เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๖๖

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 14 ตุลาคม 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,538
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,537
    ค่าพลัง:
    +26,373
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๖๖


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,538
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,537
    ค่าพลัง:
    +26,373
    วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๑๔ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ ถ้าหากว่าย้อนหลังไป ๕๐ ปี เขาเรียกว่า "วันมหาวิปโยค" ใครเกิดไม่ทันก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ไป..!

    ตอนนั้นกระผม/อาตมภาพเรียนชั้นมัธยมอยู่พอดี ทนเห็นรัฐบาลล้อมปราบนักศึกษาไม่ได้ พาเพื่อนเดินขบวนไปขออนุญาตครูใหญ่เข้ากรุงเทพฯ ครูใหญ่สั่งปิดโรงเรียนเดี๋ยวนั้นเลย..! เป็นการแก้ปัญหาที่เด็ดขาดและ "ทันฟืนทันไฟ" มาก เพราะว่าทันทีที่สั่งปิดเรียน พวก "เด็กเรียน" ก็หายกลับบ้านไปเกินครึ่งแล้ว ที่เหลือขาดแรงสนับสนุน ก็กลับบ้านไปแบบจ๋อย ๆ แต่โดยดี..!

    ต้องบอกว่าครูบาอาจารย์สมัยนั้นห่วงลูกศิษย์อย่างชนิดที่เหมือนกับลูกของตัวเอง ไม่อยากให้ไปเดือดร้อน โดยเฉพาะวัยรุ่นระดับมัธยม หรือมหาวิทยาลัย กำลังอยู่ใน "วัยวิกฤต" ก็คือฮอร์โมนกำลังพลุ่งพล่าน "คิดบวก" อย่างเดียว..! เรื่องอื่นไม่ค่อยจะคิด

    คราวนี้เราจะเห็นว่า รัฐบาลใดก็ตาม ถ้าหากว่าไม่ได้รับแรงสนับสนุนจากประชาชน ต่อให้มีอำนาจล้นฟ้าก็อยู่ไม่ได้ รัฐบาลสมัยนั้นก็เช่นกัน พอคนแห่ออกมามาก ๆ เข้า ท้ายสุดก็ต้องเดินทางออกนอกประเทศ แล้วภายหลังก็มีการเดินทางกลับมาในสถานภาพของนักบวช แต่ว่าไม่เป็นที่ยอมรับ จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ขึ้นอีกรอบหนึ่ง..!

    บ้านเราเมืองเราต้องบอกว่า "ชั่วเจ็ดที ดีเจ็ดหน" ที่อยู่ยั้งยืนยงมาได้ทุกวันนี้ ก็เพราะมีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นหลัก แม้แต่ต่างประเทศเขาก็ไม่เชื่อ อย่างเช่นว่าเหตุการณ์ "พฤษภาทมิฬ" เดือนพฤษภาคม ปี ๒๕๓๕ ปะทะกันระหว่างรัฐบาลกับผู้ประท้วงจะเป็นจะตาย ในหลวงรัชกาลที่ ๙ เรียกทั้ง ๒ ฝ่ายเข้ามา บอกว่า "ถ้าจะเอาแพ้เอาชนะกัน คนที่แพ้หนักที่สุดคือประเทศไทย..!" เท่านั้นเอง..ทุกอย่างจบหมด..!

    ดังนั้น..ในเรื่องของสถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นที่จะต้องอยู่คู่สังคมไทย บ้านเราเมืองเรา สถาบันศาสนาเป็นหลัก เป็นเครื่องยึดโยงใจบุคคลที่มีความเชื่อถือศรัทธาในสิ่งเดียวกัน เข้ามารวมกันเป็นปึกแผ่น องค์พระมหากษัตริย์เล็งเห็นดังนั้น จึงให้การสนับสนุนศาสนาในฐานะองค์เอกอัครศาสนูปถัมภก

    ในเมื่อชาวบ้านทั่วไป เห็นว่าพระองค์ท่านให้การสนับสนุนสถาบันที่เขาศรัทธาและเชื่อถือ ก็ถือว่าเป็นพวกเดียวกัน จึงให้การสนับสนุนสถาบันพระมหากษัตริย์ เมื่อมีการสนับสนุนในลักษณะอย่างนั้น สถาบันชาติจึงเป็นปึกแผ่นแน่นหนามั่นคงขึ้นมา

    ดังนั้น..คำว่า ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ของบ้านเรา จึงแยกออกจากกันไม่ได้ เหมือนกับเก้าอี้สามขา ขาดไปขาหนึ่งเมื่อไร ก็ล้มเมื่อนั้น..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,538
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,537
    ค่าพลัง:
    +26,373
    สมัยที่มีการปะทะกันทางความคิด จนกระทั่งกลายเป็นการใช้อาวุธ มีทั้งฝ่ายที่อยู่ในป่าและฝ่ายที่อยู่ในเมือง ฝ่ายที่อยู่ในป่าเขาทำวิจัยแล้วว่า สามสถาบันนี้ ถ้าขาดอย่างใดอย่างหนึ่ง ประเทศไทยก็อยู่ไม่ได้ ก็เลยมีการปล่อยข่าว "ยุแยงตะแคงรั่ว" เพื่อที่จะล้มสถาบันพระมหากษัตริย์..!

    แต่ด้วยคุณงามความดีที่สถาบันพระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะในหลวงรัชกาลที่ ๙ และองค์สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ที่ประพฤติปฏิบัติให้ชาวบ้านเห็นเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน จึงไม่มีใครเสื่อมคลายศรัทธาจากสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างที่เขาต้องการ

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เขาจึงเปลี่ยนเป้ามาทำลายสถาบันศาสนาแทน อย่างเช่นว่า ปล่อยข่าวให้ร้ายบ้าง จ้างคนเข้ามาบวช แล้วก็ให้ทำชั่วจนปรากฏเป็นข่าว ทำให้คนเสื่อมศรัทธาบ้าง ส่งผู้หญิงเข้ามาอย่างเป็นหลักเป็นฐาน เป็นงานเป็นการ เพื่อทำลายท่านที่มีคุณงามความดีเป็นที่ปรากฏเชื่อถือของคนหมู่มาก แต่ว่ากำลังใจยังไม่หลุดพ้นในเรื่องของ รัก โลภ โกรธ หลง บ้าง

    เรื่องพวกนี้เขาทำเป็นขบวนการตั้งแต่สมัยนั้นจนถึงสมัยนี้ เพียงแต่ว่าสมัยนั้นรุนแรงกว่า ก็คือมีการขึ้นบัญชีหลวงปู่หลวงพ่อที่เป็นหลักชัยของพระพุทธศาสนาในยุคนั้นเอาไว้ แล้วก็ส่งมือปืนไปเก็บ ต้องบอกว่ามือปืนเขาเก่งนะ อะไรที่รกหูรกตาเขา "เก็บ" ให้เรียบร้อยได้..! แต่ว่าบารมีของหลวงปู่หลวงพ่อแต่ละท่านนั้น ล้วนแล้วแต่ล้นเหลือ เพราะว่าสร้างคุณงามความดีโดยที่ไม่ได้หวังผลตอบแทนใด ๆ จนกระทั่งบรรดาผู้คิดร้ายก็แพ้ภัยไปเอง

    ปัจจุบันนี้เลิกใช้วิธีแบบนั้น แต่หันมาใช้วิธีทำลายในลักษณะทำให้เกิดข่าวแล้วเสื่อมศรัทธา โดยจ้างบรรดาสำนักข่าวต่าง ๆ ช่วยกันกระพือ โดยเฉพาะช่วงวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา อย่างเช่น วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันเข้าพรรษา วันออกพรรษา ใกล้วันเมื่อไร ข่าวพวกนี้จะปะทุขึ้นมาทันที บางข่าวหลายปีผ่านไปแล้ว ก็เอามาแชร์ใหม่จนบางคนคิดว่าเพิ่งจะเกิด..!

    จะว่าไปแล้ว เรื่องพวกนี้ถ้าหากว่าพระภิกษุสามเณรในพระพุทธศาสนาของเราประพฤติดีปฏิบัติชอบ ก็ไม่กระเทือนหรอก แต่คราวนี้มีบุคคลจำนวนหนึ่งที่ไป "เตะลูกเข้าทางตีน" เขา อย่างเมื่อไม่กี่วันก่อน ก็ไปเข้าบ่อนที่ประเทศพม่า เรื่องพวกนี้ทางด้านพม่าเขาไม่ถือสา

    กระผม/อาตมภาพไปอยู่พม่าเพื่อสร้างวัดตั้ง ๕ - ๖ ปี งานวัดที่ไหนที่นั่นแหละ การพนันเพียบเลย โดยเฉพาะพวก น้ำเต้า ปู ปลา ทั้งพระทั้งเณรล้อมวงกันให้เหลืองไปหมด..! หรือแม้กระทั่งแข่งฟุตบอล พระเณรตั้งทีมแข่งกันเอง หรือว่าลงชกมวย แต่ชาวบ้านเขาไม่ตำหนิ เรื่องพวกนี้ถ้าหากว่าชาวบ้านเขาไม่ตำหนิก็จบเลย..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,538
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,537
    ค่าพลัง:
    +26,373
    แม้กระทั่งเรื่องของผู้หญิง ส่วนใหญ่พอลูกเริ่มโตเป็นสาวก็เอาไปฝากพระไว้ เพราะว่าทางเพื่อนบ้านของเรา รัฐบาลเขาไม่สนับสนุนการศึกษา ถ้าหากว่ามีการศึกษา โลกทัศน์เปิดกว้างเมื่อไร ก็มักจะไปเรียกร้องกับรัฐบาล..!

    ในเมื่อขาดการศึกษา ส่วนใหญ่แล้วการศึกษาไปอยู่ในวัด พระเณรมีความรู้สูง ๆ ก็ส่งลูกสาวไปอยู่ด้วย พระเณรก็สอนให้ศึกษาเล่าเรียน ได้วิชาความรู้มา ถ้ารักชอบพอก็สึกออกไปแต่งงานกัน ส่วนใหญ่พระเณรก็มีฐานะดีกว่าชาวบ้านทั่วไป แม้กระทั่งกระผม/อาตมภาพไปอยู่พม่า ๖ ปี ยังมีลูกสาวชาวพม่างาม ๆ อยู่ ๒ คน เสียดายอย่างเดียวว่า
    กระผม/อาตมภาพเห็นเป็น "เด็กกะโปโล" เพราะฉะนั้น..สวยแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์..!

    ทางพม่าเขาตีความพระวินัยต่างกับของเรา อย่างเช่นว่า บ้านเราเข้าบ้านในเวลาวิกาล ถือว่าหลังพระอาทิตย์ตกดิน แต่ฉันอาหารในเวลาวิกาล เราถือเอาหลังเที่ยงไปแล้ว ส่วนของพม่าเขาตีความเท่ากันว่า วิกาลคือหลังพระอาทิตย์ตกดิน เพราะฉะนั้น..๕ - ๖ โมงเย็น พระพม่าเข้าร้านอาหาร สั่งอาหารกินกันตามปกติ ร้านอาหารหลายแห่งก็จัดอาหารสำหรับพระโดยเฉพาะด้วย มีรั้วรอบขอบชิด มีม่านกั้นให้อย่างดีเลย..!

    เพียงแต่ว่าพระเณรพม่ารู้ว่าพระไทยไม่ฉันอาหารเย็น เพราะฉะนั้น..เมื่อถึงเวลาก็ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ อาตมภาพก็เลยใช้วิธีว่า ถ้า ๔ โมงเย็นไปแล้ว ก็จะไปกราบพระพุทธรูปสำคัญ หรือไปพระเจดีย์สำคัญที่อยู่นอกวัด สวดมนต์ ไหว้พระ เจริญภาวนาที่นั่น กลับมาอีกทีก็ทุ่มกว่าสองทุ่ม หมดเรื่องไป ก็คือให้เขากินกันให้สบายใจก่อน..!

    ในเมื่อการตีความต่างกัน คนพม่าเขาไม่เห็นความต่างระหว่างพระกับฆราวาสในเรื่องผู้หญิง ก็คือไม่ถือสา ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายไปอยู่นาน ๆ จะเห็นว่า พระพม่าถึงเวลาก็โอบบ่าผู้หญิง กางร่มให้ เดินไปด้วยกัน กระผม/อาตมภาพเองขึ้นรถเมล์ ก็โดนผู้หญิงนั่งตักมาแล้ว..! ขยับหนี..เขายังทำตาเขียวใส่ ประมาณว่า "นั่งแค่นี้ทำไมจะไม่ได้..!" ในเมื่อเขาไม่ถือสาหาความ โลกไม่ติเตียน ก็เหลืออยู่อย่างเดียวว่าพระเณรจะมีตบะในการต่อต้านได้แค่ไหน..!?
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,538
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,537
    ค่าพลัง:
    +26,373
    แต่ต้องชื่นชมว่าญาติโยมชาวพม่ารู้บทบาทตัวเองชัดเจนมาก ก็คือ ถ้าหากว่าคุณบวชวันนั้น เขาก็กราบไหว้อย่างเต็มไม้เต็มมือ สึกออกมาวันนั้น ก็คลุกคลีตีโมง เล่นหัวกันไปเลย ไม่เหมือนกับบ้านเรา ถ้าหากว่าบวชสัก ๓ พรรษา ๔ พรรษา สึกออกมา กลายเป็นแปลกแยกจากสังคม ไม่ต้องไปพูดถึงที่บวช ๓๐ - ๔๐ พรรษาอย่างกระผม/อาตมภาพหรอก..!

    ก็เลยทำให้เห็นอย่างชัดเจนว่า คนพม่าเข้าใจบทบาทของความเป็นพุทธศาสนิกชนมากกว่าของเรา ก็คือรู้ว่าตอนไหนควรเคารพกราบไหว้ รู้ว่าตอนไหนคือเพื่อนกัน ดังนั้น..สังคมศาสนาในพม่า จึงค่อนข้างจะแปลก ๆ ในสายตาของเรา แต่ถ้าเข้าใจบริบทในสังคมของเขาแล้ว ก็จะเห็นว่าเป็นเรื่องปกตินั่นเอง

    สรรพสิ่งทั้งหลายเดินไปสู่ความเสื่อมตลอดเวลาอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าถ้าเราไม่ฝืนต่อต้านเอาไว้ ความเสื่อมนั้นจะมาถึงช้ากว่าปกติ ดังนั้น..การที่เราท่านทั้งหลายมาปฏิบัติธรรมอยู่ คือพยายามสร้างกำลังใจของเรา ให้เข้มแข็งพอที่จะต้านกระแสโลกได้ พอที่จะให้ความเสื่อมช้าลงบ้าง เพราะว่าการทำความดี แม้ว่าจะจำนวนน้อย แต่ว่ากระแสความเย็นที่มีก็เพียงพอที่จะดับร้อนในอาณาเขตบริเวณหนึ่งได้

    ฉะนั้น..ถ้าหากว่ามีคนตั้งใจทำความดีกันเป็นจำนวนมาก บ้านเราเมืองเราก็จะสงบร่มเย็นมากกว่าส่งส่ายวุ่นวาย

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร.๑๐ จึงได้ประทานแอพพลิเคชั่น "เสบียงบุญ" มาให้ เพื่อที่พวกเราได้ปฏิบัติภาวนา สั่งสมบุญกุศลไปเรื่อย ต่ำสุด ๑๐ นาที สูงสุด ๒ ชั่วโมง หรือถ้าหากว่าคิดว่าตนเองนั่งสมาธิได้มากกว่านั้น ก็กดแบบไม่กำหนดเวลาไปเลย..!

    กระผม/อาตมภาพเอง ระยะนี้สะสมมากหน่อย เพราะว่าอยู่ในช่วงปฏิบัติธรรมของเรา ถ้าวันปกติส่วนใหญ่ก็ปฏิบัติใหญ่ ๓ รอบเท่านั้น เรื่องพวกนี้เราต้องทำเอง ทำแทนกันไม่ได้ "ต่อให้เป็นแฟน ก็ทำแทนกันไม่ได้" ใครทำก็เป็นของคนนั้น

    สำหรับวันนี้ก็เรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันเสาร์ที่ ๑๔ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...