พระอาจารย์กฤต ฐิตวิริโย (วิชาสาลิกาเหินฟ้า)

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธัชกร, 20 สิงหาคม 2009.

  1. ธัชกร

    ธัชกร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    267
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,040
    พระครูปลัดกฤต ฐิตวิริโย (พระอาจารย์โต) วัดพระบาทปางแฟน อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่
    พระอาจารย์กฤต ฐิตวิริโย (พระอาจารย์โต) สกุล อินทรานาคะไชย ผู้เป็นหน่อเนื้อนาบุญของพุทธศาสนา หนึ่งในไตรลักษณ์ของศาสนา ที่จาริกเดินบนเส้นทางแห่งพระสุปฏิปัณโณ สืบทอดตามแนวทางของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระบรมศาสดา ที่แตกหน่อชูช่อบานสะพรั่งพลิ้วไสวเล่นลม หมดหวนบน แผ่นดินล้านนา นับเป็นรูปล่าสุดในปัจจุบัน ที่เราสามารถสัมผัสรังสี แห่งธรรมได้ กับพระอาจารย์โต แห่งวัดพระบาทปางแฟน อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่
    พระอาจารย์กฤต ฐิตวิริโย ถือกำเนิดเมื่อ วันพุธ ที่ 28 ม.ค. 2519 ที่บ้านทุ่งแล้ง อ.ลอง จ.แพร่ เป็นบุตร ของโยมพ่อสันติ์ โยมแม่บัวผัด อินทรานาคะไชย เป็นบุตรคนโต ในจำนวนพี่น้อง 5 คนดังนี้
    พระอาจารย์กฤต ฐิตวิริโย
    นายมนุญ อินทรานาคะไชย
    นายพินิจ อินทรานาคะไชย
    คุณศศิธร อินทรานาคะไชย
    นายสุริยา อินทรานาคะไชย
    โยมแม่ของพระอาจารย์ โต เล่าให้ฟังว่า ขณะตั้งครรถ์แก่จวนคลอด ได้นิมิตเห็นมีดวงแก้วสีเขียว สดใสมากดวงหนึ่ง ดวงโตเท่าลูกมะพร้าวลอยมาหา และลอยหายไปในท้องจึงได้ตกใจตื่น และปวดท้องจะคลอด พอดีวันนั้นฝนตกหนักมากคุณพ่อจึงได้ไปตามหมอตำแยในหมู่บ้านมาดู และช่วยทำคลอด ในขณะที่พระอาจารย์โตคลอดนั้นก็ได้เกิดเหตุมหัศจรรย์ขึ้นคือ แผ่นดินไหวพอดี เหมือนเป็นปาฏิหาริย์ และปรากฏว่าพอพระอาจารย์คลอดออกมา มีสายรกนั้นพันอยู่เต็มรอบตัว ซึ่งชาวล้านนาส่วนใหญ่เชื่อกันว่าเด็กที่เกิดมาแล้วมีสายรกพันตัวนั้นคือผู้มีบุญมาเกิด และจะได้บวชในพระพุทธศาสนา เมื่ออายุได้ 4 ขวบคุณพ่อได้พาไปหาคุณปู่ที่บ้านสองแคว อ.เมืองแพร่ ซึ่งคุณปู่ท่านก็บอกกับคุณพ่อว่า หลวงปู่พระเจ้าคุณดาบส สุมโณ ซึ่งได้มาจำพรรษาที่ป่ามะม่วง ของคุณปู่ที่บ้านสองแควและคุณปู่คอยอุปถัมภ์ท่านเสมอ ๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง ท่านได้บอกกับคุณปู่ว่าอีกไม่นานจะได้เห็นหลานชายเป็นผู้มีบุญมาเกิด คือฝนจะตก แผ่นดินจะไหว และที่สำคัญจะมีสายรกพันตัวด้วย และเมื่อเขาพอจะจำความได้ ให้มอบของพวกนี้ให้กับหลานคนแรก
    ที่ถือกำเนิดมาตอนแผ่นดินไหว และเมื่อเขา (ของเหล่านั้นที่หลวงปู่ดาบสมอบให้พระอาจารย์ขอปิดเป็นความลับ) โตขึ้นจะได้บวชในพระพุทธศาสนาจะเป็นคนมีชื่อเสียง และจะได้เป็นที่พึ่งของปวงชน แต่เมื่ออายุครบ 30 ปีแล้วก็จะหมดบุญแต่จะมีผู้มีบุญบารมีมากๆ มาช่วยขอต่ออายุให้ และขอให้ช่วยกันเลี้ยงให้ดีๆ จากนั้นท่านก็เดินจากไปจำพรรษาที่ถ้ำจักรพรรดิ์ อ.ลอง ก่อนจะไปอยู่จำพรรษาที่อาศรมไผ่มรกต จ.เชียงราย จนกระทั่งมรณภาพ และทิ้งหัวใจที่ไฟไม่ไหม้ไว้ให้ดูต่างหน้า ให้ผู้คนได้รำลึกไว้เสมอว่า ไม่มีอะไรในโลกนี้ ที่เป็นไปไม่ได้
    สัมผัสสิ่งศักดิ์สิทธิ์ีครั้งแรก ชีวิตในวัดเด็กของพระอาจารย์โตนั้น ก็เหมือนเด็กชาวบ้านทั่วไป ที่ต้องมีหน้าที่รับผิดชอบช่วยพ่อแม่ทำงานบ้านทุกอย่าง ทั้งตักน้ำ ผ่าฝืน ทำอาหาร แต่เป็นที่น่าแปลกอย่างหนึ่งคือ พระอาจารย์ไม่ชอบฆ่าสัตว์ วันหนึ่งพระอาจารย์เกิดป่วยอย่างหนักตัวร้อนเหมือนไฟเผา ทานยายังไงก็ไม่หายทานอาหารก็อาเจียนออกมาหมด มีอาการอ่อนเพลียมาก ตาแดงก่ำด้วยพิษไข้ จนรู้สึกเบลอๆ ไป ขณะนั้นเองก็มีความรู้สึกว่ามีผู้หญิงสวยมากคนหนึ่ง นุ่งห่มผ้าสีสันสวยงาม เดินเข้ามาหา ตรงหน้านั่งอยู่ข้างๆ และเอามือลูบศรีษะพระอาจารย์เบาๆ พูดด้วยเสียงนุ่มนวลว่า ไม่ต้องกลัวนะต่อไปนี้ จะคอยตามดูแลตลอดไป พักผ่อนนะเดี๋ยวทุกอย่างจะดีเอง พระอาจารย์ก็พูดไม่ออกในตอนนั้น ขยับเขยื่่อนก็ไม่ได้ แต่เธอก็ยิ้มให้อย่างมีเมตตา แล้วก็หายไป พอรุ่งเช้าอาการป่วยของพระอาจารย์ที่หนักเจียนตาย กลับหายไปอย่างน่าอัศจรรย์ จึงได้ถามพ่อแม่ว่ามีใครมาหาบ้างตอนที่นอนป่วยอยู่ และแต่งตัวอย่างที่เห็น ก็ได้รับคำตอบว่าไม่มี พระอาจารย์จึงเก็บความสงสัยนั้นไว้ตลอดมา สำหรับส่วนตัวของพระอาจารย์เองนั้น มีนิสัยชอบที่จะไปพบหาพระธุดงค์หลายรูป จึงทำให้พระอาจารย์มีความผูกพันกับชีวิตพระธุดงค์ จึงได้ตั้งความปรารถนาว่า เมื่อโตขึ้นในภายหน้าจะต้องบวชเรียน และเดินธุดงค์ตามรอยครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ดังนั้นพระอาจารย์จึงติดนิสัยชอบปลีกหาความวิเวก ไปอยู่ตามป่าเขาเสียเป็นส่วนใหญ่
    ในปี 2531 ขณะนั้นได้บรรพชาเป็นสามเณร อยู่ที่วัดศรีดอนคำ ซึ่งเป็นวัดที่พระนางจามเทวีสร้างบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าไว้ ด้วยความเป็นคนที่ขอบในการปฏิบัติธรรมมาตั้งแต่เกิด จึงทำให้พระอาจารย์เคารพในสิ่งศักดิ์สิทธิ์สวดมนต์ไหว้พระเสมอๆ และรำลึกนึกถึงบุญคุณของพระนางจามเทวี ที่ได้สร้างสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ไว้ให้ได้บูชาสักการะ คืนวันหนึ่ง พระอาจารย์ได้นิมิตไปว่ามีสตรีวัยกลางคนมาหา แต่ไม่ใช่ีคนเดิมที่เคยเจอก่อนบวช เพราะดูมีอายุกว่ามาบอกว่า ท่านคือ พระนางจามเทวี ปฐมวีรกษัตริย์แห่งเมืองหริภุญชัย มาเพื่อจะบอกว่าในวันข้างหน้า พระอาจารย์โตนั้นจะเป็นผู้มีส่วนช่วยท่านเสริมสร้างบารมี ให้ขจรขจายไปทั่วสารทิศ เพราะเคยมีอดีตชาิติที่เกื้อหนุนกันมาก่อน ท่านยังบอกในนิมิตว่าพรุ่งนี้เช้าหากท่านไปบิณฑบาต จะมีคนนำสไบสีเขียวมาถวาย ใ้ห้ท่านนำไปห่มอนุสาวรีย์ของท่านที่วัดศรีดอนคำ อ.ลอง จ.แพร่ให้ด้วย จากนั้นท่านก็หายไป จนกระทั่งเช้า พระอาจารย์ก็ไปบิณฑบาิตเดินจนเกือบจะถึงวัด ก็ยังไม่มีใครเอาสไบสีเขียว มาถวายสักผืน จึงไม่ได้ใส่ใจคิดว่าฝันก็คือฝัน แต่ขณะกำลังจะก้าวเข้าสู่ประตูวัดก็ได้ยินเสียงหญิงชาวจีน วัยกลางคนนิมนต์รับบาตร เขาหยิบข้าวและอาหารคาวหวานครบ และสิ่งที่ทำให้พระอาจารย์ตกใจมาก ก็คือผ้าผืนสีเขียวตองอ่อนผืนหนึ่ง ที่เขาบรรจงหยิบขึ้นมา พร้อมกับกล่าวว่า เมื่อคืนพระนางจามเทวี มาเข้าฝัน ให้เอาผ้าสไปสีเขียวมาใส่บาตรถวายเณรรูปร่างลักษณะอย่างนี้ๆ ก็เฝ้ารอตั้งนานแต่ไม่พบ จนมาพบพระอาจารย์จึงคิดว่าใช่ตามที่ฝัน จึงมาดังรอใส่บาตร พระอาจารย์จึงได้นำผ้าสไบชิ้นนั้น ไปห่มถวายอนุสาวรีย์องค์ท่านทันที และเริ่มสนใจศึกษาเกี่ยวกับองค์เทพ พรหมและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ว่ามีอยู่จริงหรือไม่ และเริ่มหักเหชีวิตจากฝักใฝ่ในการเรียนก็กลับเริ่มฝึกปฏิบัติกรรมฐานตั้งแต่นั้นมา
    ชีวิตหันเหจากเรียนเป็นธุดงค์ จากการที่พระอาจารย์ชื่นชอบการปฏิบัติกรรมฐานในพระธุดงค์เป็นอย่างมาก จึงได้แอบไปตามป่าเขาลำเนาไพร หรือที่เรียกว่าธุดงค์ จุดมุ่งหมายจุดแรกของการออกเผชิญชีวิตของสามเณร ซึ่งเมื่ออยู่ที่วัดก็ถูกเหยียดหยามจากพวกพระภิกษุสารเณรด้วยกัน หาว่าบ้าเพราะไม่ยอมเข้าสังคมเอาแต่นั่งสวดมนต์ หนังสือหนังหาไม่ยอมเรียน จึงคิดหลบไมหาที่สงบ ไปนั่งในป่าช้าบ้าง ตามชายป่าบ้าง แต่หาได้พ้นสายตาของผู้คน กลับพากันมารบกวน และเล่าลือกันไปต่างๆ นาๆว่า สารเณรโตนี้คงจะเพี้ยน เพราะสวดมนต์มากจนเกินไป จึงขอลาหลวงปู่เจ้าอาวาสคือหลวงปู่แก้ว (พระครูเกษมรัตนคุณ) วัดศรีดอนคำ โดยบอกว่าจะไปออกแสวงหาครูบาอาจารย์สอนกรรมฐาน มีจุดมุ่งหมายไปที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เพื่อแสวงหาครูบาอาจารย์ฝึกสอนกรรมฐาน โดยได้รับคำแนะนำจากครูบาสมจิต จิตคุตโต วัดสะแล่งก่อนมาว่า ขอให้ตั้งใจบำเพ็ญเพียรให้ดี แล้วจะสำเร็จตามที่ตั้งใจ จึงตั้งใจไปหาพระอาจารย์วิชัย เขมีโย วัดถ้ำผาจม แต่บังเอิญช่วงนั้นท่านได้เดินทางไปต่างประเทศ ทางวัดจึงจัดที่พักค้างคืนได้ 7 วัน พระอาจารย์จึงใช้สถานที่ในถ้ำผาจมนั้นบำเพ็ญภาวนา นี่เป็นช่วงชีวิตที่หักเหเริ่มธุดงค์ครั้งแรกในชีวิต
    วันต่อมาพระอาจารย์ได้พบภิกษุลึกลับที่จำพรรษาอยู่บริเวณเดียวกันกับวัดถ้ำผาจม ซึ่งท่านได้เมตตาสอนการปฏิบัติกรรมฐานอยู่อย่างพระธุดงค์ โดยเดินทางข้ามไปฝั่งพม่า เข้าป่าฝึกธุดงค์กรรมฐาน ด้วยการกำหนดจิตขั้นพื้นฐาน ด้วยการปล่อยวางไม่เข้าไปยึดมั่นถือมั่น ในเหตุปัจจัยแห่งสัญญาของรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ทำให้อาจารย์ได้รู้สัจธรรมความจริงของชีวิต ทั้งด้านดี และเลวอย่างถ่องแท้
    นอกจากนี้อาจารย์ยังได้ศึกษาเรียนรู้การเจริญอาณาปานสติกรรมฐาน ด้วยการกำหนดสมหายใจเข้าออกที่สามารถกระทำการเจริญได้ 4 อัปกริยา ด้วยการยืนทำสมาธิ เดินจงกรม นั่งสมาธิและนอนทำสมาธิ
    พระอาจารย์ได้อยู้ศึกษาการเจริญสติกรรมฐาน พร้อมวิชาการต่างๆ อยู่ระยะหนึ่ง ก็ลาจากภิกษุลึกลับ กลับมาฝั่งไทย ที่อ.แม่สาย ก่อนลาจากภิกษุลึกลับกลับท่านได้เรียกเข้ามาพบ และได้ยื่นคัมภีร์เก่าๆ ให้อาจารย์ พร้อมกำชับให้ไปศึกษาคาถาในคัมภีร์ให้เข้าใจ เพื่อจะได้นำเอาไปสงเคราะห์ญาติโยมในวันข้างหน้า ตราบใดที่ยังไม่ได้เป็นเจ้าอาวาส ห้ามนำเอาออกมาใช้อย่างเด็ดขาด เพราะจะเป็นภัยกับตัวเณรเอง
    เมื่อลาจากภิกษุลึกลับแล้วก็เดินทางกลับมาที่แพร่ และเตรียมเดินทางต่อไปภาคกลาง โดยมีจุดมุ่งหมายที่ จ.สิงค์บุรี คือที่ัวัดชูศรีเจริญสุข กราบฝากตัวเป็นศิษย์กับหลวงปู่บุดดา ถารโร อยู่กับท่านเกือบสองเดือน ก็พอดีหลวงพ่อคง จตตมโล วัดเขาสมโภชน์ อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี ได้มากราบหลวงปู่บุดดา ท่านจึงฝากให้ไปเรียนวิชาธรรมเปิดโลกกับหลวงพ่อคง พอฝึกจนคล่องพอตัว จากนั้นก็กราบลาท่านลงไปใต้ โดยมีคนแนะนำพาไป จ.สงขลา อ.นาทวี และได้รับใช้หลวงปู่พระครูประสูตโสภณ (อั้น คุณกาโม) ณ.วัดในวัง
    อุปสมบท (ในพระราชูปถัมภ์) ในปีนั้นสมเด็จย่าทรงประชวรบ่อย ทางหลวงพ่อเจ้าอาวาสจึงบอกให้อาจารย์อุปสมบทเป็นพระภิกษุเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลทางหลวงพ่อจึงได้นำเรื่องขึ้นทูลถวายสมเด็จย่าจึงได้พระราชทานทุนทรัพย์ส่วนพระองค์
    จัดงานอุปสมบท ณ วัดในวังพระอารามหลวงในพระราชูปถัมภ์
    สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และสมเด็จพระเจ้าที่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยานิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2538 โดยมีพระเดชพระคุณพระสุนทรราชมานิตเถร เจ้าอาวาสวัดในวัง (พระอารามหลวง ในพระราชูปถัมภ์) เจ้าคณะ อ.นนทวี เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูวิธานธรรมรัตน์ เจ้าคณะตำบลนาทวี วัดในวังเป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครูพิพัฒกิตติสุนทร เจ้าคณะตำบลคลองทราย วัดลำขิง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ พระครูประสูติโสภณ (อั้น คุณกาโม) วัดในวัง อายุ 98 พรรษา เป็นพระศีลาจารย์ พระธรรมกิจโกศล (นอง ธัมมภูโต) วัดทรายขาว จ.ปัตตานี เป็นพระอาจารย์สอนกรรมฐาน ได้รับฉายาว่าฐิตวิริโย แปลว่า ผู้มีความเพียรอันตั้งมั่น
    ฝึกเรียนวิชาอาคม ในด้านวิชาอาคม พ่อท่านนองบอกว่า การเล่นวิชาอาคมมั้นใจต้องนิ่ง และหนักแน่น เพราะถ้าใจเป็นสมาธิ จะทำให้การเรียนก้าวหน้าและสำเร็จดังใจหวัง ถ้าหากใจไม่มีสมาธิย่อมไม่ับังเกิดความเข้มขลัง ก่อนเรียนคาถาอาคม ให้จัดดอกไม้ ธูปเทียน ไปกล่าวขอขึ้นครูกับพระประธานในอุโบสถก่อน เป็นสิ่งที่เป็นอนัตตา คือไม่มีตัวตน เป็นเีพียงศาสตร์แขนงหนึ่งเท่านั้นเอง ท่านให้จัดพานครูแล้วก็ให้ห่มผ้า ไปนั่งสมาธิในอุโบสถ จุดเทียนธูปบูชาพระรัตนตรัยและเป็นการบูชาครูบาอาจารย์ ให้ตั้งสัจจะอธิฐานว่า ข้าพเจ้าจะขอศึกษาสรรพวิชาต่างๆ นี้จากตำราโบราณและโอษฐ์ของครูบาอาจารย์ พร้อมกล่าวต่อไปว่า ขอเดชะสิ่งศักดิ์สิทธ์ ด้วยดวงจิตและวิญญาณอันบริสุทธิ์ของข้าพเจ้า ข้าพเข้าชื่อ...........ขอระลึกถึงเหล่าพราหมณ์และฤษีทั้งหลายทั้งปวงผู้รู้เวทย์มนต์ทั้งสิ้น และขอให้พราหมณ์ และเหล่าฤษีทั้งหลายเหล่านั้น ได้เป็นสักขีที่ข้าพเจ้าจะได้ศึกษาพระเวทย์มนตราจากตำราและจากครูบาอาจารย์ ขอทุกๆท่านได้โปรดมาอำนวยพรเพื่อเสริมบารมีให้ข้าพเจ้าดุจประหนึ่งว่า พระอาทิตย์ผู้ให้แสงสว่างในเวลากลางวัน พระจันทร์ผู้ให้แสงสว่างในเวลากลางคืน แต่ด้วยอำนาจฤทธิ์เวทมนต์ของข้าพเจ้าขอให้ข้าพเจ้าจงมีอิทธิฤทธิ์ทั้งกลางวันกลางคืน ขอได้โปรดจงเกื้อหนุนด้วยชะตาของข้าพเจ้า หากข้าพเจ้าจะกระทำกิจการงานใดจงสำเร็จสมประสงค์ ด้วยเดชและอำนาจของท่าน จงทำให้คำอธิษฐานของข้าพเจ้าสัมฤทธิ์ผล บังเกิดสิริมงคลในกิจที่ทำ โอมสิทธิริ เอหิ เอหิ อาคัจฉามะ
    อนึ่งหลวงปู่อั้นนั้น เป็นที่นับถือของพ่อท่านนอง วัดทรายขาวเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นสหธรรมิกกับพระอาจารย์ทิม วัดช้างให้ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี และได้ร่วมกันสร้างพระหลวงปู่ทวดเนื้อว่านรุ่นแรก ปี 2497 ด้วย อนึ่ง อ.นาทวี จ.สงขลา และอ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานีห่างกันเีพียงแค่ 60 กิโลเมตร การสัญจรไปมาสะดวกสบายใช้เวลาเดินทางแค่ประมาณ 1 ชั่วโมงก็ถึง เมื่อหลวงปู่อั้นได้ฝากตัวอาจารย์ไปศึกษาวิทยาคมต่างๆ กับพ่อท่านนอง พ่อท่านนองจึงไม่ขัดข้อง และยอมสอนวิชาให้แต่โดยง่าย ปกติพ่อท่านนองจะไม่รับใครเป็นศิษย์ แต่ด้วยความเคารพและความเกรงใจหลวงปู่อั้น พระอาจารย์จึงถือว่าโชคดีที่ได้ฝึกกรรมฐานและวิชาอาคมต่างๆ จากท่าน วิชาที่โดดเด่นที่สุดคือวิชา สาลิกาเหินฟ้า สุดยอดเมตตามหานิยมอันลือลั่น ที่พระอาจารย์นำมาสงเคราะห์ญาติโยม พร้อมด้วยวิชาแก้กรรมพลิกดวงเสริมบารมี ตามตำราของพระภิกษุลึกลับในป่าผู้เป็นอาจารย์
    ของศักดิ์สิทธิ์ประจำตัว เนื่องด้วยพระอาจารย์นั้นปฏิบัติธรรมมาตั้งแต่เด็กจึงทำให้พบปะกับพระเกจิเถราจารย์ต่างๆ มากมาย รวมทั้งครูบาอาจารย์คฤหัสถ์จอมขมังเวทย์ทั้งหลาย ต่างก็มอบของวิเศษ ของศักดิ์สิทธิ์ให้ไว้คู่บารมีดังนี้
    1.ประคำเหล็กไหล
    2.ขวานฟ้าผ่า
    3.งากำจัด
    4.นาคบ่วงบาศ
    5.เขี้ยวหมูตัน
    6.เขี้ยวเสือ
    7.คตมะขาม
    8.คตขมิ้น
    9.คตสัมป่อย
    10.หงอนพญานาค
    11.เพขรพญานาค
    12.เก้ากวาง
    13.ไม้ไผ่ตันแทงทลุต้นไม้
    14.กะลาตาเดียว
    15.ปรอทกรอ
    16.ชานหมากกลายเป็นหิน
    17.ลูกอมเทวดา
    18.หินธิเบตแกะเป็นท้าวเวสสุวรรณ อายุกว่า 1,000 ปี
    เส้นพระเจ้า
    (ปัจจุบันพระอาจารย์โตยังคงเก็บรักษาของวิเศษเหล่านี้ไว้อย่างดี)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1118.jpg
      1118.jpg
      ขนาดไฟล์:
      39.9 KB
      เปิดดู:
      604
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 สิงหาคม 2009

แชร์หน้านี้

Loading...