เตรียมตัวให้พร้อม!มันกำลังมา แจ้งข่าวสารการชำระโลก

คนที่ลงมาเกิดยังโลกนี้มีสองประเภท คือ. ฝ่ายเทพ กับฝ่ายมาร

เทพมีหน้าที่โดนทดสอบ

มารมีหน้าที่สอบ

จนกว่าจะผ่านเข้านิพพาน

หรือไม่ผ่านก็ลงนรก

 

เอื้กๆๆๆ

 

ตราบใด ขาดการสดับ

อุปทานในขันธ์ยังร้อยรัด ยังมีฝุ่นบังตา

บุคคลให้ผลก้จะมี บุคคลรับผลก้จะมี

เทพผู้ช่วยทดสอบจะมี ผู้รับการทดสอบก้จะมี


เฮีย!!! ส่งมาเกิด สถานเดียว


ปล.ลิง....น้องๆหนูๆ อย่า ปนกับ ยัญมีผล
ตามปัจจัยการ หน่าฮับ อย่ามองเปน
มีคนรับส่วย มีคนอำนวย คนละเรื่อง

 

เปรียยกับ บุคคลทึ่เข้าไปในป่า แล้วออกมาจากป่า เขาย่อมต้องเห็นป่าดงดิบมีอะไรบ้าง มีทั้งสัตว์ดุร้าย เสือ สิงห์โต ผีป่า งู

แต่คนที่ยังไม่ได้เข้าไปสำรวจ หรือเข้าไปด็ครึ่งทางแล้วก็กลับออกมาแล้วไม่พบ ก็บอกว่าไม่เห็น ไม่มี ไม่จริง กระบอกตาความดันขึ้น

 

....

อุปปมา คนไม่เคยเห็นธรรม

เดินเข้าไปเจอ องค์กราโถน องค์มัธยม

ก้สำคัญว่า นั่นคือ ธรรม

เที่ยวมาบอก การเห็น ภพ

ว่าเปนการ รู้เห็นการพ้นภพ เพราะความ.ตื่นเต้น
พอใจ ยินดีในการเหน

ความยินดีใรการเหนนั้นเอง ที่จะเปนเหตุ
ให้เลือดทะลัก พุ่งออกจากลูกตา พุ่งออกจากปาก

เพราะความไม่เคยเหน การสิ้นอุปทานขันธ์ ที่ตรง
ตามความเปนจริง

 

นี่ไง!!... คุณ jityim มนุษย์ต่างดาว มาเตือนเรื่อง ภัยพิบัติใหญ่กับทีมงานเขากะลาอะนะ คลิปที่ 2 (โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชมด้วยอะครับ )

.
.
v

ปล.ในคลิป มนุษย์ต่างดาวบอกว่า จะเกิดแผ่นดินไหวใหญ่มากถึง ระดับ 15 ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ความแรงสูงสุดจะสามารถเกิดขึ้นจริงถึงระดับนั้นได้มั๊ย...เพราะระดับความรุนแรงของแผ่นดินไหวตามมาตราแคลลี่(ซึ่งมากกว่ามาตราริคเตอร์) สูงสุดวัดได้ที่ ระดับ 12 อะครับ

ที่มา : http://region3.prd.go.th/natural-disaster/journal5.php

 

กรรมมันยุติธรรมเสมอนะ

ไม่ลำเอียงเลยแม้แต่น้อย

เคยเห็นไหม! เวลาคนติเขามีความปราถนาดี
แต่คนที่ถูกติ.... มีวิบากรรมเรื่องทิฐิไม่ยอมรับการติ หรือ เคยถูกติมามากทั้ง ๆ ที่รู้สึกว่าไม่ได้รับความยุติธรรม และถึงการไม่ยอมรับความคิดเห็นคนอื่น หรือมีมานะ มองเห็นคนติตนเองทั้งหลาย เป็นคนผิดไปตามทิฐิความเห็นต่าง ๆ ตามกิเลสที่ตนสั่งสมไว้ อารมณ์ทิฐิความเห็นจึงเป็นวิบากกรรมของเขาที่ต้องเก็บไว้ หากไม่จางคลายได้ อารมณ์นั้นก็คอยวนเวียนให้ต้องคอยรับวิบากตลอดไป หาแก้ไขไม่ได้ก็ต้องมีทิฐิเช่นนี้ร่ำไปเมื่อมีเงื่อนไขมากระทบก็จะแสดงและรู้สึกเช่นนั้น

เขาจึงไม่ให้เพ่งโทษคนอื่น แต่ให้ย้อนกลับมาดูตัวเราแทน จึงไม่มีเวรกรรมต่อกัน และให้ใส่ใจว่าเขาทำไมจึงคิดเช่นนั้น เมื่อเราเข้าใจเราก็ไม่ถือสาโกรธเคืองใคร กรรมเขา กรรมเรา นี่เป็นหลักในการหยุดการก่อกรรม

เรื่องบางเรื่องมันเป็นกรรมของเราเอง.... อดีตเราเคยมีทิฐิแบบนี้ บางคนมาแสดงให้เราเห็น บางคนเขาก็มิทิฐิที่ปรารถนาดีจริง ๆ แต่ด้วยอารมณ์กรรมของเราเองต่างหาก ที่สั่งสมทิฐินั้นไว้ เราจึงเคยชินกับมัน.... โดยบางคนเราที่เขาแสดงออกต่อเราไม่ได้ตั้งใจและไม่รู้ว่าแต่ละคนมีความคิดเจตสิกสั่งสมไว้เป็นอุปนิสัยไว้เช่นไร? กรรมมันจึงอยู่ที่ตัวเจตนา เจตนาคืออะไร ? เจตนาย่อมมาจากความเห็น ทุก ๆ ความเห็นมีผลต่อชะตากรรมที่ทำให้ต้องเจอ เมื่อเราถูกกระทบ คือ การย้อนมองเห็นทิฐิของอารมณ์กรรมว่าเป็นอย่างไร? ผิดไปจากธรรมชาติของจิตเดิมไหม!! มีเหตุให้เราหวั่นไหวหรือไม่ ? มิใช่มัวแต่โทษคนอื่นนะคะ

ทุกอย่างจบลงที่ตัวเราเองก็จบ....

นี้คือประสบการณ์ของตนเอง ของการพิจารณากับสิ่งที่เคย เห็นว่าตนเองดีแล้ว แล้วคอยแต่เพ่งโทษคนอื่นนะค่ะ

 

มนุษย์ที่ไม่เข้าใจไม่รู้แจ้งความลับเบื้องหลังมิติโลกอันเป็นมิติคู่ขนานและเคยชินอยู่กับภาวะธรรมชาติปกติมาตลอด เข้าใจว่า ธรรมชาติก็คือธรรมชาติ มักจะไม่เชื่อเรื่องนี้ ส่วนมนุษย์ที่จิตใจสั่นไหวง่ายก็จะพากันอกสั่นขวัญแขวนไปกับข่าวร้ายเรื่อง "โลกแตก" เสียเกินจริง

แม้ว่าการกระทำครั้งสุดท้ายที่จะมาถึง แม้จะเป็นข้อมูลเกือบสิบปีที่ผ่านมาแต่ก็เป็นแผนที่ได้กำหนดไว้แล้ว และเป็นการชำระโลกครั้งที่สี่ที่จักรวาลวางแผนไว้แล้วว่าจะต้องนำโลกยกระดับขึ้นสู่ยุคใหม่ ไม่ว่าอย่างไร?โลกจะบอบช้ำไปกว่านี้อีกไม่ได้แล้ว ถ้ามนุษย์ไม่ช่วยกัน ถ้าสนามแม่เหล็กอ่อนแรงลงไปมาก เสี่ยงต่อการอุกาบาตมาชนทำลายโลก หากโลกต้องแตกหรือถูกทำลายไป ไม่ได้เสียหายเฉพาะแต่โลกเท่านั้น แต่จะพลอยให้เสียสมดุลไปทั้งระบบจักรวาลด้วย

เราอย่าดูแค่ภัยที่เกิดในประเทศไทย แต่เราต้องดูภัยที่เกิดทั่วโลกค่ะ สัญญาณผิดปกติของสภาพอากาศ ความวิปริตของอากาศในประเทศต่าง ๆ คือ เช่นประเทศแถบภูมิภาคตะวันออกกลางน้ำท่วม หิมะตก คบื่นความร้อน-คลื่นความเย็น มนุษย์เดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า เราอาจจะได้รับผล กระทบไม่มาก แต่ก็มีผู้ที่เขาได้รับผลกระทบอันนั้นสาหัส เราอาจจะไม่ทุกข์ยาก แต่คนทั้งโลกกำลังทุกข์ยากและโลกกำลังเดินไปถึงทางเสื่อม คือ โลกเกิดวิกฤติหนัก จึงส่งภาพความผิดปกติให้มนุษย์เห็น มนุษย์ก็มองว่าเป็นเรื่องภัยธรรมชาติ ก็เป็นเช่นนั้นเอง แต่ไม่ใช่....ทุกอย่างล้วนมีเหตุแห่งการเกิด มีเหตุแห่งการดำรงอยู่ และมีเหตุแห่งการดับ

ทุกอย่างต้องมีเหตุ โลกเสียการสมดุลและเสื่อมโทรมอย่างมาก หลายปีที่ผ่านมาโลกได้รับพลังงานจากจากระบบสุริยะ และจากดวงจันทร์มาช่วยค้ำจุนพลังงานโลกไว้ และที่เกิดภัยธรรมชาติทั่วโลกที่ผ่านมา ไม่ใช่สถานการณ์ภัยธรรมชาติปกติ แต่เป็นภัยธรรมชาติที่ได้รับมาจากคลื่นพายุระบบสุริยะ เมื่อมีการรับพลังงานมาขยับแนวแกนแม่เหล็กโลก โลกจึงเกิดการสั่นสะเทือนเกิดภัยต่าง ๆ อย่างที่เห็น

นี้เป็นการจัดระบบองค์ให้สมดุลของจักรวาล.....

การยกระดับพลังงานให้สูงขึ้นแก่โลก ทำให้ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ซึ่งเป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะ มีระดับพลังงานลดลงไปมาก การจัดระบบองค์กรให้สมดุลของจักรวาล จึงจำเป็นต้องลดจำนวนมวลดาวเคราะห์โลกให้น้อยลงไปจากเดิมด้วย ระบบจักรวาลจึงสมดุลต่อไปได้ เทคนิคที่กระทำที่มนุษย์สามารถสัมผัสรับรู้ได้คือ

ส่วนภาคพื้นดินจะหายไป 1 ใน 3 ส่วนจากที่มีอยู่

มนุษย์จำนวน 1 % ของที่มีอยู่ จะจบชีวิตลงกับภัยธรรมชาติในช่วงระยะะวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาในการกระทำทางเทคนิคของจักรวาลต่อดาวเคราะห์โลก หรือ อาจมากกว่านั้นถ้ามนุษย์ดำรงตนอยู่ในความประมาท

เนื่องจากกฎเกณฑ์ทางกายภาพของจักรวาล เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทั้งสิ้น ดังนั้นกระบวนการต่าง ๆ ของจักรวาล จึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับพลังงานล้วน ๆ

เราจะกล่าวเฉพาะกฎเกณฑ์ทางกายภาพของจักรวาล มันเป็นกลไกที่เคลื่อนไหลรูปแบบหนึ่ง มันเคลื่อนไหลของมันไปเรื่อย ๆ ไม่มีวันหยุดนิ่งและไม่รู้สิ้นสุด แม้ขณะที่มนุษย์กำลังอ่านอยู่ ณ ขณะนี้ก็ตาม กฎเกณฑ์ที่สำคัญก็คือ

1.การแผ่ขยายอวกาศออกไปเรื่อย ๆ ไม่รู้สิ้นสุด
2.การรักษาความเป็นหนึ่งเดียวกันของทุกสรรพสิ่งในระบบเอาไว้ให้ได้
3.การจัดระบบองค์กรของเอกภพให้สมดุลไว้เสมอ เพื่อการดำรงอยู่ของทุกสรรพสิ่ง

ทั้งสามประการนี้ มันมีของมันมานับล้าน ๆ ปี ตั้งแต่ครั้งการระเบิดใหญ่ในกระบวนการบิ๊กแบง จนเกิดเป็นกาแลกซี่เกิดระบบสุริยะ และเทหวัตถุต่าง ๆ ลดเลี้ยวเกี่ยวพันกันอยู่ในเอกภพอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ ซึ่งนักวิทยาศสาตร์ล้วนเข้าใจความจริงนี้ดี การก่อผลลัพธ์สามประการข้างต้น จักรวาลจึงต้องสร้าวกระบวนการที่สำคัญขึ้น 3 ประการด้วยกันคือ

1.กระบวนการเพื่อการเปลี่ยนแปลง
2.กระบวนการเพื่อการดำรงอยู่ของระบบ
3. กระบวนการเพื่อการสร้างใหม่ ให้ระบบมีความสมดุลไว้ตลอดไป

จะเห็นว่ากระบวนการสำคัญมันเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง....

มนุษย์เป็นสรรพสิ่งเล็ก ๆ ในเอกภพอันไพศาลนี้ คิดว่าตนเองนั้นสำคัญและยิ่งใหญ่กว่าสิ่งอื่นใดทั้งหมด ไม่คำนึงถึงความเป็นกฎเกณฑ์ของจักรวาล คิดและทำแต่สิ่งที่สนองความต้องการของตน โดยไม่คำนึงถึงการอยู่ร่วมกัน และการช่วยเหลืออเกื้อกูลกันทั้งระบบ ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน จะแบ่งแยกหรือทำลายซึ่งกันและกันไม่ได้ และระบบจะเสียสมดุลไปไม่ได้

หากเพียงแสงอาทิตย์ไม่ส่องแสงลงมายังโลก เพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลโลกและมนุษย์ มนุษย์กับโลกก็จะอยู่ไม่ได้...นี้เป็นแค่ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด มนุษย์ต้องคิดว่ามนุษย์ไม่ได้ยิ่งใหญ่นักหนาเหนือสิ่งใดเลย....

เหตุผลนี้น่าจะมีเหตุและผลที่สามารถพิสูจน์ได้กับโลกและผลกระทบกับโลกในปัจจุบันนี้ค่ะ

 

Sister ปรารถนาแบบนั้นหรือคับ?

 

ก็ไม่รู้ว่าความรุนแรงจะลดลงตามสื่อที่แจ้งไว้หรือเปล่าค่ะ เพราะข้อมูล 7 ปีที่ผ่านมา ที่แจ้งเตือนให้มนุษย์ร่วมมือร่วมใจกันเพื่อช่วยโลกได้ จึงขึ้นอยู่กับพลังงานของโลกที่เสียสมดุลไป ถ้าเป็นอย่างที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์แจ้งเอาไว้ เพื่อนำโลกเข้าสู่ยุคใหม่เป็นแผ่นดินธรรมอย่างแท้จริง

จุดศูนย์กลางการสั่นสะเทือนในครั้งสุดท้าย คลื่นพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กความถี่สูงที่เป็นพลังเย็นในระดับเจ็ด เพื่อเปลี่ยนของแนวแกนแม่เหล็กโลกไปสู่ตำแหน่งที่กำหนดไว้ล่วงหน้า

มันจะทำให้แผ่นดินใหญ่ของทวีปที่มีมหาสมุทรคั่นกลางเกิดการบิดตัวตามอย่างรุนแรงตามไปด้วย ขณะที่โลกจะปลดปล่อยคลื่นแม่เหล็กอย่างรุนแรงอันเกิดจากระเบิดภายในนั้นที่ถูกคลื่นพลังงานมหาศาลอัดให้เกิดการกระแทกที่รุนแรงยิ่งกว่าแผ่นดินไหวครั้งใด ๆ ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นมันจะเป็นไปอย่างต่อเนื่อง จากในใจกลางโลกออกมาสู่พื้นผิวด้านบน โดยใช้ระยะเวลาของกระบวนการเพียง 9 นาทีเท่านั้น แต่การสั่นสะเทือนของแผ่นดินจะต่อเนื่องยาวนานร่วม 8 ชม. ทีเดียว

เป็นข้อมูลคำสื่อของจิตจักรวาลค่ะ และอาจจะคล้ายกับมนุษย์ต่างดาวที่สื่อให้เขากะลา แต่จิตจักรวาลไม่ได้ระบุจำนวนริกเตอร์ แต่ระบุเหตุการณ์ล่วงหน้ามาให้ค่ะ

ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร เหมือนกับคำที่ว่า ใด ๆ ในโลกนี้ล้วนอนิจจัง "โลกนี้มีสรรพสิ่งใดเที่ยงบ้าง" เหตุการณ์จะเปลี่ยนแปลงหรือไม่! ขึ้นอยู่กับมนุษย์และพลังงานโลกที่เสียสมดุลเท่านั้น

แต่....สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลง คือ การนำพามนุษย์ยกระดับมิติโลกให้สูงขึ้น และนำไปสู่แผ่นดินธรรมอย่างแท้จริงค่ะ

ทุกอย่างไม่ใช่เรื่องล้อเล่นหรืองมงาย มีเหตุกับผลให้พิจารณา

 

เปล่าค่ะ ปราถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรค่ะ

 

รูปด้านล่าง ประเทศปากีสถาน ณ ตอนนี้..



นี้แค่บางประเทศในตะวันออกกลาง

ติดตามสถานะการณ์ได้ในกระทู้ ท่านสุกิจSukit ค่ะ ข้อมูลทั่วโลก

และกระทู้ท่านเกษม ตลิ่งจะพังแผ่นดินอธรรมจะถล่มเป็นทะเลค่ะ

 

+++ Big Bang คู่ขนาน เป็น "ธรรมชาติปกติ" jityim ยังไม่รู้เห็นสิ่งเหล่านี้มาก่อน ก็ไม่ควร "วิจารณ์มั่ว" ออกมาลอย ๆ อย่างประโยคข้างบนนี้

+++ จักรวาลมัน "วางแผนไป เกาหัวไป จนขนหัวร่วง หมดกบาล" แล้วยัง หา........

+++ แสดงว่า "จักรวาล มันโง่ถึงขนาดนั้นเลยเหรอ" วางแผนไปเกาหัวไป ว่าจะ "ฆ่าตัวตาย" ยังงัยดี แปก ๆ นะ...

+++ จักรวาลมันวางแผนของมันยังงัยเนี๊ยะ กระจอกจิง ๆ เหมือน "ลิงดิ้นในแห" ไม่มีผิด ยิ่งแก้ ยิ่งยุ่ง

+++ หา... นี่ "จักรวาล มันปัญญาอ่อน ถึงระดับนี้แล้วเหรอ..."

+++ เอ....... "จักรวาล มันเป็น ผู้ก่อการร้าย หรือป่าวเนี๊ยะ" สงสัยต้อง สะกิดตำรวจให้เข้ามาดูซะแล้วนะ

+++ สรุป

+++ 1. จักรวาลนั่งวางแผนการทำลายมนุษย์
+++ 2. จักรวาลวางแผนการทำลายโลก
+++ 3. จักรวาลมีเป้าหมาย ลดจำนวนมวลดาวเคราะห์โลกให้น้อยลงไปจากเดิม

+++ นี่มันเป็น "จิตผู้ก่อการร้าย" ที่ชัดเจนมากนะ จิตยิ้ม/จิตจักรวาล/จิตผู้ก่อการร้าย มันชัดเจนอยู่นะ
+++ ถ้ารู้ไม่จริง "อย่าพยายาม มั่ว จนกลายเป็น ผู้ก่อการร้าย" เลยจะดีกว่า
+++ ยิ่งมายิ่งกลายเป็น "ลิงดิ้นในแห" ไม่มีผิด

+++ ไปเรียก "ไอ้จักรวาล" มาคุยกับผมหน่อยนะ จะได้ "ขยายผล" จนถึงต้นเหตุได้ OK นะ...

 

จิตจักรวาลในความหมายของท่านธรรม-ชาติ คืออะไรคะ
ใช่มนุษย์ต่างดาว หัวโต ตัวเตี้ยเล็ก และตาโปนโต ใช่ลักษณะอย่างนี้หรือเปล่าคะ

 

+++ เคยบอกไว้ไม่รู้กี่ทีแล้วว่า "จักรวาล ไม่มีความเป็นจิต" แล้วยังเอาคำถามแบบ โรคจิต มาถามแบบไม่มีวันจบ
+++ ไอ้รูปที่โพสท์มานั้น เรียกว่า "ไอ้เตี้ย" ถูกสร้างมาเป็น "ทาสใช้งาน" มีอาการ "บกพร่องทางจิต รวมทั้ง เอ๋อ ๆ ทึ่ม ๆ เป็นองค์ประกอบ"

+++ jityim เห็น ไอ้เตี้ย เป็น "สิ่งสักสิด สูงสุด" ตามที่ "ปอ ตัน" เขียนหนังสือขาย เหรอ
+++ น่าอนาถ จนถึงที่สุดจริง ๆ เลยนะ

 

จิตจักรวาลโหดร้าย รึพลังมารเข้าแทรกแล้วมั้ง ผมก็เป็น ผู้สร้างกับผู้ทำลายล้างเกิดมาร่วมกัน เพียงแต่พยายามกล่อมให้ตัวทำลายล้างหลับได้เป็นพอ

 

จานปังจับไปใส่หนวดใส่เขาเลี้ยง
ไว้เป็นPet
แล้วฮับ

 

เปล่าค่ะ จิตจักรวาลไม่ใช่"ไอ้เตี้ย"(เรียกตามท่าน) แต่เคยเห็นท่านเคยกล่าวไว้ว่า จิตจักรวาลของท่านปอ เป็นไอ้เตี้ย นะค่ะ

ใช่เลยค่ะ ......

จักรวาล ไม่มีความเป็นจิต
แต่จิตจักรวาล มีความเป็นจิต (สมมุติชื่อให้เข้าใจตรงกัน)

แต่....ทุกสรรพสิ่งในสากลจักวาล และเอกภพอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ ทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นสองมิติ....

คือ ตัวตนในมิติกายภาพ และ ตัวตนในมิติพลังงาน
ซึ่งมิติพลังงาน หรือด้านของตัวตนที่เป็นแก่นแท้

ทุกสรรพสิ่งในสากลจักรวาลอันไพศาลนี้จะประกอบด้วยธาตุทั้ง 4 คือ

ของแข็ง คือ ธาตุดิน
ของเหลว คือ ธาตุน้ำ
ก๊าซ คือ ธาตุลม
คลื่นพลังงาน คือ ธาตุไฟ
(ทางศาสนาเรียกคลื่นพลังงานว่า "วิญญาณ")

ซึ่งมิติพลังงานจะถูกปกปิดมิติไว้ด้วยข้อกลไกของระบบประสาทสัมผัสทั้งหลายเหล่านี้ไม่สามารถสัมผัสรู้ดูเห็นมันได้

ด้วยเหตุนี้มนุษย์จึงต้องไม่เผลอไผลเข้าใจผิดคิดว่า ในโลกนี้หรือในจักรวาลนี้ ตัวตนของสรรพสิ่งในมิติพลังงานนั้นไม่มีอยู่จริง เพียงแค่ตนไม่สามารถสัมผัสรู้ดูเห็นหรือจับต้องตัวตนของมันไม่ได้โดยเด็ดขาด

การเป็นคนสองมิติ หมายความว่าอย่างไร?

กล่าวคือ เป็นคนที่มีสองภาคในตนเอง ถ้าจะเปรียบรูปธรรมมนุษย์คล้ายดั่งก้อนหิน ตัวตนในมิติกายภาพสามารถอยู่ในรูปลักษณ์ของแข็งที่มนุษย์สัมผัสรู้ดูได้ และตัวตนในมิติพลังงาน ล้วนถูกปกปิดมิติเอาไว้ไม่ให้สัมผัสรู้ดูเห็นได้ ซึ่วมันเป็นตัวตนที่ เร้นอยู่ข้างใน ตัวตนที่เป็นเปลือกนอกอีกที คือ

การที่หินแต่ละก้อน สามารถคงสภาพรูปธรรมความเป็นก้อนหินเอาไว้ได้ ก็เพราะมีตัวตนในมิติพลังงานที่เป็นรูปธรรมทางพลังงานเร้นอยู่ข้างใน ช่วยกันเหนี่ยวรั้งอนุภาคชิ้นเล็ก ๆ ทุก ๆ ชิ้นที่เป็นมิติในทางกายภาพของหินก้อนนั้นเอาไว้อย่างมั่นคง

ในทางศาสนา จะเรียกรูปธรรมซึ่งเป็นตัวตนในมิติพลังงาน ที่เร้นอยู่ในตัวตนในมิติกายภาพซึ่งมีรูปธรรมเป็นก้อนหินนี้ว่า "วิญญาณ"

และควรเรียกตัวตนในมิติพลังงาน ที่เร้นอยู่ภายในร่างกายสังขารรูปธรรมมนุษย์ว่า "จิตวิญญาณ"

มนุษย์ต้องรู้ว่า แม้สองคำนี้จะหมายถึงรูปธรรมทางพลังงาน ด้วยกันทั้งคู่ก็ตาม แต่.....

ถ้าเป็นรูปธรรมทางพลังงานที่ไม่มีความสมดุลในตนเอง กล่าวคือเป็นรูปธรรมทางพลังงานซึ่งมีคลื่นความถี่เฉพาะตัว มีคุณสมบัติเฉพาะตัว มีรูปธรรมไม่คงที่ และไม่มีจิตสำนึกเป็นของตนเอง ก็เรียกว่า วิญญาณ

แต่....ถ้าเป็นรูปธรรมทาวพลังงานที่มีความสมดุลอยู่ในตนเอง กล่าวคือ เป็นรูปธรรมทางพลังงานที่ประกอบด้วยคลื่นความถี่ในทุก ๆ มิติรวมตัวกันอยู่ภายในรูปธรรมเดียวกัน โดยมีลักษณะเป็นรูปธรรมเป็นรูปทรงเลขาคณิตที่สมดุลคงที่ และมีจิตสำนึกเป็นของตนเอง ก็เรียกว่า จิตวิญญาณ

"โลก" ก็เช่นเดียวกัน ก็เป็นรูปธรรมทางพลังงาน
"จักรวาล" ก็เป็นรูปธรรมทางพลังงาน
ทั้งสองอย่างมีลักษณะเดียวกันคือ ที่เป็นรูปธรรมทางพลังงานแก่นแท้ เรียกว่า "วิญญาณ"

และ มนุษย์ก็เป็นรูปธรรมทางพลังงาน ที่มี รูปธรรมทางพลังงานเป็นแก่นแท้ คือ "จิตวิญญาณ"

เพราะมีความต่างกันตามลักษณะข้างต้น ที่สำคัญที่เด่นชัด คือ "จิตสำนึก" ว่ามีหรือไม่มี...

แต่ทั้งหมดสรุปลงแล้วก็คือ ทุกสรรพสิ่งในสากลจักรวาลเอกภพอันไพศาลนี้ มีตัวตนแก่นแท้เป็นรูปธรรมพลังงานทั้งหมดทั้งสิ้นค่ะ

จักรวาล จึงไม่ใช่ "จิตวิญญาณ"

แต่..จิตจักรวาล ก็คือ นัยยะหนึ่งที่เรียกให้มนุษย์เข้าใจมีลักษณะของ "จิตวิญญาณ" นะค่ะ

 

555 ไหนไหนก็ไปรับจ๊อบจากจักรวาลมาแล้ว
ก็ต้องโปรโมทให้ได้ลูกค้าให้มากที่สุด
ฮับ จะได้รับงบปีต่อๆไปรายได้
ไม่ขาดมือ

 

เรียกวิญญาณจักรวาล ก็ขลังดีฮับ