ขอเชิญท่านที่มีความจงรักภักดีและเทิดทูนในสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย จงรักภักดี, 28 เมษายน 2009.

  1. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    เจ้าพระยาพระคลัง หรือ กรมท่ากลาง

    ในหนังสือ เฉกอะหมัด ฉบับของพระยาโกมารกุลมนตรี หน้า14
    เขียนไว้ว่า

    ในแผ่นดินพระเจ้าทรงธรรมนี้ ชีวิตของท่านเฉกอะหมัดเจริญขึ้นอีก นอกจากทำการค้าขายอันเป็นกิจส่วนตัวแล้ว ยังได้ช่วยเหลือการแผ่นดินเป็นครั้งคราว คือช่วยเจ้าพระยาพระคลังคิดอ่านการกรมท่า ซึ่งทำให้การงานแผนกนั้นเจริญขึ้นอีกเป็นอันมาก เจ้าพระยาพระคลังได้กราบบังคมทูลเสนอความชอบอันนี้ของท่านเฉกอะหมัดให้ทรงทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าตั้งท่านเฉกอะหมัดเป็นพระยาเฉกอะหมัดรัตนราชเศรษฐี เจ้ากรมท่าขวา ว่าที่จุฬาราชมนตรี

    เมื่อสพโอกาสที่จะช่วยพวกพ้องบริวารของตนได้ พระยาเฉกอะหมัดได้กราบบังคมทูลพระกรุณาขอที่ดินตำบลท้ายคูให้พวกแขกบริวารตั้งบ้านเรือนอยู่ พระเจ้าแผ่นดินก็โปรดเกล้าพระราชทาน พวกแขกเจ้าเซ็นจึงได้สร้างบ้านเรือน สร้างกะฏี และทำที่ฝังศพขึ้นในที่ดินนั้น อันเป็นเหตุให้ชาวกรุงศรีอยุธยาเรียกบ้านท้ายคู ว่าบ้านแขกกะฏีเจ้าเซ็นมาจนทุกวันนี้

    อยู่มาไม่ช้า เจ้าพระยาพระคลังถึงอสัญกรรมลง สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมจึงโปรดเกล้าให้พระยาเฉกอะหมัดว่าที่กรมท่ากลางด้วย

    ดังนั้น เจ้าพระยาพระคลังในสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมจนถึงต้นสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททองนั้นก็คือ เฉกอะหมัด นั่นเอง

     
  2. ANUWART

    ANUWART เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    2,669
    ค่าพลัง:
    +14,320
    อนุโมทนาสาธุครับ

    เชิญทำบุญซื้อ อิฐ หิน ดิน ทราย เหล็ก ปูน สร้างศาลาแก้วถวายสมเด็จองค์ปฐม

    เชิญร่วมเป็นเจ้าภาพสร้างพระประธานสมเด็จองค์ปฐมและศาลาแก้วพระจุฬามณี ที่ จ.นครศรีธรรมราช (สำนักสงฆ์ธรรมเจริญ)

    [​IMG]

    [​IMG]

    " บุญกุศลใดที่พึงจะได้รับ ก็ขอให้ทุกท่านได้รับเช่นเดียวกันถ้วนหน้าสถาพร ทั้งโลกนี้และโลกหน้า ที่สุดถึงซึ่งพระนิพพานด้วยกันเทอญฯ สาธุ"<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
  3. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    เมื่อเช้าได้ฟังข่าววิทยุ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสวยพระกระยาหารได้มากขึ้น

    ข้าพระพุทธเจ้ารู้สึกดีใจมากที่ได้ยินข่าวนี้ ขอพระองค์ทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์โดยเร็ว

    ด้วยเกล้า ด้วยกระหม่อม ขอเดชะ

    ทางสายธาตุ
     
  4. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    โคตรวงศ์กับความเป็นไทย กรณีตระกูลบุนนาค

    ^^ ติดตามอ่านกระทู้นี้ คงต้องเป็นนักอ่านกันสักหน่อย เรื่องน่าสนใจมีเยอะ เช่นความเป็นคนไทยที่คิดแบบเชิงเดี่ยวนั้นไม่น่าจะตรงกับความเป็นจริงนักตามประวัติศาสตร์ เมื่ออ่านบทความนี้จึงเกิดความสนใจยิ่งๆ

    ศรีศักร วัลลิโภดม | เปิดประเด็น

    เหตุอย่างหนึ่งของรากเหง้าความขัดแย้งในสังคมไทยทุกวันนี้ก็คือเรื่อง ความเป็นคนไทย ที่มักให้เป็นข้ออ้างในเรื่องสิทธิของการเป็นประชาชนชั้นที่หนึ่ง เพื่อเอารัดเอาเปรียบคนด้อยโอกาสในเรื่องการแย่งชิงทรัพยากรและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ

    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=1 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width=240>[​IMG]
    ตราประจำตัวสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์
    (ช่วง บุนนาค) ตราสุริยมณฑลแบบไทย

    </TD><TD>ความเป็นคนไทยทุกวันนี้มีฐานของคำอธิบายจากประวัติศาสตร์รัฐ ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์แนวตั้งและเชิงเดี่ยว ที่เจ๊กกบฏผู้เป็นกุนสือของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ผู้เป็นเผด็จการทางวัฒนธรรมแต่งขึ้น ใช้เล่นละครปลุกกระแสชาตินิยม และกำหนดให้เป็นหลักสูตรการเรียนการสอนในโรงเรียน จนถึงขั้นอุดมศึกษาของประเทศที่ยังทรงอิทธิพลมาจนทุกวันนี้


    การเป็นประวัติศาสตร์แนวตั้งและเชิงเดี่ยวเช่นนี้ ความสำคัญอยู่ที่การกำหนดความเป็นคนไทยจากชาติพันธุ์เดียว (Ethnicity) ในลักษณะที่เป็นเชื้อชาติ (Race) คือ ชาติพันธุ์ที่สืบเชื้อสายกันมาจากสายเลือดที่ผิดความเป็นมนุษย์ ในทางวิทยาศาสตร์ เพราะในพัฒนาการทางสังคมของมนุษยชาตินั้น การสืบเนื่องของความเป็นคนที่เป็นสัตว์สังคมนั้น หาได้มาจากสายพันธุ์เดียวไม่ หากเกิดจากทั้งการสืบสายเลือด (Blood Tie) หรือ (Agnatic Relationship) กับการดองกันทางการแต่งงาน (Affiant Tie) หรือ (Cognatic Relationship) โดยเฉพาะความสัมพันธ์จากการกินดอง (Cognatic Relationship) นี้ ทำให้การแต่งงานเป็นสถาบันสากลของมนุษยชาติ การแต่งงานเป็นกิจกรรมทางสังคมที่ทำให้มนุษย์ต่างจากสัตว์ ที่มีแต่การสมสู่และสำส่อนอย่างเช่นคนไทยรุ่นใหม่ประพฤติกันในทุกวันนี้

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    ประวัติศาสตร์แนวตั้งและเชิงเดี่ยวที่กล่าวมาแล้ว ได้กลายเป็นตำนานที่คนส่วนใหญ่ในชาติเชื่อว่าเป็นจริง และใช้อ้างอิงในการอธิบายความเป็นคนไทยของคนเรื่อยมา พลังของประวัติศาสตร์นี้เกิดขึ้นควบคู่ไปกับนโยบายเชื้อชาตินิยมในการเปลี่ยนชื่อ ประเทศสยาม ที่เคยมีมาแต่เดิมเป็นประเทศไทย เพราะเอาชาติพันธุ์เดียว คือ ไท เป็นตัวกำหนด แตกต่างไปจากสมัยก่อนที่มีมาแต่สังคมศักดินาสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่มองคนกับดินแดนเป็นสำคัญ ทำให้ผู้คนในประเทศที่หลากหลายทางชาติพันธุ์มีสำนึกร่วมของการอยู่ในแผ่นดินเดียวกันในนามของชนชาติสยาม

    สยามเทศะมีมาแต่ราวพุทธศตวรรษที่ 17-18 เพื่อแสดงให้เห็นถึงพื้นที่ทางการปกครองและวัฒนธรรม ท่ามกลางความหลากหลายของดินแดนที่เป็นบ้านเมืองอื่นๆ เช่น รามัญเทศะ กัมพูชาเทศะ ชวา มลายู และอื่นๆ อย่างไรก็ตามความต่างกันของคนกับดินแดนในประเทศไทยและประเทศใกล้เคียง

    รากฐานของการมีผู้คนที่หลากหลายทางชาติพันธุ์อยู่ร่วมกันในประเทศเดียวก็คือ ประเทศ เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย และพม่า ซึ่งไม่สามารถบูรณาการความเป็นอันหนึ่งอันเดียวได้สนิทแน่นเท่ากับประเทศสยาม จึงมีลักษณะที่นักวิชาการประวัติศาสตร์และสังคมศาสตร์ยุคก่อนๆ เรียกสังคมของประเทศเหล่านั้นว่า สังคมพหุลักษณ์ (Heterogeneous) ต่างไปจากสังคมประเทศสยามที่เป็นสังคมเอกลักษณ์ (Homogeneous) เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะประเทศที่เป็นสังคมพหุลักษณ์นั้นมักเอกชาติพันธุ์ชวามากกว่าชาติพันธุ์อื่นๆ หรือประเทศพม่า แต่เดิมก็เน้นชาติพันธุ์พม่าเหนือชาติพันธุ์อื่นที่เป็นมอญ ไทใหญ่ กะเหรี่ยง ยะไข่ อะไรทำนองนั้น

    แต่สังคมสยามได้สร้างระบบศักดินาหรือขุนนางขึ้นมาให้เป็นชาติพันธุ์พิเศษที่เรียกว่า คนไทย หาใช่ยกชาติพันธุ์ไทมาเป็นใหญ่เหนือชาติพันธุ์อื่นไม่ เข้าใจว่าการเป็นคนไทยนั้นเน้นอยู่ที่การใช้ภาษาไทยเป็นภาษากลางที่สำคัญเป็นเรื่องใหญระบบศักดินา คือ แก่นแท้ของการบูรณาการคนจากชาติพันธุ์ต่างๆ ที่เข้ามาในสยามประเทศ ซึ่งสามารถทำความเจริญให้แก่บ้านเมืองได้มาเป็นขุนนาง ข้าราชการ เป็นชนชั้นผสมที่เรียกว่า คนไทย หาใช่เป็นชาติพันธุ์ ไท ไม่ นี่คือ ที่มาของคำว่าคนไทยที่มียอยักษ์กับคนไทที่ไม่มียอยักษ์

    ความเป็นคนไทยแบบนี้มีมาแล้วแต่สมัยอยุธยา ตอนปลายที่ในจดหมายเหตุของพวกฝรั่งบันทึกไว้ว่า พระมหากษัตริย์ทรงบอกว่า พระองค์ทรงเป็นคนไทย ยิ่งกว่านั้น พวกฝรั่งยังได้บันทึกตำนานความเป็นมาของปฐมกษัตริย์ไทย ที่มาจากเมืองคนไทยและเมืองเพชรบุรีไว้ด้วย ซึ่งก็แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ของผู้คนระหว่างบ้านเมืองต่างๆ ทั้งที่มาจากภายในทางส่วนบนของประเทศ และที่มาจากถิ่นฐานบ้านเมืองชายทะเล เช่น นครศรีธรรมราช กุยบุรี เพชรบุรี เป็นต้น

    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=1 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width=220>[​IMG]
    สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์

    </TD><TD>อันเรื่องราวของปฐมกษัตริย์ในตำนานนี้ ถ้าตีความกันทางมานุษยวิทยาก็ต้องเข้าใจว่า หาใช่เป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ที่มีตัวตนจริงไม่ หากเป็นผู้นำวัฒนธรรม ซึ่งเป็นเรื่องของความเชื่อว่าเป็นจริง อีกทั้งยังเป็นบุคคลที่สร้างขึ้นจากความทรงจำของคนในยุคหลัง ที่ไม่สามารถบ่งบอกเวลาที่แน่นอนได้ เพราะเป็นเรื่อง เล่าขาน กันลงมาต่อเมื่อมีการบันทึกเป็นลายลักษณ์ลงในสมุดข่อย หรือใบลาน โดยพวกพระสงฆ์หรือผู้ที่เป็นปราชญ์แล้ว จึงได้มีการใส่เวลาวันเดือนปีกันขึ้น


    เรื่องราวของผู้นำวัฒนธรรมนี้เป็นของส่วนรวม แต่มีการปรุงแต่งให้มีรายละเอียดแตกต่างกันไปตามพื้นที่ พื้นถิ่น จนไม่สามารถบอกได้ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นแต่เดิมนั้นเป็นอย่างไร

    ความเป็นคนไทยนับว่าเป็นผลผลิตที่สร้างขึ้นในสังคมศักดินา ที่มีมาแต่สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เป็นยุคที่มีการปกครองแบบรวมศูนย์เป็นราชอาณาจักรสยาม จำเป็นต้องสร้างระบบราชการ (Bureau crazy) ขึ้นมาเป็นเครื่องมือทำให้บุคคลที่ดำรงตำแหน่งต่างๆ ทั้งสูงและต่ำต้องมีสถานภาพ ตำแหน่ง ฐานะ สิทธิ และอำนาจแน่นอนในกรอบแบบแผน บุคคลเหล่านี้นับเรื่องในชนชั้นปกครองที่ต่างไปจากประชาชนทั่วไป ที่เป็นไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    ระบบราชการศักดินามีอะไรที่คล้ายๆกับระบบขุนนางจีนในการเลือกคนดีเข้ารับราชการ แต่ต่างกันในแง่ที่จีนมีระบบการสอบที่เรียกกันว่า จอหงวน แต่ทางอยุธยาเลือกจาก หนึ่ง คนที่ใกล้ชิดมีเทือกเถาเหล่ากอที่ไว้ใจได้กับ สอง คนที่มีความรู้ความสามารถในด้านต่างๆ ทั้งทางโลกและทางธรรม โดยไม่คำนึงถึงความเป็นทางชาติพันธุ์ โดยเหตุนี้สังคมสยามจึงมีช่องทางและบันไดที่ทำให้คนต่างชาติต่างถิ่น เข้ามาเป็นข้าราชการขุนนางในนามของคนไทยได้

    ความเป็นคนไทยนี้แท้จริงแล้วมีรากเหง้ามาจากพัฒนาการทางวัฒนธรรมของบ้านเมืองและผู้คนแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ 12-13 ลงมา ที่เรียกรวมๆว่า สมัยทวารวดี อัตลักษณ์ของสมัยทวารวดีและสังคมทวารวดีนั้น คือ การนับถือพระพุทธศาสนาเถรวาทหรือหินยานเป็นหลัก แม้ว่าต่อมาในพุทธศตวรรษที่ 13 เรื่อยมาจนถึงพุทธศตวรรษที่ 18 จะมีศาสนาฮินดูแลพุทธมหายานตันตริกเข้ามาผสมผสานด้วยก็ตาม แต่แก่นแท้ก็ยังเป็นเถรวาทนั่นเอง ซึ่งแลเห็นได้จากพระพุทธรูปแบบทวารวดี อู่ทอง สุโขทัย เชียงแสน และอยุธยาตามลำดับ รวมทั้งคติการเป็นพระสมมุติราชของพระมหากษัตริย์ที่สะท้อนมาจากกฎหมายตราสามดวง ลิลิตโองการแช่งน้ำ ไตรภูมิ และทศชาติ เป็นต้น

    ดังนั้น เมื่อมีการรวมนครรัฐที่แต่ล้วนเป็นอิสระในดินแดนสยามประเทศ เป็นราชอาณาจักรกรุงศรีอยุธยาในพุทธศตวรรษที่ 21 นั้น พระพุทธศาสนาเถรวาท ก็คือ ศาสนาหลักของชนชาติสยามประเทศที่คนส่วนใหญ่นับถือ มีพัฒนาการเปลี่ยนแปลงจากเดิมสมัยทวารวดีมาเป็นพุทธศาสนาเถรวาทแบบลังกาวงศ์ สำหรับผู้คนที่อยู่ในดินแดนสยามนี้ก็หาได้เป็นแบบเดิม กลุ่มเดิม ที่มีมาแต่สมัยทวารวดีไม่ หากมีกลุ่มใหม่หลายชาติพันธุ์และถิ่นฐานเคลื่อนย้ายเข้ามา

    ทว่า ท่ามกลางความหลากหลายทางชาติพันธุ์ดังกล่าวนี้ ผู้คนในสยามประเทศเลือกใช้ภาษาไทเป็นฐานในการสร้างภาษากลาง เพื่อสื่อสารกันเองและรวมไปถึงการลังสรรค์กับคนภายนอกด้วย ทั้งพุทธเถรวาท ทั้งภาษาไท และระบบศักดินา ทั้งหลายอย่างนี้คือ สิ่งที่ทำให้ผู้คนมีการผสมผสานและบูรณาการความเป็นไทยขึ้น

    ดังนั้น หากพูดกันถึงความเป็น คนไทย แล้ว ก็จะต้องมองไปในเรื่องบูรณาการอันเกิดจากพระพุทธศาสนาเถรวาทที่มีมาแต่สมัยนครปฐมทวารวดี การใช้ภาษาไทเป็นภาษากลางที่ผู้คนในสมัยพุทธศตวรรษที่ 18-19 เกือบทั้งประเทศใช้สื่อสารกัน และสุดท้าย คือ ระบบศักดินาที่มีมาแต่สมัยอยุธยาตอนกลาง คือ ราวพุทธศตวรรษที่ 21 ลงมา

    คำว่า "ไทย" มีปรากฏในจารึกสุโขทัยแต่พุทธศตวรรษที่ 14 ในลิลิตยวนพ่าย พุทธศตวรรษที่ 21 และในสมัยพุทธศตวรรษที่ 23 คือ สมัยสมเด็จพระนารายณ์ ก็มีปรากฏในเอกสารบันทึกของชาวฝรั่งเศสและบันทึกของโกษาปานตอนไปฝรั่งเศสที่พูดถึงกรุงไทยและพระมหากษัตริย์ไทย ความเป็นคนไทยดังกล่าวนี้เกิดขึ้นในดินแดนสยามประเทศที่เป็นมาตุภูมิ ที่แม้จะมีคนต่างชาติต่างเผ่าพันธุ์ได้เคลื่อนย้ายเข้ามาตั่งถิ่นฐานอยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อมาอยู่รวมกันตั้งแต่สามชั่วคนขึ้นไป เกิดลูกหลานเป็นเหล่าเป็นกอแล้ว ความเป็นคนไทยก็เกิดขึ้นในสำนึก ครั้นถึงสมัยอยุธยาตอนปลาย ราวรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททองแต่พุทธศตวรรษที่ 23 ลงมา บ้านเมืองรุ่งเรืองเป็นศูนย์กลางการค้านานาชาติ มีชนชาติหลากหลายเผ่าพันธุ์เข้ามาค้าขายและตั้งถิ่นฐานเป็นแผ่นดินเกิดของลูกหลาน พระมหากษัตริย์และสังคมสยามก็หารังเกียจไม่ ยินดีที่จะให้ความสะดวกสบายและต้อนรับให้เป็นประชาชนพลเมือง


    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=1 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width=220>[​IMG]
    สมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่

    </TD><TD>ดังที่ ท่านอาจารย์ ม.ร.ว. อศิน รพีพัฒน์ นักมานุษยวิทยาอาวุโสได้อธิบายไว้ว่าสังคมไทยสมัยก่อนต้องการคนจากถิ่นต่างๆ ที่เพื่อเอามาเป็นพลเมืองการมีกำลังคนมาก คือ สิ่งที่รัฐต้องการแต่รัฐสยามก็มองอะไรสูงกว่านั้นก็คือ การเลือกเฟ้นและต้อนรับคนต่างชาติต่างถิ่นที่มีความรู้ความสามารถในด้านต่างๆ มาช่วยราชการหน้าเมือง เหตุนี้จึงมีบรรดาขุนนางข้าราชการที่เป็นคนต่างชาติ เข้ามาเป็นขุนนางดำรงตำแหน่งทั้งสูงและต่ำมากมาย คนเหล่านี้และลูกหลานก็คือ คนไทยนั่นเอง


    สภาพของสังคมไทยสมัยอยุธยาตอนปลายนี้ยังแตกต่างไปจากสมัยก่อนๆ โดยสิ้นเชิง เพราะมีจำนวนประชากรมากขึ้นอันเนื่องจากมีคนกลุ่มใหม่ๆ ย้ายเข้ามาผสมผสาน มีความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ การค้าขายทางทะเลที่ทำให้วิถีชีวิตและรูปแบบของการเป็นอยู่แตกต่างไปจากเดิม ซึ่งอาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ ให้ภาพรวมๆ ว่าเป็นวัฒนธรรมกฏุมพี คือ เกิดชนชั้นใหม่ขึ้นแทนที่จะมีเพียงชนชั้นกฏุมพีแทรกอยู่ระหว่างกลาง ในลักษณะที่ผสมผสานกับทั้งทางชนชั้นล่างและชั้นบน ชั้นกฏุมพีนี้ คือ ที่มาของชนชั้นกลางที่ปรากฏตัวอย่างเห็นชัดแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ลงมา

    ข้าพเจ้าคิดว่า ชนชั้นกฎุมพีนี่แหละคือ คนไทย และบรรดาขุนนาง ข้าราชการที่เป็นเจ้าขุนมูลนายเป็นจำนวนมากก็คือ ผู้ที่สืบเชื้อสายมาจากบรรดาขุนนางผู้ใหญ่ชาวต่างชาติที่ดำรงตำแหน่งสูงๆ และสำคัญของบ้านเมือง ไม่ว่าจะเป็นแขก เจ๊กจีน ฝรั่ง ญี่ปุ่น ชวา มลายู อะไรต่างๆ หลายคนกลายเป็นต้นโคตรหรือผีเก้าของตระกูลขุนนางสำคัญๆ ที่นับชื่อเสียงเรียงนามอย่างสืบเนื่องในสังคมสมัยรัตนโกสินทร์

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    ตระกูลขุนนางที่สำคัญและมีอำนาจและบารมียิ่งใหญ่ของกรุงรัตนโกสินทร์ตั้งแต่ครั้งรัชกาลที่ 1 ลงมาจนถึงรัชกาลที่ 5 คงไม่มีใครเกิน ตระกูลบุนนาค ซึ่งในปัจจุบันมีประวัติและตำนานการสืบเชื้อสายกันมานาน กล่าวได้ว่ามีลักษณะเป็น โคตรวงศ์

    คำว่าโคตรวงศ์นี้เปรียบคล้ายๆ กับคำว่า "แซ่" (Clan) ในสังคมจีนที่อ้างถึงการสืบเชื้อสายมาจากต้นโคตร ซึ่งสามารถสืบเชื้อสายทางฝ่ายพ่อแต่ละรุ่น แต่ละยุคสมัยได้อย่างค่อนข้างชัดเจน แต่ของคนไทยในสังคมกฏุมพีนั้น คนที่เป็นต้นโคตรถึงแม้ว่าจะมีตัวตนจริงแต่การสืบเชื้อสายนั่นไม่ชัดเจน เพราะอาจจะนับทางฝ่ายพ่อหรือแม่ก็ได้ อีกทั้งความสัมพันธ์ระหว่างตัวโคตรกับบุคคลที่เป็นต้นตระกูลนั้นไม่ชัดเจนและเล่าผ่านคำบอกเล่าที่เป็นตำนาน

    ในกรณีตระกูลบุนนาคนั้น เชื่อว่าต้นโคตรคือ ท่านเฉกอะหมัดหรือเจ้าพระยาบวรราชนายก อัครเสนาบดีสมัยอยุธาตอนปลาย เป็นแขกเปอร์เซียที่เป็นพ่อค้ามาค้าขายที่กรุงศรีอยุธยา ได้เข้ามารับราชการดำรงตำแหน่งสำคัญในเรื่องการค้าทางทะเลและการเมืองการปกครอง ในเขตหัวเมืองชายทะเลไปจนถึงภาคใต้

    โดยย่อก็คือเป็นขุนนางคนสำคัญที่คุมกำลังคนและกิจการต่างๆ ทางกลาโหมและการท่า ที่มีลูกหลานสืบเชื้อสายกันต่อมาคนหนึ่งในเชื้อสายของท่านเฉกอะหมัดก็คือ นายบุนนาคซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับนายบุญมา ผู้มีตำแหน่งเป็นนายสุดจินดาหุ้มแพร มหาดเล็กของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ และเป็นสามีของท่านนวลผู้เป็นน้องสายของท่านนาค ภริยาของนายทองด้วงผู้มีตำแหน่งเป็นหลวงยกกระบัตรเมืองราชบุรี ในสมัยรัชกาลที่ 1 นายบุญมาก็คือ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท และนายทองด้วงก็คือ พระบาทสามเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ปฐมกษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ และนายบุนนาคก็คือ เจ้าพระยาอรรคมหาเสนา สมุทรพระกลาโหม ผู้ควบคุมทั้งการค้าทางทะเลและทางทหาร การปกครองทางหัวเมืองชายทะเลและภาคใต้ นับเป็นต้นตระกูลบุนนาค ลูกหลานของเจ้าพระยาอรรคมหาเสนา จึงมีฐานะเป็นราชินิกุลเป็นที่สนิทชิดเชื้อกับพระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์ ได้รับใช้และได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งขุนนางสำคัญของแผ่นดินเรื่อยมา

    จากเจ้าพระยาอรรคมหาเสนา (บุนนาค) มาถึงสมัยรัชกาลที่ 4 เชื้อสายของตระกูลบุนนาคสองท่านได้ดำรงตำแหน่งเป็นสมเด็จเจ้าพระยาฯ สองท่านที่นับเป็นตำแหน่งขุนนางที่สูงที่สุดในแผ่นดิน คือ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์และสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ อนุสรณ์สำคัญของสมเด็จเจ้าพระยาทั้ง 2 ท่านนี้ก็คือ วัดประยูรวงศ์และวัดพิชัยญาติที่เป็นวัดสำคัญ สร้างในย่านที่อยู่อาศัยของคนในตระกูลบุนนาคตรงปากคลองบางหลวงและคลองสาน ฝั่งธนบุรี

    ในเรื่องเล่าขานกันในตระกูลบุนนาคยุคนี้แยกออกเป็น 2 วงศ์คือ สุริยวงศ์ ของสมเด็จเจ้าพระยาองค์พี่และ จันทรวงศ์ ของสมเด็จเจ้าพระยาองค์น้อง ครั้นตอนปลายสมมัยรัชกาลที่ 4 ต้นรัชกาลที่ 5 ก็เกิดสมเด็จเจ้าพระยาอีกท่านหนึ่งคือ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ผู้เป็นบุตรชายของสมเด็จเจ้าพระองค์พี่

    ตอนปลายสมัยรัชกาลที่ 3 ตระกูลบุนนาคมีบทบาทสำคัญที่สุดทางการเมืองในการสืบราชบัลลังก์ของพระมหากษัตริย์ อันเนื่องมาจากกลุ่มอำนาจในแผ่นดินแยก ออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มวังหลวงของรัชกาลที่3 กลุ่มของสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ และกลุ่มบุนนาคของสมเด็จเจ้าพระยาสองพี่น้อง กลุ่มตระกูลบุนนาคคือ ผู้ที่ดำเนินการทั้งการขจัดความขัดแย้งที่จะทำให้เกิดความรุนแรงและในขณะเดียวกันก็รักษาอำนาจของตนเองไว้ ด้วยการเป็นผู้ทูลเชิญสมเด็จเจ้าฟ้ามหามงกุฏ ซึ่งผนวชเป็นพระสงฆ์ขึ้นครองราชย์เป็นรัชการที่ 4 และประนีประนอมกับกลุ่มของสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ด้วยการยอพระยศเป็นพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์ที่ 2 มีวังหน้าเป็นพระราชสถาน


    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=1 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width=220>[​IMG]
    สมเด็จเจ้าพระยาองค์น้อย

    </TD><TD>ทั้งวังหน้าและวังหลวงต่างก็มีความสัมพันธ์กินดองเป็นเครือญาติ กับตระกูลบุนนาคด้วยกัน โดยเฉพาะทางวังหลวงนั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงขอท่านเจ้าคุณแพ ผู้เป็นหลานสาวของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ให้เป็นพระชายาองค์แรกของสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจุฬาลงกรณ์ พระบรมราชโอรส ผู้ต่อมาเสวยราชเป็นรัชกาลที่ 5 ในขณะที่ทางวังหน้า พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ทรงสนิทสนมกับสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์เป็นพิเศษ ถึงกับทรงให้พระราชโอรสองค์โต คือ พระองค์เจ้ายอร์จวอชิงตัน มาเรียนฝึกราชการกับสมเด็จเจ้าพระยา



    เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะสวรรคต ได้ทรงตั้งสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน เพราะสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจุฬาลงกรณ์ผู้เสวยราชสมบัติยังทรงมีพระชันษาน้อยอยู่ เพื่อขจัดความขีดแย้งระหว่างวังหน้ากับวังหลวง สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ได้ทูลเสนอให้แต่งตั้งพระองค์เจ้ายอดยิ่งปิโนรสหรือ ยอร์จวอชิงตัน พระโอรสในสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้ดำรงตำแหน่งเป็นกรมพระราชวังบวรวิขัยชาญ ก็ดูไม่เป็นที่สบอารมณ์ชองพวกวังหลวง เพราะแลเห็นว่าทางวังหน้าต่ำศักดิ์กว่า ทำให้สมเด็จเจ้าพระยาฯต้องแสดงอำนานเด็ดขาดด้วยการปราม จึงสบงไป แต่ความรู้สึกขัดเคืองก็ยังดำรงอยู่อย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นการขัดแย้งทั้งในเรื่องอำนาจและความคิดที่เป็นช่องว่างระหว่างวัย (Generation Gap)

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    สมเด็จเจ้าพระยาฯ นั้น นับเป็นผลผลิตของคนรุ่นใหม่หัวก้าวหน้า ที่พยายามเรียนรู้วิชาการทางตะวันตกในด้านต่างๆ ไม่ว่าการต่อเรือ การสร้างถนน การขุดคลอง และกิจกรรมทางพาณิชย์ซึ่งเห็นได้ชัดเจนจากการขุดคลอง การสร้างถนน สถานที่ทำการรัฐบาล วังและวัดในจังหวัดราชบุรีและอื่นๆ โดยเฉพาะในเรื่องการเมืองการปกครองแบบตะวันตก สมเด็จเจ้าพระยาฯ ก็เรียนรู้แบบที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงรับสั่งว่า ให้เรียนรู้เข้าใจแต่อย่าเลื่อมใส ตรงนี้เองทีทำให้คนรุ่นสมเด็จเจ้าพระยาฯ แตกต่างไปจากคนรุ่นใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 5 เพราะคนรุ่นหลังนี้ดูเหมือนหายใจเข้าออกเป็นตะวันตกไปหมด

    ขุนนางและเจ้านายที่เป็นคนรุ่นใหม่โดยเฉพาะฝายวังหลวงนี้เอง ที่ทำให้ความขัดแย้งกับวังหน้าและกับสมเด็จเจ้าพระยาฯ บานปลาย เมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้ขึ้นในวังหลวง ทางวังหน้าต้องเข้ามาช่วยดับไฟ เพราะกองกำลังต่างๆในการป้องกันพระนครนั้นอยู่ที่วังหน้า สมเด็จกรมพระราชวังบวรฯ เสด็จคุมกองกำลังช่วยดับไฟ แต่ถูกล่าวหาว่าเป็นกบฏเพื่อเข้ามายึดอำนาจ ทำให้ในที่สุด กรมพระราชวังบวรฯ ต้องเสด็จลี้ภัยไปอยู่ในสถานทูตฝรั่ง เลยทำให้สมจริงกับคำกล่าวหาและข่าวลือ ซึ่งทางวังหลวงก็ทำอะไรไม่ได้ ในที่สุดรัชกาลที่ 5 ต้องเชิญสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงวงศ์ ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ที่ทางวังหน้าเคารพนับถือมาช่วยไกล่เกลี่ย เหตุการณ์จึงสงบได้

    อันความขัดแย้งระหว่างวังหน้าและวังหลวงเช่นนี้ ถ้าหากสมเด็จเจ้าพระยาไม่รับช่วย และหาโอกาสซ้ำเติมเพื่อประโยชน์ของท่านเองแล้ว ก็คงจะบานปลายเป็นผลร้ายแก่บ้านเมืองเป็นแน่เเท้ เพราะถ้าเอาเข้าจริงๆกองกำลังของวังหลวงคงไม่อาจเอาชนะกำลังข้างฝ่ายวังหน้าและฝ่ายตระกูลบุนนาคได้ นับเป็นการแสดงให้เห็นถึงคุณธรรมของสมเด็จเจ้าพระยาฯ เองที่แลเห็นประโยชน์และความสุขของส่วนรวมในฐานะที่ท่านเป็นคนไทย
    ตระกูลบุนนาคนั้นเมื่อนับย้อนมาหลังไปถึงเจ้าโคตร คือ ท่านเฉกอะหมัด แล้วก็หาใช่คนไทยไม่ หากเป็นแขกที่มาจากเปอร์เซีย มีเชื่อสายสืบมาหลายสาย บางสายยังนับถือศาสนาอิสลามอยู่ แต่สายที่มาเป็นตระกูลบุนนาค นั่นคือ พวกที่เข้ามารับราชการเป็นขุนนางและเปลี่ยนมานับถือพุทธศาสนา เรานับเป็นตระกูลหนึ่งที่มีบทบาท ในการทะนุบำรุงพระพุทธศาสนาอย่างสำคัญด้วย

    แต่ความเป็นคนไทยของคนในตระกูลบุนนาคนั้น ก็หาได้เป็นอยู่เพียงตระกูลเดียวไม่ หากยังมีตระกูลอื่นๆ ที่เป็นขุนนางที่สืบเชื้อสายมาจากเจ้าโคตรที่เป็นเจ๊ก ฝรั่ง ญวน ลาว และเขมร

    แม้แต่สมัยรัชกาลที่ 6 เอง การที่คนต่างชาติกลายเป็นคนไทยดังกล่าวนี้ก็มีอยู่ อย่างเช่นในครอบครัวของเจ๊กหลายๆ ครอบครัวที่มีลูกหลายคน ลูกคนที่เข้ารับราชการมักได้รับการยกย่องว่าเป็นคนไทย แต่คนอื่นที่ไม่เป็นข้าราชการก็มักเรียกเจ๊กกันอยู่ ปัจจุบันก็ยังเป็นอยู่ ลูกเจ๊กหลานเจ๊กมากมาย เรียนสูง เรียนนอก เข้ารับราชการเป็นเจ้ากรมทรวงทบวงกรม ก็มาก กลายเป็นนักการเมือง เป็นรัฐมนตรี และนักธุรกิจใหญ่ๆ ก็มาก กลายเป็นคนไทยไปหมด ดังเห็นได้จากเปลี่ยนชื่อแซ่มาใช้นามสกุลที่มีภาษาบาลีสันสกฤต สมาสกันเป็นวลียาวๆ บุคคลเหล่านี้ที่ดีมีคุณธรรมก็มาก แต่ที่เลวเป็นพวกเจ๊กกบฏก็มาก เพราะหาได้เป็นคนไทยแบบสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์แห่งตระกูลบุนนาคไม่ ที่มองเห็นความสำคัญของส่วนรวมของประเทศชาติมากกว่าผลประโยชน์ส่วนตัว และของพรรคพวกพี่น้อง ข้าพเจ้ามีความสะใจเป็นอย่างมากที่มีการยุบพรรคการเมืองที่เคยเป็นใหญ่ในแผ่นดินเมื่อเร็วๆ นี้ เพราะมีนักการเมืองเป็นจำนวนมากที่เป็นเจ๊กกบฏที่หวังส่วนตัวมากกว่าส่วนรวม

    คัดจากจดหมายข่าว มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ ฉบับปีที่ 11 ฉบับที่ 66 เดือนพฤษภาคม-มิถุนายน 2550
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ตุลาคม 2009
  5. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    สมัยก่อนที่มีมาแต่สังคมศักดินาสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่มองคนกับดินแดนเป็นสำคัญ ทำให้ผู้คนในประเทศที่หลากหลายทางชาติพันธุ์มีสำนึกร่วมของการอยู่ในแผ่นดินเดียวกันในนามของชนชาติสยาม

    ตรงนี้ผู้เขียนให้ความเห็นได้ดี ผู้คนในประเทศที่หลากหลายทางชาติพันธุ์ มีสำนึกร่วมของการอยู่ในแผ่นดินเดียวกันในนามของชนชาติสยาม

    เข้าใจถึงความหมายตรงนี้ถึงกระดูกข้างในเลยค่ะ เข้าใจมากๆ

    สำนึกของคนอยู่ร่วมแผ่นดินเดียวกันสำคัญ รักชาติ ยอมสละแม้ชีวี

    ---------------------------------------------------------
     
  6. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    นามของ ออสุต พะโค ถ้าเป็นภาษาสมัยปัจจุบันน่าจะเรียกว่า คุณสุต จากหงสา (พะโคคือหงสา)

    ออนี้เคยเห็นในกลอนของสุนทรภู่ เรียกนางอินว่า อออิน ถ้าเป็นปัจจุบันก็จะเป็น คุณอิน

    ในหนังสือเจ้าไล เรียกพระองค์ไลว่า ออไล ก็คงจะเป็น คุณไล นะคะ มีความเห็นแบบนี้

    ตั้งข้อสังเกตุไว้แบบนี้ก่อน ถ้ารู้ในภายหน้าว่าเรียก ออ จริงๆหมายถึงอะไรจะมากล่าวถึงอีกครั้งค่ะ
     
  7. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ทางสายธาตุคิดว่าถ้าเรารู้ที่มาที่ไปของชนชาติเรา ความหลากหลายทางชาติพันธุ์

    ที่อยู่กันอย่างกลมเกลียวมาหลายชั่วอายุคน เพราะคนสยามใจกว้าง

    รับคนไร้ที่อยู่ที่อาศัยมาอยู่ด้วยกันและรักกันเหมือนพี่น้อง นี่คือน้ำใจที่ยิ่งใหญ่ของคนในแผ่นดินนี้

    คนที่อาศัยบนแผ่นดินเดียวกันนี้จึงควรจะรักแผ่นดินและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของเจ้าแผ่นดิน

    ที่พระองค์ท่านให้โอกาสให้ได้อยู่อาศัย มีลูกมีหลาน ทำมาหากิน และได้ชื่อว่าเป็นประชากรของแผ่นดินนี้

    การที่มีบุคคลใดมาอ้างโน่นอ้างนี่หวังให้สยามนี้แตกความสามัคคี ตามแผนวัสสการพราหมณ์นั้น จะไม่เป็นผล

    เพราะแต่โบราณมา คนต่างเผ่าต่างเชื้อชาติต่างวัฒนธรรม

    ก็มาอาศัยอยู่ด้วยกันและกลมเกลียวกันได้เป็นต้นแบบให้คนปัจจุบันเห็น

    ดูตัวอย่างออสุต พะโค (คุณสุต จากหงสา) ทะเลาะกับสามีฝรั่งเรื่องสิทธิในการเลี้ยงดูบุตร

    คุณสุต คนจากหงสา ทั้งๆที่เป็นคนมอญ ยังเรียกร้องสิทธิ์ในการเลี้ยงดูลูกทั้ง 3

    เพื่อให้ลูกๆได้อยู่อาศัยในแผ่นดินสยามนี้สืบมา หงสาอยู่ใกล้ๆแท้ๆ คุณสุตเธอยังไม่คิดจะกลับไปเลย

    เป็นประจักษ์พยานว่า แผ่นดินนี้ยินดีที่พวกเราได้มาอยู่ด้วยกันอย่างกลมเกลียวสมานฉันท์

    รักเธอประเทศไทยและรักเธอสยามประเทศ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ตุลาคม 2009
  8. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ขายชื่อ SIAM ดีกว่า THAILAND




    [​IMG]

    ขายชื่อ SIAM ดีกว่า THAILAND

    คอลัมน์ สยามประเทศไทย

    โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ



    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    กูรูการตลาดระดับโลก "แจ๊ค เทราท์" แนะประเทศไทยปรับโฉมอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ใช้ชื่อ "สยาม" โดดเด่นด้านประเพณี วัฒนธรรม โปรโมทประเทศไทย

    ข้อความข้างต้นนี้ได้จากโปรยข่าวหน้าแรกของกรุงเทพธุรกิจ (ฉบับวันพุธที่ 23 กันยายน 2552 หน้า 1) แล้วมีข้อความโปรยแนะนำให้ใช้ชื่อ "สยาม" ต่อไปอีกว่า

    เป็น "ทางรอดแบรนด์ฝ่าวิกฤติ การเปลี่ยนแปลง และการแข่งขัน เร่ง "ปรับตำแหน่งการตลาดแบรนด์" สร้างการจดจำในกลุ่มผู้บริโภค" มีเนื้อข่าวอธิบาย จะคัดมาให้อ่านทั้งหมด ดังนี้

    นายเทราท์ กล่าวว่า สำหรับประเทศไทย การปรับตำแหน่งอุตสาหกรรมจะแบ่งเป็นตำแหน่งในอุตสาหกรรม "ท่องเที่ยว" โดยน่าจะกลับไปใช้ชื่อสยาม (SIAM) เพื่อประชาสัมพันธ์ เพราะเป็นชื่อบ่งบอกถึงความโดดเด่นด้านวัฒนธรรมและประเพณี ที่ชาวตะวันตกให้ความสนใจ เช่นเดียวกับชื่อซีลอนที่เป็นชื่อเดิมของประเทศศรีลังกา หรือการโปรโมทเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กของรัสเซีย <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=right border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    แผนที่อุษาคเนย์ที่วาดโดย R.P.Placide นักภูมิศาสตร์ในคณะทูตฝรั่งเศสสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เดินทางมายังอยุธยาสมัยพระนารายณ์ เมื่อ 2229/1686 เห็นได้ว่าชาวต่างชาติเรียกอาณาจักรกรุงศรีอยุธยาว่า "สยาม" (Royaume de Siam) โดยทางเหนือและตะวันตกเป็นอาณาจักรพม่า (Pegu) ถัดไปเป็นยะไข่ (Aracan) และเบงกอล (Bengala) ด้านตะวันออกของสยามเป็นอาณาจักรลาว (Lao) และกัมพูชา (Camboia) ถัดไปเป็นจามปา (Chiam-pa) โคชินจีน (Cochinchine) และตังเกี๋ย (Tonquin) ด้านใต้เป็นรัฐต่างๆ ในแหลมมลายูและมะละกา (ภาพจาก อยุธยา : ประวัติศาสตร์และการเมือง. ชาญวิทย์ เกษตรศิริ. มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2544.)


    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    การหาจุดแข็งทางธุรกิจจะต้องเน้นความสามารถเฉพาะด้าน (Specialist) เพื่อสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งและแข่งขันได้ เช่นเดียวกับแบรนด์ จิม ทอมป์สัน ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยและเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก

    แนวคิดในโครงการ ครีเอทีฟ อีโคโนมี ของประเทศไทยเป็นเรื่องที่ดี แต่ต้องกำหนดแนวทางในการดำเนินงานให้ชัดเจน และส่งเสริมให้คนไทยเรียนรู้ที่จะสร้างสรรค์ผลงาน

    ข่าวในกรุงเทพธุรกิจแนะนำว่า นายแจ๊ค เทราท์ กูรูด้านการตลาดชั้นนำของโลก ผู้บุกเบิกทฤษฎี Positioning และ Marketing Warfare ผู้เขียนหนังสือด้านการตลาด อาทิ Positioning : The Battle for Your Mind. Differentiate or Die, Marketing Warfare เป็นต้น สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย เชิญมาบรรยายเรื่อง Positioning Yourself Survival in Recession

    สยาม กลายจากคำพื้นเมืองของชาติพันธุ์สุวรรณภูมินับพันๆ ปีมาแล้วว่า ซำ หรือซัม หมายถึง น้ำซึม, น้ำซับ, น้ำพุ, น้ำผุด, ฯลฯ (จากใต้ดิน) เป็นบริเวณดินดำน้ำชุ่มอุดมสมบูรณ์ (สรุปจากนังสือความเป็นมาของคำสยามฯ โดย จิตร ภูมิศักดิ์ พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.2519)

    ผู้รู้ท้องถิ่นทางอีสานอธิบายว่าคำนี้ปัจจุบันกลายเป็น คำ, ครำ มีทั่วไปในชื่อหมู่บ้าน

    เอกสารโบราณเรียกบริเวณลุ่มน้ำโขงถึงลุ่มน้ำเจ้าพระยาบริเวณไทย-ลาว ปัจจุบันว่าสยาม คนในบริเวณนี้ทุกชาติพันธุ์เป็นชาวสยาม มีหลักฐานเก่าก่อน พ.ศ.1650 (ก่อนรัฐสุโขทัยราว 100 ปี) เป็นคำจารึกภาษาเขมรว่าเสียมกุก ที่ปราสาทนครวัด หมายถึงขบวนแห่ของชาวสยาม (มีรายละเอียดในหนังสือ เสียมกุกฯ เป็นใคร? มาจากไหน? ของ สุจิตต์ วงษ์เทศ กองทุนแบ่งปันฯ พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.2552)

    ชาวยุโรปเรียกกรุงศรีอยุธยาว่า สยาม, ราชอาณาจักรสยาม แล้วเรียกสืบมาถึงกรุงธนบุรี, กรุงเทพฯ ว่า กรุงสยาม

    จอมพล ป. พิบูลสงคราม ให้เลิกใช้สยาม แล้วตั้งชื่อใหม่ว่า ประเทศไทย ตั้งแต่ 24 มิถุนายน 2482

    ส. ศิวรักษ์ เคยเสนอในวารสารสังคมศาสตร์ปริทัศน์ ให้เปลี่ยนชื่อประเทศกลับไปเป็นสยามตามเดิมเมื่อราว 40 ปีมาแล้ว

    ขณะนี้ชาญวิทย์ เกษตรศิริ สืบทอดที่ ส. ศิวรักษ์ เคยเสนอไว้ รณรงค์ให้ใช้ชื่อสยามแทนประเทศไทย

    แต่ทั้ง ส. ศิวรักษ์ และ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ มิได้ใช้ชื่อ SIAM เพื่อการท่องเที่ยว แต่เพื่อสืบทอดความจริงในประวัติศาสตร์และชาติพันธุ์อันหลากหลาย แล้วช่วยลดความขัดแย้งทางชาตินิยม เพราะสยามไม่ใช่ชื่อชนชาติ หากเป็นชื่อดินแดนที่มีคนหลายชาติพันธุ์ตั้งหลักแหล่งอยู่ด้วยกัน

    [FONT=Tahoma,]หน้า 20[/FONT]


    All site contents copyright <SUP>©</SUP> by Matichon Public Co.,Ltd. All Rights Reserved
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ตุลาคม 2009
  9. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    เปลี่ยนชื่อเป็นไทยแลนด์ตั้งแต่เมื่อใด

    มีความเห็นแรกให้ไว้ดังนี้

    สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม
    เพราะนโยบายรัฐนิยมสมัยนั้น ที่ต้องการให้ชาติศิวิไลซ์
    จึงมีการทำอัขราวิบัติ(เปลี่ยนแปลงวิธีการเขียน)
    เกิดนโยบายมาลานำไทย (ใส่หมวกทั้งประเทศ ยกเลิกโจงกระเบน เคี้ยวหมาก หาบเร่)
    นโยบายสงวนอาชีพให้คนไทย (ห้ามคนจีนตัดผม ให้เมียข้าราชการเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวทุกคน)
    คิดก๋วยเตี๋ยวไทยมาแข่งกับจีน(ผัดไทย)
    การถอดยศและราชทินนามของบุคคลาต่างๆ เช่น ถอดตัวเองจากหลวงพิบูลสงคราม เป็นจอมพล ป. พิบูลสงคราม จากหลวงประดิษบ์มนูธรรม เป็นนายปรีดี พนมยงค์
    การห้ามเล่นลิเก ดนตรีไทย (ตามในหนังรื่องโหมโรง)
    ฯลฯ
    และที่สำคัญ คือ การเปลี่ยนสยามประเทศ เป็น thailand ให้ชื่อลงท้ายด้วยแลนด์ตามแบบนานาอารยประเทศ

    อีกความเห็นหนึ่งเขียนไว้ดังนี้

    ถ้าถามว่าคนไทยแถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาเริ่มเรียกชื่อถิ่นชาติพันธุ์ของตนว่าสยามตั้งแต่เมื่อไหร่ คงตอบได้ลำบาก เพราะเท่าที่หลักฐานปรากฏและเชื่อกันอยู่ทุกวันนี้ ลงความเห็นว่าคำ "สยาม" เป็นคำพื้นเมืองที่มีอยู่ในแถบดินแดนสุวรรณภูมิมาช้านาน แต่ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องเป็นคนเชื้อชาติไท-ลาวลุ่มเจ้าพระยาทั่วนั้น คงใช้เรียกผู้คนทั่วๆ ไทย
    คำ "สยาม" ปรากฏในหนังสือราชการไทยอย่างเป็นหลักฐานชัดเจนในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) ใช้เป็นชื่อเรียกราชอาณาจักรของพระองค์เองในหนังสือสนธิสัญญาต่างๆ โดยนัยนี้ ราชอาณาจักรสยามกินเนื้อที่รวมไปถึงเขมร, ลาว, มลายู ซึ่งถือเป็นปริมณฑลทางอำนาจของสยามด้วย
    เรียกได้ว่า ช่วงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ เป็นช่วงที่คำ "สยาม" เป็นที่รู้จักของทั้งคนไทยและชาวต่างประเทศ ในฐานะประเทศคาบสมุทรอินโดจินและมณฑลโดยรอบนั้น
    ส่วนการเปลี่ยนแปลงจาก "สยาม" มาเป็น "ไทย" นั้น เกิดขึ้นในช่วง พ.ศ. ๒๔๘๑ - ๒๔๘๒ โดยจอมพลแปลก พิบูลย์สงคราม (ขีตะสังขะ) - ท่านผู้นำ และพันตรีหลวงวิจิตรวาทการ (กิมเหลียง วัฒนปฤดา) - กุนซือ เจ้าของนโยบายเกลียดจีน (ทั้งที่ตัวเองก็เป็นลูกจีน) โดยความต้องการที่จะรวบรวมเผ่าไทย (น้อย) ให้เป็นปึกแผ่น และสร้างรัฐชาตินิยมอดุมคติให้เป็นจริง
    จำได้ว่า เคยอ่านรายงานการประชุม "การเปลี่ยนชื่อประเทศ" และบันทึกของหลวงประดิษฐ์มณูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) แล้วก็รู้สึกขำ เพราะเหตุผลหลายๆ อย่างฟังแล้วไร้สาระพิกล เช่น หลวงวิจิตรฯ บอกว่า "...คำ "สยาม" มาจากคำ "ศฺยามฺ" ของสันสกฤต แปลว่า "ดำ" แต่คนไทยไม่ใช่คนผิวดำ คำ "สยาม" จึงไม่เหมาะที่จะเป็นชื่อประเทศไทย..."


    อ่านดูที่มาที่ไปที่ต้องเปลี่ยนชื่อประเทศนะคะ

    จากกระทู้เด็กเตรียมฯ (ทางสายธาตุเป็นเด็กเตรียมุรุ่นเดอะค่ะ เรียนสายวิทย์ แต่ปีนี้คุยแต่ประวัติศาสตร์ได้ยังไงเนี่ยคะ ^^)

    http://www.dektriam.net/TopicRead.aspx?topicID=97399&start=0
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ตุลาคม 2009
  10. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    เพลงไทยเดิม ระบำลพบุรี





    <TABLE id=table1 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD align=middle width="100%">
    [​IMG]



    [​IMG]







    </TD></TR><TR><TD class=text3 width="100%">
    นักโบราณคดีกำหนดสมัยลพบุรีว่าอยู่ในพุทธศตวรรษที่ 16 ถึง 19 ซึ่งอิทธิพลของขอมได้แผ่ปกคลุมอย่างกว้างขวาง โบราณวัตถุ และโบราณสถานของขอมมีอยู่ทั่วไป อาจารย์มนตรี ตราโมท จึงแต่งเพลงระบำลพบุรีให้เป็นสำเนียงเขมร ส่วนท่ารำนั้น อาจารย์ลมุล ยมะคุปต์ และอาจารย์เฉลย ศุขะวณิช เป็นผู้ประดิษฐ์ท่ารำให้มีลีลาอย่างเขมร​



    ป.ล. เป็นเพลงไทยเดิมที่จังหวะเร็วดีค่ะ ถูกใจวัยรุ่น(รุ่นแรกๆ)






    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ตุลาคม 2009
  11. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ต้นแบบรูปคุณนายออสุต จากวัดบางแคใหญ่

    [​IMG]

    จากหลักฐานทางโบราณคดี และผู้ใช้นามปากกาว่า น. ณ ปากน้ำ ได้เสนอเหตุผลว่าน่าจะเป็นวัดที่มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา และได้มีการบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่โดยพิจารณาจากหลักฐานต่าง ๆ ดังนี้

    ๑. พระพุทธรูปหินทรายแดง (Sand Stone) รอบระเบียงจำนวน ๕๖ องค์ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย นิ้วพระหัตถ์กางแบบปาละ พระพุทธรูปเป็นแบบอู่ทองหน้านาง เป็นปฏิมากรรมสมัยก่อนกรุงศรีอยุธยา ซึ่งอาจจะนำมาจากที่อื่นหรือเป็นของเก่าแก่ดั้งเดิมของวัดก็เป็นได้

    ๒. ใบเสมาหินทรายแดงขนาดเล็กสมัยอยุธยา ตระกูลอัมพวา ซึ่งพบได้ที่วัดเพชรสมุทรวรวิหาร (วัดหลวงพ่อบ้านแหลม) และวัดโบราณสมัยอยุธยาตอนปลายในเขตจังหวัดสมุทรสงครามโดยทั่วไป

    ๓. เจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง มีระเบียงล้อมรอบเจดีย์สมัยพระนารายณ์ บริเวณลานหน้าพระอุโบสถ

    ๔. ภาพเขียนบริเวณกุฏิสงฆ์ ซึ่งเดิมเป็นเรือนไทยมีเสาต่ำ ต่อมามีการยกเรือนสูงขึ้น ภาพเขียนเป็นเรื่องราวสมัยรัชกาลที่ ๒ แม้จะเขียนบนฝาประจันไม้เพียงด้านเดียว แต่แยกเหตุการณ์ไว้หลายตอน จัดว่าเป็นภาพที่งดงาม


    [​IMG]

    ภาพชาวมอญกำลังตำข้าวและสีข้าว

    [​IMG]



    [​IMG]



    [​IMG]

    ภาพนี้คาดว่า น่าจะเป็นเจดีย์สามองค์ที่ด่านชายแดน อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี

    [​IMG]

    วิถีชีวิตภายในหมู่บ้านของชนกลุ่มน้อย

    [​IMG]



    [​IMG]

    ตามคำอธิบายของ น. ณ ปากน้ำ หรืออาจารย์ประยูร อุลุชาฎะ และ อาจารย์แสงอรุณ กนกพงศ์ชัย ซึ่งท่านได้อธิบายไว้ใน หนังสือชุดจิตรกรรมฝาผนังในประเทศไทย วัดบางแคใหญ่ ของสำนักพิมพ์เมืองโบราณ

    1.ศักราชที่เขียนจิตรกรรมซึ่ง ในงานชิ้นนี้ระบุว่าสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2357 ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

    2. การอพยพของชาวมอญแต่ละระลอก ที่เข้ามาในราชอาณาจักรสยาม

    3. ประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ไทยกับมอญนับแต่กรุงศรีอยุธยาสืบจนถึงรัตนโกสินทร์
    ตลอดจนบทบาทของชาวมอญในสังคมไทย

    พอจะอธิบายได้คร่าวๆถึงเรื่องราวบนจิตรกรรมวัดบางแคใหญ่ จ.สมุทรสงคราม ซึ่งพื้นที่ปัจจุบัน เป็นที่อยู่อาศัยของลูกหลานชาวมอญ (กลืนหายกลายเป็นไทย)

    พ.ศ.2357 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย มอญชาวถูกพม่าเกณฑ์แรงงานก่อสร้างพระเจดีย์ จึงได้ก่อกบฎขึ้นที่เมืองเมาะตะมะ เมื่อถูกพม่าปราบ ต้องหนีเข้าไทย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จึงโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าฟ้ามงกุฎ (ต่อมาคือรัชกาลที่ ๔) เสด็จเป็นแม่กองออกไปรับถึงชายแดน ซึ่งการอพยพมาครั้งนี้มีมากถึง สี่หมื่นคน และให้มาตั้งรกรากที่สามโคก ปากเกร็ด และพระประแดง

    ชาวมอญได้ตั้งบ้านเรือนอยู่ทั่วไปตามที่ราบลุ่มริมน้ำภาคกลาง ได้แก่ ลพบุรี สระบุรี อยุธยา นครปฐม กาญจนบุรี ราชบุรี สุพรรณบุรี อ่างทอง นครนายก ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรสงคราม สมุทรปราการ สมุทรสาคร กรุงเทพฯ ฉะเชิงเทรา เป็นต้น มีบางส่วนเท่านั้นที่มาตั้งรกรากทางปักษ์ใต้ เช่น ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฏร์ธานี


    ดังนั้น จากภาพจิตรกรรมฝาผนังวัดบางแคใหญ่ น่าจะอธิบายว่าเป็นการเดินทัพไปรับชาวมอญทั้งทางบก และทางน้ำ ซึ่งในพื้นที่แถบชายแดนนั้น มีทั้งหมู่บ้านชาวกะเหรี่ยงเผ่าต่างๆ กลุ่มคนไทยในทวาย มะริด ตะนาวศรี ซึ่งเป็นหัวเมืองของไทย รวมถึงชาวมอญ ชาวไทยใหญ่ พม่า และกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ

    เป็นพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์สยามที่มีต่อชนต่างชาติจริงๆค่ะ

    จากบล็อคครูแผนใน oknation http://www.oknation.net/blog/phaen/2009/07/13/entry-1#

    ขอบคุณค่ะสำหรับข้อมูล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ตุลาคม 2009
  12. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    วัดท่าใหม่อิ ต.ป่าแดด อ.เมือง จ.เชียงใหม่

    [​IMG]

    เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2552 ได้มีโอกาสไปชมและร่วมการทอดผ้าป่า ณวัดเล็กๆวัดหนึ้งอยู่ติดถนนวงแหวนรอบที่สาม ทางตอนใต้ของเมืองเชียงใหม่ ( ด้านตะวันตกของแม่น้ำปิง ตามถนนวงแหวนรอบที่ 3 ผ่านสี่แยกถนนสายลำพูน ข้ามแม่น้ำปิง) คือ วัดท่าใหม่อิ ต.ป่าแดด อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ได้รับทราบ ประวัติ ตำนานของวัดว่ามีชื่อเดิมว่าวัดท่าแม่อิ คำว่าแม่อิเป็นพระนามแฝง (เพื่อความปลอดภัยของพระองค์)ขององค์มณีจันทร์พระชายาของสมเด็จพระนเรศ ซึ่งพระองค์ได้หลบภัยสงครามจากกรุงศรีอยุธยาทางเรือขึ้นมาตามลำน้ำเจ้าพระยา ทรงเสื่ยงทายเพื่อการเลือกเดินทางว่าจะเข้าสู่ลำน้ำปิง วัง ยม หรือน่าน ลำน้ำปิงมีสายน้ำที่ใสทรงเลือกเดินทางลำน้ำปิง เดินทางมาขึ้นท่าบริเวณหน้าวัดท่าแม่อิ หรือ วัดท่าใหม่อิ (ปัจจุบัน) ทรงให้สร้าง ปรับปรุงวัดนี้ขึ้นมา

    ในวัดมีพระวิหาร โบสถ์กระทัดรัด สวยงามเป็นระเบียบเรียบร้อยน่าดู น่าชมมากเลยครับ รวมทั้งมีการจัดพระเก้าอี้ที่ประทับ และจัดรองพระบาทของสมเด็จพระนเรศไว้ด้วย เชิญชวนสมาชิก และทุกท่านที่มีโอกาสแวะเยี่ยม ทำกุศลที่วัดนี้นะครับ เห็นว่า 11 ตุลาคม 2552 ก็จะมีกฐิน ณ วัดท่าใหม่อิ

    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]

    ภาพองค์มณีจันทร์ที่ถ่ายจากภาพหอแสดงพระราชประวัติ พระราชภารกิจสมเด็จพระนเรศ ที่ดอยเวา อ.แม่สาย จ.เชียงราย ซึ่งปรากฎภาพนี้อยู่ที่วัดท่าใหม่อิ ต.ป่าแดด อ.เมือง จ.เชียงใหม่ดอย (แต่เป็นภาพขาวดำ)

    ผู้เขียนใช้นามล็อคอินว่า aasu เขียนไว้ ในเวปไซด์พระนเรศดอทคอม

    พอดีช่วงจังหวะเวปล่มหลายวัน ไปหาข้อมูลศิลปวัฒนธรรมมาได้อีกพอสมควร จะค่อยๆทยอยๆลง จะลงเฉพาะเนื้อหาที่เกี่ยวข้องและเกี่ยวเนื่องกันนะคะ

    ป.ล. ทางสายธาตุว่าพระพักตร์องค์มณีจันทร์ในรูปนี้คล้ายดาราคนหนึ่งแต่นึกไม่ออก

    ความเห็นของท่านมุ้ย หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล ก่อนสร้างภาพยนต์เรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เกี่ยวกับองค์มณีจันทร์ ดังนี้

    ท่านมุ้ยเขียนถึงที่มาที่ไปของบุคคลิคลักษณะของมณีจันทร์ไว้โดยท่านระบุว่าทรงอำนาจ (สามารถช่วยพระองค์ไลขณะเป็นจมื่นศรีสรรักษ์ออกจากคุกมืดได้ โดยขอให้สมเด็จพระเอกาทศรถทรงให้อภัย) และเป็นแม่ชีจึงเป็นขรัวมณีจันทร์เพราะทรงเดาว่าพระนางมณีจันทร์ไปบวชหลังจากที่สมเด็จพระนเรศวรทรงสวรรคต แต่ถ้าใช้คำว่าเจ้าขรัวมณีจันทร์ก็จะหมายถึงคหบดีจีนไป ซึ่งยากที่จะเข้าใจว่าเป็นคหบดีจีนได้อย่างไร ^^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ตุลาคม 2009
  13. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    [​IMG]

    [​IMG]




    ล้นเกล้าเผ่าไทย
    ชลธี ธารทอง
    สายัณห์ สัญญา

    ล้นเกล้า เผ่าไทย ศูนย์รวมใจคนไทยทั้งชาติ
    ขอ อภิวาท เบื้องบาทองค์ ภู-มิพล ยามใดไพร่ฟ้า
    ชาวประชายากจน ทรงห่วง กังวล
    ดั่งหยาดฝนชะโลมพื้นหล้า

    ถึงว่าป่าดง พฤกษ์ไพรพง ทรงสู้ดั้นด้น
    ถึงกายหมองหม่น แดดฝนไม่คิดนำพา
    ร่วมสุขร่วมทุกข์ ทุกข์หรือสุขมีมา
    ทรงแผ่ เมตตา ให้ชาวประชาชื่นใจ

    มิ่งขวัญดวงใจ ชาวไทยทั้งผอง
    ทอแสงเรืองรอง ผุดผ่องดังร่มโพธิ์ใหญ่
    พระบารมี เป็นที่ ลือขานนามไกล
    ข้าบาท ภูมิใจล้นเกล้าเผ่าไทยแห่งวงศ์จักรี


    เหนือยิ่ง สิ่งใด เหนือดวงใจชาวไทยรักยิ่ง
    เหมือนเป็นขวัญมิ่ง พักพิงยามทุกข์ภัยมี
    ชาวไทยแหนหวง ยิ่งกว่าดวงชีวี
    แม้นใครคิดย่ำยี ใต้ฝ่าธุลี ขอพลีชีพแทน




    ขอพระองค์จงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
    ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ตุลาคม 2009
  14. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    บุคคลิคหลวงศรียศ เป็นอย่างไร



    <DD>ในจดหมายเหตุโบราณมีคำว่า “แขกเทศ” ซึ่งเข้าใจว่าหมายถึงมุสลิมที่มาจากอินเดีย เปอร์เซีย และอาหรับ ชาวอินเดียเรียกคนต่างด้าวว่า ปัรเดสี (Pardesi) หรือแผลงทางสำเนียงไทยว่า ปรเทสี และกลายเป็นบรเทศ “ต่อมามีผู้แปลงคำ “บรเทศ”เป็นวรเชษฐ์ ดังเรียกภาษาเพลงดนตรีว่า “เพลงแขกวรเชษฐ์” ก็น่าหัวเราะ คงเป็นเพราะผู้นั้นไม่รู้ความศัพท์บรเทศ สังเกตุแต่เสียงก็แปลงเป็นวรเชษฐ์” <DD><DD><DD><DD>พวกแขกเทศเหล่านี้ตั้งบ้านเรือนอยู่ทางด้านตะวันตกของกรุงศรีอยุธยา และยังมีท่าน้ำทำเลค้าขาย เรียกว่า ท่ากายี คำนี้เป็นศัพท์เปอร์เซีย คงจะเพี้ยนมาจากคำ อากอ (Aqa) ซึ่งแปลว่า หัวหน้า ส่วน ยี (ตามอักษรเทียบเป็น ญี) นั้น เติมเข้าเพื่อแสดงคารวะ เช่น ครับ หรือใต้ท้าว คำนี้ยังเป็นนามสกุล อากายี ของพวกเจ้าเซ็นตระกูลหนึ่ง ทุกวันนี้ คำอะกาคาน (Agahkhan) ก็เพี้ยนจากศัพท์นี้ ในบริเวณนี้มีกุฎีทอง ซึ่งบางครั้งก็เรียกว่า โคกแขกบ้าง โคกกุฎีทองบ้าง ท่านเจ้าพระยาภาสกรวงศ์ส่าเป็นสุเหร่าของเฉกอะหมัด นอกจากนั้นมีพวกอินโดนีเซียหรือมาลายูที่มาจากเกาะมากาซ่า ไทย เรียกมะกะสัน ตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้คลองตะเคียน <DD>

    คำว่า จุฬาราชมนตรี ซึ่งเป็นตำแหน่งฝ่ายมุสลิมให้ข้อปรึกษาด้านศาสนาอิสลามแก่กรรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการขณะนี้ ก็มีประวัติมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา ในทำเนียบศักดินาของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทำเนียบตำแหน่งขุนนาง ซึ่งในชั้นหลังเรียกว่า “กรมท่าขวา” มี “พระจุลาราชมนตรี” เป็นหัวหน้าฝ่ายแขก คู่กับ “หลวงโชฎึกราชเศรษฐี” หัวหน้าฝ่ายจีน (กรมท่าขวาใช้ภาษา มลายู กรมท่าซ้ายใช้ภาษา จีน ภายในกรม)

    <DD><DD><DD>
    เมื่อพวกฮอลันดาเข้ามา คงจะเห็นว่าพวกแขกได้ว่าหลายพวกแล้ว ก็เลยแยกพวกฮอลันดามาไว้กับฝ่ายจีนเสียบ้าง และได้เติมคำว่า “ได้ว่าวิลันดา” ลงไป พอสันนิษฐานได้ว่าตั้งแต่สมัยสุโขทัยลงมาจนถึงสมัยศรีอยุธยา แผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. 2031 ค.ศ. 1488) จะต้องมีพวกแขก เช่น เปอร์เซีย หรืออาหรับ หรือพวกอินเดียเข้ามาอยู่แล้ว จึงมีกล่าวถึงพวกนักเทศขันที แล้วก็มีตำแหน่งพระจุลาราชมนตรี ในทำเนียบกรมภูษามาลามีชื่อแขกจริงๆ ปรากฏอยู่ 4 คน เป็นพวกช่างขุนชื่อ นายเวระกู นายครูป่า นายประหม่านันตี และนายเอระกรปี่ ถือศักดินาคนละ 50 ไร่



    <DD>ต่อจากสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. 1991-2031 ค.ศ. 1448-1488) ลงมา 5 แผ่นดิน ถึงแผ่นดินพระยอดฟ้า (พ.ศ. 2089-2091 ค.ศ. 1546-1548) มีเรื่องยุ่งเกี่ยวกับขุนวรวงษาธิราชครั้งนั้นมีขุนนาง 4 คน คิดกำจัดขุนวรวงษาธิราช คือ ขุนพิเรนทรเทพส ขุนอินทรเทพ หมี่นราชเสน่หา และหลวงศรียศ ชาวบ้านลานตากฟ้า แขวงเมืองสุพรรณบุรี <DD> <DD><DD><DD><DD>ราชทินนาม “หลวงศรียศ” นี้ เท่าที่ได้พบในสมัยหลัง ๆ ปรากฏว่าเป็นตำแหน่งขุนนางแขก เช่นในแผ่นดินพระเอกาทศรถ (พ.ศ. 2148-2163 ค.ศ. 1605-1620) มีพวกฮอลันดาเข้ามา แล้วมีอังกฤษเข้ามา ในจดหมายเหตุฮอลันดามีชื่อ “ออกขุนศรียศ” เป็นผู้หนึ่งที่ติดต่อกับพวกอังกฤษ<DD> <DD><DD><DD><DD>มาถึงแผ่นดินพระเพทราชา (พ.ศ. 2231-2246 ค.ศ. 1688-1703) มีเยอรมันชื่อหมอแกมป์เฟอร์เข้ามา เขียนเล่าตอนจะไปหาพระยาพระคลัง (คือโกษาปาน) ก็มีขุนนางชื่อ “ออกพระศรียศ” เป็นผู้นำไป บอกว่า ออกพระศรียศเป็นขุนนางแขกอินเดีย ถือศาสนาอิสลามเป็นหัวหน้าพวกแขกมัวร์ แต่งตัวเป็นแขกมีผ้าโพกหัว เวลามาติดต่อมีขุนนางแขกมาด้วย 2 คน ตามที่หมอแกมป์เฟอร์เขียนนี้ แสดงว่า เป็นพวกกรมท่า ซึ่งมีหน้าที่ติดต่อกับแขกเมือง ออกพระศรียศอาจจะเป็น “ปลัด” หรือ “เจ้าท่า” เพราะในตอนหลังหมอแกมป์เฟอร์เล่าถึงตำแหน่งขุนนางได้ออกชื่อ “พระยาจุลา” อีกคนหนึ่ง <DD> <DD><DD><DD>
    ออกพระศรียศ มีบุคคลิกเป็นขุนนางแขกอินเดีย ถือศาสนาอิสลามเป็นหัวหน้าพวกแขกมัวร์ แต่งตัวเป็นแขกมีผ้าโพกหัว

    <DD>เห็นความแตกต่างอย่างลงตัวของคนต่างเชื้อชาติแต่บนแผ่นดินสยามเดียวกันที่เข้ากันได้อย่างลงตัว ไหมคะ พระมหากษัตริย์สยามแต่โบราณทรงเก่งมาก สามารถทำให้ทุกฝ่ายอยู่ด้วยกันได้อย่างดี ทรงเกี้ยเซี้ยกับทุกฝ่ายได้ลงตัว (เกี้ยเซี้ย แปลว่า compomize หรือแปลเป็นไทยว่า ผลประโยชน์ลงตัวเป็นที่พอใจของทุกฝ่าย) เห็นความหลากหลายของเชื้อชาติหรือยังค่ะ


    <DD>

    รวมท้าวทองกีบม้าภรรยาเจ้าพระยาวิชชาเยนท์ ท้าวทองกีบม้าเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่น-โปรตุเกส แต่งงานกับฟอลคอน(เจ้าพระยาวิชชาเยนท์)ที่เป็นคนกรีก มีลูกด้วยกันน่าจะสามคน เป็นลูกครึ่ง ลูกเสี้ยว อาศัยอยู่บนแผ่นดินนี้สืบมาๆ


    <DD>

    ลูกๆคุณนายสุต หงสา (ออสุต พะโค) เป็นลูกครึ่ง มอญ-ฮอลันดา ทั้งสามคน ก็คงสืบเชื้อสายต่อๆมาเช่นเดียวกันค่ะ

    จาก http://www.muslimthai.com/main/1428/content.php?category=50&id=188


    </DD>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ตุลาคม 2009
  15. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ขุนนางสยามตระกูลพราหมณ์จากอินเดียประเทศ

    ตามทางสืบสวนได้ความว่า บรรพบุรุษของท่านเจ้าพระยาบดินทรเดชา(สิงห์)เป็นพราหมณ์ ชื่อศิริวัฒนะ รับราชการในสมัยสมเด็จพระนารายณ์อยู่ในตำแหน่งราชปุโรหิต มีบุตรได้รับราชการสนองพระเดชพระคุณจนเป็นที่ พระมหาราชครูพระราชปุโรหิตาจารย์ ราชสุภาวดี ศรีบรมหงส์ องค์บุริโสดมพรหมทิชาจารย์


    พระมหาราชครู มีบุตรปรากฏนามต่อมา ๒ คน คือ เจ้าพระยาพิศณุโลก(เมฆ) และเจ้าพระยามหาสมบัติ(ผล)

    เจ้าพระยาพิศณุโลก(เมฆ) มีบุตรปรากฏนามต่อมา ๓ คน คือ

    ๑. เจ้าพระยานเรนทราภัย(บุญเกิด)
    ๒. เจ้าพระยาสุรินทรภักดี(บุญมี)
    ๓. เจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์(อู่)
    ได้ดำรงตำแหน่งสูงสุดเป็นเจ้าพระยามหาอุปราช เป็นต้นสกุล "ศิริวัฒนกุล","จันทโรจวงศ์","บุรณศิริ","สุจริตกุล","ภูมิรัตน","ชัชกุล" รวม ๖ สกุล

    เจ้าพระยามหาสมบัติ(ผล)มีบุตรธิดาปรากฏนามต่อมา ๖ คน คือ
    ๑. ญ.เลื่อน
    ๒. เจ้าพระยาพลเทพ(ทองอิน) ต้นสกุล "ทองอิน" และ"อินทรผล"
    ๓. กรมหมื่นนรินทรพิทักษ์(มุก) ภัสดากรมหลวงนรินทรเทวี(กุ) ต้นสกุล "นรินทรกุล"
    ๔. ท้าวทรงกันดาร(ทองศรี)
    ๕. ญ.ทองเภา ไปอยู่พม่าเพราะถูกกวาดต้อนเมื่อคราวไทยเสียกรุงศรีอยุธยา พ.ศ. ๒๓๑๐ ว่าเป็นพระราชมารดาพระเจ้าธีบอ
    ๖. เจ้าพระยาอภัยราชา(ปิ่น)

    เจ้าพระยาอภัยราชา(ปิ่น)มีบุตรธิดาปรากฏนามต่อมา ๘ คน คือ
    ๑. เจ้าจอมปริก ในรัชกาลที่ ๑
    ๒. จมื่นเด็กชายหัวหมื่นมหาดเล็ก(แตงโม) ในกรมพระราชวังบวรรัชกาลที่ ๑
    ๓. เจ้าจอมปรางค์ ในรัชกาลที่ ๒
    ๔. เจ้าพระยาบดินทรเดชา(สิงห์)
    ๕. หลวงรามณรงค์(โต)
    ๖. พระยาพิชัยสงคราม(โห้)
    ๗. หลวงมหาใจภักดิ์(เจริญ)
    ๘. หลวงพิพิธ(ม่วง)
    ๙. คุณหญิงบุนนาคกำแหงสงคราม(ทองอิน อินทรกำแหง)

    บุตรที่ ๔ คือ เจ้าพระยาบดินทรเดชา(สิงห์)นั้นเกิดแต่ท่านผู้หญิงฝัก เมื่อปีระกา พ.ศ. ๒๓๒๐ เป็นปีที่ ๑๐ ในสมัยกรุงธนบุรี ที่บ้านริมคลองรอบกรุงธนบุรีด้านตะวันออกซึ่งบัดนี้นับเป็นเขตจังหวัดพระนคร ตอนเชิงสะพานข้างโรงสีหน้ากระทรวงมหาดไทยทุกวันนี้

    ต่อมาในรัชกาลที่ ๑ กรุงรัตนโกสินทร์ เจ้าพระยาอภัยราช(ปิ่น)นำนายสิงห์ บุตรชายขึ้นถวายตัวเป็นมหาดเล็ก ในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศนสุนทร นายสิงห์ตั้งใจรับราชการสนองพระเดชพระคุณด้วยความอุตสาหะพากเพียรสม่ำเสมอ ได้รับพระราชทานยศโดยลำดับจนเป็น จมื่นเสมอใจราช

    เมื่อสิ้นรัชกาลที่ ๑ แล้ว โปรดฯให้ย้ายไปรับราชการที่วังหน้า ต่อมาได้รับพระราชทานยศเป็น พระนายเสมอใจราช

    ในระหว่างที่เป็นพระนายเสมอใจราชนี้เอง เคยต้องโทษครั้งหนึ่งเพราะต้องหาว่าพายเรือตัดหน้าฉาน ตามเรื่องมีว่า ตอนเช้าวันนั้นพนักงานได้จัดเทียบเรือพระที่นั่งและเรือกระบวนไว้พร้อมแล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยยังมิได้เสด็จลง หมอกกำลังลงจัดพระนายเสมอใจราช(สิงห์)มีธุระผ่านเรือไปทางนั้นในระยะไม่ห่างเพราะหมอกลงคลุมขาวมัวไปหมด ในที่สุดก็ถูกจับไปลงพระราชอาญาจำอยู่ที่ทิมในพระราชวังหลวง แต่อาศัยพระอนุเคราะห์ของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเวลานั้นยังดำรงพระยศเป็นพระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นเจษฎาบดินทร ได้ทรงพระกรุณาช่วยให้พ้นโทษโดยเร็ว

    เมื่อพระนายเสมอใจราช(สิงห์)พ้นโทษแล้ว ได้รับราชการในตำแหน่งเดิมอีก ต่อมาได้รับพระราชทานบรรศักดิ์เป็นพระยาเกษตรรักษา ว่าการกรมนาฝ่ายพระราชวังบวร

    พระยาเกษตรรักษา(สิงห์)เป็นผู้มีนิสัยขะมักเขม้นทั้งในทางราชการ และในการทางบ้าน เมื่อว่างจากราชก็ดำริการค้าขาย พยายามต่อสำเภาแต่งออกไปค้าขายยังเมืองจีน สิ่งที่ขายได้ผลดีมากคือเศษเหล็ก จัดหาซื้อส่งไปขายเป็นจำนวนมาก สถานที่ตั้งต่อสำเภาหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอู่ตะเภา ก็คือที่บริเวณวัดตึกทุกวันนี้ การค้าขายได้กำไรดี ทางราชการก็เจริญดีเรื่อยมาจนต้องโทษเป็นครั้งที่ ๒

    ราชการสำคัญของพระยาเกษตรรักษา(สิงห์)ที่ต้องปฏิบัติในระหว่างนี้ก้คือการนา ได้ออกไปควบคุมการทำนาหลวงอยู่เนื่องๆ ในที่สุดต้องหาว่าไปตั้งค่ายคูอย่างทำศึก และประกอบกับการที่ค้าขายเศษเหล็กเป็นส่วนตัวอยู่ด้วย น่าระแวงว่าจะสะสมเหล็กทำอาวุธบ้างกระมัง จึงถูกนำตัวมาจำไว้ในพระบรมมหาราชวัง แต่ก็ได้อาศัยพระบารมีพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวอีกเป็นครั้งที่ ๒ เหมือนกัน ซึ่งเวลานั้นยังเป็นรัชกาลที่ ๒ พระองค์อยู่ในฐานะเป็นพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ใหญ่ และทรงบัญชาราชการสำคัญหลายอย่าง ทรงอนุเคราะห์พระยาเกษตรรักษา(สิงห์) แม้จะต้องโทษถูกจำอยู่ก็ผ่อนหนักเป็นเบาตลอดมาจนสิ้นรัชกาลที่ ๒

    เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเสวยราชย์แล้ว ทรงพระกรุณาให้พระยาเกษตรรักษา(สิงห์)พ้นโทษ และต่อมาโปรดฯให้มีบรรดาศักดิ์เป็นพระยาราชสุภาวดี ตั้งแต่นั้นมาชีวิตของพระยาราชสุภาวดี(สิงห์)ก็เริ่มเจริญรุ่งเรืองขึ้นในกิจการสำคัญของชาติ จนปรากฏเกียรติคุณประจักษ์อยู่ในพระราชพงศาวดารเป็นต้น


    ตระกูลของพราหมณ์ ที่เข้ามาในพระราชอาณาจักรไทยมีอยู่มากมาย ตัวอย่างตระกูลพราหมณ์สำคัญครั้งสมัยอยุธยาคือ

    พราหมณ์ศิริวัฒนะ ได้เป็นพระมหาราชครู พระราชปุโรหิตาจารย์ราชสุภาวดีศรีบรมหงส์วงศ์บริโสดม พราหมณ์ทิชาจารย์ พระมหาราชครู ในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช

    ได้มีลูกหลานให้กำเนิดสกุลสำคัญ ๆ สืบต่อมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ อันเป็นต้นตระกูล

    1 ทองอิน

    2 อินทรพล

    3 นรินทรกุล

    4 สิงหเสนี

    5 จันทรโรจนวงค์

    6 ชัชกุล

    7 ภูมิรัตน์

    8 บูรณศิริ

    9 สุจริตกุล

    10 ศิริวัฒนกุล



    ਩ҾВ??Թ?à??Ҡ(ʔ?ˬ ʔ?ˠʹթ ?ع?š?釠?ҡ ???ǒ?ʹء! ?ՠ?Ղ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ตุลาคม 2009
  16. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ขุนนางสยาม ผู้สืบสายมาจากสุลต่าน สุลัยมาน ตระกูลเจ้าผู้ครองนครบนเกาะชวา

    สุลต่าน ตวนกู สุลัยมาน ชาห์ หรือ สุลต่านสุลัยมาน(ชาห์) พระราชาธิบดีแห่งเมืองสงขลาองค์ที่ 2
    สุลต่านสุลัยมาน(ชาห์) ป็นบุตรชายคนโตของท่านโมกอล ซึ่งอพยพครอบครัวจากเมืองสาเลห์(ชวาภาคกลาง)โดยทางเรือมาตั้งหมู่บ้านที่ตำบลหัวเขาแดง ริมทะเลปากอ่าวสงขลา ในสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ ในประมาณปีพ.ศ. 2145 สมเด็จพระเอกาทศรถทรงโปรดเกล้าฯให้เป็นข้าหลวงผู้สำเร็จราชการนครสงขลา และดำรงตำแหน่งนี้จนถึงปี พ.ศ. 2163 จึงถึงแก่อสัญกรรม ท่านสุลัยมานจึงขึ้นครองนครสงขลาแทนบิดาในปี พ.ศ. 2163 ในฐานะผู้สำเร็จราชการนครสงขลา ในสมัยพระเจ้าทรงธรรม ต่อมาในปีพ.ศ. 2173 เจ้าพระยากลาโหมศรีสุริยวงศ์ ปราบดาภิเษกเป็นปฐมบรมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ปราสาททอง ทรงพระนามว่า "สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง" (ครองราชย์ พ.ศ. 2173-2199) ท่านสุลัยมานเห็นว่ามิใช่เป็นการสืบราชสันตติวงศ์ตามกฎมนเฑียรบาล จึงประกาศแข็งเมืองไม่ยอมขึ้นกับกรุงศรีอยุธยา และได้ประกาศเป็นรัฐอิสระตั้งแต่ปี พ.ศ. 2173 <SUP class=reference id=cite_ref-0>[1]</SUP>

    ครั้นต่อมาในสมัยแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช(ครองราชย์ พ.ศ. 2199-2231) ในปี พ.ศ. 2223โปรดเกล้าฯให้พระยารามเดโช(ชู)เป็นแม่ทัพยกทัพหลวงไปร่วมกับทัพหัวเมืองภาคใต้ มีกองอาสาสมัครโปรตุเกสและดัชท์ร่วมด้วย ยกไปปราบนครสงขลาจนได้รับชัยชนะ (ขณะนั้นท่านมุสตอฟาบุตรชายคนโตของสุลต่านสุลัยมานเป็นสุลต่านเมืองสงขลาอยู่ เนื่องจากท่านสุลัยมานเสียชีวิตไปแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2211) ในครั้งนั้น สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงโปรดให้สลายเมืองสงขลาเสียแล้วให้ท่านมุสตอฟาย้ายไปอยู่ที่เมืองไชยา อันเป็นหัวเมืองตรีอยู่ทางเหนือของนครศรีธรรมราช ส่วนท่านฮะซันและฮูเซ็นให้อพยพเข้ามาที่กรุงศรีอยุธยา <SUP class=reference id=cite_ref-1>[2]</SUP>

    ท่านฮะซันนั้นได้เข้ามารับราชการอยู่ในกรุงศรีอยุธยาตั้งแต่รัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ในภายหลังต่อมาในรัชสมัยสมเด็จพระเพทราชา พระยารามเดโช(ชู)เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชเป็นกบฎ พระยาราชวังสัน(มะหมุด)ซึ่งเป็นบุตรชายคงจะอยู่ไม่ได้หรืออาจเกิดเหตุการณ์ใดกับท่าน สมเด็จพระเพทราชาจึงโปรดเกล้าฯให้ท่านฮะซันดำรงตำแหน่งพระยาราชวังสันแทน พระยาราชวังสัน(ฮะซัน)มีบุตรชื่อ ขุนลักษมณา(บุญยัง) ซึ่งต่อมาเป็นบิดาของเจ้าพระยาจักรี(หมุด)
    สายสกุลสุลต่านสุลัยมาน(ชาห์)ผู้สืบทอดบรรดาศักดิ์พระยาราชวังสัน

    รายนามนามสกุลที่สืบเชื้อสายมาจากสุลต่านสุลัยมาน



    1.ณ พัทลุง

    2.ศิริสัมพันธ์ (หรือ สิริสัมพันธ์ ในสมัยที่เปลี่ยน ศ เป็น ส - ยุคจอมพล ป.พิบูลสงคราม )


    คุณหญิงเลื่อน ศิริสัมพันธ์ + ขุนดุษฎีวิศวิจัย ต้นสกุล รามสมภพ</PRE>3.มิตรกูล

    4.ขัมพานนท์

    5.เศวตรครุมัต

    6.สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง

    7.วัลลิโภดม

    8.ศรุตานนท์

    9.ศิริธร

    10.ทองคำวงศ์

    11.พิทักษ์คุมพล

    12.พิทักษ์คุมพลศิริวังษา

    13.แสงหลากเลิศ

    14.ปวิตต์วงศ์

    15.ยงใจยุทธ

    16.แก้วไศว

    17.ศรีสง่า

    18.ศรีเจริญ

    19.เรืองทอง

    20.ศิริภาษา

    21.วิทยุ

    22.คชสวัสดิ์

    23.เชาวนกวี

    24.หวันมุดา

    25.มุดาฮูเซ้น

    26.ศรีวรข่าน

    27.ชลายนเดชะ

    28.เศวตะดุล



    แผ่นดินนี้เคยเป็นเมืองท่าสำคัญของโลกตะวันออก คนหลายเชื้อชาติจึงมาเจอกันที่นี่และอยู่ร่วมกันมาหลายร้อยปีแล้วค่ะ

    คัดย่อมาจาก วีกิพีเดีย ตอน สุลต่าน ตวนกู สุลัยมาน ชาห์




     
  17. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ตระกูลที่สืบเชื้อสายมาจากองค์ชาย 2 ราชวงศ์ชิง

    [​IMG]

    เจดีย์ไทยในวัดเล่งเน่ยยี่ อีกด้านหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่ไม่มีใครเคยรู้


    ทำไมเป็นพระเจดีย์ทรงไทย ทำไมอยู่ในวัดจีน เป็นปริศนาที่คำตอบรอท่านอยู่ครับ รูปพระเจดีย์ รายละเอียดแผนผังของพระเจดีย์ ถ้าโพสต์รูปได้เมื่อไหร่จะมาลงให้ครับ



    ด้วยวัดเล่งเน่ยยี่ ถ.เจริญกรุง จะทําการรื้อเจดีย์อัฐิของฉี่(ซื้อ)งี้กุง และบุตรหลาน แผ่นหินระบุชื่อของบุคคลดังต่อไปนี้

    1. มุ่ยเจียง แซ่ฉี่ (ฉี่งี้กุง) บิดา (บรรพชนตระกูลชีชุติ)
    2.เน่า แซ่เจง มารดา (มารดานางหุ่น ลํ่าซํา/นางสมบุญ จึงแย้มปิ่น)
    3.เปลี่ยน แซ่ฉี่ บุตรชายคนโต (บรรพชนตระกูลสร้อยเพชรรัตน์/ทั่งเครือแก้ว)
    4.คึ้งตก แซ่ตั้ง สะใภ้คนโต
    5.หงวน แซ่ฉี่ บุตรชายคนรอง (บรรพชนตระกูลพันทนะ)
    6.คืงสก แซ่เล้า สะใภ้คนรอง
    7.สุดใจ แซ่ฉี่ บุตรสาวคนโต (ย่าคุณหญิงราชโกษา(อบ วัชรโรทัย))
    8.เป้งจัง แซ่เฉ่า บุตรเขนคนโต (ต้นตระกูลเชาวกําธร)
    9.หรุ่น แซ่ฉี่ บุตรสาวคนรอง
    10.ฮวด แซ่กอ บุตรเขยคนรอง
    11.พร เชาวกําธร หลานสาว (มารดานางจําเนียร สิมะเสถียร/นางเยี่ยมศรี บูลสุข)
    12.กร แซ่กอ หลานสาว (มารดานางน้อมลํ่าซํา)
    13.เท่งปอ อึ๊งพากรณ์ หลานเขย
    14.เป้งติ๊ก แซ่กอ บิดาบุตรเขยคนรอง
    15.เลี่ยงเง็ก แซ่เล้า มารดาบุตรเขยคนรอง

    ขอขอบคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วรวุฒิ จิราสมบัติ
    คณะอักษรศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
    โหลนคนหนึ่งของท่านฉี่งี้กุง ที่ได้กรุณาแปลป้ายจารึกหน้าพระเจดีย์ให้

    แซ่ฉี่
    แซ่กอ
    แซ่จึง
    แซ่อึ๊ง
    ทั่งเครือแก้ว
    สร้อยเพชรรัตน์
    วัชโรทัย
    ล่ำซำ
    หวั่งหลี
    หลีอาภรณ์
    พันทนะ
    เชาวกำธร
    อึ๊งภากรณ์
    สิมะเสถียร
    บัวก้านทอง
    ศรีวิจิตร
    ตู้จินดา
    ชุติมา
    วรรณวิฑูร
    กาญจนาภา
    กรรณสูต
    จักกะพาก
    วัฒนยั่งยืน
    ชินพานิชย์
    วัฒนกิจ
    โทณวณิก
    ดำรงไชย
    ขัมพานนท์
    สราญจิตต์
    ศรีไชยยันต์
    นาวาพานิช
    ชีชุติ
    จึงแย้มปิ่น

    นามสกุลเหล่านี้ล้วนเป็นญาติกัน สืบเชื้อสายจากบรรพบุรุษคนเดียวกัน ที่อพยพจากราชสำนักจีนมาสู่ประเทศไทยในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นเรื่องราวที่ไม่เคยเปิดเผยกับคนภายนอกมากว่า 160 ปี

    ย้อนกลับไปในปลายรัชกาลที่ 3 ท่านฉี่งี้กุง (ฉี่หยี่กง) เป็นเชื้อพระวงศ์ในราชวงศ์ชิง หลีกหนีการแก่งแย่งอำนาจกัน โดยอพยพมาอยู่ประเทศสยาม โดยส่งคนสนิทมาปรึกษาเจ้าสัวยิ้ม ซึ่งเจ้าสัวยิ้มได้ทูลขอพระบรมราชานุญาตจากรัชกาลที่ 3 ซึ่งก็พระทานพระบรมราชานุญาติให้ท่านฉี่เข้ามาได้

    แต่เดิมท่านไม่ได้ชื่อนี้ แต่เมื่อท่านตัดสินใจลี้ภัยการเมืองเข้ามา ท่านก็ได้เปลี่ยนชื่อให้คนเรียกท่านเพียงว่า ฉี่งี้กุง หรือ ฉี่หยี่กง ท่านเข้ามาพร้อมด้วยบริวารและทรัพย์สมบัติ ด้วยเรือสำเภาสามเสาจำนวน 13 ลำ ท่านได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากรัชกาลที่ 3 ให้ใช้ที่ดินจากวรจักร ถึงวัดเล่งเน่ยยี่ ในปัจจุบัน ในการทำมาหากิน ค้าขาย ปลูกผัก เลี้ยงชีพ

    ต่อมาพระยาโชฎึกราชเศรษฐีได้มีความคิดจะสร้างวัดจีน เพื่อให้เป็นที่สักการะของคนจีนขึ้น ท่านฉี่และพระยาโชฎึกราชเศรษฐีกับคนจีนผู้มีศรัทธาได้ร่วมแรงร่วมใจกัน โดยท่านฉี่ได้บริจาคที่ดินเพื่อสร้างวัด และหินหน้าวัวปูพื้นวัด พระยาโชฎึกรวบรวมเงินจนสร้างวัดแล้วเสร็จ จึงเรียกวัดนี้ว่า วัดเล่งเน่ยยี่ ที่มีนัยความหมายซ่อนอยู่ ว่า วัดในพระพุทธศาสนาที่ราชวงศ์ชิงสร้าง ด้วยท่านฉี่เป็นผู้บริจาคที่ดินท่านจึงได้สร้างพระเจดีย์องค์หนึ่งเพื่อไว้เก็บอัฐิ และให้ลูกหลานได้มากราบไหว้

    และเหตุที่สร้างเป็นพระเจดีย์ทรงไทยก็เพราะว่าท่านได้ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะเป็นคนไทยและหันหลังให้แผ่นดินจีนตราบจนลมหายใจสุดท้าย จนลูกหลานได้เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาบนแผ่นดินไทย เป็นตระกูลคนไทยเชื้อสายจีนที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง ในปัจจุบันก็แทบไม่มีใครทราบเรื่องราวเหล่านี้แล้ว ยกเว้นผู้เฒ่าผู้แก่ไม่กี่คน

    ขอขอบคุณข้อมูลจาก

    PANTIP.COM : K5277476 ਴Ղ줷£?Ǒ???๨‚ը ͕??钹˹֨??ͧ?ÐǑ?ԈҊ?ì?ը䁨?㤃ंÙ頛]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ตุลาคม 2009
  18. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    พระยาพิสณฑ์สมบัติบริบูรณ์ (เจ้าสัวยิ้ม) บิดาของเจ้าจอมมารดาอ่วม

    เจ้าจอมมารดาอ่วม พิศลยบุตร

    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี


    ไปที่: ป้ายบอกทาง, ค้นหา
    <!-- start content -->เจ้าจอมมารดาอ่วม เป็นเจ้าจอมมารดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นธิดาของพระยาพิสณฑ์สมบัติบริบูรณ์ (เจ้าสัวยิ้ม) เป็นเจ้าของเรือกลไฟชื่อ "เจ้าพระยา" เดินระหว่างกรุงเทพฯ-สิงคโปร์ เพียงลำเดียวในสมัยนั้น เป็นต้นตระกูล "พิศลยบุตร" ) ประสูติเมื่อวันที่ 10 เมษายน พุทธศักราช 2399
    เจ้าจอมมารดาอ่วมให้ประสูติพระโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คือ
    เมื่อท่านมีอายุได้ 17-18 ปี ขณะนั้นเป็นช่วงต้นรัชกาลที่5 บ้านของท่านอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เมื่อกระบวนพยุหยาตราชลมารคผ่านเสด็จครั้งใด เจ้าจอมและน้องชายก็ดูหน้าต่างเพื่อชมพระบารมีเสมอ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นพักตร์รูปร่างหน้าตาของเจ้าจอม จึงทรงรับมาเป็นเจ้าจอมในพระองค์ท่านก็ใด้ถวายตัวรับใช้พระเจ้าอยู่หัวตลอดมาจนกระทั่งท่านตั้งครรภ์และประสูติพระราชโอรส คือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากิติยากรวรลักษณ์ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ ท่านก็ได้เลื่อนยศเป็นเจ้าจอมมารดาในที่สุด
    เจ้าจอมมารดาอ่วมมีสุขภาพที่ไม่แข็งแรง เจ็บป่วยเรื่อยมาหลังจากประสูติพระราชโอรสและท่านถึงแก่อนิจจกรรมเมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2420 สิริอายุ 21 ปี ซึ่งขณะนั้น พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากิติยากรวรลักษณ์ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ ทรงมีพระชันษาเพียง 3-5 ชันษา เท่านั้น
     
  19. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ไม่ต้องการเปลี่ยนให้เป็นกระทู้ความเห็นเรื่องเปลี่ยนชื่อประเทศนะคะ ไม่มีเจตนาเช่นนั้น
    แต่เกิดความเห็นด้วยว่า แผ่นดินนี้มิได้มีเพียงชนชาติหลักเพียงชาติเดียว หลังสงครามเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ หนึ่ง พม่ากวาดต้อนคนไทยไปมาก จนเหลือไว้ที่ในเมือง เพียง 10000 คน จากนั้นสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงกอบกู้สถานการณ์บ้านเมืองให้กลับฟื้นขึ้นมา ด้วยการทรงชักชวน กวาดต้อน หรือต้อนรับชาวต่างชาติที่ขอมาอาศัยร่มพระบรมโพธิสมภาร

    ตั้งแต่นั้น กรุงศรีอยุธยาจึงเป็นแหล่งที่พบกันของชนหลายเชื้อชาติ ที่เข้ากันได้ดีมากโดยอาศัยการแต่งงานรวมเชื้อชาติกัน ไม่มีความขัดแย้งกัน นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านต่อชาวทุกชนชาติบนแผ่นดินนี้

    ประชาชนที่ประกอบกันขึ้นเป็นพลเมืองของประเทศของเรานั้น มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ภาษาและอัตลักษณ์วัฒนธรรม มีทั้งไทย ลาว คนเมือง คนอีสาน มอญ เขมร กูย แต้จิ๋ว กวางตุ้ง ฮกเกี้ยน ไหหลำ จาม ชวา มลายู ซาไก มอแกน ทมิฬ เปอร์เซีย อาหรับ ฮ่อ พวน ไทดำ ผู้ไท ขึน เวียด ยอง ลั๊วะ ม้ง เย้า กะเหรี่ยง ปะหล่อง มูเซอร์ อะข่า ขะมุ มลาบรี ชอง ญากูร์ ฝรั่ง (ชาติต่างๆ) แขก (ชาติต่างๆ)
    ลูกครึ่งหลายหลาก ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ

    ทางสายธาตุมิใช่นักวิชาการ มิได้มีเจตนาทางการเมืองแอบแฝง เพียงแต่ห่วงประเทศชาติที่คนในประเทศกำลังจะแตกความสามัคคีกัน โดยไม่รู้ว่าที่แท้แล้วพวกเราต่างมีหลายเชื้อชาติอยู่ในสายเลือดของพวกเรา เลือดเนื้อนี้เป็นหนี้บุญคุณต่อแผ่นดินนี้ที่พวกเราอาศัยอยู่ด้วยกัน ถ้าเราแบ่งแยกเชื้อชาติกันสุดท้ายจะนำมาซึ่งการอยากแบ่งแยกดินแดนในที่สุด

    รักเธอประเทศไทยและรักเธอสยามประเทศ
     
  20. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ความเป็นมาดั้งเดิมนับตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา และแม้จนกระทั่ง สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น เราเรียกชื่อเมืองหลวงเป็นชื่อประเทศไปในตัว และเมื่อครั้งสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทำหนังสือสัญญากับต่างประเทศก็ทรงเรียกนามประเทศว่า "กรุงศรีอยุธยา" (ไทยหรือสยาม ; สุพจน์ ด่านตระกูล)


    ต่อมาเมื่อสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งได้มีความสัมพันธ์และใกล้ชิดกับประเทศตะวันตกมาก ได้ทรงแยกชื่อเมืองหลวงออกจากชื่อประเทศไทยโดยใช้ชื่อประเทศว่า "สยาม" และทรงลงพระปรมาภิไธยในเอกสารที่ติดต่อกับต่างประเทศว่า "REX Siamensis" แปลว่า "พระราชาแห่งสยาม" ซึ่งตรงกับ "สยามินทร์" หรือ "สยามินทราธิราช" และได้ทรงหล่อเทวรูปขึ้นองค์หนึ่ง พระราชทานนามว่า "พระสยามเทวาธิราช" เช่นกัน


    สาเหตุแห่งการเปลี่ยนชื่อประเทศสยามเป็นประเทศไทยนั้น สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๔๘๑ นายพันเอกหลวงพิบูลสงคราม ได้รับแต่งตั้งจากคณะผู้สำเร็จราชการในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้เป็นนายกรัฐมนตรี และต่อมาอีก ๔-๕ เดือน หลวงวิจิตรวาทการได้เดินทางไปฮานอย เพื่อชมกิจการโบราณคดีของสำนักตะวันออกไกล ฝรั่งเศส และได้นำแผนที่ฉบับหนึ่งซึ่งสำนักฝรั่งเศสได้จัดทำขึ้น แสดงว่ามีคนเชื้อชาติไทย อยู่มากมายหลายแห่งในแหลมอินโดจีน


    เช่น ในประเทศจีนตอนใต้ ในพม่า และในมณฑลอัสสัมของอินเดีย จึงได้มีการโฆษณาเรื่อง "มหาอาณาจักรไทย" มุ่งมั่นที่จะรวมชนเชื้อชาติไทยในประเทศต่าง ๆ เข้าเป็นมาหาอาณาจักรเดียวกัน ในทำนองเดียวกับฮิตเลอร์ที่กำลังทำอยู่ในยุโรป เพื่อรวมชนเชื้อชาติเยอรมันในประเทศต่าง ๆ ให้เข้าอยู่ในมหาอาณาจักเยอรมัน และได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเปลี่ยนชื่อประเทศสยาม เป็น "ประเทศไทย" ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา


    "SYAMA" ตรงกับอักขรวิธีไทย "ศยามะ" แปลว่า "ดำ" "สีคล้ำ" "สีน้ำเงินแก่" "สีน้ำตาลแก่" "สีเขียวแก่" ฯลฯ แต่บางคนก็ว่า "สยาม" แผลงมาจากคำจีนแต้จิ๋ว "เซี่ยมล้อ" หรือจีนกลาง "เซียนโล๋" เช่นเดียวกับชาววยุโรปก็ได้เรียก และเขียนชื่อประเทศสยามว่า "SIAM" มาตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๕ โดยเรียกตามชาวอินเดียใต้ ชาวสิงหล ชาวมลายูที่เรียกเราว่า "เซียม" เช่นกัน

    และจากการศึกษาปรากฏว่าชื่อ "สามปเทส" มีจารึกไว้ในสมุดข่อยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา (MA VIE MOUVEMENTEE ; ปรีดี พนมยงค์) ซึ่งคำว่า "สาม" (สามะ) ในภาษาบาลีมีความหมายหลายอย่าง ซึ่งพจนานุกรมบาลี-อังกฤษ ของริส เดวิดส์ ได้ให้ความหมายไว้ เช่น ๑. สีดำ ๒. สีเหลือง สีทอง ตามความหมายนี้ "สามปเทส" จึงหมายถึงแว่นแคว้นแห่งเมืองทองหรือสุวรรณภูมิ ซึ่งเพลงชาติของประเทศสยามก่อนเปลี่ยนชื่อเป็นประเทศไทย มีเนื้อร้องขึ้นต้นด้วยประโยคที่ว่า "ประเทศสยามนามประเทืองว่าเมืองทอง..." ต่อมาจึงเปลี่ยนเป็น "ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย" ซึ่งขัดต่อความเป็นจริงเพราะในประเทศไทยยังมีคนเชื้อชาติอื่น ๆ รวมอยู่ด้วย


    การตั้งชื่อ "ประเทศสยาม" นั้น เราอาศัยหลักดินแดน แต่คำว่า "ประเทศไทย" นั้น เราอาศัยหลักเชื้อชาติของคนส่วนใหญ่ที่อยู่ในประเทศ การที่เราใช้คำว่า "ประเทศไทย" ทำให้รู้สึกว่าเรานี้เป็นคนใจแคบ เพราะเราอยากแสดงว่าเรานี้เป็นเจ้าของแต่คนเดียว คนเชื้อชาติอื่นมาด้วย ก็ต้องกลายเป็นคนต่างชาติไป ความรู้สึกแตกแยกระหว่างเชื้อชาติได้เกิดขึ้น มีการแบ่งแยกกีดกัน ตั้งข้อรังเกียจ กลายเป็นคนไทยแท้ไม่แท้ กลายเป็นไทยมุสลิม ไทยอีสาน คนไทยเชื้อสายจีน ฯลฯ


    ซึ่งเมื่อครั้งยังเป็นประเทศสยามอยู่นั้น เราไม่มีการแบ่งแยก เราเรียกว่าชนชาวสยามทั้งนั้น เราไม่เคยเรียกว่าชาวสยามกลาง ชาวสยามใต้ ชาวสยามมุสลิม ชาวสยามอีสาน แต่พอครั้นมาเป็นประเทศไทยเข้า ก็มีคำเหล่านี้ขึ้นมา ก็เพราะคำว่าไทยแคบกว่าสยามนั่นเอง เพราะฉะนั้นคำว่าสยามจึงก่อให้เกิดเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และปัญหาทางด้านจิตใจอีกอย่างก็คือ ได้มีการแบ่งคนไทยเป็นคนไทยประเภท ๑ คนไทยประเภท ๒ ซึ่งก็คือพ่อไทย แม่ไทย ลูกเกิดมาเป็นคนไทยประเภท ๑ แต่คนไทยประเภท ๒ พ่อต่างด้าว แม่ไทย เกิดในไทย มีสัญชาติไทยโดยกฎหมาย แต่กลายเป็นคนไทยประเภท ๒ ไป


    ยิ่งในชื่อภาษาอังกฤษด้วยแล้ว "คำว่า THAILAND นี้ แสดงให้เห็นถึงวิกฤตการณ์แห่งค่านิยมทางพุทธศาสนาแบบสยาม การเปลี่ยนชื่อประเทศที่มีมาแต่ไหนแต่ไรนั้น นับเป็นก้าวแรกแห่งการทำลายคุณค่าทางจิตวิทยาของความเป็นมนุษย์ สำหรับราษฎรในประเทศนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อชื่อเดิมถูกแปรเปลี่ยนไปเป็นชื่อ ลูกครึ่ง ระหว่างอังกฤษกับไทย และชื่อใหม่นี้ส่อถึงลัทธิคลั่งชาตินิยม และลัทธิแพร่ขยายดินแดนรอบ ๆ อาณาจักรออกไปด้วย" (Siamese Resurgence : A Thai Buddhist Voice on Asia and World of Change by S. Sivaraksa)


    การที่เอาคำว่า "LAND" ต่อท้ายคำว่า "THAI" เป็น THAILAND นั้น ทำให้มีความรู้สึกเหมือนกับเคยเป็นประเทศเมืองขึ้น หรืออาณานิคมของอังกฤษหรือฝรั่งเศส (THAILANDE) ที่ชื่อประเทศมักจะลงท้ายด้วยคำว่า "LAND" เช่น ไอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ หรือหลายประเทศในแอฟริกา


    ในภาษาอังกฤษตามหลักวิชาทางความไพเราะของสำเนียง (Euphony) คำว่าไทยนั้น ห้วนไม่เหมือนคำว่า "สยาม" ซึ่งไพเราะกว่า ดังจะเห็นได้เวลาเราบอกฝรั่งว่า ไอ แอม ไทย บางคนเข้าใจว่า เป็นไต้หวันไปเสียอีก ต้องอธิบาย ไอ แอม ฟรอม ไทแลนด์ ถึงจะเข้าใจ แต่ถ้าบอกว่า "ไซแอมมิส" จะเข้าใจง่ายกว่า


    หลายคนอาจจะเป็นห่วงว่า ในเรื่องการจะเปลี่ยนชื่อกลับมาใช้ชื่อสยามนี้ถ้าเปลี่ยนแล้วเกรงจะเกิดความสับสนแก่ชาวต่างประเทศ เพราะรู้จักคำว่าไทย แล้วมาเปลี่ยนเป็นสยาม เด็กเล็กจะพลอยลำบาก อะไรต่าง ๆ เหล่านี้ ซึ่งไม่น่าจะเป็นเรื่องสำคัญ ประเด็นอยู่ที่ว่า หากเรายอมรับว่าการเปลี่ยนมาใช้ไทยในครั้งนั้นผิดหลักและไม่เหมาะสมแล้ว ก็ควรแก้เสียใหม่ให้ถูกต้อง ดีกว่าปล่อยเลยตามเลย

    เพราะว่าแม้แต่ประเทศพม่าที่เผด็จการและล้าหลังกว่าเรา ยังยอมเปลี่ยนจาก Burma เป็น Myanmar เพราะ Burma นั้นหมายถึงเฉพาะชาวพม่าที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศเท่านั้น และแม้แต่อังกฤษยังต้องใช้คำว่า สหราชอาณาจักร (United Kingdom) แทนประเทศอังกฤษ หรือ บริเตนใหญ่ เพราะว่ามิได้มีเพียงแต่ชนชาวอังกฤษเท่านั้น ยังมีชาวสก็อต ไอริช และเวลส์อีก หรือแม้กระทั่งอินโดนีเชีย ถ้าตามเชื้อชาติแล้วน่าจะเรียกประเทศชวา อย่างที่เรารู้จักทำไมเรียกอินโดนีเชีย ก็เพราะเขาต้องการรวมคนนั่นเอง และอีกตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดก็คือการที่อินเดียเปลี่ยนชื่อ "มัทราส"เป็น "เชนไน" หรือ"บอมเบย์"เป็น"มุมไบ"ตามชื่อดั้งเดิมที่แสดงให้เห็นถึงการปลดพันธนาการจากภาษาต่างด้าวกลับมาเป็นภาษาดั้งเดิมของตนเอง


    ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ หวังว่าคงจะสามารถจุดประกายไฟที่ยังหลงเหลืออยู่ในจิตใจของประชาชนชาวสยามให้ลุกโชนขึ้นมาบ้าง อย่าได้นึกว่าชื่อประเทศเป็นสิ่งไม่สำคัญ ปัญหาการรบราฆ่าฟันรายวัน การดูถูกเหยียดหยามคนอีสานว่าเป็นลาวบ้าง การแบ่งแยกไทยพุทธ ไทยมุสลิม การแบ่งแยกคนจีนคนไทย ก็จะลดน้อยลง เพราะสยามเป็นคำกลาง ๆ รวมจิตใจพลเมืองของเราที่มีเชื้อชาติไทยเป็นส่วนใหญ่ และสืบเชื้อสายมาจากคนชาติอื่นอีกด้วย เป็นการแสดงความใจกว้างของคนไทย เป็นการรวมคนให้เป็นเอกภาพปึกแผ่น ยุติการกระทบกระทั่งอันเนื่องมาจากความแตกต่างเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ซึ่งมีผู้นำมาหาประโยชน์ในทางการเมืองเสียได้

    และทัศนคติเชื้อชาตินิยม (Racism) หรือคลั่งชาติ (Chauvinism) ที่ยังตกค้างอยู่ในหลาย ๆ ประเทศเป็นเหตุให้คนจำนวนหนึ่งถือว่าเชื้อชาติของตนอยู่เหนือเชื้อชาติอื่น ซึ่งเป็นส่วนน้อยอยู่ในประเทศเดียวกัน อันเป็นการบั่นทอนเอกภาพของชาติ ทำให้ชนส่วนน้อยในประเทศดิ้นรนแยกดินแดน ดังปรากฏอยู่ในบางส่วนของประเทศเราและในหลาย ๆ ประเทศ

    จากเวปไซด์มหาวิทยาลัยเที่ยวคืน ทางสายธาตุเห็นด้วยกับบทความนี้ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจึงอยากขอยกบางส่วนมา ถ้าทำได้เสกได้อยากให้คนไทยรักกันๆๆค่ะ สามัคคีกัน ไม่แบ่งแยกกัน
     

แชร์หน้านี้

Loading...