จิต กับ วิญญาณ คือ ตัวเดียวกันหรือคนละตัว?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย นิพพิชฌน์55, 18 เมษายน 2016.

  1. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,364
    วิสัญญีภาพเกิดชั่วขณะเมื่อ มณระภาพเกิดกับเราทุกท่าน

    วิสัญญีภาพเกิดแล้ว จิตวิญญาณดับลงชั่วขณะ เพราะสติดับไปชั่วขณะ อัตภาพ แห่งจิตวิญญาณ ส่วนหนึ่งก็เปลี่ยนใหม่ ส่วนหนึ่งก็ยังไม่ได้เปลี่ยนใหม่

    เพราะอะไร เพราะว่าอาศัย กรรมหรือวิบากกรรมที่ประกอบอยู่กับจิต ทั้งยัง อาศัยสังขาระ อาศัยเครื่องปรุงแต่งอื่นๆ รวมทั้งตัณหาอุปาทานด้วย นั่นคือเพราะอาศัยเหตุปัจจัย ทำให้อัตตภาพ เปลี่ยนใหม่ตามกรรมหรือวิบากกรรมและสังขารทั้งปวงที่ปรุงแต่ง ให้เป็นไปนั่นเอง

    สรรพจิตวิญญาณต่างเวียนว่ายไม่จบสิ้นเพราะ กรรมและวิบาก ที่ให้ผล เพราะอาศัยสังขารปรุงแต่ง เพราะอาศัย อวิชา ตัณหาอุปาทาน เพราะอาศัยอาสวะกิเลสเครื่องเศร้าหมองครอบงำจิต

    การมาก็ดี การไปก็ดี การไม่มาไม่ไปก็ดี มีสภาพไม่แตกต่างกัน นั่นคือทุกข์

    เมื่อใดที่พ้นทุกข์ ย่อมไม่ไปไม่มา เพราะไม่ปราถนาการมาการไปการอยู่

    พระพุทธองค์ทรงทราบดี ความเข้าถึงอรหันตมรรค อรหันตผล เป็นของยาก ท่านต้องสั่งสมให้มาก มีขันติเผากิเลสเผาอาสวะและอิทธิบาทสี่ในการชำระจิต มีวิริยะคือความภาคเพียรอย่างยิ่ง ท่านย่อมเข้าถึงโคตรภู ยกจิตขึ้นเป็นพระอริยะบุคคลได้เมื่อนั้นทางเดินของท่านย่อมมุ่งตรงต่อพระนิพพานคือความหลุดพ้นทุกข์นั้นเองครับ
     
  2. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    สติปัญญา"เรา" นี่แหละครับ มันยังมีอะไรที่เป็นเราเป็นของเราอยู่หรือไม่ ลองพิจารณาดู ใช้ภาษาให้หมดจดจึงเป็นคุณมหาศาล จริงๆ คือเมื่อเกิดญาณปัญญารู้แจ้งเห็นจริงแล้ว อวิชชาจึงดับ เหล่านี้ล้วนเป็นไปตามเหตุปัจจัยเช่นนั้นเอง อวิชชามี ธรรมฝ่ายเกิดจึงมี ถ้าอวิชชาไม่มี ธรรมฝ่ายเกิดก็ไม่มี ทุกอย่างล้อกันไปตามเหตุปัจจัย เป็นเรื่องของเหตุปัจจัย ไม่มีความเป็นสัตว์บุคคลตัวตนเราเขาใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากจะหลงไป ก็เท่านั้นเองครับ
     
  3. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ในจิตที่มีวิญญาณ หลังตาย จึงประกอบด้วย

    สังขาร(รูปที่เป็นอรูป)(สังขารที่ไปผัสสะเสพวิญญาณเป็นอาหาร จะรู้ว่าถูกหรือผิดเป็นอีกเรื่องนึง)
    สัญญา(อาหารที่หล่อเลี้ยงสังขาร)(ถูกอะไรเข้าไปยึดมั่นถือมั่นก็ไม่รู้ ยึดมั่นโดย อยาก ไม่อยาก หลง)
    วิญญาณ(ผัสสะรู้ ที่รู้ว่าการเสพสัญญาเพื่อรักษาให้มีสังขาร)(แต่จะรู้ว่าถูกหรือผิดอีกเรื่องนึง)

    เวทนา..คือรสของการเสพ จะอยูาในรูป ชอบ ไม่ชอบ เฉยๆก็แล้วแต่จะให้ผล)


    นี่คือ...ส่วนประกอบของ ขันธุ์(ขันธุ์5 ในส่วนของรูป(รวมความ ของ อรูปด้วย เพราะอรูปคือรูปที่เป็นนาม มองไม่เห็น แต่เห็นด้วยผัสสะ อื่น เช่น เสียง ร้อนเย็น ลม อากาศ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 เมษายน 2016
  4. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    เอาของตนเองเข้าใจ ตายแล้วรู้ มาพูด...หรือยกเอาของคนอื่นมาพูดครับ

    ที่ไม่ไช่ที่ตนรู้ตนเห็นตนเข้าใจแล้ว...เรื่องแบบนี้อย่าเอา สิ่งที่คนอื่นพูดไว้ มาแสดงครับ
     
  5. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,364
    เพราะว่าอาศัย กรรมหรือวิบากกรรมที่ประกอบอยู่กับจิต ทั้งยัง อาศัยสังขาระ อาศัยเครื่องปรุงแต่งอื่นๆ รวมทั้งตัณหาอุปาทานด้วย นั่นคือเพราะอาศัยเหตุปัจจัย ทำให้อัตตภาพ เปลี่ยนใหม่ตามกรรมหรือวิบากกรรมและสังขารทั้งปวงที่ปรุงแต่ง ให้เป็นไปนั่นเอง
    ======================

    ดังนั้นความเกิดใหม่ การเปลี่ยนอัตภาพใหม่ของจิตหลังความตาย จึงเป็นเรื่องอจินไตย เพราะเกี่ยวข้องด้วยกรรมและวิบากกรรมอันเป็นเหตุปัจจัย ที่เราไม่สามารถล่วงรู้ได้ว่า กรรมและวิบากส่วนใดจักให้ผลก่อนหลัง เพราะมันมีมากมายและมีนำหนักที่หนักเบาไม่เท่ากัน นอกจากนี้ยังมีส่วนของอุปกิเลสที่ประกอบอยู่กับจิตด้วยเป็นเครื่องหนุนส่งให้เกิดอัตภาพใหม่ของจิตวิญญาณดวงนั้นๆ

    แต่ไม่ว่าการจะเปลี่ยนอัตภาพของจิต จะเป็นเช่นไร มันก็หนีไม่พ้นทุกข์อยู่ดี เพราะความดับคือนิโรธธะ มันยังทำไม่ได้ ยังทำไม่สำเร็จนั่นเอง

    ต่างจากการตายของพระอรหันต์ หรือที่เราเรียกว่า การนิพพาน การนิพพานอันมีสามสภาวะ ที่เป็นความดับ มันต่างจากเราๆที่เป็นปุถุชน มันดับ หมดไม่มีเหลือสิ่งใดจริงๆ ครับสาธุ
     
  6. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,364
    ===============

    เป็นความมีที่ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นว่ามีเรามีเขามีฉันมีเธอ

    อันย่อมเสมือนคือ ไม่มี เพราะอัตตามานะได้ถุกทำลายลงไปหมดสิ้นแล้วครับ
     
  7. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,364
    =============

    ผมสอนเรื่องนี้มานาน แล้ว และไม่จำเป็นต้องลอกการบ้านใคร

    หากแต่ต้องขอบพระคุณครูอาจารย์ในโลกทิพย์ที่ท่านเมตตาอบรมสั่งสอนให้รับรู้เรื่องราวต่างๆมากมาย

    แต่สิ่งสำคัญคือจิตของเราเองนี่แหละไม่ต้องไปดูที่ไหนให้ไกลตัว ครับ
     
  8. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    การเสพ การรู้ การอยาก(ความโลภ) การไม่อยาก(ความโกรธ) การเฉยๆ(การไม่รับรู้) (ความหลง)...การยึดมั่นถือมั่นทั้งหลาย...เรียกว่า การเสพ

    ในทุกการเสพ จะมี ผู้หลงเสพ(สังขาร) ถ้ารู้เห็นการเสพเรียกว่าเสพแบบมีรูป เห็นรูป กับ สิ่งที่ถูกเสพแบบไม่รู้รูปไม่เห็นรูป เรียกอรูป เสพแบบอรูป จะเรียกตัวเสพว่าสังขาร(หรือนามธรรม) ......ถ้าเสพแบบมีรูปจะเรียกตัวเสพว่ารูปหรือ รูปธรรม

    ในทุกการเสพ สิ่งที่ถูกเสพ ถูกหลง ถูกรู้ ถูกยึดมั่นถือมั่น เรียกมันว่าสัญญาหรือเปรียบเหมือนตัวหล่อเลี้ยงสังขาร..เรียกว่า อาหาร หรือสัญญา

    อวิชชา..คือ...ทำไมต้องมีอาหาร(สัญญา) ทำไมต้องมีตัวเสพ(สังขาร) ทำไมต้องมีวิญญาณ(ตัวรู้ตัวผัสสะรู้ผัสสะ (มีเวทนาเกิด)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 เมษายน 2016
  9. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ คือ การที่ขันธุ์มันอุปทานกันอยู่...หรือแปลว่า ขันธุ์มันร่วมกันตะลุมบอลยึดมั่นถือมั่นกันอยู่...นี่คือ กิริยาที่เรียกว่า อุปทานของขันธุ์
     
  10. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    อวิชชาคือความไม่รู้..ไม่รู้ว่าทำไมต้องมีอาหาร(สัญญา)
    อวิชชาคือความไม่รู้...ไม่รู้ว่าทำไมต้องมีผู้เสพ(สังขารอัตตาตัวตน)
    อวิชชาคือความไม่รู้...ไม่รู้ว่าทำไมต้องมีผัสสะเสพ(วิญญาณและเวทนา)
    ....
    ทำไมไม่รู้...ถ้ารู้แล้ว..จะทำไม
     
  11. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ผลของการอุปทานกันของขันธุ์5..ก็คือ มีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ....เกิดขึ้น...เป็นวงจร ไม่รู้จบ....(.เพราะความไม่รู้ ถ้ารู้แล้ว..จะทำไม)

    การเกิด การเคลื่อน ความไม่แน่นอน ความไม่เที่ยง....ถ้าใครทุกข์กับมัน ก็คือทุกข์เกิด
     
  12. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ในวงจรสมุปกิจบาท...ตั้งแต่วิญญาณมาเกิดในรูปนามจนไปถึงมรณะคือ..รูป
    ในวงจรสมุปกิจบาท..ตั้งแต่หลังมรณะจนถึงจะไปเกิดเป็นวิญญาณอยู่นั้น เรียกว่ารูปที่เป็น ..อรูป
     
  13. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    สภาวะนี้เรียก....อรูป
     
  14. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ส่วนที่นั่งดูจิตดูความคิดด้วยสติ สมาธิ เกิดเวทนาใหม่จากกายใจ...เกิดกิเลสตัณหาอุปทานใหม่(อุปทานอยู่)....นี่คือ ปัจจุบัน ดูรูป
     
  15. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ดังนั้น สัญญา อาหาร ในส่วนของ อรูป มันจึงเป็น ส่วนของ สัญญาเก่า..ที่หมักดองข้ามภพชาติ เรียกว่า อาสวะ...หรือมันคือ ความไม่รู้ว่า มันมาเป็นอาสวะ ได้อย่างไร ตั้งแต่เมื่อไหร่....สังขารก็คือ ตัวตนเก่าที่ยังติดค้าง...กับสัญญาเก่า นั่นเอง
     
  16. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    เชื้อแห่งการเกิด หรือ อวิชชาคือตัวนี้ แหล่ะ
     
  17. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    การที่ยังไม่รู้ความจริง แปลว่า มันยังเสพกันอยู่....เรียกว่ามันอุปทานหมู่ กันอยู่

    ดังนั้นการที่มันอุปทานกันอยู่..เรียกอีกอย่างว่า มีอวิชชาอยู่..
     
  18. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ถ้าจะรู้โลก จริงๆ ต้องรู้จักขันธ์ ๕ และรู้จักอุปาทานขันธ์ ๕ ให้ดีนะครับ
    ถึงจะมีประโยชน์สุดๆ คือช่วยให้หลุดพ้นจากทุกข์ได้จริง
     
  19. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ตอนแรก ว่าจะไม่คุย ประเด็นนี้...แต่เห็น คุณ ทีบูน หยิบมา ก็เลยขอ พูดซักนิด

    ท่านทีเจเอส...กล่าวว่าโลกใบอื่น....ผมมีความเข้าใจของผมดังนี้

    โลกใบปัจจุบันของผม คือโลกใบนี้วันนี้...และโลกใบอดีตของผมคือโลกใบเมื่อวานนี้ของผมผ่านมาแล้ว...และโลกใบอนาคตคือโลกใบในวันพรุ่งนี้..

    ส่วนคนอื่น ก็มีโลก ทั้ง สามโลก เช่นเดียวกันทุกคน ยิ่งถ้าจะนับว่า เกิดมาแล้วกี่วัน นั่นหล่ะ จำนวนโลกในความคิดของแต่ละคนที่เคยอยู่มา..โลก มีวันละ ใบ..ทุกวัน
    ทีนี้...จะมาคุยว่า..มีใครติดใจอะไรมั้ยกับโลกใบเก่าแต่ละวันที่ผ่านมา ติดคือ..ลืมไม่ลง ค้างคาใจ ผูกมัด ชอบใจ ไม่ชอบใจ ..คาใจ

    ส่วน บางคน อาจจะมี ที่ อยู่กับโลกใบปัจจุบันวันนี้ แต่จิต กลับ วิ่งหา โลกที่คิดว่าดีกว่า โลกในวันปัจจุบัน..เช่น โลกใหม่ที่คิดว่าเอง น่าจะทำได้ดีกว่านี้ โลกที่คิดว่า ตนเองจะไม่ทำผิดพลาดได้อีก...หรือโลกในชาติภพ หน้า


    เนี่ย โลกความจริง มันมีอยู่แค่นี้เอง ท่าน ทีเจเอส
     
  20. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    โลก มีวันละใบทุกวัน นี่ยังห่างไกลความจริงมากเลยนะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...