จิตไม่เที่ยง จิตเกิดดับ ใครว่า จิตเที่ยง จิตดับไม่มี นี่เป็นความเห็นผิด

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมแท้, 5 พฤศจิกายน 2014.

  1. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    แปลกเหมือนกันคะ จะตอบท่านนิวรณ์ทีไร

    ทำไมต้องมีอันให้ยกเลิก ข้อความหายหมดเลยคะ

    เป็นเพราะอะไรคะ

    และอ้างอิงข้อความที่ต้องการไม่ได้เลยคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤศจิกายน 2014
  2. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ถ้า พระโพธิสัตว์ ตามตรรกศาสตร์ ตามการด้นเด้าตามๆกันมาว่า

    พระโพธิสัตว์ บารมีเลิศสุดๆ ทรงอารมณ์ พระอนาคามี


    ท่านคร้าบ ท่านชายสิทธัตธะ เนี่ยะ เป็น ที่สุดของที่สุดของ พระโพธิสัตว์ หรือยัง
    หรือว่า ต่อจาก ท่านชายสิทธิธัตธะ ยังมี พระโพธิสัตว์อื่นอีก

    ถ้าเป็นที่สุดของที่สุดแล้ว ถามว่า ทรงอารมณ์พระอนาคามี เอาท่าไหนไม่ทราบ พระราหุล ถึงได้เกิด
     
  3. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ฟังธรรม วาดภาพ เอา ก็ พระโพธิสัตว์ อนาคามี อนาคามี

    เขาพูดมา ก็ไปเชื่อ เพื่อเอามาเป็น ประโยชน์ในการ ไม่ได้เรื่อง
    ไม่ได้ราว ไม่ขัน ของตน

    จริงๆ มันเกี่ยวกันไหม ...........

    ถ้าฟังธรรมด้วย ตรรกศาสตร์ เอาสังขารมาหลอกตน ก็ กล่อมตัวเองว่า อนาคามี

    แหม เก่งกว่า เจ้าชายสิทธิธัตธะ เลยนะนั่น
     
  4. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    เวลา อ้างอิงแล้ว ให้กด รูป a/A ใหญ่ ด้านมุมขวา ก่อน
    ตรวจดูรหัส ในวงเล็บ ก้ามปู ที่มันผิดที่ผิดทาง ตัวเล็กตัวใหญ่ ไม่เหมือนกัน

    ตัว Editor ของ เว็บ มันมี Bug

    พอโพส โดยไม่กรองรหัส SQL มันจะ ตีความผิด ตัดทิ้งบ้าง ซ้ำบ้าง หรือไม่ก็
    เยื้อง วรรคตอน ผิดไปหมด

    ถ้ายาก ก็ อ้างคำบางส่วนก็พอ แล้ว ใส่โควตเอาเอง

    ไม่จำเป็นต้อง อ้างอิงแบบ สุดteen เต็มรูปแบบก็ได้ หน้าผมเล็ก
     
  5. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    แปลว่า ต้องใช้ความอดทน มากเป็นพิเศษ อ่ะจ๊ะ

    [​IMG]
     
  6. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,364
    จิตทุกดวงเมื่อกล้าหาญชาญชัยที่จะมาจุติเกิด นั่นหมายความว่า เมื่อท่านมาจุติเกิด ท่านต้องยอมรับกฏแห่งกรรม ไม่ว่าก่อนจุติท่านจะยิ่งใหญ่เพียงใด บารมีมากเพียงใดก็ตาม

    เมื่อจุติเกิดแล้ว วิบากกรรมที่รอเสวยก็ให้ผลทันที

    วิบากกรรมเป็นตัวกำหนดให้ท่านเกิดมาและเจริญวัยขึ้น ธรรมชาติของการเกิด ธรรมชาติของความเป็นมนุษย์ย่อมให้ผลแก่จิตท่าน

    จึงไม่แปลกที่ท่านจะรับผลแห่งวิบากกรรม ซึ่งก็ไม่แปลกที่ท่านจะต้องใช้เวลาส่วนหนึ่งของอายุไขเพื่อสร้างบารมีกลับไปสู่จิตเดิมก่อนท่านมาจุตติ ซึ่งเพราะด้วยท่านสร้างไว้ดีแล้ว

    เมื่อถึงวาระถึงเวลาท่านย่อมเจริญก้าวหน้าทางจิต ทางธรรม ตามวาสนาบารมีเดิมของท่าน ได้สำเร็จในที่สุด

    นี้คือข้อจำกัดหรือเงื่อนไขอย่างหนึ่ง ที่เป็นธรรมดา ที่เราท่านต้องทำความเข้าใจครับ

    ทุกอย่างย่อมมีเหตุปัจจัยหนุนส่งให้เป็นไปเสมอ ขอให้ท่านพิจารณาให้แยบคายด้วยครับ สาธุ
     
  7. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    ในเวบนี้ มีอรหันโพธิสัตว์เยอะแยะ

    ดูอย่างขจรสัก ยังบึ๊ดจ้ำบึ๊ด กับลูกเมีย เสร็จแล้วบอกว่า จบกิจ ใครจะเชื่อ

    อรหันโพธิสัตว์อะไรไม่รู้นะ
     
  8. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,364
    ===========

    กฏข้อนี้ไม่เกี่ยวด้วยความเป็นอะไรก่อนจุติ แต่เมื่อจุติแล้ว ทุกจิตต้องเป็นไปตามวิบากกรรม ที่รอใหเ้ผล มีกรรมเป็นเครื่องดำเนินไป เราจะกำหนดว่าเป็นอย่างนั้นอย่างน้ไม่ได้ ขึ้นอยู่ับวิบากกรรมวาสนาบารมีเดิมของแต่ละบุคคลของแต่ละจิตว่าสั่งสมไว้อย่างไร ให้ผลอย่างไรก็เป็นไปอย่างนั้นครับ

    อันเป็นธรรมดาของเหล่าสรรพสัตว์ทั้งปวงครับ
     
  9. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    จะยกปัจจงปัจจัย อะไรมามั่วว่า พระอนาคามีเกิดในโลกมนุษย์ อีกล่ะครับ
    ในเมื่อพระอนาคามี ท่านละปัจจัยที่จะมาเกิดในกามภพทั้งหมดแล้ว ขนาดเทวดาท่านยังไม่ไปเกิด นับประสาอะไรกับมนุษย์

    ถ้ายังไม่ละมูลเหตุที่ทำให้เกิดเป็นคน
    ก็ไม่เรียกว่า พระอนาคามีครับ

    โปรดพิจารณาให้แยบคายและใช้คำพูดที่ตรงกับความเข้าใจของคนส่วนใหญ่ด้วยครับ
     
  10. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,364
    พระอนาคามี ส่วนน้อยส่วนหนึ่ง แม้จะตัดกามราคะได้ แต่ส่วนหนึ่ง ที่มีสัญญาปณิธาณ ตั้งไว้ดีแล้ว ก็สัญญาปณิธาณนี้เองที่เป็นเครื่องหนุนส่งให้ท่านมาจุติ ถ้าท่านลาสัญญาปณิธาณได้ ตัดขาดได้ ท่านก็ไม่ต้องมาจุติเกิด ท่านก็อยู่อรูปพรหม สุทธาวาส รอสำเร็จเป็นพระอรหันต์ในชั้นนี้ก็เท่านั้นครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤศจิกายน 2014
  11. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,364
    การมาเกิดเป็นมนุษย์ นั้น อาศัยความพอใจ ยึดมั่น ในขันธ์5เป็นเครื่องหนุนส่ง แม้ขันธ์เพียงข้อเดียวก็มีกำลังหนุนส่งให้มาเกิด แม้จะละกามราคะรูปกาย ได้แล้ว แต่หากยังมีกิเลสขันธ์ตัวอื่น เช่นสัญญา สังขาระ วิญญาณ อันเกี่ยวข้องด้วยการมาเกิดอีก ก็ย่อมมาเกิดเป็นมนุษย์ได้อีกครับ
     
  12. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,364
    อย่าลืมนะครับว่าส่วนที่ผมกล่าวอยู่นี้เป็นส่วนพิเศษ ส่วนน้อยนิดเท่านั้น

    แต่ส่วนใหญ่แล้วนั้น ย่อมเป็นไปตามพุทธโอวาทที่พระองค์ตรัสสอน สิ่งที่กระผมกล่าวจึงเป็นการกล่าวปลีกย่อยในส่วนน้อยนิด ที่พระพุทธองค์ไม่ได้กล่าวหรือให้ความสำคัญอะไร เหมือนที่กระผมกล่าวออกไปนี้ก็ไม่ได้ให้ความสำคัญอะไร

    เพราะแท้จริงแล้ว ไม่ว่าจิตใดจะเคลื่อนไปอย่างไร ย่อมขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย ถ้าเราทราบเหตุแน่นอนเราย่อมทราบผลและที่ไป และไม่ควรไปยึดมั่นใดๆเพราะเป็นเรื่องปกติธรรมดาของโลกของจิตที่ยังเวียนว่ายในวัฏฏะนั่นเองครับ สาธุ
     
  13. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    เท่าที่พิจารณา ขันธ์5 ไม่ใช่กิเลส แต่เป็นเครื่องมือที่ถูกกิเลสนำไปใช้งาน สู่วงกรรม และวิบาก

    ซึ่งโดยทั่วๆไป คงจะรู้จัก ตัวกิเลสใหญ่ๆ คือ ราคะ โทสะ โมหะ

    แต่ กิเลสขันธ์??!!!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤศจิกายน 2014
  14. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    [​IMG]
     
  15. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ อาการที่กล่าวมานี้ "จะไม่มีอยู่ใน กมลสันดานจิต ของผู้สอน" โดยเฉพาะ "อริ ยะ ชน" (ชนผู้ จากออกไป จากกิเลสอันเป็นศัตรู) แต่หาก "จิตผู้ถูกสอน" จะเกิดอาการอย่างนั้น ก็มีอยู่ได้

    +++ ผู้สอน จะไม่มีจิตที่ "ทำตัวเป็นจ้าวนาย" แต่จะมีจิตที่ "ชี้ตรง ๆ ไปยังจุด" ที่ผู้ถูกสอน หากทำตามแล้ว จะมีขีดความสามารถที่จะ "หลุด หรือ พ้น" ออกมาจากด่านที่ติดอยู่นั้นได้

    +++ ผู้สอน ย่อมไม่ "พูดจาพร่ำเพื่อ ในผลที่อยู่ ไกลเกินกว่า จิตผู้ถูกสอน จะเดินตามได้" เพราะจะทำให้ "ผู้ถูกสอน ปรุงแต่งจนออกนอกทางได้" ตรงนี้ "ผู้สอน ย่อมรู้ดี"

    +++ ผู้สอน จะชี้ที่ "มรรค" ก้าวต่อไปที่ ผู้ถูกสอน มีความสามารถพอเพียง ที่จะเดินต่อไปได้ และจะ "ไม่ชี้อะไรที่ ไกลเกินเหตุ" จนเป็นเหตุแห่งการ "ดั้น ด้น เดา" แล้ว "ปิดหนทางการปฏิบัติลง"

    +++ อาการแบบนี้

    +++ เป็นอาการของ "จิตปุถุชน" ที่หลงระเริงกับอาการ "บ้าอำนาจ" แม้ว่าคำพูดคำจา จะออกมา "เลียนแบบครูบาอาจารย์" ก็ตาม แต่ผู้พูด "ยังมีอัตตาอันหนาทึบ" และ "ไม่มีความสามารถที่จะ แกะตรงนี้ ออกมาได้ด้วยตนเอง" แม้ว่าจะ "เชื่อแบบฝังใจ" ว่า ตนเอง "พ้นจากอัตตาแล้ว" ก็ตาม แต่จะมีพฤติกรรมแบบ "หลบเลี่ยงคำถามที่ พุ่งเข้าสู่อัตตาแห่งตน" จนเกิดลักษณะที่เป็นการ "หลบ หลีก ปัด ป้อง" เพื่อเป็นการ "รักษา อัตตา"แห่งตนต่อไป ภาษาชาวบ้าน เรียกอาการตรงนี้ว่า "แถไปเรื่อย ๆ"

    +++ หากผู้ใดที่มี ความสนิทกับ "ครูบาอาจารย์สายพระป่า" จริง ๆ ก็จะรู้ได้ว่า อาการที่กล่าวไว้ข้างบนนั้น "ไม่ปรากฏอยู่ใน จิตผู้สอน" นะครับ
     
  16. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    พระพุทธเจ้าตรัสไว้ไม่มี 2
    คุณ tjs จะเก่งกว่าพระพุทธเจ้าเชียวหรือครับ ถึงขนาด
    กล่าวผิดธรรม บิดเบือนสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านสอนแล้ว

    คือพระพุทธเจ้าท่านสอนชัดเจนว่า พระอนาคามีไม่กลับมาเกิดในโลกมนุษย์อีกแล้ว (ไม่ใช่ว่าไม่ได้ตรัส) ยังจะ บิดเบือนคำของพระองค์ท่าน เอาคำที่ท่านบัญญัติแล้ว เช่น พระอนาคามี มาบิดเบือนอีกหรือครับ?

    ต่อไป ก็คงจะมีพระอรหันต์ที่กลับมาเกิดอีก ด้วยแรงปรารถนาจะช่วยสัตว์โลกตามปณิธานอีกไหม?

    อย่าให้เพี้ยนไปกว่านี้เลยครับ คุณ tjs แค่นี้พระพุทธศาสนาก็บอบช้ำมากแล้ว
     
  17. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    ท่าทางจะพี่แกคงอาการหนักแล้วครับ คุณ อสุรินทร์
    ติดนิมิตงอมแงม ถึงขนาดมองขันธ์เป็นกิเลส หรือ กิเลสเป็นขันธ์ ได้

    ยืนยันหัวเด็ดตีนขาดเลยครับว่า ถ้ากลับมาเกิดในภพมนุษย์อีกไม่ใช่พระอนาคามี

    อย่ายืมคำที่พระพุทธเจ้าใช้ซึ่งดีอยู่แล้วมา บิดเบือนเติมแต่ง ให้ผิดเพี้ยนไปมากกว่านี้เลยครับ
    คุณ tjs
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 พฤศจิกายน 2014
  18. ิ์Fist of the North Star

    ิ์Fist of the North Star เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    564
    ค่าพลัง:
    +385

    คำของพระพุทธเจ้าถือเป็นที่สุดครับ
    แล้วคราวนี้ที่สุดอย่างไร

    พระอนาคามี ไม่เวียนกลับมาเกิด
    ในมนุษย์ และ สวรรค์อีก
    ไม่กลับมาสร้างขันธ์ ในภพมนุษย์ และภพของสวรรค์
    ที่ไม่กลับมานี่ไม่ใช่
    เพราะความต้องการของพระอนาคามี
    แต่เพราะเหตุปัจจัยมันเป็นอย่างนั้น

    ลองดูปฏิจสมุปบาท
    พระโสดาบัน แม้จะเกิดความเห็นที่เป็นสัมมา คือ ถูกต้องแล้ว
    แต่จิตยังก่อภพอยู่ภายใน
    เมื่อใดขาดสติ
    พอตากระทบรูป มันเกิดมาพอใจ
    พอเกิดความพอใจ ก็ยังไปยึด
    ยึดเสร็จก็เกิด ภพของจิต
    เมื่อไหร่มีภพ
    ก็เกิดชาติ ที่ต้องไปรับวิบาก
    เชื่อเกิดยังมี
    เมื่อมีเชื้อเกิด ยังไงก็ต้องเกิด
    จะ7 ชาติ หรือ 1 ชาติ ก็ต้องเกิด

    ทีนี้ดูที่พระอนาคามี
    จิตที่พ้นไปจาก ความพอใจ ไม่พอใจ
    พ้นจากกามราคะ ปฏิฆะ

    วงจรมันหยุด
    หยุดที่ผัสสะมากระทบ มันไม่ก่อให้เกิดเวทนา
    ว่าชอบ หรือ ชัง
    ใน รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส
    เมื่อไม่เกิด เวทนา
    ตัณหา อุปทาน ก็ไม่เกิด
    ภพ ชาติ
    ที่จะเกิดไปใน กามภพ
    จะเกิดไม่ได้

    เพราะหมดเชื้อเกิด ที่เป็นภพ
    ชาติจะเอาจากไหน

    เหตุที่พระอนาคามียังต้องเกิดใน พรหมโลกอยู่
    ก็เพราะยังมีอุปาทานเหลืออยู่
    สลัดออกไม่หมด
    จึงเป็นเชื้อที่ต้องเกิดอยู่
    แต่ถ้าถึงพระอนาคามีแล้ว
    ผมว่าไม่มีว่าท่าน "อยาก" ที่จะกลับมาเกิด
    ไม่ว่าจะมนุษย์
    จะสวรรค์
    จะเทวโลก
    ด้วยกำลังจิตนั้น เห็นทุกข์ขนาดนั้น
    มีแต่อยากพ้นไป
    ที่พ้นไม่ได้เพราะยังมีเชื้อเกิดอยู่

    ธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ล้วนเป็นเหตุเป็นผล
    มาจากเหตปัจจัย พิสูจน์ได้
    แม้จะเป็นแค่เพียงจินตามยปัญา ก็ตาม
    เรื่องนี้เหนือวิสัยคนธรรมจะเดา
    ไปตามทิฐิของตนครับ

    ฉะนั้นบางคนที่มีความคิดว่าเราเกิดมาทำไม
    คำตอบ คือ ไม่ได้เกิดมาทำไมหรอกครับ ไม่ได้กล้าหาญอะไร
    แต่มันมีเชื้อมาเกิด มันเลยต้อง และเกิดต่อไปแค่นั้นครับ
     
  19. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    ขนาดเรื่องง่ายๆอย่าง เรื่องพระอนาคามี ที่มีหลักฐานชัดเจนจากพระพุทธเจ้า
    ว่า ไม่กลับมาเกิดอีก

    tjs ยังไม่เข้าใจ ยังมีความเห็นผิด

    tjs ยังยึดมั่นถือมั่น ไม่ปล่อยวางใน ทิฏฐิหรือความเห็น ที่ผิดเลยครับ

    แล้วไฉนเรื่อง ที่ลึกซึ้งอย่างเรื่อง มหากิริยาจิต หรือ เรื่องอภิธรรม
    ที่คุยกับคุณธรรมแท้ นั้น tjs จะเข้าใจได้

    เชื่อได้เลยว่า tjs ไม่เข้าใจ และกล่าวผิดธรรมแน่นอนครับ

    และต่อให้คุณธรรมแท้เขาจะหาหลักฐานอะไรมายืนยัน คุณ tjs ก็ไม่มีทางเปลี่ยน ความเชื่อแน่นอน และก็จะหาข้ออ้างแถไปเรื่อยๆ เพราะคุณ tjs ยึดมั่นถือมั่นในนิมิตมากเกินไปครับ

    โดยภูมิธรรมคุณ tjs ขณะนี้ ไม่พอที่จะอธิบายเรื่องมหากิริยาจิตด้วยความรู้จากนิมิตหรอกครับ

    เชื่อได้เลยว่าที่พิมพ์ๆไปน่ะ ผิดแน่นอนครับ

    เบื้องต้นนะครับ คุณ tjs ควรศึกษา คำศัพท์เทคนิค ในพระไตรปิฎก ให้ดีก่อนที่จะนำมาใช้ นะครับ

    เช่นคำว่า พระอนาคามี หมายถึงผู้บรรลุอริยธรรม ที่ละสังโยชน์ 5 ข้อได้อย่างถาวร ไม่กลับมีขึ้นมาอีก ซึ่งข้อ 4,5 ของสังโยชน์ คือกามราคะ และปฏิฆะ เมื่อละได้แล้วทำให้ไม่เกิดในกามภพ ทั้งมนุษย์และเทวดาอีกต่อไป

    แต่ คุณ tjs กลับเอามาใช้อย่างผิดๆ ว่า กลับมาเกิดได้ เพราะมีปณิธานที่จะเกิดอีก
    แสดงว่า พระอนาคามีของคุณ tjs นี่ละกามราคะไม่ได้ถึง อยากเกิดเป็นคนสืบสานปณิธานอีก ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนเลยครับ

    อนาคามี = ผู้ไม่กลับมาเกิดอีก = non- returner

    รูปศัพท์ก็บอกอยู่แล้ว

    จะส่วนน้อยส่วนมาก ก็ไม่มีครับ
    ไม่งั้นรูปศัพท์ ก็คงเป็น

    อนาอาคามี (ผู้ไม่กลับมาเกิดบ้าง กลับมาเกิดบ้าง)

    คุณ tjs อย่าถือทิฏฐิไว้เลยครับ พระกุมารกัสสป ท่านสอน พระราชาชื่อ ปาราสิ
    ไว้ว่า ความเห็นผิดนั้นยึดถือไว้ ก็ไม่ต่างอะไรกับ คนที่แบกขี้เพราะคิดว่าอุตส่าห์แบกมาตั้งนานแล้ว ไม่อยากทิ้งถุงขี้ที่แบกอยู่

    ลองพิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบนะครับ
    เอาคำสอนของตัวเองมาสอนก็ได้ว่า ปล่อยวางบ้าง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 พฤศจิกายน 2014
  20. รามเมืองลพ

    รามเมืองลพ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2014
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +99
    ท่านทั้งหลายจงอย่าทำตัวเป็นตัวบุ้งตัวหนอน
    คอยกัดแทะกระดาษแห่งคัมภีร์ใบลานเปล่าๆ
    โดยไม่สนใจพิจารณาสัจธรรมอันประเสริฐที่มีอยู่กับตัว
    แต่มัวไปยึดธรรมที่ศึกษามาถ่ายเดียว
    ซึ่งเป็นสมบัติของพระะพุทธเจ้า มาเป็นสมบัติของตน
    ด้วยความเข้าใจผิด ว่าตนเรียนรู้และฉลาดพอตัวแล้ว
    ทั้งที่กิเลสยังกองเต็มหัวใจยิ่งกว่าภูเขาไฟ มิได้ลดน้อยลงบ้างเลย
    จงพากันมีสติคอยระวังตัว
    อย่าให้เป็นคนประเภทใบลานเปล่าๆ เรียนเปล่าและตายทิ้งเปล่า
    ไม่มีธรรมอันเป็นสมบัติของตัวอย่างแท้จริงติดตัวบ้างเลย

    โอวาทธรรม หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มกราคม 2017

แชร์หน้านี้

Loading...