ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,686
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Watchers




    #ข่าวภัยพิบัติ

    29/01/19

    ปชช.ผู้อยู่อาศัยใน เดนเวอร์ #Denver สหรัฐอเมริกา

    เผชิญหิมะตกเมื่อวันจันทร์นี้ หิมะตกที่หนักกว่าที่คาดไว้ความสูงเพิ่มขึ้นระหว่าง 4 ถึง 8 นิ้วทั่วเมือง! #COwx

    เครดิต : Weather nation #Watchers
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,686
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Watchers



    #ข่าวภัยพิบัติ

    เมื่อ28/01/19

    น้ำท่วม อูฐเป็นครั้งที่สอง

    ในจังหวัด ทาบุก ซาอุดีอาระเบีย

    #Tabuk, #SaudiArabia

    เครดิต : Rashid_Almethen

    @rashidalmethen #Watchers
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,686
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Watchers

    IMG_8562.JPG
    #ข่าวภัยพิบัติ #สภาพอากาศสุดขีด

    29/01/19

    Winter Storm Jayden: มีผู้เสียชีวิตสามรายและเที่ยวบินกว่าพันเที่ยวบินถูกยกเลิกเนื่องจากพายุเคลื่อนตัวผ่าน

    สำนักงานรัฐบาล,โรงเรียนและธุรกิจต่าง ๆ ของมิดเวสต์ต้องปิดชั่วคราว - และตำรวจก็ต้องวิ่งจ๊อกกิ้ง


    Winter Storm Jayden Will Spread Snow to Parts of South, East, Midwest, Plains


    มีการยกเลิกเที่ยวบินไปและกลับจากสหรัฐฯมากกว่า 1,800 เที่ยวบินในเวลา 19:45 น. ในวันจันทร์ ส่วนใหญ่บินออกจากหรือไปยังสนามบิน O’Hare และ Midway ของชิคาโก

    มีการ ยกเลิกเที่ยวบินมากกว่า 775 เที่ยวแล้วในวันอังคาร


    ในรัฐวิสคอนซิน นายโทนี่ เอเวอร์ส โฆษกรัฐประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ในวันจันทร์ขยายเวลาไปสิ้นสุดสัปดาห์ในการทำงานเพื่อให้แน่ใจว่าสินทรัพย์ของรัฐมีพร้อมใช้งาน รวมถึงหน่วยรักษาความปลอดภัยแห่งชาติของรัฐวิสคอนซิน หากจำเป็นเพื่อช่วยเหลือชุมชนทั่วรัฐและทำให้ประชาชนอบอุ่นและ ปลอดภัย


    หน่วยงานของรัฐในมิชิแกน ปิดตัวลงในเช้าวันจันทร์โดยมีหิมะตกหนักเคลื่อนเข้ามาในพื้นที่ มีเพียงสำนักงานที่สำคัญเท่านั้นที่ยังคงเปิดอยู่พร้อมกับพายุหิมะที่พัดถล่มรัฐ นาย เกร็ต วิตเมอร์ คณะรัฐ ขอให้ผู้ขับขี่ขับรถออกจากถนนเพื่อความปลอดภัย


    หน่วยลาดตระเวนรัฐมินนิโซตา รายงานอุบัติเหตุ 134 ครั้งและ มีรถหมุนออกนอกถนน(ถนนลื่น) 137 ครั้ง ตั้งแต่เที่ยงคืนวันอาทิตย์ถึง 10:00 น. วันจันทร์


    ข่าวจาก AP :



    ข่าวจาก CBS CHICAGO:



    นี่เป็นพายุฤดูหนาว ครั้งที่3ในปี 2019 !!

    ที่ทำลายสถิติของ...?

    #Watchers


     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,686
    ค่าพลัง:
    +97,150
    น้ำท่วมซาอุดิอาระเบีย แชร์คลิปสะพรึง จนต้องปิดถนน-โรงเรียนหลายแห่ง
    fb_154883074314.jpg

    สำนักข่าวมุสลิมไทยโพสต์: น้ำท่วมซาอุดิอาระเบีย แชร์คลิปสะพรึง จนต้องปิดถนน-โรงเรียนหลายแห่ง

    เจดดะฮ์ – ทางการเตือนภัยประชาชนเมื่อวันที่ 28 มกราคม ที่ผ่านมา เนื่องจากเกิดฝนตกหนักและพายุทรายหลายแห่งในราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบีย จนทำให้น้ำท่วม และต้องปิดโรงเรียน รวมทั้งสภาพท้องฟ้าที่มืดมัวจนไม่อาจมองเห็นได้ในระยะไกล

    img_154883047925.jpg

    มีรายงายฝนตกหนักทางตอนเหนือและตะวันตกของราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบีย เมื่อวันที่ 27 และ 28 มกราคม ในขณะที่พายุทรายพัดกระหน่ำในบริเวณที่มีประชาชนอาศัยอยู่ จนทำให้ท้องฟ้ามืดมิด

    มีการสั่งปิดโรงเรียนในเมือง Tabuk, Arar และเมือง Al-Jawf เนื่องจากมีน้ำท่วมฉับพลัน และท้องฟ้ามืดครึ้มเป็นอุปสรรคในการมองเห็นในหลายเมืองรวมทั้งริยาดฮ์

    img_154883029888.jpg

    น้ำท่วมซาอุดิอาระเบีย

    img_154883029687.jpg

    น้ำท่วมซาอุดิอาระเบีย

    พันเอกโมฮัมเหม็ด อัล-ฮัมมาดี โฆษกหน่วยป้องกันพลเรือน เผยว่า สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงไปมาอย่างรวดเร็ว ในริยาดฮ์ มักกะฮ์ และในภูมิภาคใกล้พรมแดนตอนเหนือ เมืองฮาอีล ตาบูก กอสซิม มาดินะฮ์ จังหวัดทางตะวันออก ได้แก่ อาซีร ญาฮาน และ Al-Jawf จึงขอให้ประชาชนระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการออกไปยังหุบเขา หรือพื้นที่ที่เสี่ยงอันตราย

    ทางการสนามบินนานาชาติ คิง อับดุลอาซิส ในเจดดะฮ์ ได้ประกาศเตือนผู้โดยสารเครื่องบินให้ตรวจสอบเที่ยวบินที่อาจจะต้องล่าช้า และหลายสายการบินที่อาจจะต้องยกเลิก

    หน่วยป้องกันพลเรือนได้ช่วยเหลือประชาชน 65 คนในเมืองตาบูกก และอัล-จู๊ฟ และ 37 คนในเมืองดูบา รวมทั้งเตือนให้ใช้ความระมัดระวังอย่างสูงในการขับรถ

    ทางการฝ่ายอุตุนิยมวิทยา และการปกป้องสภาพแวดล้อม ได้คาดการณ์ว่าจะมีฝนตกทางตอนเหนือและตะวันตก รวมทั้งมีพายุทราย หรือฝุ่นในหลายส่วนของราชอาณาจักร

    img_154883037389.jpg

    น้ำท่วมซาอุดิอาระเบีย

    img_154883038086.jpg

    น้ำท่วมซาอุดิอาระเบีย


    http://news.muslimthaipost.com/news/32149
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,686
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ดินโคลนผุดกลางทุ่งนา ชาวบ้านเชื่อพญานาคแสดงอิทธิฤทธิ์ ประจำวันที่ 30 มกราคม 2562

    ภายหลังจากชาวบ้าน ที่บ้านโคกกระเบื้อง ตำบลโคกกระเบื้อง อำเภอบ้านเหลื่อม จังหวัดนครราชสีมา ได้พบสิ่งแปลกประหลาดเกิดขึ้นกลางทุ่งนา เนื่องจากมีดินโคลนผุดขึ้นมาจำนวนมาก แล้วไหลลงไปตามพื้นราบโดยรอบ ซึ่งชาวบ้านได้ทดลองนำไม้ไผ่ขนาดยาวหลายเมตรสอดใส่ลงไปในหลุมที่มีโคลนผุดขึ้นมาปรากฏว่า ปลายไม้ไผ่ยังไม่ชนกับก้นหลุม แสดงให้เห็นว่าหลุมดังกล่าวมีความลึกมาก ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า พื้นผิวบริเวณดังกล่าวยังมีดินโคลนผุดเกิดขึ้นมาพร้อมกันอีกหลายจุด โดยชาวบ้านเกรงว่าอาจจะเกิดอันตรายนั้น

    %E0%B9%81%E0%B8%97%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B8%A1.jpg

    ล่าสุดเช้าวันนี้ (30 ม.ค.) นายธวัชชัย เลาวัณย์ศิริ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลโคกกระเบื้อง ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบความเดือดร้อนจากปัญหาโคลนผุด ซึ่งเกษตรกรเจ้าของพื้นที่ได้รับผลกระทบไม่สามารถประกอบการเกษตรในพื้นที่ที่เกิดโคลนผุดได้ โดยทางองค์การบริหารส่วนตำบลโคกกระเบื้องได้จัดทำป้ายประชาสัมพันธ์เตือนอันตราย พร้อมจัดเจ้าหน้าที่ อพปร. ดูแลความปลอดภัยโดยรอบพื้นที่ และจะได้ทำหนังสือแจ้งเหตุที่เกิดขึ้นไปยังอำเภอบ้านเหลื่อมเพื่อขอความช่วยเหลือกับเกษตรกรต่อไป

    %E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%99.jpg

    ขณะที่มีชาวบ้านในพื้นที่หลายรายเชื่อว่าเหตุการณ์โคลนผุดที่เกิดขึ้น เป็นสิ่งที่เหนือธรรมชาติ และได้นำดอกไม้ธูปเทียนไปกราบไหว้ขอโชคลาภ อย่างเช่น นายทองใส ศรีสงัด เชื่อว่าโคลนผุดที่เกิดขึ้นนี้มาจากการที่พญานาคแสดงอิทธิฤทธิ์ ดังที่เห็นได้จากรอยแยกของดินโคลนที่ไหลออกมาจากรูดิน เมื่อโคลนแข็งตัวแล้วมีลักษณะคล้ายกับเกล็ดของพญานาค รวมถึงลักษณะการไหลของโคลนก็คล้ายกับพญานาคเลื้อยออกมาจากรู

    %E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%20(2).jpg
    %E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%94.jpg

    ผู้สื่อข่าวได้สอบถามไปยัง ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด๊อกเตอร์ อัฆพรรค์ วรรณโกมล หัวหน้าสาขาวิชาเทคโนโลยีธรณี สำนักวิชาวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี เปิดเผยว่า ที่เห็นโคลนผุดขึ้นมาจากดิน น่าจะเป็นการไหลทะลักขึ้นมาของน้ำใต้ดินที่มีแรงดันในระดับตื้น ผ่านชั้นดินที่เนื้อละเอียดขึ้นมาตามรอยแตกหรือรอยแยก ผสมกันกลายเป็นน้ำโคลนผุดขึ้นมา ซึ่งเป็นการปรับสมดุลแรงดันของน้ำใต้ดิน และจากที่เห็นน้ำโคลนที่ผุดออกมาก็ไม่มีความร้อนแต่อย่างใด จึงไม่เกี่ยวข้องกับความร้อนใต้พิภพ ซึ่งในช่วงหน้าแล้งน้ำโคลนก็จะลดแรงดันลง และก็หยุดไปเอง หรืออาจจะเกิดโคลนผุดขึ้นได้อีกก็ได้หากมีปริมาณน้ำไหลลงไปเติมในชั้นใต้ดิน แต่เหตุการณ์ดังกล่าวก็จะเกิดขึ้นในบริเวณเดิมหรือใกล้เคียง ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็เหมือนกับการเกิดน้ำผุดขึ้นมาจากพื้นผิวดินตามปกติทั่วไป

    %E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%99%20(1).jpg

    อย่างไรก็ตามช่วงสายวันนี้ เจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพยากรธรณีเขต 2 จังหวัดขอนแก่น จะลงพื้นที่เข้าตรวจสอบ และเก็บตัวอย่างโคลนผุดไปทำการตรวจสอบเพื่อวิเคราะห์หาสาเหตุของการเกิดโคลนผุดอย่างละเอียด.


    http://www.one31.net/news/detail/7872
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,686
    ค่าพลัง:
    +97,150
    The MATTER

    IMG_8572.JPG
    BRIEF: น้ำแข็งในแถบอาร์กติกของแคนาดา ละลายจนสามารถเห็นภูมิทัศน์ใหม่ ที่เคยถูกปกคลุมมากว่า 40,000 ปี

    .

    โลกร้อน น้ำแข็งขั้วโลกละลาย เป็นสิ่งที่เราได้ยินมาตลอดในช่วงหลายปี ว่าเวลายิ่งผ่านไป แผ่นน้ำแข็งยิ่งค่อยๆ แตก ละลายมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งล่าสุด น้ำแข็งในแถบแอนตาร์กติกของแคนาดา ได้ละลายจนเผยให้เห็นแผ่นดิน และพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ใหม่เป็นครั้งแรกในรอบ 40,000 ปี

    .

    Simon Pendleton นักวิจัยมหาวิทยาลัย Colorado Boulder ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว CNN ว่า ภูมิประเทศโบราณเหล่านี้ กำลังถูกเปิดเผย ซึ่งเป็นพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาบนเกาะ Baffin ทางตะวันออกเฉียงเหนือของแคนาดา โดยในการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature Communications ระบุว่านักวิทยาศาสตร์ได้เดินทางไปเก็บตัวอย่างมอส และไลเคนจำนวน 48 ต้น ที่มันเคยถูกฝังตัว และถูกพบเมื่อน้ำแข็งละลายบนเกาะ ในช่วงฤดูร้อนปี 2010-2015

    .

    เมื่อนำมอส และไลเคนไปศึกษา นักวิจัยได้ใช้กัมมันตรังสีคาร์บอนคาดคะเนว่า พืชเหล่านี้อยู่ภายใต้น้ำแข็งมาเป็นเวลาอย่างน้อย 40,000 ปีแล้ว ทั้งการละลายของน้ำแข็งยังทำให้เห็นภูมิทัศน์ที่ราบระหว่างฟยอร์ด ที่มีก้อนหินใหญ่ และพืชที่เติบโตในอุหภูมิต่ำ ซึ่งนักวิจัยยังสุ่มตัวอย่างของผลึกน้ำแข็งแต่ละพื้นที่ เพื่อค้นหาประวัติความเป็นมาของน้ำแข็งและภูมิทัศน์ต่อไป

    .

    นอกจากนี้ การวิจัยยังพบว่า อาร์กติกเคยเป็นบริเวณที่มีอากาศอบอุ่น เมื่อประมาณ 115,000 ปีก่อน จากการศึกษาอายุพืช และข้อมูลอุณหภูมิจากแกนน้ำแข็ง ทั้ง Pendleton ยังระบุว่า "อาร์กติกนั้นกำลังร้อนขึ้นเร็วกว่าส่วนที่เหลือของโลก กว่าสองถึงสามเท่า ดังนั้นตามธรรมชาติธารน้ำแข็งและน้ำแข็งจะละลายรวดเร็วขึ้น”

    .

    Baffin เป็นเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับห้าของโลกที่โดดเด่นด้วยฟยอร์ด ที่มีที่ราบลึกคั่นด้วยที่ราบสูงและต่ำ น้ำแข็งที่ราบสูงที่มีความบางและเย็น ทำหน้าที่เหมือนเก็บความเย็นตามธรรมชาติ ทำให้มอสและไลเคนโบราณ คงอยู่ตำแหน่งเดิมมาหลายพันปี และนักวิทยาศาสตร์นำมาศึกษาได้

    .

    .

    อ้างอิงจาก


    https://www.sciencedaily.com/releases/2019/01/190125112310.htm


    https://edition.cnn.com/2019/01/29/world/arctic-glaciers-retreating-trnd/index.html


    #Brief #TheMATTER


     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,686
    ค่าพลัง:
    +97,150
    The MATTER


    BRIEF: การเมืองเวเนซุเอล่าเอ๋ย..จงซับซ้อนยิ่งขึ้น ศาลฎีกาสั่งห้าม ปธน.รักษาการ ที่สหรัฐฯ หนุนหลัง ออกนอกประเทศ

    .

    การเมืองในเวเนซุเอล่า ทวีความซับซ้อนยิ่งขึ้น หลังจากนานาชาติเข้ามาพัวพันจนใกล้จะเป็นเกมกระดานสงครามตัวแทนขึ้นทุกที จนทำให้ช่วงหนึ่งเกิดภาวะที่มี ‘ผู้นำ 2 คน’ ขึ้นมา

    .

    ล่าสุด ศาลฎีกาของเวเนซุเอล่าประกาศห้าม Juan Guaido ประธานสภานิติบัญญัติ ที่ประกาศตัวเองเป็นประธานาธิบดีรักษาการ (โดยอ้างว่าการสาบานตนของนิโคลัส มาดูโร่ ผิดกฎหมาย) เดินทางออกนอกประเทศ – ในขณะที่สหรัฐฯ ประกาศเตือนรัฐบาลเวเนซุเอล่าให้เตรียมรับผลร้ายที่จะเกิดขึ้น หากตัวกุยโดเป็นอันตราย

    .

    คำสั่งห้ามกุยโดเดินทางไปต่างประเทศดังกล่าว เกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมงหลังจากอัยการสูงสุดของเวเนซุเอลาประกาศว่าเตรียมสอบสวนความผิดฐานต่อต้านรัฐบาลของกุยโด แต่เขาจะยังไม่ถูกจับในเวลานี้ เพราะมีเอกสิทธิ์คุ้มครองในฐานะสมาชิกสภานิติบัญญัติอยู่

    .

    - The MATTER สรุปวิกฤตในเวเนซุเอลารอบล่าสุดเอาไว้แล้ว กลับไปย้อนอ่านกันได้ https://thematter.co/brief/what-happen-in-venezuela-recap/69471

    .

    ปัจจุบัน นานาชาติเข้ามาวุ่นวายกับการเมืองภายในเวเนซุเอลาแทบจะเต็มตัว ทั้งฝ่ายที่สนับสนุนกุยโด อย่างสหรัฐฯ หลายชาติในอเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ และยุโรป กับฝ่ายที่สนับสนุนมาดูโร นำโดยจีนและรัสเซีย

    .

    นอกจากนี้ ยังมีความพยายามในการดึงผู้นำเหล่าทัพต่างๆ ของเวเนซุเอลาเข้าเป็นพวกของตนเอง เพื่อปูทางไปสู่ชัยชนะด้วย เรียกว่าชุลมุนวุ่นวายไปหมด

    .

    .

    อ้างอิงจาก





    http://time.com/5516132/venezuela-juan-guaido-barred-leaving/


    #Brief #TheMATTER


     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,686
    ค่าพลัง:
    +97,150
    The MATTER


    BRIEF: ชัดเจนแล้ว! พรรคพลังประชารัฐ ยืนยันเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาเป็นนายกรัฐมนตรี เตรียมส่งทาบทามต่อไป

    .

    หลังลุ้นกันมาพักใหญ่ๆ ล่าสุดนี้ พรรคพลังประชารัฐ ได้คอนเฟิร์มกับสื่อมวลชนแล้วว่าจะเสนอชื่อของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้เป็นหนึ่งในบัญชีท้าชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพรรค โดยหลังจากนี้จะไปทาบทามอย่างเป็นทางการต่อไป

    .

    นอกจากนี้ อีก 2 รายชื่อที่พลังประชารัฐเสนอเป็นนายกฯ คือ อุตตม สาวนายน และสมคิด จาตุศรีพิทักษ์

    .

    โดยการเปิดเผยครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากการประชุมกรรมการบริหารพรรคนัดแรก หลังจากที่ 4 รัฐมนตรีประกาศลาออกจากตำแหน่งในทำเนียบรัฐบาล

    .

    ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ เคยยืนยันอย่างชัดเจนว่า จะไม่ลาออกตาม 4 รัฐมนตรีที่เป็นแกนนำของพรรคพลังประชารัฐ โดยให้เหตุผลว่า กฎหมายไม่ได้บอกให้ลาออก พร้อมยืนยันว่า ถ้าจะมาเป็นนายกฯ อีกครั้งก็จะมาจากการเสนอชื่อของพรรคการเมือง มากกว่ามาโดยการเสนอชื่อเป็นนายกฯ คนนอก

    .

    .

    อ้างอิงจาก


    https://twitter.com/thapanee3miti


    http://www.komchadluek.net/news/breaking-news/360776?qv=


    https://news.thaipbs.or.th/content/277356


    http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/825554


    #Brief #TheMATTER


     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,686
    ค่าพลัง:
    +97,150
    การละลายตัวของก้อนน้ำแข็งคงจะไปไวเลย 39 ปี น้ำแข็งจาก 30,000กิโลเมตร เหลือเพียงไม่ถึง 10,000กิโลเมตร แต่หลังจากนี้ คงใช้เวลาน่าจะไม่เกิน 10 ปี น้ำแข็งคงเหลือไม่กี่พันกิโลเมตร เพราะลองคิดกันเวลาเราทานน้ำเย็น แก้วที่มีก้อนน้ำแข็ง ทั้งแก้ว และแก้วที่มีก้อนน้ำแข็งแช่ในน้ำอะไรละลายเร็วกว่า ก็แก้วที่ที่มีก้อนน้ำแข็งแช่ในน้ำ ล่ะสิครับที่ละลายน้ำแข็งเร็วกว่าแก้วที่มีก้อนน้ำแข็ง ทั้งแก้ว เยอะเลย

    ที' นะคับ-
    IMG_8574.JPG
    ผลวิเคราะห์พื้นที่ของแผ่นน้ำแข็ง อาร์กติก ชี้ว่า ในช่วงปี 2018 ที่ผ่านมา แผ่นดินน้ำแข็งในทวีปเหลือเพียงไม่ถึง 10,000กิโลเมตรแล้ว


    ผลสำรวจตั้งแต่ปี 1979 ที่ผ่านมาจาก ที่มากกว่า

    30,000กิโลเมตร


    #ชี้ให้เห็นว่าน้ำแข็งบริเวณขั้วโลกละลายค่อนข้างเร็ว มีผลให้น้ำทะเลบริเวณมหาสมุทรแอตแลนติกสูงขึ้นต่อเนื่อง


    https://www.facebook.com/groups/paipibat.vcharkarn/permalink/2254120571503262/
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,686
    ค่าพลัง:
    +97,150
    The Big Wobble


    อุณหภูมิที่อันตรายอย่างบ้าคลั่งที่ -75 F -60 องศาเซลเซียส และมันจะแย่ลง! เย็นกว่าอาร์กติก -82-deg F ในแคนาดา อุณหภูมิที่เย็นกว่าดาวอังคาร

    IMG_8575.GIF
    Chillmap วันนี้

    อุณหภูมิที่เป็นอันตรายอย่างบ้าคลั่ง ในขณะที่กระแสน้ำวนขั้วโลกกระชับเข้ากับแถบตะวันตกของสหรัฐฯด้วยการพยากรณ์อากาศของ AccuWeather ®อุณหภูมิลดลงเหลือ -75 F -60 องศาเซลเซียส


    สภาพอากาศที่หนาวที่สุดในรอบหลายปีจะทำให้ผู้คนและสัตว์นับล้าน ทั่วทั้งสหรัฐอเมริกาตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะอุณหภูมิต่ำและอาการบวมเป็นน้ำเหลืองในไม่กี่นาที ในช่วงวันสุดท้ายของเดือนมกราคม การแช่แข็งที่ลึก (ติดลบลงไปมากๆ/ยิ่งเข้าใกล้ศูนย์สมบูรณ์) ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วทั่วมิดเวสต์ตอนบน โดยมีอุณหภูมิ พยากรณ์หิมะตกที่ 75 องศาต่ำกว่าศูนย์ฟาเรนไฮต์ที่รายงานที่ Grand Forks, นอร์ท ดาโคตาในเช้าวันอังคาร ที่เลวร้ายที่สุด คือยังไม่มาถึง


    สำหรับส่วนอื่น ๆ ของมิดเวสต์ เป็นกระแสน้ำวนขั้วโลกได้รับการพลัดถิ่นจาก Arctic Circle และแผ่กระจายลึกลงมาในภูมิภาค นอกจากความเสี่ยงของอาการบวมเป็นน้ำเหลือง และอุณหภูมิต่ำ


    ผู้อยู่อาศัยจะต้องเผชิญกับค่าใช้จ่ายเพื่อจัดหาความร้อนสูงและมีศักยภาพในการจัดการการแช่แข็ง และท่อน้ระเบิดำ, แบตเตอรี่รถยนต์ที่เสียหาย และการปิดโรงเรียน


    ความเย็นสามารถคุกคามชีวิตของมนุษย์หรือสัตว์ใด ๆ หากไม่มีวิธีการที่เหมาะสมในการให้ความอบอุ่น จากสภาพอากาศ Channell


    ตัวอย่างไม่น่าเชื่อลมหนาวในช่วง 60s และ 70s แม้กระทั่งลมหนาวเย็นลบ -82 องศาที่เกือบ -64 องศาเซลเซียสในวันจันทร์ทางเหนือของแมนิโทบาและนูนาวุตทางตอนใต้ของแคนาดา ตามบริการสภาพอากาศแห่งชาติ


    ความเย็นอันขมขื่นนี้จะมาพร้อมกับลมแรงในบางครั้งจนถึงวันพฤหัสบดีทำให้เกิดลมหนาวที่คุกคามชีวิตในมิดเวสต์ ซึ่งอาจนำไปสู่อาการบวมเป็นน้ำเหลือง บนผิวหนังที่ถูกสัมผัสในเวลาไม่กี่นาที


    แนวอันกว้างใหญ่ของมิดเวสต์จะมีลมหนาวใน 30s, 40s และ 50s ต่ำกว่าศูนย์ในวันพุธ บางจุดในมินนิโซตาและนอร์ทดาโคตาตะวันออกอาจเห็นลมหนาวใน 60s ต่ำกว่าศูนย์

    สนามบินแกรนด์ฟอร์กส์ในนอร์ทดาโคตารายงานว่ามีลมหนาว 61 องศาต่ำกว่าศูนย์ในวันอังคาร


    Xcel Energy กล่าวว่าอุปกรณ์ที่ล้มเหลวในเสาไฟฟ้ากำลังนำไปสู่การขัดข้องทั่วรถไฟใต้ดินในช่วงเย็นของวันอังคารซึ่งเริ่มต้นเมื่อประมาณ 5:40 น.

    ที่จุดสูงสุดของกระแสไฟฟ้าดับประชาชนประมาณ 8,000 คนได้รับผลกระทบในพื้นที่รถไฟใต้ดินทวินซิตี้

    เมื่อเวลา 23.00 น. มีลูกค้าน้อยกว่า 600 คนที่ยังไม่มีพลังงาน


    Insanely dangerous temperatures of -75 F -60 deg C and its going to get worse! Colder than the Arctic -82-deg F in Canada colder than Mars


    https://www.thebigwobble.org/2019/01/insanely-dangerous-temperatures-of-75-f.html?spref=fb&m=1


     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,686
    ค่าพลัง:
    +97,150
    John Traczyk


    30 มกราคม 2019 ออสเตรเลีย รัฐควีนส์แลนด์ตอนเหนือ ผู้คนติดกับดัก น้ำท่วมขังบ้าน หลังฝนตกหนักไม่หยุด

    IMG_8576.JPG IMG_8577.JPG IMG_8578.JPG IMG_8579.JPG IMG_8580.JPG IMG_8581.JPG

     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,686
    ค่าพลัง:
    +97,150
    MOREMOVE


    #มอร์มูฟเป็นข่าว โอ๊ยเนาะ เค้าไปถึงไหนต่อไหนกันแล้ว!!! #จีน เร่งเพิ่มจุดชาร์จแบตฯ #รถยนต์ไฟฟ้า 600,000 แห่งภายในปีนี้ (ส่งผลให้จำนวนจุดชาร์จแบตเตอรีรถยนต์ทั่วประเทศจีนจะเพิ่มขึ้นจนแตะ 1.4 ล้านแห่งภายในสิ้นปีนี้) เตรียมผลักดันเป็นโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ


    ประเทศจีนเป็นตลอดรถยนต์พลังงานใหม่ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยยอดขายที่เพิ่มสูงขึ้นจากปีที่ผ่านมาถึง 61.7%


    Source : FB - China Xinhua News


    โดยเรื่องนี้ สำนักข่าวไชนาเดลี รายงานอ้างอิงคำกล่าวของ นายหวังเหมิงฮุย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงที่อยู่อาศัยและการพัฒนาเมืองและชนบทของจีน (Ministry of Housing and Urban-Rural Development) ซึ่งกล่าวในการประชุมประจำปี #EV100 เมื่อช่วงต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมาว่า แท่นชาร์จแบตเตอรีรถยนต์พลังงานไฟฟ้าควรจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญในเขตเมือง


    "เราจะร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งร่างนโยบายสนับสนุนและจำลองกลไกเพื่อเติมเต็มและพัฒนาโครงการเกี่ยวกับการสร้างแท่นชาร์จแบตเตอรีรถยนต์ให้เป็นโครงสร้างพื้นฐานของเมือง" นายหวังเหมิงฮุย กล่าว.


     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,686
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Workpoint News - ข่าวเวิร์คพอยท์

    IMG_8582.JPG
    อากาศกรุงเทพไต่อันดับอย่างรวดเร็ว จากที่ 8 มาสู่ที่ 5 และล่าสุด ขึ้นทะยานสู่ อากาศแย่อันดับ 4 ของโลก เป็นรองแค่ ปากีสถาน, อินเดีย และ จีน

    .

    สภาพอากาศที่ประเทศไทย ย่ำแย่ถึงขีดสุดแล้ว ล่าสุดมีการเปิดเผยว่า คุณภาพทางอากาศ (Air Quality Index) ของกทม. ย่ำแย่ที่สุดอันดับ 4 ของโลก ซึ่งเป็นอันดับที่สูงที่สุดเท่าที่มีการจัดอันดับมา

    .

    การตรวจวัดสภาพอากาศ ณ เวลา 16.53 น. ปรากฎว่า เมืองที่อากาศแย่ที่สุด คือลาฮอร์ ของปากีสถาน ค่าคุณภาพอากาศคือ 215 ตามมาด้วย นิวเดลี ของอินเดีย อันดับสามคือหังโจว ของจีน และอันดับ 4 คือกรุงเทพฯ ของไทย ที่ค่าคุณภาพอากาศอยู่ที่ 169

    .

    ทั้งนี้ คุณภาพอากาศของไทย เพิ่มความอันตรายมากขึ้นเรื่อยๆ จากช่วงเช้าในระดับ 150 ตอนนี้เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จนถึง 169 ซึ่งอยู่ในระดับที่เรียกว่า Unhealthy หรือ ส่งผลต่อสุขภาพของคนทั่วไปแล้ว และมีคำแนะนำว่าไม่ควรออกนอกสถานที่โดยไม่จำเป็น หรือถ้าต้องออก ก็จำเป็นต้องมีเครื่องป้องกันตัว ไม่ให้สูดดม ฝุ่นพิษ PM 2.5 เข้าไปในร่างกาย

    สามารถเข้าไปเช็กค่าคุณภาพของเมืองใหญ่แบบเรียลไทม์ได้เลย ที่นี่ คลิก bit.ly/2QMVNPj


    ttps://www.facebook.com/153951094974177/posts/848208928881720/
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,686
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Hector L Colon

    IMG_8584.JPG
    Dlb นี่อยู่ที่ชิคาโก้ตอนนี้.....


     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,686
    ค่าพลัง:
    +97,150
    บทความนี้มาจากการศึกษา ที่มีสมมุติฐานในการศึกษา ที่ว่า
    ดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงร้อนแรงแผดเผากำลังเข้าสู่โหมดจำศีล(Sleepy Mode)พลังแสงอาทิตย์ที่จะส่งมาโลกมีความร้อนลดลง โลกได้เข้าสู่ภาวะ Global Cooling ซึ่งอาจจะไม่ครอบคลุมทุกปัจจัยที่โลกประสบอยู่ แต่ก็น่าจะทำความเข้าใจถึงสาเหตุของภัยพิบัติมี่ทุกวันนี้ เราท่านพบเจออยู่ได้บ้าง



    ดวงอาทิตย์ Sleepy Mode สร้างภาวะ Global Cooling ดึงโลกเข้าสู่ยุค Little Ice Age ปี 2030

    20 ธันวาคม 2017

    ดวงอาทิตย์ที่กำลังอยู่ในโหมดจำศีล แผ่ความร้อนน้อยลง ดึงโลกเข้าภาวะ Global Cooling อุณหภูมิลดลงต่อเนื่อง และสู่ยุค Little Ice Age ปี 2030

    ภาวะอากาศหนาวเย็นที่แผ่ปกคลุมไปทั่วประเทศไทยในขณะนี้ เสริมบรรยากาศส่งท้ายปีและต้อนรับปีใหม่ให้รื่นเริงมากขึ้น หลายคนๆ อาจจะภาวนาให้อากาศเย็นสบายแบบนี้ตลอดทั้งปีและตลอดไป ซึ่งความปรารถนานั้นมีแนวโน้มที่จะเป็นจริงในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า เพราะดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงร้อนแรงแผดเผากำลังเข้าสู่โหมดจำศีล(Sleepy Mode)พลังแสงอาทิตย์ที่จะส่งมาโลกมีความร้อนลดลง โลกได้เข้าสู่ภาวะ Global Cooling และคาดการณ์กันว่าโลกกำลังจะเข้าสู่ยุค Mini Ice Age อีกครั้ง

    งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ยังพบว่า Cooling Cycle จะเกิดขึ้นทุกๆ 230 ปี และรอบนี้ได้เกิดขึ้นแล้วเมื่อปี 2014 ซึ่งจะส่งผลให้อุณหภูมิลดลงอีกในปี 2019 ทั้งหมดเป็นผลจากปรากฏการณ์ต่างๆ บนดวงอาทิตย์ที่ลดลงต่อเนื่องซึ่งจะกินเวลา 33 ปี ระหว่างปี 2020-2053 และจะมีผลให้สภาพภูมิอากาศของโลกเปลี่ยนแปลงไป

    ดวงอาทิตย์กำลังอับแสง
    รายงานข่าว International Business Times เปิดเผยว่า ดวงอาทิตย์กำลังอับแสง เนื่องจากจุดดำบนดวงอาทิตย์ (sunspot) มีจำนวนลดลง ส่งผลให้ค่ารังสีจากดวงอาทิตย์ (Total Solar Radiance: TSI) ลดลงเช่นกัน

    TSI-e1513763933600.jpg
    ภาพแสดงค่า TSI ที่มาภาพ
    : http://www.ibtimes.com/sun-may-be-d...ning-luminosity-using-spacexs-payload-2629453
    NASA ได้ส่งยานอวกาศ Space X เพื่อไปติดตั้งระบบเซ็นเซอร์ตัวใหม่ที่เรียกว่า NASA’s Total and Spectral Solar Irradiance Sensor (TSIS-1) บนสถานีอวกาศ วัดค่าความเข้มข้น TSI เพื่อการศึกษาต่อเนื่อง

    รายงานข่าวอ้างอิงจากข้อมูลของเว็บไซต์ Spaceweather ของ NASA ว่า หลังจากช่วงที่ดวงอาทิตย์มีความเคลื่อนไหวหรือขยันปล่อยพลังงานออกมามากหรือเรียกว่า Solar Maximum ระหว่าง 2012 จนถึงปี 2014 นั้น ดวงอาทิตย์ได้กลับเข้าสู่ช่วงปล่อยพลังงานน้อยที่เรียกว่า Solar Minimum ซึ่งมีผลให้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าลดลง 0.1%

    Solar Maximum และ Solar Minimum คือ รอบหรือวัฏจักรดวงอาทิตย์ (Solar Cycle) ที่มีปรากฏการณ์การเกิดจุดดำบนดวงอาทิตย์ ซึ่งจุดบนดวงอาทิตย์มีการเปลี่ยนแปลงขนาดและจำนวนตลอดเวลา โดยจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นและลดลดสลับกันเป็นรอบๆ ในช่วงที่มีการเกิดจำนวนจุดบนดวงอาทิตย์มากที่สุดเรียกว่าช่วงสูงสุดสุริยะหรือ Solar Maximum หลังจากนั้นจำนวนจุดจะค่อยๆ ลดลงจนถึงต่ำสุด หรือมีจำนวนน้อยลง เรียกช่วงนี้ว่า Solar Minimum ซึ่งแต่ละหรือวัฏจักรกินเวลาทุกๆ 11 ปีรอบ

    sunspot-e1513764463636.jpg
    sunspot บนดวงอาทิตย์ ที่มาภาพ
    : https://www.nasa.gov/sites/default/files/20141023_hmiic.jpg
    รายงานข่าวเปิดเผยอีกว่า จากข้อมูลที่มีแสดงให้เห็นว่า ดวงอาทิตย์กำลังเข้าสู่วัฏจักร Solar Minimum โดยในปี 2017 นี้วันที่ไม่มี sunspot มีจำนวน 96 วัน หรือประมาณ 27% ขณะที่ค่า TSI ลดไปอยู่ระดับต่ำสุดของปี 2009 ซึ่งเป็นปีที่ปรากฏการณ์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ด้วย อีกทั้งจำนวนวันที่ไม่มี sunspot ยังกินเวลานานถึง 260 วันจาก 365 วันของทั้งปี นับตั้งแต่นักวิทยาศาสตร์เริ่มเก็บข้อมูลมาตั้งแต่ปี 1978 นักวิชาการคาดว่า Solar Minimum รอบนี้จะกินเวลานานถึง 30 ปี

    โลกกำลังจะเผชิญกับช่วงพีคที่ไม่มีจำนวน sunspot ในปี 2018-2020 และจากการเก็บค่า TSIนักวิทยาศาสตร์เห็นว่าจำนวนต่ำสุดของแต่ละวัฏจักร 11 ปี นั้นต่ำกว่าระดับต่ำสุดของวัฏจักรก่อนหน้าต่อเนื่อง โดยที่ระดับต่ำของปี 2009 นับว่าเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่ปี 1978 ที่เริ่มเก็บข้อมูลมา และหากว่าระดับต่ำสุดของปี 2020 ต่ำกว่าปี 2009 แล้ว นักวิทยาศาสตร์ของ NASA สรุปได้ว่าดวงอาทิตย์กำลังอับแสง

    spotless-e1513764278611.jpg
    ดวงอาทิตย์ที่ไม่มี sunspot ที่มาภาพ: http://spaceweather.com/images2017/20dec17/hmi1898.gif?PHPSESSID=jtr46rrn4n595nhql6sl75scb3
    เมื่อดูจากแถบรังสีของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าปีที่แล้ว การปล่อยแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ลดลง 0.1% เมื่อเทียบกับช่วง Solar Maximum ปี 2012-2014 แม้ว่ากำลังแสงสว่างของดวงอาทิตย์เพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ตามวัฏจักรสุริยะ ซึ่งตัวเลข 0.1% ดูแล้วไม่น่ามากมายเท่าไร แต่พลังงานที่ดวงอาทิตย์ให้กับโลกนั้นมีมหาศาลราว 1,361 วัตต์ต่อ 1 ตารางเมตร อีกทั้ง 0.1% มากกว่าพลังงานที่โลกได้รับจากแหล่งอื่นรวมกันเสียอีก

    ในปี 2013 รายงานของ NASA ระบุว่า การลดลงของแสงสว่างเพียงเล็กน้อยนี้มีผลต่อชั้นบรรยากาศชั้นบนของโลกและมีผลต่อสภาพภูมิอากาศของภูมิภาคให้เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะในมหาสมุทรแปซิฟิก

    นอกจากนี้ยังเห็นได้ชัดว่าปรากฏการณ์ในสนามแม่เหล็กของดวงอาทิตย์ลดลง รังสีคอสมิกหรือรังสีจักรวาล(Galactic Cosmic Rays:GCR) เพิ่มขึ้น เป็นผลจากการก่อตัวของพายุสุริยะ เช่น การปลดปล่อยมวลของดวงอาทิตย์ (Coronal mass Ejection :CME) ที่จะพัดพารังสีคอสมิคที่กำลังจะเกิดขึ้นออกไป โดยปกติแล้วในช่วง Solar Minimum แล้ว CME จะต่ำและผลกระทบจากรังสีคอสมิคที่มีต่อโลกเพิ่มขึ้นหลายเท่า

    Solar Minimum เริ่มปี 2019
    นักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาปรากฏการณ์จุดดำบนดวงอาทิตย์มากว่า 400 ปี ซึ่งทำให้รู้ว่าวัฏจักรสุริยะ โดยเฉลี่ยแล้วกินเวลา 11 ปี ตามรายงานข่าวของ Huffingtonpost แต่ก็มีบางรอบที่กินเวลาเพียง 9 ปี และบางรอบกินเวลานานถึง 14 ปี ขณะที่จุดดำบางครั้งพบน้อยมากคือ 50 จุด แต่บางรอบกลับพบมากถึง 260 จุด และบางครั้งในรอบ Solar Minimum อาจจะใช้เวลานาน 80 เดือนกว่าจุดดำจะเพิ่มขึ้นถึงระดับสูงสุด ขณะที่ในรอบ Solar Maximum การเพิ่มขึ้นของจุดดำใช้เวลาเพียง 40 เดือนเท่านั้น

    Solar Minimum รอบล่าสุดหมดไปในปี 2008 ปัจจุบันดวงอาทิตย์อยู่ในวัฏจักรสุริยะที่ 24 ซึ่งจะครบรอบในปี 2019 รวมเวลาทั้งหมด 11 ปี อย่างไรก็ตาม Solar Minimum ในวัฏจักรที่ 24 เริ่มขึ้นแล้วตั้งแต่ปี 2016 เพราะในเดือนกุมภาพันธ์และมิถุนายน วันที่ไม่มีจุดดำบนดวงอาทิตย์มีถึง 2 วัน อีกทั้งในปี 2017 จำนวนวันที่ไม่มีจุดดำก็เพิ่มขึ้นและจะเพิ่มขึ้นอีกในปี 2018 ดังนั้น ในช่วงปลายปี 2019 ก็จะเริ่มเห็นจุดดำของวัฏจักรที่ 25 และยังคาดว่าจุดดำจะเพิ่มขึ้นมากสุดในปี 2024 แต่ก็ประเมินว่ามีจำนวนเพียงครึ่งหนึ่งของจุดดำที่เกิดขึ้นในวัฏจักรที่ 24

    cycle-e1513764808849.jpg
    วัฏจักรสุริยะรอบที่ 24 ที่มาภาพ: https://www.nasa.gov/sites/default/files/thumbnails/image/cycle22cycle23cycle24big.gif
    ผลการศึกษาบางชิ้นแสดงให้เห็นว่าความแรงของสนามแม่เหล็กลดลงตั้งแต่ปี 2000 และอยู่ในระดับใกล้เคียงกับต่ำสุดที่จะต้องมีเพื่อรักษาจุดดำบนดวงอาทิตย์ โดยรายงานที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature เมื่อปี 2015 ระบุว่า ในวัฏจักรที่ 25 หรือ 26 สนามแม่เหล็กอาจจะไม่แรงพอที่ก่อให้เกิดจุดดำ ซึ่งอาจจะเป็นสัญญาณของการสิ้นสุดปรากฏการณ์จุดดำ และอาจจะเข้าสู่ยุค Maunder Minimum คือยุคที่ไม่มีจุดดำ หรือแทบจะไม่มีเลย ซึ่งมีผลให้อุณหภูมิของโลกลดลงเพราะได้รับรังสีลดลงจากดวงอาทิตย์ ไปจนถึงปี 2100 แต่ก็มีรายงานบางชิ้นประเมินว่าในวัฏจักรที่ 25 จุดดำอาจจะเท่ากับหรือมากกว่าวัฏจักรที่ 24 ก็ได้

    รายงานข่าวของ Huffingtonpost ยังระบุว่า สำหรับผู้ที่ชื่นชอบแสงเหนือ ช่วงปี 2022-2017 นับเป็นเวลาที่ดีที่สุดที่จะไปเฝ้ารอชม

    เว็บไซต์ Solar Terrestrial Center of Excellenceรายงานว่า จากการเฝ้าสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิดของ The Uccle Solar Equatorial Table (USET) พบว่า จุดดำของวัฏจักรที่ 25 ได้เริ่มขึ้นแล้วตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2016 แต่ก็ไม่ได้หมายความวัฏจักรที่ 24 ได้สิ้นสุดลงแล้ว เพราะโดยปกติระยะของวัฏจักรเหลื่อมกันได้บางครั้งนานสุดถึง 4 ปี ดังนั้น วัฏจักรที่ 24 จะค่อยๆ สิ้นสุดขณะที่วัฏจักรที่ 25 ก็เริ่มสวนขึ้นมา

    Global Cooling ภาวะโลกเย็น
    Principia Scientific International เผยแพร่รายงานข่าว Drop In Sunspot Activity A Warning Of Global Cooling ว่า มีนักวิทยาศาสตร์จำนวนหนึ่งที่ศึกษาข้อมูลย้อนหลัง พบว่าจำนวนจุดดำมีความสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก โดยยิ่งจุดดำมีจำนวนน้อยยิ่งสะท้อนสภาวะโลกเย็น หรือ Global Cooling

    แนวโน้มการลดลงของจุดดำเห็นได้ในวัฏจักรที่ 22, 23, 24 โดยพีคสุดของจุดดำในวัฏจักรที่ 24 เกิดขึ้นในปี 2014 แต่ก็มีจำนวนเพียงครึ่งหนึ่งของที่เกิดในปี 2012 จึงเป็นเค้าลางของ Global Cooling ไม่ใช่ Global Warming เพราะปรากฏการณ์จุดดำที่ลดลงต่ำนี้ไม่ได้เห็นมาร่วม 200 ปีแล้ว และกำลังเข้าสู่จุดต่ำสุดของวัฏจักรในปี 2019 หรือ 2020

    จุดดำที่ลดลงอย่างมากทำให้คาดการณ์ว่าจะอยู่ในรูปแบบเดียวกับที่เกิดขึ้นใน Maunder Minimum หรือเรียกกันว่า “Little Ice Age” หรือ “Mini Ice Age” ที่เกิดขึ้นในปี 1645 -1715 ช่วงนั้นอากาศในยุโรปและอเมริกาเหนือหนาวจัด แม่น้ำเทมส์ แม่น้ำดานูบ แม่น้ำมอสโคว์กลายเป็นน้ำแข็ง และเป็นช่วงที่จุดดำมีน้อยมาก โดยในรอบ 30 ปีเกิดขึ้นเพียง 50 จุดเท่านั้นจากปกติแล้วช่วง 30 ปีจะเกิดจุดดำถึง 40,000-50,000 จุด

    Professor Habibullo Abdussamatov นักฟิสิกส์สุริยะแห่ง Pulkovo Observatory of the Russian Academy of Sciences St. Petersburg รัสเซีย ได้คาดการณ์ไว้หลายปีก่อนถึงสิ่งโลกกำลังประสบอยู่ในขณะนี้ โดยระบุว่า ความเข้มข้นของรังสีจากดวงอาทิตย์ได้ลดลงแล้ว ขณะเดียวกับอุณหภูมิโลกจะลดลงอย่างช้าๆ ในช่วงปี 2012-2015 พร้อมเข้าสู่ความหนาวเย็นจัดในปี 2050-2060 และจะเป็นอย่างนี้ไปตลอด 50 ปี อีกทั้งย้ำว่าภาวะโลกร้อนที่โลกประสบนั้นเกิดจากความเข้มข้นของรังสีที่เพิ่มขึ้น ไม่ได้มาจากการการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

    Professor Habibullo Abdussamatov ได้เขียนไว้ในรายงานวิจัยปี 2009 ว่า ปรากฏการณ์ในลักษณะเดียวกับ Maunder Minimum คืออุณหภูมิลดลง ได้เกิดขึ้นมาแล้ว 18 ครั้งในรอบ 7,500 ปี ต่อมาในปี 2013 ได้ระบุไว้ในงานวิจัยที่ปรับเพิ่มเติมว่า โลกกำลังเผชิญกับภาวะอุณหภูมิลดแบบฮวบฮาบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

    Little Ice Age ปี 2030
    Professor Habibullo Abdussamato ยังได้เขียนไว้ในหนังสือว่า Little Ice Age ยุคใหม่ได้เริ่มขึ้นแล้วเมื่อสิ้นปี 2015 หลังจากผ่านพ้นช่วง Grand Maximum ของวัฏจักรสุริยะที่ 24 และคาดว่า ช่วง Grand Minimum จะเริ่มขึ้นในวัฏจักรสุริยะที่ 27 หรือราวปี 2043 และเริ่มเข้าสู่อากาศหนาวจัดของ Little Ice Age ยุคใหม่ราวปี 2060

    กระแสน้ำอุ่น Gulf Stream จะทำให้เกิดความเย็นมากขึ้นในยุโรปตะวันตก ทางตะวันออกของสหรัฐอเมริกา และแคนาดา การลดลงของ TSI ที่กินเวลากึ่งศตวรรษและผลที่เกิดขึ้น คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในภูมิอากาศจากร้อนไปสู่ยุคน้ำแข็ง

    ก่อนหน้านี้ในปี 2015 งานประชุมทางวิชาการ (National Astronomy Meeting) ของนักวิทยาศาสตร์นานาชาติ ได้มีการนำเสนอข้อมูลว่า การลดลงของปรากฏการณ์ทางสุริยะอาจจะนำโลกเข้าสู่ยุค Little Ice Age ดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 17 และ 18

    Professor Valentina Zharkova จาก Northumbria University นำเสนอผลงานวิจัยต่อการประชุมว่า ปรากฏการณ์สุริยะที่ลดลงนี้จะมีผลให้อุณหภูมิโลกลดลงต่ำสุดเป็นเวลากว่า 350 ปี โดยในอีก 15 ปีข้างหน้านี้พลังงานความร้อนที่ปล่อยออกมาจากดวงอาทิตย์จะลดลง ซึ่งจะทำให้ยุโรป อเมริกาเหนือ และเอเชีย ประสบกับความหนาวเย็น

    ช่วงปี 1650-1710 ซึ่งเป็นช่วง Maunder Minimum อุณหภูมิในยุโรปลดลงไปอยู่ที่ระดับติดลบ 7 องศาเซลเซียสในบางพื้นที่

    Professor Valentina Zharkova เชื่อว่าสภาพอากาศหนาวจัดแบบ ช่วง Maunder Minimum ได้เริ่มขึ้นแล้ว ดังจะเห็นจากธารน้ำแข็งที่ก่อตัวขึ้นใหม่ น้ำแข็งที่เคลือบน้ำทะเล และการเกาะตัวเป็นน้ำแข็งในแม่น้ำ และทะเลสาบหลายแห่ง จึงได้เตือน

    งานวิจัยยังพบว่า ปรากฏการณ์สุริยะที่ลดลงต่ำมากในปี 1645-1715 นั้น แม่น้ำเทมส์ของอังกฤษ และทะเลลบอลติกได้กลายเป็นน้ำแข็ง และยังประเมินว่าปรากฏการณ์สุริยะจะลดลงอีกราว 60% ในอีก 15 ปี ซึ่งหมายความว่าโลกจะเข้าสู่ยุคน้ำแข็งที่กินเวลา 33 ปี

    นักวิชาการด้านฟิสิกส์นิวเคลียร์ของรัสเซียได้ร่วมกันนำเสนอผลการวิจัยวิธีใหม่ที่ศึกษาคลื่นแม่เหล็กในดวงอาทิตย์เป็นหลัก โดยพบว่า คลื่นแม่เหล็กเดินทางจากซีกโลกหนึ่งไปยังซีกโลกตรงข้าม จากซีกโลกใต้มาซีกโลกเหนือ และจะทำปฏิกิริยาระหว่างกัน ซึ่งก่อให้เกิดจุดดำ แต่ในวัฏจักรที่ 25 และ 26 คลื่นแม่เหล็กจะแยกตัวจากกันในแต่ละซีกโลก และแยกตัวกันชัดเจนในวัฏจักรที่ 26 ดังนั้นโอกาสที่จะเกิดจุดดำจึงมีน้อยมาก และจะนำไปสู่การลดลงของปรากฏการณ์ต่างๆ ในดวงอาทิตย์ในปี 2020-2030 ซึ่งใกล้เคียงกับสิ่งที่เคยเกิดมาก่อนในยุค Maunder minimum ที่เกิดจุดดำเพียง 50 จุดเท่านั้น

    น้ำแข็งก่อตัวเร็วกว่าปกติ
    แม้จะยังไปเข้าสู่ยุค Little Ice Age แต่ภาวะอากาศเย็นของโลกก็เริ่มขึ้นแล้ว เห็นจากแม่น้ำฮันที่เกาหลีใต้ที่เกาะตัวเป็นน้ำแข็งเร็วกว่าปกติ เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2017 ที่ผ่านมา หลังจากที่อากาศเช้าวันนั้นลดงจากระดับ 10 องศาเซลเซียสไปต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียสในหลายพื้นที่ และนับเป็นครั้งแรกในรอบ 71 ปี ซึ่งการเกาะตัวเป็นน้ำแข็งที่เร็วกว่าปกตินี้เคยเกิดขึ้นมาก่อน คือเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 1946 จากรายงานข่าวของสำนักข่าวยอนฮับ

    กรมอุตุนิยมวิทยาเกาหลีใต้ (Korea Meteorological Administration: KMA) ได้ให้ข้อมูลว่า ปีนี้แม่น้ำฮันเกาะตัวเป็นน้ำแข็งเร็วกว่าหน้าหนาวครั้งก่อนถึง 42 วัน เพราะหน้าหนาวครั้งที่แล้วแม่น้ำเกาะตัวเป็นน้ำแข็งเมื่อวันที่ 26 มกราคม และการเกาะตัวกลายเป็นน้ำแข็งของแม่น้ำในหน้าหนาวนี้ยังเร็วกว่าปกติโดยเฉลี่ยถึง 29 วัน

    hanriver-e1513765037119.jpg
    แม่น้ำฮัน ที่มาภาพ
    : http://english.yonhapnews.co.kr/national/2017/12/15/0302000000AEN20171215002900315.html
    Seoul
    อุณหภูมิในเช้าวันที่ 15 ธันวาคม 2017 ลดลงจาก 10 องศาเซลเซียสไปอยู่ที่ระดับติดลบ 7.5 องศาเซลเซียส และระดับสูงสุดของวันก็ยังอยู่ในระดับต่ำกว่า 0 องศา

    การเฝ้าสังเกตการณ์เกาะตัวเป็นน้ำแข็งของแม่น้ำฮันเริ่มขึ้นในปี 1906 โดยการเกาะตัวเป็นน้ำแข็งที่เกิดเร็วกว่าปกติ คือวันที่ 4 ธันวาคม 1934 และการเกาะตัวที่ช้ากว่าปกติคือวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 1964

    ทางด้านประเทศเดนมาร์ก ที่โดยปกติเดือนกรกฎาคมเป็นหน้าร้อน แต่ในปี 2017 นี้กลับไม่มีหน้าร้อน นับเป็นครั้งแรกที่เกิดสภาวะอากาศแบบนี้ในรอบ 38 ปี ทั้งนี้เป็นข้อมูลจากสถาบันอุตุนิยมวิทยาของเดนมาร์ก (Danish Meteorology Institute: DMI)

    ปกติแล้วหน้าร้อนของเดนมาร์ก คือวันที่อุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 25 องศาเซลเซียส หรือ 77 องศาฟาเรนไฮต์ แต่ในเดือนกรกฎาคมปีนี้กลับไม่มีวันไหนเลยที่อุณหภูมิสูงเท่านี้

    นอกจากนี้หน้าร้อนนี้ยังเป็นปีแรกที่เจอแสงอาทิตย์น้อยที่สุดในรอบ 17 ปี และยังเป็นหน้าร้อนแรกที่มีฝนตกมากที่สุดในรอบ 6 ปี

    ช่วงหน้าร้อนของเดนมาร์กตั้งแต่มิถุนายน กรกฎาคม และสิ้นสุดสิงหาคม ปีนี้เจอแสงอาทิตย์เพียง 565 ชั่วโมง ขณะที่ปี 2000 เจอแสงอาทิตย์ 540 ชั่วโมง ส่วนปีที่เจอแสงอาทิตย์ต่ำสุดคือปี 1987 ที่มีเวลาเพียง 396 ชั่วโมง ต่างจากหน้าร้อนปี 1947 ที่เจอแสงอาทิตย์ 770 ชั่วโมง

    เดนมาร์กเริ่มประสบกับฝนที่ตกมากขึ้นในปี 2011 และกลายเป็นเรื่องปกติที่หน้าร้อนต้องเจอกับฝนตกนับตั้งแต่สิ้นศตวรรษที่ผ่านมา โดยหน้าร้อนปีนี้ปริมาณฝนมีมากถึง 268 มิลลิเมตร จัดว่าเป็นหน้าร้อนที่เปียกปอนด้วยสายฝนมากที่สุดนับตั้งแต่มีการวัดปริมาณฝนในปี 1874

    หน้าร้อนของเดนมาร์กปีนี้มีอุณหภูมิเฉลี่ย 15.4 องศาเซลเซียส ใกล้เคียงกับปี 2015 ที่มีอุณหภูมิเฉลี่ย 15.2 องศาเซลเซียส

    นอกจากนี้ Solar Minimum มีผลต่ออุณหภูมิแล้วยังมีผลต่อแสงเหนือและ Aurora ในหลายพื้นที่ โดย Business Insider รายงานว่า ในช่วง Solar Minimum นั้น แสง Aurora ในหลายภูมิภาคของโลกจะมืดลง และจะยังคงอยู่ในภาวะแบบนี้ไปหลายปี ซึ่งหมายถึงว่าในส่วนอื่นของโลกที่ห่างไกลจากขั้วโลกจะมองเห็นแสงเหนือหรือ Aurora ได้ยาก และไม่ได้หมายความว่าโลกจะปราศจากแสง Aurora เสียเลยทีเดียว เพราะยังคงเดินทางไปขั้วโลกเหนือหรือขั้วโลกใต้ ที่แสง Aurora ยังคงมีให้เห็นในยามค่ำคืน

    aurora-e1513765122280.jpg
    Aurora ที่แคนาดา ที่มาภาพ
    : https://www.nasa.gov/sites/default/files/images/626125main_iss030e097783_full.jpg
    อย่างไรก็ตาม Aurora จะกลับมาให้เห็นชัดเจนและเจิดจรัสมากกว่าเดิมในรอบ Solar Maximum หน้า ราวปี 2025

    https://thaipublica.org/2017/12/sunspot-solar-minimum-global-cooling-little-ice-age/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มกราคม 2019
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,686
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ประกาศมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ

    IMG_8598.JPG

    เรื่อง งดการเรียนการสอน เนื่องจากสถานการณ์ฝุ่น PM2.5


     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,686
    ค่าพลัง:
    +97,150
    นครชิคาโกเย็นจัดกว่าขั้วโลกใต้ ทรัมป์ถือโอกาสเย้ย"ภาวะโลกร้อน" วันที่ 30 ม.ค. 2562 เวลา 12:52 น.

    08513F64CC104F29AEFB1A24175AA732.jpg

    หลายพื้นที่ในสหรัฐเผชิญสภาพอากาศหนาวจัด อุณหภูมิต่ำเท่าขั้วโลกใต้ "ทรัมป์"ทวีตร้องขอภาวะโลกร้อนกลับมา

    สื่อท้องถิ่นสหรัฐรายงานว่าหลายพื้นที่ในแถบมิดเวสต์ของสหรัฐกำลังเผชิญสภาพอากาศที่เย็นจัด ถึงขั้นติดลบหลายองศา รายงานระบุว่าพื้นที่ของรัฐอิลลินอยส์ ไอโอวา มินนิโซตา นอร์ทดาโคตาเซาท์ดาโกตา วิสคอนซิน และบางส่วนของรัฐแคนซัส มิสซูรี มอนแทนา และเนแบรสกา ต่างได้รับผลกระทบจาก โพลาร์วอร์เท็กซ์ หรือคลื่นความเย็นจัดจากขั้วโลกเหนือที่แผ่มาปกคลุมทั่วพื้นที่ทางฝั่งตะวันออกของประเทศ

    1344FE3B092148FC96F1F5DFB3F56966.jpg

    โดยพบว่าที่นครชิคาโก รัฐอิลลินอยส์นั้นมีอุณหภูมิต่ำที่สุดถึง -30 องศาเซลเซียส ระหว่างวันที่ 29-30 ม.ค. และมีโอกาสดิ่งหนักถึงลบ 35 องศาเซลเซียสในวันพฤหัสบดี ขณะที่รัฐทางเหนืออย่างเมือง มินนีแอโพลิส และ เซนต์พอลในรัฐมินนิโซตา มีอุณหภูมิต่ำสุดถึง -45 องศาเซลเซียสซึ่งอุณหภมิดังกล่าวนับว่าต่ำกว่าอุณหภูมิโดยเฉลี่ยทั่วไปของทวีปแอนตาร์กติกา หรือ ขั้วโลกใต้

    45EEA2818D444544B227B250ABE1B5A8.jpg

    ด้านสำนักอุตุนิยมวิทยาแห่งชาติสหรัฐได้ออกคำเตือนไปยังประชาชนให้หลีกเลี่ยงการเดินทางออกนอกบ้าน ซึ่งคลื่นความเย็นดังกล่าวได้ส่งผลให้ประชาชนอเมริกันกว่า 75 ล้านคนได้รับความเดือดร้อน จนมีรายงานผู้เสียชีวิตจากอากาศหนาวแล้ว 3 ราย

    นอกจากนี้ยังพบว่าอุณหภูมิในหลายเมืองทำลายสถิติต่ำสุดในรอบหลายปี เช่นที่เมือง มิลวอกีในรัฐวิสคอนซิน มีอุณหภูมิต่ำสุดที่ -33 องศาเซลเซียส ต่ำกว่าที่เคยบันทึกได้ในปี 1996

    9619BDF97B9948C2B06D9525DD5E5A00.jpg

    เช่นเดียวกับเมือง ดิมอยน์ในรัฐไอโอวา มีอุณหภูมิต่ำสุด -29 องศาเซลเซีย ต่ำกว่าที่เคยบันทึกไว้ในปี 1996 เช่นกัน

    เหตุการณ์ดังกล่าวได้ถูกประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทวิตข้อความเย้ยหยันว่า "ในเขตมิดเวสต์พบอุณหภูมิหนาวติดลบ ซึ่งเป็นอุณหภูมที่เย็นสุดที่เคยบันทึกไว้ แถมอีกไม่กี่วันข้างหน้าจะหนาวขึ้นกว่าเดิม เกิดอะไรขึ้นกับ Global Waming? โปรดกลับมาเร็วเราต้องการคุณ!"

    DE0527F5-8330-43D2-8D3D-16B45C25EB73.jpeg

    อย่างไรก็ดีภายหลังจากปธน.ทรัมป์ทวิตข้อความดังกล่าว ด้านองค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐ (NOAA) ได้ทวิตข้อความอธิบายว่า สภาพอากาศที่เย็นจัดนั้นไม่ได้หมายความว่า"ภาวะโลกร้อน"ไม่มีจริง

    C5DECF60-A4CC-4C48-AE5F-52D24EBC8545.jpeg

    https://www.posttoday.com/world/578630
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มกราคม 2019
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,686
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Thairath

    IMG_8604.JPG
    โอ้โห! นี่หรือ ‘บางกอก’ ค่าฝุ่นพิษแซงจีนไปแล้วจ้า รายงานแทบไม่ทันเลยทีเดียว


     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,686
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Sayan Rujiramora


    PRAVDA

    The FED, the dollar, gold & the petrodollar


    จากแนวคิดการก่อตั้ง Federal Reserve ได้มีการประชุมกันเป็นความลับในกลุ่มแบ้งเกอร์ที่ทรงอำนาจทางการเงิน ที่มี JP Morgan เป็นหัวโจก พวกเขาปรึกษากันเรื่องวิธีการร่างกฏหมายยังไงให้ผ่านสภาคองเกรสได้ ...พวกเขาประชุมกันที่รีสอร์ทส่วนตัวที่ Jekyll Island, Georgia ของ Morgan ..เมื่อ 22 Nov 1910


    ผู้ก่อตั้งประเทศสหรัฐ 2 คน Thomas Jefferson และ James Madison เชื่อว่า ธนาคารแห่งชาติ เป็นเรื่องที่ขัดกับรัฐธรรมนูญ และคงต้องพบกับการขัดขวางอย่างแรงในสภา จึงยุติความคิดไปตั้งแต่ตอนนั้น


    วุฒิสมาชิก Nelson Aldrich พ่อตาของ John D. Rockefeller Jr. และตาของ Nelson and David Rockefeller เป็นผู้มีอิทธิพลสูงในสภาคองเกรสตอนนั้น เขาเป็นประธานคณะกรรมาธิการการเงินในวุฒิสภา


    Aldrich ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้เสนอกฏหมายการก่อตั้งแบ้งค์ชาติต่อรัฐสภา วุฒิสมาชิก Charles Lindberg Sr. ต่อต้านกฏหมายฉบับนี้สุดๆ ..อย่างไรก็ตาม กฏหมายนี้ก็ผ่านจนได้ในวันก่อนคริสต์มาสอีฟ ในขณะที่สมาชิกส่วนใหญ่ในสภาต่างกลับบ้านไปฉลองวันหยุด


    Lindberg ประกาศว่า "พวกทรัสต์นี่แหละที่ทำให้เกิด panic ทางการเงินเมื่อปี 1907 จนทำให้คองเกรสต้องตั้งคณะกรรมาธิการการเงินขึ้น และมันนำไปสู่การก่อตั้งธนาคารกลางของเอกชน Federal Reserve ในที่สุด ...กฏหมายฉบับนี้ได้สร้างบริษัททรัสต์ขนาดยักษ์ขึ้นในโลก ...ปธน.เซ็นผ่านเมื่อไหร่ อำนาจเงินของรัฐบาลเงาจะกลายเป็นเรื่องถูกกฏหมายทันที นี่เป็นอาชญากรรมที่เลวร้ายสุดๆแห่งยุค...."


    คำกล่าวของ Lindberg เป็นเหมือนคำทำนายที่สะท้อนข้ามยุคมาถึงปัจจุบัน


    เมื่อปี 2009 Alan Greenspan อดีตประธาน Fed ให้สัมภาษณ์ว่า "..Fed เป็นหน่วยงานอิสระ ไม่มีหน่วยงานไหนของรัฐบาลจะมาสั่งลบล้างสิ่งที่ Fed ทำลงไปได้ ...แม้แต่ความเห็นของ ปธน. ด้วย.."


    พูดอีกอย่างก็คือ Fed มีอำนาจแต่ผู้เดียวในการ..กำหนดอัตราดอกเบี้ย..ตั้งเป้าการเติบโตด้านการเงิน..พิมพ์เงินมากเท่าที่ต้องการ .....ทั้งหมดนี้ทำได้โดยไม่ต้องมีการตรวจสอบจากฝ่ายบริหารหรือรัฐสภา


    แต่ไม่ว่าจะทรงอำนาจหรือเป็นอันตรายมากขนาดไหน ..Fed ก็ยังไม่สามารถแสดงอิทธิฤทธิ์มากนักในยุคแรกๆ ..เพราะตั้งแต่ตอนก่อตั้งขึ้นมา Fed ก็ยังไม่สามารถเสกเงินจากกลางอากาศได้ เพราะดอลล่าร์ยังคงถูกผูกติดอยู่กับทองคำ ...จนมาเมื่อครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 นั่นแหละ ที่มีการพิมพ์เงินแบบ non-stop ได้.....


    สหรัฐใช้มาตรฐานทองคำมาตั้งแต่ปี 1900 มีการกำหนดให้เงินหนึ่งดอลล่าร์เท่ากับทองคำหนัก 1.5 กรัม (23.22 เกรน) .....พอมาต้นปี 1933 สภาคองเกรสและ ปธน.รูสเวลท์มีการออกกฏหมายและคำสั่ง Executive Orders ที่มาเป็นซีรี่ส์ ...เพื่อแขวนการใช้มาตรฐานทองคำไปก่อน ยกเว้นแต่กับกรณีของต่างประเทศที่ต้องการแลกคืนทองคำ ...แต่ในประเทศ ยกเลิกทองคำในการชำระหนี้ และห้ามการถือครองทองคำเกินจำนวนที่กำหนดในหมู่ประชาชน


    ถึงแม้ว่าพลเมืองทั่วๆไปในอเมริกาไม่สามารถเป็นเจ้าของทองคำหรือแลกคืนดอลล่าร์ได้ แต่ต่างประเทศยังสามารถแลกดอลล่าร์คืนเป็นทองคำได้ ...ปฏิบัติการแบบเผด็จการแบบนี้แหละ..ที่เป็นองก์ที่หนึ่งของฉากสุดท้ายในดราม่าเรื่องดัง ..Fiat Money.. ที่คนทั้งโลกพากันติดกับดัก..งอมแงมอยู่จนปัจจุบัน


    หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา ทุกประเทศก็ยังคงสามารถแลกเงินดอลล่าร์ที่มีในมือเป็นทองคำได้ นี่ทำให้ดอลล่าร์เป็นที่น่าเชื่อถือจนทุกประเทศเก็บไว้เป็นรีเสิร์ฟทุนสำรอง เพราะมีการประชุมนานาชาติที่ Bretton Woods ลงมติในสัญญาที่ peg ค่าของเงินทุกสกุลกับยูเอสดอลล่าร์ ซึ่งเป็นสกุลเดียวที่ยังคงอิงกับทองคำที่ พร้อมให้แลกคืนได้ ....นี่คือมาตรฐาน Gold Exchange Standard


    อย่างไรก็ตาม เมื่อปี 1971 ปธน.นิกสันช้อคโลกโดยการถอดปลั้กสัญญา Bretton Woods แต่ฝ่ายเดียว ..พอทำอย่างนั้น มันก็เหมือนส่งดาบให้กับ Fed ให้มีอำนาจแบบสุดๆ ในการควบคุมเศรษฐกิจทั้งของสหรัฐและทั้งโลกไปเลย ทีนี้ มันก็จะคุมทั้งอัตราดอกเบี้ย ปริมาณเงินในตลาด และการพิมพ์เงินโดยไม่ต้องมีมาตรฐานทองคำ หรือใครหน้าไหนมาคุมไว้อีกแล้ว


    ยังไม่จบ..นอกจาก 'นิกสันช้อค' แล้ว ..รัฐมนตรีต่างประเทศตอนนั้น เฮนรี่ คิสซิงเจอร์รู้ดีว่าการยกเลิกสัญญา Bretton Woods จะทำให้ทั่วโลกไม่เชื่อถือและไม่อยากเก็บยูเอสดอลล่าร์เป็นรีเสิร์ฟอีกต่อไป ...และนี่จะทำให้สหรัฐบีบคอชาวโลกได้ไม่ถนัดมือ ..เฮนรี่เดอะเค จึงจัดให้มีการประชุมกับกลุ่มราชวงศ์ซาอุดิฯ เพื่อสร้างดีลเปลี่ยนโลก ..เป็นสัญญาที่ทรงอิทธิพลที่จะทำให้ดอลล่าร์เป็นที่ต้องการเก็บเป็นทุนสำรองต่อไป แถมยังจะอัพเลเวลให้กับ Fed ได้อีกด้วย


    นี่คือระบบ Petrodollar ...แต่มันคืออะไรล่ะ


    สหรัฐเสนอที่จะให้การปกป้องทางทหารต่อบ่อน้ำมันทั้งหมดของซาอุดิฯ และยังจะส่งมอบอาวุธ และสัญญาจะปกป้องต่อการรุกรานจากอิสเรลอีกด้วย


    เพิ่อเป็นการแลกเปลี่ยน ซาอุดิฯสัญญาว่าจะขายน้ำมันในเทอมของเงินยูเอสดอลล่าร์เท่านั้น และยังสัญญาจะนำเงินที่ได้จากการขายน้ำมันลงทุนในตราสารหนี้ของสหรัฐ


    นี่นอกจากจะเป็นการต้อนให้ทุกประเทศยังคงมีเงินทุนสำรองของประเทศเป็นยูเอสดอลล่าร์แล้ว ยังเป็นการคุมตลาดน้ำมันอีกด้วย ทั่วโลกถูกจับเป็นเป้านิ่งของสหรัฐ..แม้แต่พันธมิตรเองก็ไม่แฮ้ปปี้ ที่ตัวเองเป็นเหมือนลูกบิลเลียดที่ถูกจับไปใช้วางสนุ้คกลุ่มประเทศที่อยู่ตรงข้าม ..ดีลเปโตรดอลล่าร์นี้จับเอาโลกอยู่ในอุ้งมือเลย


    ก่อนปี 1975 สมาชิก OPEC ทุกชาติ ตกลงกัน quote ราคาเป็นดอลล่าร์ และยินดีนำเงินที่เหลือใช้ลงทุนในพันธบัตรสหรัฐ เพื่อข้อแลกเปลี่ยนแบบเดียวกับซาอุดิฯ


    ถ้าจะมองในมุมการสร้างความแข็งแกร่งให้กับจักรวรรดิ์อเมริกัน ระบบ "dollars for oil" ดีกว่าระบบ "dollars for gold" ซะอีก เพราะไม่ต้องคำนึงถึงกฏเกณท์มากมายของ gold standard เลย ...ฐานเงินดอลล่าร์ของสหรัฐสามารถเติบใหญ่ได้ในอัตราทวีคูณเอาเลย


    พวกแบ้งเกอร์ทำแต้มไปได้ในยกนี้ ...โลกตกเข้าสู่กับดักเปโตรดอลล่าร์ได้ยังไงกัน? แต่ละประเทศทำอะไรกัน?


    เมื่อต้องการดอลล่าร์เพื่อมาใช้ซื้อน้ำมันที่ขึ้นราคากันหนักตอนนั้น ทุกประเทศต้องพัฒนานโยบายชูธงการส่งออกไปสู่สหรัฐ ..พวกเขาต้องทำทุกอย่างเพื่อเงินดอลล่าร์ ...สินค้าทุกชนิด..อาหาร..และทรัพยากรชั้นดีถูกส่งเข้าสหรัฐแลกกับเงินดอลล่าร์ที่พิมพ์ออกมาใหม่ๆ เพื่อใช้เป็นค่าน้ำมันจากตลาดโลก


    นี่พอจะบอกได้ว่าสหรัฐได้อะไรบ้างจาก เปโตรดอลล่าร์


    สหรัฐได้สองเด้งจากธุรกรรมของน้ำมันในตลาดโลก ...หนึ่ง ผู้ใช้น้ำมันทั่วโลกทำงานเป็นเบ๊รับใช้..ป้อนทุกอย่างให้สหรัฐเพื่อดอลล่าร์ ...สอง เงินได้จากการขายน้ำมันที่เหลือใช้ ก็กลับคืนสู่สหรัฐในรูปเงินกู้ระยะยาว ..ยังไม่ต้องพูดถึงการใช้น้ำมันของสหรัฐที่ซื้อจากตะวันออกกลางแบบฟรีๆ..ด้วยกระดาษเปื้อนหมึกที่พิมพ์เองหมาดๆ


    เรื่องนี้ส่งให้ Fed เข้านั่งในที่นั่งคนขับของเศรษฐกิจโลก นี่เป็นเหตุผลที่สหรัฐและคนอเมริกันใช้ชีวิตเกินขั้นระดับเฉลี่ยของคนธรรมดาไปได้ ...สามารถสร้างหนี้และขาดดุลการค้านับล้านล้านดอลล่าร์ เพื่อกินของฟรีจากชาวโลกได้นานนับสิบๆปี


    นิกสันและคู่หู คิสซิงเจอร์ ไม่ใช่ว่าจะทำอะไรอยู่ฝ่ายเดียวต่อชาวโลกโดยไม่มีผล ..ราคาทองคำพุ่งขึ้นไปถึง $850 โลกพากันลดค่าให้ดอลล่าร์มาตั้งแต่นั้น ..ก่อนนิกสันยกเลิกมาตรฐานทองคำ รัฐบาลสหรัฐพยายามรักษาค่าของทองคำไว้ที่ $35 มาตลอด


    ตั้งแต่ปี 1972 เป็นต้นมา Fed บริหารนโยบายการเงินโดยพละการมาตลอด และผลของมันก็เลวร้ายมาตลอดเหมือนกัน


    หลายปีมานี้ พวกเขาจำต้องเผยขอบข่ายกำลังที่มีของตัวเอง โดยการปรับอัตราดอกเบี้ยเป็น 0% และให้เครื่องพิมพ์แบ้งค์เดินเครื่องต่อไป ..เงินออกมาท่วมโลกนับล้านล้านดอลล่าร์ ..พวกเขารู้ตัวดีว่านี่ใกล้จะ game over แล้ว ..หมดยุคครองโลกละ


    เรามาย้อนดูอดีตกัน มันมีอีเว้นท์เป็นซีรี่ส์เลย ..เดือนมิถุนายน 1963 ปธน. จอห์น เอฟ เคนเนดี้เซ็นต์คำสั่ง Executive Order 11110 สั่งให้กระทรวงการคลัง (ไม่ใช่ Fed) ตราธนบัตร Silver Certificate โดยอิงกับ ซิลเวอร์ physical ที่มีอยู่ในคลัง


    นั่นหมายความว่า ซิลเวอร์แท่งทุกๆออนซ์ที่มีอยู่ในคลังของกระทรวง รัฐบาลสามารถตราออกมาเป็นธนบัตรเพื่อใช้หมุนเวียน ..ดังนั้นจึงมีจำนวนธนบัตรถึง $4,000 ล้านชนิดราคา $2 และ $5 หมุนเวียนในตลาด และมีกำหนดให้ชนิดราคา $10 และ $20 ออกสู่ตลาดแล้ว


    เคนเนดี้เหมือนกับจะสร้างบรรทัดฐานใหม่ และกำลังส่งสัญญานบางอย่างให้ Fed


    และแล้วก็ถึงวันที่ 22 Nov 1963 ...JFK ถูกลอบสังหาร ธนบัตรที่มีกำหนดออกก็ต้องเลื่อนไปไม่มีกำหนด ส่วนที่อยู่ในตลาดก็ถูกเรียกเก็บจนหมด ..แผนของเคนเนดี้ที่จะดึงอำนาจคืนจาก Fed ก็ต้องยุติ


    เคนเนดี้หมายถึงใคร ตอนที่เขากล่าวว่ามีการวางแผนทำลายเสรีภาพของคนอเมริกัน ..หลายปีต่อมา วุฒิสมาชิก Daniel Inoye พูดถึงรัฐบาลที่ไม่ได้ผ่านการเลือกตั้งมา


    "เรามีรัฐบาลเงา ที่มีกองทัพอากาศและกองทัพเรือของตัวเอง มีกองทุนของตนเอง ที่ไม่ต้องมีการตรวจสอบใดๆจากฝ่ายกฏหมายของบ้านเมืองเลย"


    กรณีของซัดดัม ฮุสเซ็น ที่มีกึ๋นพอที่จะกล้าท้าทายอำนาจของเปโตรดอลล่าร์ และเราก็รู้กันดีแล้วถึงชะตากรรมของเขาและประเทศอิรัค ..ยังมีเรื่องของกัดดาฟี่กับธนาคารในอัฟริกาของเขา และเราก็รู้กันดีถึงชะตากรรมของเขาและลิเบียด้วย


    ปูตินก็กำลังท้าทายเปโตรดอลล่าร์ผู้ยิ่งใหญ่ และรัสเซียก็มีน้ำมันมากพอจะเป็นแบ้คได้ด้วย แต่ตอนนี้เขากำลังเป็นเป้า จักรวรรดิ์อเมริกันไม่มีวันยอมคลายมือที่กำลังบีบคอเศรษฐกิจโลกง่ายๆหรอก นี่เป็นเรื่องของน้ำมันกับเปโตรดอลล่าร์แท้ๆเลย


    แล้วยังอิหร่านอีกล่ะ ไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับการครอบครองนุ้คหรอก ปากีสถานยังมีได้เลย ประเด็นคือ อิหร่านไม่เอื้อให้เปโตรดอลล่าร์ไปได้อย่างราบรื่น แค่นั้นเอง


    สหรัฐบีบให้พันธมิตรของตนทำการแซงค์ชั่นรัสเซียและอิหร่าน พญาอินทรีกำลีงเริ่มจะเสียศูนย์ ..มาตอนนี้จีนเริ่มเข้าฉากมาแล้ว มารวมตัวกับทั้งรัสเซียและอิหร่าน .....เปโตรดอลล่าร์เริ่มนับถอยหลังแล้ว


    เมื่อถึงวันตาย อเมริกาจะต้องเจอกับการคิดบัญชี ที่จะทำให้วิกฤติการเงินสองครั้งล่าสุดกลายเป็นงานปาร์ตี้ไปเลย ...ถึงวันนั้น ชาวอเมริกันจะได้รู้ว่า เพราะ Fed นี่แหละที่ทำให้พวกเขากลายเป็นขอทานไปเลย


    Will Hart


    ********


    The FED, the dollar, gold & the petrodollar


    Democratic congressman (also a presidential candidate) Dennis Kucinich echoed Paul's statements while giving a speech on the House floor. He noted: "In 1913 the money power of the country was taken away from the people. By constitutional privledge it belongs with the congress. But it was given up in the Federal Reserve Act. The Federal Reserve is no more federal than Federal Express..."


    At this juncture a brief history of the FED is in order.


    The concept of a central bank was hatched and discussed, in secret, by a small group of wealthy, powerful bankers, JP Morgan chief among them. They discussed how to draft a bill that could get through congress at a clandestine meeting held at an exclusive hunting club, owned by Morgan, on Jekyll Island, Georgia.


    [The date, November 22, 1910. keep that date in mind as it will come into play 53 years later.]


    Founding fathers, including Thomas Jefferson and James Madison, believed that a "national bank" was unconstitutional. Knowing that they would face intense opposition in congress the 'group' chose to keep themselves and their scheme out of public view.


    There was one non- banker in it, Senator Nelson Aldrich, the father-in-law of John D. Rockefeller Jr. and grandfather of Nelson and David Rockefeller. In fact, Aldrich was the most powerful man in Congress at that time. A member for 40 years, 36 of them in the Senate, he was also Chairman of the powerful Senate Finance Committee.


    Aldrich was given the task of getting their national bank bill through congress. His efforts were met with intense opposition from Lindberg. Finally, in a bold stroke he managed to sneakily ram the bill through the day before Christmas Eve when most of congress was absent, back home in their districts to celebrate the holiday.


    The day before the Federal Reserve Act passed, Congressman Charles Lindberg Sr. declared:


    "The money trust deliberately caused the 1907 money panic and thereby forced Congress to create a National Monetary Commission which led to the ultimate creation of the privately owned Federal Reserve Bank. The Federal Reserve Act establishes the most gigantic monetary trust on earth. When the President signs the bill, the invisible government of the Monetary Powers will be legalized...The worst legislative crime of the ages..."


    Lindberg's statement was prophetic and will be echoed decades later as we shall see.


    The Federal Reserve Act (CH. 6, 38 Stat. 251, was passed December 23, 1913. Apologists who claim the FED is a government agency need to get the facts straight from the horse's mouth; and the America public, and the rest of the world, should no longer be confused.


    In 2009, former FED chairman Alan Greenspan was interviewed on the PBS News Hour by anchor Jim Leherer. He asked, "what should the proper relationship be between the president and the chairman of the Federal Reserve?"


    Greenspan replied," The FED is an independent agency...there is no other agency of government which can overrule actions that we take...those relationships don't frankly matter..."


    In other words the FED has the sole power and authority to set interest rates, monetary growth targets, print as much money as it wants to, et al., without any input, supervision or real oversight by the president or congress.


    The final proof, however, comes from another government source. The below quote is taken from "A Primer on Money", published by the Committee on Banking and Currency, U.S. House of Representatives, 88th Congress, 2d session, August 5, 1964, p. 75:


    "The practical effect of requiring all purchases to be made through the open market is to take money from the taxpayer and give it to the dealers. It forces the Government to pay a toll for borrowing money. (Author's underline) There are six 'bank' dealers: First National City Bank of New York; Chemical Crop. Exchange Bank, New York, Morgan Guaranty Trust Co., New York, Bankers Trust of New York, First National Bank of Chicago, and Continental Illinois Bank of Chicago.


    Those are all privately held banks. 'Pay a toll means that the FED turns a profit from its operations and that goes to the above banks.


    As powerful and potentially dangerous as the early FED was it had nowhere near the absolute power it would posses by the latter part of the 20th century. When it was created the central bank was constrained because the dollar was backed by gold.


    They could not print money out of thin air, as they do nonstop today.


    The United States moved to a gold standard in 1900, making both gold and silver the legal-tender coinage of the United States, and guaranteed the dollar as convertible to 1.5 g (23.22 grains) of gold..


    In early 1933, Congress and President Roosevelt implemented a series of Acts and Executive Orders which suspended the gold standard, except for foreign exchange; revoked gold as universal legal tender for debts; and banned private ownership of significant amounts of gold coin.


    Though private citizens could no longer own gold or redeem dollars for it, the dollar was still convertible to gold if foreign nations so desired to redeem their dollars. In essence, those dictatorial acts set the stage for the final act in the fiat money drama that we are so thoroughly trapped in today.


    After WWII, foreign countries could still convert their dollars into gold. That made the dollar the de facto global currency. However, that was not officially established until an international conference at Bretton Woods hammered out an agreement. The pact pegged all other currencies to the U.S. dollar; and they were thus still directly linked to the gold standard.


    However, in 1971, then President Nixon shocked the world by unilaterally pulling the plug on Bretton Woods. By so doing he unwittingly handed the FED absolute power over the US and global economy. From that point on the Federal Reserve could set interest rates, money supply growth targets, and print money unrestrained by the gold standard, congress or anyone else for that matter.


    But there was more to the "Nixon Shock", far more in fact. Nixon and his globalist sidekick, Secretary of State, Henry Kissinger, knew that their destruction of the international gold standard under the Bretton Woods arrangement would cause a decline in the artificial global demand for the U.S. dollar.


    Fearing the US would lose its grip on the global economy they devised a scheme. In a series of meetings, Kissinger and the Saudi royal family cut a world- transforming deal, a powerful agreement that kept the dollar as the reserve currency. It would also ratchet the FED's power up to an even higher level.


    Today, we refer to it as the petrodollar system. What exactly does that term mean?


    In short, the United States offered military protection to Saudi Arabia's oil fields. The U.S. also agreed to provide the Saudis with weapons, and perhaps evem importantly, guaranteed protection from aggressive acts by Israel.


    In exchange the Saudis agreed to price all of their oil sales in U.S. dollars only. (In other words, the Saudis could only accept the U.S. dollar, as payment for their oil exports.) In addition, and this goes straight back to the FED, the Saudis also agreed to invest their surplus oil proceeds in U.S. debt securities.


    In effect, with a bold stroke the US dollar maintained its reserve status but this time due to oil and geopolitical realities. The world was caught off guard and even US allies were not happy about being snookered. The petrodollar deal effectively trapped the rest of the world into a, de facto, use of the dollar as the global reserve currency.


    By 1975, all of the oil-producing nations of OPEC had agreed to price their oil in dollars; and to hold their surplus oil proceeds in U.S. government debt securities, in exchange for deals similar to that offered the Saudis.


    From the perspective of American Empire consolidation, this new "dollars for oil" system was much more preferred over the former "dollars for gold" system as its economic requirements were much less stringent. Without the constraints imposed by a rigid gold standard, the U.S. monetary base could be grown at exponential rates.


    The banksters scored the final coup! How was the world put into check and trapped by the petrodollar?


    In need of dollars to buy oil many countries opted to develop an export-led strategy with the United States; they did this in order to exchange their goods and services for the U.S. dollars required to purchase oil in the global markets.


    Now, exactly in how many different ways does the US most benefit from the petrodollar?


    In essence, America receives a double loan out of every global oil transaction. First, oil consumers are required to purchase oil in U.S. dollars. Second, the surplus profits of the oil-producing nations are then put into U.S. government debt securities held in Western banks.


    The petrodollar system also provides at least three other instant benefits to the United States.


    It increases global demand for U.S. dollars


    It increases global demand for U.S. debt securities


    It gives the United States the ability to buy oil with a currency it can print at will, which the FED has been doing for 6 years.


    This essentially puts the FED in the global driver's seat. In addition, it is the reason that America has been able to live beyond its means and rack up trillions of dollars of debt and run massive trade deficits, for decades, all at the same time.


    Nixon and Kissinger's unilateral actions were not without consequences however. The price of gold shot up to $850. The world wisely devalued the dollar and in a hurry and has largely been doing so ever since. The US government had controlled the price at $35 an ounce when it was backed up by gold.


    As we have seen, from 1972 on the FED has been able to arbitrarily set monetary policy and the results have been disastrous.


    In recent years they have actually revealed the true extent of their powers by unleashing 0 interest rates and leaving the printing press button stuck ON, essentially flooding the world with trillions of dollars. The endgame is at hand, the goal... complete global dominion.


    At this point we need to go back in the chronology and insert a very important series of events. It is June, 1963 President John F Kennedy signed Executive Order 11110. The order instructed the Treasury Department (not the FED), "to issue silver certificates against any silver bullion, silver, or standard silver dollars in the Treasury."


    This meant that for every ounce of silver in the U.S. Treasury's vault, the government could introduce new money into circulation based on the silver bullion physically held there. As a result, more than $4 billion in United States Notes were brought into circulation in $2 and $5 denominations and $10 and $20 notes were due to be released...


    Kennedy was trying to set a new precedent and he was giving the FED a message.


    Then on, November 22 1963 JFK was shot and killed and those larger notes were never released. Note the date of his assassination, is it really by coincidence that it should occur exactly 53 years to the day of the secret meeting held on Jekyll Island by the plutocrats?


    The $10 and $20 certificates were being printed when JFK was killed. Not only were they never released, the smaller denominations were taken out of circulation. In essence, Kennedy was trying to take the reins from the FED and put the power of money back in the Treasury Department.


    The message was clear. Who was JFK referring to when he claimed there was a plot to destroy American freedom that citizens needed to become aware of? Years later another war hero Senator Daniel Inoye would also refer to an unelected Government,


    "There exists a shadowy Government with its own Air Force, its own Navy, its own fundraising mechanism, and the ability to pursue its own ideas of the national interest, free from all checks and balances, and free from the law itself."


    Who is this unseen hand... is that really a mystery? There is only one rogue, private quasi-government agency hiding in plain sight- the FED. Inouye would never answer any further questions about what he knew after making that cryptic statement.


    Then we turn to the case of Saddam Hussein who had the temerity to challenge the almighty petrodollar. We know what happened to his country and to him, case closed. Next, came Khaddafi and his African bank, we know what happened to his country and to him, case closed.


    Now, we turn to Vladimir Putin and Russia. It ought to be clear now why the Ukraine erupted and why the US -- merely the proxy of the Shadow Government at this late stage -- has closed in on Russia and revived the Cold War?


    Mr. Putin is challenging the almighty petrodollar and Russia has the oil to back it up. He is clearly in the crosshairs. The American Empire is not going to give up its stranglehold on the global economy. Forget about all the red- herring issues raised by western propagandists, the conflict is about oil and the petrodollar.


    The same holds true for Iran. It is not about an Islamic country coming into possession of nukes, Pakistan has them. The real issue is Iran's ditching of America's key to the golden printing press, insured by the petrodollar. You never hear of Israel threatening to bomb Saudi Arabia, one of the main breeding grounds of Islamic terrorism.


    Note that the US has forced its allies to place sanctions on both Russia and Iran. But the Eagle is losing its grip. Now that China is on the scene, in a big way, and cementing ties with both Russia and Iran, the petrodollars days are numbered.


    When it dies America is going to face its day of reckoning, which will make the last two financial crashes and recessions look like balloon parties. Then Americans will realize, too late, that the FED has turned them into paupers...


    Will Hart


     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,686
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Schumann Resonance วันนี้

    29 มกราคม 2562

    78965B1A-2F9D-4028-BD2B-F99CD4EE4137-265-00000010B6A4184D.jpg
    * หลังจากวันแห่งความสงบในวันนี้กิจกรรมเริ่มต้นใหม่ในเวลา 9.00 น. (ไทย) (2 โมงเช้า)ถึงเวลา 24.00 น. (ไทย) (17 UTC) ภายในช่วงเวลานี้แอมพลิจูดเกือบต่อเนื่อง มากกว่า 15 เฮิร์ตซ์ และมีแอมพลิจูดสูงสุดสูงสุดที่ 28 Hz เวลา 14.00 น. (ไทย) (7.00 น. UTC)


    * เราเพิ่มแผนภูมิใหม่ด้านล่างเราจะพยายามโพสต์ทุกวันเพื่อแสดงยอดจริงที่สูงกว่า 40 Hz

    8D9C375C-F57D-4904-94E2-D7E4E52B4500-265-00000010BE1BFC22.png

    * ความถี่หมายถึงจำนวนรอบคลื่นที่เกิดขึ้นในหนึ่งวินาที

    1 เฮิร์ตซ์ หมายถึง 1 รอบต่อวินาที

    40 Hz หมายถึง 40 รอบต่อวินาที

    แอมพลิจูดคือขนาดของการสั่นสะเทือนคลื่นใหญ่แค่ไหนแผนภูมิแสดงการเปลี่ยนแปลงความถี่ในเฮิร์ตซ์และแอมพลิจูดที่ใช้สีขาว


    • Schumann Resonances หรือที่รู้จักกันในนามของ ชีพจรของโลก (Earth’s heartbeat) ซึ่งชีพจรโลกนี้ หรือจะเรียกว่าค่าความถี่ของสนามแม่เหล็กโลกก็ได้ โดยปรกติ มีความถี่อยู่ที่ 7.83 รอบต่อวินาที]


    https://www.disclosurenews.it/en/schumann-resonance-today-update/
     

แชร์หน้านี้

Loading...