เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๖๖

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 15 เมษายน 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,461
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,534
    ค่าพลัง:
    +26,371
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๖๖


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,461
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,534
    ค่าพลัง:
    +26,371
    วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๑๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ ถือว่าเป็นวันขึ้นปีใหม่ไทยอย่างแท้จริง แต่จะเรียกว่า "ปีใหม่ไทย" ก็ไม่ชัดเจนนัก เพราะว่าประเพณีสงกรานต์เรารับมาจากชมพูทวีป ซึ่งปัจจุบันก็เน้นเอาประเทศอินเดียเป็นหลัก

    คราวนี้ในส่วนของงานสงกรานต์ตลอดทั้งสามวันที่ผ่านมา พวกเราก็มีกิจกรรมการทำบุญใส่บาตร ฟังเทศน์ ก่อพระเจดีย์ทราย แล้วก็สรงน้ำพระ มีส่วนหนึ่งที่กระผม/อาตมภาพอยากจะทำ แต่ว่ายังไม่ได้ลงมือทำก็คือ ให้พวกเราได้สรงน้ำพระบรมสารีริกธาตุเขี้ยวแก้วด้วย เพียงแต่ว่าคงจะต้องหาทางสร้างกรงสักใบหนึ่งก่อน สมัยนี้ข้าวของอะไรถ้ามีราคาก็ต้องติดคุก..! เราต้องจัดตั้งเอาไว้ในกรง..!

    ถ้าหากว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุเขี้ยวแก้วก็จะลงตัวพอดี ก็คือหลวงพ่อทองคำอยู่ซ้ายสุด พระบรมสารีริกธาตุเขี้ยวแก้วอยู่ตรงกลาง แล้วก็ต่อด้วยรูปหล่อหลวงปู่พุก หลวงปู่สาย อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน ไม่ใช่อย่างวันนี้ที่พระท่านจัดเอาไว้
    กระผม/อาตมภาพไม่ได้ขึ้นไปดูหน่อยเดียว จัดเอาไว้ได้ดีมาก ถ้าหากว่าเป็นภาษาคณิตศาสตร์ เขาเรียกว่า "ได้สมมาตร" เท่ากันเป๊ะสองข้าง แต่ใช้ไม่ได้..!

    เพราะว่าการสรงน้ำก็คือถวายน้ำสรงพระพุทธรูปก่อนแล้วค่อยเป็นพระสงฆ์ คราวนี้เราเอารูปหล่อหลวงปู่พุก หลวงปู่สายไปไว้ซ้ายขวา ก็ต้องถวายน้ำสรงพระพุทธรูป แล้วก็เลี้ยวซ้าย จากนั้นค่อยเลี้ยวขวา ก็เดินชนกันอยู่ตรงนั้นแหละ..! ไม่ต้องไปไหนหรอก ซึ่งตรงนี้ต้องบอกว่าเป็นการเข้าใจผิด ก็คือคิดว่าถ้าจัดได้สมมาตรแล้ว ทุกอย่างจะดูดี สวยงาม แต่ว่าผิดหลักไปหน่อย

    จะว่าไปแล้ว เรื่องพวกนี้พระเจ้าท่านไม่ได้ถือสา ที่ถือสาคือพวกเราเอง แบบเดียวกับบนพระนิพพาน ท่านที่สามารถขึ้นไปได้ ถ้าเห็นภาพที่แท้จริง ก็จะเห็นว่าบนพระนิพพานไม่มีการแบ่งแยกกัน บางทีท่านก็นั่งสับสนปนเปกันไปหมด เพราะว่าต่ำสุดก็คือเป็นพระอรหันต์เหมือนกัน
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,461
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,534
    ค่าพลัง:
    +26,371
    เพียงแต่ว่าพระพุทธเจ้าก็ดี พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ดี แต่ละพระองค์สร้างบารมีมาไม่เท่ากัน ท่านที่สร้างบารมีไว้มาก พระวรกายก็จะดูใหญ่โตมาก แต่ความจริงถ้าหากว่าเราใช้คำว่า "พระวรกาย" นั่นก็เป็นเพียงสิ่งที่พระองค์ท่านแสดงให้เราเห็นเป็นพุทธนิมิตเท่านั้น ถ้าจะใช้คำว่า "กลุ่มพลังงาน" น่าจะเหมาะสมที่สุด

    แต่ว่าพวกเราก็มักจะรับกันไม่ได้
    เพราะว่าเราเอาอุปาทาน คือความยึดมั่นถือมั่นในโลกมนุษย์ของเราขึ้นไปด้วย ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเราไปถึงก็จะเห็นว่าพระพุทธเจ้าประทับอยู่ตรงกลาง มีพระอัครสาวกซ้ายขวา มีพระมหาสาวก มีพระปกติสาวก นั่งกันลดหลั่นเป็นระเบียบเรียบร้อย ภาพที่เราเห็นนั้นเป็นไปตามกิเลสของเรา ก็คือถ้าไม่นั่งอย่างนั้น เราก็จะสงสัยอีกว่า "นี่กูเห็นจริงหรือเปล่า ?"

    ดังนั้น..ในเมื่อเราเอากิเลสของปุถุชนขึ้นไป ท่านก็เลยต้องทำให้เราเห็นในรูปแบบที่เราคิดว่าใช่ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น สิ่งที่เราเห็นจึงเป็นไปตามกำลังใจของเรา ไม่ใช่ความจริงแท้ ถ้าเป็นความจริงแท้ ก็ต้องบอกว่าแล้วแต่ท่านว่าจะนั่งกันตรงไหน ระวัง..ขึ้นไปวันนี้อาจจะโดนหลอกอีก เพราะว่าโยมแบกเอาคำพูดของกระผม/อาตมภาพไป กลายเป็นอุปาทาน ยึดมั่นถือมั่นอีกแล้ว..!

    ในเรื่องของโลกทิพย์ ถ้าหากว่าใครฝึกกรรมฐานสายมโนมยิทธิ จะมีอยู่อย่างหนึ่งที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านย้ำอยู่เสมอ แต่พวกเรามักจะมองข้ามไปก็คือ "ขอให้รู้เห็นตามสภาพความเป็นจริง"

    ในเมื่อเรามองข้ามไป แล้วเราก็ไปยึดอุปาทานของเราว่าควรจะเป็นเช่นนั้น ควรจะเป็นเช่นนี้ เราก็เลยไม่ได้รู้เห็นตามความเป็นจริง หากแต่ท่านแสดงให้รู้เห็นตามกิเลสในใจของเรา ที่คิดว่าควรที่จะเป็นเช่นนั้น คาดว่าควรที่จะเป็นเช่นนั้น

    เรื่องพวกนี้พูดไปก็ปวดหัว
    กระผม/อาตมภาพหาคนคุยด้วยยากขึ้นเรื่อย ๆ แม้กระทั่งพี่น้องที่ออกจากโบสถ์วัดท่าซุงมาด้วยกัน ส่วนใหญ่ก็ฝึกมโนมยิทธิเพื่อที่จะขอผ่านด่าน ก็คือให้ได้บวช พอบวชแล้วก็มักจะขาดการซักซ้อม ทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ สนิมกินไปตาม ๆ กัน ในเมื่อหาคนคุยยากขึ้นเรื่อย ๆ บางทีกระผม/อาตมภาพก็เก็บกด บางเรื่องรู้มาเป็นร้อย ให้บอกได้แค่หนึ่งแค่สอง อกจะแตกตาย..! แล้วให้รู้ทำไม ? ไปต่อว่ากันเอาเองนะจ๊ะ อาตมาไม่กล้าต่อว่า กลัวโดน "ตื้บ..!"
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,461
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,534
    ค่าพลัง:
    +26,371
    ในเรื่องของการปฏิบัติธรรม ถ้าหากว่าเป็นทางสายวัดป่า อย่างหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ท่านสอนลูกศิษย์มา ก็คือให้ทิ้งนิมิตทุกอย่างเลย ไม่เอาเลย..แต่ว่าเรื่องพวกนี้ก็แปลกมาก ยิ่งไม่เอายิ่งชัด นี่เป็นหลักการปฏิบัติเลย ว่าอะไรก็ตามถ้าเราไม่ใส่ใจจะชัดเจนมาก แต่ถ้าเราใส่ใจ เหมือนตั้งใจดูตั้งใจมอง ก็จะไม่ชัด แล้วอย่าถามนะว่า "แกล้งไม่ใส่ใจได้ไหม ?" แกล้งได้..แต่ขอโทษ..ก็กำลังใส่ใจนั่นแหละ..!

    เรื่องพวกนี้ต้องฝึกฝนกันอย่างมาก แม้กระทั่งทุกวันนี้ กระผม/อาตมภาพก็ยังถือว่ายังอยู่ในระหว่างที่ฝึกอยู่ เพียงแต่ฝึกมานานเกิน ๔๐ ปีแล้ว ก็เลยมีอะไรที่รู้มากกว่าพวกเราอยู่หน่อยหนึ่ง
    การฝึกมโนมยิทธิ พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเชื่อว่าลูกศิษย์ท่านฉลาดพอ ฉลาดพอที่จะเลือกว่าอะไรถูก อะไรผิด ท่านถึงได้กล้าสอน แต่ปรากฏว่าร้อยละ ๙๙ เลือกผิด..!

    ตอนสมัยวัยรุ่น กระผม/อาตมภาพสงสัยมากว่า พระที่มาสายวิสุทธิมรรค อย่างพระสายหลวงปู่มั่น มีอาการรู้เห็นเหล่านี้หรือไม่ จึงกราบเรียนถามกันตรง ๆ เลย โดยเฉพาะถามใครไม่ถาม ไปถามคนจริงอย่างหลวงตาบัว "หลวงพ่อครับ หวยงวดหน้าออกอะไรครับ ?" มีใครกล้าถามบ้างไหม ? รับประกัน..ได้กบาลแยกแน่นอน..!

    แต่ปรากฏว่าท่านตอบว่า "น่าจะ ๘๑ นะ" คือท่านรู้ว่ากระผม/อาตมภาพเป็นคนไม่เล่นหวย แล้วที่ถามเพราะอยากรู้ อยากรู้ว่าพระที่มาสายวิสุทธิมรรค ถ้าปฏิบัติถึงจริง ๆ แล้วรู้เห็นเรื่องพวกนี้ไหม ? อยากรู้แค่นั้น ไม่ได้อยากเล่นหวย ท่านก็เลยบอกให้ตรง ๆ ออกเป๊ะเลย ถ้าท่านยังอยู่ ลองไปถามดูสิ..จะได้อะไร อาจจะเป็นกระโถนทั้งใบก็ได้..!

    แบบเดียวกับที่กระผม/อาตมภาพเฝ้าหน้าห้องหลวงพ่อวัดท่าซุงอยู่ แล้วก็เปิดโทรทัศน์ดูมวย ดูฟุตบอล หลวงพ่อไม่เคยว่าสักคำ คนอื่นเปิดดูโดนด่าจมธรณีไปเลย..! แล้วคนเขาก็ว่ากระผม/อาตมภาพเป็น "เด็กเส้น" ทำอะไรไม่เคยผิด..! แต่ความจริงไม่ใช่ เพราะว่าก่อนจะเปิดดูนี่
    กระผม/อาตมภาพกำหนดใจแล้วว่า "คู่นี้แพ้ชนะกันอย่างไร ?" ต้องการดูคำตอบเท่านั้น
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,461
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,534
    ค่าพลัง:
    +26,371
    เปิดเพลงฟัง สบายใจมาก ไม่เคยโดนด่า เพราะว่าอาตมภาพเองแพ้เสียงผู้หญิงอยู่สองคน รุ่นเก่าคือคุณวงจันทร์ ไพโรจน์ โดยเฉพาะเพลงกุหลาบเวียงพิงค์ รุ่นใหม่ก็คือคุณสุนทรี เวชานนท์ ใหม่สมัยโน้นนะ..ไม่ใช่สมัยนี้..! โดยเฉพาะเพลงสาวเชียงใหม่ ล่องแม่ปิง

    เปิดฟังกันทุกวัน ๆ ละหลาย ๆ รอบ พี่น้องเพื่อนฝูงก็ลุ้นอยู่อย่างเดียว "เมื่อไรหลวงพ่อจะฟาดมันให้กบาลแยกสักที..!" แต่ไม่เคยโดน ไอ้คำว่า "เด็กเส้น" ก็เลยลือกันมากขึ้นไปทุกที แต่ความจริงก็คือฟังแล้วตั้งใจภาวนาสู้กิเลส ทำอย่างไรเมื่อเจอสิ่งที่เราชอบแล้วเราจะไม่ไหลตามไป ? เรื่องพวกนี้เผลอเมื่อไรพังทันทีเลยนะ..! เพราะว่าใจเราเคยชินกับสิ่งที่ไม่ดีมาก่อน

    แบบเดียวกับที่
    กระผม/อาตมภาพเคยบันทึกการเดินทางเอาไว้ เรื่องที่เข้าไปที่เมืองลับแล ๕ วัน ๕ คืนในนั้น ใจทรงตัวเป๊ะ..ไม่ต้องภาวนาเลย เพราะว่ากลัวอันตราย แต่คราวนี้พอขากลับออกมา เริ่มจำภูมิประเทศได้ว่า เดินจากตรงนี้อีกประมาณชั่วโมงเดียวก็เจอบ้านคนแล้ว พอจำทางได้ ไอ้ใจที่ทรง ๆ อยู่ หลุดไปตอนไหนก็ไม่รู้ ? เลิกภาวนาไปดูฟ้าดูดินแทน..!

    ในป่าดงดิบต้นไม้มาก ทึบมาก แสงแดดมันส่องมาเป็นเส้น ๆ แล้วไอ้ความชื้นก็เป็นหมอกลอยขึ้นไปเป็นเกลียว ดูแล้วสวยมาก ไม่รู้เหมือนกันว่าเสียงเพลงดังขึ้นมาในหัวตอนไหน "ดวงตะวันลับทิวแมกไม้ ใจพี่ก็หาย..หายลับไปกับตะวัน ฯลฯ" ทั้ง ๆ ที่เพลงนี้เคยร้องตั้งแต่สมัยฆราวาสนะ นานมากแล้ว

    ปรากฏว่าใครก็ไม่รู้เมตตา ถีบตูมเดียวลงไปอยู่ในลำห้วย สมน้ำหน้าตัวเอง..! แล้วคิดดูว่าปลายเดือนพฤศจิกายนนั้นหนาวตายชักขนาดไหน !? หัวถึงตีนเปียกหมด ไม่มีอะไรเหลือเลย ข้าวของทั้งย่ามก็เปียกหมด เดินสั่นแหง็ก ๆ กว่าจะถึงหมู่บ้าน ตะคริวจะกินตาย..!

    ดังนั้น..เรื่องพวกนี้ ถ้าเราจะสู้กับกิเลส ให้หาทางสู้กับสิ่งที่ไม่เป็นอันตรายกับเรามาก อย่างเช่นว่าชอบฟังเพลงก็สู้กับเพลง ชอบดูมวยก็สู้กับมวย ชอบดูฟุตบอลก็สู้กับฟุตบอล ชอบน้องลิซ่าก็เปิดทุกเพลงไปเลย แล้วดูว่าใจเราไหลไปตอนไหน ? ตอนที่ไม่ไหลตาม เรารักษากำลังใจอย่างไร ? ต้องหมั่นซักซ้อมบ่อย ๆ แบบนี้ ความก้าวหน้าถึงจะมีขึ้นมาได้ พูดไปพูดมา จากสงกรานต์กลายเป็นกรรมฐานไปได้เหมือนกัน

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันเสาร์ที่ ๑๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...