เตรียมตัวให้พร้อม!มันกำลังมา แจ้งข่าวสารการชำระโลก

สำหรับผม "ไม่สมกันเลยครับ" จิตยิ้ม "แค่เห็นไม่ตรงตามจริงเฉยๆ แต่เขาเชื่อ" นี่คือข้อเดียวที่เหมือน โงบะ แต่จิตยิ้ม "แมนกว่าหงบมาก มีโทสะก็รู้ จะงัดก็งัดเลย" นี่ผู้หญิงนะครับเนี่ย ดันแมนกว่า "ตุ้ด" อีก

แถม "จริงๆจิตยิ้มเขาหวังดีด้วยซ้ำ" แต่แค่ไม่ยอมละทิษฏิเห็นผิดซักที "ขณะที่โงบะ มีเจตนาซ่อนเงื่อน" คนละระดับกันเลยฮับคุณรีเฟลค

 

ก๊าก กั๊กๆๆๆๆๆๆ
เห็นสักว่าเห็น ...อ่านสักว่าอ่าน... เมื่อตนไม่มี... ไม่มีแม้โลกนี้โลกหน้า

วางจิตลงเป็นพรมเช็ดเท้า

 

คุณทำไม่ได้หรอกครับอันนี้ "เมื่อรู้อยู่" ย่อมไม่ "กั้ก กั้ก กั้ก" อะนะ "อันนี้เขาเรียกเมา" ฮับ สรุป "จะรู้อยู่ หรือ จะกั้กเอาให้แน่ฮับ"

คำพูดนี้ใช้ข้ามกะมู้ได้จึงก็อบมาอีกรอบฮับ สรุปจะกั้กกก หรือจะรู้ฮับแลดูสับสนนะฮับ

 

คิกคิก เหอเหอ

 

JY เค้านับถือศาสนา" ครุทธ์ " .( คริสต์ผสมพุทธ)

 

อย่าปลุกจิตโทสะของเราให้ตื่นนะ ไม่งั้นทุกคนจะเดือดร้อน สิได้ฮู้กันว่าไผเป็นไผ

ก๊ากกกก ก๊ากกกก ก๊ากกกก ก๊ากกกก

 

ใจเย็นๆ กันเน้อ

 

55555 ตอนนี้คงรีเทิร์น(พุทธ)แล้ว(มั้ง)นะฮับ

 

สรุปเจ้าคลื่นพลังงานล้างโลกปริศนานี่จะเอาไง รอพระยาธรรมคนเดียวรึไงฮับจะมาหลังล้างโลกใช่เปล่าฮับ ได้แต่ถ่วงเวลาทรมานมนุสโลกไปวันๆ

 

แต่การปรับระดับมิติของโลกให้สูงขึ้น เกิดขึ้นมาแล้ว และเกิดมานานนับสิบปีแล้วค่ะ ความช่วงทุกข์ทรมาน น่าจะมาจากกรรมของมนุษย์ยุคนี้นะคะ ต่างประเทศพวกเขาเจอภัยพิบัติทุกข์แสนสาหัสกว่าประเทศของเรามาก เราอยู่ในช่วงยุคนี้ต้องเจอทั้งภัยพิบัติ และทุกขภิกภัย ภัยจากความอดยาก ภัยจากจิตใจของมนุษย์ด้วยกันเอง สารพัดภัย ก็แล้วแต่ว่าใครจสร้างบารมีเข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างไรนะค่ะ การสร้างบุญบารมีในยุคนี้ถือว่าเป็นการเห็นทุกข์ได้ดีมาก การเห็นทุกข์ ก็คือ การเห็นธรรม โดยเฉพาะภัยจากจิตใจมนุษย์ด้วยกัน ทำให้เราได้สติปัญญาเกิดขึ้นเป็นอย่างมากหากเรารู้จักพิจารณา

ส่วนเรื่องการล้างโลก หลาย ๆ คนคิดว่า การล้างโลกเป็นการทำลายโลก ซึ่งจริง ๆ แล้วการยกระดับมิติให้สูงขึ้นเป็นการช่วยมนุษย์กับโลก ถ้าโลกยังดำเนินอยู่ต่อไปได้ โลกก็อยู่ในสภาพแบบนี้ต่อไป โลกก็จะค่อย ๆ ปรับสภาพของโลกไป ธรรมชาติที่ผิดปกติของโลกก็จัดการมนุษย์ไป จะใช้ระยะเวลาเนิ่นนานแค่ไหน ก็แล้วแต่ว่าเหตุปัจจัยในโลกค่ะ

การที่โลกพลิกกลับขั้ว ไมมีใครทำให้โลกพลิกกลับขั้วได้ นอกจากโลกปรับสมดุลของตนเองโดยอัตโนมัติ เนื่องจากองค์ประกอบพร้อมแล้ว คือ การขาดความสมดุลหรือสนามแม่เหล็กอ่อนแอเกินไปจนเกิดการพลิกคว่ำ ถ้าเหตุไม่ถึงพร้อมก็จะไม่เกิดค่ะ

ส่วนเรื่องพลังงาน การปรับยกระดับมิติก็คือการปรับเรื่องพลังงานให้สูงขึ้น โดยการย้ายแกนแม่เหล็กโลกให้ไปตามกำหนดที่วางไว้ เมื่อแกนโลกเบี่ยงเบนไป การสั่นสะเทือนใต้ภิภพย่อมเกิดขึ้น นี่คือ สาเหตุการเกิดภัยพิบัติต่าง ๆ ขณะที่ย้ายแกนแม่เหล็กโลก แล้วสภาวะของภัยต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั่นก็เพราะ เช่นน้ำท่วม ภูเขาไฟระเบิด หรือเกิดคลื่นสึนามิ หลุมยุบ แผ่นดินยุบ นั่นก็เป็นกรรมของคนประเทศนั้น หรือเป็นกรรมของแต่ละบุคคลที่จะต้องรับชะตากรรมในการเปลี่ยนแปลง บางคนไม่รู้ไม่เข้าใจเกิดการต่อต้านกับพลังงานในตนเอง กับพลังงานที่เพิ่มขึ้น ก็มีการระเบิดของจิตสำนึก ฆ่าตัวตาย หรือ ฆ่ากันเอง หรือ ประสบเหตุภัย ก็นี่เป็นการภัยจากการชำระล้างค่ะ

ส่วนคำว่ายุคสุดท้าย คือการล้างส่วนเกินออกไปทำไมจึงเลื่อนมาเรื่อย ๆ น่าคิดนะคะ จิตยิ้มก็รอเหมือนกันเหมือนมันอยู่ในสภาวะสุญญากาศยังไงยังงั้น หรือนี่เป็นความโชคดีหรือโชคร้ายของมนุษย์ยุคนี้กันแน่ โชคดี คือ เห็นทุกข์ โชคร้าย คือ เป็นทุกข์

รอค่ะ....ได้แต่รอว่า.....

๑.เหตุค่อย ๆ ทะยอยเกิดไปทีละแห่ง ๆ ไป
๒.เหตุเกิดความพร้อมกันทีเดียวทั้งโลกในขั้นสุดท้าย

เดายากมากค่ะ นี่ไม่ใช่การทำลายล้างโลก แต่เป็นการช่วยเหลือโลกกับมนุษย์ มันเลยต้องไม่เป็นดั่งที่ใครคาดหวังไว้เลย เพราะต้องหาวิธการที่ดีที่สุด ทำไมจึงคิดเช่นนั้น เพราะถ้าทำลายกันจริง ๆ รวดเดียวก็จบแล้วค่ะ ภัยธรรมชาตินี้ก็เพื่อจะลงโทษมนุษย์ให้สำนึก ใช้ระยะเวลาเนิ่นนานแค่ไหน นี่ก็เกือบจะ 30 ปี แล้ว ตั้งแต่ปี 35 ส่วนจะต่อไปอีกนีกเท่าไหร่ คิดว่าน่าจะขึ้นอยู่กับวัฏจักรของการเปลี่ยนแปลงค่ะ

ใจที่รับสภาพได้ทุก ๆ สภาวะที่เกิดขึ้นในขณะนี้ น่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ไม่รอคอย ไม่คาดหวัง และอยากค่ะ อยากเจอสังคมที่ดีดีในโลกนี้

ไม่ต้องเชื่อจิตยิ้มหรอกค่ะ จิตยิ้มก็เพ้อไปเรื่อยเหมือนกัน เหมือนเราอยากเจอสังคมที่ดีดีในโลกนี้ อยากให้โลกเป็นไปอย่างที่ใจเราคิด เราอยากเห็นโลกใหม่....เหมือนกันค่ะ

 

แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์เคยกล่าวไว้ว่า ...รู้ว่าอะไรจะเกิดขี้นกับโลกใบนี้บ้าง แต่ไม่สามารถบอกได้ เพราะมันคือ ความไม่เหมาะสม ความไม่เหมาะสมนั่นแหละคือ ความเหมาะสม เพราะวัตถุประสงค์หลัก ต้องการยกระดับจิตใจมนุษย์ ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน วันเวลาที่เกิดภัยธรรมชาติโลกนี้ ที่แน่ ๆ ไม่มีใครในโลกมนุษย์คนใดคนหนี่งรู้อย่างแน่นอนค่ะ นอกจากคาดเดาเท่านั้น ที่จะรู้ก็เพียงแต่ว่ามนุษย์จะปฏิบัติตนอย่างไร และมีวิธีการรับมือกับมันอย่างไรแค่นั้นค่ะ

ส่วนใหญ่จิตยิ้มจะนำคำของสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาลงไว้แล้ว จิตยิ้มนำมากล่าวแบบย่อ ๆ ใหม่ สำหรับคนที่เพิ่งเข้ามาอ่านขี้เกียจย้อนกับไปอ่านเพราะมันเยอะ ก็จะสรุปให้ถ้าอยากรู้นะค่ะ

 

ท่านไฮเปอร์กำลังทุกทรมานเรื่องใดอยู่ค่ะ เล่าสู่กันฟังได้เปล่า? หรือทุกข์แทนคนอื่นที่เห็นโลกตกอยู่ในสภาพแบบนี้

 

ติดตามสถานการณ์กระทู้ท่านสุกิจ หน้า 2253 ค่ะ อเมริกาโดนหนัก - 50 องศา โลกกำลังโดนคลื่นอากาศร้อน และอากาศเย็น อย่างหนักหน่วงตามคำสื่อที่ใกล้ช่วงระยะเวลา

และประเทศไทย โดนฝุ่นพิษติด ๑ ใน ๑๐ ของโลก

รูปภาพประเทศอเมริกาที่กำลังโนภัยพิบัติปัจจุบันนี้ค่ะ



และแผลที่เป็นเนื่องจากความหนาวเย็น หรือน้ำแข็งกัดจากความหนาวเย็น

 

ดินแดนที่ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเต็มไปด้วยจิตวิญญาณของนักรบแสงสว่าง ผู้ปฏิบัติตนในความดีงามตามคำสอนของพระศาสดาแท้จริงเท่านั้น จะเป็นดินแดนที่ปลอดภัยบนโลกใบนี้

- จำนวนหนักมวลโดยรวมของระบบโลกต้องลดลง
- ค่าแรงสั่นสะเทือนทางจิตสำนึกของโลกจะต้องสูงขึ้น
- อำนาจแม่เหล็กโลกจะต้องเพิ่มขึ้น
- ระบบโครงข่ายสนามแม่เหล็กโลกต้องเปลี่ยนไปจากเดิม

เหตุผลทั้ง 4 ข้อนี้จะต้องเกิดแน่นอน จากการปรับยกระดับพลังงานโลกใหม่นี้

มนุษย์อย่างน้อย 1 % จะต้องหายไปจากโลกนี้

เกาะบางเกาะในแผนที่โลกจะจมหายไปในทะเล และแผ่นดินที่รุ่งเรืองด้วยเทคโนโลยีจะถูกแบ่งเป็นสองซีก โลกจะต้องเขียนแผนที่ใหม่เนื่องจากน้ำจะเพิ่มขึ้น ผืนแผ่นดินในทวีปจะลดน้อยลงไป

 

ปฏิฆะสัญญา หากเราตั้งเอาไว้ว่า จะมีปัญหากับต้นไม้ซักต้นหนึ่ง ความรู้สึกกดดัน ขึงเครียด
ต่อต้นไม้ต้นนั้นย่อมทำให้เกิดเวทนาที่เป็นทุกข์ขึ้น แม้ต้นไม้ต้นนั้นจะไม่ได้ส่งพลังงานอะไรๆ
มาตอบสนองเรา ความสุขของผู้มีปฏิฆะสัญญา ก็คือการทำให้ต้นไม้นั้นหายไป
ทั้งที่ต้นไม้ต้นนั้นก็ไม่ได้ไปทำอะไรๆกับเรา จึงทำให้มีส่วนแห่งความเป็นมิจฉาทิฐิ
คือการ เห็นทุกข์ของผู้อื่นนั้น เป็นสุขของตัวเรา

เมื่อเห็นผู้ที่เรามีปฏิฆะสัญญา นั้นกำลังได้รับความสุข แต่เรานั้นจะยิ่งกลับมีความทุกข์ที่เพิ่มขึ้น
โดยรวมของผู้มีปฏิฆะสัญญาก็เป็นความเห็นสลับขั้วนั้นเอง

ปฏิฆะสัญญา ก็เปรียบเสมือนกับ คานรับน้ำหนัก

หากผู้ที่เรามีปฏิฆะสัญญาด้วย เขามีบุญบารมีมาอยู่พอประมาณ เราจะรู้สึกได้ถึงความหนักหน่วง
ทางเวทนาเราที่เกิดขึ้น โดยที่อีกฝ่ายนั้นไม่ได้ไปทำอะไรๆกับเราเลย

เรื่องการชำละล้างอะไรๆ บลาๆๆ นี้ไม่ต้องรีบพิจารณามากครับ หากโดยปกติเรานั้นก็เป็นคนเครียด
มีมาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เอาไว้มีเหตุเกิดก่อนก็ค่อยรับทราบไปตามลำดับเป็นเรื่องๆไปครับ

คนดีบนโลกก็ยังมีอยู่อีกมาก หากไปชำระส่งเดชจนเกิดปฏิฆะสัญญา ที่จะไปชำระคนดีๆ
คานเราจะหักโครมลงมาได้ง่ายๆครับ

 

ปฏิฆะสัญญาเป็นแรงกดดันภายในของผู้นั้น
ปฏิฆะสัญญาย่อมส่งออกไปถึงเป้าหมายแก่ผู้รับ
ปฏิฆะสัญญาย่อมก่อเวร

เรื่องบางเรื่องที่เรากำลังเผชิญอยู่ขณะปัจจุบัน นั้น จะสังเกตุได้ว่ามันมีเหตุเชื่อมโยงมาจากอดีต หรือเป็นผลลัพธ์หรือผลกรรมอันเกิดจากอดีตที่เกี่ยวข้องกับตัวเราทั้งสิ้น

มนุษย์จะต้องระลึกไว้เสมอว่า เงื่อนไขใด ๆ ที่เราไม่พึงประสงค์อันเกิดจากการแสดงออกหรือกระทำของบุคคลอื่น ๆ นั้น ส่วนใหญ่แล้วมักจะมีสาเหตุเกี่ยวเนื่องจากตัวเราเองแทบทั้งสิ้น คงมีเพียงส่วนน้อยเท่านั่นที่เป็น "บทเรียนใหม่" ซึ่งผู้อื่นที่หยิบยื่นให้โดยไม่มีเราเป็นเหตุหรือไม่มีเราเข้าไปเกี่ยวข้องกับเงื่อนไขนั้น

อาจพอจะมองภาพได้ว่า การเกี่ยวข้องต่อกันมักมีเรา หรือ เขาเป็นสาเหตุ.....ไม่มีสิ่งมีสิ่งใดเกิดขึ้นมาได้ลอย ๆ แน่ค่ะ

 

สมมุติว่าถ้าเราเข้าไปเยี่ยมเยียนบ้านท่านด้วยความที่อยากจะเข้าไปดู แล้วมีความปราถนาดีที่อยากจะมีอะไรให้ช่วยบ้าง แล้วพอเข้าไป เจ้าของบ้านคิดว่า เราไปแสนรู้กว่า และ พอเราไปเยี่ยมอีกครั้ง กลับเราเรื่องเราไปเสียดสีนินทาว่ากัน ไม่ได้เป็นแค่ครั้งเดียว หลายครั้งมาก พอเราเข้าไปรู้สึกถึงการต้อนรับดีมาก แต่กระแสกลับไม่โปร่งเบาสบาย กลับรู้สึกหงุดหงิดใจทุกครั้งที่เข้าไปเยี่ยมเยียน ท่านคิดว่า เจ้าของบ้านนั้นคิดอย่างไรกับเราค่ะ ทั้ง ๆ ที่ดูเขาจะแสนดีกับเราอย่างมาก เรารับรู้ได้ถึงสิ่งเหล่าที่เราเข้าไป เราก็เลยไม่อยากจะเข้า แสดงว่ามันต้องมีอะไรที่แฝงเร้น......

เราจะมีวิธีแก้ปัญหาเรื่องแบบนี้อย่างไร?

เพราะไปทีไรแสนรู้ทุกทีเลยค่ะ

 

ไม่หรอกค่ะ มันเป็นความกดดันจากทิฐิที่เราเป็นสาเหตุหรือเปล่าคะ

 

อย่าไป ศึกษา ปฏิฆะสัญญา แบบนั้น

ปฏิฆะสัญญา จะต้องมี จะต้องใช้

ผัสสะ กระทบจิต จะต้องอาสัย ปฏิฆะสัญญา
ตอบสนอง มันจึงเกิด สฬายตนะ

ลูกกาตา จะคงรูปเปน ลูกกตา
ต้องใช้ ปฏิฆะสัญญา เนื้อลูกตา
จึงจะก่อเกิด สมบูรณ์

ถ้า ผัสสะกระทบ จิต ปฏิฆะไม่เกิด
ตาจะฝ่อ บอด กลายเปนหลุม มะมี
วุ้น น้ำตา ลูกตา ขี้ตา

พยาบาทวิตก วิหิงวาวิตก จะ อีกเรื่องหนึ่ง


ปล. สายตาจะดี เมื่อกำหนดรู้ปฏิฆสัญญา
ทุกลมหายใจเข้าออก ...อานาปานสติ นั่นแหละ

 

การรู้ปัจจุบันแห่งตน...

การรู้ปัจจุบันแห่งตน หมายถึง รู้ว่าขณะนั้นที่ตนกำลังสัมผัสรู้ดูเห็นและคิดนึกถึงใคร สิ่งใดหรือเรื่องใดอยู่ และสามารถรู้เท่าทันได้อย่างถ่องแท้ว่าที่ตนสัมผัสรู้ดูเห็นและคิดนึกอยู่นั่น

มันถูกต้อง เหมาะสม ดีงามหรือไม่

สิ่งนั่นตนควรรับรู้และรับเอาหรือไม่

สิ่งนี้นตนรับรู้ได้แต่ไม่ควรรับเอาหรือไม่

สิ่งนั้นตนไม่ควรรับรู้และไม่ควรรับเอาหรือไม่

การแสดงออกซึ่ง ความมีสติอยู่กับปัจจุบัน ของตนเองทั้ง 4 ประการที่ว่านี้ เป็นคุณสมบัติของผู้ที่มี "การตื่นรู้" หรือตื่นตัวตลอดเวลา หรือ อาจกล่าวได้ว่า

"ตื่น" หมายถึง การสามารถที่จะระลึกได้หรือคิดได้ด้วยสติปัญญา

"รู้" หมายถึง การสามารถที่จะรู้ตัวหรือรู้สำนึกบาปบุญคุณโทษ รู้ถูกผิดดีชั่ว และรู้ควรไม่ควรที่จะแสดงออกหรือกระทำพฤติกรรมนั้น ๆ ก่อนการตัดสินใจหรือแสดงออกหรือกระทำมันนั่นเอง

ถ้าเราตื่นรู้ได้ เราก็จะไม่พลาดหรือเลือกที่จะกระทำแต่สิ่งดี ๆ ให้ตัวเองค่ะ