เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 24 มิถุนายน 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,386
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,529
    ค่าพลัง:
    +26,367
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,386
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,529
    ค่าพลัง:
    +26,367
    วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๒๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ ต้องบอกว่าวันนี้เป็นวันประวัติศาสตร์ที่ไม่น่าจดจำของชาวไทยเรา ก็คือเป็นวันที่ "คณะราษฎร์" ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข มาเป็นระบอบประชาธิปไตย แล้วก็เละเทะมาจนทุกวันนี้

    ความจริงจะว่าไปแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งเป็นผู้รู้รอบรู้จริงในทุกเรื่อง พระองค์ท่านตรัสถึงอธิปไตย คือความเป็นใหญ่ว่ามี

    อัตตาธิปไตย - ถือตนเป็นใหญ่ ซึ่งสมัยนี้บางคนใช้คำว่า "เผด็จการ"
    โลกาธิปไตย - ถือโลกเป็นใหญ่ ก็คือเสียงข้างมาก ที่สมัยนี้ใช้คำว่า "ประชาธิปไตย"
    ธรรมาธิปไตย - ถือธรรมเป็นใหญ่ ซึ่งมีแต่เรื่องดีทั้งสิ้น

    แต่พระองค์ท่านไม่เคยสรรเสริญ
    เป็นการเฉพาะว่า ระบอบการปกครองในลักษณะไหนดี เนื่องเพราะว่าระบอบปกครองทุกอย่างต้องมีธรรมาธิปไตยถึงจะดี

    อย่างเช่นถ้าเราดูว่าในเรื่องของสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ก็คืออำนาจสิทธิ์ขาดทั้งหมดอยู่ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ชี้เป็นชี้ตายได้ แล้วประเทศไทยสมัยรัชกาลที่ ๕ ทำไมถึงเจริญก้าวหน้ากว่าประเทศญี่ปุ่นอีก ? เป็นประเทศแรกในเอเชียที่มีรถไฟ แล้วความเจริญด้านต่าง ๆ ที่ยุโรปมี ไม่ว่าจะเป็นโทรเลข เป็นไฟฟ้า เป็นรถยนต์ หลั่งไหลกันเข้ามาในบ้านเราเมืองเรา นั่นก็คือเผด็จการแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แล้วท่านทั้งหลายลองพิจารณาดูว่าประชาธิปไตยในปัจจุบันนี้เป็นอย่างไร ? นอกจากเพื่อพวกพ้องและตัวกู..!

    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้สรรเสริญว่าระบอบการปกครองแบบใดดีอย่างแท้จริง เพราะว่าไม่ว่าจะเป็นระบอบไหนก็ขึ้นอยู่กับคน ถ้าหากว่าเป็นคนดีมีศีลมีธรรม เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน ก็สามารถที่จะสร้างความเจริญให้กับประเทศชาติบ้านเมืองในทุกที่ แต่ถ้าหากว่าขาดศีลขาดธรรม เห็นแก่พวกพ้องและตัวกู ก็จะเละเทะอย่างที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน

    ดังนั้น...ถ้าหากว่าเป็นการปกครองระบอบจักรพรรดิราช พระองค์ท่านตรัสถึงหลักจักรวรรดิวัตรเอาไว้ ว่าพระเจ้าจักรพรรดิต้องนั้นมีวัตรปฏิบัติแบบใดบ้าง ถึงจะสร้างความสุขให้แก่ชาวโลกได้ ถ้าหากว่าเป็นระบอบพระมหากษัตริย์ พระองค์ท่านก็ทรงตรัสถึงทศพิธราชธรรม ก็คือหลักธรรม ๑๐ อย่างที่องค์พระมหากษัตริย์จะต้องมี เพื่อที่จะสร้างความสุขให้แก่พสกนิกร

    แล้วถ้าหากว่าเป็นระบอบโลกาธิปไตย หรือว่าประชาธิปไตยในปัจจุบันนี้ พระองค์ท่านก็ตรัสว่าจะต้องมีหลักอปริหานิยธรรม ๗ แล้วท่านทั้งหลายลองเปรียบเทียบดูว่า ในปัจจุบันนี้บรรดาคณะผู้ปกครองของเรา ซึ่งทะเลาะเบาะแว้งตบตีกันอยู่ในสภานั้น มีหลักอปริหานิยธรรม ๗ หรือไม่ ? อย่างเช่นว่า "พร้อมเพรียงกันประชุม พร้อมเพรียงกันเลิกประชุม" ไม่ใช่กูไม่อยู่มึงช่วยสอดบัตรแทนที หรือว่าให้เคารพผู้เป็นประธานในการประชุม ไม่ใช่ไปยืนกอดอก เท้าเอว หรือชี้หน้าด่าท่านประธานที่เคารพ..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,386
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,529
    ค่าพลัง:
    +26,367
    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เรื่องของธรรมาธิปไตยจึงจำเป็นในทุกที่ คราวนี้คำว่าธรรมาธิปไตยนั้น เราเริ่มจากไหน ? เริ่มจากศีล ท่านทั้งหลายจะสังเกตว่าถ้าหากว่ามีแค่ศีล ๕ ไม่จำเป็นต้องมีกฎหมายอื่นก็ได้

    เพราะว่าเรื่องที่จะไปทะเลาะเบาะแว้งฆ่าฟันกันก็ไม่มี เรื่องที่จะไปลักขโมย หยิบฉวยช่วงชิงข้าวของที่เจ้าของไม่ได้ให้ก็ไม่มี เรื่องที่จะไปแย่งคู่ครองของเขา จนเกิดเรื่องอื้อฉาวขึ้นมาอย่างทุกวันนี้ก็ไม่มี เรื่องของการโกหกหลอกลวง แม้กระทั่งหลอกเงินแบบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ก็ไม่มี เรื่องของสุรายาเสพติดต่าง ๆ ก็ไม่มี กฎหมายแทบจะไม่จำเป็นต้องมีเลยก็ได้

    แล้วต่อไปก็คือการที่เราทั้งหลายอาศัยพื้นฐานของศีลปฏิบัติในสมาธิ เพื่อให้มีกำลังใจในการระงับยับยั้ง รัก โลภ โกรธ หลง ในใจของเรา จะได้ไม่เที่ยวไปโกงไปกินไปคอรัปชั่น แต่ว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ต้องมีหลักธรรมเข้ามาหนุนเสริม ก็คือ หิริ -โอตัปปะ รู้ละอายชั่วกลัวบาปด้วย ความละอายชั่วกลัวบาปจะทำให้เรารู้จักระงับยับยั้ง

    คราวนี้
    การระงับยับยั้งจะทำได้มากได้น้อย ก็ขึ้นอยู่กับกำลังสมาธิที่เราทำได้ แล้วหลังจากนั้นก็ใช้ปัญญาพิจารณาดู ให้เห็นว่าทุกคนล้วนแต่เป็นเพื่อนร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตาย รักสุขเกลียดทุกข์ด้วยกันทั้งสิ้น อะไรที่สามารถสร้างความสุขบรรเทาความทุกข์ให้กับประชาชนได้ ผู้ปกครองก็ต้องรีบทำ

    อย่างที่เราท่านจะได้เห็นกันมาตลอดในสมัยที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงบำเพ็ญกรณียกิจทุกอย่างเพื่อความสุขของพสกนิกรโดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ไม่มีคนจนคนรวยในสายตาของพระองค์ท่าน ไม่มีเชื้อชาติศาสนาในสายตาของพระองค์ท่าน มีแต่พสกนิกรที่พระองค์ท่านจำเป็นที่จะต้องประคับประคองให้เขาทั้งหลายเหล่านั้นพอมีพอกิน ถ้าสามารถที่จะร่ำรวยไปได้เลยก็ยิ่งดี จนกระทั่งกลายเป็น "ทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง" อันโด่งดังไปทั่วโลก

    ความจริงก็คือหลักธรรมในพระพุทธศาสนา ได้แก่ หลักสันโดษ ซึ่งพระองค์ท่านก็อธิบายชัดเจนว่า คำว่า พอเพียง ไม่ได้แปลว่าจน ใครที่คิดว่าหลักพอเพียงทำให้ประเทศชาติไม่เจริญ ไอ้นั่นไม่มีหัวแม่ตีนก็เลยไม่รู้จักคิด..! แถมยังไปเผยแพร่แนวคิดแบบนี้เป็นวงกว้างอีกต่างหาก
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,386
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,529
    ค่าพลัง:
    +26,367
    ดังนั้น..เรื่องพวกนี้หลอกได้เฉพาะคนโง่ขาดปัญญาเท่านั้น แต่ก็ไม่น่าเชื่อว่าบ้านเราเมืองเรา บุคคลที่ได้รับการศึกษาระดับครูระดับอาจารย์ จบปริญญาโทปริญญาเอก มีตำแหน่งทางวิชาการมากมาย กลับไปหลงกับการขายฝัน จนกระทั่งบ้านเมืองยับเยินวุ่นวายอยู่อย่างทุกวันนี้..!

    ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราจึงมีอยู่อย่างเดียวก็คือ รักษาตัวอยู่ด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา เมื่อตัวเรามั่นคงแล้ว ความเย็นจะบังเกิดขึ้น

    ท่านทั้งหลายจะเห็นว่า "แก๊งหมาหน้ากุฏิ" ของกระผม/อาตมภาพ พอถึงเวลาก็มาร่วมทำวัตรสวดมนต์ เจริญกรรมฐานทุกวัน
    สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ไม่รู้ว่านี่คือการทำวัตรสวดมนต์ ไม่รู้ว่านี่คือการเจริญกรรมฐาน แต่เขารู้ว่าถ้าทำอย่างนี้แล้วเขาจะเย็น เขาจะมีความสุข แล้วไม่ใช่ตามกระผม/อาตมภาพมา เขามาก่อนเวลา ให้หัดสังเกตว่า แม้กระผม/อาตมภาพยังไม่มา เขาก็มานอนรอกันเป็นแถวแล้ว..!

    ในเมื่อเราเองถ้าหากว่ามั่นคง มีความเยือกเย็น ก็จะเป็นที่พึ่งของตนได้ อย่างที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า "เรามีตัวเองเป็นเกาะ เรามีตัวเองเป็นฝั่ง" หลังจากนั้นเราก็จะช่วยเหลือคนอื่นได้ ถ้าอยู่แค่ในเกาะก็ช่วยเหลือคนได้น้อย เพราะว่าเกาะมีขนาดใหญ่เล็กไม่เท่ากัน แต่ถ้าอยู่บนฝั่ง คนที่ลอยคออยู่ในน้ำมีเท่าไรเราสามารถช่วยเขาได้ทั้งหมด

    จึงเป็นเรื่องที่เราทั้งหลายต้องรีบสร้างความมั่นคงให้แก่ตนเองด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา เพื่อที่อย่างน้อย ๆ ถึงเวลาประเทศชาติเดือดร้อนหรือว่าโลกเดือดร้อน เราจะได้เป็นเกาะ จะได้เป็นฝั่งให้คนเขาอาศัยได้ ไม่ใช่ให้คนตั้งคำถามว่า "พระมีประโยชน์อะไรคะ ?" ซึ่งเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ไม่ควรจะเกิดขึ้นในสังคมไทยของเรา ที่ถือพระพุทธศาสนาเป็นส่วนมากเสียด้วยซ้ำไป

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุ สามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันจันทร์ที่ ๒๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...