เตรียมตัวให้พร้อม!มันกำลังมา แจ้งข่าวสารการชำระโลก

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย jityim, 23 เมษายน 2018.

  1. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ทุกสภาวะนั้นไม่มีมโนเลยค่ะ เป็นปรากฎการณ์ของสภาวะที่เข้าไปรู้เห็นจริง ๆ ส่วนการพิจารณาความเป็นไปของโลกถึงความเป็นอนัตตาของทุกสิ่งในโลกไร้แก่นสารไร้การยึดถือ จิตที่พ้นไปจากโลก หรือ จิตที่อยู่เหนือโลก เป็นบรมสุขอิสระไร้เครื่องยึดเหนี่ยวพันธนาการทั้งสิ้น เป็นบรมสุขเป็นอิสระ เพียงแค่พิจารณาความเป็นไปของโลกให้รู้แจ้งเห็นแก่ใจของตนเองจริง ๆ ก็ประสบกับสภาวะนั้นได้ พระพุทธเจ้าก็ทรงตรัสไว้ จิตเหนือโลก พ้นไปจากโลก พระพุทธองค์ก็ทรงตรัสไว้ดังนั้นเช่นกันค่ะ ไม่ใช่การเคว้งคว้าง การโหวงเหวงอะไรทั้งสิ้น เป็นอิสระ เป็นสุขอย่างยิ่ง จะไม่รู้ว่าจะกล่าวอย่างไรค่ะ ทุกสภาวะทุกปรากฎการณ์ของโลกุตระธรรมปรากฎมาให้เห็นแล้ว
    จริง ๆ ใครจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่จะพิจารณาเถิดค่ะ
     
  2. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,490
    ค่าพลัง:
    +2,364
    ผมไม่ได้บอกว่ามโนนะครับแค่บอกว่าเชื่อซึ่งท่านก็กำลังเชื่ออยู่ เพราะมันยังมีคลื่นสั่นสะเทือนอยู่มันก็แสดงแล้วว่าไม่ใช่เพราะไอ้คลื่นเนี่ยแหละคือตัวกำหนดภพและภูมิ ให้ลองทำครับที่ผมบอกว่าสภาวะอื่นๆตั้งได้ไหม ส่วนถ้าคิดว่าใช่แล้วบอกวิธีทำมาครับเดี๋ยวผมจะไปลองทำ


    Edit:อีกอย่างไม่ใช่ว่าเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่พิจารณานะครับ ไม่ได้ให้เชื่อแต่ให้ทดลองครับ เพราะจะได้รู้ว่าผลมันออกมายังไงถ้าเข้าใจไหมครับเนี่ยถ้าได้ก็บอกวิธีทำมาด้วยครับ

    เพราะท่านยังเข้าใจผิดอยู่ ถ้าหาก พูดตามสไตล์นิวเอจ เขาคงบอกว่า "ท่านกำลังอยู่ในมิติแห่งความเชื่อ" ซึ่งมีมืติอื่นๆอีกมากมายให้เลือกอยู่กรุณาเลือกอยู่ใน "มิติแห่งความจริง" ด้วยครับเพราะท่านคิดว่าท่านถูกแต่ผมก็ไม่ได้บอกว่นผิดแต่ให้ไปทดลอง ก็เหมือนการตรวจคำตอบถ้าหากใช่ผลก็จะออกมาเองนะครับ

    Re edit: ไปลองทำแบบท่านแล้วนะครับตัวดูมันจะขยายและเปล่งรังสี แต่ตัวดูก็ยังมีอยู่ แสดงว่าไม่พ้นนะครับท่านจิตยิ้ม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 พฤษภาคม 2018
  3. Unexpected

    Unexpected เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    683
    ค่าพลัง:
    +1,513
    งงว่า แกรกล้าเอาสภาวะของ ลป ดูลย์มาอ้างอิงสภาวะแกรได้งัย แกรเข้าใจสภาวะจิตของ ลป ดูลย์แท้จิงหรอ .สภาวะที่แกรได้ก้ฌานใดฌานนึงนั่นแหล่ะ จิตมันจะดิ่งลงเปนเอกัคตัตตา ปวีเคยแอบพระ อ.ไปฝึกพุทโธอยุ่วีคนึง ก้คือๆ นี้..แล้วสภาวะที่แกรได้ แกทำได้กี่ครั้ง ครั้งเดียวใช่มะ ครั้งต่อไปทำได้อีกป่ะ จิตแกรเดินวิปัสสนาญานยัง ถึงบอกถึงสภาวะพุทธะ ได้โครตภูญานยัง ญานข้ามสภาวะปุถุชนอ่ะ

    เหนแกรเวียนถามคนห้องโน้นห้องนี้มาเปนปีๆ แต่แกรก้ไม่เชื่อใครสักคน ขนาดเขาชักแม่น้ำทั้งโลกมาบอก ก้เถียง แกรต้องการอะไรจากสังคม ต้องการให้เขาบอกแกรว่านี่ละสภาวะโลกุตระงั้นหรอ ..

    นี่เปนผลการฝึกสมาธิแบบไม่มีครู อ. ไม่มีความมั่นคงในพระธรรมคำสอนพระสมณโคดม จิตพร้อมจะไหลไปลัทธิต่างๆ ตลอดเวลา จับโน่นโยงนี่ไปเรื่อย แล้วเอามาหลอกตัวเอง แทนที่จะมองเปนสภาวะธรรมนึงที่ผ่านเข้ามา ก้ไม่ ระวังวิปลาสนะแกร
     
  4. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ท่านค่ะ สภาวะความว่างที่ซ่อนอยู่ในธรรมชาติปรากฎขึ้น ในขณะที่สภาวะธรรมชาติของโลกเป็นสภาวะที่ไร้แก่นสาร แต่ความว่างที่ซ่อนอยู่ในธรรมชาตินั้นเป็นธรรมชาติที่มั่นคง สุข สงบ ประณีต ไม่ใช่ลักษณะว่างโหวงเหวงไม่มีอะไรเลยค่ะ แต่เป็นความมีที่เหมือนไม่มี นี้เป็นสภาวะที่เห็นจริง ๆ ก็เกิดจากพิจารณาทุกสิ่งในโลกในลักษณะไม่มีสิ่งใดจีรังยั่งยืนเที่ยงแท้ที่จะยึดถือได้เลย สภาวะนั้นก็ปรากกฎให้เห็น

    ท่านลองพิจารณาดูสภาวะนี้นะค่ะ

    ในสนามพลังงานสากลอันเป็นสถานที่ก่อนที่สิ่งหนึ่งจะอุบัติขึ้นมา มันจะมีแก่นแท้ของสรรพสิ่งที่เป็นอนัตตาซึ่งมีความเล็กละเอียดอย่างยิ่งยวดดำรงอยู่ทั่วไปหมด ไม่ต่างจากมวลหยาบ ๆ ที่เล็กละเอียดของเม็ดทรายที่แขวนลอยอยู่กับโมเลกุลของน้ำในแก้วหรือฝุ่นผงที่ลอยอยู่ในอากาศนั่นเอง เพียงแต่ว่าขอบเขตสนามพลังงานสากลมันกว้างไกลไพศาลเสียจนจุดเริ่มต้นของสิ่งหนึ่งนั้นเองก็มิอาจจะไปให้ถีงที่สุดของมันได้ ทั้ง ๆ ที่มันมีขอบเขตอันเป็นที่สุดของมันอยู่

    สนามพลังงานสากลที่ว่านี้ จะมีคลื่นความถี่อันเกิดจากอนุภาคของคลื่นที่เล็กละเอียดยิ่งกว่าคลื่นความถี่ทางพลังงานใด ๆ ในเอกภพอยู่มากมายนับไม่ถ้วน โดยต่างลดเลี้ยวเกี่ยวพันกันอยู่และเคลื่อนไหลตาม ๆ กันไปในทิศทางเดียวกันโดยพากันหมุนวนเข้าหาจุดศูนย์กลางของสนามพลังงานสากลอันไพศาลนี้เรื่อยไป นานเท่าใดมิอาจรู้ได้ ผลลัพธ์จากการหมุนวนของคลื่นพลังงานเข้าหาจุดศูนย์กลาง มันต่างก็ได้นำพาเอา แก่นแท้ของสรรพสิ่งที่เป็นอนัตตา ที่ติดไปกับคลื่นความถี่ต่าง ๆ ซึ่งทะยอยนำเข้าไปรวมตัวกันอยู่ตรงจุดศูนย์กลางในการหมุนวนของสนามพลังงานสากลดังกล่าวนี้ในลักษณะสั่งสมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ คล้ายการตกผลึกหรือตกตะกอนนั้นเอง จนเมื่อถึงจุดหนึ่งที่เกิดความลงตัวกันอย่างเหมาะสมของแก่นแท้ของสรรพสิ่งที่เป็นอนัตตาทั้งหมดทั้งสิ้นแลว การสร้างความมีอัตตาตัวตนเกิดเป็นรูปธรรมที่สมดุลก็อุบัติขึ้นมา นี้เป็นเบื้องหลังการอุบัติด้วยตนเองโดยสังเขป

    รูปธรรมทางพลังงานซึ่งเป็นแก่นแท้แห่งอนัตตาที่เรียกว่า "มหาสุญญตา" อุบัติขึ้นจากการรวมตัวกันของแก่นแท้ของสรรพสิ่งที่เป็นอนัตตาทั้งหลาย ที่เดิมนั้นเป็นสรรพสิ่งซึ่งสั่งสมอยู่ในสนามพลังงานแห่งอนัตตาอันเกิดจากคลื่นความถี่อิสระ จำนวนมากมายที่นับไม่ถ้วน หรือ อาจจะเรียกว่าสรรพสิ่งที่เป็นอนัตตานั่นเอง

    มนุษย์ได้รู้กันมาแล้วว่าสนามพลังงานสากลนี้ ทุกสรรพสิ่งที่ดำรงอยู่ในสนามพลังงานสากลนั้น คืออนุภาคของพลังงานซึ่งมันสั่นสะเทือนตนเองกันอยู่ตลอดเวลา และขณะเดียวกันมันจะพากันวนเข้าหาจุดศูนย์กลางของทั้งระบบอีกด้วย โดยมันจะสั่นสะเทือนไปเรื่อย ๆ เคลื่อนไหลของมันไปเรื่อย ๆ และมันก็จะเหวี่ยงหมุนตามกันไปทั้งระบบรอบ ๆ จุดศูนย์กลางของการหมุนซึ่งมีจุดเดียวนั้นไปอย่างต่อเนื่อง โดยจะค่อย ๆ หมุนเร็วขึ้น ๆ จนทำให้สรรพสิ่งที่เป็นแก่นแท้อนัตตา หรืออาจกล่าวว่าเป็นแก่นแท้ของอนุภาคคลื่นความถี่จากทุก ๆ คลื่นความถี่ที่มีอยู่จริง และดำรงอยู่จริงในสนามพลังงานสากลนั้นต่างถูกชักนำให้หมุนวนเข้าไปรวมตัวกันอย่างหนาแน่นบริเวณจุดศูนย์กลางในการเหวี่ยงหมุนของทั้งระบบนั้นทั้งหมด

    ณ เวลาหนึ่งซึ่งแก่นแท้ของแต่ละสรรพสิ่งที่เป็นอนัตตาที่มีอยู่จริงทั้งหมดในสนามพลังงานนั้น ถูกนำพาให้หมุนวนเข้าไปรวมตัวกันรอบ ๆ จุดศูนย์กลางของทั้งระบบได้ทั้งหมด จนเกิดความหนาแน่นอย่างยิ่งยวดของอนุภาคขึ้น โดยความหนาแน่นอันยิ่งยวดของอนุภาคของแก่นแท้ของคลื่นพลังงานทั้งหมดที่ว่านี้เกิดจากการจัดเรียงตัวกันอย่างสมดุลหรือลงตัวกันขณะที่มันต่างสั่นสะเทือนเป็นคลื่นความถี่ของตนเองอย่างต่อเนื่องและขณะเดียวกันมันก็ต่างหมุนวนไปรอบ ๆ จุดศูนย์กลางการหมุนของระบบเดียวกันอันเป็นสนามพลังงานสากลนั้นอย่างต่อเนื่องอีกด้วยเช่นเดียวกัน

    ความหนาแน่นอย่างยิ่งยวดของบรรดาแก่นแท้แห่งสรรพสิ่งที่เป็นอนัตตาหรือแก่นแท้ของอนุภาคของคลื่นพลังงานทั้งหมดที่มีอยู่นั้น เมื่อมีการบังเกิดขึ้นและมีการจัดระบบในการอยู่ร่วมกันเสียใหม่อย่างมีความสมดุลกันทั้งระบบแล้ว การอุบัติขึ้น ของสรรพสิ่งใหม่หรือรูปธรรมใหม่ ตรงจุดศูนย์กลางการหมุนวนของสนามพลังงานแห่งความว่างเปล่าที่มิใช่ความว่างเปล่า ในเดี๋ยวนั้นหรือในฉับพลันย่อมเกิดขึ้นมิใช่หรือ?

    สรรพสิ่งใหม่ที่อุบัติขึ้นด้วยตนเองนี้ จึงเป็นจุดศูนย์รวมของอนุภาคแก่นแท้ของสรรพสิ่งที่ยังเป็นอนัตตาที่ดำรงอยู่ในสนามพลังงานสากลทั้งหมดทั้งสิ้น สรรพสิ่งที่ยังเป็นอนัตตานี้ก็คือแก่นแท้ของอนุภาคของคลื่นพลังงานที่ยังมิได้มีการสั่นสะเทือนเป็นคลื่นความถี่เกิดขึ้น แต่พร้อมที่จะสั่นสะเทือนได้ทุกขณะนั่นเอง

    สิ่งหนึ่งนั่น จะเป็นผู้เริ่มต้นหรือเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดมีขึ้นของทุกสรรพสิ่งซึ่งเป็นรูปธรรมทางกายภาพในมิติพลังงาน หรือจะเรียกว่าสรรพสิ่งที่เป็นอนัตตาทั้งหลายทั้งมวลก็ได้

    สิ่งหนึ่งนั้นที่เป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดมีขึ้นทุกสรรพสิ่ง ซึ่งเป็นรูปธรรมทางกายภาพในมิติพลังงานก็เพราะเหตุว่า รูปธรรมพลังงานของพระบิดาอุบัติขึ้นจาก แก่นแท้ของสรรพสิ่งที่เป็นอนัตตา

    จุดศูนย์กลางการสั่นสะเทือนของทุกสรรพสิ่ง ในทุกย่านความถี่หรือในทุก ๆ มิติพลังงาน ก็คือจุดเริ่มต้นแห่งการเกิดขึ้นของทุก ๆ สรรพสิ่งตั้งแต่มิติของการเป็นอนัตตาไปจนถึงมิติของสรรพสิ่งที่เป็นอัตตา

    ดังนั้น พระบิดาแห่งเจ้าจึงย่อมหมายถึง การเป็นผู้เริ่มต้นหรือจุดเริ่มต้นก็ได้


    เห็นอะไรไหมค่ะ แล้วเดี๋ยวมาค่อยหาคำตอบกันอีกทีค่ะ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤษภาคม 2018
  5. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    มีคนอ่านแล้วขำ งั้นลองพิจารณาเรื่องราวรายละเอียดเหล่านี้ดูก็ได้ค่ะ

    ๑.จากคำสอนหลวงปู่ดุลย์ "จิตคือพุทธะ" หลวงปู่ได้กล่าวไว้ว่า "ความว่างของจักรวาลเข้าคู่กันเป็นเหตุให้เกิดอวิชชา"
    MindIsBuddha.jpg
    บางส่วนของเทศนาของหลวงปู่จากหนังสือ จิตคือพุทธะ

    ".....สิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตในจักรวาลมีนับไม่ถ้วน รวมแล้วมีรูปกับนามสองอย่างเท่านั้น นามเดิมก็คือจักรวาลเข้าคู่กัน เป็นเหตุเกิดตัวอวิชา เกิดเหตุก่อ ที่ใดมีรูป ที่นั่นต้องมีนาม ที่ใดมีนาม ที่นั่นต้องมีรูป รูปนามรวมกันเป็นเหตุเกิดปฏิกริยาให้เปลี่ยนแปลงตลอดกาลและเกิดกาลเวลาขึ้น คือรูปย่อมมีความดึดดูดซึ่งกันและกัน จึงเป็นเหตุให้รูปเคลื่อนไหวและหมุนรอบตัวเองตามปัจจัย รูปเคลื่อนไหวได้เพราะมีนาม ความว่างขั้นระหว่างรูป รูปจึงเคลื่อนไหวได้ เมื่อสภาวะธรรมเป็นอย่างนี้ สรรพสิ่งของวัตถุสสาร ทั้งมีชีวิตและไม่มีชีวิต จึงต้องเปลี่ยนแปลงเป็นไตรลักษณ์ เกิดดับสืบเนื่องทุกขณะจิต ไม่มีวันหยุดนิ่งคงทนเป็นปัจจุบันทุกยามได้ จิตวิญญาณก็เกิดมาจากรูปนามของจักรวาล เพราะเป็นมายาหลอกลวงและเปลี่ยนแปลงให้คนหลง จากรูปนามไม่มีชีวิต เปลี่ยนมาเป็นรูปนามมีชีวิต จากรูปนามมีชีวิต มาเป็นรูปนามมีชีวิตที่มีจิตวิญญาณ แล้วจิตวิญญาณก็เปลี่ยนแปลงแยกออกจากกันไป คงแต่นามว่างที่ปราศจากรูป นี่เป็นจุดสุดยอดของการหลอกหลวงของรูปนาม......"

    ๒.เกี่ยวกับเรื่องพระโมัคคานะ

    ท่านก็ได้เกิดความคิดใหม่ว่า จักรวาลนี้มีความยิ่งใหญ่กว้างขวางเพียงไร พร้อมกับเกิดอยากจะไปท่องจักรวาลให้ประจักษ์ชัด จึงทูลขอพระพุทธานุญาต แต่ก็ถูกพระพุทธองค์ตรัสห้ามไว้ถึง ๒ ครั้ง ในครั้งที่ ๓ พระพุทธองค์ทรงทราบความเด็ดเดี่ยวของพระเถระ จึงทรงมีพุทธานุญาตให้ตามที่พระมหาโมคคัลลานต้องการ พร้อมกับตรัสเตือนว่า ขณะที่กำลังเหาะไปในอวกาศนั้นให้เหลียวหลังกลับมาดูโกลก หากเห็นโลกมีขนาดเท่ากับใบบัวต้องรีบกลับลงมา หากขัดขืนไปต่อไปอีกก็ให้เหลียวมาดูโลก หากเห็นโลกมีขนาดเท่าใบผักแว่นแล้วก็ให้รีบกลับลงมา ห้ามมิให้เลยนั้นไป

    เมื่อได้รับพระบรมพุทธานุญาตเช่นนั้น พระเถระก็เหาะไปในทันใด แต่หาได้กลับตามที่พระพุทธองค์ตรงเตือนสติไว้ไม่ เมื่อเหาะล้ำแดนเข้าไปในอชฎากาศ หรือสุญญากาศ ตัวของท่านเองก็เล็กลงจนกลายเป็นแมลงหวี่ ท่องไปในโลกกว้างโลกแล้วโลกเล่า จนหาทางกลับมนุษยโลกไม่ได้ พลัดหลงเข้าไปอีกโลกหนึ่งที่มีพระพุทธเจ้าซึ่งมีพระนามเดียวกับพระพุทธเจ้าในโลกของตน คือพระศากยะหรือพระโคดม ขณะที่ท่านพลัดหลงเข้าไปนั้นก็เข้าไปที่วัดแห่งหนึ่ง ซึ่งในขณะนั้นพระพุทธองค์กำลังแสดงพระธรรมเทศนาอยู่ท่ามกลางบริษัท ๔ พอดี

    พระพุทธองค์ทรงทราบว่าหิ่งห้อยตัวนั้นเป็นพระโมคคัลลาน จึงตรัสทักทายทำให้ท่านได้กลับคืนเป็นภิกษุดังเดิม เมื่อทรงทราบความทั้งหมดแล้ว พระพุทธองค์ทรงก็แนะนำให้ท่านกลับ โดยอาศัยลำแสงพระฉัพพรรณรังสีของพระพุทธองค์ องค์ดังกล่าว

    ๓. อัคคิวัจฉโคตตสูตร


    สูตรที่แสดงว่าพระอรหันต์ ตายแล้วสูญ หรือ ไม่สูญ

    ดูก่อนวัจฉะ !ข้อนี้ท่านจะพึงเข้าใจอย่างไร ? ถ้าหากไฟจึงลุกขึ้นต่อหน้าท่านท่านก็ย่อมรู้อยู่มิใช่หรือว่าไฟนี้ลูกอยู่ต่อหน้าเรา

    ข้าแต่พระสมณผู้เจริญถ้าไฟลุกโพลงขึ้นต่อหน้าข้าพระองค์ข้าพระองค์ก็รู้ว่าไฟนี้ลูกอยู่ต่อหน้าข้าพระองค์

    ดูก่อนวัจฉะ ! ก็ถ้าหากจะมีใครถามท่านอย่างนี้ว่าไฟที่ลุกโพลงอยู่ต่อหน้าท่านนี้มันลุกขึ้นเพราะอาศัยอะไรท่านจะพึงพยากรณ์ว่าอย่างไร

    ข้าแต่พระสมณ โคดมผู้เจริญ..ถ้ามีคนถามข้าพระองค์อย่างนี้ข้าพระองค์ก็จะพึงพยากรณ์ว่าไฟนี้ลุกโพลงขึ้นเพราะอาศัยคือหญ้ากับไม้

    ดูก่อนวัจฉะ! ถ้าไฟนี้ดับต่อหน้าท่าน..ท่านก็จะพึงรู้ว่าไฟนี้ดับต่อหน้าเราไม่ใช่หรือ?

    ข้าแต่พระสมณโคดมผู้เจริญ..ถ้าหากว่าไฟนั้นดับต่อหน้าข้าพระองค์ข้าพระองค์ก็พึ่งรู้ว่าไฟนี้ดับต่อหน้าข้าพระองค์

    ดูก่อนวัจฉะ ! ก็ถ้าหากมีใครถามท่านอย่างนี้ว่าไฟที่ดับต่อหน้าท่านนี้ไปสู่ทิศไหน ทิศบูรพา ทิศประจิม อุดร ทักษิณ..เมื่อท่านถูกถามเช่นนี้วัจฉะ ท่านจะพึงพยากรณ์ว่าอย่างไร?

    ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ..ข้าพระองค์ก็จะพึงกล่าวว่าข้อนั้นไม่ควรกล่าวเพราะไฟลุกโพลงขึ้นก็เพราะอาศัยเชือหญ้ากับไม้ เพราะสิ้นเชื้อนั้นและไม่ใส่เซื้ออีก ขาดเชื้อเสียแล้วไฟนั้นก็ย่อมดับไป

    ดูก่อนวัจฉะ! ข้อนี้ก็เหมือนกันผู้ที่พูดถึงตถาคตจะพึงพูดโดยอาศัยรูปใดเป็นที่บัญญัติ รูปนั้นตถาคตละเสียแล้วตัดรากเหง้าขาดแล้วกระทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน ถึงซึ่งความไม่มี มีอันไม่เกิดอีกต่อไปเป็นธรรมดา

    ดูก่อนวัจฉะ! ตถาคตหลุดพ้นแล้วจากสิ่งที่นับว่าเป็นรูป ตถาคตเป็นสภาพลึกซึ้งประมาณมิได้หยั่งถึงได้ยาก..เปรียบเหมือนมหาสมุทรที่พูดไม่ได้ว่ากำลังเกิดขึ้นหรือยังไม่เกิด เกิดขึ้นแล้วและไม่เกิดขึ้น ด้วยจะว่าเกิดขึ้นก็ไม่ใช่ไม่เกิดขึ้นก็ไม่ใช่

    แต่อย่างไรก็ตามสำหรับผู้ที่เป็นพระอรหันต์ย่อมจะเข้าใจภาวะแห่งตถาคตได้ดี

    สมกับที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า...

    โย ธมฺม๋ ปสฺสติ โส ม๋ ปสฺสติ

    ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นได้ชื่อว่าเห็นเราตถาคต



    ๔. คำสอนไว้ในพระไตรปิฎก

    ถ้าในปฏิจจสุมปบาท...ในพระไตรปิฏกกล่าวไว้

    เพราะนามรูปเป็นปัจจัย___วิญญาณจึงมี
    เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย___นามรูปจึงมี
    เพราะนามรูปเป็นปัจจัย___สฬายตนะจึงมี
    เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย___ผัสสะจึงมี
    เพราะผัสสะเป็นปัจจัย___เวทนาจึงมี
    เพราะเวทนาเป็นปัจจัย___ตัณหาจึงมี
    เพราะตัณหาเป็นปัจจัย___อุปาทานจึงมี
    เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย___ภพจึงมี
    เพราะภพเป็นปัจจัย___ชาติจึงมี
    เพราะชาติเป็นปัจจัย___ชรา มรณะ โสกะ(ความโศก) ปริเทวะ
    (ความคร่ำครวญ) ทุกข์(ความทุกข์กาย)
    โทมนัส(ความทุกข์ใจ) และอุปายาส
    (ความคับแค้นใจ) จึงมี
    ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้มีได้ ด้วยประการฉะนี้’

    ทรงพระดำริว่า ‘เมื่ออะไรมี นามรูปจึงมี เพราะอะไรเป็นปัจจัย
    นามรูปจึงมี’ เพราะทรงมนสิการโดยแยบคาย จึงได้ทรงรู้แจ้งด้วยพระปัญญาว่า
    ‘เมื่อวิญญาณ(ความรู้แจ้งอารมณ์)มี นามรูปจึงมี เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูป
    จึงมี’

    จากนั้น ทรงพระดำริว่า ‘เมื่ออะไรมี วิญญาณจึงมี เพราะอะไรเป็นปัจจัย
    วิญญาณจึงมี’ เพราะทรงมนสิการโดยแยบคาย จึงได้ทรงรู้แจ้งด้วยพระปัญญาว่า
    ‘เมื่อนามรูปมี วิญญาณจึงมี เพราะนามรูปเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี‘๑
    [๕๘] จากนั้น ทรงพระดำริว่า ‘วิญญาณนี้ย่อมหมุนกลับมาจากนามรูป
    เท่านั้น ไม่เลยไปกว่านั้น เพราะความหมุนกลับเพียงแค่นี้
    สัตว์โลกจึงเกิดบ้าง
    แก่บ้าง ตายบ้าง จุติบ้าง อุบัติบ้าง



    ส่วน..อวิชชามี สังขารจึงมี ที่เหตุแก่กันและกันไม่ได้นำมากล่าว
    เพราะอรรถกถากล่าวไว้ว่า..
    แต่การรู้แจ้งนี้ ไม่ต้องอาศัยความสืบต่อแห่งอวิชชาและสังขารซึ่งเป็นอดีตภพ เพราะมหาบุรุษ (พระโพธิสัตว์) อยู่กับเหตุการณ์ปัจจุบัน
     
  6. ชั่งเถอะ

    ชั่งเถอะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2017
    โพสต์:
    253
    ค่าพลัง:
    +339
    ของหลวงปู่ ดุลย์ นั้น คือ สภาวะที่เป็นจริงครับ ตรงทุกคำพูดท่าน เมื่อเดินจิตตาม

    แต่ของคุณจิตยิ้ม แทบจะมโนล้วนๆ ครับ มีตรงบ้าง บางส่วนเมื่อเดินจิตตาม แต่น้อยเหลือเกิน

    จิตคุณจิตยิ้ม ตอนนี้ วุ่นวายกว่าเดิม จากที่ผมเคยจำได้ เมื่อก่อน เคย สงบและ เหมือนจะได้ในชาตินี้

    โดนคุณ ป. ลาก ลงมาคลุกฝุ่น จนจิต สับสนไปหมด เข้าไปดูคุณ จิตยิ้ม ผมต้อง นั้ง กุมหัวสักพัก เพราะมึนเหลือเกิน

    จิตคือ พุทธะ ไม่ใช่สภาวะของคุณจิตยิ้ม ในตอนนี้ครับ หากไม่เชื่อ ต้องการยืนยันจริงๆ ลองไปหา ครูบาร์อาจารย์ สักองค์ ที่ท่าน ได้จริงๆ ตรวจสอบให้ดีกว่านะครับ ดีกว่ามโนคิดเอาเอง เพื่อความมั่นใจด้วย

    และผมขอยืนยันครั้งสุดท้าย ว่า จิตพุทธะ ของคุณจิตยิ้มตอนนี้ เป็นมโนครับ
     
  7. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ใช่ค่ะ ถูกต้องแล้วค่ะคุณช่างเถอะ สภาวะ ณ ปัจจุบันขณะนี้ ตนเองไม่ใช่มีสภาวะจิตพุทธะค่ะ แต่ jityim เข้าถึงสภาวะของจิตพุทธะได้ครั้งหนึ่งแค่นั้นเองค่ะ

    และทุกปรากฎการณ์ไม่ได้มโนเลยค่ะ ทุกสภาวะคือความจริงที่ตนเองประสบมาแล้วทั้งนั้นค่ะ แต่เป็นเพียงปรากฎการณ์ หรือธรรมที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าทุกสภาวะของโลกุตระธรรมนั้นแค่เพียงละครั้งต่อสภาวะเท่านั้นเองค่ะ จึงเรียกว่าปาฎิหาริย์ที่เกิดขึ้นครั้งที่เกิดจากการสร้างเหตุไว้จากการพิจารณาธรรมเป็นเหตุ

    ตามพุทธทำนายค่ะ พระธรรมจะเริ่มเปล่งรัศมีฉายส่องแสงส่องโลกอีกวาระหนึ่ง ตามที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ และ กึ่งพุทธกาลเปิดธรรมโลกุตระ หรือ พระยาธรรมิกราช หรือ ธรรมมิกราชา ราชาเหนือแห่งธรรมทั้งปวงในคิริมานันทสูตร คือ สิ่งนี้แหล่ะค่ะคือตามพุทธทำนาย และ jityim เชื่อว่าผู้ที่เข้ามาอ่านนี้ร้อยละ30 หรือ มากกว่านั้นจะต้องประสบพบเจอธรรมโลกุตระกันมาบ้างไม่มากก็น้อยตามเหตุปัจจัยของแต่ละท่านค่ะ และยิ่งหากปรับเข้ายุคพลังงานใหม่เสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้วคนจะบรรลุธรรมกันมากค่ะ นั่นไม่ใช่คำของ jityim นะค่ะ แต่มีเหตุผลที่มาที่ไปด้วยค่ะ และยุคนี้จึงสมกับคำว่า "ยุคอภิญญาสาธารณะ" อย่างที่หลวงปู่ดู่ท่านกล่าวไว้ ก็ด้วยเหตุนี้นี่เองจึงเป็นยุคในสร้างบารมีเข้าสู่ยุคพระศรีอาริย์และสามารถพาตนเองหลุดพ้นได้ง่ายกว่าเดิมค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤษภาคม 2018
  8. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ลักษณะการโพสท์ ย่อมชี้ระบุชัดเจนว่า นี่ "ไม่ใช ชีพุทธ และ ชีพราหม์" ที่คนทั่วไปรู้จัก

    +++ หากเป็น "ชีแคทอลิค หรือ ในศาสนาที่เคร่งครัด" ก็ย่อมโดนตราหน้าว่า "ปรามาส" ต่อศาสนาของ ตนเอง แน่นอน ไปศึกษาดูได้เลยในศาสนาอื่น

    +++ ยังเหลือ "ชี" อีกประเภทหนึ่งคือ "ชีปลอม หรือ ชีตั้งศาสนาใหม่ มโน ขึ้นมาเอง" เท่านั้น

    +++ ผู้อ่าน "พิจารณากันเอาเอง" ก็แล้วกัน
    +++ รูปธรรมพลังงาน เกิดจาก "พระบิดา" เพราะ ไม่ยอมหยุด "การเลื้อย" นั่นเอง
    +++ "พระบิดาแห่ง จิตจักรวาล" ให้ดูตาม รายละเอียดใน โพสท์ต่อไปก็แล้วกัน
     
  9. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    จิตรจักรวาล อัน "ควรพึงระวัง"

    +++ มี "สัตว์" บางประเภท "เกิด แก่ เจ็บ ตาย" ในอวกาศ และมี "หลายเผ่าพันธ์"

    +++ ในอดีต มีสัตว์ประเภทหนึ่ง ที่ชาว "อียิปโบราณ" นับถือในระดับ "เทพเจ้า"

    +++ เป็นเทพเจ้าในระดับทัดเทียมกันกับ "รา" ที่เรียกว่า "สุริยะเทพ"

    +++ ในขณะที่ "รา" เป็น สุริยะเทพ สัตว์ชนิดนี้ ถือเป็น "เทพรัตติกาล"

    +++ สัตว์ชนิดนี้ ได้รับการขนานนามว่า "Apophis (Apep)"


    +++ สัตว์ประเภท Apophis นี้ มีหลาย เผ่าพันธ์ มีอายุ "เก่าแก่ยาวนาน ในระดับ ข้ามอสงไขย"

    +++ จากการ map จิต "สัตว์ทุกตัวในเผ่าพันธ์นี้" เมื่อสมัยยังเป็นสัตว์ประเภท "มนุษย์"

    +++ สามารถฝึกจิต จนออก "อวกาศ" และทำจิตให้เข้ากับ "เนื้ออวกาศ" ได้

    +++ ต่างล้วนมีความเข้าใจว่า "ตน คือ อวกาศ" และ ตนคือผู้สร้าง

    +++ ซึ่งในปัจจุบัน คือ สิ่งที่เรียกกันว่า "จิตจักรวาล" ที่เรารู้จักกัน นั่นเอง

    +++ โดยหลัก ๆ จะเป็น "จิตที่ ล่องลอย/เรียนรู้ กาลอวกาศ" ไปเรื่อย ๆ

    +++ แต่พอ "รู้ตัว" ว่า "ตน" เป็นอะไร ก็ "กลับกลายเป็นสภาพของ สัตว์ชนิดนี้" ไปแล้ว


    +++ Apophis มีขนาดใหญ่โต และมีแทบทุกขนาด ในยามที่เกิด "ประลัยกัลป์ล้างอสงไขย"

    +++ สัตว์พวกนี้ สามารถ เดินทางหนีภัย จาก big bang หนึ่งข้ามไปยังอีก big bang หนึ่งได้

    +++ จากการ map จิต Apophis บางตัว ผ่านอสงไขยอันยาวนาน นับพัน ขึ้นไป

    +++ แต่เป็นที่ "น่าเสียดาย" ว่า เป็น เผ่าพันธ์เดรัจฉาน คือ "เอาหัว ไปก่อน ลำตัว" จึง ไม่อาจ รู้ ธรรมได้


    +++ สัตว์ชนิดนี้ ผมและกลุ่มฝึกเคยพบมาก่อน แต่ "ไม่รู้จักชื่อ" ว่ามันเป็น ตัวอะไร

    +++ สมัยก่อน จึงเรียกพวกมัน ตามหนังเรื่อง star gate ว่า "ตัว โกอาร์อูร์" เป็นการ ยืม คำศัพท์มาเฉย ๆ

    +++ หลัง ๆ มานี้ คุยกันเรื่อง "จิตรจักรวาล" บ่อยขึ้น จึงมา รื้อฟื้นคำศัพท์เสียใหม่

    +++ จึงพบว่า คำศัพท์ Apophis จึง "ตรงกับสภาพของพวกมัน" มากกว่า


    +++ ณ ปัจุบัณ ผมจะทิ้งข้อมูลบางอย่างไว้ให้ ก็แล้วกัน

    +++ อาการ "หลง มึนงง เซื่องซึม" สามารถเกิดขึ้นได้ เมื่อ "จิตจักรวาล" พลาดเข้ามาสู่ ชั้นบันยากาศ ฯลฯ

    +++ ข้อมูลที่ "น่าสนใจที่สุด" คือข้อมูลใน Mexico ตามลิ้งค์ข้างล่างนี้


    +++ นอกนั้น ผมเฉย ๆ เพียงแค่ "ดูประกอบกันไป" เท่านั้น
    Space Serpents



    ตรงนี้เป็นของ International Space Station ไม่พ้น "เกิด แก่ เจ็บ ตาย" อยู่ดี (กำลังตาย)
    ISS SPACE STATIONS HD CAM [2015-04-11]


    ตรงนี้ แสดงการ "ปรับภาพด้วย คอม" จึงเห็นได้ "ชัดเจน"
    UFO SPACE SNAKE NASA LIVE FEED JAN 27 2017


    +++ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ตัว Apophis นี้ สามารถพบเจอได้เสมอ หากออกอวกาศได้จริง

    +++ เนื่องจาก ตัว Apophis นี้มีจิต "เลื่อนลอย ขาด สัมปชัญญะ" ดังนั้น หากพบเจอ ก็ควรระวังตัวไว้ด้วย

    +++ เมื่อมัน พบเจอจิตที่พอมี สติสัมปชัญญะ มันมักจะเข้ามา "เสพ" เพื่อให้มันมี สัมปชัญญะ เกิดขึ้น

    +++ หากจิตที่เจอมัน "พ้น" จากการ "เชื่อมต่อทางธัมมารมณ์" กับมันได้ ก็จะ "ไม่ติดอาการ เลื่อนลอย" มาจากมัน

    +++ หากผู้ฝึก ที่ออกอวกาศด้วย "ตัวดู" ก็แน่นอนว่า "ย่อมเกิดการเชื่อม ธัมมารมณ์" กับมัน แน่นอน

    +++ แต่ถ้าหากออกด้วย "สภาวะรู้" ก็จะไม่มีปัญหาอะไร



    +++ ผู้ที่มีความ "ปรารถนาอันแรงกล้า" ที่จะเชื่อมต่อกับ "จิตจักรวาล" แบบนาย ป โดยทิ้งการ "ดำรงค์สติมั่น รู้ ธรรมเฉพาะหน้า"

    +++ ก็ควรจะรู้จัก "จิตจักรวาล" ในอีก Version หนึ่ง ไว้ให้ดี ๆ


    +++ ผมและกลุ่มฝึก ผ่านประสพการณ์ บทเรียน อุทาหรณ์ รวมทั้ง การบาดเจ็บ จาก "กาลอวกาศ" มาพอสมควร

    +++ พูดไป อธิบายไป ก็ได้แค่ "งั้น ๆ เอง" ได้แต่ "ทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลัง" ให้ระวังตัวไว้ เท่านั้น แค่นี้พอ นะครับ
     
  10. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ก่อนจะไปถึง..."สิ่งนั้น" (ในจิตคือพุทธะ) ของหลวงปู่ดุลย์ หรือ ที่เรายังหาคำตอบกันอย่างไม่แน่ชัดว่า กับคำสอนของพระพุทธเจ้าว่าลักษณะสุญญตา จริง ๆ แล้วคือสภาวะเช่นใดกัน ที่ว่าเป็นความว่าง คือสุญญตา จริง ๆ มีสภาพเป็นอย่างไร?

    เอาไว้ก่อน ส่วนสำหรับ...สิ่งนี้

    หาก jityim ใช้คำสมมุติบัญญัติแทนว่า "องค์ปฐม" น่าจะเข้าท่ากว่านะค่ะ และในยุคนี้เราทุกคนล้วนมักจะได้ยินว่า "เราทุกคนล้วนมาจากจุดเดียวกัน" เป็นที่ได้ยินกันคุ้นหูมากในยุคนี้ หรือ แม้แต่มีคำกล่าวจากเบื้องบนว่า ถ้าใครเข้าถึงสัจธรรมอย่างแท้จริงแล้วจะรู้ว่า "เราทุกคนมีแก่นแท้เป็นสิ่งเดียวกัน"

    การอุบัติขึ้นด้วยรูปธรรมทางพลังงาน สิ่งแวดล้อมที่ดำรงอยู่นั้นคือ "สนามพลังงานที่ละเอียดอ่อนมาก" ซึ่งในสนามพลังงานดังกล่าวนี่ ไม่มีสรรพสิ่งอื่นใดทั้งที่เป็นวัตถุมวลหยาบในมิติกายภาพ และสรรพสิ่งที่เป็นรูปธรรมในมิติทางพลังงานดำรงอยู่ในนั้นเลย ทุกหนทุกแห่งล้วนเต็มไปด้วยความว่างนั่นเอง แต่จะกล่าวว่ามันเป็นสนามพลังงานที่ว่างเปล่าเสียทีเดียวมิได้ เพราะอย่างนั้นก็มีรูปธรรมทางพลังงานที่อุบัติขึ้นมาด้วยตนเองครั้งแรกดำรงอยู่หนึ่งรูปธรรมแล้ว แต่ที่สำคัญยิ่งก็คือ

    มนุษย์จะกล่าวสรุปว่า มันเป็นสนามพลังงานที่ว่างเปล่าไม่ได้แน่ เหตุเพราะว่ารูปธรรมทางพลังงานที่อุบัติขึ้นครั้งแรก ก็อุบัติขึ้นมาด้วยตนเองจากสนามพลังงานสากลที่ว่านี้นี่เอง

    ถ้าหากสนามพลังงานอันละเอียดอ่อนที่กำลังกล่าวถึงอยู่นี้ "ว่างเปล่า" มันก็ย่อมจะต้องไม่มีสรรพสิ่งใด ๆ ทั้งที่เป็นอนัตตา หรือ มีอัตตาตัวตนดำรงอยู่อย่างแน่นอน นั้นคือ ถ้าหากว่าสนามพลังงานนี้มีแต่ความว่างเปล่าจริง คือไม่มีอะไรอยู่ในสนามพลังงานนี้เลย การอุบัติขึ้นด้วยตนเองของรูปธรรมทางพลังงานที่สมดุลอย่างหนึ่งย่อมจะอุบัติขึ้นมาจากความว่างเปล่าจนไม่มีอะไรมิได้เป็นแน่แท้

    ความรู้ใหม่สำหรับมนุษย์ที่น่ารู้ในตอนนี้ก็คือ แท้แล้วสนามพลังงานที่มีอนุภาคคลื่นความถี่สูง ๆ และละเอียดอ่อนที่มีรูปธรรมพลังงานอุบัติขึ้นมาและดำรงอยู่นั้น มันเป็นความว่างที่มิใช่ความว่างเปล่า มันเป็นอณาเขตหรือบริเวณของสนามพลังงานที่ยังมีบางสรรพสิ่งดำรงอยู่แต่ก็เป็นความมีที่เหมือนไม่มี

    ดังนั้นสรรพสิ่งที่มนุษย์เรียกว่า "เป็นความมีที่เหมือนไม่มี" หรือ สรรพสิ่งที่เป็นอนัตตาในคำกล่าวของมนุษย์นั้น ในบริเวณที่รูปธรรมพลังงานที่อุบัติขึ้นด้วยตนเองเป็นครั้งแรกและดำรงอยู่นี้ มันจะต้องมีสรรพสิ่งที่เป็นยิ่งกว่าอนัตตาซึ่งอยู่ในมิติที่สูงกว่าดำรงอยู่อย่างแน่นอน และรูปธรรมทางพลังงานที่อุบัติด้วยตนเองเป็นครั้งแรก(องค์ปฐม) พบความจริงว่ามัน "แก่นแท้ของสรรพสิ่งที่เป็นอนัตตา" นั่นเอง
     
  11. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    จริงหรือค่ะ ที่ "จิต" กับ "จิตวิญญาณ" มิใช่เรื่องเดียวกันหรือสิ่งเดียวกันอย่างที่เข้าใจ!

    "จิต" คือ กลุ่มพลังงานทางความคิดที่มีพลังงานห่อหุ้มไว้

    ๑. คลื่นความคิด เป็นกลุ่มคลื่นอนุภาค หรือ ตัวจิตเอง สามารถวัดได้ด้วยโทนเสียงซึ่งประสาทหูของมนุษย์ไม่อาจได้ยิน

    ๒.คลื่นแสง เป็นกลุ่มคลื่นอนุภาค ที่มีระดับความถี่ต่างกัน สามารถมองเห็นเป็นแถบสีต่าง ๆ ตามระดับของคลื่นความถี่แสงที่มนุษย์รู้จักดี

    ๓.เป็นมวลสาร เป็นอนุภาคที่มีขนาดเล็กมาก ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นพลังงานเช่นเดียวกัน

    จิตของมนุษย์แต่ละคน โดยเนื้อแท้แล้วบริสุทธิ์ สะอาด ไร้เล่ห์มารยา และเป็นอิสระเหนือข้อบังคับหรือกฎเกณฑ์ใด ๆ ในจักรวาล พลังงานความคิดของ "จิต" จึงเป็นพลังงานที่มีอยู่จริง พฤติกรรมภายในและพฤติกรรมภายนอก ล้วนเป็นผลเกี่ยวเนื่องกับพลังงานความคิดของ "จิต" แทบทั้งสิ้น

    ทุกสรรพสิ่งในจักรวาล จะประกอบด้วยกลุ่มอนุภาคที่มีขนาดเล็กมากลดเลี่ยวเกี่ยวพันกันอยู่ โดยอนุภาคนี้มีการสั่นสะเทือนอยู่ตลอดเวลา ซึ่งทำให้เกิดคลื่นอนุภาคที่เราเรียกมันว่า "พลังงาน" นั่นเอง

    คลื่นอนุภาค จะทำหน้าที่เป็นจิตวิญญาณอย่างสมบูรณ์ได้ ก็ต่อเมื่อมันมีเปลือกพลังงาน หรือ กรอบ หรือ รูปธรรมห่อหุ้มยึดไว้ โดยเชื่อมโยงสัมพันธ์กันกับสนามพลังงานของจักรวาล ถ้าจิตอยู่ในสภาพของคลื่นอนุภาคที่ไร้เปลือกห่อหุ้มไว้ จิตนั้นจะสามารถแทรกซึมไปได้ทั่วทั้งจักรวาล บนโครงข่ายสนามพลังงานที่เกิดจากใจกลางดวงอาทิตย์

    ในศาสตร์ด้านอภิปรัชญา เชื่อว่า ก่อนที่มนุษย์เราจะมาเกิดบนโลกใบนี้ "จิต" จะมีคุณสมบัติและคุณลักษณะเป็น กลุ่มพลังงานทางความคิด ที่มีความรอบรู้ทุกสิ่งในจักรวาล

    ที่น่าสนใจก็คือ ก่อนที่จะมาเป็นมนุษย์บนดาวเคราะห์โลก จะต้องมีสิ่งที่ห่อมหุ้ม "จิต" ที่เรียกว่า Merkabah หรือที่มนุษย์เรียกว่า "จิตวิญญาณ" ล้วนมีสิ่งนี้ห่อหุ้มไว้ขณะที่อยู่ในจักรวาลด้วยกันทั้งสิ้น มิเช่นนั้นแล้ว จะไม่มีสิ่งใดจัดเก็บพลังงานของ "จิต" เอาไว้ได้เลย นอกจากนั้นแล้ว สิ่งนี้ยังทำหน้าที่เป็นยานพาหนะหรือเห็นพลังขับเคลื่อนของจิตวิญญาณ ในจักรวาลอีกด้วย ซึ่งสามารถจะเคลื่อนที่ไปได้ทั่วทั้งจักรวาลตามพลังงานความคิดของจิตนั้น ๆ ในชั่วพริบตาเดียว และนอกจากนั้นยังสามารถเปลี่ยนแปลงพลังงานของกล่องพลังงานความคิดที่มันห่อหุ้มอยู่ขณะเคลื่อนที่ไปไหน ๆ ได้อีกต่างหากด้วย ด้วยเหตุนี้ "กล่องพลังงานความคิด" ในจักรวาลจึงไม่คงรูปเดิมแบบใดแบบหนึ่งเท่านั้น

    สิ่งนี้น่าจะเป็นความต่างอย่างหนี่งค่ะ เพราะคำว่า "จิต" ในที่นี้อยู่นอกระบบเอกภพ อาจจะแตกต่างกับที่อยู่ในจักรวาลทางช้างเผือกเราที่กล่าวไว้ก็ได้ค่ะ เห็นท่านกล่าวไว้เกี่ยวกับการอวตาร หรือ การแบ่งภาคมาสร้างบารมีของพระศรีอาริย์ในยุคนี้จำนวน 4 ท่าน จากกระทู้ภาคแรกใช่ไหมค่ะ แล้วการแบ่งภาคจาก "จิต" นอกระบบเอกภพ มาเป็น "จิตวิญญาณ" มนุษย์ ท่านว่าอย่างไรดีค่ะ ขอถามความเห็นค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤษภาคม 2018
  12. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ...พระองค์ทรงค้นพบ การเวียนจบของจักรวาล หนทางที่จะว่ายผ่าน วัฏสงสารอันปลดปลง
    +++ นี่ถึงขั้น จะลากเอา "องค์ปฐม" ลงมาเกลือกกลั้ว จมปลักใน "วัฏสงสารอันปลดปลง" อยู่อีกเหรอ

    +++ ไม่รู้จะ "สมมุติ" อะไรได้อีก ก็เลย สมมุติเอา "องค์ปฐม" เลยนะ

    +++ ยินดีต้อนรับคุณ jityim เข้าสู่ "เผ่าพันธ์แห่ง Apophis" ตัวใหม่ วิบากกรรมตรงนี้ สูงส่งจิง ๆ ด้วย
    +++ ลอยละล่อง ไปเรื่อย ๆ พูดคนละเรื่องเดียวกัน "good bye สติ" ไปเรียบร้อยแล้ว

    +++ ทะเลแห่ง "ความงมงาย" นั้น ไร้ฟากฝั่ง ประดุจดั่ง "วัฏสงสารอันปลดปลง"

    +++ ...พระองค์ทรงค้นพบ การเวียนจบของจักรวาล หนทางที่จะว่ายผ่าน วัฏสงสารอันปลดปลง


    +++ หากคุณ jityim ปรารถนาที่จะ "เรียนรู้ จักรวาล" ต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง

    +++ ก็จง "ผนึกจิตตน ให้เข้ากับ เนื้ออวกาศ โดย ไม่ต้องฝึก มหาสติ ก็ได้"

    +++ เมื่อ "จิตออกจากร่าง หรือ ตายไปแล้ว" ก็จะเป็น God จนกว่าจะ พัฒนาไปเป็นตัว Apophis ซึ่งเป็น "วิวัฒนาการชั้นสูงสุดของ จิตจักรวาล"

    +++ หลังจากนั้นอีก "หลาย ๆ หมื่นอสงไขย" ก็จะ เข้าใจ จักรวาล ไปตาม "เส้นทางที่ เลื้อยผ่าน"


    +++ หาก "โชคดี" ณ ขณะที่ "เลื้อยผ่าน" โลกธาตุ (กาแลคซี่) ที่มี "พระพุทธเจ้า"

    +++ ก็อาจจะได้กระทบกับ "ฉัพพรรณรังสี" ของพระพุทธองค์ แล้วได้ "สติ" อีกครั้งหนึ่ง

    +++ จึงสามารถ "จุติ" ใหม่ กลับมาเป็น "มนุษย์" ได้อีกครั้ง

    +++ สงสัยหรือไม่ว่า "ผมรู้เรื่องพวกนี้" ได้อย่างไร

    +++ คำตอบคือ เพราะเคยมีคนใน "กลุ่มฝึก" เป็นตัว Apophis มาแล้ว

    +++ ล่องลอยมาจนถึง ณ ขณะที่พระพุทธเจ้า กุกกุสันโท (1) บันลุพระโพธืญาณ และได้กระทบสัมผัสกับ ฉัพพรรณรังสี ของพระพุทธองค์ จึงได้สติ มา "เกิด แก่ เจ็บ ตาย" จนกว่าจะมาเป็น มนุษย์

    +++ ได้ใส่บาตรครั้งแรกกับ พระพุทธเจ้าโกนาคม (2) แล้ว วนเวียนใน ภพภูมิกามาวจร จนมาเกิดในชาตินี้ และฝึกจน "เป็นสภาวะรู้" จึงระลึกได้ว่า "ตน" เคยเป็นอะไรมาก่อน

    +++ ตัว Apophis นี้ หากไม่มีหลักฐาน หรือ คลิป มาเป็นองค์ประกอบ ผมก็คงจะไม่โพสท์ในเรื่องเหล่านี้

    +++ ลำพัง ประวัติของ "ชาวอียิปต์ หรือ ไอคุปต์" โบราณ ก็คงไม่เพียงพอที่จะประกอบหลักฐานอะไรได้


    +++ หากคุณ jityim ปรารถนาที่จะเรียนรู้ "จักรวาล" ตามวิถีแห่งตน (โพธิสัตว์) ต่อไป ผมก็คงบอกได้แต่เพียงว่า "ก็ให้ดำเนินรอยต่อ ไปตามวิถีของคุณ ณ ปัจจุบัณขณะ" ก็จะประสพความสำเร็จถึงชั้นสูงสุด คือ เป็นตัว Apophis ได้สำเร็จ (God ในระดับ "จิตจักรวาล" ย่อมมีวิวัฒนาการไปเป็น Apophis)

    +++ หากคุณ jityim ปรารถนาที่จะเรียนรู้ "จักรวาล" ตามวิถีแห่ง "พุทธะ" ก็ควรฝึกให้ได้ "มหาสติ" เสียก่อน จนกว่าจะถึงขั้น "สร้างขันธ์/ใช้ขันธ์/ออกจากขันธ์" ตามหลักของ "เกิดขึ้น/ตั้งอยู่/ดับไป" ได้สำเร็จ

    +++ อัปปมาโนธัมโม "สภาวะธรรม มีนับไม่ถ้วน" จักรวาล เป็นเพียงแค่ "สภาวะธรรม" อันหนึ่งเท่านั้น ยังมีอีกมาก หากปรารถนาจะไปถึงขั้น Apophis ก็ตามสะดวก

    +++ พยายาม "ตั้งสติ" ในการอ่านให้มาก ๆ หน่อย เพราะ "วาสนาในการเป็นตัว Apophis" ของคุณ ย่างใกล้ "คืบคลาน" เข้ามาเรื่อย ๆ แล้ว ขอให้ "สมปรารถนาในการเป็น Apophis" ก็แล้วกัน

    +++ "มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฐา มโนมยา" "ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จด้วยใจ" "คิดอย่างใด ก็ได้อย่างนั้น" นะครับ
     
  13. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    เราลองมาพิจารณาข้อความนี้ดูอีกทีก็ได้ค่ะ

    ถ้าหากคลื่นความถี่อิสระทั้งหลาย หมายถึงสรรพสิ่งที่เป็นอนัตตาแล้ว อนุภาคของคลื่นความถี่อิสระนั้น ๆ ก็คือ "แก่นแท้" ของสรรพสิ่งที่เป็นอนัตตา นั่นเอง

    รูปธรรมทางพลังงานที่อุบัติขึ้นมาด้วยตนเองครั้งแรก(องค์ปฐม) ซึ่งมีคุณสมบัติ "มหาสุญญตา" ก็คือ เป็นจุดศูนย์กลางของทุกสรรพสิ่ง เป็นผู้สร้างพลังอำนาจให้แก่ทั้งระบบ ก็คือ อนุภาคแก่นแท้ของคลื่นความถี่ในทุกย่านความถี่ อยู่ในรูปธรรมพลังงานที่เป็นมหาสุญญตานี้ ได้อุบัติขึ้นมาตรงจุดศูนย์กลางการหมุนวนของสนามพลังงานแห่งความว่างที่มิใช่ความว่างเปล่านี้ สนามพลังงานสากลนั้นกว้างใหญ่ไพศาลยิ่งนัก และในสนามพลังงานก็เต็มไปด้วยอนุภาคของคลื่นและคลื่นความถี่อิสระระดับ "อนัตตา" อยู่มากมาย

    ดังนั้น รูปธรรมทางพลังงานที่อุบัติขึ้นมาในสนามพลังงานแห่งความว่างที่มิใช่ความว่างเปล่า ซึ่งมีคุณสมบัติ "มหาสุญญตา" นี้ จะเป็นผู้เริ่มต้นหรือเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดมีขึ้นของทุก ๆ สรรพสิ่งซึ่งเป็นรูปธรรมทางกายภาพในมิติทางพลังงาน หรือจะเรียกว่าสรรพสิ่งที่เป็นอนัตตาทั้งหมดทั้งมวลก็ได้

    และความเป็นแก่นแท้ของทุกสรรพสิ่งซึ่งเป็นอนัตตานี่เอง ที่เป็นผู้สร้างความมีอัตตาทั้งหมดทั้งสิ้นให้เกิดขึ้นในภายหลัง

    การที่รูปธรรมทางพลังงานที่มีคุณสมบัติ "มหาสุญญตา" เป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดมีขึ้นในทุกสรรพสิ่ง ก็คือ ผู้สร้างสรรพสิ่งที่มีอัตตาตัวตน ทั้งสิ้น หรือจะกล่าวว่า สรรพสิ่งทั้งที่เป็นอนัตตาและสรรพสิ่งที่เป็นอัตตา ล้วนมีรูปธรรมทางพลังงานที่มีคุณสมบัติ "มหาสุญญตา" เป็นจุดศูนย์กลางของการสั่นสะเทือนทั้งสิ้น

    จุดศูนย์กลางการสั่นสะเทือนของทุกสรรพสิ่งในทุกย่านความถี่หรือในทุก ๆ มิติของพลังงาน ก็คือจุดเริ่มต้นแห่งการเกิดขึ้นของทุก ๆ สรรพสิ่งตั้งแต่มิติของการเป็นอนัตตาไปจนถีงมิติของสรรพสิ่งที่มีอัตตา

    ดังนั้น รูปธรรมทางพลังงานที่มีคุณสมบัติ "มหาสุญญตา" จึงเป็นผู้เริ่มต้น หรือ จุดเริ่มต้นก็ได้ ที่เป็นศูนย์รวมแห่งความเป็นอนัตตาไปในที่สุด ซึ่งสรรพสิ่งที่อุบัติขึ้นใหม่นี้จะต้องมีภาระในการสร้างสรรพสิ่งทั้งที่เป็นอนัตตาและอัตตาในมิติที่หยาบกว่าต่อไป

    เมื่อตรงจุดเริ่มต้นที่เป็นแก่นแท้ของความเป็นอนัตตานั้น เกิดการสั่นสะเทือนขึ้น คือมีการเคลื่อนไหลตนเองขึ้นเมื่อใด เมื่อนั้นความมีอัตตาก็จะเกิดขึ้นทันที

    "สรรพสิ่งที่เป็นอนัตตา จะเป็นผู้สร้างสรรพสิ่งที่มีอัตตาเสมอ"

    ไม่ว่าสรรพสิ่งใดก็ตาม ถ้าสามารถแสดงอกซึ่งความมีอัตตาตัวตนให้เกิดขึ้นและดำรงอยู่ได้ สรรพสิ่งนั้นย่อมเป็น "มายา" อันเป็นผลลัพธ์ที่เกิดจากการกระทำของแก่นแท้ที่เร้นอยู่ข้างในทั้งสิ้น

    ทั้งหมดนี้คือ ความจริงที่จริงแท้ ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่กล่าวขึ้นนั้น "มันต้องเป็นของมันเช่นนั้นเอง"

    เรื่องราวของสรรพสิ่งที่เป็นอนัตตา เป็นผู้สร้างสรรพสิ่งที่มีอัตตาตัวตนให้เกิดขึ้น

    ความมีอัตตาตัวตนของสรรพสิ่งใด ๆ นั้นล้วนเกิดจากแก่นแท้ซึ่งเป็นอนัตตาทั้งสิ้น ความมีอัตตาตัวตนจึงหมายถึง สรรพสิ่งที่มีความสมดุลอยู่ในตนเองอันเกิดจากสรรพสิ่งที่เป็นอนัตตานั่นเอง

    หรืออาจกล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่า สรรพสิ่งที่มีอัตตาตัวตนหรือเป็นมวลวัตถุหยาบ ๆ ทั้งหลายล้วนเป็นมายาของแก่นแท้รูปธรรมทางพลังงานที่เร้นอยู่ข้างในทั้งสิ้น นี่ย่อมแสดงให้มนุษย์รู้ว่าแก่นแท้ของวัตถุมวลหยาบ ๆ ก็คือรูปธรรมทางพลังงานโดยแท้

    มนุษย์เองก็เคยรู้กันมาบ้างแล้วว่า

    "ถ้วนทุกสรรพสิ่งล้วนเกิดจากเหตุ หากเหตุดับทุกสิ่งทุกอย่างย่อมดับตามไปด้วยเสมอ"

    คำกล่าวสำคัญนี้ ใช้ได้กับทุกสรรพสิ่งที่เป็นปรากฎการณ์ สถานการณ์ เรื่องราว และความมีตัวตนของสรรพสิ่งนั้น ๆ มันเป็นความจริงทั้งในมิติกายภาพอันเป็นด้านมายา และในมิติพลังงานอันเป็นด้านแก่นแท้
     
  14. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ตนเองไม่ปราถนาเป็น Apophis หรอกค่ะ แต่อยากให้ทำความเข้าใจ สัจจะ แห่งโลกและธรรม คือ โลกียะธรรม และโลกุตระธรรมร่วมกันค่ะ แต่สิ่งที่ได้มาจากเป็นผลพวงคงมีเหตุ เนื่องจากอยากให้รู้ว่าโลกของเราในขณะนี้กำลังเกิดอะไรขึ้น และเกี่ยวข้องอย่างไรเกี่ยวกับภัยพิบัติที่กำลังเกิดขึ้นกับโลก ที่ส่วนใหญ่จะไม่เชื่อคำเตือนถึงภัยล่วงหน้าให้มนุษย์ล่วงรู้ ถึงแม้ว่าจะตรงกับพุทธทำนาย และข้อมูลนี้ก็แสดงให้เห็นว่า "ฟ้ามีตา" มีจริงค่ะ แต่อาจจะได้ความรู้ใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นมาด้วยตามเหตุและปัจจัยแค่นั้นเองค่ะ
     
  15. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,268
    ค่าพลัง:
    +5,219
    รูปโปรไฟล์ของผม เป็นรูปแมวยิ้ม
    แต่ที่จริงมันไม่ได้ยิ้ม เพราะมันยิ้มแบบคนไม่ได้
    มันเป็นเพียงชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่มันจะจาม หรือเมื่อหาวเสร็จแล้ว แล้ว คนใช้โหมดถ่ายภาพ หลาย ๆ ช็อตออกมา เลือกภาพที่เหมาะสม ออกมาสักใบ แล้วรูปที่เลือกออกมา มันดูเหมือนแมวตัวนี้ยิ้มเท่านั้น

    สิ่งที่เห็น เราเห็นจริง แต่ สิ่งที่เราเข้าใจจากเห็นมันอาจไม่ใช่ความจริง เพราะเราเข้าใจมันในลักษณะที่ไม่จริง ไม่ใช่ความจริงของมัน ไม่ใช่ธรรมดาของมัน ไม่ใช่ธรรมชาติของมัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤษภาคม 2018
  16. คะนึง

    คะนึง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    178
    ค่าพลัง:
    +402
    อวาต้า รูปตัวแทน หมายถึงอะไร?

    อวาต้า หมายถึง ร่างแทน เช่น ชื่อ หรือ ตัวละคร ที่แทนตัวเอง ไม่ใช่ของจริง


    แต่ความจริงแล้ว มันจะดีหรือไม่ดี ขึ้นกับคนใช้


    บางคนก็สร้างมันขึ้นมา เพื่อแทนลักษณะ หรือนิสัย ของเจ้าของ
     
  17. Unexpected

    Unexpected เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    683
    ค่าพลัง:
    +1,513
    ปวีว่าก่อนที่จิกยิ้มจะพูดเรื่องสูญญตา หรือคำทำนายโลกที่เกินตัว เอาตัวเองไปพบจิตแพทย์ก่อนจะดีกว่า ลองไปคุยกะหมอว่า เป็นคนชอบมโน อ่านอะไรมาก้ชอบเอามาทึกทัก ตีความฟิชเจอริ่งกับสภาวะธรรมตัวเองตลอด บอกหมอว่าตอนนี้สงสัยว่าจะได้ปริศนาธรรมเลเวลสูง รุ้สึกเหมือนสัมผัสชั้นบรรยากาศโสดาบัน หมออาจให้ยาเม็ดปรับลดเลเวลเคมีในสมองลงมาสัมผัสชั้นบรรยากาศโลก เผื่อจะมีโอกาสกลับเป็นคนปกติกะเขาได้มั่ง ..

    เข้าใจว่าวัวใครมันจะเข้าคอกคนนั้น เหมือนจิกยิ้มต้องเข้าคอกศาสดา ป. กลายเป็นชีเซิ่นเจิ้น นับถือ/พูด ธรรมะแบบยัดไส้ตลอดเวลา แถมเอาความคิดเพี้ยนๆ มาเพ้อลงเน็ตอีก เวลาเขียนอธิบายสภาวะการฝึกเหมือนจะเก่งจะเข้าใจ แต่อ่านแล้วโครตจะมั่ว นี่เป็นผลการฝึกที่โครตจะล้มเหลวเพราะโดนวิปัสสนึกกิน ขาดครู อ. ที่ถูกต้องแนะนำ (บางที ครู อ.คงอยากวิ่งหนี เพราะเอือม) ก้อคงจะเป็นวิบากกรรมที่ทำให้จิกยิ้มเป็นไปในลักษณะนี้..
     
  18. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207

    เมื่อเราหลงก็รู้ว่าหลงค่ะ

    เมื่อเคยชินกับอารมณ์รู้สึกใด อารมณ์รู้สึกนั้นก็จะกลายเป็นคุณสมบัติด้านลบหรือด้านหยาบของจิตนั้นไปในที่สุด

    เหตุที่กล่าวว่าถ้ามันเคยชินกลายเป็นคุณสมบัติไปแล้วจะชำระได้ยากยิ่งเพราะว่า....

    หลักการชำระจิตตนเอง

    มนุษย์แต่ละคน มีคุณสมบัติของจิตที่มีความ "หยาบ" แตกต่างกัน

    ความ"หยาบ" หมายถึง คุณสมบัติทางอารมณ์รู้สึกด้านลบ ในกลุ่มกิเลสตัณหาทั้งหลาย อันเป็นแกนกลางของจิตสำนึกในแต่ละคน ที่มีมากน้อยแตกต่างกันออกไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการสั่งสมคุณสมบัติไว้ในอดีตชาติแล้วถ่ายทอดมาสู่ภพชาติปัจจุบัน รวมกับที่สร้างสมใหม่ในภพชาตินี้ว่ามีมากน้อยเพียงใด

    คำว่า "หยาบ" ของจิตหยาบ จึงหมายถึง การที่จิตหยาบมีคุณสมบัติทางอารมณ์รู้สึกเพื่อตอบสนองสิ่งเร้าใด ๆ ในระดับต่ำ ๆ นั่นเอง ยิ่งจิตหยาบสั่นสะเทือนตอบสนองสิ่งเร้าด้วยคลื่นความถี่ต่ำ ๆ มากเท่าใด จิตหยาบก็มีความหยาบมากขึ้นเท่านั้น

    แต่ละคนมีคุณสมบัติความหยาบของจิตไม่เท่ากัน เพราะมีนิสัยในการตอบสนองทางอารมณ์รู้สึกต่อสิ่งเร้าแตกต่างกันออกไป มนุษย์คนใดเป็นคนเจ้าอารมณ์ ขาดความสำรวมและมีจิตไม่สงบเป็นนิสัย จะมีจิตค่อนข้างหนามากยากที่จะชำระจิตให้บริสุๅๅทธิ์เพื่อฟันฝ่าไปสู่สภาวะนิพพานได้ง่าย ๆ เหตุเพราะ วัน ๆ เอาแต่ สอนจิตตนเอง ให้เกิดความชำนาญด้วยอารมณ์ความรู้สึกด้านลบ หมายถึง การขาดสติ เนื่องจากจิตไม่สงบ เพราะไม่สำรวมระวังจิตตนเองให้ตกเป็นทาสเงื่อนไขด้านลบใด ๆ ที่เผชิญมันในชีวิตประจำวัน เมื่อเคยชินแล้วมันจึงเป็นคุณสมบัติแล้วจะชำระได้ยากยิ่งก็เพราะว่า

    อารมณ์หยาบ ๆ ซึ่งเป็นคลื่นความถี่ของจิตในระดับต่ำ จะเป็นคลื่นความถี่ในระดับต้น ๆ ที่ทุกคนต้องฟันฝ่ามันไปให้ได้ หมายถึง ถ้าจะขึ้นบันไดขั้นที่สามได้ ต้องก้าวข้ามบันไดขั้นที่หนึ่งและสองให้ได้เสียก่อน หากหยุดแค่ขั้นที่สองแล้วไม่ยอมก้าวไปอีกขั้นที่สูงกว่าคือขั้นที่สามไม่ได้

    จิตวิญญาณผู้เป็นแก่นแท้ของตนนั้น จะมีคุณสมบัติด้านเดียว คือ คลื่นความถี่ทางอารมณ์รู้สึกที่เป็นคลื่นความถี่สูงของการสั่นสะเทือนด้านบวกเท่านั้น ถ้าจะยกระดับจากจิตหยาบเป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณของตน ต้องก้ามข้ามผ่านการสั่นสะเทือนคลื่นความถี่ต่ำ ๆ (ความโกรธ)ให้ได้อย่างสิ้นเชิง

    การข้ามผ่าน หมายถึง จะต้องไม่หยุดที่อารมณ์ความรู้สึกด้านลบที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นั่นในทันทีที่จิตถูกกระทบด้วยเงื่อนไขสิ่งเร้าอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ให้พยายามสั่นสะเทือนเป็นคลื่นความถี่ที่สูงกว่า คือ ด้านบวก ต่อเนื่องๆไปในทันทีเช่นเดียวกัน (เมตตา กรุณา อดทน อดกลั้น ให้อภัย อุเบกขา)

    หากเงื่อนไขด้านลบใดที่ทำให้เราสอบตก คือ ไม่อาจก้ามข้ามผ่านมันไปโดยสั่นสะเทือนทางอารมณ์ด้านลบตอบสนองกลับไป เงื่อนไขนั้นจะกลายเป็นบทเรียนสำหรับเราไปทันที

    หากเงื่อนไขด้านลบใดที่เราสอบผ่านไปได้ คือสามารถสั่นสะเทือนอารมณ์ด้านบวกตอบสนองเงื่อนไขด้านลบนั้นเงื่อนไขด้านลบนั้นก็จะกลายเป็นบททดสอบเราทันที

    จงอย่าตกหลุมพลางทางความคิดของตนเองโดยเด็ดขาด!

    การมีมหาสติ หมายถึง ผู้ตื่นรู้อยู่ทกุขณะจิตตลอดเวลาที่ดำเนินชีวิตประจำวันนั่นเอง

    ถ้าในชีวิตประจำวัน มนุษย์ต้องหมั่นดูแลตนเองเพื่อการชำระจิต คือ

    รู้ให้ได้ว่าตนมีกิเลสหนาตัณหาแน่นที่ต้องแก้ไขอะไรบ้าง

    เลือกเอาสิ่งที่ต้องการแก้ไข มาจัดการมันให้ได้ในชีวิตประจำวันกันทีละอย่าง

    ดับมันหรือละวางมันทันทีที่พบว่ามันกำลังจะก่อตัวขึ้นหรือกำลังเกิดอยู่

    ป้องกันจิตตนเองเอาไว้ล่วงหน้า ด้วยการรู้เท่าทันสิ่งแวดล้อมอันอาจเป็นเงื่อนไขด้านลบ เพื่อปกป้องมิให้อารมณ์ขยะนั้นเกิดขึ้นด้วย "กฤติสติ" เอาไว้เสมอ


    มันไม่ง่ายเลยใช่ไหมค่ะ โดยเฉพาะความรู้สึกต่อต้าน โต้ตอบและอยากเอาคืน


    ถ้าเจ็บมากก็ไม่พอใจมาก ย่อมหมายถึง โกรธ เกลียด เคียดแค้น

    ถ้าหากเจ็บน้อยไม่พอใจน้อย ย่อมหมายถึง การขุ่นเคืองใจ เป็นต้น

    เมื่อสำนึกรู้ได้ว่าเน่าเหม็น แล้วเรายังจะหวงแหนยึดติดมันไว้กับตัวอยู่อีกหรือ! บอกกับตัวเองนะค่ะ

    ถ้าจิตหยาบยังมีความไม่บริสุทธิ์เป็นคุณสมบัติอยู่ จิตหยาบนั้นก็ไม่อาจเป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณผู้เป็นแก่นแท้ได้ และถ้าเป็นหนึ่งเดียวกันไม่ได้ จิตวิญญาณก็มิอาจนิพพานได้เช่นกันเพราะยังต้องรับเอาคุณสมบัติไม่บริสุทธิ์จากจิตหยาบไว้เป็นของตัวอยู่นั่นเอง

    จิตวิญญาณผู้ใสพิสุทธิ์แท้แล้วเท่านั้นจึงจะหลุดพ้นนิพพานได้

    ตราบใดที่เรายังไม่เกิดมหาสติ ตราบนั้นเราก็ยังมีสิทธิหลงได้ค่ะ หลงไปก็ให้รู้ว่าหลง นำบทเรียนนั้นมาชำระสะสางจิตของตนเอง ฝีกเพียรละไปเรื่อย ๆ ตามสัมปธานสี่ค่ะ การฝึกสร้างความอดทนทางใจจึงควรทำให้มีให้เกิดขึ้นก่อนเป็นอันดับแรก อย่างน้อยก็ระงับกายและวาจาก่อน ส่วนทางใจก็ชำระสะสางกันด้วย "สติ"ค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤษภาคม 2018
  19. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,490
    ค่าพลัง:
    +2,364
    แน่ใจ? รู้ว่าหลงก็รู้ว่าหลง? ก็ย้งไม่เห็นรู้นี่ครับ

    ในเมื่อคุณจิตยิ้มเล่นสายมโน รู้ไหมครับว่าทำไมถึงบอกว่ามโน? เพราะคุณจิตยิ้มพิจารณาตรรกะและเล่นสายสมมุติบัญญัตืไงครับ ขนาดจิตจักรวาลก็ยังไม่เคยเจอจริงๆเลยแล้วจะไม่ตรรกะได้ยังไง ในเมื่อคุณจิตยิ้มเป็นคนช่างสงสัย และหาตรรกะได้เก่งจนน่าไปสอบเปรียญ ดังนั้นก็มีตรรกะที่คุณจิตยิ้มชอบพูดว่า "ก็น่าคิดนะคะ"

    ดังนั้นการปฏิบัติของคุณจิตยิ้มคือตั้งคำถามและตอบ ต่อมาจึงลงมาปฏิบัติ. และธรรมระดับสูงคุณจิตยิ้ม "ทำไม่ได้". นี่ละทำไมคุณธรรมชาติถึงว่าคุณจิตยิ้ม มโน เพราะคุณเชื่อเหมือนที่ผมเคยบอกคุณไปว่าอยู่ในมิติแห่งความเชื่อ อยู่ๆดันลากองค์ปฐมมากล่าวเลื่อนลอย ? ว่าจะไม่ตอบละนะครับรู้ไหมครับว่าท่านนะ กำลังวิปลาศแล้วนะครับ รู้หรือไม่ทำไม? ในเมื่อท่านตั้งคำถาม บอกผู้อื่นก็น่าคิดนะคะ ก็น่าสนใจนะคะ บลาๆ


    แล้วเคยถามตัวเองบ้างไหม? ทำไมคนอื่นถึงมาคอยตอบเราเพื่อให้เปลี่ยนทัศนคติอยู่เรื่อย?
    "อืม ก็น่าคิดนะครับ"

    และความจริงอีกข้อก่อนจะวิปลาศคุณจิตยิ้มเคยสัมผัสธรรมโลกุตระมาแล้ว. มีข้อคิดและความจริงแท้เรื่องนึง. คนที่เข้าฌาน คนที่ทำสิ่งนั้นสิ่งนี้สำเร็จใหม่ๆ เขายังไม่รู้ละเอียดในสิ่งที่ทำด้วยซ้ำ เค้ายังต้องมานั่งรื้อฟื้นเพื่อค้นหาความจริงเสียใหม่

    "แล้วที่คุณจิตยิ้มพ่นมาเนี่ยมันคืออะไร? ในเมื่อคุณพึ่งจะเคยฟลุ้กทำได้ยังจะมั่นใจอะไรของคุณ? หรือโดนมโนหลอนไปหมดแล้วจะวิปลาศรู้หรือเปล่า"

    "เคยถามตัวเองบ้างไหมทำไมถึงกลับไปเข้าสภาวะแบบตอนนั้นไม่ได้อีก? ไม่สงสัยเหรอทั้งๆที่เคยฟลุ้กทำได้แต่อยู่ดีๆทำไมทำไม่ได้? ไม่คิดบ้างเหรอว่าตั้งแต่เริ่มมาสนใจ เมต้าฟิสิกข์ทางวิทย์ อะไรพรรค์นี้ ทำไมถึงไม่ได้สัมผัสอะไรแบบนั้นอีกแล้ว ไม่เคยถามตัวเองบ้างเหรอว่าเรากำลังผิดทางหรือเปล่า ยังยึดอยู่กับความเชื่อ ความเชื่อเป็นมโน เพราะมันไม่มีจริงหรือหากจริงก็คงมีอิงบ้างแต่ไม่ทั้งหมดแน่นอน. แล้วในเมื่อเล่นตรรกะศาสตร์บ่อยๆ เคยออกไปถามเจ้าของบทความไหม ? ว่าเขาทำได้จริงแบบที่บอกหรือเปล่า? เขาน่าเชื่อถือไหม? คนเล่นสายตรรกะแบบท่านควรไปถามนะจะได้รู้ไปเลยเลิกมโนซะที

    หรือหากความสามารถไม่ถึงที่จะถามยิ่งหนักไปใหญ่เลยเหมือน เพราะที่พ่นมาทั้งหมด มโน สิ้นดีและ มโนล้วนๆ

    เม้นท์สุดท้ายสำหรับท่านแล้วนะหากยังไม่ได้สติ ก็ขอให้โชคดี กับเรือเจ็ทสกีที่กำลังนั่งอยู่ซึ่งแน่นอนไม่ได้พาข้ามฝั่งนะ พาออกทะเลไปเลย

    ปล.ศาสนาพุทธเป็นวิทย์ตรงที่ผู้ใดทำได้สามารถย้อนดูและตรวจคำตอบด้วยตนเองได้ ผู้ใดตรวจคำตอบด้วยตนไม่ได้อย่าริอ้างวิทยาศาสตร์ใดๆ อย่านำวิทยาศาสตร์โลกมาปน มโนและตอบคำถามโดยสมมุติฐานนะครับ ระวังไว้นะครับ. "กรรมหนัก" นะครับการนำความรู้ผิดๆมาให้ผู้อื่นเนี่ย ปิดมรรคและผลคนอื่นเลยนะคิดว่าตนเองจะใช้กรรมกี่ปีคิดเอาเอง เหมือนวิสัยพระอรหันต์นั่นแหละอย่าเดายังไงก็ไม่ถูก แต่นี่เล่นเดายันองค์ปฐม ยังดีนะครับที่บุญนำไม่มีใครเชื่อคุณยิ่งคนเชื่อคุณมากเท่าไหร่ระวังนะครับอยู่ๆอาจจะร้อนขึ้นเรื่อยๆก็ได้นะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤษภาคม 2018
  20. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ หน้าตามันเป็นแบบ wormhole นี่แหละ จากคำถามก็เลยได้ "คำนิยาม" ใหม่ขึ้นมาว่า

    +++ จิตจักรวาล ย่อมมีวิวัฒนาการไปเป็น "จิต wormhole" ที่ชาวไอคุปต์เรียกมันว่า ตัว Apophis นั่นเอง แล...
     

แชร์หน้านี้

Loading...