ฉบับที่ ๕๘ เดือนธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๑

ในห้อง 'กระโถนข้างธรรมาสน์' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 7 กุมภาพันธ์ 2009.

แท็ก:
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,020
    ช่วงแรกของเล่ม "มิงกะละบา เมียนมาร์" สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนธันวาคม ๒๕๔๕(ต่อ)
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

    ถาม: ................................................
    ตอบ: แล้วมาปี ๒๕๓๗ ปีที่ได้พระยาไชยมงคลมาด้วย ในหลวงก็เสด็จเปิดสะพานมิตรภาพแล้วข้ามไปค้างฝั่งลาวด้วย ไปทำโครงการพระราชดำริห้วยซอนห้วยซั่วนั่นน่ะทางฝั่งลาว
    ลาวสมัยที่เป็นอาณาจักรศรีโคตรบูรณ์ ที่พระยาศรีโคตรบูรณ์ครองเมืองลาวอยู่ คราวนี้ในสมัยที่พระยาศรีโคตรบองแกครองอาณาจักรศรีโคตรบูรณ์อยู่น่ะ แกเป็นผู้ได้อภิญญาก็เลยประเภทที่เรียกว่าอยู่ยงคงกระพัน ใครก็ฆ่าไม่ได้ บรรดาศัตรูของอาณาจักรศรีโคตรบูรณ์ก็เลยช่วยกัน ติดสินบนคนข้างในให้ช่วยจัดการที ถึงขนาดเสียสละลูกสาวเข้าไปเพื่อให้เป็นเมีย จะได้รู้ว่ามีจุดอ่อนที่ไหน ก็อย่างว่านั่นแหละ พอเจอมารยา ๕๐๐ เล่มเกวียนเข้าก็เผลอบอก บอกว่ามีจุดอ่อนอยู่อย่างเดียวคือเวลานั่งถ่าย ถ้าใครเอาหอกสวนขึ้นมาก็ตาย
    สมัยก่อนที่นั่งถ่ายเขาทำเป็นเล้าสูงขึ้นไป แล้วก็จะมีที่กั้นล้อมอยู่ประมาณแค่อกแค่คอ แล้วข้างล่างเขาจะขุดเป็นหลุมอยู่ คราวนี้พอเขารู้อย่างนั้น ก็แอบไปตอนเช้ามืดที่เขาไปถ่าย ก็เอาหอกแทงสวนขึ้นไป ก่อนแกจะตายแกก็เลยสาปเอาไว้ว่า แกเองไม่เคยทำผิดคิดร้ายกะใคร ในเมื่อคนอื่นปองร้ายแกอย่างนี้ ถึงได้อาณาจักรนี้ไปจากแกก็ตาม จะหาความเจริญไม่ได้จนกว่าจะมีช้างเผือก หินฟู งูใหญ่ และพระราชาเป็นธรรมิกราชมาเหยียบแผ่นดินถึงจะเจริญได้
    มาคราวนี้ช้างเผือกแกได้แล้ว ๒ ตัว หินฟู หินลอยน้ำนี่เขาบอกว่าสะพานมิตรภาพนี่แหละ มันลอยข้ามโขงไปเลย งูใหญ่ก็คือถนน เลื้อยไปถึงไหน กินคนที่นั่นเขาว่า คราวนี้ก็เหลืออยู่อย่างเดียว พระราชาผู้เป็นธรรมิกราช ก็อย่าลืมว่าในหลวงของเราไม่ได้ออกไปต่างประเทศมา ๒๗ ปีเต็ม ๆ แล้ว ยอมข้ามไปลาวแล้วค้างคืนด้วย ตอนนั้นเสาวรสบอกว่าถ่ายรูปหมดเป็นม้วนเลย วิ่งไปหน้าเป็นอยู่ใกล้ ๆ แล้ว ให้เพื่อนถ่ายไปเรื่อย นาน ๆ ได้อยู่ใกล้ชิดพระยุคคลบาทซะที เพราะว่าฝั่งโน้นก็มีแต่ลาว ฝั่งของเรานอกจากข้าราชบริพารแล้วก็มีแต่นักข่าว มันไม่น่าหมั่นไส้เหมือนตอนอยู่ฝั่งไทย เขาก็เลยถ่ายมันซะหมดไปหลายม้วนเลย เขาบอกว่าถ้าได้ช้างเผือก หินฟู งูใหญ่ และพระราชาผู้เป็นธรรมิกราชมาเหยียบแผ่นดิน ลาวถึงจะเริ่มเจริญขึ้นได้ ตอนนี้ก็เริ่มแล้ว ลาวเป็นคอมมิวนิสต์พิลึกพิลั่น เป็นคอมมิวนิสต์ที่ใส่บาตรกันทุกวัน เป็นคอมมิวนิสต์ที่ประเภทรักเชื้อพระวงศ์เป็นอย่างมาก
    ตอนนี้ลาวจะทูลเชิญสมเด็จพระเทพฯ ไปเป็นปกติเลย เอะอะก็แม่นางเทพ แม่นางเทพใช่มั้ย ? ส่วนอีกตัวหนึ่งก็เพิ่งไปเจอที่ย่างกุ้งมาเมื่อต้นปี ช้างเผือกตัวนี้ได้มาจากยะไข่อายุประมาณ ๕ ปี ที่ถ่ายรูปมาที่ให้น้องเล็กเขาไปซีร็อกซ์นั่นแหละ เห็นสวยขนาดนั้นมั้ยล่ะ หายากนะ ตาแดงไปด้วย คือว่าถ้าดูลักษณะแล้วถึงเขาจะไม่เป็นช้างเผือก ลักษณะก็งามกว่าปกติอยู่แล้วนะ อ้วนท้วนสมบูรณ์เลย แต่ว่ามันทรมานสัตว์มากเกินไป ย่างกุ้งร้อนจะตับแตก ในเมื่อย่างกุ้งร้อนจะตับแตก มันดันเอาช้างไปอยู่กลางโรง แล้วก็อยู่กลางแจ้งด้วย ไม่มีน้ำคอยฉีดให้ ทรมานเขาจริง ๆ ไอ้เราเองก็ไม่รู้จะร้อนยังไง ได้แต่ปลงอนิจจัง ถึงจะมีวาสนาบารมีเสวยชาติขนาดนั้นแล้วต้องไปตากแดดอยู่ทั้งวันตูก็ไม่เอาละวะ
    เสร็จแล้วรู้สึกว่ายังไง ประเทศเฮง ๆ ซวย ๆ ในสายตาเราเขามีของดี๊ดี อย่าลืมว่าของเขาแต่ละคน เขามีคนดี มีคนสร้างบุญบารมีมาเหมือนกัน ถึงวาระถึงเวลาของสิ่งที่สมควรเป็นของคู่บารมีคู่แผ่นดินของเขาก็ปรากฏขึ้น ของเรานี่เดี๋ยวรอปลายรัชกาลที่ ๙ ต้นรัชกาลที่ ๑๐ สารพัดของดี ๆ มันก็จะประดังกันมาเอง ถึงเวลานั้นประเภทต่างประเทศนี้ ประเทศไหนประเทศนั้นแหละ คงหาขนตาไม่ค่อยได้หรอก อิจฉาตาร้อนขนตาไหม้หมด ตอนนี้ให้เขาไปก่อน ของที่ดีมากให้เขาไปก่อน เดี๋ยวของดีมากกว่าถึงดีมากที่สุดแล้วเราค่อยเอา ในชีวิตถ้าหากว่าเผลอ ๆ ไปเจอไอ้ประเภทช้างสีทองผ่องอร่ามมาเลย เราคงคิดว่าเขาพ่นสีมา มันมีจริง ๆ
    ตอนแรกเราก็ได้ยินแต่พระยาฉัตทันต์ พระยาฉัตทันต์ พระพุทธเจ้าเสวยพระชาติใช่มั้ย ? แต่ปรากฏว่าว่าตระกูลฉัตทันต์นั่นน่ะ สีขาวผ่องเหมือนแผ่นเงิน แล้วแผ่นเงินมันไม่ใช่ขาวอย่างเดียว แต่ว่าตระกูลที่สูงกว่าคือ อุโบสถหัตถี อุโบสถหัตถีสีกายเหมือนทองคำ ถัดมาก็ฉัตทันต์หัตถีสีขาวเหมือนแผ่นเงิน ไล่ลงไปเรื่อย เรื่อย ๆ สีขาวนี่ยังมีปัณฑรหัตถี ปัณฑรหัตถีเขาอบกว่า สีเหมือนอย่างกะดอกบัวขาว หรือเหมือนสังข์ขัดตามพหัตถี สีเหมือนทองแดง คังไคยหัตถี ปิงคลหัตถี กาฬวะกะหัตถี กาฬวะกะหัตถีนี่ดำเหมือนนิล
    ถ้าเราดูช้างในปัจจุบันดูง่าย ตัวไหนที่ล่ำสันสูงใหญ่ ถ้าเปรียบกับตัวอื่นแล้วเรารู้สึกว่าขาเขาสั้น ขาเขาอ้วน ๆ สั้น ๆ นะ อันนั้นเลือกไว้ได้เลย นั่นแหละช้างที่มีกำลังมหาศาลจริง ๆ ช้างที่เรารู้สึกว่าถึงเขาตัวใหญ่ แต่มันสูงเพรียวเหมือนกับคนขายาว กำลังจะน้อยมันปะทะกันเมื่อไหร่ให้ ๓ ต่อ ๑ เลย เพราะฉะนั้นช้างประมาณ ๑๐๐ เชือกนี่ จะหาลักษณะที่ว่านี้ชัก ๑๐ ก็ยาก ส่วนใหญ่จะเป็นพวกขายาว ดูง่าย ไม่ต้องดูอะไรมากหรอก ดูหุ่นแค่นั้นพอ ประเภทอ้วน ๆ ล่ำ ๆ เหมือนอย่างกะคนมะขามข้อเดียว รีบเลือกไว้เลย นั่นน่ะดีแน่ล่ะ แล้วค่อยไปดูอย่างอื่น อย่างเช่นว่าลักษณะเป็นยังไง หูตาเป็นยังไง หางเป็นยังไง ที่ศูนย์อนุรักษ์ช้างลำปางเขามีวิธีผ่าจ้าน
    ผ่าจ้านก็คือแยกลูกช้างออกจากแม่ช้าง เพื่อเอามาฝึกหัด แล้วก็ไปโดนพวก N.G.O. มันว่าข้อหาทารุณสัตว์ใช่มั้ย ? พิธีกรรมนี่มันเป็นภูมิปัญญาชาวพื้นบ้านมาเลยนะ พิธีผ่าจ้านเนี่ย เขาจะมีการประเภทปลุกเสกแล้วก็จะตัดไม้ไผ่มาจักตอก พอถึงเวลาเสร็จพิธีแล้วก็ฉีกไม้ไผ่ออกเป็น ๒ ซีก ทำให้ความสัมพันธ์ของความเป็นแม่ลูกมันขาดกันไปเลย ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่มันเป็นน่ะ เป็นจริง ๆ แล้วไม้นั่นน่ะ อย่าเอาเข้ามาในบ้านเชียวนะ รับรองได้ว่าแตกยับเยินกันทั้งบ้านเลย มันอาถรรพ์ถึงขนาดนั้น
    เพราะงั้นเวลาผ่าจ้านเสร็จแล้วเขาจะเอาไม้ไปทิ้งไว้ในป่าลึก กลัวคนที่มันไม่รู้ไปเก็บเข้าบ้านไป แล้วมาปัจจุบัน เขาว่าไปโดนข้อหาทารุณช้างเข้า ตัวเอย่างมันเห็น ๆ ก็คือแม่ช้าง ลูกช้างจริง ๆ มันรักกันจะขาดใจ พอทำพิธีเสร็จเรียบร้อยแม่เหมือนกับลืมลูกไปเลย ลูกขอแม่ก็ไม่สนใจ เพื่อที่ว่าจะได้ฝึกมันได้ง่าย
    เพราะฉะนั้นเรื่องอย่างนี้ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ไสยศาสตร์มีจริงนะ ไม่งั้นตั้งแต่โบราณจนปัจจุบันของเรามา ของเราอาศัยช้างมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นการชักลากซุง ช่วยในการทำมาหากิน ก็ดี เป็นพาหนะเดินทางก็ดี ถึงขนาดออกศึกออกสงคราม ขนาดทางจีนเขาบันทึกไว้เขาเรียกคนไทยว่าพระเจ้าช้างเผือก
    ถาม : สมาธิหมุนคืออะไร
    ตอบ: สมาธิหมุนก็คือ อาณาปานสติธรรมดานี่เอง เพียงแต่ว่าเอาสติไปเร่งจังหวะให้มันเร็วขึ้น เร็วขึ้น ๆ เท่านั้น
    ถาม : นอนภาวนาครึ่งหลับครึ่งตื่น รู้สึกว่าตัวเหวี่ยงเร็วมาก แล้วนึกว่าให้มันช้าลง ๆ
    ตอบ: เสียดาย ถ้าหากว่าปล่อยตอนนั้นนี่ ถ้ามันเต็มที่มันจะหลุดไปเป็นมโนฯเต็มกำลังเลย จะเรียกว่าสมาธิหมุนก็ได้
    ถาม : วัดเทพนิมิต ศาลายา เอาเทปหลวงพ่อวัดท่าซุงไปเปิดก่อนกรรมฐาน แปลกใจ ?
    ตอบ: ก็มีสิทธิ์นี่นา เขาเคารพหลวงพ่อ เขาฝึกตามแบบหลวงพ่อเขาสอนได้อยู่แล้ว เราไม่ได้เติม ไม่ได้สงวนลิขสิทธิ์ แถวนครปฐมก็หลายวัด
    ถาม : (ไม่ชัด)
    ตอบ: ทำให้มันต่อเนื่อง ถ้าสภาพจิตมันสืบเนื่องกันตลอด อารมณ์ใจเป็นสมาธิทรงตัวอยู่ไม่...มาก แค่ระดับปฐมฌานเท่านั้น ของเราที่ทำมันทำ ๆ ทิ้ง ๆ พอทิ้งเมื่อไหร่ ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ก็กำเริบ แล้วถึงเวลามาปล้ำมัน จะให้มันลงใหม่ มันก็ยาก ต้องทำต่อเนื่องตลอด ทุกลมหายใจเข้า - ออกได้ยิ่งดี
    ถาม : ถ้าดูตรงอนัตตาก่อนความสกปรก... ?
    ตอบ: ถ้าหากว่าทำอย่างนั้นได้ ไม่จำเป็นต้องกายคตาฯ หรอก อะไรก็ได้ให้เห็นว่าทุกอย่างมันตาย มันพังหมด แล้วให้มันเห็นจริง ๆ สภาพจิตยอมรับ มันไม่ต้องเสียเวลาไปดูว่ามันสกปรกมั้ย แล้วกำลังใจมันเกินขึ้นไป แล้วมันยอมรับตลอดมั้ยล่ะ หรือยอมรับแป๊บเดียวเอง ทำได้แค่เพียงแต่ว่ามันยอมรับได้นานเท่าไหร่ บุคคลที่จะเป็นพระอรหันต์ทุกองค์ต้องผ่านกายคตานุสติ ไม่ผ่านไปไม่รอด เพราะอย่างน้อย ๆ ก็หากว่าปล่อยวางมันไม่ได้ ก็ต้องเบื่อมันให้ได้
    ถาม : พระอรหันต์มีอารมณ์เบื่อ ๆ ?
    ตอบ: ก็หากว่าเป็นพระอรหันต์ ท่านก็ไม่รู้จะเบื่ออะไร อารมณ์เบื่อมันเป็นของพระตั้งแต่ปุถุชน หรือว่าคนทั่ว ๆ ไปขึ้นไปจนถึงพระอนาคามี พระอนาคามีท่านเบื่อในร่างกาย เบื่อภาระต่าง ๆ ที่มันผูกพันอยู่ พอถึงเวลาท่านก็สลัดหลุดมันไปเลย อนาคาคือผู้ไร้บ้านเรือน ไม่เอาอย่างอื่นแล้ว ของพระอรหันต์ท่านอยู่สุขในธรรม มีธรรมเป็นสุขวิหาร หาความเบื่อไม่ได้ มีแต่ความสุขโดยส่วนเดียว ความทุกข์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นท่านเห็นเป็นธรรมดา ไม่ไปต่อต้านมัน อะไรที่สามารถบรรเทาได้ก็รักษาดูแลเพื่อให้มันบรรเทาให้ทุกข์น้อยลง ถ้าดูแลรักษาแล้ว ไม่สามารถจะทำให้มันดีขึ้นได้ ท่านก็ยอมรับว่ามันเป็นกฎของกรรม ยอมรับสภาพธรรมดาของมัน ไม่ฝืนมัน ท่านก็มีความสุข
    ถาม : คนหนึ่งเข้าวัด อีกคนหนึ่งไม่เข้าวัด ?
    ตอบ: อยู่กันยากจ้ะ พระพุทธเจ้าท่านบอกเอาไว้ชัดเลยว่าบุคคลที่เป็นเนื้อคู่กัน ต้องมีทานเสมอกัน มีศีลเสมอกัน มีปัญญาเสมอกัน อันใดอันหนึ่งบกพร่องก็รังแต่จะขัดกัน แล้วเกิดการทะเลาะเบาะแว้ง ถ้าขัดกันมาก็คงต้องเลิกรากันไป ทาน ศีล ภาวนา ต้องเสมอกัน คงจะยากนะ ตัดใจบวชชีเสียเถอะลูก เดี๋ยวนี้เขาส่งหาคู่ทางอินเตอร์เน็ตไม่ใช่เหรอ เฮ้อ...ไอ้การแต่งงานน่ะลูก มันเหมือนกะซื้อหวยแล้วหวังรางวัลที่ ๑ แต่ละงวด ๆ มันพิมพ์มากี่สิบกี่ร้อยล้านก็ไม่รู้ แล้วมันก็มีรางวัลที่ ๑ อยู่รางวัลเดียวอย่างนี้ ลำบากจ้ะ
    เอกายโน อะยัง ภิกขเว มัคโค สัตตานัง วิสุทธิยา พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า เป็นหนทางของคนเดียว สามารถนำพาสัตว์เข้าถึงความบริสุทธิ์ สองคนก็ไม่ใช่ โสกะปริเทวานัง สมติกะมายะ สามารถล่วงพ้นความทุกข์โศกทั้งหลายได้ ทุกขโทมนัส สานัง อัตถังคะมายะ ล่วงพ้นความทุกข์ความเศร้าเสียใจได้ ยายัสสะ อธิคะมายะ ธรรมทั้งหลายก็เจริญ จัตตาโร สติปัฏฐานา อันนี้เรียกว่า สติปัฏฐานทั้ง ๔ กตะมาจัตตาโร ๔ อย่างมีอะไรบ้าง อิธะ ภิกขเว ดังนี้ ภิกษุทั้งหลาย กาเย กายานุปัสสี วิหรติ ท่านให้พิจารณากายในกาย ว่าต่อไม่ได้ค่ะ เดี๋ยวหนูบรรลุ
    ธรรมดาของการเกิดมา ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ เป็นสมบัติประจำร่างกายนี่ เมื่อเราอาศัยอยู่ในร่างกายนี้ มันต้องมีเป็นปกติธรรมดา เพียงแต่ว่ามันอยากมี ก็ให้มันมีไป เราไม่ไปใส่ใจกับมันก็หมดเรื่อง รัก โลภ โกรธ หลง ถ้าหากว่าเราไปนึกคิดปรุงแต่งกับมัน มันก็จะสนุกสนานไปใหญ่โตเลย ถ้าเราไม่ไปนึกคิดปรุงแต่งกับมัน ก็เหมือนกับก๋วยเตี๋ยวปรุงใส่น้ำเปล่า ๆ ไม่มีชูรส ไม่มีน้ำปลา ไม่มีน้ำส้ม ไม่มีพริกขึ้นมา มันไปไม่รอดหรอก จืดสนิท ตายแหงแก๋ สำคัญตรงที่ว่าเราอย่าเผลอไปร่วมมือกับมัน ถ้าเผลอไปร่วมมือกับมัน ตัวจิตสังขาร คือตัวปรุงแต่ง มันก็ปรุงไปเรื่อย ต้องหล่ออย่างนั้น ต้องสวยอย่างนี้ไปเรื่อยเปื่อย ก็ทำให้ราคะ โลภะ โทสะ โมหะกำเริบ
    ถ้าเราหยุดอยู่กับการภาวนา หยุดอยู่กับลมหายใจเข้าออก ไม่ปล่อยให้จิตเคลื่อนไปในอดีต แล้วก็ไม่ให้ไปในอนาคต หยุดอยู่เฉพาะหน้า เป็นอันว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ทำอันตรายเราไม่ได้ เพราะงั้นอย่าเผลอไปร่วมมือกับมัน ร่วมมือกับมันเมื่อไร ก็มีแต่จะพาให้เราทุกข์ แค่รักเขาก็ทุกข์แล้วเห็นเขาว่า ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ เริ่มรักก็เริ่มหลง พอหลงแล้วก็หวาดระแวง พอหวาดระแวง คราวนี้ก็ชักจะกินไม่ได้ นอนไม่หลับ มันไปของมันเรื่อยแหละ เพราะงั้นต้องระวังให้ดี รักษาไว้ให้ดี ไม่มีใครรักเราเท่ากับตัวเราเอง คนไหนมันบอกว่ามันรักเรามาก ขาดเราไม่ได้ ให้มายืนคู่กัน แล้วเราเอาถ่านร้อน ๆ แดง ๆ วางบนหัวมันพร้อมกันดูสิ จะปัดของใครก่อน ถ้ารักคนอื่นมาก ต้องปัดให้คนอื่นก่อน เห็นปัดให้ตัวเองทุกทีเลย ลองดูมั้ย ? มาถึงก็ถ่านแดง ๆ คนละก้อน หย่อนใส่หัวมัน เธอรักฉันมาก เธอต้องปัดให้ฉันก่อน ไม่มีซะหรอก ปัดของมันเองก่อน
    ในเมื่อเรารักตัวของเราเอง ก็ให้รักในทางที่ถูก เมตตา...ตัวของเราเอง ก็อย่าทำชั่ว เพราะว่าการทำชั่ว พาให้เราตกสู่อบายภูมิ ต้องเกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน ทนทุกข์ทรมานนับชาติไม่ถ้วน ถ้าหากว่ารักตัวเอง ให้ตั้งใจปฏิบัติ ทาน ศีล ภาวนา ให้มากไว้ ถึงเวลาตัวเองจะได้รับแต่ผลดี หลวงปู่มหาอำพันท่านว่า รักษาตัวกลัวกรรมอย่าทำชั่ว จะหมองมัวหม่นไหม้ไปเมืองผี จงเลือกทำแต่กรรมที่ดีดี จะได้มีความสุขพ้นทุกข์ภัย
    อยู่ใกล้พ่อก็ดีขึ้นมาจึ๋ง ห่างอีกก็ไปยาว เอาเหอะอย่างน้อย ๆ มันก็ยังมีอยู่บ้าง อย่าให้ตลอดชีวิต ๓๐ กว่าปีมันเลวซะหมดละกัน
    การที่คนเราจะรักกัน จะแต่งงานแต่งการอยู่กินเป็นคู่ครองกัน พระพุทธเจ้าบอกว่าเกิดจากสาเหตุ ๒ ประเภทด้วยกัน ประการที่หนึ่งเรียกว่า บุพเพสันนิวาส บุพพะ บุพเพแต่ปางก่อน สันนิวาสการอยู่ร่วม การอยู่ร่วมกันมาแต่ปางก่อน แสดงว่าเคยเป็นคู่กันมา ท่านทั้งหลายเหล่านี้ถ้าเกิดเป็นคู่กันมาหลายชาติหลายภพ ถ้าเจอหน้ากันมันหลีกไม่พ้น ประเภทเห็นปุ๊บ ปิ๊งเลย ที่วัยรุ่นสมัยนี้เขาว่าอะไร ใช่เลย ไม่ของมันน่ะ ใช่แล้วเลย ส่วนใหญ่มันใช่ไม่จริง เพราะว่าคนเราไม่ได้เกิดชาติเดียว แต่ละชาติแต่ละภพเกิดมาก็ไม่ใช่หมายความว่าจะเจอคนเดิมตลอดไป เพราะฉะนั้นมันก็จะมีใช่เลย ใช่เลย ๆ ไปเรื่อย ๆ ระวังเอาไว้ให้ดี คนเราถ้าไม่มีศีลควบคุมก็จะใช่ไปเรื่อย ยิ่งใช่มากเท่าไรก็ลงนรกไปมากเท่านั้น
    ส่วนอีกอย่างหนึ่งท่านว่าเกิดจากการเกื้อกูลกันในปัจจุบัน จนเห็นอกเห็นใจกัน ดังนั้นไม่ใช่หมายความว่า ถ้าไม่ใช่เนื้อคู่ คือไม่ใช่บุพเพสันนิวาสแต่ปางก่อน แล้วจะแต่งกันไม่ได้ เสร็จแล้วการแต่งงานกันไปมันก็ต้องลดทิฐิมานะลง ต่างคนต่างต้องฟังอีกฝ่ายหนึ่ง เพราะตอนนี้มันเป็นสภาพครอบครัวแล้ว ไม่ใช่ตัวคนเดียว เราจะเคยทำอะไรก็ทำอย่างนั้นไม่ได้ ตอนนี้มันแบกขันธ์ ๕ ขึ้นมาเป็นขันธ์ ๑๐ แล้วนี่ ขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ของตัวเอง คนเดียวมันก็แย่แล้ว ไปหาเข้ามาขันธ์ ๑๐ คราวนี่แย่ตรงที่ว่าก่อนนี้ ถึงเวลากิน เราไม่กินก็ได้ คราวนี้ถึงเวลากินขึ้นมา นี่เราไม่กิน มันได้อยู่ แต่เขาไม่กินไม่ได้เพราะเขาหิวแล้ว มันก็ต้องทุกข์ในการหามาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเขาเพิ่มอีกคนหนึ่ง มีลูกขึ้นมาก็เป็นขันธ์ ๑๕ มี ๒ ลูกก็ขันธ์ ๒๐ มีแต่จะทุกข์หนักขึ้นไปเรื่อย ๆ บรรดาเทวดาจ้อย นางฟ้าจิ๋ว นี่มันเจ้านายใหญ่ ถึงเวลาพ่อเจ้าประคุณ แม่เจ้าประคุณจะเอายังไงก็แหกปากจ๊ากจึ้นมา ก็ต้องตามใจ ไม่ตามใจก็เสร็จ เพราะว่าเขามีการร้องไห้เป็นกำลัง ผู้หญิงมีน้ำตาเป็นกำลังใช่มั้ย ? ถ้าหากว่าถึงเวลาความทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้มันมีแต่จะพอกพูนเพิ่มขึ้น ๆ แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ
    พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ว่า การกินหนึ่ง การนอนหนึ่ง การเสพกามหนึ่ง การเสวยอำนาจหนึ่ง บุคคลจะไม่มีวันเบื่อเด็ดขาด ยกเว้นผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร พยายามหลีกหนีมันให้ได้เท่านั้น การมีเนื้อคู่ถือว่าเป็นการเสพกามใช่มั้ย ? เพราะฉะนั้นการกิน การนอน การเสพกาม การเสวยอำนาจอยู่ คนจะไม่เบื่อ มีอยู่อย่างเดียวก็คือว่า พยายามหลีกหนีมัน เพราะเห็นโทษเห็นภัย ก็ลองคิดดูว่าเราอยู่คนเดียวสบายละ เหนื่อยจากงานมานอนแผ่หลาไม่อาบน้ำก็ได้ ไม่กินข้าวก็ได้
    คราวนี้กลับมาบ้าน เจ้านายใหญ่นั่งรอยอยู่ ต่างคนต่างเหนื่อยมา แทนที่จะช่วยเราไม่มีหรอก รอเราช่วยอย่างเดียว มันแทนที่จะทุกข์คนเดียวก็เลยทุกข์หนักขึ้น แล้วอะไรจะเกิดขึ้น ถ้าหากว่าวันไหนเหนื่อยมาก ๆ แล้ว สติแตกกลับมาแทนที่เราจะช่วยกัน เปล่าหรอก นั่งเต๊ะจุ๊ยอ่านหนังสือพิมพ์รอเราทำกับข้าว โอ๊ยแทบจะขาดใจ มาจากที่โน่น มาถึงจะสลบเหมือด ก็ต้องมาเจอเจ้านายใหญ่อีก ไม่เป็นไรจ้ะ ค่อย ๆ ดูไป อนุญาตให้ลอง ทดลองแล้วไปไม่รอดแล้วค่อยว่ากัน
    หลายคนเขาบอกว่า แต่งงานเพราะถึงเวลาแก่ตัวไปจะได้มีคนดูแล ฝันไปเถอะ แก่ตัวไปแล้วล้วนแล้วแต่มีคนให้เราดูแล ฟังให้ดี ๆ ไม่ใช่แก่ตัวไปจะได้มีคนดูแล แก่ตัวไปจะได้มีคนให้เราดูแล แต่งไปไม่ต้องฝันหรอกว่ามันจะดูแลเรา รับรองได้รายไหนรายนั้น แล้วต้องไปดูแลเขาทั้งนั้น
    สมัยก่อนหมวยนี้ไปกับหลวงพ่อบ่อย ๆ เขาก็ซึมซับเอาสิ่งต่าง ๆ ที่หลวงพ่อพาไป ไม่ว่าจะเป็นทาน ศีล ภาวนา รับเข้าไป ๆ บวกกับการปฏิบัติของตัวเอง เขาตั้งใจว่าไม่แต่งงาน ทางบ้านพ่อเอย แม่เอย อากู๋ อากิ๋มอะไรให้ยุ่งไปหมด พยายามจะแงะให้แต่งให้ได้ แกก็ฝืนมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ มีแต่คนเปลี่ยนความคิดละ พูดว่าเป็นหมวยนี้ก็สบายจังเลยเนอะ มันชักเห็นทุกข์แล้วตอนก่อนนี้ล้วนแต่ว่าทุกข์น่ะดี มีครอบครัวไหนบ้างที่ไม่ทะเลาะกัน ถามจริง ๆ หนูเคยเห็นมั้ย ? ดีแสนดีมันต้องมีวันผีเข้าซักวันหนึ่ง
    อยู่คนเดียวเปลี่ยวกายแสนสบายแต่ไม่สนุก อยู่สองครองทุกข์ถึงสนุกก็ไม่สบาย เลือกเอาก็แล้วกัน
    พระเจ้าฑีฆีติโกศล ตรัสกับฑีฆาวุกุมารว่ารักยาวให้บั่น รักสั้นให้ต่อ เพราะฉะนั้นถ้าเห็นแก่อนาคตอันยืดยาวเบื้องหน้า อยากจะไปดี รักในการปฏิบัติธรรม เพื่อความหลุดพ้นจริง ๆ ก็รีบ ๆ ตัดกรรมซะ รักยาวให้บั่น ถ้าเห็นแก่ความสุขเฉพาะหน้าในระยะสั้น ๆ รักสั้นให้ต่อ สร้างกรรมต่อไปไม่มีใครว่า พระเจ้าฑีฆีติโกศลโดนพระเจ้าอชาตศัตรูบุกแคว้นโกศลน่ะ จับได้ไปประหารชีวิต เพื่อยึดเอาแว่นแคว้นมาเป็นของตัว ฑีฆาวุกุมารซึ่งเป็นลูกชายหลบไปได้ ถึงเวลาเขาประหารชีวิตก็ย่องมาดู พ่อก็รู้ว่าลูกชายต้องอยู่แถว ๆ นั้นก็เลยตะโกนบอก รักยาวให้บั่น รักสั้นให้ต่อ คนอื่นฟังไม่เข้าใจ แต่ฑีฆาวุกุมารฟังแล้วเข้าใจเลย
    คราวนี้ก็พยายามไปร่ำเรียนวิชาศิลปะศาสตร์อะไรต่าง ๆ นานา จนกระทั่งเติบใหญ่ขึ้นมาก็ไปสมัครเป็นข้าราชบริพารในสำนักพระเจ้าอชาตศัตรู จะได้หาโอกาสฆ่าพระเจ้าอชาตศัตรูเพื่อล้างแค้นให้พ่อ มีอยู่วันหนึ่งพระเจ้าอชาตศัตรูออกเสด็จประพาสป่าพร้อมด้วยข้าราชบริพาร ฑีฆาวุกุมารตอนนั้นเป็นมหาดเล็กตัวโปรด ก็ทำหน้าที่สารถีขับรถให้ ฑีฆาวุกุมารก็แกล้งให้ม้ามันตกใจ วิ่งเตลิดเปิดเปิงจะได้ทิ้งพวกข้าราชบริพารให้ไกล ๆ จนกระทั่งเตลิดเข้าไปในป่าลึก พระเจ้าอชาตศัตรูเหนื่อยเต็มที่ ก็บอกพักก่อนเถอะ เราไม่ไหวแล้ว ฑีฆาวุกุมารก็พัก พระเจ้าอชาตศัตรูก็หนุนตักฑีฆาวุกุมารก็หลับเหนื่อย พระเจ้าแผ่นดินไม่ใช่ว่าประเภทได้มาออกกำลังหนักหนาอย่างเรา ฑีฆาวุกุมารเห็นได้โอกาสก็เลยชักมีดสั้นที่ซ่อนไว้ จะจ้วงซะให้เต็ม ๆ ก็นึกถึงคำพูดของพ่อว่า รักยาวให้บั่น รักสั้นให้ต่อ ก็ลดมีดลง พอขยับจะแทงอีก นึกได้ก็ลดมีดลง ๓ ครั้งด้วยกัน พระเจ้าอชาตศัตรูลืมตาขึ้นมาจ๊ะเอ๋เข้าพอดีก็ตกใจ ร้องขอชีวิต ถามฑีฆาวุกุมารว่าเป็นใคร ฑีฆาวุกุมารก็เล่าให้ฟังว่าเป็นลูกของพระเจ้าฑีฆีติโกศล พระเจ้าอชาตศัตรูก็สำนึกได้ว่า ตัวเองไม่ควรที่จะไปแย่งบ้านชิงเมืองคนอื่นเขาถึงขนาดนั้น ทำให้เดือดร้อนกันไปหมด ฑีฆาวุกุมารก็บอกว่าไม่ต้องกลัวหรอก ตอนนี้เชื่อในสิ่งที่พ่อบอก ก็ให้อภัยพระเจ้าอชาตศัตรูแล้วแต่ว่าต่อไปจะไม่อยู่รับราชการ เพราะการอยู่ใกล้พระราชาเหมือนกับการอยู่ใกล้เสือหรือไฟ จะโดนเสือกัด โดนไฟไหม้เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ จะขอลาออก พระเจ้าอชาตศัตรูก็ได้สำนึกเห็นในความมีน้ำใจ แล้วก็เห็นแก่บุญคุณที่ไว้ชีวิต ก็เลยบอกไม่เป็นไรหรอกเดี๋ยวจะยกแคว้นโกศลคืนให้ เธอกลับไปครองแว่นแคว้นของเธอตามเดิมก็แล้วกัน เรื่องก็เลยแฮปปี้เอ็นดิ้ง ไอ้คำว่าเวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวรก็มาจากเรื่องนี้แหละ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...