เรื่องเด่น “บุญทางใน…เรียกกายทิพย์เขามารับบุญ” หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

หลักวิชาที่ใช้ในการให้พลังงานบุญโดยตรงกับกายทิพย์ภายใน นั้นเป็นหลักที่ใช้เหมือนกันของครูบาอาจารย์หลายสาย ( เป็นเรื่องปกติ ธรรมดา ธรรมชาติ ที่ท่านเหล่านั้นเข้าถึงและมาสอน ) แต่ก็ใช้ได้สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้ทำกรรมหนักเช่น ใช้ไม่ได้กับผู้หลงปรามาสพระรัตนตรัยบ่อยๆหลายครั้งจนธาตุธรรมทุกกายหยาบ กายละเอียดดำจนเกินกำลังจะช่วยได้ , ใช้ไม่ได้กับผู้ทำอนันตริยกรรม ,ฯลฯ ที่หลวงปู่ดู่ท่านบอกว่า ต้องทำบ่อยๆ นานๆไป เค้าจะเปลี่ยนเอง นั้นคือ ต้องอาศัยเวลา และกำลังจิตที่ส่งบุญให้เค้าได้อย่างต่อเนื่อง จนธาตุ-ธรรม ภายในของเค้าสะอาดขึ้น จนเริ่มจะมีสติ-สัมปชัญญะคิดออกได้ว่า อะไรควรหรือไม่ควร

 

***************************************


ตามศาสตร์หลวงปู่ดู่

ที่หลวงตาม้าท่านสอนและแนะนำไว้

ท่านให้นึกถึงหลวงปู่ดู่ แล้วอาราธนาหลวงปู่ดู่ท่าน ด้วยภาษาง่ายๆ
ด้วยใจศรัทธา ไม่ว่าจะเห็นท่านหรือไม่ก็ตาม ประมาณว่า...

" ขอหลวงปู่ช่วยน้อมกายภายในของบุคคล(.......ชื่อ .....) มารับกุศลผลบุญที่ข้าพเจ้าได้ทำบัดนี้ "

หรือ ถ้าประสงค์ยิ่งกว่านั้น ก็อาจใช้คำว่า

" ขอหลวงปู่แสดงภาพให้ (...ชื่อ ...) เห็นว่า อดีต ปัจจุบัน อนาคต ของหลวงปู่เป็นใคร ( โดยเฉพาะในชาติที่หลวงปู่เป็น แล้วเกี่ยวข้องกับคนคนนั้นหรือเป็นที่ยอมรับของคนคนนั้น ) ให้เค้าน้อมใจรับบุญหลวงปู่ในชาตินั้น ด้วยเทอญ "



ถ้าภพภูมิหรือกายทิพย์ หรือ ชีวิตเป้าหมายที่เราตั้งใจจะแผ่บุญให้โมทนา
เค้ายอมรับ และน้อมบุญที่หลวงปู่ช่วยส่งให้ หรือแม้กระทั่งน้อมยอมรับโมทนากับบุญของหลวงปู่ดู่ท่านเพิ่มเข้าไปอีก ภพภูมินั้น จะได้อานิสงส์เยอะมาก
บางตนเปลียนภพภูมิทันที บางตนสว่างขึ้นด้วยกำลังบุญ เป็นต้น


******************************

หลวงปู่ดู่และหลวงตาม้าท่านสอนง่ายๆ ลองหาคลิบคำสอนหรือบันทึกคำสอน
ท่านมาศึกษา และทำบ่อยๆต่อเนื่อง ก็จะสนุก มีความสุข กับการอนุเคราะห์ สงเคราะห์ ชีวิตอื่นด้วยศาสตร์ที่ท่านสอนไว้ครับ

 

แผ่เมตตากับอุทิศส่วนกุศลต่างกันยังไง

เมตตาเมตตาคือความรักจิตปรารถนาให้บุคคลเป็นสุข แต่อุทิศส่วนกุศลแต่เมื่อเราทำบุญมาแล้วไม่ว่าจะทางวัตถุทางสวดมนต์ภาวนามันก็เกิดเป็นกำลังบุญขึ้นมาเราก็ตั้งใจแผ่กุศลไป เพราะฉะนั้นถึงมีบทแผ่เมตตาและบทอิมินา ทีนี้บางคนก็คิดว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมันก็คงจะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันเพราะการแผ่เมตตาคือการอธิษฐานส่งความปรารถนาดีบางท่านที่มีพลังก็ส่งไปให้บุคคลเหล่านั้นได้การอุทิศส่วนกุศลบุญก็คือการนำบุญที่สร้างขึ้น ยกให้เขาในส่วนที่เขาพึ่งจะได้แต่หลวงปู่ดู่ให้ข้อคิดไว้ว่า ในเมื่อเราไม่มีบุญพอก็คิดว่าบุญของข้าพเจ้าขอรวมกับบุญของพระพุทธเจ้าครูบาอาจารย์รวมกับหลวงปู่ทวดหลวงพ่อดู่รวมเข้าให้เป็นหนึ่งและเป็นกระบวนการถ้าทางวิทยาศาสตร์เขาเรียกกระบวนการเสริมฤทธิ์หรือ synergis เพราะฉะนั้น 1 + 1 ไม่ใช่2 1 + 1 จะเป็น 1000 เป็น 10,000 เป็น 100,000 เพราะกำลังของพระพุทธเจ้ามีมากมายมหาศาลเมื่อเราได้ตรงนี้เราก็แผ่ให้เขาแผ่บุญให้เขาอุทิศส่วนกุศลให้เขา ถ้าคิดว่าไม่ได้ก็ให้เรียกกายทิพย์เข้ามาเพื่อรับบุญที่เรามอบให้บางครอบครัวพ่อแม่ก็ไม่เห็นด้วยผัวเมียก็ไม่เห็นตามพี่น้องก็ขัดแย้งกันเพื่อนร่วมงานก็สับสน หลวงปู่ดู่ท่านบอกว่าก็เรียกกายทิพย์เขามานึกให้เห็นหน้าเขาแล้ว ก็เอาบุญนี้ส่งให้เขา เขาเรียกว่าให้บุญทางใน คนที่ส่งให้เขาก็อาจไม่รู้แต่เมื่อบุญสัมฤทธิ์ผลเราก็ย่อมได้รับสิ่งนี้ไม่ว่าคนจะเป็นจะตายเราก็ทำแบบนี้นี่ถือว่าเป็นการให้บุญที่ถูกต้องตรงตัวตามวัตถุประสงค์ที่ดีที่สุด
ไว้เป็นกรณีศึกษาที่ให้ทำ



ต่อไปจะยกตัวอย่างคือบิดาของอาจารย์ศุภรัตน์เอง

 

การน้อมกายทิพย์ของคนที่ยังมีชีวิตอยู่ มารับบุญ เพื่อแก้ไข ปรับเปลี่ยนตัวเค้า เป็นเรื่องยากกว่า การแผ่กำลังบุญส่งให้กับภพภูมิต่างๆโดยตรง

เพราะ คนที่ยังมีชีวิตอยู่นั้น จิตใจจะแปรปรวนไปตามสิ่งกระทบที่อายตนะทั้งหกคือหู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ จะหาช่องทางที่ส่งพลังงานดีๆเข้าไปในใจ(กายทิพย์)ได้ยาก นอกจากจะบอกกายเนื้อเค้าโดยตรงให้โมทนาสาธุ ถ้าใจเค้าน้อมยินดีกับบุญที่เราบอก กายทิพย์ข้างในจะแปรเปลี่ยนทันที ตามสายปฏิจจสมุปบาทธรรม ถ้าจะใช้วิธีน้อมกายทิพย์ของคนที่ยังไม่ตายมารับบุญ ต้องทำบ่อยๆติดต่อกันสักระยะ
ช้า-เร็ว ยาก-ง่าย ถ้าไม่นับตัวของผู้ที่คิดจะทำแล้ว ก็ขึ้นกับสภาพจิตใจของฝ่ายรับพลังงานบุญ

ส่วนภพภูมิต่างๆที่ไม่มีกายเนื้อ เค้าเห็นแสงสว่างของบุญที่จะส่งให้แล้วยอมน้อมใจก็จะเปลี่ยนสภาพได้ทันที เช่นสว่างขึ้น ถ้ากำลังบุญมากพอก็เปลียนภพได้