เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๖

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 17 กรกฎาคม 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,538
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,537
    ค่าพลัง:
    +26,373
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๖


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,538
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,537
    ค่าพลัง:
    +26,373
    วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๑๗ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ กระผม/อาตมภาพบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนที่โรงแรมถั่วแปบ ความจริงชื่อเขาไพเราะมากคือ Hotel Topaz - The Tourmaline ซึ่งอยู่บนยอดเขาสูงมาก มองเห็นวิวทิวทัศน์สวยงาม แสงไฟตามบ้านเหมือนอย่างกับดวงดาวเลย

    เมื่อวานนี้พวกเรากว่าจะมาถึงก็ค่อนข้างจะค่ำแล้ว แต่ทุกอย่างก็สะดวกเรียบร้อยดี ห้องพักใหญ่โตมาก โดยเฉพาะห้องของกระผม/อาตมภาพนั้น มีการแบ่งสันปันส่วน ห้องภายนอกเป็นห้องทำงานหรือว่าห้องรับแขก ห้องภายในเป็นส่วนของห้องนอนและห้องน้ำ ต้องบอกว่า "หรูหราหมาเห่า" เกินกว่าที่คาดเอาไว้มาก

    สุขภาพร่างกายหลังจากที่ตรากตรำตากแดดมาหลายวัน จนกระทั่งตัวดำปี๋ ทั้งที่พยากรณ์อากาศบอกอยู่ทุกครั้งว่าจะมีพายุ พายุกำลังเข้า เจอพายุฝนฟ้าคะนองอย่างหนักแน่นอน แม้กระทั่งช่วงนี้ทางพยากรณ์อากาศก็แจ้งว่ากำลังมีพายุฝนฟ้าคะนอง แต่ดูออกไปภายนอกหน้าต่างที่พักแล้ว ทิวทัศน์ยังสวยงามเป็นปกติดี

    เมื่อวานนี้หลังจากที่พวกเรารับประทานอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อย คุณอสังคะก็พาพวกเราวิ่งไปยังวัดถ้ำดัมบุลละ ซึ่งห่างออกไปประมาณ ๖๐ กิโลเมตรเศษ คุณอสังคะเป็นบุคคลที่ค่อนข้างจะเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่คณะของเรามาก เห็นว่าตรงไหนสวยงามก็จอดลงไปให้พวกเราถ่ายรูป โดยเฉพาะที่ทะเลสาบมัลละราวะ กระผม/อาตมภาพได้เห็นนกกาน้ำเล็ก นกกระทุง นกพริก สารพัดนกน้ำที่ไม่ได้พบเป็นเวลานานมากแล้ว แต่ที่นี่ยังมีอยู่อย่างสมบูรณ์

    พวกเราไปถึงวัดถ้ำดัมบุลละก็หาสถานที่เข้าห้องน้ำห้องส้วมเสียก่อน ซึ่งสะดวกมาก เพราะว่าอยู่ที่ข้างลานจอดรถ และไม่ได้เก็บสตางค์ด้วย หลังจากนั้นแล้วก็ได้ซื้อตั๋ว เดินขึ้นไปทางด้านบน

    ตอนแรกทุกคนเห็นบันไดก็ทำท่าท้อใจ แต่ปรากฏว่าไม่ได้ไกลอย่างที่คิด ซ้ำยังลมแรงมาก จึงทำให้ไม่ร้อนอีกด้วย ทิวทัศน์ทางด้านบนนั้นสามารถมองออกไปได้ไกลมาก เห็นแต่ป่าเขียวขจี โดยเฉพาะเห็นทะเลสาบมัลละราวะในด้านที่เราเพิ่งผ่านมาด้วย
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,538
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,537
    ค่าพลัง:
    +26,373
    เมื่อขึ้นไปถึงด้านบนแล้ว ก็ต้องผ่านจุดตรวจตั๋ว ซึ่งลมแรงมากจนแทบจะยืนไม่ติด เมื่อเข้าไปทางด้านใน จุดแรกก็คือจารึกโบราณ ที่ระบุระยะเวลา ตลอดจนกระทั่งประวัติในการสร้างวัด แล้วพวกเราก็เข้าชมถ้ำแรก ก็คือถ้ำเทวะราชาที่มีพระนอนองค์ใหญ่เกือบเต็มถ้ำ ทางด้านท้ายถ้ำ มีพระยืนและพระปางสมาธิอย่างละองค์ พวกเรากราบไหว้บูชากันแล้วก็หยอดตู้ทำบุญตามปกติ ซึ่งทำบุญกันแบบคนรวย ก็ทีละ ๕๐๐ รูปี ทีละ ๑๐๐๐ รูปีตามอัธยาศัย

    แล้วไปยังถ้ำที่ ๒ ซึ่งเป็นถ้ำที่ใหญ่ที่สุด สวยงามที่สุด คือถ้ำมหาราชะ ที่มีพระพุทธรูปทั้งยืน ทั้งนั่ง ทั้งนอน รอบบริเวณถ้ำ ซ้ำยังมีเทวรูปอีกด้วย บนเพดานนั้นก็เป็นภาพเขียนสีงดงามมาก แถมยังมีพระสถูปเจดีย์อยู่ภายในอีกหนึ่งองค์ ส่วนที่ทุกคนจะขาดไม่ได้เลยก็คือจุดที่น้ำศักดิ์สิทธิ์หยดลงมาต่อเนื่องกันนับพันปีแล้ว ไม่มีวันเหือดหาย พวกเราพยายามที่จะถ่ายรูปอย่างไรก็ได้ให้ติดหม้อน้ำศักดิ์สิทธิ์ เพราะว่าเขาเอากรงล้อมรอบไว้แล้วมีลวดตาข่ายถี่ยิบ จนกระทั่งในที่สุดก็หาวิธีถ่ายรูปและวิดีโอออกมาจนได้

    คุณเอ (ฉัตตริน เพียรธรรม) ให้ความรู้ด้านต่าง ๆ ตลอดเวลา ซึ่งจะว่าไปแล้วความรู้เหล่านี้ถ้าเราไม่ได้ศึกษามาโดยตรง ก็จะไม่อาจทราบได้เลย แล้วพวกเราก็เข้าสู่ถ้ำที่ ๓ คือถ้ำมหาอรุทธวิหาร ถ้ำที่ ๔ คือถ้ำโสมาวดี ซึ่งเป็นถ้ำเล็ก ๆ ลือกันว่าเป็นที่เก็บสมบัติเก่า แล้วถ้ำสุดท้าย คือถ้ำอรุทธเลนะ ที่เป็นถ้ำเล็ก และรู้สึกว่าจะสร้างทีหลังสุด

    จากนั้นพวกเราก็เดินสวนออกมาทางด้านนอก ขณะที่บรรดานักท่องเที่ยวกำลังไหลมาเทมา ต้องเดินลงเขามาอีกด้านหนึ่ง ซึ่งเป็นด้านของวัดดัมบุลละใหม่ คำว่าดัมบุลละนี้ ถ้าเป็นภาษาไทยก็คือธรรมะไพบูลย์ ภายในวัดกว้างขวางสะอาดเรียบร้อยมาก มีกระทั่งถังขยะชนิดที่แยกขยะด้วย ด้านล่างมีมหาวิหารใหญ่ที่มีพระพุทธรูปองค์มหึมาอยู่บนหลังคา เป็นพิพิธภัณฑ์พระพุทธศาสนา แล้วทางด้านวัดยังมีสถานีกระจายเสียงธรรมะเป็นของตนเองอีกด้วย

    พวกเราถ่ายรูปแล้วเดินออกมาทางด้านที่จอดรถ ซึ่งคุณอสังคะนำรถอ้อมมาทางด้านนี้จอดรอรับพวกเราอยู่แล้ว ตรงไปยังร้านอาหารในโรงแรม Gimanhala Hotel แต่เนื่องจากว่าพวกเราเป็นคณะเล็ก มีความคล่องตัวสูง เวลาที่นัดทางโรงแรมเอาไว้นั้นเป็นเวลาสำหรับคณะใหญ่ พวกเราจึงเดินถ่ายรูปรอบบริเวณโรงแรมเสียก่อน แล้วกระผม/อาตมภาพอาศัยเวลาก่อนที่ห้องอาหารจะทำงาน ส่งรูปต่าง ๆ ไปให้กับบุคคลที่รอชมอยู่ที่ประเทศไทย

    เมื่อฉันเพลเสร็จเรียบร้อย ซึ่งข้าวปลาอาหารเยอะแยะมากมาย มีตลกอยู่อย่างเดียว คือผักบุ้งนั้น เขาผัดมาทั้งยอด ประมาณว่าถ้าเป็นบ้านเรา ซื้อมาทั้งกำก็โยนลงกระทะผัดไปเลยประมาณนั้น แต่ว่ารสชาติก็ดีใช้ได้
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,538
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,537
    ค่าพลัง:
    +26,373
    หลังจากนั้นพวกเราก็วิ่งตรงไปยังเมืองเก่าสิคีริยา หรือที่เรียกกันอีกอย่างหนึ่งว่าพระราชวังลอยฟ้า เมื่อซื้อตั๋วแล้วก็ต้องเดินไปทางด้านใน กรมอุตุนิยมศรีลังกานี้อยากจะโละทิ้งไปเลย เพราะว่าพยากรณ์อากาศว่ามีพายุฝนฟ้าคะนอง แต่พวกเราเดินตากแดดตัวดำปี๋ไปทุกที่ แล้วสถานที่นี้ก็เดินไกลมาก คือหลังจากผ่านจุดตรวจตั๋วแล้ว ก็ต้องเดินผ่านคูเมืองเข้าไป แล้วก็น่าจะเป็นพระราชวังชั้นนอก ซึ่งตอนนี้เหลือเพียงแต่ซากเก่า ๆ แต่ว่ามีทั้งสระน้ำ มีทั้งจุดที่เป็นน้ำพุ ต้องบอกว่าระบบชลประทานของเก่าดีมาก ๆ

    กว่าจะเข้าสู่ตัวเมืองชั้นที่ ๒ พวกเราก็ตากแดดกันแทบตัวจะละลาย ชั้นที่ ๒ นี้ต้องผ่านบันไดขึ้นไปทีละนิดทีละหน่อย ประกอบไปด้วยซอกหิน ซึ่งเขาสามารถที่จะจัดให้เป็นจุดเดินทางเข้าไปในลักษณะที่เหมาะสมมาก เมื่อขึ้นสู่ช่วงที่ ๓ ซึ่งจะมีประตูเท้าสิงห์เป็นจุดเด่นอยู่บ้านบนนั้น คนอื่นมัวแต่รอคุณเอกันอยู่ กระผม/อาตมภาพถามคุณเอที่หอบตัวโยน เนื่องจากว่าน้ำหนักมากกว่าทุกคนแล้ว คุณเอยืนยันว่า "ผมไปไหวครับ" กระผม/อาตมภาพจึงขอเดินขึ้นไปก่อน

    ช่วงที่ ๒ นี้เป็นบันไดเหล็กค่อนข้างสูงและลมแรง กระผม/อาตมภาพแทบจะไม่ต้องเดินเลย เพราะว่าโดนลมหอบขึ้นไป ช่วงนี้จึงเป็นช่วงที่เหนื่อยน้อยที่สุด แล้วมานั่งรอที่หน้าประตูเท้าสิงห์นานมาก กว่าที่ทิดแจ๊ค น้องโอ และ "หม่าม้า" คือคุณชวง จะเดินมาทัน พวกเราถ่ายรูปรอกันจนกระทั่งคุณเอมาถึง เห็นว่าปลอดภัยดีแล้ว ก็ขอตัวเดินขึ้นด้านบนไปก่อน

    บันไดระยะนี้เป็นบันไดโลหะสร้างใหม่ ดูแล้วคงจะเป็นสเตนเลส เพียงแต่ว่าตัวพื้นบันไดนั้นยังเป็นแผ่นเหล็กเก่าอยู่ เดินขึ้นไปทางด้านบนโดยไม่ได้ลำบากมากนัก เนื่องเพราะว่าระยะความสูงก็ประมาณรอยพระพุทธบาทวัดท่าขนุนเท่านั้น จึงต้องขึ้นไปถ่ายวีดีโอ ตลอดจนกระทั่งทิวทัศน์ต่าง ๆ รอจนกระทั่งคุณชวง ทิดแจ๊ค แล้วก็น้องโอตามขึ้นมาทัน ถึงได้ผลัดกันถ่ายรูป

    ที่ศรีลังกานี้ ทางด้านคลื่นโทรศัพท์รู้สึกว่าใช้ได้อยู่ แต่ว่าคลื่น WIFI นั้นไม่แรง กว่าที่จะอัพโหลดเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนได้ เมื่อวานนี้ก็ใช้เวลาหลายชั่วโมง จึงไม่ได้ส่งวิดีโอให้พวกเราได้ดูกัน ตั้งใจว่าถึงเมืองไทยเมื่อไร คลื่นแรง ๆ แล้วค่อยส่งให้ไอ้ตัวเล็กอัพโหลดให้พวกเราชมบ้านทศกัณฐ์กันทีหลัง
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,538
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,537
    ค่าพลัง:
    +26,373
    เมื่อถ่ายรูปกันจนไม่มีอะไรเหลือแล้ว พวกเราก็ย้อนลงไปหาคุณเอ แล้วก็อ้อมไปยังชั้นที่ ๒ ที่มีกำแพง ซึ่งเขาเรียกว่ากำแพงกระจก เพราะว่าสมัยก่อนได้มีการฉาบปูน และไล้เรียบได้เงางามมาก ต้องขึ้นบันไดเวียนไปเพื่อชมรูปนางฟ้าต่าง ๆ ที่ยังเหลืออยู่หลายองค์ แต่ละองค์ทรวดทรงองค์เอวก็เหลือรับประทานทั้งนั้น แต่เขาไม่ให้ถ่ายรูป มีเจ้าหน้าที่เดินประกบติดอยู่ตลอดเวลา จึงต้องทำตัวเป็นพลเมืองดี รับฟังคำบรรยายอย่างเดียว จากนั้นก็ต้องเดินลงมาอีกด้านหนึ่ง ซึ่งตอนเดินขึ้นก็ไม่ได้รู้สึกว่าสูงมาก แต่ตอนเดินลง เมื่อเจอบันได้แห่งแล้วแห่งเล่า ก็รู้สึกว่าแข้งขาทำท่าจะอ่อนอยู่เหมือนกัน

    ทางเดินด้านนี้ลงมาทางด้านที่จอดรถ แต่กว่าจะถึงที่จอดรถนั้น ก็มีร้านจำหน่ายน้ำที่พวกเราโดดเข้าใส่ด้วยความยินดี ของที่ระลึกต่าง ๆ ที่ประกอบไปด้วยร้านจำหน่ายพระพุทธรูป และข้าวของต่าง ๆ นับหลายสิบร้านนั้น พวกเราไม่ได้ใส่ใจเลย กระผม/อาตมภาพดื่มน้ำอัดลมไปประมาณครึ่งขวด แล้วมีลิงมาขอ ก็เลยส่งให้ไป ปรากฏว่าลิงนั้นไม่สามารถที่จะเปิดขวดได้ เพราะว่าปิดแน่นไปหน่อย แต่เขาก็ใช้วิธีกัดก้นขวดแล้วก็ดื่มแทน นับว่ามีความฉลาดมาก คนอื่นพยายามที่จะสอนลิงให้เปิดขวด จนเป็นที่ขบขันของบรรดานักท่องเที่ยวอื่น ๆ เป็นอย่างมาก..!

    พวกเราออกจากพระราชวังลอยฟ้าแล้วก็วิ่งตรงไปยังเมืองแคนดี ซึ่งช่วงนี้ก็ถือว่าเรามาเกินครึ่งทางแล้ว ประกอบกับคณะเล็ก มีเวลาเหลือมาก ทางด้านเอ็นซีทัวร์จึงบริการด้วยการแวะสวนสมุนไพร Ranweli แม้ว่าเป้าหมายหลักก็คือจะให้พวกเราเข้าห้องน้ำ แต่ว่าเจ้าหน้าที่เขาทำงานดีมาก ออกจากห้องน้ำมาก็ต้อนให้พวกเราไปดูสมุนไพรใบยา ตลอดจนกระทั่งผลิตภัณฑ์ที่ทำจากสมุนไพรต่าง ๆ ซึ่งเขายืนยันว่าที่เขาผลิตมานั้นปลอดสารพิษทั้งหมด ก็คือทำขึ้นมาจากสมุนไพรบริสุทธิ์จริง ๆ

    ดูไปดูมาแล้วก็พาพวกเราไปชมสมุนไพรต่าง ๆ ที่ทางโรงงานได้ผลิตออกมา พร้อมกับบริการนวดให้อีกต่างหาก โดยเฉพาะเมื่อได้รับการประชาสัมพันธ์เป็นอย่างดี พวกเราจึงต้องเสียเงินให้กับเขาจนได้ แล้วถึงได้เดินทางต่อไปยังเมืองแคนดี

    เมื่อเข้าเขตเมืองก็ปรากฏว่ารถเริ่มติด และที่พักของเราก็คือโรงแรมถั่วแปบนี้ก็อยู่บนยอดเขา จึงต้องค่อย ๆ ลัดเลาะขึ้นไป มีการวิ่งเลยเป็นการแถมให้ด้วย เพราะว่าทางเข้านั้นเป็นซอกเล็ก ๆ ทำเอาคุณอสังคะถลำเลยไปหลายร้อยเมตร เมื่อขึ้นไปถึงแล้ว ได้รับการต้อนรับด้วยน้ำดื่มและอัธยาศัยไมตรีอันดียิ่ง แต่ว่าพวกเราต้องแบ่งสันปันส่วนห้องกัน ก็คือทิดแจ๊คกับน้องโออยู่ชั้น ๑ กระผม/อาตมภาพกับคุณชวงอยู่ชั้น ๓ ไม่ทราบเหมือนกันว่าคุณเอไปอยู่ที่ชั้นไหน

    ทุกคนที่เดินทางกันจนกระทั่งท้องกิ่วหิวไส้ขาด ก็เข้าไปในห้องอาหารที่ได้ยินว่าเตรียมข้าวปลาอาหารเอาไว้ให้เยอะมาก แล้วรสชาติดีมาก แต่กระผม/อาตมภาพไม่สามารถที่จะรับประทานอาหารกับใครได้ จึงเข้าสู่ที่พัก อาบน้ำอาบท่า แล้วหลังจากแผ่เมตตาขอบคุณบรรดาเจ้าที่เจ้าทางซึ่งอำนวยความสะดวกให้ตลอดเส้นทาง โดยเฉพาะบรรยากาศที่เขาบอกว่ามีพายุอยู่ตลอดเวลา แต่พวกเราเจอแต่แดดเปรี้ยง อาบแดดจนกระทั่งสีสันตนเองใกล้เคียงกับบรรดาชาวศรีลังกาเข้าไปแล้ว เมื่อแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลเรียบร้อย ก็เข้าสู่นิทรารมณ์แบบสบายใจ

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันจันทร์ที่ ๑๘ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...