ยึดคุณพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งให้มั่นคงเอาไว้

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 4 มิถุนายน 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    IMG_3245.jpeg

    ขอให้ทุกคนยึดคุณพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งให้มั่นคงเอาไว้สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่หลวงพ่อมอบให้แก่เรามา โดยเฉพาะพระคาถาเงินล้าน ขอให้ทุกคนท่องบ่นภาวนาไว้เป็นประจำ ๆ จะสร้างความคล่องตัวให้แก่เราอย่างคิดไม่ถึง ใครจะว่างมงาย ใครจะว่าเหลวไหล อาตมายืนยันว่าไม่งมงาย ไม่เหลวไหลเพราะอาตมาใช้มาเอง มีใครบ้างที่สามารถสร้างวัด ๆ หนึ่งเสร็จได้ภายในปีเดียว โดยที่ ๒ มือเปล่า ๆ มีแต่คาถาบทเดียว จะไม่ให้ยืนยันอย่างนี้ก็ไม่ได้

    แล้วขณะเดียวกัน ไปช่วยเขาที่อื่น ไปช่วยเขาที่ไหนก็ตาม ขึ้นชื่อว่าการสะดุดหยุดยั้งผิดจังหวะไม่มีมีแต่ความสะดวกคล่องตัวอยู่เสมอ

    ดังนั้น ขอย้ำว่าถ้าเราใช้คาถาเป็น ส่วนใหญ่ทำไมใช้ไม่เป็นใช้ไม่ถูกกัน การใช้คาถาเป็นก็คือต้องวางกำลังใจให้เป็น การวางกำลังใจให้เป็นก็คือ ให้ตั้งใจว่า คาถานี้คือสมบัติวิเศษที่พ่อให้มา หน้าที่เราคือรักษาไว้ให้ดีที่สุดเท่าที่จะพึงดีได้ด้วยการเป็นคนที่ขยันท่องบ่นเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา อย่างสม่ำเสมอและจริงจังทุกวัน เรื่องของความสม่ำเสมอจริงจังเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ส่วนใหญ่มันทำ ๆ ทิ้ง ๆ กัน ในเมื่อเราตั้งใจทำถวายบูชาต่อท่านอย่างสม่ำเสมอและจริงจัง ผลพิเศษต่าง ๆ ก็จะเกิดขึ้นเอง แต่ถ้าเราทำเพื่อจะหวังผลพิเศษนั้น ตัวอยากที่บังหน้ามันจะตัดไปเกือบหมด

    อยากได้ไม่ใช่ความผิด แต่พออยาก ตั้งใจว่าต้องการอะไร แล้วลืมความอยากนั้นเสีย แล้วตั้งหน้าตั้งตาภาวนาไป นี่คือการใช้คาถาที่ถูก การปฏิบัติทุกอย่างเหมือนกัน อยากมันถึงทำ แต่ตัวอยากตัวนี้เป็นฉันทะ หลวงพ่อเรียกว่าธรรมฉันทะ คือ ความพอใจในธรรม ไม่ใช่ตัวตัณหา

    ตัวตัณหาเป็นการอยากได้ใคร่มีในลักษณะที่เรียกว่า ถ้าไม่ได้มา ผิดศีลผิดธรรมก็ยังเอา ตัวอยาก มีอยู่ในทุกธรรมะ แต่ว่าตัวอยากนี้เป็นตัวธรรมฉันทะคือพอใจในการปฏิบัติขณะเดียวกัน การปฏิบัติทุกอย่างอารมณ์อุเบกขาสำคัญที่สุด การปฏิบัติไม่ว่าจะทาน ศีล ภาวนา ถ้าขาดตัวอุเบกขาการปฏิบัตินั้นๆ เข้าไม่ถึงจุดสุดท้าย การให้ทานถ้าไม่รู้จักอุเบกขาปล่อยวางก็นั่งกลุ้มใจ ขอทานมันขอสตางค์ก็ให้มันไป ให้แล้วก็แล้วกัน เรารู้ว่าเขาต้องการก็ให้เขาไปเป็นการตัดความโลภของเรา ให้มันจบลงตรงนั้น นี่คือตัวอุเบกขา แต่ว่าให้แล้วก็ไปนั่งคิดต่อว่า เอ...มันจะหลอกเราหรือเปล่าหว่า ? มันเป็นแก๊งค์ขอทานประเภทที่เรียกว่าเดี๋ยวถึงเวลาก็เอาคนมาปล่อย ๆ ๆ ตามจุด แล้วก็ขอสตางค์เขาไปวัน ๆ หนึ่ง ถึงเวลามันกินดีอยู่ดีกว่าเราอีกหรือเปล่า ? ไอ้อย่างนี้ขาดอุเบกขา

    การรักษาศีลก็เช่นกัน ถ้าหากว่าขาดอุเบกขาขาดการปล่อยวางจริง ๆ การรักษาศีลมันก็รักษาไม่ได้ตลอด ไม่ฆ่าสัตว์แต่โกรธมันขึ้นมาก็อัดตุ้บเข้าให้ ไม่ตายหรอกแต่เจ็บ ดีไม่ดีก็สาหัสไปเลย
    ขาดอุเบกขา การภาวนายิ่งหนักเข้าไปใหญ่ ถ้าขาดตัวอุเบกขาคือการปล่อยวาง ไม่รู้จักวาระของมัน จะก้าวหน้าได้ยากมาก เราต้องทำใจว่าเรามีหน้าที่ภาวนา ผลพิเศษต่าง ๆ จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่เป็นเรื่องของเขา นี่คือการปล่อยในตัวอุเบกขา แต่ถ้าไปภาวนาตั้งใจอยากให้มันได้ อยากให้มันเป็น มันจะไม่ได้ มันจะไม่เป็น

    เหมือนกับเราปลูกต้นไม้ เรามีหน้าที่รดน้ำพรวนดินจับหนอนจับแมลงใส่ปุ๋ยดูแลก็ทำมันไป เราไม่มีหน้าที่ไปบังคับเขาออกดอกออกผล ลองไปจับมันดึงยอดดูสิมันจะออกไหม...? เฉาตายซะก่อน แต่ถ้าเรามีหน้าที่ทำของเราไปเรื่อย ด้วยการปล่อยวางและเชื่อมั่นในคุณพระรัตนตรัย เมื่อถึงเวลาดอกผลมันจะเกิดของมันเอง
    ...................................
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
    www.watthakhanun.com
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...