั้งหลาย บุคคลนี้แล ละโอรัมภาคิยสังโยชน์ได้ แต่ยังละสังโยชน์อันเป็น
    ปัจจัยเพื่อให้ได้อุบัติไม่ได้ ยังละสังโยชน์อันเป็นปัจจัยเพื่อให้ได้ภพไม่ได้ ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลจำพวกไหน ละโอรัมภาคิยสังโยชน์ได้
    ละสังโยชน์อันเป็นปัจจัยเพื่อให้ได้อุบัติได้ แต่ยังละสังโยชน์อันเป็นปัจจัยเพื่อ
    ให้ได้ภพไม่ได้ คือ พระอนาคามีผู้อันตราปรินิพพายี ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล
    นี้แล ละโอรัมภาคิยสังโยชน์ได้ ละสังโยชน์อันเป็นปัจจัยเพื่อให้ได้อุบัติได้
    แต่ยังละสังโยชน์อันเป็นปัจจัยเพื่อให้ได้ภพไม่ได้ ฯ
    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=21&A=3712&Z=3834


    พระอนาคามี ๕
    ๑. อันตราปรินิพพายี [พระอนาคามีผู้ที่จะปรินิพพานในระหว่างอายุยังไม่ทันถึงกึ่ง]
    ๒. อุปหัจจปรินิพพายี [พระอนาคามีผู้ที่จะปรินิพพานต่อเมื่ออายุพ้นกึ่งแล้ว จวนถึงที่สุด]
    ๓. อสังขารปรินิพพายี [พระอนาคามีผู้ที่จะปรินิพพานด้วย ไม่ต้องใช้ความเพียรนัก]
    ๔. สสังขารปรินิพพายี [พระอนาคามีผู้ที่จะปรินิพพานด้วย ต้องใช้ความเพียร]
    ๕. อุทธโสโต อกนิฏฐคามี [พระอนาคามีผู้มีกระแสในเบื้องบนไปสู่ชั้นอกนิฏฐภพ] ฯ
    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=11&A=4501&Z=7015

    พรหมายุพราหมณ์เป็นอุปปาติกะ (อนาคามี) จักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดาเพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป.
    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=13&A=9195&Z=9483
     
  17. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    นิยามพระอนาคามีคือละ โอรัมภาคิยสังโยชน์ (สังโยชน์เบื้องต่ำ 5 ประการ) อันมี กามราคะ เป็นต้น ได้แล้วอย่างเป็นสมุทเฉทประหาร คือ ละได้อย่างถาวร นี่เป็นนิยามสากล ใช้ได้ทุกกรณีครับ

    แต่พระโพธิสัตว์ทุกองค์ในชาติสุดท้ายที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ต้องผ่านการมีเมียและมีลูก ทุกองค์ ตามที่คุณ tjs เองก็ยอมรับว่าเป็น พุทธประเพณี

    ซึ่งการมีลูกได้นั้นเพราะว่า ยังมี กามราคะ อยู่ นี่เป็นหลักฐานชัดเจนว่า พระโพธิสัตว์ไม่ใช่พระอนาคามี แต่จะละกามราคะได้หลังจากได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว


    อย่างที่บอกไงครับ พระโพธิสัตว์สามารถบรรลุธรรมเป็น อริยบุคคลขั้น เสขะบุคคลได้ (โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี) แต่ต้องลาพุทธภูมิก่อน จึงบรรลุได้ และเมื่อบรรลุแล้ว ก็เป็นสาวกภูมิ ไม่ใช่พระโพธิสัตว์ที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอีกต่อไป

    ถ้าอย่างนั้น นิยามพระอนาคามีของคุณ tjs คืออะไร คือ ละสังโยชน์ได้ 4 ประการงั้นหรือครับ ถ้าเช่นนั้นก็เป็นนิยามของคุณ tjs เองไม่ใช่นิยาม ของพระพุทธเจ้า

    แบบนี้เหมือนกับการที่เรียกโต๊ะว่า เก้าอี้ไงครับ คือ ถูกของคุณคนเดียว แต่ไม่ใช่นิยามสากลของธรรมที่ครอบโลกธาตุ
     
  18. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,364
    ขอบคุณครับ ที่ท่านได้นำพระธรรมที่พระองค์ตรัสกล่าวไว้มาแสดงครับ

    ท่านทราบหรือไม่ว่า พระธรรมที่พระพุทธองค์กล่าวสอนข้างบนนี้

    ท่านมีเจตนากล่าวสอนให้เข้าใจและรู้ว่า
    การก้าวไปสู่ความสำเร็จในความเป็นอรหันต์ของพระอนาคามี นั้นเป็นอย่างไร
    มีการก้าวไปอย่างไร พระอนาคามีที่อยู่ในอรูปพรหมเหล่านั้นจักต้องเจริญในธรรมอย่างไร ตัดละกามราคะ อุปกิเลส สังโยชน์อะไรอย่างไร จึงสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้ โดยไม่ต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก นี่คือเจตนาที่พระองค์ต้องการกล่าวแสดงให้ทราบ

    ตรงนี้กระผมเข้าใจดีนี่คือวิถีปกติของพระอนาคามีโดยทั่วไปที่ไม่มีสัญญาใดๆไม่มีปราถนาใดๆติดค้างอยู่ เธอทั้งหลายจึงทำลายสัญญาเหล่านั้นลงได้ ประกอบกับไม่ปราถนาในกามราคะใดๆอีกแล้ว จึงไม่มีเหตุให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดเป็นคนและสัตว์อีก

    ส่วนที่กระผมกล่าวมานั้นพระพุทธองค์ไม่ได้กล่าวถึง แต่ที่กระผมกล่าวไปนั้นก็อาศัยเหตผลว่า ทุกอย่างเป็นไปตามกรรม ด้วยความเพียรทางจิต ย่อมนำเธอไปสู่การบรรลุธรรมได้เสมอตามกำลังปัญญาและภูมิความเพียรของเธอทั้งหลายครับ

     
  19. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    ๓. พระผู้มีพระภาคย่อมทรงทราบบุคคลอื่น ด้วยมนสิการโดยชอบเฉพาะ
    พระองค์ว่า บุคคลนี้จักเป็นพระอนาคามีผู้อุปปาติกะปรินิพพานในภพที่เกิดนั้น ไม่
    ต้องกลับมาจากโลกนั้น เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป ฯ
    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=11&A=2130&Z=2536

    ช่างหม้อฆฏิการะ เป็นอุปปาติกะ จะปรินิพพานในภพนั้น มีการไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดาเพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ห้าประการหมดสิ้นไป.
    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=13&A=6596&Z=6824

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยหนึ่ง เราอยู่ที่ควงไม้พญาสาลพฤกษ์ ใน
    ป่าสุภวัน ใกล้อุกกัฏฐนคร ภิกษุทั้งหลายเมื่อเรานั้นไปเร้นอยู่ในที่ลับ เกิดความ
    รำพึงในใจว่า ชั้นสุทธาวาสซึ่งเรามิได้เคยอยู่เลย โดยเวลาอันยืดยาวนานนี้
    นอกจากเทวดาเหล่าสุทธาวาสแล้ว ไม่ใช่โอกาสที่ใครๆ จะได้โดยง่าย ถ้า
    กระไรเราพึงเข้าไปหาเทวดาเหล่าสุทธาวาสจนถึงที่อยู่ ภิกษุทั้งหลายทันใดนั้น เรา
    ได้หายไปที่ควงไม้พญาสาลพฤกษ์ ในป่าสุภวันใกล้อุกกัฏฐนคร ไปปรากฏใน
    พวกเทพดาเหล่าอวิหา เปรียบเหมือนบุรุษที่มีกำลัง เหยียดออกซึ่งแขนที่คู้เข้าไว้
    หรือคู้เข้าซึ่งแขนที่เหยียดออกไว้ ฉะนั้น ฯ

    ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ พวก
    ข้าพระองค์ ประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาค คลายความพอใจในกาม
    ทั้งหลายแล้ว จึงได้บังเกิดในที่นี้ ฯ
    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=10&A=0&Z=1454
     
  20. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    หากเข้าใจคำว่า "ทรงอารมณ์ กับ สิ้นสังโยชน์ตามระดับ(สมุจเฉทปหาน)" ก็คงจะเข้าใจกันได้กระมัง

    มีคลิปนิทานชาดก มาให้รับชม และได้อ่านศึกษาตามลิ้ง

    <iframe width="420" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/7BjJ-8L0fgA?rel=0" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>


     

แชร์หน้านี้

Loading...