ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,977
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #ข่าวร้อนในญี่ปุ่น วันนี้ 29 ก.ค. ผู้ว่าจังหวัดอิวาเตะ แถลงพบการติดเชื้อ 2 ราย 1 ในนั้น เป็นชายวัย 40 ปี ไปเที่ยวกางเต็นท์กับเพื่อนๆ ในเขตคันโต
    .
    ⏱ ไทมไลน์การติดเชื้อ
    ◾ 23-26 ก.ค. ไปเที่ยวกางเต็นท์กับเพื่อนอีก 3 คน ทั้งหมดนอนเต็นท์เดียวกัน
    ◾ 27-28 ก.ค. เริ่มเจ็บคอ เป็นไข้ แต่ก็ไปทำงาน ใช้มาส์กตลอดเวลา
    ◾ 28 ก.ค. ได้ข่าวเพื่อนที่ไปด้วยกันติดโควิด-19 จึงไปตรวจบ้างและเจอ
    .
    ส่วนอีกคนเป็นชายวัย 30 ปี กำลังสืบสวน จะแถลงที่มาที่ไปเร็วๆ นี้ ผู้ว่าอิวาเตะ ขอให้คนในจังหวัดใจเย็นๆ ให้ระมัดระวังตัวให้มากขึ้น และขอให้คนป่วยหายไวๆ
    .
    ขอบคุณข้อมูลจาก https://bit.ly/2Dd8bqa


     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,977
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #เกาะติดสถานการณ์โคโรนาไวรัสในญี่ปุ่น ⭕ สรุปยอดผู้ติดเชื้อในญี่ปุ่น ณ วันที่ 29 ก.ค. 2020 เวลา 19.50 ตามเวลาในญี่ปุ่น
    .
    ⭕ ยอดผู้ติดเชื้อทั้งหมด 33407 (เพิ่มจากรายงานเมื่อวาน 1241 คน)
    รักษาหาย 23612
    เสียชีวิต 1003
    ยังป่วยอยู่ 8792
    .
    ⭕ แยกรายจังหวัด:
    ◾ โตเกียว 11861 (เสียชีวิต 328) +250
    ◾ โอซาก้า 3651 (เสียชีวิต 88) +221
    ◾ คานากาวะ 2349 (เสียชีวิต 98) +70
    ◾ ไซตามะ 2195 (เสียชีวิต 72) +53
    ◾ ฟุกุโอกะ 1629 (เสียชีวิต 33) +101
    ◾ ชิบะ 1562 (เสียชีวิต 48) +49
    ◾ ไอจิ 1445 (เสียชีวิต 35) +167
    ◾ ฮอกไกโด 1385 (เสียชีวิต 103) +5
    ◾ เฮียวโกะ 1105 (เสียชีวิต 45) +46
    ◾ เกียวโต 749 (เสียชีวิต 20) +41
    ◾ อิชิคาวะ 316 (เสียชีวิต 27) +2
    ◾ ฮิโรชิมะ 298 (เสียชีวิต 3) +17
    ◾ กิฟุ 282 (เสียชีวิต 7) +17
    ◾ โอกินาวะ 275 (เสียชีวิต 7) +44
    ◾ อิบารากิ 266 (เสียชีวิต 10) +12
    ◾ โทยามะ 236 (เสียชีวิต 22)
    ◾ ชิสึโอกะ 233 (เสียชีวิต 1) +16
    ◾ คาโกชิมะ 232 (เสียชีวิต 1) +3
    ◾ นารา 215 (เสียชีวิต 2) +6
    ◾ กุนมะ 183 (เสียชีวิต 19) +1
    ◾ โทชิงิ 175 +8
    ◾ ชิกะ 163 (เสียชีวิต 1) +6
    ◾ มิยางิ 153 (เสียชีวิต 1) +4
    ◾ คุมาโมโตะ 151 (เสียชีวิต 3) +22
    ◾ วากายามะ 140 (เสียชีวิต 3)
    ◾ ฟูกูอิ 135 (เสียชีวิต 8) +6
    ◾ มิยาซากิ 106 +12
    ◾ นากาโนะ 102 +4
    ◾ นิกาตะ 98 +2
    ◾ เอฮิเมะ 89 (เสียชีวิต 5)
    ◾ ยามานาชิ 89 (เสียชีวิต 1) +1
    ◾ ฟุกุชิมะ 87 +1
    ◾ มิเอะ 83 (เสียชีวิต 1) +8
    ◾ โคจิ 80 (เสียชีวิต 3)
    ◾ ยามากาตะ 75 (เสียชีวิต 1)
    ◾ ซากะ 70 +3
    ◾ โอคายามะ 70 +5
    ◾ โออิตะ 62 (เสียชีวิต 1)
    ◾ นางาซากิ 61 (เสียชีวิต 1) +3
    ◾ ยามากุจิ 52 +2
    ◾ คากาวะ 46
    ◾ อาโอโมริ 31 (เสียชีวิต 1)
    ◾ ชิมาเนะ 29
    ◾ โทคุชิมะ 18 (เสียชีวิต 1) +2
    ◾ อคิตะ 17
    ◾ ทตโตริ 8 +1
    ◾ อิวาเตะ 2 (พบผู้ติดเชื้อ 2 รายแรกวันนี้)
    .
    สภาพบ้านเมืองคนญี่ปุ่นในปัจจุบันหลังประกาศยกเลิกสภาวะฉุกเฉิน ใช้ชีวิตแบบ New Normal เป็นอย่างไร

    .
    ขอบคุณที่ติดตามครับ
    ขอบคุณข้อมูลจาก News Digest
    แค่กด see first หรือ “ดูเป็นอันดับแรก” ก็จะไม่พลาดทุกข่าวสาร


     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,977
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #อัพเดทญี่ปุ่น วันนี้ 29 ก.ค. 2020 บริษัทโยชิโนยะโฮลดิ้ง ประกาศปิดสาขากว่า 150 แห่งภายในปีนี้ ผลจากโควิด-19
    .
    หลังยอดขายในช่วงสามเดือนจนถึงเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ 39.6 พันล้านเยนลดลง 24.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังโควิด-19 ระบาด ต้องปิดร้าน และลดเวลาทำงาน
    .
    โดยทั้ง 150 สาขาที่จะปิด ตั้งอยู่ทั้งในประเทศ และนอกประเทศญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม ยังมีสาขาที่ยังเปิดให้บริการอยู่ บริษัทยังตัดสินใจที่จะลดเงินเดือนผู้บริหาร ตั้งแต่เดือนกันยายนเป็นต้นไปเพื่อความอยู่รอดของบริษัท
    .
    ขอบคุณข้อมูลจาก https://bit.ly/3f9Qdlt



     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,977
    ค่าพลัง:
    +97,150
    น่าจะเอาความคิดนี้ ไปส่งเสริมเกษตรกร

    #ทวิตฮาในญี่ปุ่น ขนมหรือดิน ?? ญี่ปุ่น เก๋อีกแล้ว ทำดินสำหรับปลูกพืช หน้าตาเหมือนขนม...
    .
    ขอบคุณภาพจาก @nagumo_work


     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,977
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #อัพเดทญี่ปุ่น 28 ก.ค. 2020 ญี่ปุ่นเปิดสวนลอยฟ้า แหล่งเที่ยวแห่งใหม่กลางกรุงโตเกียว Miyashita Park จุดเช็กอินแห่งใหม่ใจกลางชิบุย่า วันนี้วันแรก !!
    .
    ถ้าจะพูดถึงสวนที่อยู่บนดาดฟ้าแห่งแรกของโตเกียวต้องนึกถึงที่นี่ Miyashita Park แรกเริ่มเดิมทีในบริเวณนี้มีชื่อเรียกว่า Miyashita cho สร้างขึ้นในปี 1953 เพราะเคยอยู่ติดกับที่อยู่อาศัยของราชวงศ์อิมพีเรียล "Nashimoto Muyake" ซึ่งได้รับการกล่าวขานว่ามีพื้นที่ประมาณ 20,000 tsubo (1 tsubo=3.306 ตรม.) หรือประมาณ 66,115 ตารางเมตร
    .
    สำหรับสวนที่ตั้งอยู่บนดาดฟ้าได้สร้างขึ้นในปี 1966 ซึ่งได้รับความนิยมไม่เพียงแต่ชาวชิบุย่าเท่านั้น นักท่องเที่ยวก็ยังแวะเวียนกันไปยังบริเวณนี้ด้วยเพราะมีลานสเก็ตที่เหล่าวัยรุ่นมักจะไปออกวาดลวดลายกัน หลังจากที่ก่อสร้างสวนมาได้ 67 ปี ทางสำนักงานเขตชิบุย่าได้เล็งเห็นว่าควรต้องปรับปรุงสวนแห่งนี้เพื่อให้ตึก รองรับกับแผ่นดินไหวได้ ในตอนแรกวางแผนไว้ว่าจะเปิดตัวในช่วงฤดูใบไม้ผลิของปี 2020 แต่ดันเกิดการระบาดของโควิดเสียก่อนจึงต้องเลื่อนมาเปิดตัวในวันที่ 28 ก.ค.2020 นี้แทน
    .
    พื้นที่ของ Miyashita Park มีขนาด 10,800 ตารางเมตร แบ่งออกเป็น 3 โซนหลัก ๆ ได้แก่ โซนร้านค้า Rayard Miyashita park ที่มี 3 ชั้นและมีร้านค้ากว่า 90 ร้านค้าเป็นระยะทางกว่า 330 เมตรมีทั้งแบรนด์ระดับ high end อย่าง Louis Vuitton world's first men's falgship store, Gucci, Prada, Balenciaga ฯลฯ และร้านค้าชั้นนำอื่น ๆ รวมถึงร้านอาหาร ร้านราเมน คาเฟ่ต่าง ๆ ก็มารวมกันอยู่ที่นี่ด้วย
    .
    สวนสาธารณะบริเวณดาดฟ้า Shibuya Miyashita Park พื้นที่สีเขียวกว่า 1,000 ตารางเมตรตั้งอยู่ใจกลางเมือง ซึ่งเป็นพื้นที่สาธารณะที่ให้ชาวเมืองได้มาผ่อนคลายกันได้ที่นี่ และยังมีโซนลานสเก็ต กำแพงหินที่เป็นสัญลักษณ์ของที่นี่ ให้ชาวสตรีทได้แวะมาเช็กอินกันด้วย
    .
    โรงแรม Sequence Miyashita park โรงแรมที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองมีคอนเซ็ปต์ SMART, OPEN ,CULTURE ซึ่งอยู่ภายใต้หลักการที่ว่า Easy Connection ไฮไลท์ของโรงแรมนี้คือ Check out 14.00 น. อาหารเช้าทานได้จนถึงเวลา 12.00 น. เรียกได้ว่าตอบโจทย์สายชิลได้เลยทีเดียว โซนโรงแรมจะเริ่มเปิดบริการวันที่ 1 สิงหาคม 2020 นี้
    .
    เว็บไซต์ : https://www.miyashita-park.tokyo/
    .
    การเดินทาง : ลงรถไฟที่สถานี Shibuya ทางออก Hachiko แล้วข้ามถนนไปฝั่ง Shibuya Men 109 หรือทางออก A7-2, A12 จากนั้นเดินตาม Google map
    .
    พิกัดใน Google map: https://goo.gl/maps/HxbMVDy8xoRCY8Lr9
    .
    ขอบคุณข้อมูลจาก Fashion Press

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กรกฎาคม 2020
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,977
    ค่าพลัง:
    +97,150
    วิลเลียม บาร์,รมต.ยุติธรรมสหรัฐฯ
    ยืนยัน ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ตัดสินใจถูกต้อง
    การใช้กำลังทหารรับมือผู้ประท้วงรุนแรง

    Cr:voanews

     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,977
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อุตฯรถยนต์ไทยยังไม่ฟื้น สต๊อกรถยังท่วมโรงงาน ลีซซิ่งไม่ปล่อยสินเชื่อ คาดสิ้นปีอาจดีขึ้น

     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,977
    ค่าพลัง:
    +97,150
    การบินไทยพร้อม!! ประเดิมลัดฟ้าสู่ยุโรป ลอนดอน-แฟรงก์เฟิร์ต ส.ค.นี้

     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,977
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ชายชาวฟลอริดาถูกจับกุม
    เพราะยิงผู้ประท้วง Black lives Matter
    ตำรวจสอบ ก่อนทำการทวิตรุนแรง
    “พวกคนดำเรียกร้องได้ พอคนขาวเรียกร้องพวกมันว่าเหยียดผิว”
    “ฉันจะไปยิงพวกเด็กดำ”

    Cr:newsweek

     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,977
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เตือนนักช้อปออนไลน์ ระวัง จะกลายเป็นรับซื้อของโจร

    เมื่อพูดถึงสินค้าแบรนด์เนม ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋า นาฬิกา หรือเครื่องประดับ ต่างเป็นสินค้าที่ช่วยเสริมบุคลิกแก่ผู้เป็นเจ้าของ ทำให้เราอยากมีเจ้าสินค้าแบรนด์เนมไว้ในครอบครองให้ชื่นใจสักครั้ง แต่ด้วยเป็นสินค้าที่มีราคาค่อนข้างสูงอยู่แล้ว ทำให้บางท่านมองหาสินค้ามือแบรนด์เนมมือสอง ซึ่งมีราคาถูกกว่า โดยไม่รู้ว่าสินค้านั้นมีที่มาอย่างไร อาจเป็นสินค้าที่ได้มาจากการกระทำความผิดของเหล่ามิจฉาชีพก็ได้

    วันนี้ทางกองปราบปราม จะขอเสนอวิธีการเบื้องต้นในการสังเกต สินค้ามือสอง ก่อนตัดสินใจซื้อกันค่ะ

    (1) ควรสั่งซื้อจากร้านค้าที่น่าเชื่อถือว่าเป็นสินค้าที่ได้มาอย่างถูกต้อง
    (2) สอบถามจากพ่อค้าและแม่ค้า ถึงที่มาของสินค้าอย่างละเอียด
    (3) ติดต่อขอใบการันตี หรือใบรับรองสินค้า สำหรับสินค้าประเภทที่มีใบการันตี
    (4) ตรวจสอบรหัสสินค้าจากเว็บไซต์ของสินค้าว่า ตรงตามรุ่นหรือไม่ และมีอุปกรณ์ครบถ้วนหรือไม่

    โดยในปัจจุบัน การซื้อขายส่วนมากจะทำผ่านระบบออนไลน์ ผู้ซื้อ ผู้ขายไม่เห็นหน้ากัน และไม่ได้เห็นสินค้าโดยตรง ทำให้เรายิ่งต้องระมัดระวังมากขึ้นเป็นเท่าตัว ควรตรวจสอบประวัติการซื้อขายของบุคคล หรือร้านค้าให้ดีก่อน เพราะหากสินค้าที่ท่านได้ซื้อมานั้น เป็นสินค้าที่ได้มาจากการกระทำความผิดแล้ว ท่านอาจตกเป็นผู้ต้องหา ที่เข้าข่ายกระทำความผิดฐาน”รับของโจร” ตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 357 ได้นะคะ

    #เตือนภัย #รับซื้อของโจร #CSD #ขายของออนไลน์

     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,977
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สถานทูตไทย ณ กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ เผยมีคนสัญชาติไทย อายุ 26 ปี ซึ่งเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัย Al-Azhar เสียชีวิตเพราะปอดอักเสบจากการติดเชื้อ #COVID19 #โควิด19 ในอียิปต์ #Egypt
    #Thailand

     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,977
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เพิ่มโทษเมาแล้วขับในมาเลเซีย
    .
    คณะรัฐมนตรีมาเลเซียได้ผ่านโทษใหม่ของการเมาแล้วขับในมาเลเซีย โดยมีการเพิ่มโทษขึ้นเป็น 2 เท่า
    การจำคุกคุก: จากเดิมสูงสุด 10 ปี ในระบบใหม่นั้นเริ่มแรกจะมีโทษจำคุกทั้งสิ้น 15 ปี แต่หากทำผิดซ้ำก็จะได้รับโทษ 20 ปี
    อัตราการปรับ: จากเดิมสูงสุด 20,000 RM(ราวๆ 1.6 แสนบาท) เป็นผิดครั้งแรก 100,000 RM (8 แสนบาท) หากผิดซ้ำก็ 150,000 RM (1.2 ล้านบาท)
    ยึดใบขับขี่: จากเดิมสูงสุด 10 ปี เพิ่มเป็น 20 ปี
    ในหลายๆประเทศเมาแล้วขับถือเป็นเรื่องที่รุนแรงโดยเมื่อเทียบกับโทษที่มีอยู่ในบ้านเราถือว่าโทษของบ้านเราค่อนข้างเบากว่าเขามาก

     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,977
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ประเด็นวิกฤตินักบินไทย รายได้หลักล้านต่อปี สู่การว่างงานไม่มีกำหนด... คุยสดกับกัปตันสนอง มิ่งเจริญ นายกสมาคมนักบินไทย กัปตัน บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)
    .
    #สายการบิน #นักบิน #แอร์โฮสเตส #ธุรกิจ #คุยกับบัญชา #MisterBan

     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,977
    ค่าพลัง:
    +97,150
    PSX_20200729_214018.jpg

    (Jul 29) ธปท.จับตาค่าเงินผันผวนหนัก ผนึกรัฐ-เอกชนช่วยเอสเอ็มอีปิดความเสี่ยง: "แบงก์ชาติ" จับตาครึ่งปีหลังค่าเงินบาทผันผวนหนัก จากความไม่แน่นอนสูง ผนึกองค์กรภาครัฐ-เอกชน จัดโครงการเสริมความรู้ผู้ส่งออกเอสเอ็มอีปิดความเสี่ยง
    พุธที่ 29 กรกฎาคม 2563 เวลา 16.09 น.

    น.ส.วชิรา อารมย์ดี ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท. ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) สมาคมธนาคารไทย สถาบันธนาคารไทย ธนาคารพาณิชย์ 8 แห่ง และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ร่วมกันจัดทำโครงการส่งเสริมความรู้ด้านบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนและสนับสนุนเอสเอ็มอีที่ทำการค้าระหว่างประเทศ

    โดยหากผู้ประกอบการเอสเอ็มอีผ่านการอบรมจะได้รับวงเงินช่วยเรื่องค่าธรรมเนียมรวม 1 แสนบาท แบ่งเป็นการประกันค่าเงิน(เอฟเอ็กซ์ ออพชั่น) 80,000 บาทต่อรายและช่วยค่าธรรมเนียมการค้าระหว่างประเทศ 20,000 บาทต่อราย

    นอกจากนี้ยังเพิ่ม 6 สกุลเงินใช้เป็นหลักฐานในการซื้อประกันค่าเงิน นอกเหนือจากดอลลาร์สหรัฐ ได้แก่ ยูโร เยน หยวน ปอนด์ ดอลลาร์ออสเตรเลีย และดอลลาร์สิงคโปร์ เพื่อครอบคลุมการทำธุรกิจของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่เป็นผู้ส่งออก ซึ่งโครงการนี้ต่อเนื่องเป็นระยะที่ 3 จะเริ่มเปิดรับสมัครวันที่ 3 ส.ค.เป็นวันแรก คาดจะมีผู้ประกอบการเข้าโครงการ 3,000-4,000 ราย และจะเปิดเรียนออนไลน์ในวันที่ 24 ส.ค.

    ทั้งนี้ธปท.มองว่าในครึ่งปีหลังจากนี้ค่าเงินบาทยังคงผันผวนสูง จากสถานการณ์ไม่แน่นอนโดยเฉพาะการแพร่ระบาดโควิด-19 ทั้งในและต่างประเทศ เพราะยังไม่มีใครรู้ว่าจะเป็นอย่างไร ทำให้ธปท.ต้องจับตาดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และในปีนี้ธปท.เตรียมออกเกณฑ์ให้ผู้ค้าทองรายใหญ่ที่ทำการซื้อขายทองคำระหว่างประเทศใช้สกุลเงินดอลลาร์แทนเงินบาท ส่วนหนึ่งเพื่อลดความผันผวนของค่าเงินด้วย

    Source: เดลินิวส์ออนไลน์
    https://www.dailynews.co.th/economic/787227
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,977
    ค่าพลัง:
    +97,150
    FB_IMG_1596033757232.jpg

    (Jul 29) แบงก์ชี้สินเชื่ออสังหาฯ‘ฟื้น’ ผู้ประกอบการหันพึ่งเงินกู้ : “แบงก์พาณิชย์” เผยสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์เริ่มฟื้น “เกียรตินาคิน” ชี้ยอดปล่อยกู้ไตรมาส 2 กลับมาขยายตัว 5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า คาดทั้งปีโต 7% สูงกว่าเป้าอื้อ ขณะ ผู้ประกอบการอสังหาฯ หันพึ่งเงินกู้แบงก์ หลังต้นทุนออกหุ้นกู้พุ่ง

    ชี้ส่วนใหญ่กู้ทำโครงการแนวราบ ด้าน “กสิกร” เผยยอดปล่อยสินเชื่อรายย่อยเพิ่ม หลังแบงก์ทำแคมเปญร่วมกับโครงการ ออกมาตรการผ่อนฟรี ดอกเบี้ยต่ำ กระตุ้นคนซื้อบ้านเพิ่ม ขณะที่กรุงศรี ชี้สินเชื่อไตรมาส 2 โตแกร่งสะท้อน การรักษาฐานลูกค้าเก่าได้ แม้มีวิกฤติ
    สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 กระทบต่อผู้ประกอบการในทุกกลุ่ม ซึ่งรวมถึงภาคอสังหาริมทรัพย์ด้วย เนื่องจากคนส่วนใหญ่ชะลอการใช้สอยออกไปเพื่อรอประเมินสถานการณ์

    แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากการแพร่ระบาดเริ่มควบคุมได้จนไม่พบผู้ติดเชื้อภายในประเทศ และรัฐบาลทยอยปลดล็อกดาวน์ ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาดีขึ้น คนที่พอมีกำลังซื้อเริ่มกลับมาใช้สอยส่งผลให้ยอดขอสินเชื่อเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์เริ่มกลับมา

    นายสำมิตร สกุลวิระ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ประธานสายสินเชื่อธุรกิจ ธนาคารเกียรตินาคิน(KKP) กล่าวว่า สินเชื่ออสังหาริมทรัพย์เริ่มกลับมาขยายตัวตั้งแต่ในช่วงไตรมาส 2 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นการขยายตัวทั้งลูกค้ารายย่อยและลูกค้าผู้ประกอบการ โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่ขอสินเชื่อใหม่เพื่อเปิดโครงการใหม่เพิ่มเติม

    สำหรับผู้ประกอบการที่ขอสินเชื่อใหม่ เกือบ 80% ขอสินเชื่อเพื่อเปิดโครงการแนวราบที่ยังมีความต้องการสูง ประกอบกับช่วงที่ตลาดหุ้นกู้ยังไม่ปกติทำให้ต้นทุนการระดมทุนสูง ผู้ประกอบการเหล่านี้จึงหันมาขอสินเชื่อหรือเบิกเงินหมุนเวียนจากธนาคารพาณิชย์ทำให้สินเชื่ออสังหาริมทรัพย์กลับมาเติบโตเกือบ 5% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรก

    อย่างไรก็ตาม ในส่วนสินเชื่อใหม่สำหรับก่อสร้างคอนโดแนวสูง ยังมีทิศทางชะลอตัว เนื่องจากยังมีคอนโดที่สร้างเสร็จ และรอขายอยู่จำนวนมาก ดังนั้น จะเห็นได้ว่าระยะนี้เป็นช่วงระบายสต็อก และเห็นการทำแคมเปญส่งเสริมการขายของผู้ประกอบการอย่างต่อเนื่อง

    ส่วนภาพรวมการปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ปีนี้ คาดว่ามีโอกาสเกินเป้าหมายที่ธนาคารตั้งไว้ โดยคาดจะเติบโตราว 7% จากเดิมตั้งเป้าสินเชื่อใหม่ขยายตัวเพียง 3% เท่านั้น จากสินเชื่อคงค้างของภาคธุรกิจที่มีกว่า 6 หมื่นล้านบาทในปัจจุบัน ซึ่งพอร์ตส่วนใหญ่มาจากภาคอสังหาราว 75-80%

    “ปีนี้มีปัจจัยบวกหลายเรื่อง แม้จะมีโควิด โดยเฉพาะผู้ประกอบการอสังหาฯ ที่หันมาขอสินเชื่อจากแบงก์มากขึ้น จากเดิมที่เน้นออกหุ้นกู้ ที่เห็นกลุ่มนี้หันมาเบิกเงินหมุนเวียน เบิกวงเงินเพื่อเตรียมสภาพคล่องไว้ใช้จ่ายในระยะข้างหน้าเพิ่มขึ้น หรือบางส่วนก็มีการกู้เงินเพื่อนำไปทดแทนหุ้นกู้เดิมที่จะครบกำหนด"

    สำหรับสินเชื่อธุรกิจอสังหาฯของธนาคารไตรมาส2 มียอดคงค้างอยู่ที่ 3.4 หมื่นล้านบาท โดยขยายตัว 8.3% หากเทียบกับช่วงสิ้นปีก่อน ขณะที่สินเชื่อที่อยู่อาศัย อยู่ที่ 2.2 หมื่นล้านบาท เติบโต 6.0% หากเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน

    ด้านนายพจนารถ แสงพฤกษ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กสิกรไทย กล่าวว่า ดีมานด์ความต้องการสินเชื่อสำหรับรายย่อย ถือว่าเติบโตได้ดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่ราคาคอนโด บ้าน ถูกปรับลดลง ดังนั้นก็เป็นโอกาสดีสำหรับกลุ่มลูกค้าที่มีกำลัง ในการเข้ามาซื้อสินทรัพย์ที่ดีราคาถูก

    ขณะเดียวกันจากการทำแคมเปญของผู้ประกอบการอสังหาฯต่างๆ ทั้งปรับยอดผ่อนลดลง การผ่อนให้ฟรี 1-2ปี สำหรับการซื้อที่อยู่อาศัยระยะนี้ ถือว่าจูงใจ และกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยได้รวดเร็วขึ้น ดังนั้นจะเห็นได้ว่ามีลูกค้าทุกกลุ่ม ที่เข้ามาขอสินเชื่อจากแบงก์ ไม่เฉพาะลูกค้าที่มีรายได้สูงเท่านั้น อีกทั้งการจับมือของธนาคาร ร่วมกับภาคธุรกิจอสังหาฯรายใหญ่ๆในตลาด โดยการให้ดอกเบี้ยพิเศษ ก็เป็นปัจจัยหนุนให้ผู้ซื้อกล้าตัดสินใจซื้อมากขึ้น

    ดังนั้นคาดว่า การเติบโตสินเชื่อปล่อยใหม่ สำหรับที่อยู่อาศัยน่าจะบวกได้ หากเทียบกับยอดคงค้าง ณ สิ้นไตรมาสแรก ที่อยู่ราว 3.3 แสนล้านบาท

    “การปล่อยสินเชื่อใหม่ตอนนี้ยังดี แม้จะมีผลกระทบจากโควิด แต่ดีมานด์เข้ามาต่อเนื่อง ด้วยราคาที่ลดลง มีมาตรการจูงใจ แคมเปญๆใหม่ที่เห็นมากขึ้น จึงเชื่อว่าจะหนุนสินเชื่อปล่อยใหม่เป็นบวกได้ในปีนี้" และหากดูดอกเบี้ยวันนี้ก็ไม่ได้สูง โดยเฉพาะ MRR ของแบงก์ที่อยู่ระดับต่ำเฉลี่ย 3ปี อยู่ที่ราว 3.3-3.6% หรือมีต่ำกว่า สำหรับแคมเปญพิเศษที่ทำกับบางโครงการ ดังนั้นแนวโน้มตอนนี้ตลาดกลับมาเริ่มแข่งขันคึกคัก แบงก์ใหญ่ๆกลับมาแข่ง เพราะทิศทางฟื้นชัดเจน ขณะที่การปล่อยกู้ของแบงก์ ก็ไม่ได้ผ่อนเกณฑ์ หรือเพิ่มเกณฑ์ปล่อยกู้ มาตรฐานการปล่อยกู้เรายังเหมือนเดิม ที่ดูศักยภาพลูกหนี้เป็นหลัก”

    นายณัฐพล ลือพร้อมชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY กล่าวว่า สินเชื่อที่อยู่อาศัยของธนาคาร ในไตรมาส 2 ยังเห็นการเติบโต โดยสินเชื่อยังขยายตัว 0.9% หรือ 2,407 ล้านบาท จากไตรมาส 1 ปี 2563 และเพิ่มขึ้น 1.4% หรือ 3,764 ล้านบาท จากสิ้นปีก่อน โดยการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อที่อยู่อาศัย ในช่วงครึ่งปีแรก สะท้อน ความสามารถของกรุงศรีฯ ในการรักษาฐานลูกค้าปัจจุบัน ท่ามกลางสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจ ที่ไม่เอื้ออำนวยต่อภาคอสังหาริมทรัพย์

    ส่วนการเติบโตในครึ่งปีหลัง แม้สถานการณ์ข้างหน้ามองทิศทางยาก เพราะการคลายล็อกดาวน์ โควิด-19 ทำให้ผผู้ประกอบการอาจมีการลดโปรโมชั่นลง ลดการหั่นราคาลงเหมือนครึ่งปีแรก ทำให้เชื่อว่าบรรยากาศอสังฯในครึ่งหลังน่าจะไม่ได้คึกคักมากนัก ทั้งนี้ เชื่อว่าการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อใหม่ และรักษาฐานลูกค้าเก่าก็น่าจะทำให้พอร์ตสินเชื่อบ้านโดยรวมยังเติบโตได้ในครึ่งปีหลังนี้

    Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    https://www.bangkokbiznews.com/news...medium=internal_referral&utm_campaign=finance
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,977
    ค่าพลัง:
    +97,150
    PSX_20200729_214528.jpg

    (Jul 28) รัฐบาลอินเดียแบนแอพจีนระลอกสองอีก 47 ตัว, ระลอกสามอาจมี PUBG Mobile ด้วย : เมื่อปลายเดือนที่แล้ว เราเห็นข่าวรัฐบาลอินเดียสั่งแบนแอพสัญชาติจีน 59 ตัว ซึ่งรวมถึงแอพยอดนิยมอย่าง Tik Tok, Bigo Live, WeChat, Meitu, UC Browser และแอพบางตัวของ Xiaomi

    วันนี้ รัฐบาลอินเดียประกาศแบนระลอกสองเพิ่มอีก 47 ตัว ตัวอย่างแอพกลุ่มนี้คือ Tik Tok Lite, Bigo Lite เป็นต้น

    แต่เท่านี้ยังไม่หมด เพราะมีข่าวว่ารัฐบาลอินเดียกำลังจับตาจะแบนแอพระลอกสาม โดยแอพในรายชื่อมีทั้งหมด 275 ตัว แอพเด่นคือ PUBG Mobile ของ Tencent, AliExpress และแอพอื่นจาก Meitu, Sina, Netease, Xiaomi รวมไปถึงเกมของค่าย Supercell จากฟินแลนด์ ที่ปัจจุบัน Tencent เป็นเจ้าของอีกด้วย

    Source: Blognone.com
    https://www.blognone.com/node/117669

    เพิ่มเติม
    - India has banned 47 more Chinese apps including a TikTok clone and is eyeing hundreds more : https://www.businessinsider.com/india-bans-47-more-chinese-apps-2020-7

    - ไม่จบ อินเดียสั่งแบนอีก 47 แอปจีนอ้างเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ : https://www.sanook.com/hitech/1506917/
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,977
    ค่าพลัง:
    +97,150
    FB_IMG_1596034034577.jpg

    (Jul 28) ธปท.จับตา'โค้ง3'ชี้อนาคตศก.ไทยหวัง'จีน'ช่วยพยุง : "แบงก์ชาติ" ประเมินเศรษฐกิจโลก ฟื้นตัวเร็วกว่าคาด จับตาไตรมาส 3 หัวเลี้ยวหัวต่อเศรษฐกิจไทย ชี้หากหลายประเทศกลับไปล็อกดาวน์ ในวงกว้าง ส่อกดดันเศรษฐกิจไทยทรุดต่อ ยอมรับเศรษฐกิจจีนที่ฟื้นตัวดีขึ้นช่วยพยุง "จีดีพี"ไทยไม่ให้ลงลึก "นักเศรษฐศาสตร์" ห่วงเปิดท่องเที่ยวไม่ได้ ฉุดเศรษฐกิจไทย ซึมยาว

    จีนนับเป็นประเทศแรกที่เผชิญปัญหาไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือ "โควิด-19" จนต้องสั่งปิดเมือง ห้ามผู้คนเดินทางไปมาหาสู่กันหากไม่จำเป็น ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง แต่จีนก็เป็นประเทศแรกๆที่สามารถ ควบคุมการแพร่ระบาดได้รวดเร็ว จนกลับมาเปิดประเทศได้ ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มกลับมาดีขึ้น

    ล่าสุด สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน รายงานตัวเลขเศรษฐกิจจีนไตรมาส 2 ออกมา เติบโต 3.2% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของ ปีก่อน ถือว่าเป็นตัวเลขการเติบโตที่สูงกว่า สำนักวิจัยทางเศรษฐกิจหลายๆ สำนัก คาดการณ์ไว้ การขยายตัวที่ดีกว่าคาดของเศรษฐกิจจีน จึงสร้างความหวังว่า จะทำให้เศรษฐกิจอาเซียน รวมถึงเศรษฐกิจไทย ฟื้นตัวได้ดีกว่าคาดเช่นกัน

    นายดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวว่า การที่เศรษฐกิจจีนดีกว่าที่คาดเอาไว้ ย่อมส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยที่น่าจะฟื้นตัวได้ดีกว่าคาดตามไปด้วย ซึ่งจริงๆ ไม่เฉพาะจีน ที่เศรษฐกิจขยายตัวได้ดีกว่าคาด เพราะเท่าที่ ธปท.ได้ติดตามดูเศรษฐกิจในหลายประเทศ พบว่า ฟื้นตัวได้ดีกว่าคาดเช่นกัน

    "ไตรมาส3"หัวเลี้ยวหัวต่อศก.ไทย

    อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องติดตามใน ระยะข้างหน้า โดยเฉพาะช่วงไตรมาส 3 ซึ่งถือเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของเศรษฐกิจไทยคือการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จะเป็นอย่างไร หากไม่มีการระบาดใหญ่ จนต้องกลับมา"ล็อกดาวน์" เป็นวงกว้างเหมือนช่วงที่ผ่านมา ก็เชื่อว่าแนวโน้มเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยน่าจะฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง

    "ถ้าเกิดการระบาดใหญ่อีกครั้ง และต้องกลับมาล็อกดาวน์เหมือนเดิม อันนี้จะถือเป็นความเสี่ยงสำคัญ แต่ถ้าระบาดแล้ว ล็อกดาวน์แค่บางจุด เหมือนปักกิ่ง ผลกระทบก็ไม่ได้มีนัยสำคัญอะไรมาก ซึ่งเวลานี้ไม่เฉพาะจีนที่ดูดีขึ้น เศรษฐกิจประเทศหลักหลายประเทศดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ ดังนั้นภาคต่างประเทศในขณะนี้จึงถือว่าดีกว่าที่เราประเมินไว้ โดยเฉพาะจีน"

    อย่างไรก็ตาม แม้เศรษฐกิจจีนและโลกจะดูดีขึ้น ช่วยเรื่องส่งออกของไทยได้บ้าง แต่คงไม่สามารถดึงให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัว ได้มากนัก เพราะตราบใดที่ไม่สามารถเปิดภาคการท่องเที่ยวได้ความเสี่ยงของเศรษฐกิจไทยระยะข้างหน้ายังมีสูง

    จีนฟื้นสัญญาณบวกต่อไทย

    นายนริศ สถาผลเดชา หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหาร ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี กล่าวว่า นับเป็นสัญญาณที่ดี ที่เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวได้เร็วกว่าคาด เพราะน่าจะช่วยให้การส่งออกของไทยระยะข้างหน้าฟื้นตัว ได้บ้าง โดยที่ผ่านมาไทยส่งสินค้าไปจีนราว 8.96 แสนล้านบาท หากเศรษฐกิจจีน ดีขึ้น จึงน่าจะช่วยพยุงเศรษฐกิจไทยด้วยเช่นกัน

    อย่างไรก็ตาม ถ้าดูภาคการท่องเที่ยว พบว่า ในแต่ละปีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาไทยสร้างรายได้เฉลี่ยราว 6 แสนล้านบาท ดังนั้นหากยังไม่สามารถเปิดภาคการท่องเที่ยวได้ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยก็คงยังไม่ได้ดีมากนัก

    ส่วนอนาคตหากมี ทราเวล บับเบิล ระหว่างไทยกับจีน จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจพอสมควรแต่มีข้อเป็นห่วงว่า หากทำ เช่นนั้นแล้วเกิดมีเชื้อโควิด-19 หลุดรอดเข้ามาและแพร่ระบาดในไทยอีก การเปิด ทราเวล บับเบิล จะได้คุ้มเสียหรือไม่

    "การเปิดรับนักท่องเที่ยวเข้ามา อาจต้องมองความคุ้มค่าด้วยว่า เพียงพอ หรือไม่หากจะเสี่ยง กรณีกรุงเทพมีรายได้ การท่องเที่ยวราว 9.3% ต่อจีดีพี หากเปิดรับมา แต่อนาคตต้องล็อกดาวน์อีกครั้ง แบบนี้ ดูไม่คุ้มค่า แต่ถ้าเป็นภูเก็ต ซึ่งรายได้การท่องเที่ยวอยู่ที่ 46.2% ต่อจีดีพี อย่างนี้
    อาจคุ้มค่ากว่าการเสี่ยง ดังนั้นทราเวล บับเบิล จึงเป็นออฟชั่นหนึ่งที่น่าสนใจ แต่อาจต้องเลือกเป็นรายจังหวัด"

    ช่วยพยุงศก.ไทยแค่เล็กน้อย

    นายพิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์(บล.) ภัทร กล่าวว่า เศรษฐกิจจีนที่ออกมาดีกว่าคาด เป็นสัญญาณที่ดี สะท้อนว่า หลังควบคุมการติดเชื้อในประเทศได้แล้วและกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศกลับมา ทำให้เศรษฐกิจโดยรวมกลับมาได้ ต้องยอมรับว่า จีน มีมาตรการควบคุมที่ค่อนข้างดี ทำให้เศรษฐกิจกลับมาได้เร็ว

    อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจจีนที่กลับมาโตได้เร็ว ส่วนหนึ่งเพราะจีนพึ่งพาเศรษฐกิจในประเทศเยอะเป็นทุนเดิม ขณะที่ไทยพึ่ง ภาคต่างประเทศค่อนข้างมาก ดังนั้นแม้เศรษฐกิจจีนจะดูดีขึ้น แต่อาจไม่ได้ช่วยให้เศรษฐกิจไทยได้มากนัก

    "การที่เศรษฐกิจจีนดีขึ้น น่าจะส่งผลบวกต่อเราบ้าง แต่เป็นเพียงมุม การส่งออก เว้นแต่เราจะเปิดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาได้ ถ้าดูสถานการณ์ปัจจุบัน มีความเป็นไปได้ค่อนข้างยาก ดังนั้นเศรษฐกิจไทยอาจไม่ได้รับผลบวกอย่างเต็มที่จากการฟื้นตัวของจีนในรอบนี้"

    ท่องเที่ยวไร้สัญญาณฟื้นฉุดศก.

    นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการ ผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า สำนักวิจัยซีไอเอ็มบีไทย ได้ติดตามดูเศรษฐกิจจีนอย่างใกล้ชิด เพราะเชื่อว่าจีนจะเป็นประเทศแรกที่ฟื้นตัวจากเศรษฐกิจ ซึ่งเราพยายามดูว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนจะมีกลุ่มไหนบ้างที่ได้ประโยชน์

    อย่างไรก็ตาม เท่าที่ติดตามดูพบว่าแม้เศรษฐกิจจีนจะดีขึ้นกว่าที่คาดเอาไว้ แต่คงไม่ทำให้เศรษฐกิจไทยและอาเซียนฟื้นตัวได้มากนัก สาเหตุเพราะภาคการท่องเที่ยวยังไม่สามารถกลับมาได้จากผลกระทบของ โควิด-19

    "ปกติแล้วเมื่อเศรษฐกิจดีขึ้น มักมี นักท่องเที่ยวมาเที่ยวมากขึ้น แต่ด้วยสถานการณ์โควิดที่ยังแพร่ระบาดและเรายังไม่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาได้ ดังนั้น แม้เศรษฐกิจจีนจะฟื้นได้ดีก็คงไม่มี นักท่องเที่ยวมาไทยทำให้การฟื้นตัวจากภาคการท่องเที่ยวคงต้องตัดทิ้งไป"

    นอกจากนี้ การส่งออกไปจีนยังทำได้ไม่เต็มที่นัก เพราะปกติการนำเข้าจากจีน มาจาก 2 ส่วนหลัก คือ นำเข้าเพื่อมาบริโภคภายในประเทศ ซึ่งกรณีนี้ส่งผลบวกต่อไทยบ้างโดยเฉพาะการนำเข้าสินค้าเกษตรต่างๆ อีกส่วนคือการนำเข้ามาผลิตเพื่อส่งออกต่อ โดยอย่างหลังนี้ยังไม่ดีมากนัก เพราะประเทศคู่ค้าของจีนหลายๆประเทศยังโดนผลกระทบ จากโควิด-19 อยู่ ทำให้การผลิตเพื่อส่งออกของจีนไม่ได้ดีขึ้นมากนัก ส่งผลต่อการส่งออก ของไทยตามไปด้วย

    Source: กรุงเทพธุรกิจ
    https://inews.bangkokbiznews.com/read/408838
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,977
    ค่าพลัง:
    +97,150
    PSX_20200729_215028.jpg

    (Jul 28) สหรัฐฯประกาศ “ไม่ให้วีซ่า” นักศึกษาต่างชาติรายใหม่เข้าประเทศ ถ้าเรียนลงเรียนแต่คอร์สออนไลน์ : รัฐบาลสหรัฐฯล่าสุดประกาศจะไม่ออกวีซ่าเข้าประเทศให้กับนักศึกษาต่างชาติที่สมัครเรียนหลังวันที่ 9 มี.ค ไปแล้วหากว่านักศึกษารายนั้นลงเรียนแต่คอร์สออนไลน์ตลอดทั้งภาคการศึกษาฤดูใบไม่ร่วงไม่สนใจว่ามหาวิทยาลัยหลายแห่งในสหรัฐฯมีแผนที่จะยังคงสอนทางออนไลน์ต่อไปหลังจากวิกฤตโควิด-19ในประเทศยังสาหัส

    อัลญะซีเราะฮ์ สื่อการ์ตารายงานวันเสาร์(25 ก.ค)ว่า 1 สัปดาห์หลังจากที่รัฐบาลประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ยอมยกเลิกมาตรการสั่งขับนักศึกษาต่างชาติในสหรัฐฯที่ต้องลงเรียนทางออนไลน์เนื่องมาจากมหาวิทยาลัยไม่เปิดสอนแบบชั้นเรียนตามปกติ ล่าสุดวันศุกร์(24) ในบันทึกความเข้าใจจากสำนักงานบังคับใช้ด้านศุลกากรและการเข้าเมืองสหรัฐฯ ICE (US Immigration and Customs Enforcement) แจ้งไปยังเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยต่างๆในอเมริกาว่า นักศึกษาใหม่ซึ่งเป็นนักศึกษาต่างชาติที่ไม่ได้สมัครเรียนก่อนวันที่ 9 มี.ค 2020 จะไม่ได้รับวีซ่าเข้าสหรัฐฯหากนักศึกษาเหล่านั้นลงทะเบียนเรียนเฉพาะคอร์สออนไลน์

    สื่อการ์ตารายงานว่า การประกาศล่าสุดกระทบต่อกลุ่มนักศึกษาต่างชาติที่กำลังจะสมัครในมหาวิทยาลัยที่มีการสอนแบบออนไลน์เท่านั้นเนื่องมาจากสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19ในสหรัฐฯ

    อย่างไรก็ตามอาจเป็นการเกิดปัญหาเพราะเป็นต้นว่า มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดได้ประกาศก่อนหน้าว่า นักศึกษาระดับปริญญาตรีทั้งหมดจะต้องเรียนทางไกลในภาคการศึกษาที่กำลังจะเปิดฤดูใบไม้ร่วงนี้ และการเปิดเรียนเฉพาะทางออนไลน์ยังเกิดขึ้นที่มหาวิทยาลัย UC Berkeley ในรัฐแคลิฟอร์เนียที่เป็นหนึ่งในจุดร้อนของการระบาดโรคไวรัสโคโรนานาในสหรัฐฯ

    สำหรับนักศึกษาต่างชาติที่อยู่ในสหรัฐฯหรือที่มีวีซ่าอยู่แล้วแต่เดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านและเตรียมจะกลับเข้ามาจะยังคงได้รับอนุญาตให้สามารถลงทะเบียนคอร์สออนไลน์ได้ทั้งภาคการศึกษา ถึงแม้ว่าในตอนเริ่มแรกจะได้เข้าเรียนในชั้นตามปกติแต่หลังจากนั้นทางมหาวิทยาลัยเปลี่ยนให้เป็นการสอนแบบออนไลน์ก็ตาม

    ซึ่งกฎใหม่นี้ทาง ICE จะใช้กับกลุ่มนักศึกษาใหม่ที่จะสมัครเรียนหลังจากวันที่ 9 มี.คไปแล้วเท่านั้น และในบันทึกความเข้าใจของ ICE ที่ส่งไปยังตามมหาวิทยาลัยต่างๆยังเตือนไม่ให้ทางมหาวิทยาลัยส่งฟอร์มวีซ่า I-20 ไปยังนักศึกษาต่างชาตินอกสหรัฐฯที่ประสงค์จะสมัครเรียนสำหรับคอร์สออนไลน์ทั้งหมด

    ทั้งนี้ทาง ICE ได้ยกเลิกนโยบายที่อาจส่งผลทำให้มีการเนรเทศนักศึกษาต่างชาติจำนวนมากซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในระดับปริญญาตรีแต่มีบางส่วนอยู่ในระดับบัณฑิตศึกษากลับประเทศ

    ในรายงานของ ICE สำหรับปี 2020 พบว่ามีนักศึกษาต่างชาติราว 1.55 ล้านคนกำลังศึกษาอยู่ในสหรัฐฯปี 2018 และมีราว 1.3 ล้านคนกำลังศึกษาอยู่ในระดับที่สูงกว่าปริญญาตรี

    Source: ผู้จัดการออนไลน์
    https://mgronline.com/around/detail/9630000076897

    เพิ่มเติม
    - US now says new foreign students can't enter if courses online : https://www.aljazeera.com/news/2020...g-international-students-200724191429978.html
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,977
    ค่าพลัง:
    +97,150
    FB_IMG_1596034385768.jpg

    (Jul 28) ถอดบทเรียน SCG ประคองเรือลำนี้ให้รอดพ้นวิกฤติโควิด : SCG งัดแผนบริหารช่วงวิกฤติโควิด “แพลน ฟอร์ เดอะ เบสท์” ระยะสั้น 1 ปี สร้างโอกาส 3 กลุ่มธุรกิจ ปรับสินค้าให้ตรงความต้องการช่วงระบาด เดินหน้าลุยโปรเจคปิโตรฯ คอมเพล็กซ์เวียดนาม มั่นใจเศรษฐกิจฟื้นเร็ว

    ในรอบ 20 ปีเศษ เกิดวิกฤติที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ เอสซีจี หลายครั้งนับตั้งแต่วิกฤติเศรษฐกิจ 2540 ที่ทำให้เอสซีจีต้องปรับโครงสร้างธุรกิจใหมา วิกฤติสิ่งแวดล้อมมาบตาพุดในปี 2552 ทำให้โครงการลงทุน 20 โครงการต้องชะลอ 1 ปี จนล่าสุดเกิดวิกฤติโควิด-19 ในปี 2563 ที่กระทบหลายธุรกิจอย่างรุนแรง

    นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยกับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า วิกฤติโควิด-19 ถือว่ารุนแรงและต่างกว่าทุกวิกฤติที่เอสซีจีเคยเจอ โดยเทียบ "วิกฤติเศรษฐกิจปี 2540" จุดเริ่มต้นอยู่ที่ไทยและขยายไปเอเชียแต่กำจัดเฉพาะภูมิภาค และแม้ไทยได้รับผลกระทบหนักแต่การส่งออกยังเติบโตดี ซึ่งเอสซีจีต้องลดธุรกิจลงเหลือ 3 กลุ่ม ได้แก่ ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ธุรกิจเคมิคอลส์ และธุรกิจแพ็คเกจจิง
    วิกฤติต่อมาเป็น "วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์" ที่กระทบเศรษฐกิจโลก โดยยุโรปและสหรัฐกระทบหนัก แต่ไทยกระทบไม่มากและกระทบในเชิงการลงทุนมากกว่า ส่วน "วิกฤติน้ำท่วมปี 2554" กระทบเอสซีจีทำให้ต้องปิดสาขาและย้ายสำนักงานใหญ่ไปภาคตะวันออก แต่ "วิกฤติโควิด-19" แปลกกว่าทุกครั้งและไม่เคยเจอมาก่อน

    ทั้งนี้ ในช่วงแรกของการระบาดในไทยพบว่าคนไทยกลัวปัญหาสุขภาพ และกระทบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการพบปะผู้คน เช่น บันเทิง การท่องเที่ยวและการเดินทาง รวมทั้งซึ่งโควิด-19 กระทบทั่วโลก

    โดยมีลักษณะเคลื่อนตัวจากจีนมาอาเซียน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น แล้วเคลื่อนจากเอเชียเข้าไปยังยุโรปที่อิตาลี อังกฤษ สเปนที่ระบาดหนักสุด จากนั้นขยายไปสู่สหรัฐมีจุดศูนย์กลางที่นิวยอร์ค ต่อเนื่องไปทวีปอเมริกาใต้ และวนกลับมาที่อินเดีย เอเชียใต้และแอฟริกา รวมทั้งวกกลับมาระลอกที่ 2 ในจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และออสเตรเลีย

    “เอสซีจี”ยกระดับรับมือวิกฤติ

    เอสซีจีโชคดีเพราะไม่อยู่ในธุรกิจที่ได้รับผลกระทบรุนแรง เช่น สายการบิน โรงแรม รวมทั้งเอสซีจีผ่านวิกฤติหลายเหตุการณ์จึงมีประสบการณ์รับมือสูง โดยเฉพาะช่วงวิกฤิน้ำท่วมปี 2554 ได้ตั้งหน่วย Business Continuity Management (BCM) โดยซ้อมบริหารหลายสถานการณ์ เช่น ไฟไหม้ น้ำท่วม ผลกระทบทางการเมือง แต่กรณีโรคระบาดไม่เคยทดสอบ

    ทั้งนี้ ในเดือน ก.พ.2563 ที่เริ่มระบาดจึงเริ่มออกประกาศให้พนักงานระวังสุขภาพ รวมทั้งเชิญ ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาให้ความรู้กับพนักงานเพื่อวางแผนรับมือทำให้เอสซีจียกระดับมาตรการรองรับวิกฤติ โดยออกมาตรการสำหรับพนักงานแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ

    1.พนักงานที่สามารถทำงานที่บ้านได้ มี 90% ของพนักงานทั้งหมด
    2.พนักงานที่ต้องมาทำงานที่บริษัท เช่น ฝ่ายให้บริการทางเทคนิค ฝ่ายซ่อมเครื่องจักร ฝ่ายควบคุมในโรงงาน รวมถึงพนักงานที่ต้องดูแลลูกค้า โดยพนักงานที่ต้องอยู่โรงงานจะแบ่งเป็นทีมทำงานสลับกัน ซึ่งถ้ามีพนักงานในทีมใดติดโรคจะให้ทั้งทีมหยุดกักตัว
    และทีมที่เหลือเข้ามาทำงานทดแทนเพื่อป้องกันการระบาดทั้งโรงงาน รวมทั้งเช่าโรงแรมให้แต่ละทีมพักเพื่อลดโอกาสติดเชื่อจากภายนอก ซึ่งมาตรการที่ออกมาทำให้พนักงานเอสซีจีทั่วโลก 50,000 คน ติดโควิด 19 เพียง 2 คน

    “ดิจิทัล”ทางรอดโควิด

    ด้านการบริหารจัดการนั้น เอสซีจี ได้ใช้ระบบดิจิทัลเข้ามาดำเนินการเป็นส่วนใหญ่ โดยมอนิเตอร์ควบคุมโรงงานเครื่องจักรจากทุกที่ในโลกได้ รวมทั้งในเรื่องระบบเอกสารมีน้อย เช่น เอกสารการเก็บเงินลูกค้าให้ส่งทางอีเมลล์ทั้งหมดและไม่ต้องพิมพ์ออกมา ซึ่งทำให้เอกสารส่วนใหญ่จะเป็นอิเล็กทรอนิกส์ และทำให้พนักงานทำงานได้ทุกทีโดยไม่ต้องเข้ามาออฟฟิศ

    รวมทั้งได้นำระบบบล็อกเชนมามากขึ้นใช้จากเดิมที่เอสซีจีเริ่มทดลองใช้มาแล้ว ซึ่งระบบบล็อคเชนจะเป็นการยืนยันว่าเอกสารที่ส่งทางอิเล็กทรอนิกส์จะไม่มีเอกสารเท็จ และสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ปรูฟได้ว่าระบบดิจิทัลทำให้ผ่านวิกฤติได้
    นอกจากนี้ นำการประชุมผ่านออนไลน์มาใช้ โดยใช้ระบบซูมจนชำนาญทำให้พนักงานมีกำลังใจในการทำงาน จึงทำให้รองรับปัญหาที่เกิดขึ้นได้มาก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ก้าวผ่านปัญหาในครั้งนี้ได้

    เร่งสปีดการบริหาร 4 เท่า

    นายรุ่งโรจน์ กล่าว่วา การบริหารงานภายใต้วิกฤติต้องตัดสินใจเร็วและทำงานเร็ว ซึ่งปกติฝ่ายบริหารประชุมเดือนละ 1 ครั้ง เปลี่ยนเป็นทุกสัปดาห์ทำให้งานเร็วขึ้น 4 เท่า สาเหตุที่ต้องทำงานเร็วขึ้นเพราะเป็นภาวะวิกฤติมีเรื่องใหม่ที่ไม่รู้เข้ามามากต้องรีบตัดสินใจแก้ปัญหา

    ทั้งนี้ สถานการณ์โควิด-19 กระทบธุรกิจแต่ยังมีลูกค้าเข้ามา ดังนั้นงานยังเดินหน้าต่อ โดยธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างยังมีงานก่อสร้างบ้านเพียงแต่ลดลงบ้าง ส่วนงานก่อสร้างภาครัฐยังมีต่อเนื่อง ธุรกิจแพคเกจจิ้งยังดำเนินได้ปกติ โดยเน้นมาตรฐานด้านความสะอาดให้ลูกค้ามั่นใจ

    การประชุมฝ่ายบริหารจะลดวาระลงและหารือ 3 ประเด็น คือ
    1.ความเป็นอยู่ของพนักงาน
    2.การอยู่รอดของธุรกิจ
    3.การประเมินสถานการณ์ข้างหน้า เพราะต้องเน้นการประคองธุรกิจให้ผ่านวิกฤติ โดยเฉพาะการลดต้นทุนและการปรับแผนลงทุนที่ทุกฝ่ายนำแผนการลงทุนทั้งหมดมาหารือใหม่ ซึ่งจะลงทุนเฉพาะสิ่งที่จำเป็นและต้องพิจารณาใหม่หมด

    นายรุ่งโรจน์ กล่าวว่า โรคโควิด-19 จะจบเมื่อประชาชนไม่กังวลการระบาด และมีการผลิตวัคซีนออกมาที่คาดว่าจะเป็นช่วงปลายปี 2564 ซึ่งเอสซีจีได้วางแผนรองรับไว้ 2 กรณี คือ

    1.Prepare for the worst กรณีนี้มองวิกฤติโควิด-19 ยาวถึงสิ้นปี 2564 จนกว่าจะมีวัคซีนและประชาชนลดความกังวล โดยกรณีเลวร้ายที่สุดหากไทยมีผู้ติดเชื่อหลักแสนคนเหมือนอิตาลี ซึ่งห้ามคนออกจากบ้านอย่างเข้มงวด ซึ่งจะทำให้ฟังก์ชั่นการทำงานหยุดชะงัก รวมถึงการก่อสร้างหยุดหมด

    กรณีนี้ได้วางแผนการรับมือเมื่อไม่มีรายได้เข้ามาหรือลูกค้าชำระเงินไม่ได้ เพราะมาตรการปิดเมืองจะเกิดขึ้นทันทีไม่แจ้งล่วงหน้า ดังนั้นต้องทำให้ธุรกิจอยู่รอดถึงสิ้นปี 2564

    “ช่วง ก.พ.–เม.ย.บอกพนักงานไม่ต้องพยากรณ์ตัวเลขแล้ว ให้มุ่งประคองธุรกิจให้ไปรอดให้ทุกคนมีเป้าหมายเดียวกัน คือ ทำให้เรือลำนี้ผ่านพายุไปให้ได้ เร่งอุดรูรั่วเพื่อให้ไปรอด”

    2.Plan for the Best ให้แต่ละธุรกิจพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์ผลกระทบจากโควิด 19 เช่น กลุ่มแพ็คเกจจิงที่ช่วงโควิดใช้บริการส่งเดลิเวอรีมากขึ้นและใช้บรรจุภัณฑ์มากขึ้น จึงต้องพัฒนาบรรจุภัณฑ์ให้ปิดมิดชิดจากเชื้อโรค

    ธุรกิจวัสดุก่อสร้าง ต้องคิดสินค้าใหม่ที่ลดการสัมผัสเพื่อป้องกันการระบาด เช่น โถปัสสาวะที่ใช้ระบบเซ็นเซอร์แบบประหยัดแบตเตอรี โดยใส่แบตเตอรีเพียงครั้งเดียวใช้งานได้ 1 ปี เพื่อไม่ต้องใช้มือสัมผัสโถสุขภัณฑ์

    ธุรกิจเคมีภัณธ์ ต้องผลิตท่อท่อน้ำที่มีความปลอดภัย ซึ่งจะต้องศึกษาลงลึกว่าตลาดต้องการอะไรในการรองรับนิวนอมอลใหม่ที่กิดขึ้น

    “ทุกธุรกิจต้องดูว่านิวนอมอลส่งผลต่อธุรกิจอย่างไร หลังโควิด-19 ต้องเปลี่ยนแปลงอย่างไร เช่น แม้โควิด-19 จะจบลงแต่คนยังให้ความสำคัญเรื่องความสะอาด อีคอมเมิร์ชที่เพิ่มขึ้น ซึ่งผลกระทบยังอยู่กับเราอีกนาน”

    เดินหน้าโปรเจคปิโตรฯ เวียดนาม

    ทั้งนี้การควบคุมการระบาดในไทยดีขึ้นไม่พบผู้ติดเชื่อใหม่ในประเทศเป็นเวลานาน ซึ่งก่อนเกิดวิกฤติโควิด-19 เอสซีจีได้เตรียมงบลงทุนไว้ 7-8 หมื่นล้านบาท ได้ปรับลดลงการลงทุนไปประมาณ 1 หมื่นล้านบาท แต่สถานการณ์ที่ดีขึ้นทำให้มีการทบทวนแผนการลงทุนใหม่ให้สอดคล้องสถานการณ์

    สำหรับโครงการลงทุนปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในเวียดนามจะเดินหน้าต่อเต็มที่ เพราะเวียดนามคุมโควิด 19 ได้ดี และเอสซีจีมองเวียดนามเป็นโอกาสเนื่องจากการควบคุมการระบาดที่ดีทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้เร็ว โดยเศรษฐกิจเวียดนามพึ่งการท่องเที่ยวไม่มากมากนัก

    รวมทั้งมีประชากรเกือบ 100 ล้านคน ทำให้ตลาดมีขนาดใหญ่ จึงน่าจะฟื้นตัวได้เร็วจากการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งการที่เวียดนามไม่ได้รับผลกระทบจากโควิด 19 ถือเป็นผลดีต่อการลงทุนอนาคตของเอสซีจีในเวียดนาม

    Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    https://www.bangkokbiznews.com/news...homepage_hilight&utm_medium=internal_referral
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,977
    ค่าพลัง:
    +97,150
    PSX_20200729_215701.jpg

    (Jul 28) ปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ท้าทายประเทศไทย: ในยุคที่โลกเผชิญกับ COVID-19 และประเทศไทยได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ประกอบกับปัญหาทางเศรษฐกิจดั้งเดิมของไทยที่กำลังรอการแก้ไขอยู่นั้น

    ผมขอรวบรวมประเด็นปัญหาทางเศรษฐกิจที่ท้าทายประเทศไทยในปัจจุบันและอนาคตดังนี้

    ปัญหาเศรษฐกิจที่เป็นผลมาจาก COVID-19 ในส่วนนี้ผมมองว่ามีปัญหาต้องบริการจัดการ 5 เรื่องดังนี้

    1.การท่องเที่ยว : เรื่องนี้ทุกคนเข้าใจปัญหาดีอยู่แล้วว่าหนักหนาสาหัสมากเพียงใด ปัจจุบันการท่องเที่ยวคิดเป็นมูลค่าประมาณ 18% ของจีดีพี แต่แผนยุทธศาสตร์ 20 ปีของไทยกำหนดให้สัดส่วนนี้เพิ่มขึ้นเป็น 30% ของจีดีพีในปี 2580 (2037) หรือเพิ่มจากประมาณ 3 ล้านล้านบาทเป็นกว่า 6 ล้านล้านบาท

    2.แรงงานจากต่างประเทศ : ประเทศไทยขาดแรงงานเพราะพ่อแม่มีลูกน้อยลง ทำให้ประชากรในวัยทำงานของประเทศไทยคาดว่าจะลดลงจากปัจจุบัน 48.5 ล้านคนเหลือเพียง 43 ล้านคนในปี 2035

    3.ภาคบันเทิง : เป็นกิจกรรมที่จะต้องมีการรวมตัวของคนและมีความใกล้ชิดกัน (high-contact) ซึ่งกำลังขยายตัวได้ดี แต่กำลังสะดุดตัวลงเพราะ COVID-19 ภาคส่วนที่สำคัญส่วนหนึ่งคือการถ่ายทำภาพยนตร์จากต่างประเทศ ซึ่งภาครัฐเคยประเมินว่าทำรายได้เข้าประเทศสูงถึงปีละ 2 แสนล้านบาท (ฐานเศรษฐกิจ 11 มิ.ย.2019)

    4.นักธุรกิจต่างชาติ/การลงทุน : ประเทศไทยต้องพึ่งนักลงทุนต่างชาติทั้งในเชิงของทุน เทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญ แต่ปัจจุบันจำกัดไม่ให้เขาเข้ามาในประเทศซึ่งย่อมจะกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจการลงทุนคิดเป็นสัดส่วน 25% ของจีดีพี

    5.นักศึกษาจากต่างประเทศ : ในระยะหลังนี้สถาบันการศึกษาประสบปัญหาการขาดแคลนนักศึกษาเพราะประชากรในกลุ่มนี้มีจำนวนลดลง ส่วนหนึ่งจึงได้พึ่งพานักศึกษาจากต่างประเทศ ซึ่งเข้าใจว่าปัจจุบันยังจะไม่สามารถกลับเข้ามาศึกษาต่อในประเทศไทยได้

    ปัญหาดั้งเดิมที่ยังไม่ได้แก้ไข ก่อน COVID-19 จีดีพีประเทศไทยขยายตัวเพียง 1.5% เพราะมีปัญหาทางเศรษฐกิจที่คั่งค้างและรอการแก้ไขมาหลายปีคือ

    1.การแก่ตัวลงของประชากร : ไอเอ็มเอฟประเมินว่าประชากรไทยแก่ตัวลงรวดเร็วเป็นอันดับ 4 ในเอเชีย (ตามหลัง ญี่ปุ่น จีน และเกาหลี) โดยประเมินว่าการแก่ตัวของประชากรดังกล่าวจะทำให้จีดีพีของไทยขยายตัวได้ช้าลงปีละ 0.75%

    2.การเกษตร : ประเทศไทยผลิตสินค้าเกษตรซึ่งในอนาคตความต้องการของประชากรโลกในสินค้าดังกล่าวไม่น่าจะเพิ่มขึ้นมาก เพราะทุกคนแก่ตัวลงและเป็นห่วงสุขภาพของตัวเอง ได้แก่ ข้าว มันสำปะหลัง และน้ำตาล แม้กระทั่งยางธรรมชาติก็กำลังถูกทดแทนโดยวิวัฒนาการทางเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี อาหารกระป๋องที่ไทยส่งออก เช่น ปลากระป๋องก็แข่งขันสูงและมีมูลค่าเพิ่มค่อนข้างต่ำ

    3.รถยนต์ : ประเทศไทยเป็น Detroit of Asia แต่โลกกำลังปรับเปลี่ยนไปใช้รถไฟฟ้า ที่สำคัญคือระบบขับเคลื่อนรถไฟฟ้า (drivetrain) นั้นมีชิ้นส่วนที่สึกหรอเพียง 20 ชิ้น แต่ระบบขับเคลื่อนรถสันดาปภายในนั้นมีชิ้นส่วนกว่า 2,000 ชิ้นที่สึกหรอ และผู้ประกอบการของไทยส่วนใหญ่ก็ผลิตชิ้นส่วนดังกล่าวที่ความต้องการจะลดลงอย่างรวดเร็วใน 10-20 ปีข้างหน้า

    4.พลังงาน : ประเทศไทยพึ่งพาก๊าซธรรมชาติเป็นหลักมาเกือบ 30 ปีจากการค้นพบก๊าซธรรมชาติที่อ่าวไทย แต่ปัจจุบันก๊าซกำลังหมดลงแล้วและในอนาคตคงพึ่งพาก๊าซธรรมชาติจากพม่าไม่ได้มากนัก เพราะพม่าก็กำลังพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอย่างเร่งรีบ

    ประเด็นปัญหาในอนาคต โลกหลัง COVID-19 น่าจะมีความไม่แน่นอนสูงและน่าจะมีปัญหาอื่นๆ ทับถมมา เช่นการช่วงชิงกันเป็นประเทศมาหาอำนาจระหว่างจีนกับสหรัฐ ทำให้น่าจะมีประเด็นปัญหาในอนาคตสำหรับประเทศไทยดังนี้

    1.ความเป็นไปได้ในเชิงเศรษฐกิจของ EEC : ปัจจุบัน EEC เป็นยุทธศาสตร์หลักของประเทศไทย การขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจในอนาคตโดยมี 5 โครงการเร่งด่วนซึ่ง 3 ใน 5 โครงการดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการบินและการท่องเที่ยว คือจัดตั้งศูนย์ซ่อมบำรุงเครื่องบิน (โดยการบินไทยภายในปี 2021) การพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา (ภายใน 2023) และการสร้างรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ภายใน 2023) แต่โครงการดังกล่าวคงจะต้องทบทวนว่าคุ้มค่าหรือไม่ในยุคหลัง COVID-19 (และอาจมีโรคระบาดอื่นๆ เกิดขึ้นตามมาได้อีก)

    2.CPTPP : หาก Joe Biden ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2021 ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าสหรัฐจะหันกลับมาให้สัตยาบันกับ TPP ซึ่งจะทำให้ไทยถูกโดดเดี่ยวไปพร้อมๆ กับจีน และเสี่ยงมากที่เวียดนามจะแซงหน้าไทยในทางเศรษฐกิจ
    3.5G : ประเทศไทยเร่งการสร้างเครือข่ายโทรคมนาคม 5G โดยอาศัย Huawei ซึ่งสหรัฐรณรงค์ต่อต้านอย่างหัวชนฝาและปัจจุบันประเทศพันธมิตรของสหรัฐ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอังกฤษก็ประกาศห้ามการทำธุรกิจกับ Huawei ทำให้ประเทศไทยมีความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีที่ต้องประเมินอนาคตอย่างระมัดระวัง

    คอลัมน์เศรษฐศาสตร์ + สุขภาพ: ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเศรษฐกิจ

    Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    https://www.bangkokbiznews.com/blog...utm_medium=internal_referral&utm_campaign=ceo
     

แชร์หน้านี้

Loading...