การสวดมนต์เพื่อไล่ผี

มีคาถาที่เพื่อนนักปฏิบัติธรรมหลายท่านแนะนำคือ "โอมมณี ปัทเมหุม"
หากท่องคาถานี้แล้ว ผี วิญญาณ ที่มุ่งร้ายต่อเรา จะรู้สึกเจ็บปวดสุดจะทน จนต้องหนีหาย แต่ว่า หนทางที่ดีที่สุดในการไล่ผี คือ การแผ่เมตตา

ไม่มีใครชอบให้คนอื่นใช้วิธีรุนแรงกับตนเอง แม้กระทั่งเด็กเล็ก ยังไม่ชอบให้ตีเมื่อทำผิด ชอบคนที่พูดจานิ่มนวล

การไล่ผีก็เช่นเดียวกัน ควรใช้วิธีนิ่มนวล อย่างเช่นพระอาจารย์ด้านกรรมฐานท่านใช้กันในการออกธุดงค์ ไม่เคยเจอว่าท่านใช้วิธีรุนแรงเลยสักท่าน นอกจากจะเป็นการปรามเท่านั้น สุดท้ายก็ต้องอาศัยความเมตตาเป็นหลัก จึงจะชนะกับสิ่งชั่วร้ายได้

อีกบทหนึ่งที่พระท่านสอนว่าให้สวดเสมอไม่ว่าไปที่ใด คือ บทกรณียเมตตสูตร เป็นบทเดียวกับที่พระพุทธเจ้าท่านแนะนำให้พระสาวกสวดเพื่อกันผีหลอก ซึ่งผีสมัยพุทธกาลนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่น คือ บรรดาเทวดาที่สิงสถิตย์มีวิมานติดอยู่กับต้นไม้ใหญ่ พอพระเข้าไปปฏิบัติภาวนา เทวดาเหล่านั้นก็อยู่ไม่ได้ เพราะอยู่สูงกว่าพระไม่ได้ (คงจะร้อน-ร้อนใจ) เลยต้องแปลงเป็นผีมาหลอกพระ พระพุทธเจ้าท่านทราบ ท่านเลยให้สวดบทดังกล่าว ซึ่งโดยส่วนตัว ผมเคยสวดบทนี้ที่มีคำแปล เข้าท่าดีครับ เป็นการแผ่เมตตาไปในตัว (ลองหาคำแปลทางเว็บ Google.co.th ดูครับ)

 

สืบเนื่องจาก เห็นมีกระทู้ถามเรื่องการสวดมนต์+ผี

 

การสวดมนต์นั้น ถ้าเป็นเทวดา หรือผีที่ดี ต้องการสร้างบุญบารมีเพิ่ม พวกเขาย่อมเข้ามาโมทนาบุญกับเราขณะสวด หรือไม่ก็มาสวดพร้อม ๆ กับเรา โดยที่เราไม่รู้ ผมเคยลองนำกล้องถ่ายรูปดิจิตอลถ่ายก่อนสวดมนต์และขณะหลังสวดมนต์เสร็จใหม่ๆ ปรากฏว่า ภาพที่ออกมา มีลักษณะไม่เหมือนกัน กล่าวคือ ภาพก่อนสวดไม่มีจุดๆวงๆ เป็นดวง ๆ แต่หลังสวดมนต์เสร็จปรากฏว่า กล้องถ่ายภาพติดดวงกลมๆ เป็นสิบ ๆ ดวง อยู่บริเวณนั้น ผมทำอย่างนี้หลายครั้งของการสวดมนต์ก็ปรากฏผลเช่นเดิม และขอตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า ตามงานบุญใหญ่ๆ พอถ่ายรูปดิจิตอล มักปรากฏดวงกลม ๆ ดังกล่าวอยู่เต็มท้องฟ้า โดยเฉพาะหากถ่ายรูปในที่มืด ยิ่งชัดมากครับ

 

ตัวอย่างบทกรณียเมตตสูตรแปล




บทกะระณียะเมตตะสุตตัง

ทำ ให้หลับเป็นสุข ตื่นเป็นสุข ไม่ฝันร้าย เป็นที่รักของมนุษย์และอมนุษย์ทั้งหลาย เทพพิทักษ์รักษา ไม่มีภยันตราย จิตเป็นสมาธิง่าย ใบหน้าผ่องใส มีสิริมงคล ไม่หลงสติในเวลาเสียชีวิต และเป็นพรหมเมื่อบรรลุเมตตาฌาน

๑. กะระณียะมัตถะกุสะเลนะ . . . . . . . ยันตัง สันตัง ปะทัง อะภิสะเมจจะ
สักโก อุชู จะ สุหุชู จะ . . . . . . . . . . . . สุวะโจ จัสสะ มุทุ อะนะติมานี
กิจ ที่คนฉลาดในสิ่งที่มีประโยชน์ และมุ่งหมายจะบรรลุทางสงบ จะพึงทำ ก็คือ เป็นคนกล้า, เป็นคนซื่อ, เป็นคนตรง, ว่าง่าย, อ่อนโยน, ไม่เย่อหยิ่ง


๒. สันตุสสะโก จะ สุภะโร จะ . . . . . . . .อัปปะกิจโจ จะ สัลละหุกะวุตติ
สันตินท์ริโย จะ นิปะโก จะ . . . . . . . . อัปปะคัพโภ กุเลสุ อะนะนุคิทโธ
เป็นผู้สันโดษ, เลี้ยงง่าย, มีภาระกิจน้อย, คล่องตัว, ระมัดระวังการแสดงออก, รู้ตัว, ไม่คะนอง, ไม่คลุกคลีในตระกูลทั้งหลาย


๓. นะ จะ ขุททัง สะมาจะเร กิญจิ . . . . . เยนะ วิญญู ปะเร อุปะวะเทยยุง
สุขิโน วา เขมิโน โหนตุ . . . . . . . . . . . . สัพเพ สัตตา ภะวันตุ สุขิตัตตา
ไม่ประพฤติสิ่งที่วิญญูชนตำหนิติเตียนได้, พึงแผ่เมตตาจิตว่า ขอสัตว์ทั้งปวง จงมีความสุขกายสบายใจ มีความเกษมสำราญเถิด


๔. เย เกจิ ปาณะภูตัตถิ . . . . . . . . . . . . .ตะสา วา ถาวะรา วา อะนะวะเสสา
ทีฆา วา เย มะหันตา วา . . . . . . . . . . .มัชฌิมา รัสสะกา อะณุกะถูลา
ขอ สัตว์ทั้งหลายบรรดามี ที่เป็นสัตว์ตัวอ่อน หรือตัวแข็งก็ตาม เป็นสัตว์-มีลำตัวยาวหรือ ลำตัวใหญ่ก็ตาม มีลำตัวปานกลาง หรือตัวสั้นก็ตาม ตัวเล็กหรือตัวโตก็ตาม


๕. ทิฏฐา วา เย จะ อะทิฏฐา . . . . . . . . . เย จะ ทูเร วะสันติ อะวิทูเร
ภูตา วา สัมภะเวสี วา . . . . . . . . . . . . .สัพเพ สัตตา ภะวันตุ สุขิตัตตา
ที่ มองเห็นหรือมองไม่เห็นก็ตาม ที่อยู่ไกลหรืออยู่ใกล้ก็ตาม ที่เกิดแล้ว หรือ กำลังหาที่เกิดอยู่ก็ตาม ขอสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงนั้นจงสุขกายสบายใจเถิด


๖. นะ ปะโร ปะรัง นิกุพเพถะ . . . . . . . . .นาติมัญเญถะ กัตถะจิ นัง กิญจิ
พ์ยาโรสะนา ปะฏีฆะสัญญา . . . . . . .นาญญะมัญญัสสะ ทุกขะมิจเฉยยะ
บุคคลไม่พึงหลอกลวงผู้อื่น ไม่ควรดูหมิ่นเหยียดหยามใคร ๆ ไม่ควรมุ่งร้าย ต่อกันและกัน เพราะมีความขุ่นเคืองโกรธแค้นกัน


๗. มาตา ยะถา นิยัง ปุตตัง . . . . . . . . . . อายุสา เอกะปุตตะมะนุรักเข
เอวัมปิ สัพพะภูเตสุ . . . . . . . . . . . . . . มานะสัมภาวะเย อะปะริมาณัง
คนเราพึงแผ่ความรักความเมตตา ไปยังสัตว์ทั้งหลายหาประมาณมิได้ ดุจดังมารดาถนอม และปกป้องบุตรสุดที่รักคนเดียวด้วยชีวิต ฉันนั้น


๘. เมตตัญจะ สัพพะโลกัส์มิง . . . . . . . . .มานะสัมภาวะเย อะปะริมาณัง
อุทธัง อะโธ จะ ติริยัญจะ . . . . . . . . . . อะสัมพาธัง อะเวรัง อะสะปัตตัง
พึงแผ่เมตตาจิต ไม่มีขอบเขต ไม่คิดผูกเวร ไม่เป็นศัตรู อันหาประมาณไม่ได้ ไปยังสัตว์โลกทั้งปวงทั่วทุกสารทิศ


๙. ติฏฐัญจะรัง นิสินโน วา . . . . . . . . . . . สะยาโน วา ยาวะตัสสะ วิคะตะมิทโธ
เอตัง สะติง อะธิฏเฐยยะ . . . . . . . . . . พรัหมะเมตัง วิหารัง อิธะมาหุ
ผู้ เจริญเมตตาจิตนั้น จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน ตลอดเวลาที่ตนยังตื่นอยู่ พึงตั้งสติ อันประกอบด้วยเมตตานี้ให้มั่นไว้ บัณฑิตทั้งหลายกล่าวว่า การอยู่ด้วยเมตตานี้ เป็นพรหมวิหาร (การอยู่อย่างประเสริฐ)


๑๐. ทิฏฐิญจะ อะนุปะคัมมะ สีละวา . . . . .ทัสสะเนนะ สัมปันโน
กาเมสุ วิเนยยะ เคธัง . . . . . . . . . . . . . .นะ หิ ชาตุ คัพภะเสยยัง ปุนะเรตีติ
ท่านผู้เจริญเมตตาจิต ที่ละความเห็นผิดแล้ว มีศีล มีความเห็นชอบ ขจัดความใคร่ ในกามได้ ก็จะไม่กลับมาเกิดอีกเป็นแน่แท้

ที่มา : บทสวด กรณียเมตตสูตร พร้อมคำแปล

 

ตัวอย่างเสียงสวดบทกรณียเมตตสูตรครับ (พระสวด)

https://www.youtube.com/watch?v=5XFYJedre68

 

แต่ถ้าทำทุกวิธีแล้วก็ยังไล่ผีไม่ได้ ยุทธวิถีสุดท้าย คือ เผ่นครับ (เราเผ่น) ผีมันคงไม่เผ่น ^_^

 

โดยส่วนตัวเห็นด้วยว่า
การไล่ผีที่ดีที่สุด คือ การแผ่เมตตาครับ...
ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับบารมีของบุคคลท่านนั้นๆด้วยครับ..
บารมีในเรื่องเมตตาสำหรับกรณีไล่ผี..
ก็เปรียบเสมือนกับว่า เราพกปืนไปขอร้องให้เค้า
ร่วมมือกับเราดีๆ ด้วยการพูดจากับเค้าดีๆนั่นหละ

เคยได้อ่านเรื่องราวของ เกจิอาจารย์ท่านหนึ่งในอดีตมา ถือว่าท่านนี้
เป็นเลิศทางด้านการไล่ผี ณ ยุคนั้น...หรือหลายๆท่านก็ใช้เมตตานำเช่นกัน
ยิ่งสายพระป่าวิปัสสนากรรมฐาน ยุคก่อนยังสามารถแสดงธรรมต่อเหล่า
ภพภูมิระดับอื่นๆได้อีกด้วย..เรียกได้ว่า นอกจากจะมีบารมีทางด้านเมตตาแล้ว
ยังมีบารมีทางการแสดงธรรมอีกด้วย...
ท่านที่เป็นเลิศเรื่องการไล่ผี ก็ใช้คาถาบทหนึ่ง
ขออภัยว่าจำไม่ได้ประมาณ ๔ ถึง ๕ คำนี่หละครับ..
แต่แปลออกมาได้ในเชิงว่า สัตว์ทั้งหลายเราเป็นเพื่อน
ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันอะไรประมาณนี้หละครับ....
เพื่อนในที่นี้ก็คือ ไม่แบ่งชนชั้นวรรณะกันนะครับ

ส่วนเรื่องเสียงสวดมนต์ที่พอมีหลักฐาน
ก็เมื่อประมาณ ๒ ปีที่แล้ว เป็นเสียงที่ไม่ใช่
เสียงของมนุษย์ ก็เคยได้อัด
เป็นวีดีโอถ่ายในห้องพระ แต่ว่ามีเสียงสวดมนต์
เข้ามาเป็นกลุ่ม โดยที่เสียงสวดมนต์จะเริ่มทันที
หลังจากที่สวดมนต์เสร็จและนั่งสมาธิต่อ..
และเนื้อหาของบทสวดมนต์โดยสรุปแล้วถ่วงทำนองเป็นจังหวะ
มีการแบ่งช่องเสียงชัดเจน..
และจะสวดบทที่เป็นการสรรเสริญบารมีของพระพุทธเจ้า
วนไปวนมาครับ..
ซึ่งก็นำไปเปิดให้หลายๆคนฟัง
บางคนก็ได้ยินชัด
บางคนอีกซักพักถึงค่อยๆได้ยิน..
บางคนก็ไม่ได้ยิน
บางคนก็ไม่กล้าฟัง ฯลฯ
แต่ตอนนี้ไม่แน่ใจว่าลบไปหรือยัง..

ส่วนเรื่องดวงกลมๆ หลากหลายสี.. ก็พอมีประสบการณ์บ้าง
แต่ว่า ก็ยังอาจจะหาข้อสรุปได้ยาก แต่ก็มีปรากฏให้เห็น
อยู่เรื่อยๆ ที่ค่าของกล้อง iso ประมาณ ๔๐๐ ถึง ๖๕๐
ก็มีโอกาสที่เห็นได้ ซึ่งก็มีขนาดแตกต่างกันไปครับ

 

ใช่ "เมตตานัง อรหังเมตตา" หรือเปล่าครับ
บทนี้ เห็นมีพระเกจิท่องไล่กระทิงได้

หรือใครมาร้าย ท่องบทนี้ เขาจะคลายความดุร้ายลง

บางท่านว่า เป็นบทจีบสาวก็ได้ ^_^

 

เท่าที่พอจำได้ลางๆ เต็มที่ไม่เกิน ๕ พยางค์..
เป็นคำออกเสียงสั้นๆนี่หละครับ
พอดีส่วนตัวลืมโดยธรรมชาติ ๕๕๕
เด่วๆถ้านึกออกหรือเจอข้อมูลจะเอามา
เล่าให้ฟังนะครับ

 

ขออนุญาตครับ

น่าจะเป็น "เมตตาคุณนัง อรหังเมตตา" ของสมเด็จโต ที่หลวงพ่อจรัญบอกว่า "เมตตานี้ใช้ได้ผลดีมาก" ผมก็ท่องบ่นเวลาขับรถเสมอ เพื่อระลึกถึงครู อาจารย์

สำหรับบทสวดที่ให้กับพวกเพื่อนๆต่างภพได้อนุโมทนาบุญผมแนะนำ "เมตตาพรหมวิหาร" ครับ

ขอบคุณครับ

 

แบบที่ป๋านพบอก ดวงชอบติด ตอน noise เยอะๆ ครับ iso สูงๆ เคยถ่ายเก็บไว้ครับ ตอนนั้นอยู่ใน apartment เก่าๆสมัยสงครามโลก ช่วงนั้นสวดมนต์นั่งสมาธิบ่อย...

ดวงรวมมิตร
https://youtu.be/HbaEwNQBcdc

มีดวงใหญ่ๆ วิ่งผ่าน... ( no effect นะ)

https://youtu.be/J9RxWF5-dpo

 

ใช่ประมาณที่ น้ำเกลี้ยง ว่ามานั่นหละ คือ noise มันจะเยอะด้วย..
ประเภทที่เป็นดวงวิ่งผ่าน ถ้าความเร็ว Shutter เราช้าก็อาจจะพอ
เห็นทิศทางการเคลื่อนที่ได้ ช้าในที่นี้คือ ระดับความเร็วโหมด Auto
สำหรับกล้อง Compact ทั่วไปนะ ไม่ใช่แบบที่ถ่ายไฟหน้ารถยนต์
เป็นเส้นๆเป็นทางยาวๆเน้อ เพราะดวงแบบนี้ปกติจะเคลื่อน
ที่เร็วพอสมควร.....ถ้าในคลิปว่าใหญ่นะ..
ที่พอมีประสบการณ์ เห็นใหญ่กว่าในคลิปพอสมควร..
แบบเห็นทิศทางการเคลื่อนที่ร่วมด้วยก็มี..
ประมาณนี้.....
แต่บทจะไม่มีก็ไม่มี ก็มี

 

และดวงที่ว่านี้มีหลายสี ตั้งแต่สีขาวไปจนถึงสีทอง

เคยถ่ายรูปด้วยตนเอง ติดดวงสีทองดวงใหญ่มาก ที่งานบุญแห่งหนึ่งครับ

ส่วนดวงอื่น ๆ ก็เล็กลดหลั่นกันไป เป็นการถ่ายภาพตอนกลางวัน