สารพันปัญหา ตอบโดยคุณ nopphakan

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย รูปติดบัตร, 26 พฤศจิกายน 2016.

  1. aneka9119

    aneka9119 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +47
    ขออภัยท่านด้วยครับ รีบกดส่งไปหน่อย..
    อยากถามท่านว่า ... ผมต้องเสริมจุดไหนและเน้นอะไรเพิ่มเติมเปนพิเศษมั้ยครับ :D
     
  2. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,427
    ค่าพลัง:
    +35,047
    จะบอกไว้ก่อนนะครับว่า ถ้าเคยแยกรูปแยกนามได้มาก่อนแล้ว
    ส่วนตัวเรียกว่า ขึ้นบ้านได้แต่ลืมปัดฝุ่น
    และมันกลับมารวมตัวกันใหม่อีกครั้ง
    การจะกลับไปแยกอีกครั้งมันจะยากกว่าครั้งแรกหลายเท่านะครับ
    ประเด็นนี้ต้องเข้าใจไว้ก่อนนะครับ...

    สำหรับกำลังสมถะนั้น ไม่จำเป็นจะต้องภาวนาอะไรเลยก็ได้ครับ
    ตรงคำภาวนานี้ไม่ได้ฟิกครับ เพราะว่าเรายังไม่ได้เน้นเพื่อ
    หวังผลในโหมดที่คำภาวนาเป็นผลครับ..และกำลังสมถะ
    มีส่วนหนุนได้ทั้งทางอ้อมและทางตรง
    ถ้าทางอ้อมหรือไกลหน่อย ก็คือแบบนานมากกว่า
    จะมาหนุนจะจิตเห็นขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมได้
    จนกว่าจะจิตจะเห็นได้ เป็น ๓ ส่วนมันแยกกันครับ
    ไม่ว่า จิต ความคิดที่เกิดจากจิต และขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมหรือความคิด
    ที่ผุดขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจครับ
    นี่คือทางอ้อมครับ...ยกเว้นจะบ้าพลังนั่งได้ทั้งวันจริงๆ
    แต่ก็จะไม่มีกำลังสติทางธรรมที่จะผ่านช่วงความคิดผุดได้อีกนั่นแระครับ

    แต่ทางที่ใกล้กว่า คือการใช้กำลังสมถะแบบพิธีการเพื่อสร้างกำลัง
    สมาธิอย่างเป็นทางการ บวกกับ
    การสร้างกำลังสมาธิสะสมในระหว่างวันให้ต่อเนื่อง จะอย่างไรก็ได้ให้ฐาน
    อยู่ที่กายครับ
    เพื่อมาหนุนไม่ให้ กำลังสมาธิอย่างเป็นทางการตกลงอย่างที่คาดไม่ถึงครับ
    ซึ่งกำลังสมาธิสะสมระหว่างวัน มันจะได้มาจาก การเจริญสติในชีวิตระหว่างวัน
    ให้ต่อเนื่องเพิ่มขึ้นครับ ด้วยการทำความรู้สึกรับรู้ว่ามีลมหายใจเข้าและลมหายใจออก
    หยุดอยู่ที่ปลายจมูก(สังเกตุว่าจะไม่เน้นว่าจะต้องภาวนาเลยก็ได้ครับ)
    โดยที่หายใจเข้าให้ท้องพอง หายใจออกให้ท้องลึก
    แต่ต้องจำไว้อย่างหนึ่งว่า อย่าไปตามลมหายใจนะครับ
    ตรงนี้ครับที่เราจะได้กำลังสติทางธรรมจากการระลึกรู้ที่ปลายจมูก
    และได้กำลังสมาธิสะสมจากระบบหายใจเข้าออกที่ลึกอย่างที่เราไม่รู้ตัวครับ
    (น่าจะนึกออกเนาะเวลาเรานั่งสมาธิลมหายใจเราจะช้าและยาวหน่อยนั่นหละ)
    นำตรงนี้ มาหนุนกับการนั่งสมาธิอย่างเป็นทางการครับ
    ก็จะทำให้มีโอกาสที่จะกลับไปแยกรูปแยกนามได้เร็วขึ้นครับ

    แต่ๆๆๆ **** ต้องไม่ลืมว่าการที่จะข้ามยกระดับสมถะแบบพิธีการได้นั้น
    พูดง่ายๆว่าผ่านช่วงที่ความคิดผุดขึ้นมาเอง จะต้องมาเสริมช่วงเอี่ยว
    (ช่วงที่เราทำอะไรเป็นปกติจนเคยชิน เช่น เดินไปโน้นนี่นั้น ทำนั่นโน้นนี่)
    นอกจากการเจริญสติให้ต่อเนื่องทั้งวันด้วยนะครับ
    ที่พูดมาน่าจะสำคัญสำหรับคุณมากกว่านะ
    ส่วนเรื่องสัมผังสัมผัสของคุณไม่ต้องห่วงอะไรเลย
    หรือฐานภูมิความรู้ทางด้านปัญญานั้น
    ก็คงยังไม่มีอะไรแนะนำได้ครับ..
    ส่วนตัวมองว่า ถ้าทำตรงนี้ได้
    เรื่องสัมผัสและปัญญามันจะฉลุยได้
    ของมันเองนะครับ (^_^)
     
  3. aneka9119

    aneka9119 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +47
    ขอบพระคุณและโมทนา สำหรับคำชี้แนะนะครับ..
    เดว ขอกลับไปอ่านทบทวนช้าๆ อีกซัก2-3รอบครับ
     
  4. aneka9119

    aneka9119 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +47
    แต่ๆๆๆ **** ต้องไม่ลืมว่าการที่จะข้ามยกระดับสมถะแบบพิธีการได้นั้น
    พูดง่ายๆว่าผ่านช่วงที่ความคิดผุดขึ้นมาเอง จะต้องมาเสริมช่วงเอี่ยว
    (ช่วงที่เราทำอะไรเป็นปกติจนเคยชิน เช่น เดินไปโน้นนี่นั้น ทำนั่นโน้นนี่)
    นอกจากการเจริญสติให้ต่อเนื่องทั้งวันด้วยนะครับ[/QUOTE]

    ปัญญายังพิจารณาตามท่านไม่ทัน ขอโอกาส ท่านนพ ขยายความอีกนิดได้มั้ยครับ กับประโยคที่ท่านว่าไว้ด้านบนครับผม :D
     
  5. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,427
    ค่าพลัง:
    +35,047


    ปัญญายังพิจารณาตามท่านไม่ทัน ขอโอกาส ท่านนพ ขยายความอีกนิดได้มั้ยครับ กับประโยคที่ท่านว่าไว้ด้านบนครับผม :D[/QUOTE]

    คืองี้นะครับ อาจจะยังมองไม่เห็นบางมุมว่ามันสำคัญอย่างไร
    ในลำดับขั้นของการฝึกสมาธิตั้งแต่ระดับพื้นฐาน
    ไปจนถึงระดับที่ทางโลกเรียกกันฌาน ๔ นั้นนะครับ
    (จริงๆคำว่าญานอะไรเนี่ยโลกนี้จะไม่รู้จักหรอกครับ
    นะครับ
    ถ้าผู้เป็นเลิศด้านทิพย์จักขุไม่อยู่วันที่พระพุทธเจ้า
    เสด็จปรินิพพานนะครับ)
    หรือที่ส่วนตัวเรียกว่า กายกับจิตแยกจากกันเด็ดขาดแบบชั่วคราวนั้น หรือพูดง่ายๆว่า ระดับที่เห็นตัวเราเองอีกร่างหนึ่ง
    อยู่ในท่าสุดท้าย
    ไม่ว่าเราจะขึ้นด้วย
    กรรมฐานอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะขึ้นด้วยรูป(เช่น กสิณต่างๆ
    ไม่ว่ากสิณกลาง กสิณสี หรือภาพพระพุทธฯพระสงฆ์ต่าง
    หรืออะไรก็ตามที่ต้องมองวัตถุก่อน)
    หรือแบบไม่มีรูป(เช่น อาปาฯ พุทโธฯลฯหรือพูดง่ายๆว่า
    มีการใช้คำภาวนาต่างๆเป็นตัวนำหรือไม่ใช้ก็ตาม)
    หรือจะเป็นกรรมฐานอะไรก็ได้ ใน ๔๐ กองนั้น
    มันจะมีกิริยาอย่างหนึ่งที่จะเกิดขึ้น ในระดับฌานเริ่มต้น
    หรือปฐมญานที่นักปฏิบัติจะต้องเจอและจำเป็นจะต้องผ่าน
    กันไปให้ได้ทุกคน ถ้าตรงนี้ไม่ผ่านก็ไม่ต้องไปหวัง
    สมาธิระดับสูงหรือไปหวังจะฝึกกรรมฐานพิเศษอะไร
    หรือจะไปหวังว่า จะมีกำลังเพียงพอที่จะเกิดปัญญาญาน
    ในการรู้เหตุรู้ผลในการปรุงแต่งต่างๆได้
    หรือเรียกง่ายๆว่า รู้เท่าทันกองสังขารอะไรครับ

    กิริยาตรงนี้ส่วนตัวเรียกว่า การผุดขึ้นของความคิดต่างๆขึ้นมา
    ของมันได้เอง
    และที่สำคัญนั้น การผุดขึ้นนี้ ยังแยกได้ ๒ อย่างคือ
    ๑.ผุดขึ้นแบบที่ไม่มีการเกิดกิริยาพิเศษอะไรเลยทางจิตเลย แบบมืดๆพูดง่ายๆว่า ไม่รู้ ไม่เห็นอะไร ไม่มีสัมผัสอะไรเลย แต่ก็ผุดขึ้นมา
    และ ๒.รู้เห็นนามธรรมต่างๆ ไม่ว่า แสงสว่างมากๆ สีสันต่างๆเสียงแบบต่างๆ ภาพแบบต่างๆไม่ว่าจะชอบไม่ชอบ
    รู้จักไม่รู้จัก แต่ก็ผุดขึ้นมาพร้อมความคิดผุดที่หละครับ
    ...แต่ที่เหมือนกันทั้ง ๒ กิริยาที่กล่าวมาข้างต้นคือ

    มันจะยังคงอยู่ในสภาวะของกิริยาช่วงนั้นได้ โดยไม่หลุดจากอารมย์ (คือไม่กลับมาเหมือนในสภาวะลืมตาปกติ)
    ซึ่งปกติเราจะสามารถเจอได้ทั้ง ๒ แบบครับไม่ใช่เรื่องแปลก
    ถ้าเจอแบบที่หนึ่งแล้วผ่านไม่ได้
    เราก็จะติดอยู่ตรงนี้และไม่มีการพัฒนายกระดับสมาธิต่อไป
    เผลอๆจะเลิกนั่งไปเลยยกเว้นว่าจะฝลุ๊กไปเดินปัญญาทางธรรมได้
    แต่ก็อยากเพราะเราไม่เคลียทางด้านนามธรรม
    เผลอๆจะกลายเป็นวิปัสสนึกซะส่วนมากครับ....

    ถ้าเจอแบบที่สอง ถ้าเผลอไปติดแสงสีเสียงบวกกับการปรุงแต่ง ก็จะหลงตัวเองได้อย่างคาดไม่ถึง
    เพราะสภาวะนี้ พวกนามธรรมไม่ดี จะแทรกเข้ามาได้
    มาปลอมตัวเป็นระดับสูงๆตามแต่ที่จิตคนนั้นคิดไว้
    และจะหลงตัวเองว่าบรรลุธรรมระดับสูงได้
    เป็นระดับโน้นนี่นั้น คิดว่าตัวเองมีปัญญาทางธรรมมาก
    และที่สำคัญถ้าได้เกิดขึ้นแล้วจะกลับตัวได้ยากมากครับ
    เพราะว่าจะไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นใครง่ายๆ
    มีตัวอย่างให้ดูเยอะครับ ไปสังเกตุเอาเองได้
    ปล.สังเกตุนะแบบที่ ๒ รู้เห็นนามธรรมแต่จะไม่มีความสามารถ
    พิเศษทางจิตแต่จะคิดว่าตัวมีมากและเก่งกว่าใคร
    หรือมีความเข้าใจนามธรรมอะไรแบบคาดเคลื่อน
    คืออ่านดูก็รู้ว่ามีการใช้ความคิดตนเองมาเสริม
    และที่สำคัญจะหลงตัวเองอย่าง
    ไม่น่าเชื่อ...ว่าจะมีคนอย่างนี้บนดาวโลกครับ

    ช่วงเอี่ยวที่ส่วนตัวพูดถึง ก็เพื่อนำมาเพิ่มเติมตรงนี้หละครับ
    เพราะการเริ่มสร้างสติและเริ่มสะสมสมาธิมีความจำเป็นมาก
    ที่จะต้องมีความต่อเนื่องครับ เพราะมันยังไม่อยู่ในระดับที่
    จะนำผลของสมาธิมาใช้งานได้ มันจึงยังมีการเปลี่ยนแปลงได้เสมอ เรียกง่ายๆว่า ยังไม่เสถียรนั่นเอง..สาเหตุหนึ่งก็เพราะ
    ทั่วไปเรามักไปคิดว่า การฝึกสมาธิสร้างกำลังสมาธินั้นจะต้อง
    มาจากการที่ต้องทำอะไรอย่างพิธีการ คือ นั่งอย่างเดียว
    เวลาเท่านั้นเท่านี้ ถามว่า ใช้ได้ไหม ใช้ได้ครับ
    แต่นานไหม สำหรับส่วนตัวมองว่า นานโคตะระครับ
    แบบที่ส่วนตัวแนะนำ ผลที่ได้ ๒ เดือนกำลังสมาธิจะเท่ากับ
    คุณนั่งสมาธิอย่างเป็นทางการวันละ ๑ ชั่วโมงเป็นเวลา
    ๒ ถึง ๓ ปี ดังนั้นตรงนี้
    ก็แล้วแต่จะพิจารณานะครับ
    จริงๆตรงนี้ไม่ค่อยอยากพูดครับ
    เพราะอยากให้พิสูจน์ด้วยตัวเอง
    เด่วพอรู้ก่อนแล้วจะพากันประมาท....


    และมันจะยังไปมีส่วนสำคัญที่จะช่วยหนุน
    การเข้าถึงสมาธิในระดับสูงๆได้ด้วยครับ
    หนุนอย่างไร ก็คือ หนุนจนกระทั่งเมื่อเราถึงสภาวะ
    ที่กายกับจิตแยกกันได้เด็ดขาดนั้น
    มันจะมีกำลังเพียงพอที่จะควบคุมไม่ให้จิตมันไปไหนได้
    ควบคุมให้จิตอยู่นิ่งๆในกายได้
    ซึ่ง มันจะทำให้จิตสามารถมองเห็นขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมได้
    ถ้าเราเห็นขันธ์ ๕ นามธรรมมันแยกกันได้
    เราจะเกิดเป็นปัญญาญานขึ้นได้อีก
    ตรงนี้ก็แล้วแต่ว่าใครจะทำได้
    และจะส่งผลให้จิต ทันความคิดที่เกิดจากจิตที่กำลังขึ้นมา
    จากตัวจิตได้(อ่านดีๆนะ มี ๑.จิต และ ๒.ความคิดที่เกิดจากจิต
    คนละตัวกันนะครับ สังเกตุอีกไหม ส่วนตัวจะใช้คำว่า
    มองเห็นขันธ์ ๕ นามธรรมได้ถ้าสังเกตุดีๆจะพบว่า
    ความคิดที่เกิดจากจิตมันอยู่ตรงไหน และขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม
    มันอยู่ตรงไหนอ่านดีๆนะครับ ส่วนมากคนจะไม่ทันขันธ์ ๕
    นามธรรมนี้ และมักคิดว่ามันอยู่ที่เดียวกับกับความคิดที่เกิดจากจิตนะครับ ต้องระวังไว้ด้วย) ซึ่งจะส่งผลให้จิต
    ดีดความคิดที่เกิดจากจิต
    ออกจากตัวจิตได้ทันที เรียกว่ามันจะเลิกคบกันเลยครับ
    ที่เราเรียกว่า แยกรูปแยกนาม
    นั่นหละคับ....เราถึงจะเห็นว่า มันแยกกันอย่างชัดเจน
    แบบไม่ได้คิดเอาว่า ๑ .จิต ๒ .ความคิดที่เกิดจากจิต ๓.
    ขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม ถ้ามีจริตมาทางสัมผัสด้วย
    จะเห็นอีกอย่างคือ กระแสที่มาจากภายนอกได้เหมือนกัน
    (คือพวกที่เราไปดึงเข้ามาจนเหมือนไม่ใช่ตัวเรา)

    แต่ส่วนมากแล้วถ้าเคยนั่งสมาธิถึงระดับที่กายกับจิต
    แยกกันเด็ดขาดชั่วคราวจริงๆ ร้อยละ ๙๙ เปอร์เซนต์
    จะไม่มีใครสามารถควบคุมจิตให้อยู่ในกายนิ่งๆได้ครับ
    พูดง่ายๆว่า แยกแล้วนิ่งๆแล้วค่อยๆออก เนี่ยยากมาก
    ส่วนมาก ร้อยละ ๙๙ จะหลงเข้าใจผิด ไปหลงว่าระดับ
    อุปจารสมาธิเป็นระดับกายกับจิตแยกกันเด็ดขาดชั่วคราว
    ซึ่งก็จะทำให้หลงตัวเองได้อีกแบบไม่น่าเชื่อ
    คือประมาณว่า เหมือนเก่งมาก แต่โดนกระทบจากภายนอกง่ายๆ
    ทำโน้นทำนี่ก็ไม่ได้ ได้แต่รู้เองเห็นเองคนเดียว
    และไม่มีกำลังสมาธิที่ดี กำลังจิตที่เพียงพอต่อการต้านท้าน
    ภายนอก.. มันจะมีได้อย่างไรหละครับ กิริยาอย่างนี้
    โถ่ๆ มันยังไม่ถึงระดับปฐมฌานเลย เกทเนาะ


    นึกภาพออกไหม
    ช่วงเอี้ยวเสริมอะไร
    ยกตัวอย่าง การฝึกสมาธิอย่างไรให้ถึงระดับที่เรียกว่าจบ...
    และอย่างไรเรียกว่า ไม่จบ ลองอ่านต่อดีๆ...

    เหมือนน้ำในบ่อที่เราขุดขึ้นมาบ่อหนึ่ง แม้มีมาก
    จากการซื้อน้ำมาเติมให้เต็ม(เปรียบได้กับ
    การเก๊งกล้ามฝึกสมาธิ)ยังไงก็ตาม
    แต่โดนแดดเข้านานๆมันก็จะค่อยๆระเหยและแห้งไป
    เราก็ต้องคอยไปซื้อน้ำมาเติมอีก(กลับมานั่งเก๊งกล้ามฝึกอีก)
    เพื่อรักษาระดับน้ำ
    ให้มันเต็มอยู่อย่างนั้น..แม้มีฝนตกหนักลงมาระดับน้ำ
    จะเพิ่มขึ้นแต่มันก็รอวันระเหยอีกเช่นเคยครับ

    แต่ถ้าเราไปขุดบ่อขึ้นมาอีกบ่อหนึ่ง
    เพื่อรองรับน้ำที่ไหลมาจากป่า ซึ่งน้ำนี้เริ่มจากการ
    แยกเป็นสายเล็กๆน้อยๆแล้วมารวมกัน
    จนไหลมาและกลายเป็นลำธารแม้มีน้อยมันก็มีน้ำไหลมาอยู่เรื่อยๆ และก็จะไหลมาเรื่อยๆจนกระทั่งเต็มได้ภายในวันหนึ่ง

    ในช่วงที่น้ำกำลังไหลจากลำธารค่อยๆมาในบ่อนั้น...
    เราอาจจะเจอคนที่ขุดบ่อซื้อน้ำมาเติมให้เต็ม
    เดินมาดูบ่อน้ำของเราแล้วพูดว่า....เห้ยยย !!
    ทำไรฟระ..ไม่เท่ห์เลย แบบข้าเนี่ย เท่ห์กว่า
    แถมโม้ทับเราอีกนะ เห็นเป่า น้ำเต็มข้าเต็มนะเว้ย !!
    เห็นเปล่า น้ำในบ่อ ข้า มีตังเยอะแยะ
    โห้ย เอ๊ง ทำไรฟระ แม่งไม่เท่ห์เลย
    เองเห็นเปล่าฟระ มีคนสนใจจะมารอตักน้ำในบ่อ
    ข้า เยอะแยะมากมาย. บ่อน้ำเอ็งมีใครสนใจ
    มารอตักเป่าวะ และก็จะหัวเราะเรา แบบประมาณ
    ว่า ทำเป็นเท่ห์ โชว์พวกที่มารอตักน้ำ ....
    หน้าที่เรา ก็คือ ฟังมันโม้ไว้ก่อน แล้วก็พูดว่า ครับ โห้ดีจัง
    แต่ช่วงนี้กายทิยพ์เราอาจจะถอดไปเตะปากมัน
    แต่เราคงได้แต่มโนเอา...และอาจจะเผลอได้
    ไปในใจว่า ไอ้จรเข้น้อยเอ้ย(ด่าในใจนะ)
    และเราก็ไม่ต้องสนใจ เราก็รอของเราไปเรื่อยๆ




    แม้ว่าการฝึกแบบที่ส่วนตัวแนะนำจะเป็นการไปขุดบ่อ
    เพื่อรองรับน้ำจากลำธารที่ไหลมาจากสายน้ำเล็กๆน้อยนั้น
    แม้ว่ามันจะดูไม่หล่อเหล่าเอาการ ไม่มีใครมารอตักน้ำแต่น้ำ
    มันก็จะค่อยๆไหลเข้าบ่อเรื่อยๆ
    ถึงเวลามันก็เต็มเอง ที่น้ำหละแม้ไม่ต้องไปประกาศบอกใคร
    ว่าบ่อเรามีน้ำ แต่คนที่เคยมาตักก่อน เค้าก็จะบอกต่อๆกันเอง
    หรือใครที่เดินผ่านมาเค้าก็จะเห็นน้ำในบ่อ เราได้เองนั่นหละ
    ที่สำคัญน้ำใน บ่ มันจะไม่มีวันหมด
    ถ้าไม่มีใครไปตัดต้นน้ำทำลายป่า ฉันใดฉันนั้น

    ต้นน้ำที่มาจากป่านั้น ก็เหมือนการที่เราค่อยๆสร้างสติทางธรรม
    ขึ้นมาจากการเจริญสติในชีวิตประจำวันให้ต่อเนื่อง
    เสมือนการที่เราไปปลูกต้นไม้แล้วรอจนมันเติบใหญ่แข็งแรง
    แต่ต้นไม้ใหญ่อย่างเดียวมันก็ยังไม่พอที่จะกักเก็บน้ำได้
    และการมาเพิ่มช่วงเอี่ยวในระหว่างวันนั้น ก็เหมือนการปลูก
    หญ้าปลูกต้นไม้เล็กๆเพื่อแซมช่องว่างระหว่างต้นไม้ใหญ่นั้น
    มันก็จะกลายเป็นเสมือนแหล่ง

    ที่คอยช่วยยึดต้นไม้ใหญ่ไม่ให้ล้มเวลามีฝนและคอยเป็น
    ตัวกักและซึมซับน้ำฝนไว้ เพื่อกำเนิดเกิดเป็นสายน้ำเล็กๆ
    หลายๆสายไหลลงสู่ลำธารไหล
    ลงมายังบ่อที่เราพึ่งขุดใหม่นั่นเองครับ
    เมื่อเราปลูกป่าจนต้นไม้เติบใหญ่แล้ว
    มีการแซมด้วยต้นเล็กๆเพื่อหนุนซึ่งกันและกันแล้ว
    ก็จะกำเนิดสายน้ำเล็กๆ ที่จะมารวมกัน แล้วไหลลงสู่ลำธาร
    และไหลเข้าบ่อ น้ำ ที่เราพึ่งมาขุดได้นั่นเองครับ....

    นี่หละที่เปรียบอุปมาว่า สมาธิถ้าได้แล้วคือมันจบครับ
    จบคือยังไง จบคือ ไม่ต้องไปพยายามฝึกเพิ่มอีก
    และมันสามารถใช้งานได้เรื่อยของมันเอง..
    ยังไงอาจจะงงๆอีก อาจจะนึกภาพไม่ออก
    ยกตัวอย่างต่อ น้ำในบ่อขุดนั้นที่มาโม้ทับถมเราไว้
    ถ้ามีคนมารอตักน้ำไปใช้งาน
    มันก็จะหมดลงเรื่อยๆ ใช้บ่อยๆ ก็หมดได้ เมื่อไม่มีน้ำ
    ก็คงไม่มีใครมารอตัก ช่วงระหว่างนี้เราก็ต้อง
    ไปซื้อน้ำมาเติมอีก(นั่งเก๊งกล้ามฝึกอีก)
    และถ้าเราซื้อมาเติมแล้วแม้ว่าจะเต็ม
    มีคนมาตัก มันก็จะหมดอีก
    แล้วก็ต้องไปซื้อมาเติมอีกอยู่เรื่องไปนั่นหละครับ
    มันจะยาก จะเหนื่อยตอนที่ต้องคอยหาเงินไว้ซื้อ(ปฏิบัตินั่ง
    เก๊งกล้ามซ้ำแล้วซ้ำอีก)
    เพื่อมาเติมน้ำให้เต็มนั่นหละครับ...

    แต่ถ้าน้ำบ่อที่เราพึ่งมาขุดใหม่ข้างลำธาร
    แม้ว่าจะมีการนำน้ำไปใช้งาน แม้มันจะพร่องไปบ้าง
    แต่มันก็จะมีน้ำไหล
    มาเติมอยู่เรื่อยๆของมันเอง ก็จะมีคนมารอตักน้ำอยู่เรื่อยๆ
    โดยที่เราไม่ต้องไปเป่าประกาศบอกใคร เพราะใครก็มอง
    เห็นได้ว่า บ่อ น้ำนี้มันมีน้ำตลอด
    โดยที่เราไม่ต้องไปซื้อน้ำมาเพิ่ม
    เราก็คอยเพียงแต่อำนวยความสดวก
    จัดระเบียบในการนำน้ำไปใช้งานตามความเหมาะสม
    ของแต่ละบุคคลที่มารอตักน้ำนั่นเอง..

    คนที่มีความจำเป็นจะต้องใช้น้ำ ก็ไม่ต้องมาคอยลุ้นว่า
    น้ำมันจะหมดเหมือนน้ำในบ่อหรือเปล่า

    พอมองเห็นภาพรวมแบบกว้างๆได้หรือยังครับ

    น่าจะพอเข้าใจได้แล้วเนาะ...
    ธรรมดาครับ อ่านแล้วจะยังไม่เข้าใจหรอกครับ
    แต่ถ้าทำแล้วผ่านมาแล้ว และมาย้อนอ่านอีกที
    จะเกทได้อย่างง่ายๆเลยหละครับ...
     
  6. aneka9119

    aneka9119 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +47

    คืองี้นะครับ อาจจะยังมองไม่เห็นบางมุมว่ามันสำคัญอย่างไร
    ในลำดับขั้นของการฝึกสมาธิตั้งแต่ระดับพื้นฐาน
    ไปจนถึงระดับที่ทางโลกเรียกกันฌาน ๔ นั้นนะครับ
    (จริงๆคำว่าญานอะไรเนี่ยโลกนี้จะไม่รู้จักหรอกครับ
    นะครับ
    ถ้าผู้เป็นเลิศด้านทิพย์จักขุไม่อยู่วันที่พระพุทธเจ้า
    เสด็จปรินิพพานนะครับ)
    หรือที่ส่วนตัวเรียกว่า กายกับจิตแยกจากกันเด็ดขาดแบบชั่วคราวนั้น หรือพูดง่ายๆว่า ระดับที่เห็นตัวเราเองอีกร่างหนึ่ง
    อยู่ในท่าสุดท้าย
    ไม่ว่าเราจะขึ้นด้วย
    กรรมฐานอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะขึ้นด้วยรูป(เช่น กสิณต่างๆ
    ไม่ว่ากสิณกลาง กสิณสี หรือภาพพระพุทธฯพระสงฆ์ต่าง
    หรืออะไรก็ตามที่ต้องมองวัตถุก่อน)
    หรือแบบไม่มีรูป(เช่น อาปาฯ พุทโธฯลฯหรือพูดง่ายๆว่า
    มีการใช้คำภาวนาต่างๆเป็นตัวนำหรือไม่ใช้ก็ตาม)
    หรือจะเป็นกรรมฐานอะไรก็ได้ ใน ๔๐ กองนั้น
    มันจะมีกิริยาอย่างหนึ่งที่จะเกิดขึ้น ในระดับฌานเริ่มต้น
    หรือปฐมญานที่นักปฏิบัติจะต้องเจอและจำเป็นจะต้องผ่าน
    กันไปให้ได้ทุกคน ถ้าตรงนี้ไม่ผ่านก็ไม่ต้องไปหวัง
    สมาธิระดับสูงหรือไปหวังจะฝึกกรรมฐานพิเศษอะไร
    หรือจะไปหวังว่า จะมีกำลังเพียงพอที่จะเกิดปัญญาญาน
    ในการรู้เหตุรู้ผลในการปรุงแต่งต่างๆได้
    หรือเรียกง่ายๆว่า รู้เท่าทันกองสังขารอะไรครับ

    กิริยาตรงนี้ส่วนตัวเรียกว่า การผุดขึ้นของความคิดต่างๆขึ้นมา
    ของมันได้เอง
    และที่สำคัญนั้น การผุดขึ้นนี้ ยังแยกได้ ๒ อย่างคือ
    ๑.ผุดขึ้นแบบที่ไม่มีการเกิดกิริยาพิเศษอะไรเลยทางจิตเลย แบบมืดๆพูดง่ายๆว่า ไม่รู้ ไม่เห็นอะไร ไม่มีสัมผัสอะไรเลย แต่ก็ผุดขึ้นมา
    และ ๒.รู้เห็นนามธรรมต่างๆ ไม่ว่า แสงสว่างมากๆ สีสันต่างๆเสียงแบบต่างๆ ภาพแบบต่างๆไม่ว่าจะชอบไม่ชอบ
    รู้จักไม่รู้จัก แต่ก็ผุดขึ้นมาพร้อมความคิดผุดที่หละครับ
    ...แต่ที่เหมือนกันทั้ง ๒ กิริยาที่กล่าวมาข้างต้นคือ

    มันจะยังคงอยู่ในสภาวะของกิริยาช่วงนั้นได้ โดยไม่หลุดจากอารมย์ (คือไม่กลับมาเหมือนในสภาวะลืมตาปกติ)
    ซึ่งปกติเราจะสามารถเจอได้ทั้ง ๒ แบบครับไม่ใช่เรื่องแปลก
    ถ้าเจอแบบที่หนึ่งแล้วผ่านไม่ได้
    เราก็จะติดอยู่ตรงนี้และไม่มีการพัฒนายกระดับสมาธิต่อไป
    เผลอๆจะเลิกนั่งไปเลยยกเว้นว่าจะฝลุ๊กไปเดินปัญญาทางธรรมได้
    แต่ก็อยากเพราะเราไม่เคลียทางด้านนามธรรม
    เผลอๆจะกลายเป็นวิปัสสนึกซะส่วนมากครับ....

    ถ้าเจอแบบที่สอง ถ้าเผลอไปติดแสงสีเสียงบวกกับการปรุงแต่ง ก็จะหลงตัวเองได้อย่างคาดไม่ถึง
    เพราะสภาวะนี้ พวกนามธรรมไม่ดี จะแทรกเข้ามาได้
    มาปลอมตัวเป็นระดับสูงๆตามแต่ที่จิตคนนั้นคิดไว้
    และจะหลงตัวเองว่าบรรลุธรรมระดับสูงได้
    เป็นระดับโน้นนี่นั้น คิดว่าตัวเองมีปัญญาทางธรรมมาก
    และที่สำคัญถ้าได้เกิดขึ้นแล้วจะกลับตัวได้ยากมากครับ
    เพราะว่าจะไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นใครง่ายๆ
    มีตัวอย่างให้ดูเยอะครับ ไปสังเกตุเอาเองได้
    ปล.สังเกตุนะแบบที่ ๒ รู้เห็นนามธรรมแต่จะไม่มีความสามารถ
    พิเศษทางจิตแต่จะคิดว่าตัวมีมากและเก่งกว่าใคร
    หรือมีความเข้าใจนามธรรมอะไรแบบคาดเคลื่อน
    คืออ่านดูก็รู้ว่ามีการใช้ความคิดตนเองมาเสริม
    และที่สำคัญจะหลงตัวเองอย่าง
    ไม่น่าเชื่อ...ว่าจะมีคนอย่างนี้บนดาวโลกครับ

    ช่วงเอี่ยวที่ส่วนตัวพูดถึง ก็เพื่อนำมาเพิ่มเติมตรงนี้หละครับ
    เพราะการเริ่มสร้างสติและเริ่มสะสมสมาธิมีความจำเป็นมาก
    ที่จะต้องมีความต่อเนื่องครับ เพราะมันยังไม่อยู่ในระดับที่
    จะนำผลของสมาธิมาใช้งานได้ มันจึงยังมีการเปลี่ยนแปลงได้เสมอ เรียกง่ายๆว่า ยังไม่เสถียรนั่นเอง..สาเหตุหนึ่งก็เพราะ
    ทั่วไปเรามักไปคิดว่า การฝึกสมาธิสร้างกำลังสมาธินั้นจะต้อง
    มาจากการที่ต้องทำอะไรอย่างพิธีการ คือ นั่งอย่างเดียว
    เวลาเท่านั้นเท่านี้ ถามว่า ใช้ได้ไหม ใช้ได้ครับ
    แต่นานไหม สำหรับส่วนตัวมองว่า นานโคตะระครับ
    แบบที่ส่วนตัวแนะนำ ผลที่ได้ ๒ เดือนกำลังสมาธิจะเท่ากับ
    คุณนั่งสมาธิอย่างเป็นทางการวันละ ๑ ชั่วโมงเป็นเวลา
    ๒ ถึง ๓ ปี ดังนั้นตรงนี้
    ก็แล้วแต่จะพิจารณานะครับ
    จริงๆตรงนี้ไม่ค่อยอยากพูดครับ
    เพราะอยากให้พิสูจน์ด้วยตัวเอง
    เด่วพอรู้ก่อนแล้วจะพากันประมาท....


    และมันจะยังไปมีส่วนสำคัญที่จะช่วยหนุน
    การเข้าถึงสมาธิในระดับสูงๆได้ด้วยครับ
    หนุนอย่างไร ก็คือ หนุนจนกระทั่งเมื่อเราถึงสภาวะ
    ที่กายกับจิตแยกกันได้เด็ดขาดนั้น
    มันจะมีกำลังเพียงพอที่จะควบคุมไม่ให้จิตมันไปไหนได้
    ควบคุมให้จิตอยู่นิ่งๆในกายได้
    ซึ่ง มันจะทำให้จิตสามารถมองเห็นขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมได้
    ถ้าเราเห็นขันธ์ ๕ นามธรรมมันแยกกันได้
    เราจะเกิดเป็นปัญญาญานขึ้นได้อีก
    ตรงนี้ก็แล้วแต่ว่าใครจะทำได้
    และจะส่งผลให้จิต ทันความคิดที่เกิดจากจิตที่กำลังขึ้นมา
    จากตัวจิตได้(อ่านดีๆนะ มี ๑.จิต และ ๒.ความคิดที่เกิดจากจิต
    คนละตัวกันนะครับ สังเกตุอีกไหม ส่วนตัวจะใช้คำว่า
    มองเห็นขันธ์ ๕ นามธรรมได้ถ้าสังเกตุดีๆจะพบว่า
    ความคิดที่เกิดจากจิตมันอยู่ตรงไหน และขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม
    มันอยู่ตรงไหนอ่านดีๆนะครับ ส่วนมากคนจะไม่ทันขันธ์ ๕
    นามธรรมนี้ และมักคิดว่ามันอยู่ที่เดียวกับกับความคิดที่เกิดจากจิตนะครับ ต้องระวังไว้ด้วย) ซึ่งจะส่งผลให้จิต
    ดีดความคิดที่เกิดจากจิต
    ออกจากตัวจิตได้ทันที เรียกว่ามันจะเลิกคบกันเลยครับ
    ที่เราเรียกว่า แยกรูปแยกนาม
    นั่นหละคับ....เราถึงจะเห็นว่า มันแยกกันอย่างชัดเจน
    แบบไม่ได้คิดเอาว่า ๑ .จิต ๒ .ความคิดที่เกิดจากจิต ๓.
    ขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม ถ้ามีจริตมาทางสัมผัสด้วย
    จะเห็นอีกอย่างคือ กระแสที่มาจากภายนอกได้เหมือนกัน
    (คือพวกที่เราไปดึงเข้ามาจนเหมือนไม่ใช่ตัวเรา)

    แต่ส่วนมากแล้วถ้าเคยนั่งสมาธิถึงระดับที่กายกับจิต
    แยกกันเด็ดขาดชั่วคราวจริงๆ ร้อยละ ๙๙ เปอร์เซนต์
    จะไม่มีใครสามารถควบคุมจิตให้อยู่ในกายนิ่งๆได้ครับ
    พูดง่ายๆว่า แยกแล้วนิ่งๆแล้วค่อยๆออก เนี่ยยากมาก
    ส่วนมาก ร้อยละ ๙๙ จะหลงเข้าใจผิด ไปหลงว่าระดับ
    อุปจารสมาธิเป็นระดับกายกับจิตแยกกันเด็ดขาดชั่วคราว
    ซึ่งก็จะทำให้หลงตัวเองได้อีกแบบไม่น่าเชื่อ
    คือประมาณว่า เหมือนเก่งมาก แต่โดนกระทบจากภายนอกง่ายๆ
    ทำโน้นทำนี่ก็ไม่ได้ ได้แต่รู้เองเห็นเองคนเดียว
    และไม่มีกำลังสมาธิที่ดี กำลังจิตที่เพียงพอต่อการต้านท้าน
    ภายนอก.. มันจะมีได้อย่างไรหละครับ กิริยาอย่างนี้
    โถ่ๆ มันยังไม่ถึงระดับปฐมฌานเลย เกทเนาะ


    นึกภาพออกไหม
    ช่วงเอี้ยวเสริมอะไร
    ยกตัวอย่าง การฝึกสมาธิอย่างไรให้ถึงระดับที่เรียกว่าจบ...
    และอย่างไรเรียกว่า ไม่จบ ลองอ่านต่อดีๆ...

    เหมือนน้ำในบ่อที่เราขุดขึ้นมาบ่อหนึ่ง แม้มีมาก
    จากการซื้อน้ำมาเติมให้เต็ม(เปรียบได้กับ
    การเก๊งกล้ามฝึกสมาธิ)ยังไงก็ตาม
    แต่โดนแดดเข้านานๆมันก็จะค่อยๆระเหยและแห้งไป
    เราก็ต้องคอยไปซื้อน้ำมาเติมอีก(กลับมานั่งเก๊งกล้ามฝึกอีก)
    เพื่อรักษาระดับน้ำ
    ให้มันเต็มอยู่อย่างนั้น..แม้มีฝนตกหนักลงมาระดับน้ำ
    จะเพิ่มขึ้นแต่มันก็รอวันระเหยอีกเช่นเคยครับ

    แต่ถ้าเราไปขุดบ่อขึ้นมาอีกบ่อหนึ่ง
    เพื่อรองรับน้ำที่ไหลมาจากป่า ซึ่งน้ำนี้เริ่มจากการ
    แยกเป็นสายเล็กๆน้อยๆแล้วมารวมกัน
    จนไหลมาและกลายเป็นลำธารแม้มีน้อยมันก็มีน้ำไหลมาอยู่เรื่อยๆ และก็จะไหลมาเรื่อยๆจนกระทั่งเต็มได้ภายในวันหนึ่ง

    ในช่วงที่น้ำกำลังไหลจากลำธารค่อยๆมาในบ่อนั้น...
    เราอาจจะเจอคนที่ขุดบ่อซื้อน้ำมาเติมให้เต็ม
    เดินมาดูบ่อน้ำของเราแล้วพูดว่า....เห้ยยย !!
    ทำไรฟระ..ไม่เท่ห์เลย แบบข้าเนี่ย เท่ห์กว่า
    แถมโม้ทับเราอีกนะ เห็นเป่า น้ำเต็มข้าเต็มนะเว้ย !!
    เห็นเปล่า น้ำในบ่อ ข้า มีตังเยอะแยะ
    โห้ย เอ๊ง ทำไรฟระ แม่งไม่เท่ห์เลย
    เองเห็นเปล่าฟระ มีคนสนใจจะมารอตักน้ำในบ่อ
    ข้า เยอะแยะมากมาย. บ่อน้ำเอ็งมีใครสนใจ
    มารอตักเป่าวะ และก็จะหัวเราะเรา แบบประมาณ
    ว่า ทำเป็นเท่ห์ โชว์พวกที่มารอตักน้ำ ....
    หน้าที่เรา ก็คือ ฟังมันโม้ไว้ก่อน แล้วก็พูดว่า ครับ โห้ดีจัง
    แต่ช่วงนี้กายทิยพ์เราอาจจะถอดไปเตะปากมัน
    แต่เราคงได้แต่มโนเอา...และอาจจะเผลอได้
    ไปในใจว่า ไอ้จรเข้น้อยเอ้ย(ด่าในใจนะ)
    และเราก็ไม่ต้องสนใจ เราก็รอของเราไปเรื่อยๆ




    แม้ว่าการฝึกแบบที่ส่วนตัวแนะนำจะเป็นการไปขุดบ่อ
    เพื่อรองรับน้ำจากลำธารที่ไหลมาจากสายน้ำเล็กๆน้อยนั้น
    แม้ว่ามันจะดูไม่หล่อเหล่าเอาการ ไม่มีใครมารอตักน้ำแต่น้ำ
    มันก็จะค่อยๆไหลเข้าบ่อเรื่อยๆ
    ถึงเวลามันก็เต็มเอง ที่น้ำหละแม้ไม่ต้องไปประกาศบอกใคร
    ว่าบ่อเรามีน้ำ แต่คนที่เคยมาตักก่อน เค้าก็จะบอกต่อๆกันเอง
    หรือใครที่เดินผ่านมาเค้าก็จะเห็นน้ำในบ่อ เราได้เองนั่นหละ
    ที่สำคัญน้ำใน บ่ มันจะไม่มีวันหมด
    ถ้าไม่มีใครไปตัดต้นน้ำทำลายป่า ฉันใดฉันนั้น

    ต้นน้ำที่มาจากป่านั้น ก็เหมือนการที่เราค่อยๆสร้างสติทางธรรม
    ขึ้นมาจากการเจริญสติในชีวิตประจำวันให้ต่อเนื่อง
    เสมือนการที่เราไปปลูกต้นไม้แล้วรอจนมันเติบใหญ่แข็งแรง
    แต่ต้นไม้ใหญ่อย่างเดียวมันก็ยังไม่พอที่จะกักเก็บน้ำได้
    และการมาเพิ่มช่วงเอี่ยวในระหว่างวันนั้น ก็เหมือนการปลูก
    หญ้าปลูกต้นไม้เล็กๆเพื่อแซมช่องว่างระหว่างต้นไม้ใหญ่นั้น
    มันก็จะกลายเป็นเสมือนแหล่ง

    ที่คอยช่วยยึดต้นไม้ใหญ่ไม่ให้ล้มเวลามีฝนและคอยเป็น
    ตัวกักและซึมซับน้ำฝนไว้ เพื่อกำเนิดเกิดเป็นสายน้ำเล็กๆ
    หลายๆสายไหลลงสู่ลำธารไหล
    ลงมายังบ่อที่เราพึ่งขุดใหม่นั่นเองครับ
    เมื่อเราปลูกป่าจนต้นไม้เติบใหญ่แล้ว
    มีการแซมด้วยต้นเล็กๆเพื่อหนุนซึ่งกันและกันแล้ว
    ก็จะกำเนิดสายน้ำเล็กๆ ที่จะมารวมกัน แล้วไหลลงสู่ลำธาร
    และไหลเข้าบ่อ น้ำ ที่เราพึ่งมาขุดได้นั่นเองครับ....

    นี่หละที่เปรียบอุปมาว่า สมาธิถ้าได้แล้วคือมันจบครับ
    จบคือยังไง จบคือ ไม่ต้องไปพยายามฝึกเพิ่มอีก
    และมันสามารถใช้งานได้เรื่อยของมันเอง..
    ยังไงอาจจะงงๆอีก อาจจะนึกภาพไม่ออก
    ยกตัวอย่างต่อ น้ำในบ่อขุดนั้นที่มาโม้ทับถมเราไว้
    ถ้ามีคนมารอตักน้ำไปใช้งาน
    มันก็จะหมดลงเรื่อยๆ ใช้บ่อยๆ ก็หมดได้ เมื่อไม่มีน้ำ
    ก็คงไม่มีใครมารอตัก ช่วงระหว่างนี้เราก็ต้อง
    ไปซื้อน้ำมาเติมอีก(นั่งเก๊งกล้ามฝึกอีก)
    และถ้าเราซื้อมาเติมแล้วแม้ว่าจะเต็ม
    มีคนมาตัก มันก็จะหมดอีก
    แล้วก็ต้องไปซื้อมาเติมอีกอยู่เรื่องไปนั่นหละครับ
    มันจะยาก จะเหนื่อยตอนที่ต้องคอยหาเงินไว้ซื้อ(ปฏิบัตินั่ง
    เก๊งกล้ามซ้ำแล้วซ้ำอีก)
    เพื่อมาเติมน้ำให้เต็มนั่นหละครับ...

    แต่ถ้าน้ำบ่อที่เราพึ่งมาขุดใหม่ข้างลำธาร
    แม้ว่าจะมีการนำน้ำไปใช้งาน แม้มันจะพร่องไปบ้าง
    แต่มันก็จะมีน้ำไหล
    มาเติมอยู่เรื่อยๆของมันเอง ก็จะมีคนมารอตักน้ำอยู่เรื่อยๆ
    โดยที่เราไม่ต้องไปเป่าประกาศบอกใคร เพราะใครก็มอง
    เห็นได้ว่า บ่อ น้ำนี้มันมีน้ำตลอด
    โดยที่เราไม่ต้องไปซื้อน้ำมาเพิ่ม
    เราก็คอยเพียงแต่อำนวยความสดวก
    จัดระเบียบในการนำน้ำไปใช้งานตามความเหมาะสม
    ของแต่ละบุคคลที่มารอตักน้ำนั่นเอง..

    คนที่มีความจำเป็นจะต้องใช้น้ำ ก็ไม่ต้องมาคอยลุ้นว่า
    น้ำมันจะหมดเหมือนน้ำในบ่อหรือเปล่า

    พอมองเห็นภาพรวมแบบกว้างๆได้หรือยังครับ

    น่าจะพอเข้าใจได้แล้วเนาะ...
    ธรรมดาครับ อ่านแล้วจะยังไม่เข้าใจหรอกครับ
    แต่ถ้าทำแล้วผ่านมาแล้ว และมาย้อนอ่านอีกที
    จะเกทได้อย่างง่ายๆเลยหละครับ...
    [/QUOTE]


    สาธุครับ.. ชัดเจนและอุปมาอุปมัยได้เห็นภาพเลยครับ ขอบพระคุณที่กรุณาแนะนำครับ
     
  7. Belmondo

    Belmondo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    165
    ค่าพลัง:
    +480
    ข้าเจ้าอยากขอคำปรึกษาคุณนพค่ะ
    คือท่านบิดาของข้าเจ้ากำลังลุ่มหลงในเหรียญพลังสเกลล่าร์
    ที่เขาโฆษณาขายในช่องเคเบิ้ลช่องหนึ่งอย่างมากมาย
    เหรียญนี้ที่ทำจากหินภูเขาไฟอะไรนั่นแหละค่ะ

    ข้าเจ้าได้อ่านเจอในเว็ปกระปุก โพสท์วันที่ 5 กพ. 2552 ที่บอกว่า
    "ผู้สื่อข่าวตรวจสอบไปยังสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) ได้รับการเปิดเผยว่า อย.เคยประกาศไว้เมื่อวันที่ 29 ส.ค.2551 ว่า เหรียญควอนตั้ม ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มารับรอง และไม่มีหน่วยงานรัฐใดๆ รับรอง หากพบเห็นการซื้อขาย โปรดแจ้งสายด่วนอย. 1556 หรือ 0-2590-7000"

    แต่ทำไมถึงยังปล่อยให้มีการออกรายการขายเหรียญนี้กันอย่างโจ่งแจ้ง
    ข้าเจ้าไม่เข้าใจจริง ๆ ค่ะ ทุกวันท่านจะนั่งดูโฆษณานี้ แล้วมันก็ซึมซับ
    เข้าไปในหัวสมองท่านจนกลายเป็นว่าเชื่อไปหมดทุกอย่าง
    เห็นชายคนหนึ่งในโฆษณาพกเหรียญนี้ถึงแปดเหรียญ
    ท่านก็ต้องการเหรียญเพิ่มขึ้นอีก บอกให้น้องสาวข้าเจ้าสั่งซื้อให้เพิ่ม
    แต่ข้าเจ้าสั่งน้องสาวว่าห้ามซื้อ โชคดีที่น้องสาวเชื่อฟังข้าเจ้า

    คุณนพว่าพอจะมีวิธีใดที่จะสามารถให้คุณพ่อเลิกเชื่อในเหรียญนี้หรือเปล่าคะ
    ถ้าโทร.ไปแจ้งตามเบอร์ที่เขาให้มานั้น คุณนพว่าดีไหมคะ ข้าเจ้าไม่แน่ใจว่ามันจะบังเกิดผล
    อะไร ไม่อย่างนั้นมันคงไม่กล้าออกรายการขายกันอย่างโจ่งแจ้งทุกวันๆ คนเถ้าคนแก่ที่ไม่มี
    ประสบการณ์ในชีวิต (ไม่กล้าว่าโง่) พอได้ดูแล้วก็จะหลงเชื่อแล้วก็กลายเป็นลูกค้าในที่สุด

    ที่แย่ไปกว่านั้นคือ คุณพ่อยังจะพยายามซื้อให้ทุกคนในบ้าน (คุณอา น้องสาว น้องชาย น้องสะใภ้)
    ซึ่งพวกเขาไม่ต้องการ และไม่เชื่อว่าไอ้เหรียญนั่นมันจะทำให้หายจากโรคที่เป็นอยู่

    ตอนที่คุณพ่อได้เหรียญมาใหม่ ๆ ข้าเจ้าเตือนคุณพ่อแล้วว่าให้พิสูจน์เอาเอง
    ตอนแรกหาว่า โรคที่เป็นอยู่หาย นอนหลับได้ ไม่เกิดอาการคันโน่นคันนี่ในตอนกลางคืน
    ไม่ปวดหลัง ปวดเอว และไม่ได้กินยาแก้ปวดเมื่อยมากว่าสิบวันแล้ว

    แต่หลังจากนั้นไม่นานเมื่อข้าเจ้าได้คุยกับท่านอีก ท่านบอกว่า กลับมากินยาแก้ปวดอีก
    นอนไม่หลับอีก และอาการคันก็ยังคงมี แต่แทนที่จะหยุดเชื่อเจ้าเหรียญนั่น
    กลับพยายามที่จะอยากได้เหรียญเพิ่ม เพราะเห็นในโฆษณาว่ามีคนเขาใส่เหรียญ
    ติดตัวหลายอัน ทำให้ข้าเจ้าแทบควบคุมอารมณ์ตนเองไม่อยู่ พูดกับท่าน
    ค่อนข้างเสียงดัง เพราะไม่ว่าเราจะเตือนอย่างไร ท่านก็จะย้อนกลับมาทุกที
    ตอนนี้ข้าเจ้าไม่โทร.ไปหาท่านแล้ว กลัวบาปค่ะ

    อาการคุณพ่อน่าเป็นห่วงค่ะ ข้าเจ้าไม่รู้จะทำยังไงดี ขู่ท่านไปว่าจะโทร.ไปแจ้งตำรวจ
    ให้จัดการกับบริษัทที่ขายเหรียญนี่ (ท่านท้าเลยทีเดียว) แต่ก็ยังไม่ได้ลงมือทำอะไร
    เพราะคิดว่าไม่น่าจะได้ผล คุณพ่อถูกล้างสมองไปโดยปริยาย....หรือควรต้องปล่อยไปตามกรรม ?
     
  8. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,427
    ค่าพลัง:
    +35,047
    เรื่องพลังงานปกติต้องปล่อยไปตามธรรมชาติ
    ถ้ามันยังส่งผลดีอยู่ ก็ต้องปล่อยไป
    การใช้ธรรมชาติ เพื่อลาภ ยศ สุข สรรเสริญ
    จะมีเหตุต่อร่างกายผู้นั้น
    แม้ห่มเหลืองดังมากๆ เหตุที่ต้องหยุด
    ก็เพราะคัวเองเป็นอะไรที่รักษาไม่หาย
    และเป็นหลายอย่างพร้อมกันถ้า
    ข้อนิ้วโป้ท้าวและมือบวม
    นั่นคืออวัยวะช่วงลำตัวไปแล้ว
    ส่วนเรา อุเบกขารับรู้อยู่ภายในคับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มีนาคม 2017
  9. กิ่งสน

    กิ่งสน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,068
    ค่าพลัง:
    +2,327
    มีคำถามมารบกวนคุณนพ คือ ขอถามถึง ครูบาราศรีหรือตุ๊เจ้าเสือดาว หน่อยนะท่าน เพราะหาประวัติท่านได้น้อยมาก พอดีเคยได้พระเนื้อดินมาองค์หนึ่ง สืบจนรู้เมื่อวานนี้เองว่าเป็นครูบาราศรีหรือตุ๊เจ้าเสือดาว อยากทราบเรื่องราวของท่านบ้าง จึงขอสอบถามมาเผื่อคุณนพหรือท่านอื่นๆทราบ
     
  10. devotee57

    devotee57 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2014
    โพสต์:
    228
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +556
    อ้า ไม่ได้เข้ามาตามนานเลย:D ดูคุณพี่นพยังมีแฟนคลับหนาแน่นเหมือนเดิม(น้องแซวเล่นน้า คึๆๆๆ)

    ช่วงนี้อิน้องนี่ไฟ(ฟ้า)แรงสูง จับผ้าผ่อนนี่แล่นเปรี๊ยะๆ แต่ที่ร้ายหนักคือ หลายๆหนพอนวดลูกค้าเสร็จแล้วจับตัวเขา(แม้จะแค่นวดน้ำมัน) มันก็ช็อตอิน้องเรื่อยเลย บางคนนี่ช็อต2-3ครั้ง และมักช็อตตอนจบด้วย งงจริงๆ เรานี่สะดุ้งโหยงๆเอง:D

    แต่ช่วงนี้ไม่ได้เอาเท้าแช่น้ำเกลือเลยค่ะ :( เผอิญมีพี่คนนึงแกกระดูกร้าว งานเลยมากองที่คนอื่นๆทบทวี ช่วงมีประจำเดือนนี่อิน้องร่างแทบแตก (อยากจิครายสัปดาห์ได้แช่สักคร้้ง:()
    แถมช่วงหลังๆนี่น้ำมูกมีเลือดเจือออกมาทุกวัน แต่ไม่เยอะขนาดเลือดกำเดา บางทีเป็นลิ่มเล็กๆ

    ไฟฟ้าสถิตช็อตอย่างนี้อันตรายมั้ยค่ะ เกี่ยวกับอากาศที่นี่ที่หนาวรึเปล่า?:confused:
     
  11. Tanya R

    Tanya R เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    389
    ค่าพลัง:
    +876
    เราก็เคยทำงานนวดไทย & น้ำมัน แต่ไม่เคยมีไฟฟ้าสถิตย์ ยกเว้นแต่ถ้าใส่เสื้อผ้าที่เป็นพวกสังเคราะห์อย่างโพลีเอสเตอร์นี่จะมีไฟฟ้าสถิตย์บ่อย เพราะที่เมลเบิร์นอากาศหนาวมากเวลาหน้าหนาว ก็เลยต้องมีชุดแบบที่ใส่กันลมได้ แต่เพื่อนเราอีกคนเป็นหมอนวดผู้ชายนี่อาการคล้ายน้อง devote เลย มีไฟฟ้าสถิตย์ตลอด จับลูกค้านี่ดังเปรี๊ยะๆเลย ร่างกายคงมีประจุลบมากเลยนะแต่เค้าไม่มีอาการเลือดกำเดาซึม
     
  12. devotee57

    devotee57 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2014
    โพสต์:
    228
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +556
    ชุดที่ใส่่นี่เป็นใยสังเคราะห์ค่ะ แต่เพิ่งมาเป้นมากๆๆนี่ช่วงกุมภามาจนเดือนนี้ ตอนมันหนาวกว่านี้นี่ไม่ช็อต
    ช่วงนี้ไม่ึ่อนหนาวเท่าไหร่แค่ราวๆ-1องสา (คิดว่ากำลังสบายค่ะถ้าไม่มีลมแรงๆ)
    แต่ตอนติดลบเยอะๆนี่ไม่ช็อต ตอนอยู่เมืองไทยก็มีอาการนี้ค่ะ แต่ไม่มาก(ประตูไม้ก็ข็อตมาแล้วo_O)
    เมื่อวานนี้ช็อตลูกค้าหลายคนเลยเซ็งตัวเอง
    ตอนอยู่ไทยนี่ไม่ได้สนใจ เพื่อนบางทีก็บ่นว่ามาโดนตัวแล้วช็อตใส่:)

    แต่เลือดที่ออกนี่ตอนมาใหม่ๆเดือนแรกๆไม่มี มีบ้างก็นานๆครั้ง แต่เดือนที่ผ่านมามีทุกวัน ก็เลยสงสัยว่าเกี่ยวกันมั้ย จำได้คลับคล้ายคลาว่าพี่นพเคยพูดถึงเรื่องทำนองนี้ทีนึง(จำไม่ได้ว่าใช่รึเปล่าแฮ่ๆๆๆ:p)
    พอมันเปรี๊ยะมากๆเลยเอะใจ(ความรู้สึกช้าความมึนเยอะ555) แต่ก็เคยผ่านๆมาบ้างว่าอากาศหนาวสามารถทำให้เกิดไฟฟ้าสถิตได้ แต่อิน้องนี่อยู่ไทยแลนร้อนๆนี่บางทีก็ช็อตชาวบ้านเขาไปทั่วบางคนมาแตะซ้ำๆอีกมันก็ยังข็อต

    แต่เลือดออกจมูกนี่ไม่เคยมีค่ะ เป็นเด็กโรคจิตอยู่อย่างนึงคือ อยากเลือดกำเดาออก:D ตอนอนุบาลเห็นเพื่อนออกกันทุกคน มีเราประหลาดไม่ออกคนเดียว(ตอนนั้นมันรู้สึกไม่เท่ห์:confused:)
    โตมาเลือดก็ไม่เคยออกจมูก ชนอะไรแรงแค่ไหนนี่ไม่มีไหล มีครั้งนึงเปิดไมโครเวฟแล้วบานตู้กระแทกใส่หน้าแรงมาก(เจ็บ ชา มึนวิ้งๆ วีรกรรมการันตีความเปิ่น:cool:)
    แอบดีใจว่ามีเลือด ที่ไหนได้ปีกจมูกฉีกนิดนึงมีเลือดซึมไม่ใช่กำเดา(แห้วอีก)

    พอมาอยู่เอสโตเนียนี่แหละคะเริ่มมีเลือดเป็นเรื่องเป็นราว(แต่ยังไม่ไหลโจ๊กอยู่ดี):D
     
  13. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,427
    ค่าพลัง:
    +35,047
    ไฟ้ฟ้าสถิตย์ไม่ดีเน้อ
    บอกว่าร่างกายไม่เสถียรย์
    บางคนเข้าใจว่ามีมากจะฝึกอะไรง่าย(จะตายเร็ว)
    อยู่ดีๆแล้วตายและเป็นโรคที่รักษาไม่หาย
    ด้วยวิธีการทั่วไปมาเยอะแล้ว

    เคลียอย่างเดียว อย่าขี้เกียจ
    กับเรื่องเคลียเด้อ
     
  14. กะปิหวาน

    กะปิหวาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2015
    โพสต์:
    130
    ค่าพลัง:
    +470
    สวัสดีค่ะพี่นพ หวานมีเรื่องอยากขอความอนุเคราะห์สักนิด แต่ก็มาเจอเรื่องไฟฟ้าสถิตนี้ซะก่อน งั้นก็ขอแจมเพื่อความรู้ด้วยนะคะ เพราะหวานและพี่สาวก็มีอาการไฟฟ้าสถิตช่วงอากาศเย็น หรืออยู่ในห้องแอร์นานๆ ถ้าหน้าหนาวจะจับ จะแตะอะไรที่เป็นโลหะไม่ได้เลยค่ะไฟช็อต จริง ๆ ก็เป็นมาตั้งแต่เด็กนะคะแต่ก็ไม่หนักขนาดนี้ ถ้าช่วงเราเผลอแล้วมีคนมาแตะตัวนี่เจ็บทั้ง 2 ฝ่ายเลยค่ะ ดูเหมือนลูกชายจะเป็นเหมือนกันค่ะ วันหนึ่งลูกชายเผลอจะมาแตะตัวหวานตอนเผลอ เกิดไฟฟ้าสว่างวาบชัดเจนเชื่อมจากมือของลูกชายที่เอื่อมมาจะแตะตัวหวาน กับตัวหวาน เกิดเสียงดังเปรี๊ยะ!! (ขณะขับรถกลับบ้านราว ทุ่มเศษๆ ทำให้เห็นกระแสไฟที่เกิดขึ้นชัดเจน) เจ็บทั่งคู่ ตอนนี้ลูกชายค่อนข้างระวังตัว ไม่กล้าเข้าใกล้หวานช่วงหน้าหนาว เค้าคงจำได้ว่าจะเกิดอะไร สรุป! อันตรายมากไหมคะพี่นพ. มีวิธีแก้ไหมคะ แล้วจากคำตอบข้างบนที่พี่ให้เคลีย คือยังไงคะ หุหุ มาเป็นชุดเบย:D:D:D

    ปล.วันนี้จะถามก็ดูจะยาว พิมพ์มือไม่ค่อยสนุก อิอิ พิมพ์ไม่ถนัดค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มีนาคม 2017
  15. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,427
    ค่าพลัง:
    +35,047
    ส่วนตัวมีสัมพันธ์น้อยมากกับท่านทางเหนือนะครับ..
    แต่ก็พอมีบ้างกับสหายสนิทบางท่านที่มีชื่อทางภาคนั้น
    เพียงแต่สัมพันธ์ที่มีไม่ได้เป็นไปในทางที่หลุดพ้นเลย
    จึงไม่ได้นำมากล่าวหรือเล่าให้ฟังครับ อ่านต่อไปนี้ดีๆนะครับ...
    ปกติแล้วท่านทางเหนือเท่าที่พบส่วนมากท่านจะอยู่ในเส้นทาง
    ที่เราเรียกว่า สายพระโพธิสัตว์ครับ เพียงแต่พระโพธิสัตว์ใน
    เส้นทางเดินของท่านนั้น จะมีอยู่ ๒ ช่วงคือ ๑.ช่วงที่ใช้บารมีตน
    เองบวกกับบารมีภายนอกเพื่อหนุนการเดินทาง และ ๒.
    ท่านที่มักจะเพียวบารมีตนเอง.....
    ท่านที่คุณ กิ่งสน ถามคือท่านที่อยู่ในช่วงที่ ต่ำกว่า ๓
    มากกว่า ๑ พอเข้าใจนะครับ..
     
  16. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,427
    ค่าพลัง:
    +35,047
    ปริมาณแร่เหล็กในเส้นเลือดดำที่อยู่ตรงหลังของ
    มนุษย์ทุกคนด้านขวานั้นเป็นตัวหลักๆ
    ข้อมูลตรงนี้ หาในอากู๋ดูได้
    ซึ่งมันจะเกี่ยวข้องในเรื่องของการแสดงผล
    ของไฟฟ้าสถิตส่วนหนึ่ง นอกจากสภาพแวดล้อม
    ของถิ่นที่อยู่อาศัย และอารมย์หรือความคิด
    ที่เอื้อในการสร้างเป็นคลื่นพลังงานขึ้นมา
    (คิดดีก็คลื่นอย่างหนึ่ง ไม่ดีก็คลื่นอย่างหนึ่ง
    บุญก็คลื่นอย่างหนึ่ง บาปก็คลื่นอย่างหนึ่ง
    พลังงานจากกรรมฐานกองต่างๆก็คลื่นอย่างหนึ่ง)
    สมมุติว่า คนเรามีอัตราส่วนปกติ 10/2
    พวกที่มี 10/4 ขึ้น ก็จะมีเรื่องของการรับรู้ภายใน
    หรือสัมผัสภายนอก รวมทั้งการรับรู้อื่นๆได้ดีกว่าคนปกติทั่วไป
    ถ้าอยู่ในสภาพแวดล้อมเดียวกัน อารมย์เดียวกัน
    มีความสามารถทางกรรมฐานนั้นๆเหมือนกัน
    ปริมาณแร่งเหล็กตรงนี้มันก็พันธุกรรมด้วยพอเข้าใจเนาะ

    เพราะว่าแร่เหล็ก
    มันมีคุณสมบัติในเรื่องของการดูด การนำพาพลังงาน
    ในรูปแบบที่เป็นคลื่นความถี่เป็นเรื่องธรรมชาติของมัน
    จะบอกว่า มันเป็นเรื่องปกตินั่นหละ...
    โดยมากถ้าเรามีลักษณะอย่างนี้ เราจะนอนเอามือ
    ทับร่างกายไม่ได้เลย ถ้าทับท้องแล้วเผลอหลับ
    ตื่นมามีท้องเสียได้ เรื่องปกติ

    และเมื่อมันมีอยู่ในร่างกายเราแล้วปกติร่างกาย
    มันก็จะสร้างสมดุลย์
    ให้กับร่างกายนั้นๆได้เองตามธรรมชาติ...
    พอเราเริ่มเติบโตขึ้นมา ที่นี้ก็ขึ้นอยู่กับว่า
    อารมย์ ความคิดเราเป็นอย่างไร หรือ เราไปฝึกกรรมฐาน
    อะไรมาหรือไม่ หรือแม้กระทั่งจิตเราเริ่มที่จะละเอียด
    รับรู้เกี่ยวกับเรื่องพลังงานได้มากน้อยแค่ไหน
    พวกนี้อย่างใดอย่างหนึ่ง
    ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติอีกเช่นกันไม่แปลก....

    ที่แปลกคือไปมองว่า เรื่องพวกนี้มันประหลาด มันพิเศษ
    ไปมองแล้วยึดว่า ฉันนะผมนะมีสัมผัสที่มากกว่าใคร
    และไปเอาเรื่องนี้ เพื่อไปหนุนเรื่องพิเศษ ที่โน้มให้สร้าง
    อัตตาตัวตน ไม่ว่า ทางด้าน ลาภ ยศ สุข สรรเสริญอย่างใด
    อย่างหนึ่ง ถ้าเป็นแบบนี้เมื่อไร โอกาสที่จะไปทำให้ร่างกาย
    ไม่สมดุลย์ก็จะยิ่งสูงขึ้นได้อย่างไม่รู้ตัวและคาดไม่ถึง
    เป็นสาเหตุที่พวกหรือบุคคลทั้งหลายที่ไปเกี่ยวข้องในเรื่อง
    ของพลังงาน อยู่ดีๆมักจะตายเอาดื้อๆ คือเดินๆไปแล้วล้มตาย
    ไปเลย ถ้าไม่ตายก็ป่วยเป็นโรคโน้นนี่นั้น รักษายังไงก็ไม่หาย
    และมักจะเป็นโรคที่ร้ายแรงเป็นเหตุให้เสียชีวิตได้ทั้งนั้น
    (เคยได้ยินเรื่องห่มเหลืองมีชื่อ ที่ทั้งปลุกเสก รักษาคน
    แล้วท่านต้องเลิก เพื่อมารักษาตัวเองไหม นั่นหละ
    ก็เพราะว่า วางไม่ได้ คลายไม่เป็น)
    เพราะไม่เข้าใจธรรมชาติตรงนี้ ไม่ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติและรู้จักวิธีที่จะแก้ปัญญาตรงนี้แบบธรรมชาติที่
    ควรจะเป็นกัน.....ก็พอเข้าใจนะ บางทีการเข้าถึงพลังงานได้
    ไม่ว่าภายในหรือภายนอก มันดูหล่อ ดูเท่ห์ มันอลังการดี
    สร้างชื่อ สร้างลาภ ยศ สุขสรรเสริญดี แม้ว่าบางท่านจะไม่
    ติดเรื่องพวกนี้ แต่ก็ดันไปใช้พลังงานในลักษณะที่ไปฝืน
    ธรรมชาติภายนอกที่มันควรจะเป็น เช่น อากาศมันควรจะร้อน
    ก็ไปทำให้มันเย็น พอมองภาพออกเนาะฯลฯ
    ยังไง เมื่อมันเป็นคลื่น ต่อให้พยายามคลาย ยังไง
    มันก็ยังต้องมีการตกค้างอยู่
    ท่านที่จะไม่ตกค้างได้เลย
    คือท่านที่จิตคลายตัวเองได้
    อย่างธรรมชาติทั้งวัน คือไม่มีอะไรมาเกาะที่จิต
    ได้เลย แต่ว่า มีแต่พระอรหันต์นะที่เกิดขึ้นได้....
    ข้างบนคืออารัมย์บทให้ฟัง

    วิธีแก้. อือ สังเกตุไหมว่าคนโบราณที่เดินเท้าเปล่า
    ทำไมอายุยืน และไม่ค่อยป่วยเป็นโรคอะไร..????

    ปัจจุบัน คลื่นมีอยู่ในอากาศแทบทุกอณู ไม่ว่าคลื่น
    วิทยุ โทรศัพท์ ไฟฟ้า เตาไมโครเวฟ
    หรือจากวัตถุต่างๆ จากความคิด
    ของบุคคลหลายๆคน ฯลฯ

    วิธีแก้จริงๆ ง่ายๆเลย...เลือกเอาตามสดวก
    ๑.ไปแช่น้ำทะเล ถ้าสภาพแวดล้อมเอื้อ..
    ๒.นำเท้าทั้งสองข้าง ไปแช่น้ำเกลือ..
    ๓.ไปเดินเล่น หรือ นอนเล่นบนหญ้า หรือ ดิน
    ให้คำนึงถึงความปลอดภัยและสภาพแวดล้อมด้วย...
    ๔.นั่งสมาธิในระดับที่ทำให้จิตใจสงบ
    ๕.เดินปัญญาในระดับที่จิต ละ คลาย ความยึดมั่นถือมัน
    ในทุกๆเรื่องได้ จนจิตสามารถคลายตัวได้เองตามธรรมชาติ
    ของมันเอง
    ๖.ถ้าจะคิดให้คิดแต่เรื่องที่ออกเชิงบวก เรื่องไม่ดี
    เรื่องอกุศล เรื่องที่ทำให้เศร้าหมอง อย่าไปคิด..
    ๗.อุทิศส่วนกุศลให้ออกจากกลางลิ้นปี่.ให้บ่อยๆจนกว่าตัวจะเบา.
    ๘.กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลร่วมกับการอุทิศส่วนกุศล
    ออกจากกลางลิ้นปี่จนเป็นนิสัย..
    ๙.หาอุปกรณ์พวกหินต่างๆที่เย็นๆ มาช่วยดูดความร้อน
    ๑๐.รับประทานอาหาร เครื่องดืม ที่เป็นธาตุเย็น และสุดท้าย
    ๑๑.เข้านิโรธสมาบัติให้ได้ซัก ๕ ถึง ๑๐ วินาที ๕๕๕

    ปล.ประมาณนี้หละ ไม่มีอะไรมากหรอก
    แต่ถ้าปล่อยไปไม่สนใจเลย มันจะมีอะไรมาก
    ส่วนพลังงานที่มันหมุนทุกๆอย่างในร่างกาย
    ไม่ใช่ภายนอกกายนะ ให้ปล่อยมันไปตาม
    ธรรมชาติของมัน ส่วนเรื่องไฟฟ้าสถิตย์ก็แก้
    อย่างที่บอก เลือกเอาเลยตามความเหมาะสม...
     
  17. กะปิหวาน

    กะปิหวาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2015
    โพสต์:
    130
    ค่าพลัง:
    +470
    อนุโมทนาสาธุกับทุก ๆ คำแนะนำของพี่นพ สรุปมันเป็นกรรมพันธุ์นะคะ พอดีหลังจากที่พี่นพอนุเคราะห์ตอบ ก็ได้รับข่าวว่าจะต้องไปทะเลพอดีเลยค่ะ พี่นพคะ หวานไม่เคยคิดว่ามันเป็นสิ่งพิเศษเลยนะคะ T^T สำหรับตัวหวาน หวานว่ามันทำให้หวานลำบากมากกว่า จะหยิบจับอะไรทีก็แขยงกลัวไฟช็อต:( ที่ไม่เคยถามเลยก็เพราะหวานคิดว่ามันเป็นสิ่งปกติที่อาจเกิดขึ้นได้จากสภาพอากาศ แต่ไม่คิดว่ามันจะเป็นอันตรายถึงชีวิต ห่วงลูกมากกว่าค่ะ ตามประสามนุษย์แม่ค่ะ อย่าเข้าใจหวานผิดน๊า!! :(:(:(
     
  18. devotee57

    devotee57 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2014
    โพสต์:
    228
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +556
    ช่วงนั้เพลียมากๆจริงๆคะ ส่วนฝึกอะไรแบบพิสดารดาวล้านดวงนี่ไม่เคยอยู่ในกะโหลกอิน้องเลย บางทีนอนตัวเกร็งตัวกระตุกหรือเหน็บวิ่งขึ้นขาเอาดื้อๆ
    แต่วันนี้ได้แช่เท้าแล้วเหงื่อออกเลย เหงื่อไม่ออกมานานแล้ว ให้พี่อีกคนเหยียบให้ต่อด้วยค่อยเรอค่อยผายลมออกมาได้หน่อย ช่วงนี้เหมือนทุกอย่างมันอั้นๆยังไงไม่รู้ วันนี้งานว่างเลยได้แช่เท้า5555

    ขอบคุณค่ะ
     
  19. คนโง่โง่

    คนโง่โง่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2012
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +302
    สวัสดีครับท่านนพ ขอสอบถามหน่อยนะครับอ่านบทความท่านก็พอเข้าใจครับเพราะผมเป็นคนไม่นั่งสมาธิ แต่สติมันก็เกิดขึ้นเองจากการใช้ชีวิตประจำวันจากการตามรู้ดูอะไรในขันธ์นี่ละครับ ก็เห็นเราคิด เห็นความคิด เห็นการปรุงแต่งความคิด อยู่ทุกวี่วัน มันก็ไม่วางนะครับเพราะสติในตอนนั้นของผมมีไว้เพื่อสนองความอยากรู้อยากเห็นในตัวของผมเองเท่านั้นเอง แต่พอเข้าใจมันก็วางของมันเองครับ แต่ที่ผมสงสัยคือปรกติทั่วไปจิตเขาต้องปล่อยวางเท่าไรหรือยังไงครับเพราะผมผ่านขั้นตอนนี้จนนับครั้งไม่ได้แล้วละครับเหมือนกับต้องคอยแก้ปัญหาให้จิตนั้นเพราะอันเก่าวางไปอันใหม่ที่มาก็มีลักษณะนิสัยที่ติดแตกต่างกันแต่เขาก็ใช้รากฐานความคิดของกายหยาบนี้นะครับ
    ขอบคุณครับท่านนพ
     
  20. คนโง่โง่

    คนโง่โง่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2012
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +302
    ขอโทษครับท่านนพคือผมไม่ได้ศึกษาธรรมะมากนักส่วนใหญ่เป็นอาการที่เกิดขึ้นกับตัวเองมากกว่าผมก็รู้และดูมันไปอย่างนั้นบางครั้งก็เผลอตามความคิดไปไกลมาก และบางครั้งไม่ทราบด้วยว่าอาการหรือสิ่งเหล่านี้เรียกว่าอะไรครับจึงอยากจะอธิบายจิตคลายตัวของผมคือที่จิตจะมีอาการสบายเบาบางมีความอ่อนน้อม นอบน้อมเป็นปกติ ส่วนทางกายหยาบจะผ่อนคลายมาก ถ้านอนก็เหมือนของเหลวที่ละลายกลืนไปเลยครับ เป็นแบบนี้ละครับ
    และต้องขออภัยท่านนพด้วยนะครับครั้งที่แล้วน่าจะเป็นท่านนพที่มาตรวจสอบผม คือกายหยาบมีอาการผิดปรกติเล็กน้อยเลยตกใจแผ่เมตตาใหญ่เลย ขอบคุณในความเมตตานะครับที่คอยตอบปัญหาให้เข้าใจมากมาย
     

แชร์หน้านี้

Loading...