สารพันปัญหา ตอบโดยคุณ nopphakan

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย รูปติดบัตร, 26 พฤศจิกายน 2016.

  1. TheKunKeng

    TheKunKeng เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2015
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +919
    ใจที่เป็นเป็นกลาง ที่คุณนพบอกตอนท้าย คือ การวางใจ เฉยๆ ไม่พยายามไปคิด
    ว่ามันจะเป็นยังไงและผลลัพธ์มันจะเป็นยังไงต่อไป มันจะเกิดหรือไม่เกิดขึ้น
    เจ้ากรรมนายเวรจะอโหสิหรือไม่อโหสิ ไม่ให้ไปสนใจไปนึก ว่าอะไรเป็นยังไง
    และถ้ากรรมมันเกิดขึ้นกับตัวผมแล้ว จริงๆ ผลจะเป็นยังไงก็ช่างมัน ให้ทำใจ ปล่อยวาง
    เพราะคิดซ๊ะว่ามันคือ วิบาก ที่ต้องชดใช้ ในการกระทำที่เราเคยทำมา มันเป็นธรรมดา
    กรรมก็เหมือนหนี้ที่เราต้องใช้เจ้าหนี้ อะไรอย่างนั้นใช่มั๊ยครับ แล้วเน้นตัวเรา
    ปัจจุบันทำให้ดีที่สุด ทำจิตใจให้ผ่องใส เน้นทางด้านปัญญาให้มาก
    โอเครครับ ผมพอจะเข้าใจได้บ้างแล้วล่ะนะ...
     
  2. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,047
    ประมาณที่ Thekunkeng เข้าใจนั่นหละ (^_^)
    พูดง่ายๆว่า มันจะดีหรือไม่ดีก็ไม่ต้องไปสน ไปยึดมัน
    หรือพูดตรงๆก็คือ มันจะเป็นอย่างไรก็ช่างหัวมะเขือมัน
    อยู่กับปัจจุบันนั่นหละ ตามคำสอนพระพุทธฯท่านกล่าวไว้
    ให้เวลากับมันซักพัก...
    แล้วลองมาสังเกตุผลด้วยตัวเองดู
    ว่าการพัฒนาเป็นอย่างไรถ้าเทียบกับที่ผ่านมา
    โดยเฉพาะความเข้าใจด้านนามธรรม
    ความรู้สึกผ่อนคลาย และการคลายตัวได้เอง
    ของจิตในเวลาลืมตาใช้ชีวิตปกติประจำวันและอื่นๆ
    แล้วจะเข้าใจนัยยะ "ที่ไม่ใช่ว่าว่าง และไม่ว่าง นั่นหละว่าง"
    ได้ด้วยเราตัวเองต่อไป...
     
  3. Gobshite

    Gobshite เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    255
    ค่าพลัง:
    +118
    อาการภาวนาไปเรื่อยๆแล้วเกิดความเย็นภายในกะโหลก
    หรือความรู้สึกวูบวาบ อย่างนี้คือเราไม่ต้องสนใจใช่ไหมครับ
    ตอนนี้การภาวนาเหมือนตัวข้างในมันภาวนาบริกรรมไปแต่ตาก็มองไปเรื่อยๆเเต่ไม่ได้สนใจ แยกกันพอสมควรอาจจะมีช่วงที่สลับกับจิตมารับรู้บ้าง อย่างนี้ไปถูกทางรึปล่าวครับ
     
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,047
    ที่ johh ว่ามาใช่แล้วหละ
    ท้ายสุดแล้วก็คือว่า เราจะรู้เบาทั้งกายและใจ
    โดยลำดับแล้ว แม้ว่าใจเราจะรู้สึกเบา
    แต่ว่ากายมันจะยังไม่รู้สึกเบา เพราะว่า
    มันขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายๆอย่างเช่น
    กำลังสมาธิสะสมในระดับที่จะมีภูมิต้านทาน
    เพียงพอในเรื่องพลังงาน และความสามารถในการปล่อยวาง
    ปล่อยวางในที่นี้หมายถึงปล่อยวางทุกเรื่อง
    รวมทั้งความลังเลสงสัยด้วย(จะบอก Johh ว่ามันจะเป็นอาการปกติ
    พูดง่ายๆว่าไม่มีใครไม่เคยเป็นและผ่านมาก่อน
    เพียงแต่จะสังเกตุเห็นหรือเปล่า เราทำไงเราเลยสังเกตุได้) ถ้าจะเร็วก็คือ
    ทำไป ไม่ต้องไปสนใจอะไร ถ้าเรามันใจว่า ท่านนั้นดีแน่ๆ
    ส่วนตัวก็จะมายืนยันอีกเสียงว่า ดีแน่ๆเหมือนกันเพื่อเสริมความมั่นใจ
    และเชื่อว่า แม้ว่าจะไปเจอครูบาร์อาจารย์ท่านใด ท่านก็บอกว่าดีแต่ๆ
    ให้เราทำไป เชื่อมไป โดยที่ไม่ต้องไปสนใจว่าจะเกิดจะมีอะไร
    ถ้ามันจะเกิดก็เกิดไป ไม่ว่าอะไร แต่ไม่ต้องไปยึด(เพราะเกิดได้ปกติ)
    เพราะอย่างน้อย เราก็เชื่อมกับพระอยู่ จริงๆไหม...
    แล้วในเวลาปกติ หลังจากเชื่อมแล้วก็อย่าลืมปล่อยวาง..(สำคัญมากนะ)
    เชื่อไหมว่า ยิ่งวางต่อไป มันจะเบา และจะเป็นไปอย่างอันโนมัติ(พิสูจน์เองได้)
    เพื่อให้จิตมันไม่ยึด ไม่ติด และเข้าสู่เส้นทางที่จะคลายตัวเอง
    ได้โดยธรรมชาติของมัน เราฝึกอะไรมาท้ายสุดก็เพื่อ
    เรื่องการที่จิตปล่อยวางตัวเองได้โดยธรรมชาติของมันเอง
    โดยไม่มีอะไรเข้าไปเป็นตัวกระทำนั้นหละ..
    ปล.กรณีนี้ เฉพาะ Johh เนาะ ไม่ควรไปในส่วนอื่นๆ
    ที่จะส่งผลให้เกิดมีอะไรมากกว่าบุคคลอื่นๆ
    ทางโลกที่เค้าใช้กันบนโลกนี้ขึ้นมา(เข้าใจเนาะ)
    เพราะว่ามันจะไปทางด้านสัมผัสภายใน
    แม้ว่าเราจะพอมีเมตตาอยู่และใช้สัมผัสภายใน
    นั้นๆจากเมตตาที่เรามี แต่ว่ามันจะไปมีข้อเสีย
    เรื่องของการใช้วาจาของเราเอง
    ยกตัวอย่างนะ เช่น ไปเห็นว่าคนหนึ่งกำลังเตะสุนัขอยู่
    แล้วเครื่องรู้มันไปรู้ว่า สุนัขเป็นโน้นนี่นั้นมาก่อน
    แล้วไปมีเมตตากับสุนัข เลยไปห้ามคนนั้นไม่ให้เตะสุนัข
    เลยมีการปะทะคารมย์กันตรงนี้ นี่ตัวอย่าง
    (บางทีเค้าอาจเตะเพราะว่า มันไปทำอะไรมาก่อนโดยที่เราไม่เห็น
    หรือว่า มันอาจจะเป็นวิบากระหว่างน้องหมากับคนนั้น)
    มันจะกลายเป็นว่า เราไม่รู้จักอุเบกขาให้เป็น ในเรื่องที่อุเบกขานั่นเอง
    เล่าตัวอย่างให้ฟังอย่างนี้ Johh พอจะเกทไหม....(^_^)
     
  5. Gobshite

    Gobshite เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    255
    ค่าพลัง:
    +118
    พูดง่ายๆอยู่ให้เนียนใช่ไหมครับ
    ไม่ควรไปก้าวก่ายนอกจากจะมีเหตุเกื้อหนุนใช่ไหมครับ
    เอาจริงตอนนี้แค่บริกรรมภาวนาอย่างเดียวไม่รู้ไม่เห็นอะไรสักอย่างเลยครับ
    แล้วก็เวลาไปสนใจอะไรที่นอกลู่นอกทางสุ่มเสี่ยงต่อการทำให้จิตหมอง คือตามันก็ดูๆไป แต่ตัวข้างในก็เกาะคำบริกรรมใหญ่เลยครับ เห็นการทำงานของมันเนืองๆ แต่ผมใช้คำบริกรรมเดิมนะครีบไม่ได้ใช้คำบริกรรมใหม่ที่ถามพี่ไป ถึงจะรฟุ้ว่าตัวเองค่อนข้างเชื่อมโยงกับครูบาอาจารย์ท่านนั้นอยู่ แต่มีอะไรนิดหน่อยนะครับเลยจำเป็นจะต้องใช้ำคำบริกรรมเดิม จะว่าหวังผลก็ไดเแต่คิดว่าปลายทางน่าจะไปจบที่เดียวกัน ใช่ไหมครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ธันวาคม 2016
  6. Gobshite

    Gobshite เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    255
    ค่าพลัง:
    +118
    พี่นบครับผมมีเรื่องจะถามในเชิงภูมิอื่นๆ
    อย่างนี้ว่า พอเวลาเราตายไปเนี่ยจิตที่ยังยึดมั่นในทรัพย์สมบัติเก่าๆ ก็จะทำให้เขาอยู่ตรงนั้นหรอครับ แล้วเค้ามีอำนาจขนาดที่สามารถดลใจหรือบังคับเหตุการณ์บางอย่างให้ไม่เกิดขึ้นด้วยได้หรอครับ คือผมเคยได้ยินแค่ว่าถ้าเราติดในของในพอตายไปก็จะแค่อยู่เฝ้ามาหลอกเฉยๆอะครับ พอดีผมเอารูปที่ดินที่จะขายไปให้ท่านท่านนึงเค้าสื่อนะครับแล้วเค้าบอกว่าเจ้าที่หรือวิญญาณบรรพบุรุษตรงนั้นไม่ยอมให้ขายและไม่ยอมรับบุญที่เราเคยทำให้เลย ผมก็เลยเอะใจว่า บุญนี่ในโลกอื่นเป็นความสว่างเป็นความอบอุ่นมากไม่ใช่หรอครับ ในสภาวะจิตที่เป็นทิพย์ก็ล้วนต้องการบุญ รึป่าวครับ แล้วอย่างทีนี้ที่ตรงนั้นก็เป็นชื่อผมแล้ว คือในทางโลกวิญญาณนี่ เจ้าของก็ไม่ใช่ผมหรอครับ ทั้งๆที่เราก็จะขายเราก็บอกเค้าแล้วทำนั่นทำนี่หมดแล้วบอกไปหมดว่า ทำไมต้องขายขัดสนยังไง แต่สุดท้ายเค้าก็มีอำนาจเหลือกุศลบุญหรอครับ แล้วคือเราทำอะไรไม่ได้ต้องยอมเขาอย่างเนี่ยหรือครับ
     
  7. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,047
    ปลายทาง ณ สภาวะเดียวกันอยู่แล้ว ส่วนการเข้าถึงเป็นไปตามเนื้อหาเดิมแท้ของจิตนั้นๆ
    เนื้อหาเดิมแท้คือ อะไรก็ตามที่เราทำได้ดีกว่าทั่วไป ซึ่งตรงนี้มันขึ้นอยู่กับว่า
    จิตดวงนั้นสะสมด้านอะไรมา เป็นที่มาของคำว่า เอตทัคคะ ทั้งหลายนั้นหละ
    แต่สุดท้ายก็ปลายทางเดียวกัน ประเด็นนี้เคลียร์เนาะ
    ส่วนคำบริกรรม เป็นเสมือนเครื่องเชื่อมโยงจิตเฉยๆ พูดง่ายๆก็คือเป็นเครื่องมือ
    หรือยานพาหนะ
    ให้จิตเดินทางร่วมไปถึงยังจุดที่จิตสามารถทำงานได้นั่นหละ
    แต่ว่าจิตจำเป็นจะต้องลงจากพาหนะนี่ก่อนถึงจะทำงานได้
    ส่วนจะทำงานอะไรก็สุดแล้วแต่ ไม่ว่าจะเป็น
    การลดคลื่นความถี่ให้ต่ำลงส่งผลให้จิตสงบ(ไต่ระดับฌาน)
    หรือ เป็นพาหานะเชื่อมเข้าไปในจิต
    แล้วลดกำลังลงไปหาความสามารถทำอะไรได้พิเศษในจิต
    ในช่วงอุปจารสมาธิหรือช่วงจิตเป็นทิพย์นั่นเอง...
    ถ้าจะสร้างภูมิต้านทานให้ดีขึ้น สร้างความเข้าใจทางนามธรรมให้ดีขึ้น
    เราก็จะต้องคำภาวนาออกไป ส่วนคำภาวนาที่ทิ้งนั้น จะส่งผลอะไรก็ไม่ต้องไม่สน
    ประเด็นอยู่ที่ กายเบา ใจเบา แล้วเข้าสภาวะนั้นทุกครั้งที่ดำริจะเข้า
    ในเวลาปกติ อะไรๆต่างๆรวมทั้งความเข้าใจทางด้านนามธรรม
    มันก็จะค่อยๆเป็นค่อยๆไปของมันเอง ตามแต่สภาวะจิตที่สามารถ
    ตัดตัว โลภะ โมหะ โทสะ ที่จะไปเผลอดึงเอา ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ
    จนกลายมาเป็นกิเลส
    ที่มีอยู่แล้วภายนอกมาเป็นตัวตนได้มากน้อยแค่ไหน...
    พูดง่ายๆ ความสามารถต่างๆในการทำได้ทางด้านนามธรรม
    รวมทั้งความเข้าใจทางด้านนามธรรม ขึ้นอยู่กับระดับของกิเลสที่เล่า
    ให้ฟังข้างบนว่ามีมากน้อยแค่ไหนนั้นเอง
    ซึ่งตรงนี้ เราสามารถใช้ตรวจสอบพิจาณาตัวเราเองได้
    เพราะวิธีการแบบที่เล่ามา ถ้ามันทำได้รู้ได้ มันจะทำได้เลย
    ไม่มีเสื่อมถอยมีแต่จะพัฒนาขึ้น มันไม่เหมือนอะไรที่ได้มาจาก
    การยังมีตัวตน ด้วยการไปหวังว่า ใช้ สมาธิ ตบะ ฌาน ฌานอะไร
    และจะให้มันเกิดซึ่งพวกนี้มันมีเสื่อม มีถอย ใช้เวลา มากพิธี
    ผลที่ได้น้อย ทางโลกมักเรียกว่ามิจฉาทิฐิ นั่นหละ


    จิตจะทิ้งร่างกายก็ต่อเมื่อร่างกายใช้ไม่ได้แล้วอีกต่อไป...
    ดังนั้นถ้าร่างกายใช้ไม่ได้อีกแล้ว ไม่ว่าร่างกายไหนจิตก็ไม่อยู่
    พิธีกรรมต่างๆเน้นเพื่อ ผ่อนคลายกระแสอะไรต่างๆที่มาเกาะกาย
    ซึ่งจะส่งผลต่อจิต เมื่อเราเคลียร์กระแสต่างๆตรงนี้ได้
    ก็จะส่งผลกับตัวจิตโดยธรรมชาติเพราะมันอยู่ร่วมกันอยู่
    เป็นเหตุให้ไปต่อได้(คือไปพร้อมกายและจิต)
    แต่บ้านเราชอบนำมาเสนอว่า เป็นการต่อชะตาชีวิต
    (จริงมันไม่ใช่ ต่อชีวิตคือต้องซ่อมร่างกายให้กลับมาดีเหมือนเดิม
    และใช้งานได้ปกติ) จริงๆพิธีกรรมมันคือ
    (การช่วยที่จิตจากฐานที่กายนั่นเอง) แต่ถ้าขาดอย่างใดอย่างหนึ่ง
    โดยเฉพาะกายแล้วยังไงก็ไปต่อไม่ได้ พอเข้าใจเนาะ
    ถ้าขาดจิตก็ไปต่อไม่ได้ เพราะกายจะเสื่อมโดยธรรมชาติ
    (พวกที่ทำพิธีเรียกขวัญนั่นหละ)

    และจิตสุดท้ายที่ออกจากร่างกาย สภาวะสุดท้ายจิตทิ้งกายไปอย่างไร
    จิตก็จะอยู่สภาวะอย่างนั้น เพราะว่าจิตเฉยๆมันจะไม่มีความสามารถ
    ในการสร้างสติทางธรรมได้(สติทางธรรมตัวควบคุมความคิดและพฤติกรรมของจิต
    คล้ายๆตัวคิดแทนเราในขณะที่มีร่างกาย) เพราะสติทางธรรมนั้นสามารถสร้าง
    ให้เกิดได้เฉพาะกรณีที่ยังมีร่างกายอยู่เท่านั้น
    เรามักจะได้ยินคำว่า เสวยวิบาก เมื่อจิตออกจากร่างกายจริงๆ(ตาย)
    วิบากไม่ว่าดีหรือไม่ดี แต่ก็ยังต้องไปเสวยผลเช่นกัน ดีก็เชื่อว่าไปเกิดเป็น
    โน้นนี่นั้น ไม่ดีก็เชื่อว่าไปเป็นนั่นโน้นนี่....

    พอเข้าใจการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันของจิตกับกายหรือยัง...
    ถ้าเข้าใจบ้างก็จะพบว่า ในขณะที่จิตกำลังจะทิ้งกายนั้น(แยกดีๆนะ กายเป็น
    รูปธรรม จิตเป็นนามธรรม) จิตที่เป็นนามธรรมดันเผลอไปนึกถึงการนึกถึง
    ทำให้จิตส่งตัวเชื่อมไปยังรูปธรรม ซึ่งโดยปกติแล้ว เรามักจะถูกพร่ำสอน
    ว่าก่อนตายควรนึกถึงนามธรรมเช่น พระพุทธเจ้าฯ ด้วยอุบายการสวดมนต์
    การระลึกนึกถึงภาพเพื่อให้เข้าถึงนามธรรมอะไรตรงนี้....
    แต่พอเมื่อจิตใกล้จะตายแล้ว ดันไปนึกถึงวัตถุ เลยทำให้วงจรการทำงาน
    ของรูปธรรม(กาย)และนามธรรม(จิต) กลับมาวนเวียนเหมือนเดิมเพียง
    แต่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นรูปธรรม(วัตถุต่างๆ)และนามธรรม(จิต) เท่านั้น..
    ในวัตถุมันไม่เหมือนกาย เพราะวัตถุมันไม่มีระบบประสาท ไม่มีสมอง
    ที่สร้างการนึกคิด ปรุงแต่งอะไรได้ และไม่มีอายตนะต่างๆ
    ที่จะเป็นตัวทำให้เกิดการนึกคิดปรุงแต่อะไรได้
    ซึ่งระบบพวกนี้จำเป็นต่อการที่จะสร้างใช้สติทางธรรม
    เพราะมันจะต้องอาศัยซึ่งกันและกัน เพื่อสร้างสติทางธรรมอยู่
    ดังนั้นจิตที่ออกจากรูปธรรม(กาย) ไปยังรูปธรรม(วัตถุ) กำลังสติ
    ทางธรรมมันสร้างอีกไม่ได้ ดังนั้นกำลังสติทางธรรมมีแค่ไหนมันก็จะ
    มีแค่นั้นเลย อย่างลืมว่า กำลังสติทางธรรมมันคือตัวควบคุมความคิด
    เมื่อวัตถุไม่มีสมอง ฯลฯ มันก็มีอะไรส่งเสริมกัน ซึ่งจะส่งผลให้ควบคุม
    พฤติกรรม ของจิตได้ ก็ต้องมาจากส่วนกายที่งานผ่านสมองให้เกิดความ
    นึกคิด ซึ่งโดยปกติแล้ว มันต้องอาศัยรูปธรรม(กาย)และนามธรรม(จิต)ร่วมกัน

    เมื่อจิตสุดท้าย คิดอะไร ก็จะยังคิดและยึดกับความคิดเหล่านั้น
    เพราะว่า ไม่มีตัวควบคุมความคิด และก็จะแสดงพฤติกรรรม ที่ส่งเสริม
    ตามความคิดสุดท้าย เพราะว่าไม่มีตัวควบคุมพฤติกรรม ของจิตอีกเช่นกัน...

    พอมองภาพการทำงานคร่าวๆของสติทางธรรมออกไหม...
    ส่วนกำลังบุญที่เป็นกระแสเย็นนั้น ก็เป็นตัวที่จะช่วยให้จิต
    คลายออกจากความคิดที่จิตไปยึดรูปธรรม(วัตถุตรงนี้)
    หรือให้จิตคลายตัวของมันเอง มันก็จะคลายวัตถุที่ยึดเกาะได้
    ประเด็นหลักคือเมื่อจิตคลายตัวเองได้ มันก็จะเปิดรับออกสู่ภายนอก
    ก็ขึ้นอยู่กับว่า กระแสบุญที่ได้รับเข้ามานั้น เป็นคลื่นความถี่ระดับไหนนั่นเอง
    ซึ่งคลื่นความถี่ที่เป็นกลายเป็นกำลังบุญ เรามักเรียกกันว่า บารมี
    มันก็ย่อมแตกต่างๆกัน ตามการสะสมมาของแต่ละจิตดวงนั้นๆ...
    พอเข้าใจหรือยังว่า เวลาจะทำอะไรทำไมพระท่านถึงสอนให้ขอบารมีพระก่อน
    อย่าใช้บารมีหรือกำลังใจตัวเอง
    ก็เพราะประเด็นนี้หละ เพราะบารมีที่สะสมมามันแตกต่างกันไง....

    ที่นี้การยึดติดมันก็มีกำลังที่แตกต่างกันอยู่...เราก็ให้ไปเรื่อย
    ด้วยการขอบารมีพระร่วมกับบารมีของเราทำไปเรื่อย กระแสเย็นๆ
    ให้ไปบ่อยๆ เมื่อกระแสเย็นมันมากพอ เด่วกระแสความคิดฝ่ายร้อน
    ก็จะคลายได้เอง ตรงนี้ก็ใช้เวลาหน่อย...ที่ไม่ได้ผล เพราะเราไปคาดหวัง
    การคาดหวังเป็น กิเลสอย่างหนึ่ง ซึ่งมันเป็นอกุศลที่แทรกอยู่ในกุศล
    พูดง่ายๆเป็นกระแสร้อนที่ยังแอบแทรกอยู่ในกระแสเย็น(บุญ)เรานั้นอยู่...
    และอย่าไปคิดว่าจะเป็นอย่างที่เราคิด เพราะนามธรรมที่เป็นบุญ
    มันอยู่เหนือเหตุเหนือผล อยู่เหนือการให้คำจำกัดความใดๆได้เช่นเจน
    อย่างเจ้ใบเต้ย ข้างห้อง ติดกำไล อันเดียวอยู่มา ๑๘๙ ปี เมื่อก่อน
    เดินไปไหนเกิน ๕ เมตรก็เหนื่อยแล้ว ต้องอยู่บริเวณที่ฝั่งกำไลไว้
    พวกอสูรกายในป่าลึกก็ไม่ได้ไปไหน อยู่มาก่อนยุคพุทธกาลอีก
    บรรพบุรุษ ที่หวงทรัพย์ อยู่ยังชั่วลูกชั่วหลาน...
    จนกว่าจิตจะคลายตัวออกจากรูปธรรมที่ยึดได้นั่นหละ
    ไม่ว่าวิธีการใดๆ เช่น เจอคนอุทิศบุญให้เพื่อให้จิตคลายตัวได้ผ่านมา
    (ต้องมาลุ้นอีกว่าเค้าจะคิดว่ามาหลอกเค้าหรือเปล่าเพราะตัวเอง
    แสดงหรือบอกตรงๆก็ไม่ได้) เจอผู้โปรดผ่านมาบริเวณนั้น เจอพระพุทธฯท่าน
    ใดท่านหนึ่งผ่านมา...เจอผู้โปรด เจอพระพุทธก็ว่าแสนยากแล้ว...
    ไหนจะต้องมาเจอคนที่อุทิศได้และต้องมาลุ้นอีก แล้วคนปกติที่ไหน
    จะไปรู้ว่า มีดวงจิตที่ทิ้ง(กาย)ไปยึดวัถตุอยู่บริเวณนั้น เห็นส่วนมาก
    ก็มีแต่พระสงฆ์ปฏิบัติดี..หรือฆารวาสที่มีสัมผัสหน่อย..
    ก็ต้องไปลุ้นอีกว่า พวกฆารวาสที่มีสัมผัสจะมีเมตตาอีกหรือเป่า
    ไปเจอกลุ่มบ้าพลังก็ซวยไปอีก นี่หละมันหลายลุ้น...
    ปล คิดจะทำเราก็ทำให้ไป
    ให้แล้วให้ก็แล้วไป
    ไม่ต้องไปหวังผลอะไร
    แม้ไม่มีผลอะไรเกิดขึ้น
    เราก็ทำให้ไปอีกของเราไป..
    มันถึงจะกลายเป็นบารมีที่มากพอ..
    แล้วมันก็จะเป็นไปได้ของมันเอง....
    ประมาณนี้หละ...

     
  8. Gobshite

    Gobshite เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    255
    ค่าพลัง:
    +118
    ตอนนี้กำลังใจดีขึ้นกว่าแต่เก่าพอสมควรครับ
    พยายามจะรักษาศีลให้บริสุทธิ์ กลายเป็นว่าบางทีเราเกือบจะทำอะไรนอกลู่นอกทางตัวรู้หรือสติมันจะผุดขึ้นมาว่า เออ ให้คิดทบทวนดีดี อาจจะทำให้ผิดศีล

    เออแล้วอย่างตอนภาวนาเนี่ยครับพี่นบ
    บางทีมันเกิดความง่วงเข้ามาแทรกแต่เห็นในลักษณะที่มันแยกออกมาเกาะไม่ได้รวม
    แล้วอย่างทีนี้บางทีมันก็เผลอ พอมันเผลอเอาล่ะง่วงจริงไปเลย แต่บางทีก็เห็นมันแยกกันเป็นตัวๆ อย่างนี้คือเราพิจารณาได้หรือยังครับ ให้เห็นกระบวนการของมัน หรือสะสมสมาธิไปในจุดนึงรอมันมีกำลังเเล้วมันจะรู้ของมันเอง คือตอนนี้บางทีก็ไม่รู้ว่าที่ผุดขึ้นมาเนี่ยอันนี้คือตัวรู้ ที่เกิดจากความเข้าใจ หรือเป็นความจำเก่าๆ เราจะรู้ได้ยังไงครับว่ามันเป็นอันที่ผุดขึ้นมาจริงๆแบบเพียวๆของแท้เลย เพราะก่อนนั่งก็อธิษฐานเสมอว่าขอพึ่งบารมีพระท่านให้รุ้แบบชัดเจนแจ่มใส ไม่เอาตัวหลอก อันนี้พอช่วยได้ไหมครับ
     
  9. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,047
    อฐิษฐานขอให้ช่วยได้แต่ให้จบเป็นเรื่องๆไป
    ศีลพยายามให้เป็นไปโดยธรรมชาติของจิตเอง
    พลั้งบ้าง พลาดบ้างช่างหัวมัน ผ่านมาแล้วอย่าไปสน
    รู้ตอนไหน ทันตอนไหน ก็เริ่มใหม่ตรงนั้น ตรงนี้ไม่ต้องซี

    ส่วนที่กิริยาที่เล่าให้ฟังนั้น ให้พยายามรู้ตัวแล้วเข้าออกบ่อยๆ
    อย่าเผลอไปพยายามที่รักษาเอาไว้ให้มันนาน เด่วจะง่วงและไปต่อยาก
    มันจะมีกำลังสมาธิในการรักษาสภาวะนั้นได้นานของมันเอง
    แล้วถึงจะแก้อาการง่วงได้
    ที่สำคัญไม่ต้องคิดอะไร เข้าออกให้จิตมันเห็นบ่อยๆ
    เด่วจิตมันจะรู้เอง. แล้วรู้ยังไงหละครับ

    นึกภาพตามนะ จิตปกติมันซื่อบื้อกันทุกคน
    มันไม่มีปัญญาทางธรรมหรอก และชอบท่องเที่ยวเป็นทุน
    ที่นี้เราก็ทำให้มันเห็นสภาวะนั่นบ่อยๆ(คล้ายๆบังคับให้มันเห็นกลายๆ)

    หนึ่งไม่รู้สองไม่รู้อาจจะรู้ที่เก้าที่สิบ ก็ช่างมัน
    กำลังสมาธิสะสมที่ได้จากการเข้าออกบ่อยๆ
    มันจะส่งผลทำให้รักษาสภาวะนั้นๆได้นานขึ้นของมันเอง
    ไอ้ช่วงที่จิตมัน มันอยู่ในสภาวะนั้นได้นานนั่นหละ
    มันจะมีตัวสติทางธรรมคอย ควบคุมให้จิตเรานิ่งๆเป็นกลางเอง
    พอจิตนิ่งๆเป็นกลางซักพัก แล้วจิตมันเหมือนว่ามันดูของมันเอง
    เด่วจะเกิดเป็นปัญญาทางธรรมขึ้นมาได้เอง ซึ่งบางครั้งเร็วมาก
    แต่การวางการรู้แค่ไม่กี่วินาที
    เราอาจจะต้องเขียนซักสองสามหน้ากระดาษถึงจะหมด
    จิตมันจะเข้าถึงได้จากส่วนที่เล่ามาข้างบนนั่นหละ

    การทบทวนถ้าจะเร็วให้ทบทวนก่อนนอนและตอนตื่นนอน(อย่าพึ่งลืมตา)
    ว่าเราทำอะไรมาบ้าง วันนี้เราพลาดอะไร อย่างไรประมาณนี้
    จะทำให้เข้าถึงได้เร็วขึ้น

    ปล ควรเสริมด้วยการเดินจงกลมก่อนนั่งสมาธิ..
     
  10. tenis

    tenis เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    343
    ค่าพลัง:
    +1,228
    เรียน คุณนพการ รบกวนชี้แนด้วยคะ

    เราปฏิบัติในสายธาตุบรรพะ คือ เห็นร่างกายตามมหาภูตรูป ภาวะเย็นร้อน (ไฟ)อ่อนแข็ง (ดิน) ไหว ตึง (ลม) ไหล หรือเกาะกุม (น้ำ) แต่ติดปันหาเกี่ยวกับสมาธิคะ อยากเรียนถามคุณนพการให้ชี้แนะคะ
    1. ปกติถ้านั่งปุ๊บ จะเห็นด้านซ้าย หางตา เป็นดวงสว่าง อันนี้เห็นประจำ คือ?
    2. ด้านขวาภายในศีรษะและกกหู จะมีอาการลม ตึง อาการลมนี้ขวางทางการปฏิบัติมาตลอดคะ เหมือนธาตุเดินไม่สะดวก ผลคือ 2.1ลมดันให้ร่างกายกระตุกบ้าง เรอบ้าง เป็นแบบนี้ตลอดสิบกว่าปี ทำให้ทรงอารมณ์ไม่ได้คะ อารมณ์ไม่ต่อเนื่อง ปฏิบัติไปต่อไม่ได้คะ จนเมื่อเร็ว ๆนี้ เพิ่งได้รับคำแนะนำให้สร้างวิหารธรรม (จากเดิมที่ตามดูรู้ทั่งร่างกาย ) ผลที่ได้คือ อาการข้างต้นน้อยลงมาก เห็นอาการที่ธาตุไฟกลืนธาตุลม แล้วเกิดเป็นความสว่างใหญ่ขึ้น รวมตัวอยู่ตรงกลาง อาการสว่างด้วยสมาธิ (เคยเห็นบางอาการเป็นเส้น ๆ ค่อย ๆ ขาวรอบ ค่อยพันรอบศีรษะ แต่ผลสุดท้ายเหมือนกัน คือเห็นแสงสว่าง ) เท่าที่สังเกตเห็นอาการในจิตบางครั้งก็สงบ บางครั้งก็มีอารมณ์ผุดต่าง ๆ
    3. แต่ประเด็นปันหาต่อมาคือ ไม่ทราบจะปฏิบัติจากข้อสอง คือ ปล่อยให้จิตอยู่ในสมาธิ ตามดูรู้ต่อไป ถูกต้อง?
    4. จากข้อสามปฏิบัติต่อไป กลับมาดูเวทนาที่ร่างกาย ปรับธาตุภายในเพื่อบรรเทาเวทนา จะเห็นอาการ อารมณ์ผุดบ้าง อารมณ์ผ่านตามร่างกายบ้าง สลับกับสมาธิ เป็นแบบนี้ไม่ไปถึงไหน
    5. แต่ถ้าเลือกที่จะยอมรับเวทนา ปล่อยให้มันแสดงอาการทุกข์ทางกายต่อไป ท้ายที่สุดจะเกิดอสการสว่างพรึบแบบเดิมในข้อสองคะ ลมในหัวจะทวีกำลังกลายเป็นความสว่าง
    6. สรุปคือ ไม่ว่าจะทำอะไรแบบไหน ยังวนอยู่ที่ มีลม ตึง นิ่ง สว่าง แต่อาการตึงเพราะลมก็ยังมีอยู่เหมือนซ่อนอยู่ แล้วก็แสดงอาการให้เห็นเหมือนเดิม คือ ลม ตึง เวทนา สว่าง
    7. ลมไม่เคยหมดไปคะ เห็นอาการที่แนวจักระ 6 และจักระเจ็ด ตรงนี้ไม่ได้จุดตายตัว พบว่ามันเป็นแนว ซึ่งเคลื่อนได้ เราจะรู้สึกอาการยุกยึกข้างในเป็นครั้งคราวคะ (เราไม่ได้พลังจักรวาลใด ๆ เพียงแต่เคยอ่าน เคยเรียน แต่ทำไม่ได้คะ รู้สึกว่าคอนโทรลไม้ได้ การปรากดขึ้นจามจุดต่าง ๆ
     
  11. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,047
    ตอบ tenis ไปแล้วใน pm เน้อ
    พอดีที่ถามเป็นเฉพาะกิจหน่อย
    อาจจะฟังดูเวอร์ๆหน่อย แต่ให้ฟังหูไว้หูนะครับ
    เพราะว่า เทคนิคนี้ไม่มีสอนทางโลกนะ
    เรียนได้จากทางฝ่ายภพภูมิ
    พอดีมีโอกาสได้ไปเรียนต่อยอดมา หน้าพระพุทธรูปองค์สีดำ
    ปางจักรพรรดิ์องค์ใหญ่องค์หนึ่งมาก่อน
    ช่วงที่ไปทำไปช่วยทำอะไรให้บุคคลกลุ่มหนึ่งซักประมาณ
    ครึ่งร้อยชีวิตได้ตามวาระ.. เลยพอจะแนะนำได้บ้างเล็กน้อย..

    ประเด็นสำคัญตอนนั้นที่ได้มา คือ การยืดอายุของบุคคลที่
    ชะตาชีวิตขาด ย้ำว่ายืดอายุนะครับ ไม่ใช่ชุบชีวิตหรือต่อชีวิต
    กิริยาทางนามธรรมหมายถึง
    บุคคลที่เส้นพลังงานขาดหรือแกนพลังงานพลิกทั้งหลายนั่นหละ
    (ปกติใครเป็นอย่างนี้ ทางโลกก็คือใกล้สิ้นอายุไข
    หรือใกล้เปลี่ยนภพภูมินั่นหละครับ)
    และที่สำคัญที่จะทำได้ก็คือร่างกายบุคคลนั้นยังใช้งานได้อยู่นะครับ
    ถ้าร่างกายพังหรือเสื่อมตามธรรมชาติจะช่วยไม่ได้นะครับ
    ส่วนจะอยู่ต่อได้นานแค่ไหน แล้วแต่บุคคลนะครับ
    และไม่ใช่ว่าจะทำได้กับทุกคนนะครับ ย้ำว่าแล้วแต่วาระของแต่ละบุคคลนะครับ
    เพราะทุกคนยังไงก็ต้องตายครับ...
    แม้แต่ผู้เขียนก็ไม่พ้น แต่บางคนที่เค้าให้อยู่ต่อได้
    ตามสภาพร่างกายที่ยังใช้ได้
    เพราะอะไรไปคิดกันเอาเองครับ...



    เพราะวิชานี้ ท่านที่สอนให้คือ ท่านผู้ที่เป็นใหญ่
    ที่ไม่ใช่ทางด้านสวรรค์แล้วกันเรามักเรียกท่านว่า ท่านพ่อ พ......ม
    ท่านเป็นเจ้าของวิชานี้นะครับ
    ไม่ใช่ว่าผู้เขียนเก่งหรือมีความสามารถอะไรนะครับ
    โน้นท่านเจ้าของวิชาโน้นครับที่เก่ง.. พูดได้แค่หละนี้หละครับ
    พูดมากกว่านี้ไม่ดี..เด่วงานจะงอก...

    (^_^) ส่วนของ tenis ค่อยๆอ่าน
    และหวังว่าจะพอเข้าใจที่แนะนำได้เน้อ..
    ยังมีอีก ๒ ขั้นตอนต่อจากที่ได้แนะนำส่วนตัวไป..(^_^)
    สวัสดีปีใหม่..
     
  12. Gobshite

    Gobshite เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    255
    ค่าพลัง:
    +118
    อยากทราบอาการของเวลาเริ่มทำสมาธิแล้วเหมือนมีลมๆหนาแน่นอยู่บนกลางกะโหลกครับ
    หรือบางทีเวลารับพรพระหรือสวดมนต์ก็เกิดพลังงานที่ฝ่ามือแล้วดันออกจากกันทำให้ประกบมือไม่ติด อันนี้คือคิดไปเองรึปล่าวครับ
     
  13. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,047
    ไม่ได้คิดไปเองเป็นเรื่องปกติ
    ในการรับรู้ลักษณะพลังงาน
    พื้นฐานและถือว่าธรรมดามากๆ
    ให้เฉยๆไม่ต้องสนใจอะไร
     
  14. Gobshite

    Gobshite เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    255
    ค่าพลัง:
    +118
    ตกหล่นไปนะครับของพี่สาวด้วยนะครับ
     
  15. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,047
    พี่สาวที่เป็นพระพุทธได้หลายปางมาก คือ ๑. ปางเดียวกับคุณแม่เลย
    ได้ ๗ เศียรด้านหลังเลยยิ่งเหมาะ
    หรือเป็นพระพุทธฯที่ออกแนวพระเจ้าจักรพรรดิ์ปางสมาธิ
    ที่หน้าตาออกเหลี่ยมหน่อยได้หมด
    เป็นมหาเทพที่ชื่อว่าหลุดที่สุดในสามโลกปางนั่งจับเข่าก็ได้

    แต่ถ้าเป็นพระสงฆ์ คือ หลวงปู่สรวง ที่อยู่ในอริยบทท่า
    นั่งกอดเข่า ยังไงก็ท่านนี้ ถ้าเป็นพระสงฆ์นะ..
    มอง ๔ รอบและยังไงก็ท่านนี้หละ..
    เหมือนเคยสอนกันมาในอดีตกรรมฐาน
    แบบที่ขึ้นด้วยลูกแก้วใสๆขนาดเท่าลูก
    ซอฟบอล....
    ปล.ประมาณนี้หละ....
     
  16. Belmondo

    Belmondo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    165
    ค่าพลัง:
    +480
    สวัสดีค่ะคุณนพ
    ดิฉันตามมาอ่านคำแนะนำของคุณนพจนได้ ถึงแม้ว่าเรื่องราวคำแนะนำต่าง ๆ ของคุณนพที่ผ่านมาจะค่อนข้างยากในการเข้าใจของดิฉันสักหน่อย แต่ก็ชอบที่จะอ่านและพยายามที่จะเข้าใจค่ะ ดิฉันมีคำถามอยู่ข้อหนึ่งซึ่งไม่กล้าถามพระสงฆ์องค์เจ้าที่คอยพร่ำสอนฆราวาสให้ทำบุญ ทำทาน เพื่อหวังผลนิพพาน ขนาดบทขอขมากรรม บทแผ่เมตตาฯ ก็มักจะจบด้วยประโยคที่ว่า
    "ขอให้ข้าพเจ้า ได้ถึงซึ่ง พระนิพพาน ด้วยผล แห่งการกระทำอันเป็นบุญกุศล ในอนาคตกาล เบื้องหน้านี้เทอญ"
    ในความคิดของดิฉัน ผู้ที่จะไปนิพพานได้นั้นต้องไม่ใช่คนธรรมดาสามัญอย่างแน่นอน ยิ่งพวกที่ยังมีหน้าที่การงานไม่ว่าจะต่ำหรือสูงแค่ไหน ไม่มีเวลามาฝึกฝนหรือใฝ่หาธรรมะ จะเข้าถึงนิพพานได้อย่างไรกัน ดิฉันคิดว่าผู้ที่จะไปนิพพานได้ต้องถึงขั้นอรหันต์เท่านั้น แล้วการที่จะจบประโยคหลังการแผ่ส่วนกุศลแล้วหวังผลนิพพานนั้น มันถูกต้องหรือไม่ พระสงฆ์ที่ปฎิบัติดีปฎิบัติชอบบางรูปท่านไม่บอกหรอกว่า "พวกแกไปไม่ถึงนิพพานหรอก ตราบใดที่ยังอยู่ในทางโลก" เพราะมันจะทำให้พวกเราคนธรรมดาสามัญทั้งหลายหมดกำลังใจ
    จึงอยากรู้ว่ามันสมควรหรือไม่ที่จะหวังผลนิพพาน ทุกครั้งที่ทำบุญต่าง ๆ คุณนพช่วยไขความกระจ่างให้ง่าย ๆ หน่อยนะคะ คือดิฉันยังเป็นเด็กอนุบาลอยู่น่ะค่ะ เห็นมีแต่พวกพี่ ๆ ระดับมหาลัยเขียนโต้ตอบกับคุณนพกันทั้งนั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มกราคม 2017
  17. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,047
    ที่ส่วนตัวแนะนำ มันออกไปในทางปฏิบัติครับ
    บางสภาวะอาจจะต้องอาศัยของเก่าบ้างถึงจะพอ
    เข้าใจ และเป็นเรื่องธรรมดามากที่อ่านแล้วจะยัง
    ไม่เข้าใจเลยในตอนแรก แต่ถ้าได้ไปปฏิบัติแล้ว
    ผ่านสภาวะนั้นก็จะเข้าได้เอง..ก็คล้ายๆที่ท่านที่สอน
    แนะนำส่วนตัวมานั่นหละครับ ท่านก็ย้อนเหตุก่อน
    ว่าเพราะอะไรให้เรารู้เหตุ
    ตามด้วยการบอกแนวทางปฏิบัติในปัจจุบันเพื่อเดินหน้าต่อ
    และตามด้วยการบอกสภาวะที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต
    เพื่อให้ระมัดระวังป้องกันการล่าช้าเนื่องจาก
    มัวไปสนใจกับสภาวะลับอำพรางที่จะดึงให้เรา
    เข้าถึงปลายทางช้านั้นหละครับ...
    ซึ่งส่วนตัวก็ไม่เข้าใจเหมือนกันครับ
    กับสภาวะในอนาคตที่ท่านบอกมา
    แต่มีข้อดีคือ ไม่ค้าน ไม่แย้ง แล้วมักจะลองไป
    ปฏิบัติดูก่อน แล้วดูผลว่าเป็นอย่างไร
    คิดว่าเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ส่วนตัว
    เวลาฝึกกรรมฐานอะไร ค่อนข้างใช้เวลาน้อย
    ซึ่งไม่ใช่ว่าตนเองเก่ง แต่เพราะผู้ถ่ายทอดเก่ง
    ในเรื่องของเทคนิคคอลเทอม แล้วเราทำตาม
    เราเลยเข้าถึงได้เร็วนั่นหละครับ..
    ส่วนบางอย่างที่มันดูเหนือวิสัย
    เพราะว่าท่านที่สอนไม่ใช่ท่านที่มีกายเนื้อ
    เป็นการถ่ายทอดด้วยเหตุแห่งเจตนาส่วนบุคคล
    เพราะส่วนตัวเรียนไปนั้น ไม่เคยตั้งเป้าเพื่อ
    ประโยชน์แห่งตนเอง มีแต่เพื่อประโยชน์ทางธรรม
    และเพื่อประโยชน์แห่งผู้อื่น..คิดว่าตรงนี้
    เลยเป็นเหตุให้มี ภาคส่วนภพภูมิหลายท่าน
    มาคอยแนะนำสอนเทคนิคคอลเทอมให้เสมอๆ
    ตรงนี้ก็ไม่ใช่ว่าตัวเองเก่งหรือเป็นคนดีนะครับ
    แต่ด้วยเจตนาที่ดีตั้งแต่ต้นก่อนที่จะฝึกในกรรมฐานนั้นๆ
    ส่วนกรรมฐานอะไรที่ ฝึกแล้วอาจจะทำให้กลายพันธ์
    แม้ว่าตัวเองจะพอทำได้ หรือมีเหตุให้ทำได้
    แต่ถ้าท่านห้าม หรือท่านบอกว่าอย่า
    ส่วนตัวก็ไม่ฝึกเช่นกันครับ
    แต่ถ้าเป็นกรรมฐาน ที่จะเดินไปยัง
    ปลายทางแห่งเหตุที่ดี เมื่อไรที่ติดขัด
    (หมายถึงส่วนตัวพยายามแล้วพยายามอีก
    ที่จะพ้นสภาวะนั้นแล้วมันยังไปไม่ได้ซักที)
    ก็จะถามท่าน ซึ่งท่านก็จะแนะต่อให้
    และก็มักจะทำได้ภายในครั้งเดียวเหมือนเช่นปกติ

    และหลายๆกรรมฐานที่ได้มานั้น
    มาจากเจตนาทั้งนั้น สอนกันสดๆ ณ เวลานั้นๆเลย
    เช่น ต้องการทำ A เพื่อเอาไว้ทำประโยชน์กับ B
    อย่างนี้ท่านจะสอนทันทีครับ
    แต่ถ้าอยู่ดีๆจะถามว่า A ทำอย่างไรครับ
    อยากทำได้ ยังไม่ปรากฏว่าท่านจะสอนให้ครับ

    ส่วนสภาวะนิพพาน ทางกิริยาคือสภาวะ
    ที่ไม่มีการเกิดของจิตอีกแล้วนั่นเอง...
    ดังนั้น อะไรก็ตามที่มาทำให้จิตยังเกิดได้
    นั่นก็หมายความว่า มันไม่ใช่สภาวะนิพพานแน่นอนครับ
    การที่เรายังเห็นเป็นภาพได้ นั่นคือ มันต้องมี
    สัญญาตัวหนึ่งที่อยู่ในจิตเรา แล้วสร้างขึ้นมา
    มันถึงจะปรากฏเป็นภาพได้ พูดแค่นี้นึกออกนะครับ...
    ถ้าเคยอ่านที่ส่วนตัวเขียนนะครับ..
    ส่วนตัวบอกว่า แม้ว่าจะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าๆ
    ก็ยังยึดไม่ได้เลย [คือใจจริงๆอยากจะพูดว่า
    ขนาดตรู เห็นแบบที่พวก คุณ มะรึงโม้ๆทั้งหลาย
    ได้แบบตาเปล่าๆ และตรู ทำให้พวก คุณ มะรึง
    เห็นแบบที่ ตรูเห็นก็ยังได้(ตรงนี้อาจฟังดูเหมือนโม้นะครับ
    แต่ถ้าพวกที่เคยเจอตัวจริงกันจะรู้ในเรื่องที่พูดดี
    ไม่ได้แค่พูดแน่นอนครับแต่แล้วแต่วาระนะครับ
    ไม่ใช่ทำให้ทุกคน) ไม่ใช่แบบที่พวก คุณ มะรึง
    เอามาโม้แบบคุณ มะรึงพิสูจน์ไม่ได้ เห็นอยู่คนเดียว
    ยังยึดไม่ได้เลย
    เพราะว่ามันก็ยังไม่ใช่]
    นี่พูดแบบตาเปล่าๆเลย ไม่ใช่หลับตาเห็นด้วย
    และก็ไม่ใช่แบบ กลุ่มที่มักเอาตำรามาเก๊ทับด้วย
    ก็พูดตรงๆไม่ได้อีก สังเกตุไหมหละครับ
    ปกติส่วนตัวไม่ค่อยไประรานใครก่อน
    แต่มักจะโดนทับถมประจำ ขนาดบอกไม่ได้เก่ง
    ไม่ได้ดี ไม่ได้บรรลุอะไร ยังมาเก๊ทับ ยกตำรา
    อ้างโน้นอ้างนี้มาเกทับ อ้างว่าเราเรียนมาผิดบ้าง
    (คือจริงๆน่าจะสังเกตุจากการอธิบายบ้างน่าจะรู้
    คนทำได้จริงๆ เค้าไม่มีใครมาบอกหรอกว่าตรูทำได้
    แต่พวกนี้แทนที่จะมองว่าเราถ่อมตัวดันมาเก๊ทับ
    พอส่วนตัว ท้าให้พิสูจน์แสดงความสามารถ
    ก็มาหา ว่าไปเปรี้ยว ไปดูถูกเค้าอีก เอากับพวกนี้ซิครับ
    นี่หละ ในพลังจิตมันเลยหาคนที่ สำเร็จกรรมฐาน
    ต่างๆไม่ได้ซักกอง เลยมีแต่สำเร็จกันด้วยปากทั้งนั้น
    คนทำได้จริง ไม่ต้องบอกใครหรอกว่าตนทำได้
    สิ่งที่ตนพูดนั้นหละ และที่สำคัญถ้าทำได้
    ต้องแสดงได้ซิครับ จริงไหม ตรรกะแบบอนุบาลมาก
    แต่เหมือนไม่ค่อยจะเข้าใจกัน เพราะกลัวตัวเองไม่หล่อ
    มันพูดยังกับว่า ตรูทำกรรมฐานกองนี้ได้
    สาวๆจะกรี๊ดกร๊าดมรึงนั่นหละ ฝึกได้หรือทำให้
    ตัวเองเหมือนทำได้ ตรูเดินไปจะหล่อนักหนา
    หรือกลัวคนไม่เรียกตัวเองว่าอาจารย์
    พวกนี้เป็นแค่ภาพจอมปลอม ลวงโลก
    สำหรับ พวกที่ยึดใน ลาภ ยศ สุข สรรเสริญทั้งนั้น
    หละครับ ดึงเข้ามาจะเป็นกิเลสตัวเป้ง
    แม้ไม่มีความสามารถถ่ายทอด หรือทำได้จริง
    ก็ยังจะหลงตัวเองได้ คุณลองอ่านจากที่หลายๆ
    คนพูดจาทับถมข้าพเจ้า หรือ การยกตัวเอง
    ประหนึ่งว่าตนเองบรรลุดู จะเข้าใจที่ผม
    พูดได้เองว่าจริงหรือเปล่า ๕๕)


    เพราะเค้าไปยึดกับการเห็น
    แบบหลับตา ขนาดลืมตาเห็นๆยังยึดไม่ได้
    แล้วการไปยึดแบบหลับตา มันจะไปปลายทางได้หรือครับ
    คิดเอาเอง พอนึกภาพออกไหมครับ
    เพราะถ้ามีภาพ ยังไงมันก็มีสัญญาที่สร้างขึ้นมา
    จนเราเรียกได้ถูกว่าภาพอะไร จนเรารู้
    นี่คือมันปรุงเรียบร้อยแล้ว...

    และการไปหวัง มันเป็นอกุศลซ้อนในกุศล
    ทำบุญเพื่อหวังผล แล้วมันจะเป็นกุศลหรือครับ
    ตรรกะง่ายๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก...

    ส่วนตัวเลยพูดไปว่า
    ถ้าจะทำก็ทำไป ไม่ต้องไปอะไรกับอะไร
    ไม่ต้องไปหวังผลอะไร
    มันถึงจะกลายเป็นบารมีย้อน
    กลับเวียนมาเรื่อยๆไม่มีหมดนั่นหละครับ....

    นิพพานมันไม่ใช่ว่าจะเดินทางไปมา
    หรือว่าจะมาเข้าได้...
    สภาวะที่ไม่มีการเกิด ก็คือ
    ต้องไม่มี บุญ บาป ตบะ สมาธิ ตบะ ญาน ฌาน
    กำลังจิต สติ ปัญญา หรืออะไรเลย
    ที่จะเหลือเชื้อให้จิตเรามันเกิดได้ครับ
    ต้องทิ้งมันให้หมด ที่นี้ก็จะงงว่า ทิ้งอย่างไร
    เพราะที่พูดมา มันเป็นเหตุให้เข้าถึงได้หมด
    ทิ้งในที่นี้ คือรู้จักแล้วให้ปล่อยวาง รู้แล้ว หรือ มีแล้ว
    ใช้ได้แล้ว
    แต่ไม่ยึดมันนั่นเองไงครับ..
    เพราะเราไม่สามารถปฏิบัติได้ว่า
    ในระหว่างที่เราเดินทางนั้น
    จิตเรามันจะเกิดอะไรขึ้นกับเราได้
    พวกนั้นเปรียบเสมือนเรือ เสมือนพาย
    ให้เราข้ามไปถึงฝั่ง

    มันไม่มีใครที่อยู่อีกฝั่ง เค้าจะแบกเรือ
    แบกพายข้ามฝั่งไปด้วยหรอกครับ
    นั่นคือ ความคิดที่ฉลาดน้อยจริงๆ
    ยกเว้นบางดวงจิต ที่ยังต้องการใช้เรือ
    ใช้พาย เพื่อรับดวงจิตดวงอื่นๆ
    เพื่อมาส่งที่ฝั่ง นั่นอีกเป็นอีกเรื่องหนึ่งครับ

    ปล.มีเรื่องเล่าอจิณตรัยเรื่องหนึ่งทิ้งท้ายไว้
    มี บรรดาเหล่าพรหมระดับสูงกลุ่มหนึ่ง
    ไปเจอผู้โปรดมากบารมีท่านหนึ่ง
    พรหมระดับสูงเหล่านั้น หวังและพยายามจะเข้า
    นิพพาน แต่ยังติดแอ๊กอยู่ชั้นสูงสุด
    พอถูกท่านไร้ร่องรอยโปรดว่า
    ก็อย่าไปหวัง อย่าไปพยายาม
    พบกว่า ดวงจิตที่เป็นพรหมเหล่านั้น
    พอทิ้งความหวัง ทิ้งความพยายาม
    ด้วยบารมีเดิมเป็นทุนพบว่าท่าน
    เข้านิพพานไปเลย
    เข้าใจที่พูดนะครับ
    ที่เป็นเรื่องจริงที่เกิดในระบบภพภูมิ
    หรือที่ส่วนตัวเรียก มิติที่ ๔ หรือระบบ
    ภาคทิพย์ครับ
    ฟังหูไว้หูครับ
    คงได้อะไรจากเรื่องเล่านี้บ้างนะครับ
     
  18. gratrypa

    gratrypa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,283
    ค่าพลัง:
    +1,505
    .
    เขียน ๑๑.๑๑

    ใช่ๆ ถามด้วยคนครับ ขัดใจมานานล่ะ
    นิพพานเนี่ยนะ มาขอกันง่ายๆ ได้ไงกัน
    เค้าทำกันแทบเป็นแทบตาย ตั้งกี่ชาติรู้ป่ะ
    กว่าจะไปกันได้ ไม่ง่ายเลยนะพี่น้อง ขอบอก

    เคยคิดว่า หรือเค้าแค่หลอกตัวเองให้เชื่อ
    หรือมีผลได้แค่ โน้มน้าวจิต ให้พยายามเข้า
    แต่ยังไง ก็ยังคิดว่าไม่เข้าท่า เพราะมันไม่จริง
    คนฟังก็แค่เคลิ้มไป แล้วก็ไม่ยอมทุ่มชีวิตปฏิบัติ


    กระต่ายป่า แห่งเกาะนาฬิเกร์ / สมาคมพุทธะซาเปี้ยน

    .
     
  19. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    คุณกระต่าย ต้องทำความเข้าใจ ก่อนนะครับ
    ว่า....นิพพานมันมี...นิพพานในแบบพระศาสดา กับแบบพระอรหันต์สาวก (ระดับปัญญาของการชำระ อวิชชา)
    ทีนี้....ความแตกต่างของระดับพระอรหันต์...มันจึงอาจมีได้...ตรงที่เรียกว่า..การชำระกิเลสอวิชชาหรืออัตตาตัวตน...ตรงนี้...

    คือ...ต้องมาทำความเข้าใจ ในเส้นทาง ก่อนครับ แบ่งระดับ กิเลสตัณหาหรืออวิชชาได้ สอง ระดับใหญ่ๆ คือ...ระดับรูปธรรม กับระดับ อรูปธรรมครับ

    บางเส้นทางเน้นไปที่ อรูปธรรมเลยครับ...เน้นชำระกิเลสอวิชชาในส่วนนี้เลย แม้นจะชำระอวิชชาในส่วนนี้ได้..แต่ก็ยังไม่ผ่าน ขั้นของ รูปธรรม ...

    บางเส้นทางเน้นอยู่รูปธรรม (ตรงนี้ แบบ ผ่านได้ยาก)..

    ที่จริง มันผ่านได้ยากทั้งสอง เส้นทางแหล่ะครับ
    ผมเลยไม่ค่อยเชื่อว่า มีพระสงฆ์ที่สำเร็จพระอรหันต์ ได้จริง...อาจมีระดับพระอรหันต์มรรค อันนี้ อาจมีครับ...แต่ระดับพระอรหันต์ผล...ผมไม่เชื่อครับ

    เพราะมัน..ไม่ง่าย และต้องพร้อม ทั้งรูปนาม ทั้งทางโลก และทางธรรม จริงๆครับ
     
  20. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ที่คนทั่วไป ยกว่า พระรูปนั้น หลวงตารูปนั้น...เป็นพระอรหันต์...(อรหันต์มรรคอาจเป็นได้ตามที่หลงกันไป...เพราะคนที่อ้างว่าตนเองเชื่อ ตนเองก็ไม่ได้เป็นพระอรหันต์แต่อย่างใด จะเอาเหตุผลใดมาพูดมาเชื่อ ล่ะครับ ว่าพระรูปนั้นเป็นพระอรหันต์ ทั้งๆที่ตนเองก็ไม่ได้รู้ถึงความเป็นพระอรหันต์ ไม่มีในตน จะไปรู้ในคนอื่น ได้อย่างไร ผิดปกติวิสัยครับ)

    ไม่ได้พูดเพื่อขัดใจใครนะครับ นี่คือเหตุผล ของผม
     

แชร์หน้านี้

Loading...