"เบี้ยแก้"สารพัดแก้-กันสารพัด

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย vacharaphol, 31 สิงหาคม 2009.

  1. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    [​IMG]

    <SCRIPT type=text/javascript>var id='26481';function count(){$.ajax({ type: "POST", url: "http://www.komchadluek.net/counter_news.php", data: "newsid="+id, success: function(txt){ var counter_=parseInt(txt); $('#counters').html('จำนวนคนอ่าน '+counter_+' คน'); } });} featuredcontentslider.init({ id: "slider1", contentsource: ["inline", ""], toc: "markup", nextprev: ["Previous", "Next"], revealtype: "click", enablefade: [true, 0.1], autorotate: [true, 8000], onChange: function(previndex, curindex){ }})</SCRIPT>คมชัดลึก : เมื่อครั้งอดีต ย้อนไปในสมัยที่บ้านเมืองเข้าสู่ยุคที่มีการทำการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะเมืองจีน ซึ่งมีการทำการค้ากับประเทศสยามมานาน
    <SCRIPT type=text/javascript><!--google_ad_client = "pub-1044823792492543";/* Kom-newdesign338x280story */google_ad_slot = "7614892621";google_ad_width = 336;google_ad_height = 280;//--></SCRIPT><SCRIPT type=text/javascript src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/expansion_embed.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT>

    ในครั้งนั้น การศึกษาในแขนงต่างๆ ในบ้านเมืองของเรา หนีไม่พ้น วัด เพราะศูนย์รวมความรู้ ตลอดจนการศึกษาในครั้งอดีต เริ่มจากวัดนั่นเอง
    คนไทยในอดีต จึงมีการผูกพันกับวัดเป็นอย่างมาก จากอดีตจนถึงปัจจุบัน นอกจากพระเครื่องที่มีการสร้างเพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจชาวไทยมานานแล้ว ก็ได้มีการจัดสร้าง เครื่องราง ขึ้นเพื่อเป็นการใช้งานในด้านต่างๆ
    สรรพคุณในการใช้ เบี้ยแก้ ก็ตรงกับชื่อคือ สารพัดแก้ กันสารพัด โดยมีอุปเท่ห์การใช้ เช่น เบี้ยแก้มีอิทธิฤทธิ์ทางด้านการป้องกันคุณไสย มนต์ดำ ยาเสน่ห์ กันเขี้ยวงา หรือแม้กระทั่งกันผี เช่น ป้องกันอัตวิบากกรรม แก้ภาพหลอน จิตหลอน ภาพอุปทาน แก้อำนาจภูตผีปีศาจ อาถรรพณ์เวท ทำให้มัวเมาขลาดกลัว ขนพองสยองเกล้า ลมเพลมพัด คุณไสย คุณผี คุณคนทั้งปวงอุบาทวเหตุ อุบาทวภัยทั้งปวง มัวเมายาพิษ ยาสั่งทั้งหลาย ไข้ป่า ไข้ป้าง ไข้ผีป่า ผีโป่ง ผีปอบ ต้องกระทำจากภูตผี ผีพราย ผีตายโหง กองกอยวิกลจริต จิตวิกลวิกาล วิญญาณ อุปาทานวิกลเหมือนผีเข้าเจ้าสิงสู่ปราศจากสิ้นแล
    ให้อธิษฐานเอาน้ำมนต์ เอาดอกพุทธรักษาดอกไม้ ดอกเข็มแดงหลากสี ตั้งขันธูปเทียน ขันห้า ข้าวตอก ดอกไม้แก้บาทวพิษ บาดทะยัก อัมพาต บาดแผล ฝีมะเร็ง ฝีคุณ หัวพิษ หัวกาฬ ทรางชัก รางขนพอง สันนิบาตลูกหมา ลูกนก หลังแอ่น คางแข็ง บ้าหมู ภายนอกภายใน อาบกินด้วย ตั้งจิตหน่วงลง ในคุณพระศรีรัตนตรัยใช้ได้แล
    เมื่อเข้าศึกสงคราม ให้เอาไว้ด้านหน้า สารพัดศัตรู บีทาย่ำรุกไล่ให้เอาไว้ด้านหลัง หาเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ เจ้าขุนมูลนาย ให้เอาไว้ด้านข้างขวา เมื่อหาหญิง หานางพญาไว้ข้างซ้าย สารพัดศาสตรามิต้องข้างกายเลย ดุจฝนเสนห่า ข้าวปลาอาหารเป็นพิษ คางแข็ง เคี้ยวไม่กลืนเลยแล
    เบี้ยแก้ เป็นเครื่องรางที่ทำจากหอยจั่น หรือหอยเบี้ย ซึ่งครั้งอดีตต้องนำเข้าจากเมืองจีน และสิ่งที่ขาดไม่ได้ คือ ปรอท, แผ่นตะกั่ว, ชันโรงใต้ดิน
    คณาจารย์ผู้สร้างจะกำกับพระเวท พร้อมวัสดุที่จะทำมาให้ครบ ใส่ในพานครูพร้อมดอกไม้ธูปเทียน
    วิธีการสร้างเบี้ยแก้ คือ การนำปรอทที่ปลุกเสกแล้วเข้าไปอยู่ในตัวเบี้ย แล้วหาวิธีอุดไว้ไม่ให้ปรอทหนีออกมาได้ด้วยชันโรงใต้ดิน ที่ปลุกเสกแล้ว และหุ้มด้วยผ้าแดง หรือแผ่นตะกั่วแผ่นทองแดง แล้วจึงนำมาถักเชือก หรือหุ้ม ทำห่วงไว้ให้ ผูกเอวหรือห้อยคอ
    ขั้นตอนสุดท้าย คือ การปลุกเสกกำกับอีกครั้งหนึ่ง ปรอทที่นำมาทำเบี้ยแก้เรียกว่า ปรอทเป็น โดยเมื่อเขย่าตัวเบี้ยแก้แล้ว จะได้ยินเสียงดัง "ขลุกๆ" อยู่ในตัวเบี้ย
    ถ้าทำเบี้ยในช่วงฤดูร้อน ปรอทจะมีการขยายตัวมาก ทำให้เวลาเขย่าในสภาวะอากาศร้อน จะไม่ค่อยได้ยินเสียง "ขลุก"
    แต่ถ้าเอาเบี้ยตัวเดียวกัน มาเขย่าในช่วงอากาศหนาว ปรอทจะหดตัวลง ทำให้มีพื้นที่ว่างในตัวเบี้ยมีมาก เวลาเขย่าจะได้ยินเสียง "ขลุก" ชัดเจน
    เมื่อกรอกปรอทเสร็จแล้ว จะปิดช่องด้วยชันโรงใต้ดินที่ปลุกเสกแล้ว และหุ้มด้วยผ้าแดงหรือแผ่นตะกั่วแผ่นทองแดงแล้ว จึงนำมาถักเชือกหรือหุ้มทำห่วงไว้ให้ผูกเอว หรือห้อยคอ ขั้นตอนสุดท้ายคือการปลุกเสกกำกับอีกครั้งหนึ่ง
    เสียงของเบี้ยแก้ แต่ละตัวไม่เหมือนกัน บางตัวก็ดังมาก บางตัวก็ดังน้อย บางตัวบรรจุปรอทน้อยเกินไป การกระฉอกของปรอทจะดังคล่องแคล่วดี แต่ก็ขาดความหนักแน่น
    บางตัวบรรจุปรอทมากไป ก็อาจจะทำให้เสียงน้อย หรือไม่ได้ยินเลยก็มี
    เบี้ยแก้ ที่ผ่านการบรรจุปรอทจนกระทั่งถักหุ้มเรียบร้อยแล้ว ยังไม่ถือว่าเสร็จสิ้นขั้นตอนกรรมวิธี เพราะคณาจารย์เจ้าผู้สร้าง ท่านต้องปลุกเสกกำกับอีกครั้ง จนมั่นใจว่าใช้ได้จริงๆ แล้ว
    เล่ากันว่า คณาจารย์บางรูปสามารถปลุกเสกเบี้ยแก้จนตัวเบี้ยคลานได้เหมือนหอย
    จากที่กล่าวมาในข้างต้น เป็นวิธีการสร้างเบี้ยแก้ ซึ่งคณาจารย์และเกจิอาจารย์ผู้สร้างที่ได้รับการถ่ายทอดสืบต่อกันมา จึงถือเป็นเครื่องรางที่ได้รับความนิยมอันดับต้นๆ ของเมืองไทย
    หากจะกล่าวถึงเกจิอาจารย์ที่ได้รับการยอมรับ และรู้จักกันมากที่สุด คงได้แก่ สายวัดกลางบางแก้ว ของ หลวงปู่บุญ หลวงปู่เพิ่ม และ หลวงปู่เจือ
    สายทางวัดนายโรง ของ หลวงปู่รอด สายนี้มีการถ่ายทอดโดย หลวงปู่ทัต วัดคฤหบดี ซึ่งเป็นศิษย์ของหลวงปู่รอด อีกท่านหนึ่ง และหลวงปู่ทัตได้ถ่ายทอดให้ หลวงปู่พลอย ซึ่งปัจจุบันไม่มีการจัดสร้างเบี้ยแก้แล้ว
    ส่วน เบี้ยแก้ ของสาย อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง หลวงพ่อคำ วัดโพธิ์ปล้ำ และเบี้ยของ หลวงพ่อซำ วัดตลาดใหม่ และยังมีสายทางอ่างทองก็มี หลวงพ่อพักตร์ วัดโบสถ์ และสายลูกศิษย์ของหลวงพ่อพักตร์ ได้แก่ หลวงพ่อนุ่ม วัดนางใน หลวงพ่อคำ วัดโพธิ์ปล้ำ และของวัดท่าช้าง เป็นต้นอีกมาก ที่ยังไม่ได้กล่าวถึง ล้วนแต่ขึ้นชื่อเรื่องพุทธานุภาพ มีสรรพคุณร้อยแปดพันเก้าประการ สุดที่ยากบรรยาย ครอบคลุมทุกด้าน ป้องกันสิ่งชั่วร้าย และแก้เหตุร้ายให้กลับกลายเป็นดี
    ที่กล่าวมาทั้งหมด เป็นบันทึกอีกหน้าของมรดก ซึ่งเหลือจากครั้งอดีต
    ประวัติความเป็นมาของ หลวงปู่รอด วัดนายโรง บางกอกน้อย ธนบุรี ไม่สามารถสืบทราบได้ เนื่องจากเวลาได้ล่วงเลยมาช้านาน
    รู้แต่เพียงว่า เดิมชาติภูมิของท่านเป็นชาวบ้านบางพรม อุปสมบทที่วัดเงิน (วัดรัชฎาธิฐาน) คลองบางพรม ต่อมาได้ย้ายมาจำพรรษาที่วัดนายโรง จนกระทั่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาส
    หลวงปู่รอด เป็นพระเถระที่มีผู้เคารพนับถือ ตลอดจนลูกศิษย์ลูกหามากมาย เพราะท่านเป็นพระอุปัชฌาย์ให้การอุปสมบทผู้คน ตั้งแต่รุ่นพ่อ-ลูกจนถึงชั้นหลาน นับเป็นจำนวนไม่น้อย ตั้งแต่ย่านคลองบางกอกน้อย ไปจนถึงจังหวัดใกล้เคียง เช่น นนทบุรี ปทุมธานี ฯลฯ
    หลวงปู่รอด ท่านพำนักอยู่ที่กุฏิอันเป็นเรือนเดิมของนายโรงกรับ ซึ่งรื้อมาถวายวัด ธรรมดาท่านออกบิณฑบาตทางเรือทุกวัน เว้นแต่กรณีมีกิจอันจำเป็น หรือสำคัญ
    เรือที่ใช้นั้น ลำใหญ่กว่าเรือบิณฑบาตทั่วๆ ไป ที่ท้ายเรือ มีตัวหนังสือว่า “วัดนายโรงกรับ” และใช้ศิษย์วัดเป็นฝีพายถึง ๗ คน ชาวบ้านใกล้วัด เรียกเรือลำนี้ว่า “อีสัมพุทเธ”
    หลวงปู่รอด มีไม้เท้าซึ่งใช้ประจำอยู่อันหนึ่ง ไม่ว่าจะไปไหน ท่านจะถือไปด้วยเสมอ พวกศิษย์และชาวบ้านต่างเกรงไม้เท้านี้มาก
    วัตถุมงคลที่จัดว่าเป็นของดีอีกอย่างหนึ่งของหลวงปู่รอด ที่มีผู้แสวงหากันมาก คือ ลูกอมชานหมาก
    ปกติ หลวงปู่ท่านฉันหมากอยู่เป็นประจำ แต่ลูกอมชานหมากจะเกิดขึ้น ก็ตอนที่ประกอบพิธีทำเบี้ยแก้ ซึ่งในขณะนั้นท่านจะเคี้ยวหมาก พร้อมกับบริกรรมภาวนาไปด้วย โดยที่ไม่บ้วนน้ำหมาก หรือคายชานหมากทิ้ง
    ถ้าปรากฏว่า ท่านคายชานหมากออกมาเมื่อใด บรรดาลูกศิษย์ลูกหาที่คอยจังหวะอยู่ ก็จะรีบเก็บเอาไว้เป็นของตน ถือกันว่าเป็นของขลังที่วิเศษนัก

    ป๋อง สุพรรณ
     
  2. น้องตากลม

    น้องตากลม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +50
    หวาดดีค่าทุกคน น้องตากลมกับมาอีกเเล้วค่าพอดีช่วงนี้การบ้านเยอะมากกกกกกเลย
    ค่ะ :z3 ;aa58 qsqu he llo _ ;aa28 hello11
     
  3. anoldman

    anoldman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    1,950
    ค่าพลัง:
    +4,558

แชร์หน้านี้

Loading...