แนวคิดส่วนหนึ่งของจุดเริ่มต้นสิ่งมีชีวิต..ที่เรียกว่าจิตนั่นเริ่มมาจาก

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย โซ, 10 ตุลาคม 2014.

  1. nosono

    nosono เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2013
    โพสต์:
    249
    ค่าพลัง:
    +259
    สีแดง ไช่ครับ คุณพูดถูกครับ ว่าอวิชชามาจากตัวเราเอง

    แล้วเมื่อทราบว่า มีอวิชชา เพราะมีตัวเรานั่นเอง

    แล้วทำยังไง จะ ไม่มีอวิชชา ล่ะ

    ถามใหม่ครับ ตัวเรา มีอยู่ใน อดีต หรือ ปัจจุบัน หรือ อนาคต ล่ะครับ
     
  2. nosono

    nosono เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2013
    โพสต์:
    249
    ค่าพลัง:
    +259
    ความจริง จิตธรรมชาติ ไม่มีนะครับ

    มีแต่อายตนะเครื่องรับรู้ ตามธรรมชาติ ตามสมมุติที่ได้เกิดมา เป็นสัตว์แต่ละชนิด เท่านั้น ยกเว้น เครื่องรับรู้อายตนะทั้ง6 เกิดการ ถูกเปรียบเทียบ กันเอง (เพราะการเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปของแต่ละสิ่ง ไม่เท่ากัน อายุขัยไม่เท่ากัน อาหารที่หล่อเลี้ยงไม่เหมือนกัน) เกิดมามีสมมุติไม่เหมือนกัน เพราะต่างก็มีอายตนะ ของใครของมัน เลยทำให้ เกิดการเปรียบเทียบหรือสงสัย ว่า เอ เราอร่อย คนอื่นจะอร่อยเหมือนเราไหมนะ เอ เราไม่ชอบ คนอื่นจะไม่ชอบเหมือนเราใหมนะ

    แค่นี้เอง จุดกำเนิด อวิชชา เพราะ เอาตัวเราไปเปรียบเทียบตัวคนอื่น

    เพราะมี ตัวตน นั่นเอง
     
  3. ิBat of light

    ิBat of light เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2012
    โพสต์:
    687
    ค่าพลัง:
    +842
    แหม...เห็นเค้าถกกันแล้ว รู้สึกดีใจจัง
    ที่เราไม่ได้อยากรู้เรื่องแบบนั้น โชคดีชะมัดยาด ๕๕๕

    ขอแค่รู้ตัว ว่ามันมาแล้ว ภายในไม่กี่วิ
    ระบบออโต้แห่งจิตของผู้มีปกติฝึกฝนจิต ก็ตรวจจับได้
    แล้วระบบเรด้าห์ติดตาม ก็ตามติดการปรุงแต่งของอวิชานั้นๆ

    ตามติดไปทุกระยะนาโนวินาที ไม่ให้มีช่องว่างเกิดขึ้นได้
    ป้องกันไม่ให้มันไปปรุงแต่งเวทนา อันจะก่อให้เกิดตัณหา
    แม้บางครั้ง มันจะปรุงแต่งไปได้ ก็ไปได้ไม่ไกลนักหรอก จะบอกให้

    เมื่อควบคุมไม่ให้เกิดตัณหาได้ แม้มีเวทนาบ้าง ก็ช่างหัวมัน
    เมื่อนั้น ทุกข์ก็ถูกมองเห็นได้ ในระยะสายตา ปัญหาก็ย่อมไม่อาจมีได้
    ก็เท่ากับทุกข์ไม่มี หรือมีก็แป๊บเดียวเอง แล้วก็เหี่ยวหดหายไปสิ้น

    เมื่อทุกข์ถูกควบคุมได้ ก็จบกิจสิ้นการใดๆ
    อวิชาจะมาจากไหนหรือจะไหลไปทางไหน
    ก็ไม่ใช่เรื่องที่สำคัญอีกต่อไป ใช่ไม๊

    แกนหลักของพุทธะ จริงๆ แล้วมีแค่นี้รึเปล่าน๊า
    กล่าวแต่เพียงเรื่องของทุกข์ และการดับทุกข์
    ไม่เห็นอยากรู้มากไปกว่านี้เลย ๕๕๕

    ดีใจจัง ที่ไม่ได้ร่ำเรียนมามากมาย ไม่ฉลาดปราดเปรื่อง เลยไม่ทุกข์


    กระต่ายกลายพันธุ์ / ลูกนาฬิเกร์

    .
     
  4. nosono

    nosono เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2013
    โพสต์:
    249
    ค่าพลัง:
    +259
    ที่คุณกล่าวมานั้น ถือว่า ดีครับ รู้ทันการเกิดของทุกสภาวะ ตามแต่ที่คุณจะรู้ได้ทัน แล้ว ถ้าคุณ แค่รู้ทันแล้ว ต้อง ตามติดดูทุกวินาทีเพื่อไม่ให้ตัณหาเกิด ผมว่า ยังไม่เข้าขั้น ไร้กระบวนท่า หรอกนะครับ

    ยกเว้น คุณ จะพูดใหม่ ว่า ทุกข์ไม่มี ทุกข์ไม่เกิด ทุกข์ไม่ดับ ไม่มีทุกข์ มีแต่ สภาวะตามปกติของกายใจที่ปรุงร่วมกันเท่านั้น ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่และ ดับไปเอง ไม่ต้องตามไปดูให้ เสียเวลา ผมว่าถ้าคุณพูดแบบนี้ น่าจะถึงขั้น ไร้กระบวนท่านะครับ

    หรือว่า คุณ มีความเข้าใจเป็นอย่างอื่น ก็ลอง เสนอแนะมาครับ
     
  5. nosono

    nosono เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2013
    โพสต์:
    249
    ค่าพลัง:
    +259
    เลยไม่ทุกข์ ที่คุณกล่าว

    เพราะ ดับทุกข์ทัน ตลอดที่ทุกข์มันเกิด หรือ ป้องกันได้แบบออโต้ ตามที่คุณกล่าวมาข้างบน

    หรือ มีมั้ย ที่ ถ้าดับทุกข์ได้จริงๆแล้ว ก็ไม่ต้องมานั่งคอยตามดับ หรือ ต้องมีเครื่องดับทุกข์แบบออโต้ ล่ะครับ

    หรือ ถ้าไม่มีตัวตนแล้ว จะต้อง ไปสนใจใน ทุกข์ทั้งหลาย ไปทำไมกันนะ
     
  6. nosono

    nosono เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2013
    โพสต์:
    249
    ค่าพลัง:
    +259
    เอ .....แล้วใครกันนะ ที่สร้างตัวตนขึ้นมาเป็นคนแรก ล่ะ

    นั่นสิ คำถามนี้ ข้อสงสัยนี้ จำเป็นมั้ยครับ ที่ต้องสงสัย ที่ต้องตั้งเป็นคำถาม

    แล้ว จะถามเอาคำตอบ จากตัวตนของใครกันล่ะ ตัวตนใครกันจะมาตอบให้ ล่ะ
     
  7. nosono

    nosono เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2013
    โพสต์:
    249
    ค่าพลัง:
    +259
    เอาคำตอบ จากตัวตน ของตนเอง ได้มั้ยครับ
    ว่า สร้างตัวตน ขึ้นมาเพื่ออะไร

    หรือเพราะมีอาหารให้เสวย จึงต้อง มีตัวตน
    หรือเพราะต้องมีตัวตน จึงจะเสวยอาหารเหล่านั้นได้

    หรือเพราะคนอื่นเขามีตัวตนกัน เราต้องมีบ้าง เพื่อแย่งกันเสวยอาหารได้
    ถ้ามีตัวตน ต้องมีการ ปกป้องตัวตนมั้ยครับ

    ถ้ามีตัวตน มันมีอะไรมากมายเกิดตามมามั้ยครับ
    ถ้าไม่มีตัวตน สิ่งอื่นๆทั้งหลาย เราต้องแคร์กับมันมั้ยครับ

    อะไรคือ ความหลุดพ้น กันนะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ตุลาคม 2014
  8. ิBat of light

    ิBat of light เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2012
    โพสต์:
    687
    ค่าพลัง:
    +842
    กระบวนท่า มีไว้เพื่อแสดงให้คนอื่นดูไงครับ
    เป็นข้อจำกัดของภาษาทางจิต ที่ต้องแสดงออกด้วยภาษา หรือกระบวนท่า
    แต่ถ้ายามที่สติทำงานได้ดีตามปกติ ก็ไม่ต้องใช้ หรือโชว์ท่าใดๆ

    การพูดแบบนี้ ก็เป็นเพราะต้องพูดให้เป็นแบบแมสโปรดักส์ไงครับ
    ให้มันกว้างๆ ไว้ก่อน ผู้อ่านมีจิตอยู่ระดับไหนบ้าง ก็ยากจะคาดเดาได้ทั้งหมด
    ถ้าปีนบันไดพูด ก็จะมีคนเข้าใจได้น้อย ซึ่งเค้าก็เข้าใจกันอยู่แล้ว
    ประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นได้ ก็จะน้อย ลูกค้าไม่มาก ก็จะได้กำไรน้อยไป ไม่คุ้ม

    จะพูดให้คนฟัง ต้องให้เค้าเกิดประโยชน์ด้วยสิครับ ถึงจะเท่ห์
    พูดให้สวยๆ หรูๆ ใช้คำประดิดประดอยให้งดงาม มันก็แค่นั้น
    เท่ห์ แต่กินไม่ได้ ฟังแล้วทำตามไม่ได้ เข้าใจไม่ได้
    ใช้ข้ามขีดจำกัด ที่พวกเค้าติดอยู่ไม่ได้ ไม่เกิดการพัฒนาทางจิต
    เรื่องแบบนั้น มีคนทำแยะแล้ว เราไม่โหลแบบนั้นหรอกครับ ๕๕๕


    ไม่ทุกข์ หรือทุกข์แค่ไม่กี่วิ ตอนที่มันเกิด หรือกระทบกับอายตนะนั้น
    ในทางปฏิบัติแล้ว ข้อแตกต่างกันมีไม่มากนักหรอก มั้ง นะ

    ธรรมชาติของอายตนะ เค้ามีไว้เพื่อรับการกระทบ ใครจะไปห้ามมันได้
    เหล่าผู้ปฏิบัติ ก็ฝึกฝนเพื่อการนี้ทั้งสิ้น ต่อให้ใกล้ประตูแค่ไหนก็เหอะน่า

    การไม่เกิดทุกข์เลยนั้น บางทีก็อันตรายเกินไป ต่อการหลงตัวเองได้
    เพราะบ่อยครั้งที่มันไม่เกิดทุกข์ เพราะโดนทับไว้ด้วยสมาธิ หรือข่มไว้ด้วยฌาน

    การปล่อยให้มันเกิด แล้วเฝ้าดูไว้ ในระยะสายตา น่าจะปลอดภัยกว่า
    สำหรับผู้มีปกติฝึกฝนจิต แม้จะใกล้บรรลุ แต่ก็ยังไม่บรรลุ ใช่ไม๊เอ่ย


    กระต่ายกลายพันธุ์ / ลูกนาฬิเกร์

    .
     
  9. nosono

    nosono เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2013
    โพสต์:
    249
    ค่าพลัง:
    +259
    สีแดง ก็ไหนว่า ไม่ไห้พูดไงครับ ทำไมพูดซะเองล่ะ

    ความจริง ถ้าผมจะเรียก ความทุกข์ ว่า เป็น เวทนาสุข เวทนาทุกข์ ได้มั้ยครับ จะได้แยกแยะให้ชัดเจนและเข้าใจกัน กว่า จะเรียกรวมๆกันว่า แค่ ความทุกข์


    เวทนามันเกิดอยู่ไม่หยุดตราบที่กายใจ ยังมีชีวิตอยู่ ไม่เรียกทุกข์ ก็ น่าจะเข้าใจได้อีกแบบนะครับ แค่เรียกว่า ก็แค่ เวทนาที่กายใจมี
     
  10. ิBat of light

    ิBat of light เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2012
    โพสต์:
    687
    ค่าพลัง:
    +842
    ตรงสีแดง ไม่เข้าใจแฮะ ว่าท่านหมายความว่าอย่างไร สงสัยเฉลียวไม่พอ
    ไปย้อนอ่านดูโพสท์ของเรา ก็ไม่เห็นมีข้อความห้ามไว้นี่หน่า ยังไงหรือ

    ท่านจะเรียกอย่างไร เราจะไปบอกท่านทำไม ตามใจท่านดิ เค้าไม่สนหรอก
    แต่กิ๋นของเรา บอกว่า ทุกข์คือสิ่งทีทนได้ยาก สุขคือสิ่งที่ไม่ต้องทนรับไว้
    เอาง่ายๆ แค่นี้ เราก็ว่ามันไม่เหมือนกันแล้ว ล่ะมั้ง นะ
    ต่างกันจนสุดปลายแต่ละข้าง ของสิ่งที่ปรากฏเป็นคู่

    ปัญหาของชาวบ้านทั่วไปคือทุกข์ และนั่นคือสิ่งที่เราสนใจ
    ส่วนปัญหาของท่าน คืออยากรู้ อยากเห็น อยากเรียน อยากลองของ
    นั่นเราไม่ค่อยสนใจ เว้นแต่เวลามีอารมณ์เท่านั้น จึงสนอง

    คนที่มีความรู้มาก รู้แยะ รู้ลึก รู้หลากหลาย มักชวนให้ปวดหมอง
    เค้าไม่อยากเป็นเช่นนั้น แต่ก็หลวมตัวรู้ไปแยะแล้ว ก็ช่างหัวมัน
    แล้วก็พยายามจะลืมมันไปซะให้มาก เหลือไว้เท่าที่จำเป็น ก็พอแล้ว จ๊ะ


    กระต่ายป่า ข้างวัด / ค้างคาวแห่งแสง

    .
     
  11. คนโง่โง่

    คนโง่โง่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2012
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +302
    ธรรมชาติมีการดำรงค์อยู่โดยความเป็นปรกติธรรมดา คุณก็เป็นคนที่เลือกเข้ามาเองในธรรมชาตินี้ ไม่มีใครเลือก แต่คุณเข้ามาแล้วก็ไม่ได้ทำตัวแบบปรกติธรรมดา เพราะคุณเริ่มเบียดเบียนไงครับ พอเบียดเบียนแล้วยังไม่ยอมรับว่าตัวเองเบียดเบียนก็หนีกันมาเรื่อยๆจนบัดนี้ไงครับ ทั้งพุทธะและผู้ประเสริฐมากมายก็บอกว่าให้อยู่ในศีลคือการไม่เบียดเบียนพวกคุณก็ไม่ฟังกันก็ยังเบียดเบียนกันอยู่อย่างนั้นแหละ แล้วเมื่อไหร่คุณจะได้กลับไปหาตัวตนที่แท้จริงของคุณละครับ ที่คุณบอกธรรมชาติไม่มีนั้นแล้วตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนกันละครับ ทางออกก็มีบอกไว้อยู่แล้ว
     
  12. nosono

    nosono เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2013
    โพสต์:
    249
    ค่าพลัง:
    +259
    ไช่ครับ พูดมาก มาเยอะละ งั้นเข้าประเด็นเลยมั้ยครับ ว่า

    เหลือไว้เท่าที่จำเป็น ที่ท่านเข้าใจ มีอะไรบ้างครับ ถามง่ายๆนะครับ
    ตอบง่ายๆด้วยนะครับ จะได้เข้าใจง่ายด้วยครับ
     
  13. nosono

    nosono เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2013
    โพสต์:
    249
    ค่าพลัง:
    +259
    เอ่อ ผมพูดว่า จิตธรรมชาติไม่มี นะครับ ไม่ได้พูดว่า ธรรมชาติไม่มี

    คุณต้อง เอาให้หมด อ่านให้เข้าใจนะครับ จะได้พูดตรงกันครับ
     
  14. nosono

    nosono เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2013
    โพสต์:
    249
    ค่าพลัง:
    +259
    สีแดง คุณพูดได้ดีนี่ครับ ตัวตนที่แท้จริง

    คำว่า ตัวตนที่แท้จริง คือ ตัวอะไร ตรงไหน กันนะ

    อยู่ในอดีต อยู่ในปัจจุบัน หรืออยู่ในอนาคต กันนะ ตัวตนที่แท้จริงที่ไร้อวิชชาไร้อุปทาน นั่นสิ นะ

    ทางออก มีอยู่นะ ที่ประตูบานหนึ่ง เหนือประตูบานนั้น ก่อนจะออกไปได้ เหนือประตูบานนั้นมีเขียนคำถามสั้นๆ เอาไว้อยู่นะ อ่านได้ใจความว่า

    คุณคือใคร (ตอบเอง รู้เอง)
     
  15. คนโง่โง่

    คนโง่โง่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2012
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +302
    จิตมีอยู่ทุกๆที่ละครับในธรรมชาติจิตที่หลงในมิติต่างๆที่คุณสร้างขึ้นมาด้วยตัวคุรเองทั้งหลายก็ยังคงอยู่ตามภพต่างๆนั่นละครับและก็คอยส่งคลื่นความคิดเดิมๆที่เคยทำผิดพลาดมาให้รู้ตลอดเวลานั่นก็คือต้นกำเนิดอวิิชาทีคุณสร้างขึ้นมาเองครับผม
     
  16. ิBat of light

    ิBat of light เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2012
    โพสต์:
    687
    ค่าพลัง:
    +842
    เหลือไว้เท่าที่จำเป็น ในการรับมือกับความทุกข์ไงครับ
    เช่น อาณาปา ปฏิจจะ และอนัตตา มีแค่สามอันนี้ก็เหลือแหล่แล้วครับ

    อาณาปา เอาไว้สำหรับสติ
    ปฏิจจะ หรืออีกชื่อหนึ่ง คืออิทัปปัจยตา คือมันเป็นไปตามเหตุปัจจัย
    และอนัตตา ไม่มีตัวตนให้ยึดถือ แต่อันนี้ไม่ค่อยอยากพูดถึงบ่อยๆ มันอายอ่ะ


    กระต่ายป่า ข้างวัด / ค้างคาวแห่งแสง

    .
     
  17. คนโง่โง่

    คนโง่โง่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2012
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +302
    แต่สำหรับบางท่านก็มีแค่กายกับใจก็มีนะครับเพราะจะมีก็ได้ไม่มีก็ได้ครับ
     
  18. ิBat of light

    ิBat of light เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2012
    โพสต์:
    687
    ค่าพลัง:
    +842
    ที่เราว่าไว้ข้างบน ก็ยังเป็นแบบแมสโปรดักส์นะครับ
    สั้นที่สุด สำหรับชาวบ้านทั่วไป ที่ยังพอฝันได้ และไปถึง

    แต่ถ้าจะเอาคำตอบแบบเท่ห์ๆ ก็ต้องว่าอนัตตาสิครับ
    ไม่เหลืออะไรเลย มีแต่เหตุปัจจัย ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป
    ตัวตนที่จะรับรู้ หรือพิจารณาสิ่งใด ก็ไม่มีแล้ว
    เวลาก็ไม่มีแล้ว ต้องไปกวาดถูศาลาล่ะครับ ๕๕๕


    กระต่ายป่า ข้างวัด / ค้างคาวแห่งแสง

    .
     
  19. Piagk3

    Piagk3 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    606
    ค่าพลัง:
    +1,222
    อันนี้ คือ คำสอนที่ออกจากพุทธโอษฐ์ อวิชชา คืออะไร
    ภิกษุ ท. ! อวิชชา เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! ความไม่รู้อันใด
    เป็นความไม่รู้ในทุกข์, เป็นความไม่รู้ในเหตุให้เกิดทุกข์, เป็นความไม่รู้ในความ
    ดับไม่เหลือของทุกข์, ละเป็นไม่รู้ในทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์.
    ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า อวิชชา.
    ภิกษุ ท. ! ด้วยเหตุนี้แหละ, เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงเกิดมีสังขาร ;
    เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงเกิดมีวิญญาณ ; เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงเกิดมีนาม
    รูป ; เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงเกิดมีอายตนะหก ; เพราะอายตนะหกเป็น
    ปัจจัย จึงเกิดมีผัสสะ ; เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดมีเวทนา ; เพราะเวทนา
    เป็นปัจจัย จึงเกิดมีตัณหา ; เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงเกิดมีอุปาทาน ; เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงเกิดมีภพ ; เพราะภพเป็นปัจจัย จึงเกิดมีชาติ ; เพราะชาติ
    เป็นปัจจัย, ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส จึงเกิดมีพร้อม.
    ความก่อขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีได้ ด้วยอาการอย่างนี้ แล.
     
  20. Piagk3

    Piagk3 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    606
    ค่าพลัง:
    +1,222
    ปัจจัยแห่งอวิชชา
    ภิกษุ ท. ! ที่สุดในเบื้องต้นของอวิชชา ย่อมไม่ปรากฏ ; ก่อนแต่นี้
    อวิชชามิได้มี ; แต่ว่า อวิชชาเพิ่งมีต่อภายหลัง. ภิกษุ ท. ! คำกล่าว
    อย่างนี้แหละ เป็นคำที่ใคร ๆ๑ ควรกล่าว และควรกล่าวด้วยว่า “อวิชชาย่อม
    ปรากฏเพราะมีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย” ดังนี้.
    ภิกษุ ท. ! เรากล่าวว่า ถึงแม้อวิชชานั้น ก็เป็นธรรมชาติมีอาหารหา
    ใช่เป็นธรรมชาติที่ไม่มีอาหารไม่. ก็อะไรเล่า เป็นอาหารของอวิชชา ? คำตอบ
    พึงมีว่า “นิวรณ์ทั้งหลาย ๕ ประการ เป็ นอาหารของอวิชชา” ดังนี้.
    ภิกษุ ท. ! เรากล่าวว่า ถึงแม้นิวรณ์ทั้งหลาย ๕ ประการ ก็เป็นธรรมชาติ
     

แชร์หน้านี้

Loading...