เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๖๔

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 20 พฤษภาคม 2021.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๖๔


     
  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    วันนี้เป็นวันพฤหัสบดีที่ ๒๐ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ ระยะนี้ต่างประเทศมีเรื่องแรง ๆ เกิดขึ้นหลายแห่ง อย่างอิสราเอลที่ปะทะกับกลุ่มฮามาส จนป่านนี้ก็ยังไม่จบ มีกระทั่งคนงานไทยตายไป ๒ ศพ..!

    อีกเรื่องหนึ่งก็ประเทศอินเดีย ติดเชื้อไวรัสโควิด-๑๙ ตายซ้ำตายซ้อนยังไม่พอ โดนพายุไซโคลนซ้ำเติมเข้าไปอีก เจ้าพายุลูกนี้มันชื่อ "ต็อกแต่" ก็คือคำว่า ตุ๊กแก ในภาษาพม่านั่นแหละ บังเอิญว่าตุ๊กแกตัวนี้ดุไปหน่อย แต่ถ้าอ่านตามภาษาอังกฤษ บางทีก็ออกเสียงกันไม่ถูก เห็นหลายคนเขียนว่า "เตาะแต่" ก็ใกล้เคียงอยู่ แต่ดูตามรูปตัวอักษรน่าจะอ่านว่า "ต๊อแต๊" มากกว่า กลายเป็นหมดกำลังใจไปเลย

    ที่กล่าวถึงเรื่องของการหมดกำลังใจในการปฏิบัติธรรมของพวกเรา ส่วนหนึ่งไม่ใช่เพราะพยายามวันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า ปีแล้วปีเล่า แล้วไม่ก้าวหน้า แต่เกิดจากปากคนรอบข้าง..! เรื่องนี้ผมโดนมาตั้งแต่เด็ก ก็เลยซาบซึ้งเป็นอย่างมากว่า คำพูดของคนรอบข้างนั้นบั่นทอนกำลังใจของเราขนาดไหน

    จนกระทั่งได้ไปฟังหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านบอกว่า นักปฏิบัติธรรมต้องบ้ากว่าคนปกติอย่างน้อย ๔ เท่าถึงจะอยู่ได้ ก็คือถ้าคนทั่ว ๆ ไปว่าบ้าแล้ว เราก็เอาความบ้านั้นคูณ ๔ เข้าไป ไม่อย่างนั้นส่วนใหญ่แล้วไปไม่รอด เพราะว่าเราจะเจอแต่สิ่งที่มาบั่นทอนกำลังใจเราอยู่ตลอดเวลา มีทั้งเยาะเย้ย ถากถาง ซ้ำเติม โอกาสที่จะให้กำลังใจกันมีน้อยมาก ไม่ว่าจะพระหรือว่าฆราวาส โดนเหมือน ๆ กัน แต่ว่าฆราวาสจะโดนหนักกว่า


    เหตุที่ฆราวาสโดนหนักกว่า เพราะว่าถ้ามาปฏิบัติธรรมแล้ว สิ่งที่ตนเองทำนั้นจะสวนทางกับคนอื่น ในเมื่อสวนทางกับคนอื่นก็ไปกันไม่ได้ ในเมื่อไปกันไม่ได้ เขาจะเห็นว่าไม่ใช่พวกเดียวกัน ก็เริ่มมีการจิกกัด ล้วนแล้วแต่สรรหาสิ่งที่บั่นทอนกำลังใจของเรามาพูดมาทำ เรื่องพวกนี้จึงต้องการกำลังใจเป็นอย่างสูง ในการที่เราจะต่อสู้หรือว่าต่อต้าน แต่นี่เป็นแค่ขั้นแรก สำหรับบุคคลที่กำลังใจยังไม่พอ...ต้องสู้...! ถ้าไม่สู้ก็อยู่ไม่ได้ เราก็จะไหลตามเขาไป
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    ตัวผมเองตอนที่เป็นทหารอยู่นั้น เป็นระยะเวลาที่โดนหนักที่สุด ขึ้นชื่อว่า "ทหาร" ก็รู้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเรื่องกิน เรื่องเที่ยว เรื่องอบายมุข ครบถ้วนทุกอย่าง แต่ผมไปกับเขาไม่ได้ เพราะว่าไปแค่กรอบของศีล เพื่อนกินเหล้า ผมก็กินกับ เพื่อนเมาหัวทิ่มเดินไม่ไหว ผมก็แบกกลับ บางทีอยู่เวรแล้วแอบกินเหล้าเมาเป็นหมา เจ้านายมาตรวจ ผมก็ต้องไปยืนเวรแทน โดยที่แบกเพื่อนไปซ่อนก่อน

    แต่ว่าไม่ว่าจะทำดีขนาดไหนก็ตาม ในส่วนหนึ่งที่เขาเห็นว่าเราไม่ใช่พวก ก็คือละเมิดศีลละเมิดธรรมตามเขาไม่ได้ แม้กระทั่งอยู่ชายแดน ช่วงหน้าฝนไปจับอึ่งอ่างกันมาเป็นถัง น่าจะหลายร้อยตัว เพื่อนก็เอามายัดไว้ใต้เตียงผม เพราะว่ากลัวเจ้านายด่า ถึงเวลาก็โรยเกลือตากแดด ดูแล้วน่าสงสารมาก ผมก็แค่บ่นสั้น ๆ ว่า "บาปตายห่..!" เพื่อนบอกว่า "บาปอร่อย บุญไม่อร่อยหรอก..!"

    ฉะนั้น...โอกาสที่จะเสียจึงมีสูงมาก เพราะว่าเพื่อนทั้งกองโรงเรียนไปทางเดียวกันหมด มีแต่เราที่ทวนกระแสอยู่ แต่ช่วงนั้นโชคดีที่ว่า ในเรื่องของสมาธิสมาบัติ ผมเต็มที่และไม่เคยทิ้ง ไม่ว่าการฝึกทหารจะเหนื่อยยากแค่ไหน ผมจะปลีกเวลา แบ่งเวลามาภาวนาอยู่เสมอ ไม่อย่างนั้นแล้วกำลังของเราจะไม่พอสู้กับกิเลสหรือปากคน

    แต่พอเราสามารถก้าวขึ้นไปสูงกว่าเดิม ก็คือสมาธิก่อให้เกิดปัญญา คราวนี้สบายขึ้นเยอะเลย ไม่ต้องไปสู้แล้ว ตอนที่เราใช้สมาธิเข้าสู้ เหมือนกับเข็นครกขึ้นภูเขา ถ้าพลาดหมดกำลังเมื่อไร ครกก็กลิ้งมาทับเราปางตาย แต่ถ้าหากว่าสมาธิก่อให้เกิดปัญญาแล้ว จะแยกแยะออกว่านั่นเป็นแค่คำพูดเท่านั้น ได้ยิน..เราก็สักแต่ว่าได้ยิน


    ผมเคยดูใจตัวเองครับ ในช่วงนั้นเหมือนอย่างกับตัวเรานั่งอยู่กลางทุ่งโล่ง รอบข้างว่างเปล่าไปหมด คำพูดหรือการกระทำของคนอื่น ไม่สามารถที่จะกระทบอะไรได้เลย ก่อนหน้านี้เหมือนกับเรานั่งอยู่ในบ้าน อาศัยกำลังสมาธิอย่างเดียว เหมือนมีบ้านอยู่ ใครจะขว้างอะไรมาก็กระทบผนังบ้าน แต่พอปัญญาเกิด สักแต่ว่าเป็นเสียงที่เขาพูด เราก็สักแต่ว่าได้ยิน ถ้าเป็นกิริยาที่เขาทำ เราก็สักแต่ว่าเห็น เหมือนกับตัวเรานั่งอยู่กลางที่โล่ง ใครขว้างอะไรมาก็ไม่กระทบเลย

    ถ้าถึงตอนนั้นถือว่าสบาย เริ่มวางลงได้มาก แล้วกำลังใจระดับนั้น ต่อให้พังลงไปก็ฟื้นคืนมาเร็วมาก เพราะว่าเหมือนอย่างกับมีพื้นฐานรองรับ กำลังใจจะตก สมาธิจะตก กรรมฐานจะแตกขนาดไหนก็ตาม จะไม่ต่ำไปกว่าพื้นฐานตรงนั้น และสามารถที่จะฟื้นคืนมาได้เร็วมาก เพราะว่าไม่ค่อยจะไปแบกอะไรมาคิดแล้ว

    ส่วนใหญ่ที่เราพังไปนาน เพราะว่ามัวแต่ไปคิด เสียดายเวลา เสียดายความดี ในเมื่อมัวแต่ไปคิดไปคร่ำไปครวญอยู่ ก็จะเสียเวลานาน
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    ผมเคยเปรียบเอาไว้ว่า เหมือนอย่างกับคนสองคนเดินมาพร้อมกัน หกล้มพร้อมกัน คนหนึ่งลุกได้ก็เดินไปเลย อีกคนหนึ่งมัวแต่นั่งคร่ำครวญอยู่ "เจ็บเหลือเกิน ปวดเหลือเกิน เดินทางมาไกลขนาดนี้ไม่น่าพลาดเลย" สองคนนี้ใครจะได้ระยะทางที่ไกลกว่ากัน ? ก็ต้องเป็นคนที่ลุกเดินไปเลย

    แต่คราวนี้การที่เราจะทำอย่างนั้นได้ นอกจากสมาธิทรงตัวแล้ว ปัญญาต้องเกิดจริง ๆ ต้องเห็นว่าธรรมดาของโลกเป็นเช่นนั้น ธรรมดาของคนที่เป็นปุถุชนหนาแน่นไปด้วยกิเลส ย่อมมีกาย มีวาจา มีใจแบบนั้น ในเมื่อธรรมดาเป็นแบบนั้น ก็ช่างมันเถอะ..!


    ฉะนั้น...สิ่งที่พวกเราทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุสามเณร หรือฆราวาส จำเป็นจะต้องหาให้เจอในการปฏิบัติธรรมของเรา ก็คือคำว่า "ธรรมดา" และคำว่า "ช่างมัน" ถ้าหาสองคำนี้เจอ สามารถใช้ได้ตลอดทั้งชาตินี้ ชาติหน้า ยันเข้าพระนิพพาน เพราะว่าทั้งสองคำนี้ รวมเอา ศีล สมาธิ ปัญญา ทั้งหมดไว้ด้วยกัน


    เมื่อเห็นธรรมดาก็ปล่อยวาง ไม่ไปเก็บมาแบกเอาไว้ ในเมื่อไม่แบก ก็ไม่หนัก ไม่เครียด สิ่งทั้งหลายก็กระทบใจของเราไม่ได้ หรือถ้าหากว่ายังปล่อยวางได้น้อย ก็กระทบใจของเราได้น้อย ถ้าปล่อยวางได้มาก ก็ไม่กระทบใจของเราเลย


    ความจริงจะพูดถึงสถานการณ์โลก ทำไมเลี้ยวมาตรงนี้ได้ก็ไม่รู้ ? ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่พระหรือครูบาอาจารย์ท่านต้องการจะบอกกล่าว ไม่ว่าจะกับพระภิกษุสามเณรและญาติโยม ทั้งที่อยู่ในที่นี่และอยู่ทางบ้าน ให้รู้ไว้ว่าสิ่งที่ท่านทั้งหลายโดนในระหว่างที่เป็นคนดี จริง ๆ แล้วเป็นเรื่องที่โดนทุกคน และเป็นข้อสอบที่เราจะต้องสอบผ่านให้ได้ ถ้าสอบผ่านได้เมื่อไร ความมั่นคงในใจของเราจะมีมากขึ้นไปเรื่อย ๆ แล้วจนท้ายที่สุดก็ปล่อยวางทุกอย่าง เลิกปรุง เลิกแต่ง ถ้าถึงตอนนั้น คำว่าพระนิพพานก็ไม่ได้ไปไหน อยู่เต็มในหัวจิตหัวใจของเรานี่เอง การที่เราจะหมดกิเลสเข้าสู่พระนิพพาน ก็เป็นเรื่องที่ไม่เกินที่จะหวัง ขอฝากข้อคิดไว้กับทุกท่านแต่เพียงเท่านี้


    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพฤหัสที่ ๒๐ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...