สารพันปัญหา ตอบโดยคุณ nopphakan

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย รูปติดบัตร, 26 พฤศจิกายน 2016.

  1. ต้นธีรนัย

    ต้นธีรนัย สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2022
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +3
    ขอบพระคุณมากครับ ตอนนี้หันมาเจริญสติในชีวิตประจำวันไห้มากขึ้นครับ
     
  2. atitarn2009

    atitarn2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +262
    สวัสดีค่ะท่านนพ รบกวนสอบถามค่ะ

    ขอท้าวความก่อนนะคะ ก่อนหน้านี้เจอสภาวะนี้ค่ะ

    คือหลังออกจากสมาธิ ลุกไปห้องน้ำ จิตใจยังสงบอยู่
    มีคำถามเกิดขึ้นในใจว่า เราก็วางอะไรไปหลายอย่าง แต่ความทุกข์ที่เกิดจากการอยากพ้นทุกข์มันทรมานเราแทนเพราะอะไรนะ

    แล้วมันรู้สึกขึ้นมาว่า ก็ตัวที่สร้างขึ้นมาใหม่นี้ไงที่ยึดอยู่ คือตัวปฏิบัตินี่แหละ พออธิบายเป็นคำพุดได้ประมาณนี้ค่ะ
    แล้วมันก็รู้สึกว่าทุกอย่างดับหมด(เลยหลับตาเพื่อไปรับรุ้) มันเป็นความว่างที่รู้ขึ้นมา ไม่มีแสง ไม่มีสี จากการที่ทุกอย่างดับหมด
    แล้วรู้แช่ซักระยะนึงค่ะไม่นานมาก ก็ลืมตานั่งนิ่งอยู่พักนึงยังรู้สึกว่างๆอยู่
    พอเริ่มขยับร่างกาย ลุกขึ้นมันเริ่มรู้สึกถึงร่างกาย ความคิดความจำอะไรเหมือนเริ่มดูดกลับเข้ามาประกอบกันใหม่
    ความคิดแรก คือ อึ้ง งง งงว่า แล้วต้องยังไงต่ออ่ะ แล้วต้องทำไงต่อในเมื่อมันไม่มีไร ตัวที่ปฏิบัติก็สร้างเป็นตัวตนใหม่ขึ้นมา แล้วถ้าวางมันก็ไม่ต้องทำไรสิ อาวแล้วจะยังไงต่อ ช่างมันก็ดูไปว่ามันจะยังไงต่อของมันเองแล้วกัน
    แต่มีเอ๊ะนิดนึงค่ะ คือมันรู้อยู่ แต่ไม่มีอาการเปิดกว้าง แล้วก็วางความคิดนั้นไปก่อนค่ะ เดี๋ยวค่อยรู้ไปเองแหละ

    หลังจากนั้นมันก็ไม่ยอมฟังธรรม ไม่ยอมนั่ง ไม่ยอมทำไร ปล่อยจิตทำงานตามที่ขันธ์ 5 นี้เป็นไปเลยค่ะ จนมันรู้สึกไม่เอาละสภาพแวดล้อมแบบที่ทำงาน ไม่เบียดเบียนใคร เลยขอออกมาเอง(แต่รู้สึกได้ว่าเหมือนมันยังไม่อโหสิจริงๆยังโผล่คิดว่าเพราะคนนั้นเราเลยมาอยู่จุดนี้) ใจนึงก็รู้ว่าไม่ใช่ ทุกอย่างเป็นเพราะเราเลือกเองตัดสินเอง มันเป็นไปตามกรรม

    หลังจากเจอสภาวะตัวตนดับหมด ช่วงแรกๆก็ไม่ได้นำมาน้อมนึกย้อนไปนะคะ ผ่านไปซักพักถึงมาย้อนนึกในชีวิตประจำวันเรื่อยๆ แล้วก็เริ่มฝึกขยายให้กว้างขึ้น เห็นอาการขยายออก หุบกลับเวลามีการจดจ่อหรือบจับอารมณ์ ขยายออกเวลาไม่ยึดเกาะไม่จับอะไร พอทำบ่อยความรู้สึกว่าไม่ใช่ตัวตนมันยิ่งชัด พอยิ่งชัดยิ่งสับสนว่าแล้วต้องทำอะไรต่อ

    ปฏิบัติมา เพื่อจะมาถึงจุดนี้เหรอ ความรู้ปัญญาอะไรที่เคยยึดไว้ที่คิดว่าตัวเองรู้มากขึ้นเข้าใจมากขึ้นจะเอามาช่วยผู้อื่นก็หายหัวไปไหนหมดรู้สึกเหมือนดึงกลับมาไม่ได้ ช่วงแรกๆมันหายไปไม่เหลือเลยค่ะ ( เคยอธิษฐานจิตไว้ก่อนเริ่มปฏิบัติ ว่าอยากช่วยผู้อื่นต่อไป ถ้าวันนึงช่วยตัวเองได้แล้ว)
    อยากทำคลิปแนะนำการปฏิบัติง่ายๆ มันก็ไม่ยอมย้อนนึก ตอนนี้เลยไม่รุ้จะยังไงต่อกับชีวิตอยู่ค่ะ
    อาการเหมือนค้างๆอยู่ ตรงไม่มีตัวตน พอเริ่มสร้างขึ้นใหม่ ไม่วายไอตัวความเคยชินที่มีประจำขันธ์มันก็แอบโผล่หัวมาเป็นระยะๆ อยู่ดี
    มันเหมือนซ้อนกันสลับกันอยู่ ระหว่าง ตัวตนเก่า ความว่าง ตัวตนใหม่ที่พยายามสร้างด้วยองค์ประกอบด้านดี(ตัวนี้กำลังน้อยสุด) เหมือนมันไม่ค่อยเสถียรค่ะ

    1.อยากทราบว่า มีอะไรที่ต้องทำต่อ ให้บ่อยขึ้น มากขึ้น แล้วจะส่งผลกับทางโลกอย่างไรด้วยค่ะ(ยังต้องหาเงิน ทางโลกยังต้องรับผิดชอบ)
    2.ที่เคยอธิษฐานไว้ว่าเข้าใจแล้วจะช่วยผู้อื่นต่อ จะได้ทำมั้ย ทำไมตอนนี้รุ้สึกมันยากจังคะติดอะไร (ตกงานทำให้บางครั้งฟุ้งซ่าน กังวล เคยหาเงินได้รับผิดชอบอะไรได้ ตอนนี้ทำไม่ได้มันเลยมารบกวนจิตใจอยู่ด้วยค่ะ)

    ขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ_/\_
     
  3. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,044
    ถ้ามันจะรู้ ปล่อยให้มันรู้ๆไป
    แต่อย่าไปอะไรๆกับมัน
    ถ้ามันไม่รู้อะไรก็ช่างมัน
    และไม่ต้องไปอะไรๆกับมัน
    ปล่อยให้มันรู้ไป ทิ้งไป
    ไม่อะไรกับมัน
    อย่าไปคิด อย่าใช้ความพยายาม
    ในการเข้าไปรู้ อย่าใช้ความเห็นในการตีความ มันมีของมันอยู่แล้ว
    มันเกิดๆดับๆของมันอยู่แล้ว
    เด่วจะเผลอไปยึด
    จนกลายเป็นตัวเองโดยที่ไม่รู้ตัว
    มันจะทำให้เราทุกข์

    ...บางอย่างไม่ควรไปเล่น
    ไม่ควรไปมี..
    ถ้ามันไม่มีประโยชน์ต่อตัวเรา
    หรือมีประโยชน์ต่อคนอื่นๆ.
    ให้เฉยๆ ไม่ต้องสนใจ
    ...ถ้ามันจะมีก็ปล่อยให้มันเป็นไป
    ของมันเอง ให้เป็นไปตามเนื้อหาเดิมแท้ของจิต...

    เครเนาะ
     
  4. atitarn2009

    atitarn2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +262
    สาธุ ค่ะ_/\_ ขอบพระคุณค่ะท่าน

    ...บางอย่างไม่ควรไปเล่น
    ไม่ควรไปมี..
    ถ้ามันไม่มีประโยชน์ต่อตัวเรา
    หรือมีประโยชน์ต่อคนอื่นๆ.
    ให้เฉยๆ ไม่ต้องสนใจ

    รบกวนช่วยยกตัวอย่างให้หน่อย่ค่ะ อย่างเช่น อะไรบ้างคะ....................._/\_
     
  5. atitarn2009

    atitarn2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +262
    อ้อๆ ถ้าเมื่อไหร่เข้าไปยุ่งกับมัน ตัวตนจะเกิด แล้วพอตัวตนเกิด มันก็เป็นธรรมดาที่ความเคยชิน การตอบสนองแบบเก่าๆจะโผล่มา

    ก็เลยต้องปล่อยให้มันเป็นของมันเอง ไปตามเนื้อหาเดิมแท้ของมัน ไม่ต้องไปพยายามทำอะไร สร้างอะไร เพราะถ้ามีการทำ จะมีตัวตนขึ้นมาอีก ธรรมชาติเดิมแท้ก็ทำงานของมันไม่ได้ เข้าใจประมาณนี้เครมั้ยคะ :) _/\_
     
  6. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,044
    ประมานนี้หละ

    ตย. ทางภายใน เรื่องสิ่งที่ไปรู้บางเรื่อง ไม่จำเป็นต้องให้ใครรู้เหมือนเรา รู้ของเราคนเดียวพอ และเราเองก็ไม่ควรไปสน ในมุมที่ไม่มีประโยชน์ สมมุติ เห็นผี เราอุทิศ ไป ต่อมา เราหาสาเหตุได้ว่าทำไมเราเห็น เราทิ้งไม่สนใจได้ในเวลาต่อมาไม่ว่าเห็นอะไร แบบนี้มีประโยชน์ต่อภพภูมิ ได้บารมีต่อตน และได้ทางปัญญา ,ไม่ใช่มีใครเคยเห็นไหม เอาไปถาม เอาไปคุย ไปสงสัยว่าเค้าเป็นใคร มาจากไหน พวกนี้ไม่ได้ประโยชน์อะไร ,หรือ ตย. สมาธิ เช่น ของเก่าเรื่องนี้ เจอสภาวะนี้ ไม่จำเป็นต้องไปต่อยอด ไปสนใจ เพื่อให้ได้ผลทางสมาธิฝ่ายเดียว ควรเอากพลังมาหนุนวิปัสสนาจะมีประโยชน์ทางธรรม ทำให้ใจเราดีขึ้น ,ไม่ใช่ไปต่อยอด จะกลายเป็น ฉันเป็นผู้ทำได้ ผู้วิเศษ เป็นผู้รู้สิ่งที่รู้ยาก ทำได้ยาก มีความสามารถเหนือคนทั่วไป พวกนี้เป็นอัตตา ไร้สาระ ไม่มีประโยชน์ เป็นต้น
     
  7. ต้นธีรนัย

    ต้นธีรนัย สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2022
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +3
    สวัสดีครับ ขออนุญาตสอบถามครับ ผมเจนิญสติและทำสมาธิก่อนนอนทุกวัน ตอนนี้ผมติดนิมิตร เหมือนเงาใบไม้สีดำไม่แน่ใจว่าใบไม้หรือไม่แต่คล้ายรูปใบไม้เงาสีดำ ไหวๆไหวๆ เห็นเยอะ เวลาออกจากสมาธิก็ยังเห็นทั้งที่ลืมตาอยู่สักพัก ผมติดแบบนี้มาหลายเดือนเกือบทุกวันครับ ไม่ไปไหนเลย ไม่ทราบว่าคืออะไรครับ ต้องแก้ปัญหาอย่างไร ขอบคุณครับ
     
  8. Mhokhala

    Mhokhala สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2022
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +4
    สวัสดีครับ
    อยากรบกวนสอบถามเรื่องการปฏิบัติเพิ่มเติม
    จริตผม ช่วงต้น ถ้าไปแนวทาง การสวดมหาจักรพรรดิ แล้วจ้องภาพ ลป วัดสะแกได้รึปล่าวครับ(หรือควรเป็นท่านไหนดีครับ) หรือสังเกตลม อานาปานสติ แบบไหนจะก้าวหน้า ได้ดีกว่ากันครับ อยากจะฝึกทิพจักขุและความสามารถทางจิตอื่นๆด้วย รู้สึกจิตมันชอบครับ ไม่ได้อยากเท่ห์ แต่จิตมันสนใจแต่อะไรพวกนี้ผมก็ไม่เข้าใจตัวเอง ทำมาสักพักแต่ยังรู้สึกไม่คืบหน้าเท่าที่ควรครับ ขอคำแนะนำเพิ่มเติมครับ
     
  9. Higtmax

    Higtmax เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    2,342
    ค่าพลัง:
    +4,818
    เห็นพี่นพ พูดถึงสัญญาจรบ่อยๆ วันนี้ เห็น เพจ
    วัดป่าธรรมอุทยาน โพสต์ ธรรมะ ของ หลวงพ่อ ก อ่านดู แล้วก็พบว่า สอดคล้องกัน

     
  10. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,044
    สวัสดีครับ
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,722
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    ดีใจจังที่กลับมา กราบสวัสดีเจ้าค่ะ
     
  12. Higtmax

    Higtmax เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    2,342
    ค่าพลัง:
    +4,818
    หายไปเป็นปีเลยนะครับ
     
  13. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,044
    นิทาน 2024
    -นิวทรีโน ,อนุภาคผี ,กระแสในโหมดอรูปฌาน(เห็นได้ด้วยตาเปล่า ถ้ารู้ทริค),เครื่อง LSC องค์กรเซินส์ใช้เพื่อค้นหา ทั้งหมดคือสิ่งเดียวกัน
    -กระแสพลังงานตามแนวกระดูก หากเอียงไม่เกิน ๓๐ องศา หรือ หมุนวนมั่วๆแนวตั้ง ยังสามารถจับดัดให้ตรงได้ จะอยู่ต่อได้อีกกี่ปีขึ้นอยู่กับพฤติกรรมแห่งตน, หากองศามากกว่านี้ ต้องอาศัยกำลังบุญใหญ่มาหนุนแล้วค่อยว่ากันอีกที,แต่เมื่อใดขนานพื้นให้เตรียมจองศาลาไว้ เพราะแม้แต่ท่านยมฯ มาเองก็ช่วยไม่ได้
    -ที่โผล่พ้นข้างล่างมารับบุญได้ครึ่งตัวในวันโกน และต้องมาลุ้นอีกทีว่าจะได้รับหรือไม่ ส่วนหนึ่งมาจากการใช้อุบายหลอกลวงทรัพย์ผู้อื่น ให้ระวังอย่าคิดหรือไปมีส่วนร่วมทำ
    -ปริมาณใบชาฤาษีคืนชีพ ๕ ใบต่อน้ำ ๑ แก้วต้มได้จนน้ำจางมากถึงเปลี่ยน กินแทนน้ำเปล่า ๓ เดือนจะหาไขมันในเส้นเลือดไม่เจอ หากมีผดสิวขึ้นระหว่างนี้หลังจากกินให้ตามด้วยตามเปล่ามากๆได้
    -จะใช้จิตไม่ว่ากรณีใดๆให้อฐิษฐานพระฯครอบกายก่อนจะครอบคลุมและปลอกภัยที่สุด
    -เป็นฮีทสโตรกมา ให้จิ๊บน้ำอุ่น(ห้ามเด็ดขาดคือน้ำเย็น หรือทานน้ำอุ่นทีเดียวปริมาณมากทีเดียว) ร่วมกับเดินเหยียบดิน ๖ เดือนจะกลับมาเหมือนปกติได้เอง แต่ถ้าเป็นร่วมกับไตให้ทานอาหารเน้นจืดอย่างเดียวระนะเวลาใกล้เคียงกัน
    -เป็นไตค่าไตน้อย แต่ยังไม่เคยฟอก ตัดอ้อยดำเหนือข้อต่อบนล่าง ๑ นิ้ว /น้ำ ๑ ลิตร ต้มกินแทนน้ำ(ต้มได้ ๕ รอบถึงเปลี่ยน) อย่างน้อย ๓ เดือนจะกลับมาแทบปกติได้ ส่วนเบาหวานความดันให้เปลี่ยนเป็นอ้อยแดงอื่นๆเหมือนกัน
    -ไขมันฟอกตับ ต้มใบเก๊กฮวย หนึ่งกำมือ/น้ำ ๑ ลิตร เช้า ๑ แก้ว เย็น ๑ แก้ว ๒ เดือนขึ้นไป ไขมันที่ตับจะหาไม่เจอ
    -อายุมากกระดูกพรุนแล้ว น้ำมะพร้าว ๑๐ ลูกเคี่ยวจนเหลือปริมาณ ๑ ลูกน้ำมาทานวดๆด้วยมือจะเบาเทาอาการได้ แต่ถ้าจะเพิ่มมวลกระดูกให้แข็งแรง น้ำมะพร้าวสกัดเย็น ๑๐ / พิมเสน ๑ ผสมให้เข้ากัน น้ำมาทานวดด้วยไม้เนื้อแข็งเท่านั้น(ห้ามใช้มือ)
    จบนิทาน แค่เพียงแต่เล่าให้ฟัง 2024
    Cr.ท่านปฏิสัมภิทาฯจิตไว
     
  14. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,044
    ปกติไม่ค่อยสอนสมาธิเท่าไหร่แล้ว ส่วนมากที่แนะนำเป็นเรื่อง
    ระบบการหายใจ รูปแบบการฝึกที่เหมาะสมสำหรับบุคคลนั้นๆ
    (มีหลายคนที่แนะนำว่าอย่าพึ่งฝึกก็มี)
    และก็ช่วยปรับ ระบบแรงในร่างกาย
    สำหรับการไปพัฒนาต่อเอง หรือ บางกรณีก็พอใช้งานเลย(มีน้อย)
     
  15. Suryar

    Suryar ขอบคุณเพื่อนสมาชิกทุกท่าน

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2018
    โพสต์:
    3,044
    ค่าพลัง:
    +722
    ขอบคุณนะคะ
     
  16. maxmi

    maxmi แม็กคับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2017
    โพสต์:
    479
    ค่าพลัง:
    +1,205
    การเปิดตาที่สาม มีผลดีผลเสียอย่างไรบ้างครับ คนที่จะรับการเปิดต้องมีการฝึกสมาธิมาก่อนหรือเปล่า หรือถ้ามีคนเปิดให้ได้ก็สามารถเปิดได้เลยครับ เปิดได้ทุกคนหรือเปล่าครับ
     
  17. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,044
    ควรอ่านทำความเข้าใจให้ดี ไม่งั้นจะเกิดกิริยา วก วน คุณภาพทางจิตจะยัง
    ไม่พัฒนาไปถึงจุดที่ควรจะเป็น ไม่ว่าเวลาจะผ่านมากี่ปีแล้วก็ตาม...
    ดังนั้นให้จับประเด็นให้ดีๆ อย่าด่วนสรุป และพิจารณาให้รอบคอบ


    ตาที่สามไม่ใช่เพียงความสามารถในการมองเห็นนามธรรมต่างๆได้
    แต่ประเด็นที่สำคัญไม่ใช่สิ่งที่เห็นว่าเป็นอะไร คืออะไร ซึ่งส่งผลต่อการยึดติดได้อย่างไม่รู้ตัว
    แต่เบื้องต้นคือวัตถุประสงค์อะไรจึงเห็นสิ่งนั้น จะส่งผลต่อพฤติกรรมต่างๆในเวลาต่อมา
    และที่จะเป็นประโยชน์ต่อมา สิ่งที่เห็นนั้นเกิดจากอะไร ทำไมถึงเห็นอย่างนั้น
    ถึงจะเกิดประโยชน์ทางด้านปัญญาทางธรรม ที่เป็นพื้นฐานไปถึง
    ปัญญาญานที่จะช่วยส่งเสริมให้เดินไปถึงการเข้าถึงต้นตอการเกิดเรื่องนั้นๆ
    พูดอีกอย่างก็คือ การรอบรู้ในกองสังขารนั้นเอง.... เข้าใจภาพรวมจุดนี้เอาไว้ก่อน


    ทั่วไป
    กลุ่มบุคคลที่เกิดมาสามารถเห็นนามธรรมได้เลยโดยไม่ต้องฝึกอะไรเลย
    มักจะมาพร้อมกับความสามารถในการสื่อสารร่วมด้วย เรียกว่า วิถีญาน
    หรือญานวิถีก็ได้ ซึ่งไม่ใช่ตัวบุคคลนั้น แต่เป็นดวงจิตของบุคคลนั้นชอบอย่างนี้
    จะไม่สามาถอธิบายวิธีการฝึกได้ นี้คือกลุ่มแรก
    กลุ่มนี้มีหลายบุคคล มักจะไปจบที่โรงบาลฯจิตเวชฯ
    แต่ไม่ได้บ้า แต่คนภายนอกจะมองว่าเค้าแปลก
    และเพียงแต่เค้าขาดความสามารถในการหายตัว "ในด้านญานวิถี"
    คือ บางทีแยกไม่ออกว่าใครคือผี คือ คน พอเข้าใจนะ
    และมักไปรู้เรื่องต่างๆภายนอก รู้ไปรู้มา กลายเป็นเหมือนกับเรื่องตัวเอง
    แต่เมื่อได้มาฝึกเจริญสติอย่างต่อเนื่อง จนมีสมาธิสะสมเพียงพอ
    มักจะไปทาง โปรดสรรพสัตว์ นิยมไปทางมหายาน
    ท่านที่เก่งมากๆ เนื่องจากพื้นฐานในการเข้าถึงสัมผัสนามธรรม
    ที่มีมากกว่าคนปฏิบัติทั่วไป เรามักเรียกดวงจิตเหล่านี้ว่า "ผู้โปรด"
    และความสามารถอะไรก็ตามหากไม่ได้ใช้(ส่งเสริมการโปรด) มันจะถูกปิดไปเอง




    กลุ่มต่อมา คือ กลุ่มที่ฝึกปฏิบัติที่เน้นทางด้านปัญญาเป็นหลัก
    แม้เห็นนามธรรมต่างๆ แต่ก็จะไม่ได้ให้ความสำคัญอะไร
    เพราะมองเป็นเรื่องยึดไม่ได้ ในระดับนี้กลุ่มนี้ยังถือว่าปลอดภัย
    เพราะไม่ว่า จะเกิดความสามารถใดๆก็ตามขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้ยึดติดอะไร


    อีกกลุ่มที่เน้นทางสมาธิเป็นหลัก ข้อเสียคือ มักจะยึดติดนามธรรมโดยไม่รู้ตัวเพราะว่า
    ดูเหมือนไม่ยึด แต่จะทำให้ไม่สนใจเรื่องสติเรื่องปัญญา เราเรียกกิริยานี้ว่า "กิเลสธรรม"
    ถ้าหากว่า "ตัวจิตยังไม่สามารถคลายตัวเองได้ตามธรรมชาติ"
    ซึ่งเกิดจาก การเจริญสติในชีวิตประจำวันอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าวิธีอะไรก็ตาม
    ขอให้มีฐานอยู่ที่กาย จนมี กำลังสติทางธรรมเพียงพอ
    ที่จะมองเห็น ๑.ตัวความคิด(หรือความคิดที่เกิดจากจิต)มันกำลังขึ้นมาจากตัวจิต
    หรือ ๒.มองเห็นตัวขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม(หรือ ความคิดที่ผุดขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ หรือ
    กระแสแหย่(สายญานวิถีเรียกแบบนี้)หรือ(วิบากกรรม สายป่าเรียก)หรือ กระแสจร(ทั้งญานวิถี
    และสายพลังงานเรียก) ที่กล่าวมานี้คือตัวเดียวกัน ก่อนที่มันจะเข้ามารวมกับตัวจิต
    อย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ว่า ข้อ ๑ หรือ ข้อ ๒ จะเกิดกิริยาที่เรียกว่า "แยกรูปแยกนาม"
    ไม่ใช่แยกร่างกาย กับ ตัวจิตนะ แต่หมายถึง เห็นได้ว่า ตัวจิต ความคิด ขันธ์ ส่วนนามธรรม
    ที่เป็นฝ่ายอารมย์นั้น เป็นคนละตัวกัน ความเห็นชอบหรือสัมมาทิฐิ ก็จะเปิดทางให้
    เดินปัญญาได้ โดยที่ไม่เป็นเพียงปัญญาสุมมุติหรือ เป็นวิปัสนึก และเดินปัญญาไปอีกซักระยะ
    เพราะจะเข้าใจกิริยาจิตเป็นกลางที่เอื้อต่อการเดินปัญญาได้นั่นเอง จนกระทั้งจิตคลายตัวเองได้
    ในเบื้องต้น จนเป็นเหตุให้จิตคลายตัวเองได้ ตามธรรมชาติในลำดับต่อมา
    ถึงจะไม่ยึดติดและเข้าใจนามธรรมต่างๆได้อย่างถูกต้อง ถึงจะไม่ยึดนามธรรมใดๆ


    กลุ่มต่อมา คือกลุ่มที่มีพื้นฐานทางสมาธิบ้าง เน้นปัญญามาบ้าง
    และมีสมดุลย์ทางสมาธิและปัญญาที่เกื้อหนุนกัน ส่งผลให้จิตใจ
    มีความละเอียดขึ้นตามลำดับ ความสามารถในการรับรู้นามธรรมต่างๆ
    ก็จะดีขึ้นตามลำดับอย่างมีนัยยะสำคัญ แต่มักจะไม่ได้ไปให้ความ
    สนใจหรือยึดถือแต่อย่างใด


    กลุ่มดวงจิต ที่บรรลุธรรม(ไม่ใช่จากการนั่งสมาธิอย่างเดียว เพราะนับตั้งแต่
    ยุคพุทธกาลยังไม่มีปรากฏว่ามีดวงจิตใดๆที่นั่งสมาธิอย่างเดียวจะสามารถบรรลุธรรมได้
    ตัวอย่างมีให้เห็นดังที่ปรากฏแต่ปัจจุบัน ยังมีกลุ่มบุคคลเข้าใจว่านั่งสมาธิบรรลุธรรมได้
    ให้นึกถึง ตย.ในอดีต สาวกฯบางท่านที่ได้ฟัง คำว่า "ฑี ฆะ นะ ฃะ" หรือ บางท่านที่บรรลุ
    ก่อนที่จะนอนลง เป็นต้น ฯลฯ แต่ไม่ได้หมายความว่า ท่านเหล่านั้นไม่มีพื้นฐานสมาธิมาเลย
    และมักพบว่า มักจะมีพื้นฐานสมาธิที่ดีร่วมด้วย) จะมีเอกลักษณ์อย่างหนึ่งคือ
    จะมาพร้อมกับความสามารถต่างๆ ตามที่ดวงจิตท่านได้สะสมมา ให้ใช้งานได้
    ปกติในชีวิตประจำวัน ส่วนมากจะพบในรูปแบบ พระสงฆ์ พระเกจิ มากความสามารถ


    อีกกลุ่มที่มาทางสายพลังงานภายในและภายนอก หรือ สายจักระ หรือ สายพลังงาน
    จักระต่างๆ นั้น ควรเข้าใจก่อนว่า ไม่ใช่พุทธศาสนา แต่หากได้ศึกษาจะพบว่า เป็น
    ๑ ใน ๑๘ ของวิชาพราหมณ์ในอดีต แต่ก็ยังอาศัยพึ่งพากันอยู่ในบางส่วนของพุทธฯ
    เป็นกลุ่มที่มีความโดดเด่น ความเข้าใจในเรื่องของ เส้นสายพลังงาน เช่น การจัดเรียง
    เส้นสายพลังงาน(ทำให้ฝึกสมาธิได้เร็วขึ้น) การเชื่อมกระแสต่างๆ(ส่งตัววิญญานจากตัวจิต
    ออกไปเชื่อมเพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ การเข้าถึงรูปแบบพลังงานที่ซับซ้อนต่างๆ แต่ก็
    มีข้อที่ต้องระวังเนื่องจากอาจถูกแทรกจากพลังงานไม่ดีภายนอกได้เช่นเดียวกัน
    หากกำลังสมาธิสะสมไม่เพียงพอ ไม่มีเครื่องป้องกันตนเองที่ดี และก็อาจจะยึดติด
    ในเรื่องพิเศษต่างๆได้ง่าย โดยที่อ้างอิงหลักการศาสนาต่างๆ แต่พฤติกรรมมักตรงข้าม
    (ซึ่งจะไปคล้ายคลึงกับสายอสูรกายบำเพ็ญ)
    สายนี้ มักจะกล่าวถึงเรื่องการเปิดตาที่สาม แต่วัตถุประสงค์จะแตกต่างไปจากในบทความ
    บริษทแรกที่ได้กล่าวมาแล้วต้น ดังนั้นจึงต้องมีความระมัดระวังและพึ่งพิจารณาให้ดี
    สำหรับการเข้าไปเกี่ยวข้องกับลักษณะการปฏิบัติตามวิถีนี้


    อีกกลุ่มที่อยู่มานาน เรียกว่า สายท้องถิ่น หรือสายวิญญานพื้นเมือง หรือ ผีเฉพาะทาง
    ที่สืบๆทอดต่อๆกัน มาทางบรรพบรุษ สายนี้เป็นสายที่เกิดก่อนพุทธศาสนาและมีจำนวนมาก
    ที่สุดในสมัยก่อน ณ ปัจจุบันนี้ ยังพบว่า มีการสืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน
    ทางสายนี้ เรียกแตกต่างกันไปตามพื้นที่ มักมีคำกล่าวว่า ผีเห็นผี หรือ ผีมักจะคุยกับผีรู้เรื่อง
    ก็มาจากกลุ่มนี้นั่นเอ


    โดยสรุป ที่มาของการมองเห็นได้คล้ายมีตาทิพย์ หรือ ตาที่สามนั้น
    (กิริยาตาทิพย์ไม่ใช่คุณสมบัติของมนุษย์ มีแต่เห็นได้คล้ายตาทิพย์)
    ๑.เกิดขึ้นได้เองโดยไม่ต้องฝึกอะไรมาเลย บวกกับความสามารถในการสื่อสาร
    เรียกว่า สายวิถีญาน หรือ ญานวิถี

    ๒.เกิดขึ้นได้โดยไม่เคยฝึก หรือ เคยฝึกมาบ้าง จากปัจจัยหลักดังนี้ ๒.๑ ภายในส่งไปรับรู้ และรับรู้ได้เอง(เกิดขึ้นได้ทั้งแบบตั้งใจและไม่ตั้งใจ) ๒.๒ ภายนอกส่งเข้ามา(มีทั้งตั้งใจ และไม่ได้ตั้งใจคือส่งเป็นปกติอยู่แล้ว) และ ทั้ง ๒.๑ และ ๒.๒ ร่วมกัน โดยปกติผู้ปฏิบัติ มักจะเจอในลักษณะ
    ที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่ว่าภายในส่งออกไปกระทบภายนอก และภายนอกส่งเข้ามาแล้วภายในรับรู้ได้ ส่วนกรณี ที่ตั้งใจส่งออกไป หรือ ภายนอกส่งเข้ามาแล้วตั้งใจรับ
    เป็นกรณี ของ สายญานวิถี สายที่ปฏิบัติตนเองจนจิตมีความละเอียดดีแล้ว หรือสายที่เป็น
    วิชาเฉพาะเช่น วิชาเฉพาะมีชื่อของ อดีต ลพ.ที่จังหวัด อุทัยธานีเป็นต้น

    ๓.ค่อยๆเกิดขึ้นเองตามความละเอียดของจิต ซึ่งเป็นผลโดยตรงมาจากเรื่องของปัญญาทางธรรม
    หรือการปฏิบัติธรรมอะไร สายไหน ก็ตาม ที่ทำให้จิตใจดีขึ้น ละเอียดขึ้น ส่งผลให้การ
    อยู่ร่วมกับสังคมสภาพแวดล้อมได้ดีขึ้น พูดง่ายๆว่า นิสัยโดยรวม ณ เวลานั้นดีขึ้นกว่า
    ตอนที่ยังไม่ได้ปฏิบัตินั้นเอง

    ๔.บรรลุธรรม มักไม่ใช่วิสัยจิตของฆารวาส ย้ำว่า ดวงจิตที่บรรลุธรรม จะมาพร้อมกับความ
    สามารถที่จิตเคยสะสมมา ให้ขึ้นมาใช้งานได้ในชีวิตประจำวัน และย้ำว่า ไม่ใช่มาจากการนั่ง
    สมาธิอย่างเดียว แต่จำเป็นต้องมีฐานสมาธิ(หากกำลังไม่พอ จะมีปัญหาในการย้อนค้น
    ไปถึงต้นตอการเกิดเรื่องนั้นๆ) และการเดินปัญญาหรือการวิปัสสนาร่วมด้วย


    ข้อสังเกตุ ๑. หากไม่ได้เดินปัญญามาก่อน หรือ จิตไม่เคยคลายตัวเองมาก่อนได้เอง
    ตามธรรมชาติแล้ว หรือ จิตแยกรูปแยกนาม และเดินปํญญาไปแล้วในระดับที่ไม่ยึดติดนามธรรมโอกาสจะเผลอไปยึดติดนามธรรม โดยเฉพาะในเรื่องพิเศษ ค่อนข้างสูง แม้ว่าพฤติกรรม
    จะดูเหมือนไม่ยึด แต่มักจะไม่ให้ความสำคัญกับเรื่อง การเจริญสติ การเดินปัญญา
    มีคำเรียกพฤติกรรมแบบนี้ว่า "กิเลสธรรม"

    ๒. หากกำลังสมาธิสะสมไม่เพียงพอ โอกาสจะถูกพลังงานภายนอกไม่ดี เข้ามาแทรกแซง
    ได้สูงมาก (ไม่สามารถควบคุมตนเองได้ รวมทั้งขณะเกิดเหตุการณ์ใดๆ ไม่สามารถจำได้
    หรือไม่นึกว่า มีเหตุการณ์นั้นเคยเกิดขึ้นกับตนเอง)ซึ่งจะคล้ายกับกรณีร่างทรง ซึ่งไม่ใช่
    กรณีที่พอมีสมาธิบ้างเล็กน้อย แล้วไปเห็น ไปได้ยินนามธรรม และไปน้อมเข้ามาจนกลาย
    เป็นตนเอง ซึ่งพฤติกรรมจะคล้ายร่างทรง แต่ทางปฏิบัติเรียกว่า การสะกดจิตตนเอง
    (คือเข้าใจว่า ตนเองเป็นท่านโน้นนี่นั้น)


    ข้อสังเกตุต่อมาที่ควรพิจารณา
    หากพบเจอบุคคลที่สามารถเปิดให้ได้นั้น
    ต้องขึ้นอยู่กับ ความสามารถของผู้เปิด(ถ้ามีความสามารถ
    ทำได้จริงใช้เวลาไม่กี่วินาที ถ้าใช้เวลาเป็นนาทีให้ระวังว่า
    กำลังจิตยังไม่พอ หรือ ยังไม่ผ่านกรรมฐานระดับสูงที่สร้างกำลังจิตมาจริง
    มักจะมีในเรื่องของค่าตอบแทนที่สูงเข้ามาเกี่ยวข้อง)

    และผู้ที่ถูกเปิด
    ในที่นี้ ขอพูดถึงผู้ที่ถูกเปิด คือ ต้องมีความพร้อมพื้นฐาน
    ทางด้านจิตใจ ในระดับดีพอ ละเอียดพอ รวมทั้ง
    มีกำลังสมาธิสะสมที่เพียงพอเป็นภูมิต้านทานการรับรู้
    พลังงานภายนอกในระดับที่เพียง
    ดังนั้น การเปิดตาที่ ๓ จึงถือว่า ยังไม่มีนัยยะสำคัญ
    เนื่องจาก เกณฑ์ ข้อกำหนด เงื่อนไขต่างๆ ยังมีหลากหลาย มีความซับซ้อนอยู่

    ข้อสังเกตุที่น่าสนใจ
    การแยกรูปแยกนามตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ยังส่งผลถึงโอกาส
    ที่จะฝึกกรรมฐานสำเร็จถึงระดับในเวลาไม่นานที่สามารถนำมาใช้งานให้เกิดประโยชน์
    ได้จริงในชีวิตประจำวัน เวลาลืมตาปกติอีกด้วย

    หากยังแยกไม่ได้ แต่ไปฝึก แม้เกิดความสามารถอะไรขึ้นมา
    แต่ก็จะเสื่อมไปในที่สุด(หรือจะทำได้แต่ในนิมิต และหลงเข้าใจว่าตนเป็นผู้วิเศษได้
    แม้ไม่สามารถใช้งานได้ในชีวิตประจำวัน แต่ก็ยังหลงตนเองได้อย่างไม่น่าเชื่อ)
    หรือบางครั้งฝึกกรรมฐานอะไรก็จะไม่เคยสำเร็จเลยไม่ว่าจะผ่านมีกี่ปีก็ตาม
    เนื่องจากขาดความเข้าใจ
    ทางด้านนามธรรมที่เป็นผลมาจากการแยกรูปแยกนามนั่นเอง
    มักมีคำกล่าวเปรียบเทียบกลุ่มนี้ว่า '' อีกากับดูเหว่า แม้สีเหมือนกัน แต่สำนวนต่างกัน''
    เป็นที่มาที่แสดงถึง ความสามารถในการทำได้จริง หรือเสมือนว่าทำได้นั่นเอง

    ไม่เหมือนการฝึกหลังจากแยกรูปแยกนามและเดิน
    ปัญญาไปถึงระดับที่ไม่ยึดนามธรรม หรือระดับที่จิตคลายตัวเองได้ตามธรรมชาติ
    ของมันเอง


    นิทาน ในอดีต ท่านมีชื่อ ทาง จังหวัดอุทัยฯ เคยดึงกรรมฐานของเก่า
    ให้บรรดาลูกศิษย์ใกล้ชิดท่าน โดยศิษย์เหล่านั้นไม่จำเป็นต้องฝึกกรรมฐาน
    กองนั้นมาเลย เนื่องจากพื้นฐานจิตใจศิษย์กลุ่มนั้นผ่านเกณฑ์
    ข้อสังเกตุ นิสัยธรรมชาติของศิษย์กลุ่มนั้น
    ตย. เช่น มักทำบุญไม่ชอบออกหน้า ทำอะไรไม่หวังผล
    เป็นคนมีเมตตาไม่ว่า คนหรือสัตว์ เจตนาฝึกกรรมฐาน
    เพื่อเน้นช่วยสงเคราะห์ผูือื่นๆ ไม่มีนิสัยขี้อวด ไปไหน
    ไม่หวังว่าจะได้รับการยอมรับใดๆ ไม่ยึดติดในกามคุณ
    ไม่ยึดมั่นในกามอารมย์ มีความสุภาพถ่อมตัว เป็นต้น ฯลฯ



    ปล. แค่เพียงแต่เล่าให้ฟัง เป็นฐานข้อมูลหนึ่ง หวังว่าจะเปิดมุมมองและมีประโยชน์แก่
    ผู้ที่ผ่านเข้ามาอ่าน
     
  18. Pongsak_npr

    Pongsak_npr สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2021
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +8
    เห็นคุณนพ ตอบในกระทู้นี้ ผมมีเรื่องจะถามคุณนพครับ คือผมอยากรู้ว่าคาถายอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก สำหรับในความคิดเห็นคุณนพดีกว่าบทสวดอื่นๆอย่างไรครับ

    กับถ้าเป็นไปได้อยากรู้ว่าเบื้องบนเค้าคิดเห็นกันยังไงกับบทสวดนี้

    เห็นบอกว่าอานิสงค์สูงมากๆ แต่ก็เห็นหลายท่านบอกเลิกสวด(ในคอมเม้นต์ยูทูป)บ้างบอกว่าฝันร้ายบ้าง ชีวิตไม่ราบรื่นบ้าง ผมก็ไม่เข้าใจทำไมถึงเป็นอย่างงั้น การสวดมนตร์เป็นสิ่งที่ดี ถึงจะเลิกสวดก็ไม่ควรเกิดเหตุการณ์แปลกๆเช่นนั้น รู้สึกเหมือนบังคับให้เราสวดไปเรื่อยๆ(หรือผมคิดไปเอง)

    ไม่รู้จะถามใครนึกถึงคุณนพพอดี เผื่อคุณนพจะช่วยไขความสงสัยให้บ้าง เพราะไปถามในเน็ตก็มีแต่เนื้อหา อานิสงค์เดิมๆ สงสัยมากจริงๆครับ ขอความกรุณาด้วย ขอบคุณครับ:)
     
  19. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,044
    ดีแล้วที่ถาม เพราะถ้าไม่ถามเรื่องแบบนี้ปกติจะพูดไม่ได้ถ้าไม่มีเหตุ
    คำตอบที่จะเล่าเหมือนไม่มีอะไร แต่มันมีอะไรแอบแฝงอยู่
    ถือว่าที่จะพูดให้ฟังต่อไปนี้เป็นเรื่องเล่าแล้วกัน

    ประเด็นแรกที่บุคคลท่านต่างๆกล่าวว่า สวดบทคาถาโน้นนี่นั้น
    ดีแบบนั้นแบบนี้ เป็นเพียงปลายๆเหตุ เป็นอุบายอย่างหนึ่ง
    เพื่อวัถตุประสงค์อื่นๆ ซึ่งอาจจะเป็นกุศลหรืออกุศลก็ได้
    เหมือนที่บอกว่า พระเครื่อง วัตถุรุ่นนั้นรุ่นนี้ดีอย่างโน้นอย่างนี้
    แม้ผู้พูดผู้บอกสรรพคุณจะไม่เคยรับรู้ สัมผัส
    เข้าใจในส่วนนามธรรมต่างๆ หรือทราบเจตนาในการสร้าง
    แต่ก็ยังเชื่อว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ตามที่ตนเองเชื่อ
    ในทำนองเดียวกัน บทสวดบทคาถา แม้ไม่รู้ที่มา รู้คำแปล รู้เจตนา
    ก็ยังเชื่อว่าดีอย่างโน้นอย่างนี้ ด้วยเหตุนี้ เมื่อมีอีกฝ่ายบอกว่าดีนั่นย่อม
    หมายความว่าจะต้องมีอีกฝ่ายที่เห็นว่าไม่ดี ดังนั้น เมื่อกล่าวในภาพรวมก็หาใช่ว่า
    จะตัดสินได้ว่า ใครเข้าใจผิดหรือเข้าใจถูก บทไหนดีกว่า บทไหนไม่ดี
    เพราะความเข้าใจต่างๆ ก็มาจากประสบการณ์ เหตุปัจจัยต่างๆ และเราไม่ได้
    มีเครื่องมืออะไรที่จะตรวจสอบคุณสมบัติอะไรได้ หากใช้เพียงประสบการณ์
    ส่วนบุคคล ความเชื่อ การเล่าสืบกันมา นัยยะสำคัญก็จะยังไม่เพียงพอ
    ท้ายนี้ในภาพรวม ที่ดูจะเหมาะสมก็เพียงทำได้แต่รับฟังไว้ก่อน
    ไม่ว่าจากฝ่ายที่เห็นว่าเป็นกุศลหรือฝ่ายที่มองว่าเป็นอกุศล
    ในภาพรวมส่วนนี้พอเข้าใจได้เนาะ

    ประเด็นต่อมา จะพูดในเรื่องของบทคาถา
    หากสังเกตุเบี้องต้น จะพบว่า มีความแตกต่าง
    ทางด้านของภาษาสมมุติที่ใช้ เป็นภาษา บาลีได้ไหม
    ภาษาอังกฤษ ภาษาเขมร ภาษาไทย ภาษาอื่นๆได้ไหม?
    ตอบว่า ภาษาอะไรก็ได้หมด เพราะภาษาสมมุติที่อ่าน
    ก็ยังเป็นเพียงอุบายอยู่ เป็นปลายๆ ไม่ใช่ประเด็นหลักสำคัญ
    แต่มีความจำเป็นในเบื้องต้น แล้วจำเป็นต้องแปล ต้องเข้าใจไหม ตอบว่า ไม่จำเป็น
    หรือจำเป็นก็ได้ เพราะก็ยังไม่ใช่ประเด็นหลักอีกเช่นกัน
    แต่การเข้าถึงประเด็นสำคัญก็ยังต้องอาศัยความหมาย
    ทางสมมุติ เพื่อการสังเกตุ การค้น เพื่อเข้าถึงต้นตอที่มาของภาษาสมมุติอยู่

    ตั้งสมมุติฐานเกี่ยวกับบทคาถาต่างๆว่า
    H : พูดตามได้ อ่านได้ ท่องได้ ถูกบ้าง ผิดบ้าง จะแปลได้ หรือไม่ได้ก็ตาม
    คำถามเกี่ยวกับบทคาถา
    ๑. สวดเพื่ออะไร ได้อะไร มีประโยชน์อะไร
    ๒.บทคาถาไหนดี ไม่ดี
    ๓.ข้อดี ข้อเสีย
    ที่กล่าวมาข้างต้น เพื่อให้เกิดข้อสังเกตุเท่านั้น เป็นเพียงแค่คำนำ

    ต่อไปนี้ มากล่าวถึงประเด็นสำคัญของบทคาถาต่างๆ ในมุมที่สัมพันธ์
    เชิงเหตุเชิงผล เป็นอย่างไรลองอ่านดูก่อน (พูดภาพรวมทุกศาสนา ลัทธิ
    นิกาย ความเชื่อเฉพาะถิ่น สำนักต่างๆ ฯลฯ)
    โดยทั่วไป หากสังเกตุบทคาๆ มีชื่อต่างๆ คำแปล บริษทของเนื้อหา
    มักจะเป็นกล่าวถึง การสรรเสริญ คุณงามความดีต่างๆ การปฏิบัติของศาสดาท่านต่างๆ
    ของศาสนานั้นๆ รวมทั้งการกล่าวถึง คุณงามความดีต่างๆ พฤติกรรมที่เป็นเอกลักษณ์
    ของบุคคลสำคัญที่เกี่ยวของกับศาสนานั้นๆ รวมทั้งแทรกแนวทางการปฏิบัติเฉพาะ
    ตามวิถีของศาสนา ไม่ว่าในเชิงภาษา สัญลักษณ์
    ความเชื่อ ต่างๆ ที่มาที่ไป ออกมาแนวคำสอน ไม่ว่าจะเป็นเชิง
    นัยยะที่มาจากการปฏิบัติ หรือตลอดจนแนวทางปฏิบัติ
    ตลอดลงไปถึงเรื่อง ต้นกำเนิดของสรรพสิ่ง ที่มาในรูปแบบของธาตุต่างๆ แตกแขนง
    ออกไปรวมวิถีเฉพาะของแต่ละสายการปฏิบัติต่างๆรวมเข้ามา
    ออกมาเป็นบทคาถาเฉพาะนั่นเอง

    ข้อสังเกตุอีกอย่าง ทุกบทคา ไม่ว่าบทไหน หรือ คัมภีร์คาถา ตำรา พระเวทต่างๆ
    อะไรก็ตาม มักอาศัยการออกเสียงก่อนในเบื้องต้น หรือ บางบทคาถา เป็นเชิงสัญลักษณ์
    ซึ่งอาจจะงง ว่าเชิงสัญลักษณ์เกี่ยวข้องอะไรกับบทคาถา จะบอกว่าอ่านต่อไปก่อน

    ประเด็นคือ เสียงที่เปล่งออกมานั่นหละ เสียงเป็นนามธรรม เป็นคลื่นชนิดหนึ่งตรงนี้
    คือประเด็นสำคัญที่สุด อาจจะเกิดคำถามอีกว่า เคยได้ยินบางท่านบอกว่าบทคาถา
    ให้สวดในใจก็ได้นิครับ หรือให้คิดในใจก็ได้นิครับ ซึ่งไม่ผิด ถ้าสังเกตุการสวดในใจ
    การคิดนั้นก็เป็นนามธรรมเป็นคลื่นความถี่ชนิดหนึ่งเช่นกัน มาถึงตรงนี้ยิ่งงงไปใหญ่
    ว่าพูดถึงคาถาอยู่ดีๆ กลายมาเป็นเสียง เป็นคลื่น เป็นนามธรรมไปได้อย่างไร อ่าน
    ถึงตรงนี้ แล้วงง และสงสัยนั่นหมายถึงสัญญานที่เริ่มดีแล้ว

    เพราะในภาพรวมกว้างๆของการกำเนิดของสรรพสิ่ง จะเกี่ยวข้องในระดับอะตอม
    จะมีอนุภาคอยู่ ๒ ประเภทที่ควรเข้าใจไว้ก่อน
    ชนิดที่ ๑ เราเรียกว่า อนุภาคที่เป็นองค์ประกอบสะสาร
    ตย. ให้เห็นภาพ เช่น ยางลบสามก้อน นำมาเรียงต่อกัน ถ้าต่อเป็นเนื้อเดียวกันก็จะได้
    ยางลบก้อนใหญ่หนึ่งก้อน หากนำมาต่อกันเฉยๆ ก็จะยังเป็นยางลบสามก้อนที่นำมาต่อกัน
    หากสังเกตุ จะพบว่า เราสามารถหาพื้นที่ของยางลบได้ และยังพบว่า ยางลบนั้นจะมี
    ระยะทางจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง เช่น จากหัวไปท้าย ดังนั้นเมื่อมีระยะทางซึ่งนอก
    จากทำให้สามารถหาพื้นที่ได้แล้วนั้น ระยะระหว่างจุดสองจุดนี้ ก็ยังเกี่ยวข้องกับเรื่อง
    ของเวลาอีกด้วย สมมุติว่า ต้องการเดินทางจากหัวไปท้ายเป็นต้น โดยสรุปจะพบว่า
    อนุภาพชนิดที่ ๑.นั้นจะเกี่ยวข้องกับเรื่อง พื้นที่ ระยะทาง เวลา จับต้องได้ เป็นรูปธรรม
    และเรื่องของมวลหรือน้ำหนัก ยังอยู่ในกฏพิสิก ซึ่งถือว่าเป็นเอกลักษณะของอนุภาคชนิดที่ ๑ นี้

    ต่อมาอนุภาคชนิดที่ ๒ เรียกว่า อนุภาคชนิดที่เป็นสื่อนำแรง เป็นนามธรรม
    ที่แทรกอยู่ระหว่างอนุภาคที่เป็นองค์ประกอบสะสาร
    ตย.เพื่อให้พอเข้าใจถึงเอกลักษณอนุภาคนี้ได้ในภาพกว้างๆ
    สมมุติว่า อนุภาคนี้เป็นยางลบ ถ้าเอายางลบสามก้อนมาต่อกัน
    ก็จะยังถือว่าเป็นยางลบก้อนเดียว
    หรือต่อให้เอายางลบแสนก้อนมาต่อกันก็จะยังถือว่าเป็น
    ยางลบก้อนเดียวเหมือนเดิม และยางลบก้อนเดียวนี้ ก็ไม่สามารถที่จะหาพื้นที่ได้
    เนื่องจาก ไม่มีจุดที่จะวัดระยะทางได้ อิง ตย. คือ ไม่มีจุดจากหัวไปท้ายยางลบ
    ดังนั้นจึงไม่มีเรื่องของระยะทางระหว่างสองจุดนี้มาเกี่ยวข้อง จึงไม่มีเรื่องของเวลา
    เรื่องของมวล เข้ามาเกี่ยวข้อง บางครั้งก็เรียกให้เข้าใจง่ายๆว่า อยู่เหนือกฏพิสิก
    หรืออยู่เหนือกาลเหนือเวลานั่นเอง ดังนั้นหากจะกล่าวถึง อนุภาคชนิดที่สองนี้
    เรื่อง ระยะทาง เวลา มวล พื้นที่จึงถูกตัดออกไปอย่างมีนัยยะสำคัญ
    และอนุภาคนี้ มีเอกลักษณ์ที่เป็นของตนเองคือ ๑.สามารถดึงดูดซึ่งกันและกันได้
    ๒.เพิ่มหรือลดได้ ๓.เปลี่ยนแปลงไปตามอัตลักษณ์ต่างๆได้

    หากพิจารณา ก็จะพบว่า หลักๆร่างกายเราก็จะประกอบด้วยอนุภาค สองชนิดนี้เอง
    แต่เราจะย่อยไปว่า องค์ประกอบสะสารที่เป็นอวัยวะ ผิวหนังเป็น ธาตุต่างๆ
    ส่วนความรู้สึกต่างๆ เช่น เจ็บ ปวด เป็นส่วนนามธรรม เป็นอนุภาคที่เป็นสื่อนำแรง
    แต่ด้วยมันแทรกอยู่กับ องค์ประกอบสาร เราจึงรู้สึกได้ ส่วนหนึ่งที่เรารู้สึกได้
    เนื่องจากว่า มี จิต เป็นนามธรรม ดังนั้นจึงถือว่า อยู่ในกลุ่มของ
    อนุภาคชนิดที่เป็นสื่อนำแรง (ในทางวิทย์ยังให้คำจำกัดความของจิตไม่ได้
    แม้เรียกว่า มวลจิต สมมุติให้มีน้ำหนัก แต่ก็เป็นน้ำหนักแบบที่น้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้)
    แต่เพื่อให้ง่ายในความเข้าใจ จึงสมมุติว่า มีดวงจิตเข้ามาอยู่ร่วมด้วย
    กลายเป็นร่างกายนี้ขึ้นมา เกิดความรู้สึกขึ้นมา
    (หากสมมุติเราตัด นิ้วโยนออกไป ที่กายจะยังเจ็บอยู่ แต่นิ้วที่ถูกตัดนั้นเราจะไม่สามารถ
    รับรู้ความรู้สึกเจ็บของนิ้วที่ถูกตัดออกไปได้) ดังนั้น ความรู้สึกนั้น ยังต้องอาศัย
    จิตร่วมด้วย กับอนุภาคทั้งสองชนิดที่ ได้กล่าวมาแล้วก่อนหน้า
    รวมทั้งวัตถุ สิ่งต่างๆ ที่จับต้องได้ ทางวิทย์ยังกล่าวว่า คือ ต้นกำเนิดของสรรพสิ่งต่างๆ
    เพียงแต่หากมี จิตเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็จะแยกเป็น มนุษย์หรือสัตว์ หากไม่มีก็จะเป็นวัตถุต่างๆ

    หากย้อนไปถึงอนุภาคชนิดที่สอง จะพบว่า การเปลี่ยนแปลงอัตลักษณ์ได้
    เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของอนุภาคชนิดนี้ ดังนั้นเมื่อเกิดคลื่นเสียงขึ้นมา
    ความคิดขึ้นมา การนึกขึ้นมา ซึ่งเป็นนามธรรม
    ย่อมส่งผลกระทบตรงมายัง อนุภาคชนิดนี้ ที่ชัดเจนที่สุด ก็คือ ส่งผลต่อตัวจิต
    ก่อนอย่างมีนัยยะสำคัญ เหตุเพราะ ตัวจิตเป็นเหมือนตัวสำคัญ ในการรับรู้ความรู้สึก
    ทางนามธรรมต่างๆ(หากลืมให้นึกถึงการตัดนิ้วแล้วโยนทิ้งออกไป) เนื่องจากตัวจิต
    มีอนุภาคชนิดที่เป็นสื่อนำแรง เชื่อมโยงประสานกับ อวัยวะต่างๆของร่างกาย(เนื้อที่เราเรียกว่าธาตุ บวกกับสือนำแรงที่แทรกอยู่ระหว่างที่อวัยวะติดกัน) ไอ้ตัวอนุภาคสื่อนำแรงจากตัวจิต
    ที่ไปเชื่อมอวัยวะต่างๆของร่างกายนี้เอง ที่เราเรียกว่า ตัววิญญาน มองง่ายๆคือมันเป็นเส้นๆ ** เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของอนุภาคสะสารสื่อนำแรงคือดึงดูดกัน**

    ดัวยเหตุที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ่จากคลื่น ความคิด ที่เป็นนามธรรม จึงส่งผลให้เกิด
    การเปลี่ยนแปลงอัตลักษณ์ได้ต่อตัวจิตได้ นอกจากเพิ่ม ลด ดึงดูดกัน
    ดังนั้น เมื่อมาดู ที่ตัวบาคาถา ก็ขึ้นอยู่กับว่า ตัวบทคาถาที่เป็น ภาษาสมมุตินั้นๆ
    จะเป็นต้นกำเนิดหรืออุบาย ในการสร้างอัตลักษณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับตัวจิตอย่างไรนั้นเอง

    เช่น เมื่อบทคาถากล่าวๆสรรเสริญ ก็จะสร้างอัตลักษณ์ของตัวจิตไปในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ
    การสรรเสริญเช่นเดียวกัน(เนื่องจากดึงดูด เพิ่มลดได้ เป็นเอกลักษณะสื่อนำแรง) หรือ
    กล่าวกับธาตุ หรือ นัยยะ ไม่ว่ากล่าวถึงอะไรจากทางภาษาสมมุติ ก็จะสร้างอัตลักษณ
    ตรงไปยังตัวจิตให้เกิดเรื่องนั้นๆ พูดง่ายๆก็คือ สร้างความหนาแน่นให้จิตในเรื่องนั้นๆ
    เป็นการเปลี่ยนแปลงอัตลักษณ์อย่างหนึ่งนั่นเอง ขึ้นอยู่กับว่า ภาษาสมมุติของบทคาถา
    หรือเชิงสัญลักษณ ทำให้ออกเสียงหรือนึกถึงเรื่องอะไรนั่นเอง
    หากเชิงสัญลักษณ์ คำพูด สื่อออกมาเป็นสื่อนำแรงในเรื่อง กุศลจิตก็จะเป็นกุศล
    หากเป็นอกุศลจิตก็จะเป็นไปทางอกุศล โดยมีเอกลักษณ์ของสือนำแรงมาเกี่ยวข้อง

    เนื่องจากเอกลักษณ์ของสื่อนำแรง ที่เป็นนามธรรม หากเคยมีการออกเสียงนั้นๆ ก็ย่อม
    ส่งผลให้เรื่องนั้นๆ มีความหนาแน่นของสื่อนำแรงนั้นๆเกิดขึ้นตามธรรมชาติของมันเอง
    อยู่แล้วเป็นปกติ(ทั่วไปเลยอาจเกิดกิริยา ทำไมอยู่ดีๆก็สวดเอง หรืออยากสวดขึ้น เพราะความหนาแน่นของสื่อนำแรงมันเพิ่มขึ้นนั่นเอง ไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไร) เหมือนเราคิดดีมากๆ
    เราก็นึกๆอยากทำบุญ เพราะอัตลักษณ์มันไปทางนั้น มีความหนาแน่นทางด้านนั้นๆไม่แปลก
    มันเป็นกุศล ดังนั้นจึงไม่มีความคิดฝ่ายอกุศล เนื่องจากความหนาแน่นทางความดี(นามธรรม)
    มีความหนาแน่นมากกว่าอกุศล พอเริ่มมองภาพออกนะ

    บางคนทำไมเลิกสวด ฝันร้ายบ้าง ชีวิตไม่ดีบ้าง เพราะบทคาถาหรือเพราะตัวเอง?
    จำเรื่อง เอกลักษณ์ของสื่อนำแรงได้ไหม? เรื่องดึงดูดกัน เพิ่มลด
    เปลี่ยนอัตลักษณ์ได้ ให้นึกเอาไว้ในใจก่อน

    เมื่อกำเนิดคลื่นเสียง ความคิด นึกคิดใดก็ตาม ที่เป็นไปทางกุศล
    เช่น การสรรเสริญคุณความดี ฯลฯ ก็จะเกิดอัตลักษณ์ รวมทั้งมีความหนาแน่น
    ชนิดหนึ่งที่เป็นกุศลขึ้นมา
    แต่เนื่องด้วย เอกลักษณ์ของสื่อนำแรง ข้อหนึ่งคือ ดึงดูดกันได้ เพิ่มลดได้
    ดังนั้น นอกจากดึงดูดกันได้ ยังมีเรื่อง การเพิ่มและลดได้อีก หากจิต
    ในที่นี้ มีความหนาแน่นในเรื่อง กุศล(นามธรรม สื่อนำแรงชนิดหนึ่ง)
    ก็ย่อมที่จะได ดึงก็ได้ หรือ ดูด สื่อนำแรงอื่นๆจากภายนอกได้เช่นกัน
    กิริยาของมัน ไม่ได้หมายความว่า เมื่อจิต(สมมุติเรียกมวลจิต) มีความหนาแน่น
    ของสื่อนำแรงกุศลมาก ไม่ได้แปลว่า มันจะดึง แต่ สื่อนำแรงกุศลอย่างเดียว
    แต่มันยังสามารถดึงสื่อนำแรงชนิดอื่นๆมาได้อีกด้วย อาจเป็นสื่อนำแรงอื่นๆ
    แต่ว่ามีความหนาแน่นเรื่องกุศลน้อยกว่าก็เป็นได้ หรือ สื่อนำแรงอื่นๆมีความหนาแน่น
    เรื่องกุศลมากๆก็ได้ ดังนั้นอยู่ที่ว่า มวลจิตนั้น จะหาวิธีจัดการเรื่องเหล่านี้อย่างไร
    หากเจอสื่อนำแรงมีความหนาแน่นกุศลมากอาจจัดการด้วยการสร้างสื่อนำแรงกุศลเพิ่ม
    เช่น ทำบุญ สวดมนต์เพิ่ม หรืออารมย์ดีอยู่แล้วเป็นต้น
    หากเจอสื่อนำแรงอื่นๆที่มีความหนาแน่นของกุศลน้อย ไม่ว่าจากการไปนึกถึงเอง การระลึก
    ขึ้นมาหรือว่ามาจากภายนอกก็ตามแต่
    มีความหนาแน่นอกุศลมาก อาจจัดการด้วยการ อุทิศส่วนกุศลให้ไป การไปยืนเหยียบหญ้า
    ด้วยเท้าเปล่า การสร้างอารมย์ที่ดี การทำบุญ การสวดมนต์อุทิสส่วนกุศลก่อนและหลัง การขอขมาพระรัตนตรัย การออกกำลังกายเป็นต้น เพื่อ่เป็นอุบาย เพื่อไปปรับสมดุลย์
    ให้กับสื่อนำแรงที่อาจเกิดจากภายในมวลจิตเราเอง หรือจากภายนอกเหล่านั้น

    ทำไมส่งผลต่อกายหละครับ? ก็มันแทรกอยู่กับ องค์ประกอบสะสารนั่นเอง(ตอนนี้รวมเป็นกายเป็นอวัยวะอยู่) พอเกทไหม
    เนื่องจาก สื่อนำแรงชนิดกุศล มันมีคุณสมบัติส่งผลให้รู้สึกเย็น(องค์ประกอบสะสารเย็น)
    ส่วนอกุศลมักส่งผลให้รู้สึกออกร้อน(องค์ประกอบสะสารร้อน)

    ทีนี้เกิดปิ้งขึ้นมา อ้อ มิน่าร้อนมากเลยทำให้เกิดการเจ็บป่วยขึ้นมา ตอบว่า ใช่
    ในทำนองเดียวกัน แล้วทำไป พอเย็นมากๆ(กุศลมาก) ทำไมไปป่วยหละครับ ตอบว่า นั่นซิ งงไหม?

    เพราะเอกลักษณ์ของ องค์ประกอบสะสาร (ตอนนี้ให้นึกตามว่า มันคือ อวัยวะชิ้นหนึ่ง)
    มีสื่อนำแรงแทรกอยู่ปกติ ในส่วนของอวัยวะ ที่เป็นองค์ประสารนี่หละ ประกอบจากธาตุ
    ตัวหนึ่ง เราเรียกว่า ธาตุน้ำ ซึ่งมีเอกลักษณะในการไหลออก แทรกซึม นอกจากการหมุน
    (ที่อาจเห็นภาพได้ตามเนท) ส่วนการไหลออก แทรกซึมนั้น(ให้มโน มนึกภาพว่า เราเอากระดาษ A4 มาแล้วเขียนเส้นตรงเสร้นหนึ่งผ่ากลางกระดาษ แล้ววาดคลื่นที่เหมือนครึ่งวงกลม เหมือนท่อกลามผ่ากลางด้านบนเส้นตรงนี้ ต่อกันไปเรื่อยๆ ไปตลอดแนว ก็จะได้ภาพ ครึ่งวงกลมความสูงเท่ากันตลอดแนว กระดาษนี้ นี่คือ เอกลักษณ์ ในการไหลออก แทรกซึม ของธาตุน้ำ จบมโนแรก
    ส่วนธาตุไฟ วาดเส้นตรงผ่ากลางกระดาษ แล้วเขียนเป็นกราฟคล้ายคลื่นของตลาดหุ้น ต่างๆ
    คือจะมีทั้งขึ้นๆลงๆ มียักๆ สูงต่ำจะไม่เท่ากัน อยู่ตำกว่าเส้นตรงบ้าง สูงกว่าเส้นตรงบ้าง นี่คือ เอกลักษณะของธาตุไฟ จบมโนสอง รู้เท่านี้ไปก่อน (แต่ธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม รวมเป็นอวัยวะนะ นี้ต้องไม่ลืม)

    มาดูกระบวนการของการเจ็บป่วยของร่างกาย
    เมื่อเกิดความหนาแน่นของสื่อนำแรง ที่เป็นฝ่ายเย็นเป็นกุศล ที่ มวลจิต(สมมุติเรียกเพื่อให้ง่ายในการเข้าใจ) ก็จะเกิดความหนาแน่นนี้ในมวลจิต ก็ต้องไม่ลืมว่า มวลจิตมันมีตัว วิญญานที่ทำหน้าที่เชื่อมโยง(พูดไปแล้วก่อนหน้า) อวัยวะ(องค์ประกอบสะสาร ตอนนี้แยกเป็นธาตุให้ดูบางส่วน กับสื่อนำแรงที่แทรกอยู่กับองค์ประกอบสะสาร) พวกนี้เชื่อมกับตัววิญญานของมวลจิต
    ที่นี้มาดูกราฟของ เอกลักษณะธาตุน้ำ(ตอนนี้แยกออกจากองค์ประกอบสะสาร) เอกลักษณะคือไหลออก แทรกซึม จากกราฟ จะเห็นว่า เอกลักษณะธาตุน้ำมีความสม่ำเสมอ ดังนั้นเมื่อมีมวลสารที่มีความเย็น(จากกุศล)ผ่านเข้ามาในธาตุน้ำ(องค์ประกอบสะสาร) เนื่องจากคุณสมบัติไหลออกแทรกซึมแบบสม่ำเสมอ จึงส่งผลต่อองค์ประกอบสะสารหรืออวัยวะ ให้รู้สึกได้ว่าเย็น(เนื่องจากเชื่อมกับตัววิญญานที่มาจากมวลจิตเลยรู้สึกเย็น) และไม่ได้ส่งผลอะไรเนื่องจาก เอกลักษณ์
    ของธาตุน้ำนั่นเอง ในทางตรงข้ามกิริยาทำนองเดียวกัน เมื่อมวลจิตมีความร้อนจากอกุศล
    ด้วยที่ตัววิญญานมันเชื่อมอวัยวะอยู่(องค์ประกอบสะสาร แยกเป็นธาตุไฟหรือร้อนต้อนนี้)
    ให้มาดูกราฟ ที่เหมือนหุ้น มีต่ำกว่า เส้นตรงกลางกระดาษ A4 เดี่ยวก็สูง เดี่ยวก็ต่ำ ไม่วิ่ง
    สม่ำเสมอเหมือนธาตุน้ำ เหตุที่วิ่ง สูงต่ำนี่เอง เลยทำให้ไปกระทบกับธาตุอื่นๆ (ยังเหลือ ดิน ลม มีน้ำด้วย) ถ้ามันสูง ไปทางไหน มันก็ไปทำให้ธาตุนั้นน้อยลง(ไปเพิ่มธาตุไปแทรกในธาตุอื่นๆ) ถ้ามันต่ำไปทางไหนก็ทำให้ธาตุนั้นต่ำลง(เนื่องจากดึงไปยังธาตุอื่นๆไปมา) นี่คือสาเหตุของการเจ็บป่วยเนื่องจากทำให้ธาตุโดยรวมเกิดการพร่อง อาจทำให้ฝันร้าย นอนไปหลับ นอนเห็นภาพนั้นโน้นนี่ได้ อารมย์แปรปรวณ โดยที่คำว่า พร่องอาจจะมีมากไป หรือ น้อยไป นั่นเอง

    ความรู้สึกร้อน เมื่อส่งผลต่อมวลจิต ส่งผลต่อร่างกาย ย่อมส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
    ตามลำดับ


    จำเอกลักษณ์สื่อนำแรงได้ แล้วพยายามทำความเข้าใจ
    จะทำให้เริ่มเข้าใจจากภายในตัวเราเองก่อน ก็จะทำให้เรา
    เข้าใจภายนอกได้เอง(หมายถึงรวมภพภูมิระดับต่างๆ)
    ที่เคยสงสัย จะเกิดมุมมองจะมีคำตอบในตัวมันเอง
    โดยไม่ต้องไปถามใคร

    เปรียบคนเราเหมือนใบไม้ เข้าใจใบไม้นี้ใบเดียว
    ก็เข้าใจใบไม้ทั้งป่าได้เอง
    ท่าน ผู้มีปฏิปทาพระปัจจเจก ผู้ล่วงลับไปแล้วท่านหนึ่งกล่าวไว้
    แค่เพียงแต่เล่าให้ฟัง
     
  20. Pongsak_npr

    Pongsak_npr สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2021
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +8
    ถ้าฝั่งกุศลเปรียบเสมือนความเย็น ที่แทรกเข้าไปในธาตุน้ำในร่างกาย ทำให้รู้สึกเย็นสบาย

    ถ้าเป็นเกี่ยวกับการพบเจอดวงวิญญาณล่ะครับ(ที่ผมเคยอ่านมา)
    ถ้าเจอวิญญาณฝั่งที่มีกำลังบุญมากหน่อย จะให้ความรู้สึกสบายใจ เย็นใจ

    แต่ถ้าเจอฝั่งกำลังบุญน้อย หรือแม้แต่วิญญาณที่ไม่ดี วิญญาณมนต์ดำ(?)ไรแบบนี้อะครับ ก็ให้ความรู้สึกเย็นเหมือนกัน แต่เป็นแบบเย็นยะเยือก ขนลุก

    เย็นเหมือนกันแต่ทำไมถึงให้ความรู้สึกต่างกัน มากๆเลยล่ะครับ
     
  21. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,044
    เป็นไปได้ลองย้อนอ่านทบทวนช่วงท้ายใหม่อีกรอบนะ
    ในภาพรวม กุศลกับอกุศล เปรียบเทียบได้เจตนาของต้นกำเนิด
    ไม่ว่าเหตุจะเกิดจากภายใน หรือ ภายนอก หรือทั้งสองส่วน
    ไม่ว่าตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับ
    มวลจิตนั้นจะมีวิธีการจัดการอย่างไรตรงนี้สำคัญกว่า

    กรณีที่เจอดวงวิญญานที่มีกำลังบุญมากหน่อย จะรู้สึกเย็น สบายใจ
    เหตุเพราะฝ่ายกำลังบุญมากมีเจตนาที่เป็นกุศลที่มาจากมวลจิต
    ส่วนความรู้สึกเย็น สบายใจ ที่จิตตน คือ การปรุงแต่งชนิดหนึ่ง
    (ตัวจิตปรุงร่วมกับภายนอกที่ส่งเข้ามาผ่านตัววิญญานที่จิตแล้วกลายเป็น
    อารมย์นั้นๆ)
    หากเจอฝ่ายกำลังบุญมาก แต่เจตนาจากมวลจิตเป็นอกุศล
    เช่น ท่านผู้มีบารมี มีฤิทธิ์ที่อยู่มานาน เพื่อดูแลสถานที่ต่างๆ เช่น ยักษ์
    นาค คนธรรพ์ อสูรกายกึ่งเทพฯ วิญญานเจ้าที่มีมากบารมี บริวารมากเป็นต้น
    หากมวลจิตเราปกติ เราจะไม่รู้สึกอะไร เพราะมวลจิตไม่ได้รับรู้อะไร
    แม้ว่า ภายนอกเหล่านั้นจะส่งกระแสจากภายนอกเข้ามา
    ต่างกับมวลจิตบุคคลที่คิดไม่ดี ย่อมรู้สึกร้อน ไม่สบายใจได้เช่นกัน
    เพราะเป็นกระแสฝ่ายอกุศลเช่นกัน โอกาสรับรู้ได้แบบไม่ตั้งใจเลยสูง
    ส่วนความรู้สึกร้อน ไม่สบายใจนี้ ก็คือ การปรุงแต่งของมวลจิตเช่นกัน
    เพื่อให้ทราบเจตนา เป็นฝ่ายอกุศล
    ดังนั้น ไม่สามารถบอกหรือชี้ชัดได้ว่า หากกำลังบุญมากจะ
    สามารถส่งผลให้มวลจิต ปรุงแต่งออกมาเป็นความรู้สึกเย็นสบายใจเสมอไป
    ตรงนี้เข้าใจตรงกันเนาะ

    คำว่าดวงวิญญานผู้ถาม จะมีความหมายเท่ากับ มวลจิต ตรงนี้เข้าใจตรงกันนะ
    การพบเจอมวลจิต ที่มีกำลังน้อย ก็สามารถ ส่งผลต่อการปรุงแต่งได้เช่นกัน
    ขึ้นอยู่กับวิธีการจัดการมวลจิตตนเอง เช่น ถ้ามวลจิตบุคคลนั้น มีภูมิต้านทาน
    ทางสมาธิที่เพียงพอ ตัวจิตมีกำลังสมาธิเพียงพอที่ควบคุมการเกิด มีกำลังสติ
    เพียงพอที่จะช่วยควบคุมการปรุงแต่ง ในระดับที่ทำงานร่วมกับกำลังสมาธิ
    ที่ระงับยับยั้งช่างใจไม่ให้เกิดได้ ไม่ว่าจะกำลังบุญมาก หรือ น้อย ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร
    แต่ในทำนองเดียวกัน หากมวลจิตผู้นั้น มีกำลังบุญมาก ไม่ว่ามวลจิตหรือดวงวิญญาน
    จะมีเจตนาดีหรือไม่ดีก็ตาม และส่งเข้ามา ผู้รับก็สามารถรู้สึกดีได้เช่นกันหากว่า
    พื้นฐานมวลจิต มีจิตกุศลในการ แพร่เมตตาเป็นต้น ในทำนองเดียวกัน หากมวลจิต
    ผู้รับมีเจตนาไม่ดี ย่อมตีเจตนาที่มาจากภายนอกไม่ดีเช่นกัน
    ดังนั้น โดยสรุป อยู่ที่กระบวนการจัดการมวลจิตผู้รับนั้นเอง
    ส่วนการจะปรุงแต่งเป็น ความรู้สึกอะไรพวกนี้เป็นปลายทางแต่ชี้ชัดตัดสินไม่ได้

    ในทำนองเดียวกัน ความรู้สึกกลัวเป็นการปรุงแต่งชนิดหนึ่ง บอกว่า กำลังสมาธิใน
    การระงับยับยั้งช่างใจไม่ให้เกิดตรงนี้ยังไม่พอ(ถ้าเกิดอาการขนลุกแสดงว่า สมาธิสะสม
    ที่เป็นภูมิต้านทานร่างกายยังไม่พออีกเช่นกัน) บวกกับกำลังสติยังไม่ไวพอ ที่จะ
    ควบคุมตัววิญญาน(ตัวที่ส่งจากจิตไปเชื่อมภายนอก แล้วดึงเข้ามาปรุงจนเกิดความรู้สึกได้) ถ้าหากปรุงจนรู้สึกเย็นยะเยือกทางกาย ทางใจนั้น บอกได้ว่า ดวงจิตผู้นั้น
    ยังตัดร่างกายไม่ขาด ยังกลัวตายหรือกลัวได้รับอันตรายอยู่นั่นเอง ต้องไปเพิ่มทาง
    ปัญญาหรือวิปัสสนา นอกจากการเพิ่มเรื่องสมาธิสะสม(เกือบสิบปีก่อน ผู้เขียนมักไป
    เดินป่าช้าเล่นคนเดียวตอนตีหนึ่งตีสองเพื่อดูว่า ตนเองขาดเรื่องอะไร ครั้งแรกแค่เดินยังไม่รู้ความคิดเลยก็ขนลุกแล้ว ต่อมาก็ค่อยๆพัฒนาตามลำดับ) กับเจริญสติในชีวิตประจำวัน ดังนั้นเมื่อรู้ว่า ขาดอะไรก็ควรไปฝึกเพิ่มเติม
    ดังนั้น แยกให้ออก
    ๑. ว่าเหตุเกิดจากมวลจิตภายในส่งตัววิญญานออกไปแล้วดึงเข้ามาปรุง
    หรือมวลจิตภายนอกส่งเข้ามาแล้วปรุงร่วมกับจิตตนเอง หรือทั้งสองส่วน
    ร่วมกัน ส่วนปรุงแล้วรู้สึกอย่างไร ยกไว้เพราะยังไม่เกี่ยวกับส่วนนี้
    ๒.ดั้งเจตนากุศล กับ อกุศล ของมวลจิตหรือดวงวิญญาน ที่มาจากภายนอกทดไว้ก่อน
    ๓.ตั้งเรื่องอารมย์ที่รู้สึกได้ ทดไว้อีกฝั่งหนึ่ง
    หากสังเกตุ ๑ ๒ และ ๓ คนละส่วนกัน
    ถ้าถึงขึ้นเกิดความรู้สึกได้ ไม่ว่ารู้สึกอะไร แสดงว่า ๑๒และ๓ ทำงานร่วมกันหมดแล้ว
    ไม่เกี่ยวกับว่า มวลจิตภายนอก บารมีมากหรือบารมีน้อย หรือ ปรุงจนรู้สึกอย่างไร
    แต่จะเกี่ยวกับ การจัดการมวลจิตตนเอง
    โดยธรรมชาติทั่วไป ไม่ว่าจะเคยฝึกหรือไม่เคยฝึกอะไรมา
    จะเกิด ทั้งสามข้อร่วมกันปกติอยู่แล้ว ด้วยเหตุที่จิตนิสัยเดิมชอบส่งออก(ส่งตัววิญญานไปภายนอกและดึงเข้ามาปรุง หากไม่ได้รับการฝึกมักปรุงไปทางอกุศล)
    ถ้ามาเริ่มฝึกเริ่มปฏิบัติ ก็จะเริ่มเข้าใจกระบวนการ เริ่มจากข้อ ๓ ๒ ๑ ได้เองตามเหตุปัจจัย
    และก็จะเข้า วิธีการจัดการมวลจิตตนเองได้ต่อมา และเมื่อเริ่มเข้าใจกระบวนการเกิด
    ต่อไป มวลจิตจะเห็น จะเข้าใจสิ่งที่เกิด สิ่งที่เห็นได้ว่า มันเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไป
    ที่เกิดขึ้นไปปกตินั่นเอง แต่ไม่ใช่ว่า เจอปั๊บจะไม่รู้สึกอะไรเลย อาจจะรู้สึกแต่ว่า
    มันจะวางได้เร็ว และไม่ใช่ว่า จะไม่กลัวตายเลยนะ มันยังขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม
    รอบมวลจิตตนและมวลจิตภายนอกด้วย ตย.เรื่องสภาพแวดล้อม เช่น เดินป่าช้ากลางวันรู้สึกเฉยๆ แต่กลางคืนอาจจะกลัวแม้ไม่กลัวผี อาจจะกลัวสัตว์มีพิษ กลัวโจร กลัวถูกทำร้ายเป็นต้น หรือ สมมุติเจอผีชื่อ นาย A ในเมือง(ไม่ว่ากำลังบุญจะมากหรือจะน้อย)อาจจะเฉยๆไม่กลัว แต่พอไปเจอในป่าดงดิบ อาจจะรู้สึกกลัวก็ได้

    ปล.สงสัยนะดี แต่ก็อย่าพึ่งด่วนสรุปอะไร ค่อยๆพิจารณาไปเรื่อยๆ
    มุมมองเราจะกว้างขึ้นได้เองตามลำดับ แค่เพียงแต่เล่าให้ฟัง
     

แชร์หน้านี้

Loading...