ความ"จงรักภักดี"ด้วย"ชีวิต" : หลวงปู่สิม

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 27 ธันวาคม 2009.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    หากจะกล่าวถึง เรื่องราวที่น่าประทับใจเกี่ยวกับความจงรักภักดีที่ประชาชนชาวไทยมีต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐสุดของเราท่านทั้งหลายพระองค์นี้นั้น ย่อมเป็นที่เชื่อแน่ได้ว่า หากจะนำมาร้อยเรียงพรรณากันตลอดกาลอันยาวนานสิ้นด้วยทศวรรษศตวรรษ ก็คงจะเล่าขานไม่จบสิ้นลงไปโดยง่ายได้ เป็นแน่
    เพราะ พระมหาคูณูปการที่ทรงดำรงมั่น"โดย ธรรม"ของ"ในหลวง"ที่ก่อให้เกิด"ประโยชน์สุขแก่มหาชน ชาวสยาม" ที่ ทรงกอรปกระทำมาตลอด 60 ปีแห่งการครอง ราชย์ จนพระชนมายุล่วงเข้าถึง 80 พรรษา ในปีพุทธศักราช 2550 ช่างมีอยู่อย่าง เอนกอนันต์ สุดที่จะคณนานับ ให้หมดสิ้นได้โดยแท้
    ก็บุคคลใดผู้มีใจตรง และมีจิตที่ถึงพร้อมด้วย กตเวทิตธรรมจริง ย่อมทราบชัดและซาบซึ้งประจักษ์แจ้งใจในพระมหากรุณาธิคุณแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างที่สุดโดย ถ้วนหน้า ไม่สงสัย
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table align="center" bgcolor="#f4f4f4" border="0" bordercolor="#ffffff" cellpadding="5" cellspacing="1" width="250"> <tbody><tr> <td align="center" bgcolor="#ffffff"> <!-- [​IMG] --> [​IMG]</td></tr></tbody></table>
    นี้เอง ย่อมเป็นมหาเหตุให้ประชาชนคนไทยทั้งปวง ต่างมีความเคารพเทิดทูนและจงรักภักดีในองค์พระมหาราชเจ้าพระองค์นั้นอย่าง สุดจิตสุดใจ และได้ประกอบกระทำ"คุณ งามความดี" ด้วยประการต่างๆถวายเป็นเครื่องราชสักการะแทบเบื้องพระยุคลบาทตามฐานานุรูป และอัตตภาวะวิสัยแห่งตนโดยลำดับ ซึ่งการทั้งนั้น ย่อมปรากฏชัดแก่ผู้ทำกรรมอันดีอันงามอย่างบริสุทธิ์ใจอยู่โดยทั่วไปอยู่ นั้น

    <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> [​IMG]


    แต่...หนึ่งในบรรดาเรื่องราวแห่งความ จง รักและ ภักดี ที่พสกนิกรชาวไทยมี ต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งมีความ"พิเศษ" กว่าปกติ ด้วยทรงไว้ซึ่งความวิสามัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นเรื่องที่ " พระอริยเจ้า"องค์ สำคัญแห่งสยามประเทศองค์หนึ่ง ได้หยั่งรู้ซึ้งถึงพระคุณแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นอันดีจนถึง ที่สุด พร้อมกับได้กระทำการบางอย่างที่ลึกซึ้งยิ่งใหญ่ เกินสามัญวิสัยแห่งบุคคลทั่วไปจักหยั่งคาด เพื่อน้อมถวายความจงรักภักดีอย่างไม่อาลัยแก่ชีวิตินทรีย์ แม้สรีรสังขารแห่งองค์ของท่านจะต้องถึงแก่การแตกดับทิ้งขันธ์ถึงเพียงไรก็ ตาม...
    เรียกได้ว่า การครั้งนี้ มิได้เป็นการถวายความ"จงรักภักดี" ที่มิได้เป็นเพียง"คำพูด"หรือ"วัตถุภายนอก" อย่างปกติทั่วไป แต่ เป็นการถวายให้ด้วย"ชีวิต"และ"จิตใจ" ของพระ อริยเจ้าองค์หนึ่ง ที่บรรลุถึงขั้น"ปรมัตถ์"อัน สูงสุดก็ว่าได้เลยนั่นเทียว...

    ก็พระอริยเจ้าที่ยอมสละสิ้นทุกสิ่งแม้ กระทั่งชีวิตจิตใจเพื่อน้อมถวายความจงรักภักดีแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัวเป็นครั้งสุดท้าย ก่อน"ดับขันธ์"สู่ วิมุติภพอันไม่หวนคืนกลับมาอีกเป็นครั้งที่ 2 ที่จะได้นำมาแสดงให้ปรากฏเป็นอุดมมงคลและเนติแบบให้อนุชนรุ่นหลังได้แจ้งใจ และยึดถือปฏิบัติตามสืบต่อไปในมงคลวโรกาสนี้ แท้จริงแล้วก็คือพระเดชพระคุณท่าน เจ้าคุณพระญาณสิทธาจารย์(สิม พุทฺธาจาโร) สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่นั่นเอง...


    <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> [​IMG]


    แม้หลวง ปู่สิม พุทฺธาจาโร จะได้ชื่อว่า เป็นพระอริยเจ้าผู้อยู่"เหนือ"และ"พ้น"จาก โลกสงสารโดยเด็ดขาดไปแล้วก็ตาม แต่ด้วยเมตตาธรรมอันไม่มีประมาณแห่งพระคุณท่าน หลวงปู่สิมจึงยังคอย"แผ่เมตตา"อำนวยพรแก่ปวงเหล่าสรรพชีวิตและ ประเทศชาติอยู่โดยสม่ำเสมอ

    ย่อมเป็นที่รับรู้แห่งบรรดาศิษย์ใกล้ชิดโดย ทั่วไปว่า
    ในสมัยที่หลวงปู่สิมท่านยังดำรงสังขารอยู่ ทุกๆครั้งที่ประเทศไทยกำลังประสพสภาวะวิกฤติครั้งร้ายแรงใดๆ หลวงปู่สิมท่านจะให้เอาธงชาติมาแขวนคู่กับผ้ากาสาวพัตร์ ซึ่งเป็นธงชัยแห่งพระอรหันต์เป็นสื่อสัญลักษณ์ พร้อมกับนำพระภิกษุสามเณรสวดมนต์แผ่เมตตาสยบบรรเทาเหตุร้ายและเคราะห์กรรม แห่งประชาชาติไทยให้ผ่านพ้นไปด้วยดี ด้วยระยะเวลาอันยาวนานเป็นพิเศษทุกคราวไป เป็นที่น่าซาบซึ้งประทับใจในความกรุณาแห่งหลวงปู่สิมท่านที่มีต่อสัตว์โลก ผู้ยากอย่างหาที่สุดมิได้เป็นที่ยิ่ง...... <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> [​IMG]


    และด้วยเหตุแห่งความเป็นพระขีณาสวเจ้า ผู้ทรงอริยญาณอันบริสุทธิ์ล่วงส่วนสามัญวิสัย หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร จึงหยั่งรู้อธิวาสนาและพระบารมีอันยิ่งใหญ่แห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ผู้ทรงเป็นหลักบ้านหลักเมืองของประเทศไทย ซึ่งเป็นที่รองรับพระพุทธศาสนาให้คงอยู่ตราบเท่า 5,000 พระวัสสาพระองค์ นี้เป็นอย่างดี ในฐานะที่ทรงเป็น"พระ โพธิสัตว์" ผู้แสวงหาคุณยิ่งใหญ่ ซึ่งจะได้ตรัสรู้เป็น"พระสุมังคลสัมมาสัมพุทธเจ้า" พระองค์ที่ 10 ต่อจากพระศรีอาริยเมตไตรยพุทธเจ้าในที่สุดแห่งอนาคตวงศ์ภายภาคหน้าไม่ผิด ผัน หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโรนั้น จึงได้ถวายความ"จงรัก"และ"ภักดี"ใน องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้เป็นอย่างยิ่ง และได้น้อมถวายอริยกุศลแด่พระองค์ตามฐานานุฐานะแห่งพระคุณท่านตลอดมา มิได้ว่างเว้นสักวันเวลาเลยทีเดียว.... <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> [​IMG]


    จนกระทั่ง กาลได้ล่วงเลยมาถึงปีพุทธศักราช 2535 เหตุการณ์ อันเป็นที่สุดแห่งความจงรักภักดีที่หลวงปู่สิมได้มีต่อองค์พระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวก็ได้มาบรรลุถึงขีดขั้นอันสูงสุด เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระมหา กรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯเลื่อนสมณศักดิ์หลวง ปู่สิม พุทฺธาจาโร จากที่"พระครูสันติวรญาณ"เป็นพระราชาคณะ ที่"พระญาณสิทธาจารย์" เนื่องในวโรกาสที่สมเด็จพระนางเจ้าพระบรม ราชินีนาถทรงเจริญพระชนมพรรษา 5 รอบ 60 พรรษาในวันที่ 12 สิงหาคม พุทธศักราช 2535.... <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> [​IMG]


    แต่.....แท้จริงแล้ว ก่อนหน้าที่จะได้ทราบข่าวได้รับพระมหากรุณาธิคุณฯเลื่อนสมณศักดิ์ในเดือน สิงหาคม พ.ศ. 2535 นั้น สรีรสังขารของหลวง ปู่สิม พุทฺธาจาโรท่านได้"อ่อน"ลง กว่าปกติอย่างน่าวิตก เรี่ยวแรงกำลังวังชาที่เคยมีอย่างสมบูรณ์มาแต่ก่อนก็กลับถอยลงไปอย่างน่าใจ หาย เพียงแค่จะเดินเหินหรือทำการอันใด ก็ให้เป็นที่เหน็ดเหนื่อยลำบากขันธ์ไม่น้อยแล้ว...... <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> [​IMG]


    และก่อนหน้าที่หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโรจะเข้าวังเพื่อรับพระราชทานเลื่อน สมณศักดิ์เพียงเดือนเศษๆ เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็พลันบังเกิดขึ้น เมื่อหลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร ได้ประสพอุบัติเหตุ"ตกเหว"!!! ที่หลังกุฏิที่ถ้ำผาปล่อง ซึ่งมีความลึกถึงราว "5 เมตร" ซึ่งหากเป็นคนธรรมดา การกลิ้งตกลงไปลึกเพียงนั้น หากไม่โดยแง่หินภูเขาอันคมกริบแทงตายก็ต้องบาด เจ็บสาหัสอย่างไม่ต้องสงสัยเป็นแน่นอน..... <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> [​IMG]


    แต่ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ทั้งๆที่หลวงปู่สิม พุทธาจาโร ซึ่งชราภาพมากและ อ่อนกำลังแรงเห็นปานนั้น แม้จะกลิ้งตกลงไปยังก้นเหวมรณะหลังกุฏิที่มีความลึกถึง 5 เมตร แต่หลวงปู่ท่านกลับไม่ได้ถึงแก่กาลมรณภาพหรือบาดเจ็บ สาหัสอย่างที่น่าจะเป็นแต่ประการใดๆเลย เว้นแต่มีแผลช้ำที่บริเวณใบหน้าและตามลำตัวเล็กน้อยเท่านั้น สร้างความแปลกใจให้แก่บรรดาศิษยานุศิษย์ผู้ที่มีโอกาสได้เข้ากราบใกล้ชิดใน ช่วงท้ายสุดนี้อย่างเหลือที่จะกล่าวได้โดยถ้วนหน้า
    และทุกๆคน ก็ยิ่งหลากใจยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อหลวงปู่สิมท่านบอกเป็นนัยภายหลังเหตุการณ์ร้ายแรงที่สุดนั้นว่า
    "จริงๆแล้ว ที่ตายของหลวงปู่ ก็อยู่ที่ก้นเหวนั่นแหละนะ..!!!???" <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> [​IMG]


    เมื่อได้ฟังคำพูดของหลวงปู่สิม ทุกๆคนก็อดสงสัยมิได้ว่า ก็เมื่อหลวงปู่ท่านบอกเองว่า ที่ก้นเหวถ้ำผาปล่องนั้นเป็น"ที่ตาย"ของท่าน และหลวงปู่ก็ได้ตกลงไปยังก้นเหวมรณะนั้นแล้ว ซึ่งตามปกติ อย่าว่าแต่ผู้สูงวัยอย่างท่านเลย ต่อให้เป็นคนหนุ่มคนสาวตกลงไป ก็ยากจะรอดกลับขึ้นมาพร้อมกับลมหายใจหรือมี อาการ 32 ครบบริบูรณ์ได้....
    ก็แล้วเป็นเพราะด้วยเหตุใดเล่า หลวงปู่สิมท่านจึง"รอด"และ"อยู่ต่อ" เป็นอันดีเสมือนหนึ่งไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้เล่า..????
    <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> [​IMG]


    จนกระทั่งเมื่อหลวงปู่สิม ได้เข้าไปรับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ในวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2535 และละสังขารอย่างกระทันหันในอีก"2" วันต่อมา ศิษย์ใกล้ชิดภายหลังจากหายมึนงงกับเหตุการณ์ที่แปรเปลี่ยนไปอย่างคาดคิดไม่ ถึง และได้ลองตริตรองประติดประต่อ"กลบทแห่ง ชีวิต"ของหลวงปู่บทนี้แล้ว จึงทำให้ซาบซึ้งแก่ใจโดยทั่วกันว่า แท้ที่จริงแล้ว การที่หลวงปู่สิมท่านยังไม่"ละสังขาร" ตอนที่ตกเหวและ"อยู่ต่อ"มาอีกเดือนเศษด้วยความยากลำบาก ขันธ์เป็นที่ยิ่งนั้น จุดประสงค์ที่มีอยู่เพียงสถานเดียวก็คือ "เพื่อถวายกุศลในหลวงเป็น ครั้งสุดท้าย" โดยตรงเพียงเท่านั้น.....
    "เท่านั้น"เท่านี้จริงๆ.....!!!!!
    <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table align="center" bgcolor="#f4f4f4" border="0" bordercolor="#ffffff" cellpadding="5" cellspacing="1" width="250"> <tbody><tr> <td align="center" bgcolor="#ffffff">[​IMG]</td></tr></tbody></table>


    และต่อไปนี้ คือเรื่องราวเหตุการณ์ช่วงท้ายสุดตอนที่หลวง ปู่สิม พุทฺธาจาโร ก่อนและหลังเข้าไปถวายพระราชกุศลแห่งจงรักภักดีแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วย"ชีวิต"และ"จิตใจ"ของท่านเองเป็นครั้งสุดท้าย ด้วย"วิริยะ"และ"ขันติธรรม"อย่างสูงสุด อย่างยากที่จะพบเห็นที่ไหนได้อีกแล้วในชั่วชีวิตของเราท่านทั้งหลายนี้ ...... <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table align="center" bgcolor="#f4f4f4" border="0" bordercolor="#ffffff" cellpadding="5" cellspacing="1" width="250"> <tbody><tr> <td align="center" bgcolor="#ffffff">[​IMG]</td></tr></tbody></table>


    เข็น สังขาร
    ต้นเดือนสิงหาคม พ.ศ.2535 ลูกศิษย์ที่ถ้ำผาปล่องรู้สึกแปลกใจที่สังเกตเห็นว่า หลวงปู่มีท่าทีกระตือรือล้นต่อข่าวที่ว่าท่านได้รับพระมหากรุณาธิคุณเลื่อน สมณศักดิ์เป็นที่"พระญาณสิทธาจารย์" ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ มีข่าวทำนองนี้ออกมาหลายครั้งแล้ว แต่หลวงปู่สิมท่าน"วางเฉยเหมือนแผ่นดิน"เสมอ จนครั้งนี้ เมื่อได้รับการยืนยันเป็นที่แน่นอนแล้ว หลวงปู่ท่านจึงเตรียมตัวเดินทางเข้ากรุงเทพเพื่อรับพระราชทานพัดยศจากพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

    จากคำบอกเล่าของพระและโยมที่ช่วยกันถวายการ อุปัฏฐากหลวงปู่ที่บ้านกรุงเทพภาวนา สุขุมวิท 36 สถานปฏิบัติธรรมที่หลวงปู่จะลงมาพักยามเดินทางมายังกรุงเทพทุกๆครั้ง ทำให้พอมองเห็นภาพว่า หลวงปู่ท่านคงต้องใช้ความพยายามและอดกลั้นขันติธรรมอย่างที่สุด เพื่อปฏิบัติ"ภารกิจสุดท้าย"ในพระ บรมมหาราชวัง เพราะสภาพของหลวงปู่ในตอนนั้น คงเหมือนตะเกียงที่มีแสงเพียงริบหรี่ จวนจะสิ้นเชื้อเต็มทีเป็นนักแล้ว....
    <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table align="center" bgcolor="#f4f4f4" border="0" bordercolor="#ffffff" cellpadding="5" cellspacing="1" width="250"> <tbody><tr> <td align="center" bgcolor="#ffffff">[​IMG]</td></tr></tbody></table>
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    6 สิงหาคม 2535

    เวลาบ่ายสี่โมงกว่า หลวงปู่เดินทางจากถ้ำผาปล่องถึงบ้านกรุงเทพภาวนาประมาณเที่ยงคืน คนขับรถ(พี่เพื่อน)ถวายน้ำถวายย่ามและกราบลาไปพักผ่อนเมื่อเวลาประมาณ 1 นาฬิกา


    7. สิงหาคม 2535
    ตอนเช้า มีญาติโยมมากราบและถวายภัตตาหาร แม่ชียกสำรับจากครัวขึ้นไปด้วย แต่ภายในห้องหลวงปู่ นอกจากเสียงเครื่องปรับอากาศแล้ว ก็ไม่มีสรรพสำเนียงใดอื่นเลย

    "หลวงปู่ ครับ หลวงปู่ครับ"

    พี่เพื่อนคนขับรถเรียกหาหลวงปู่ แต่คำตอบก็คือความเงียบ จึงได้ไขกุญแจเปิดเข้าไป ภาพที่ได้เห็น ทำให้รู้สึกสงสารหลวงปู่ท่านจับใจ

    "หลวงปู่ท่านนอนเหนื่อยคล้ายหมดแรง ท่อนล่างเลื่อนไหลลงจากเตียงไปแล้วครับ พอเห็นหน้าผม ท่านก็บอกเสียงเบาว่า
    "มันไหลลงไปคนเดียว" ผม เลยกราบเรียนท่านว่า จะจัดให้ท่านฉันในห้อง หลวงปู่ไม่ต้องออกไป"

    เมื่อ ได้ฟังดังนั้น หลวงปู่สิมก็ได้ตอบออกมาเหมือนปลงสังขารกลายๆว่า

    "ยังจะกินดีอยู่ดี กินไม่รู้จักจบสิ้น"

    วันนั้น ปรากฏว่า หลวงปู่ท่านฉันได้เพียง 3 คำเท่านั้น...


    8 สิงหาคม2535
    ท่าน"พระอานนท์" ซึ่งอยู่ที่วัดสันติสังฆาราม สกลนคร ได้ข่าวหลวงปู่ท่านลงไปกรุงเทพฯ เพื่อรับพระราชทานพัดยศ พอตกกลางคืน "พระอานนท์"ก็ฝันว่า หลวงปู่อาพาธหนัก อาการไม่ดีเลย รุ่งเช้า ท่านจึงรีบเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ซึ่งก็เป็นการพอดีที่โยมทางบ้านกรุงเทพภาวนากำลังโทรศัพท์ตามหาท่านกันเป็น จ้าละหวั่น เนื่องด้วยหลวงปู่มีอาการ"ไม่ดีเลย"จริงๆเสียด้วย ท่าน"พระอานนท์"จึงได้มี วาสนาได้ปรนนิบัติหลวงปู่ผู้"พุทฺธาจาโร"อีก ครั้งหนึ่ง

    "เป็นบุญที่อาตมาได้ ปรนนิบัติหลวงปู่เป็นครั้งสุดท้าย"

    ตอนเย็น มีญาติโยมมากราบถวายของ แต่หลวงปู่ยังคงนอนเหนื่อยอ่อนอยู่ในห้อง เมื่อพี่เพื่อน สารถีประจำองค์หลวงปู่เข้าไปกราบเรียนว่า จะทอดผ้าออกไปข้างนอก ให้หลวงปู่นอนรับ ไม่ต้องออกไป ท่านก็พยักหน้า แต่พอประตูเปิด อารามดีใจ ญาติโยมก็เฮเข้าไปในห้อง หลวงปู่จึงต้องรวบรวมกำลังลุกขึ้นมารับของ มิหนำ ยังมีคนเอารูปไปให้หลวงปู่เซ็นด้วย ซึ่งคนขับรถสังเกตเห็นมือท่านสั่น เขียนผิด เขียนถูกด้วยอ่อนกำลังเต็มที



    9 สิงหาคม 2535
    ตอน เช้า โยมออกไปข้างนอกเพื่อหาซื้อรถเข็น เนื่องจากหลวงปู่มีอาการอ่อนเพลียป้อแป้เต็มทีอย่างเห็นได้ชัด ตอนบ่าย หลวงปู่ออกมานอกห้องสู่บริเวณห้องโถงที่รับแขกซึ่งเปิดพัดลมทิ้งไว้ ท่านฉีกปฏิทินไปเรื่อยๆ เพื่อดูวันที่ 12 สิงหาคมเหมือนหนึ่งจะนับวันที่ท่านจะต้องปฏิบัติภารกิจครั้งสุดท้ายแห่ง ชีวิตท่านก็ไม่ปาน แม้เพียงเท่านี้ หลวงปู่สิมท่านก็หมดเรี่ยวแรง และปฏิทินแผ่นที่ฉีกออกมาแล้ว ก็ถูกลมพัดปลิวกระจายไปทั่ว พอเสร็จ หลวงปู่ถึงกับต้องคลานเข้า
    ห้อง...
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ตอนเย็น ท่านพระอานนท์ไปถึงบ้านกรุงเทพภาวนาและเข้าถวายการอุปัฏฐาก เนื่องจากตอนเช้า "เนาว์ นรญาณ"ได้ ไปกราบและสังเกตุเห็นเกศาหลวงปู่ยาวเป็นพิเศษ จึงออกปากขอเส้นเกศาหลวงปู่เป็นครั้งแรก (แต่ไหนแต่ไรไม่เคยขอเกศาท่านเลยแม้สักครั้ง มีแต่หลวงปู่ให้เองมาโดยตลอด) เพื่อสร้าง "พระพุทธบาทสี่รอย"ป็นการเฉพาะ (รายละเอียดเรื่องนี้ จะได้นำเสนอให้"จดหมาย เหตุ พระพุทธบาทสี่รอย"สืบต่อไป) โดยเมื่อท่านอานนท์ปลงเกศาถวาย หลวงปู่บอกว่า
    "เอาผมอานนท์ใส่ให้ เขาไปด้วยซี เขาจะได้เยอะๆ..!!?!"
    <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> [​IMG]


    นอกจากนี้ หลวงปู่สิมท่านยังได้บอกกับคนอื่นอีกด้วยว่า
    "เส้นเกศานี้ เนาว์เขาจะเอาไปสร้างพระบาทสี่รอยน๊ะ.."
    <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> [​IMG]


    และในช่วงการถวายอุปัฏฐากตอนนี้ หลวงปู่ท่านปรารภว่า
    "นนท์เอ๊ย สังขารหลวงปู่ไม่ไหวแล้ว บังคับมันไม่ได้"
    ซึ่งท่านพระอานนท์ เล่าว่า ต้องคอยสังเกตกิริยาอาการของท่านอย่างใกล้ชิด ถ้าหลวงปู่ขยับองค์ ต้องรีบเอากระโถนเข้าไปรองในทันที เพราะท่านกลั้นปัสสาวะไม่ได้เสียแล้ว
    ตก ตอนกลางคืน หลวงปู่มีเลือดไหลออกทางจมูก หลวงปู่จึงได้สั่งพระอานนท์ อริยอุปัฏฐากว่า
    "อานนท์ คืนนี้นอนนี่ ข้างเตียงหลวงปู่นี่แหละ อย่าไปไหน.." <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> [​IMG]
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    10 สิงหาคม 2535

    ตอน เช้า พระอุปัฏฐากกราบเรียนขออนุญาตไปทำธุระข้างนอก ตอนเย็นจึงจะกลับออกมาใหม่ แต่หลวงปู่ตอบว่า

    "ปล่อยธุระไปก่อน ไม่ต้องไปไหนทำอะไรทั้งนั้น"
    เวลา ฉัน หลวงปู่ไม่มีแรงพอที่จะเอื้อมไปตักอาหาร แค่ยกช้อนขึ้นถึงปากก็แทบไม่ไหวแล้ว...

    ตอนเย็น ได้ขอถวายช็อคโกแล็ตดำพร้อมกับน้ำชา หลวงปู่นอนให้พระอุปัฏฐากบิช็อคโกแล็ตดำป้อนถวาย ทั้งๆที่ปกติแล้ว หลวงปู่ท่านไม่เคยฉันช็อคโกแล็ตดำหลังเพลเลย ท่านพระอานนท์สังเกตอาการของหลวงปู่ตอนนี้แล้ว ก็อดให้รู้สึกหวั่นใจอย่างลุ่มลึก นึกถึงที่หลวงปู่สิมท่านเคยปรารภไว้เป็นหลายครั้งไปเสียมิได้ว่า

    "ถ้าช่วยเหลือตัวเองไม่ได้แล้ว...อยู่ลำบาก"



    11 สิงหาคม 2535

    ตอน เย็น เมื่อพระอานนท์ อริยอุปัฏฐากถวายการเช็ดตัวหลวงปู่ด้วยออดิโคโลญจน์ พร้อมกับกราบเรียนว่า
    "โคโลญจน์ นี่เช็ดตัวดีนะครับหลวงปู่ เช็ดแล้วสดชื่น"
    "มันสดชื่นจริงหรือ..??" หลวงปู่สิมย้อนถาม
    "ถ้าจริง ...เวลาตาย จะได้เอามาเช็ด"




    12 สิงหาคม 2535
    ตอน เช้า ก่อนเดินทางไปยังพระบรมมหาราชวัง หลวงปู่สิมได้สั่งว่า จะฉันเพลที่บ้านกรุงเทพภาวนาเสียก่อน จนเมื่อหลวงปู่เดินทางไปถึงพระบรมมหาราชวังเรียบร้อยแล้ว ทางสำนักพระราชวังได้จัดห้องพักของกองแพทย์หลวงถวายให้หลวงปู่ได้พักรอพระราชพิธี

    ปกติ เวลาจำวัด หลวงปู่จะนอนตะแคงขวาในท่า"สีหไสยาสน์"ตามเยี่ยงอย่างที่องค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงปฏิบัติมาโดยตลอดเสมอ

    แต่...ระหว่างที่หลวงปู่พัก ผ่อนที่ห้องพยาบาลของกองแพทย์หลวง ท่านพระอานนท์สักเกตว่า คราวนี้ หลวงปู่ได้"นอนหงาย" มือประสานไว้บน อก พอท่านหลับแล้ว แขนขวาได้ตกลงมาพาดอยู่ข้างตัวในลักษณะยื่นมือแบออกมา ท่านพระอานนท์ถึงกับสะดุ้งในใจว่า

    "โอ้! หลวงปู่ ทำไมนอนท่านี้ เหมือนนอนให้ลูกศิษย์รดน้ำศพก็ไม่ปานฯ"


    เมื่อได้เวลา หลวงปู่สิมได้พยุงสังขารท่านด้วยความลำบากเพื่อเข้าไปยังพระที่นั่งอมริน ทรวินิจฉัยเพื่อ"ทำหน้าที่ครั้งสุดท้าย"อย่างอด ทนและอดกลั้นอย่างที่สุด ซึ่ง"เนาว์สถิตย์"ที่ ได้ติดตามหลวงปู่เข้าไปในคราวนี้ด้วย และได้จับภาพเหตุการณ์ตอนนี้ของหลวงปู่ท่านไว้ทั้งหมด โดยที่มิได้คาดฝันมาก่อนเลยว่า การครั้งนี้ จะเป็นการบันทึกภาพเหตุการณ์ที่จะเป็นหลักฐานในทางประวัติศาสตร์แห่งความ"จงรักภักดี"อันยิ่งใหญ่และอมตะที่สุด แห่ง "พระอริยเจ้า"ผู้ทรงวิสุทธิคุณ อันยิ่งองค์หนึ่งที่ได้มีต่อพระมหากษัตริยาธิราชเจ้าผู้ทรงพระคุณอัน ประเสริฐสุดให้ปรากฏเป็นมหาสิริมงคลตลอดไปเห็นเพียงนี้ได้.... <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> [​IMG]
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    เมื่อหลวงปู่ได้พยุงสังขารอันอ่อนแรงลง จากกองแพทย์หลวงมานั่งในรถเข็นที่เบื้องล่าง และเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังได้ช่วยเข็นรถของหลวง ปู่ไปรับพระราชทานสัญญาบัตรพัดยศจากพระหัตถ์ขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นกรณีพิเศษโดยไม่ต้องไปนั่งเข้าแถวตามลำดับ และทรงมีพระมหากรุณาธิคุณยกเว้นให้หลวงปู่ไม่ ต้องออกไปห่มผ้าไตร หลังรับพระราชทานพัดยศตามประเพณีที่พึงปฏิบัติ ซึ่งนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่หลวงปู่ในวาระโอกาสท้ายสุดนี้เป็นอย่างยิ่ง หาที่สุดมิได้ <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> [​IMG]



    บ่ายเกือบเย็นแล้ว เมื่อเข็นรถของหลวงปู่กลับออกมาจากประตูพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย พอท่านเห็นคณะที่ไปรอรับ หลวงปู่สิมท่านก็ปรารภกับพระอุปัฏฐากว่า
    "นนท์เอ๊ย..หลวงปู่หมดภาระแล้ว หมดเรื่องหมดราวเสียที..!!!!"
    ต่อมา ท่าน"พระอานนท์"จึงได้บอกกับทุกๆคนว่า
    "อาตมาคิดว่า หลวงปู่สิมท่านคงตั้งใจ
    "ถวายพระราช กุศล"แด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นครั้งสุดท้าย.."
    <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> [​IMG]



    ภายในพระบรมมหาราชวังเย็นวันนั้น รถติดมาก อากาศก็ร้อนอบอ้าว กว่าหลวงปู่ ท่านจะขึ้นรถได้ ก็ต้องนั่งรอในรถเข็นเป็นเวลานานเกือบ 2 ชั่วโมง จึงเป็นทรมานและลำบากขันธ์แห่งท่านเป็นอย่างยิ่ง <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> [​IMG]



    และในตอนที่"พุทธวงศ์"ได้พยุงหลวงปู่จากรถเข็นขึ้นบนรถยนต์ในคราวนั้น รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า องค์ หลวงปู่เปียกชื้นด้วยเหงื่อที่ซึมออกมาทั่วทั้งองค์ เป็นที่ น่าเวทนาหลวงปู่สิมท่านเป็นที่ยิ่ง รู้ซึ้งถึงใจเป็นอย่างดีที่สุดว่า ในการมาปฏิบัติ"ภารกิจครั้งสุดท้าย"ของ หลวงปู่สิมในพระบรมมหาราชวังในคราครั้งนี้ ช่าง"สาหัสสากรรจ์"สำหรับหลวงปู่ท่านอย่างหาที่เปรียบมิได้สัก เพียงไร... <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> [​IMG]



    ในการครั้งนี้ มีโยมที่ไปรอรับท่านคนหนึ่ง กราบเรียนถามหลวงปู่ว่า
    "หลวงปู่เหนื่อยไหมเจ้าคะ..??"
    คำตอบ ของหลวงปู่ ทำให้คนฟังแทบน้ำตาหยดด้วยความสงสารท่านผู้เฒ่า
    "เหนื่อยจนพูดไม่ถูกแล้ว.." <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> [​IMG]



    และท้ายสุด ก่อนหลวงปู่จะเดินทางออกจากพระบรมมหาราชวัง "พุทธวงศ์"ก็ได้เข้าไปกราบลาบนตัก หลวงปู่เป็นครั้งสุดท้าย พร้อมกับออกวาจาถวายมุฑิตาท่านโดยกุศลอัธยาสัย แม้จะรู้ดีอยู่แก่ใจว่า หลวงปู่ท่าน"พ้น"ไปจาก"โลกธรรม"อย่างสิ้นเชิงเนิ่นนานหนักหนาแล้ว ว่า
    "ขอแสดงความยินดีกับหลวงปู่ด้วยนะ ครับ"
    หลวงปู่นิ่งสงบ มิได้ตอบว่ากระไรแม้เพียงคำ
    พร้อมนี้ ยังได้"ถวายพร"ให้หลวงปู่มีอายุยืน นานด้วยคำพูดที่"เป็นนัย" อีกหน่อย หนึ่งด้วยว่า
    "แล้วผมจะไปกราบหลวง ปู่ที่ถ้ำนะครับ..."
    "อื้อ.."
    หลวงปู่สิมตอบรับ
    และนั่น...ก็คือสุรเสียงท้ายสุดของ"พระญาณสิทธาจารย์"หรือ"หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร" ได้เปล่งไว้ในพระบรมมหาราชวัง หลังเสร็จภารกิจถวาย"พระราชกุศลแห่งความจงรักภักดี"แด่องค์พระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแบบ"สละชีวิต"ถวายเป็นราชพลี อย่างที่ไม่เคยปรากฏมีมาก่อนในประวัติศาสตร์แห่งพุทธจักรไทย ไม่ว่าจะเป็นในกาลสมัยยุคใดๆทั้งสิ้นไม่อย่างแท้จริง
    <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> [​IMG]
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    เย็นแล้ว เมื่อรถออกจากประตูพระบรมมหาราชวังเพื่อกลับจากเชียงใหม่โดยด่วน หลวงปู่สิมท่านนอนหลับตลอดทาง จนถึงจังหวัดนครสวรรค์ หลวงปู่เปิดประตูรถออกมาทำธุระ ก็ยังแทบไม่มีแรงปิดประตู จนกระทั่งรถวิ่งเลยจังหวัดอุตรดิตถ์ ขณะรถขึ้นเขา คนขับรถได้ยินเสียงดังโจ้กเหมือนเทน้ำลงถังเปล่า
    "ผมคิดว่า ธาตุไฟท่านคงแตก" <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table align="center" bgcolor="#f4f4f4" border="0" bordercolor="#ffffff" cellpadding="5" cellspacing="1" width="250"> <tbody><tr> <td align="center" bgcolor="#ffffff">[​IMG]</td></tr></tbody></table>


    13 สิงหาคม 2535

    เมื่อรถถึงถ้ำผาปล่องเวลาประมาณ 3 นาฬิกา วันนั้นทั้งวัน หลวงปู่สิมนอนพักอยู่ข้างในทั้งวันโดยไม่ฉันอะไร เลยแม้แต่น้ำส้มคั้น

    ตกกลางคืน คณะศิษย์ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ได้ร่วมใจกันเจริญพระพุทธมนต์ฉลองพัดยศถวาย หลวงปู่นั่งรถเข็นออกมาเป็นประธานและยังนำนั่งสมาธิภาวนาต่ออีกประมาณ 1 ชั่วโมง

    และเมื่อเสร็จการทั้งปวง แล้ว หลวงปู่ท่านก็นั่งพักแล้วเหลียวแลมอง ไปรอบๆข้างอย่างละเอียดอ่อนเหมือนจะร่ำลา สักครู่ใหญ่ จึงได้กลับเข้าที่พักหลังถ้ำ
    <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table align="center" bgcolor="#f4f4f4" border="0" bordercolor="#ffffff" cellpadding="5" cellspacing="1" width="250"> <tbody><tr> <td align="center" bgcolor="#ffffff">[​IMG]</td></tr></tbody></table>



    14 สิงหาคม 2535

    วันกำหนดทำบุญฉลองพัดยศหลวงปู่

    6.00 น. พระส่วนใหญ่ทยอยกันออกไปบิณฑบาต พระบวร อินฺทปัญโญ ยกสำรับของว่างของหลวงปู่ขึ้นไปถวาย แต่พบว่าหลวงปู่ยังไม่ตื่น ก้เลยวางสำรับไว้ในห้องแล้วกลับลงมา เนื่องจากเห็นว่า หลวงปู่อ่อนเพลียมากจนฉันอะไรไม่ลงมาแล้วหนึ่งวัน เต็ม คณะศิษย์มีความประสงค์จะให้หลวงปู่ได้ฉันของว่างที่ยังร้อนเพื่อฟื้นฟู กำลัง จึงพาขึ้นไปขอโอกาสกราบเรียนให้หลวงปู่ลุกขึ้นมาฉัน

    แต่......ไม่ว่าจะกราบเรียนอย่างไร ก็ไม่มีปฏิกริยาตอบสนอง มีเพียงความเงียบและวังเวงจนผิดสังเกต จึงพากันไปเรียนพระที่ยังไม่ได้ไปบิณฑบาตให้มาดูอาการ พระจรัล อภิชาโตรีบไปตีระฆังรัวถี่ยิบบอกเหตุฉุกเฉิน เสียงที่ดังก้องไปทั้งหุบเขา กระตุ้นให้พระที่ไปบิณฑบาตรีบรุดกลับขึ้นมาบนถ้ำอย่างรวดเร็ว
    <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table align="center" bgcolor="#f4f4f4" border="0" bordercolor="#ffffff" cellpadding="5" cellspacing="1" width="250"> <tbody><tr> <td align="center" bgcolor="#ffffff">[​IMG]</td></tr></tbody></table>



    หลวงปู่อยู่ในท่าสีหไสยาสน์ หันหน้าเข้าหาผนัง ย่ามและไฟฉายวางอยู่ข้างๆอย่างเรียบร้อย แขนตกพับลง เมื่อพระช่วยกันพลิกองค์ท่านให้นอนหงาย ทุก องค์และทุกท่านต่างก็ใจหายวาบ ที่เห็นฟันปลอมร่วงจากปากของท่าน เพราะปกติเวลาจำวัด หลวงปู่จะไม่ใส่ฟัน เนื้อ ตัวของท่านยังอุ่นอยู่ แต่ปลายมือเริ่มมีสีคล้ำ พระเณรวิ่งหายาหม่องมานวดถวาย คนขับรถเสนอให้รีบตามหมอ ต่างคนอกสั่นขวัญหาย หยิบจับอะไรแทบไม่ถูก <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> [​IMG]
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    6.30 น. ทุกชีวิตที่อยู่บนถ้ำผาปล่องจึงได้ตระหนักและยอมรับความสูญเสียอันยิ่งใหญ่ หลายคนยังคงมึนงงที่ถูกหลวงปู่สิมท่าน"สอบไล่"ด้วยข้อสอบ"มรณกรรมฐาน" ที่หลวงปู่พร่ำสอนมา ตลอดชีวิตและเป็น"ประธานสอบไล่"ด้วย องค์ของท่านเองในวาระท้ายสุดนี้อย่างไม่ทันตั้งตัว แต่แล้วก็ตั้งสติเริ่มงานใหญ่ที่สุด งานสุดท้ายเพื่อหลวงปู่ครูบาอาจารย์ได้โดยอัตโนมัติ พริบตาเดียว ข่าวก็แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว

    "หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร" พระอริยสงฆ์ผู้ทรงวิสุทธิคุณอันประเสริฐสุด และยิ่งด้วยความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างยิ่งยวดที่สุดแม้ใน วาระสุดท้ายแห่งชีวิต ท่านเห็นปานนี้ ได้วางโลก วางลูก วางหลาน ปลีกไปแล้วแต่องค์เดียว สู่แดนอันเกษม อย่างที่ไม่วันจะหวนกลับมาอีกต่อไปตราบชั่วกาล......
    <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> [​IMG]



    "สิ่งใดเกิดแล้ว มีแล้ว ปัจจัยปรุงแต่งแล้ว มีความแตกทำลายเป็นธรรมดา การปรารถนาว่า ขอสิ่งนั้น อย่าแตกทำลายไปเลยดังนี้ มิใช่ฐานะที่จะมีได้..."
    มหาปรินิพพานสูตร
    <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table align="center" bgcolor="#f4f4f4" border="0" bordercolor="#ffffff" cellpadding="5" cellspacing="1" width="250"> <tbody><tr> <td align="center" bgcolor="#ffffff">[​IMG]</td></tr></tbody></table>


    และนี้ ก็คือที่สุดของเรื่องราวแห่งความจงรักภักดีอัน"เหนือโลก" แห่งพระอริยเจ้าผู้ทรงอนุตราธิคุณอันวิสุทธิ์จนถึงที่สุดองค์หนึ่ง กับพระมหากษัตริย์เจ้าผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐสุดอีกพระองค์หนึ่ง ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้วจริง ที่มีความ"ลึก ซึ้งยิ่งใหญ่" และก่อให้เกิดแรงบันดาลใจจนบรรเจิดแจ่มจ้าอย่างไม่มีอะไรจะเปรียบหรือเทียบ เคียงได้ ประหนึ่งว่าเป็นเรื่องที่รจนาขึ้นมาจากจินตนาการหรือความฝันอันมีด้วยจิตที่ คิดสำนึกแห่งความจงรักและภักดีก็ไม่ปาน....
    <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table align="center" bgcolor="#f4f4f4" border="0" bordercolor="#ffffff" cellpadding="5" cellspacing="1" width="250"> <tbody><tr> <td align="center" bgcolor="#ffffff">[​IMG]</td></tr></tbody></table>


    แต่....การดังนี้ การที่เมื่อพิจารณาแล้ว แทบจะเป็นสิ่งที่พ้นวิสัยแห่งสาธารณ์ทั่วไปที่ใครๆจะพึงคิดพึงฝันว่า จะเป็น เรื่องแท้ที่ได้เคยเกิดขึ้นมาได้จริงๆ ก็เป็น"เรื่องจริง"ที่ได้เคยอุบัติบังเกิดขึ้นมาแล้วอย่างแท้จริง ทั้งสิ้น....
    <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> [​IMG]


    ก็นี่ ย่อมนับเป็นเนติแบบอย่างอันดีที่สุดให้อนุชนรุ่นหลังทั้งสิ้นได้เข้าใจและ รู้ซึ้งถึงแก่นโดยทั่วกันว่า โดยแท้แล้ว ความหมายของคำว่า "จงรักภักดี" อันแท้ที่ถึง พร้อมด้วย"ซื่อตรง","บริสุทธิ์"และ"เสียสละ" ให้ ได้ทุกสิ่ง แม้แต่"ชีวิตจิตใจ" อย่างที่มีการ เปล่งปฏิญาณหรือกล่าวขานกันโดยทั่วไปจนกลายเป็นปกติวิสัยนั้น "ของจริง"เมื่อลงมือ"ทำจริง"แล้ว จะมีลักษณาการเป็นเยี่ยงใดกันแน่..??? <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table align="center" bgcolor="#f4f4f4" border="0" bordercolor="#ffffff" cellpadding="5" cellspacing="1" width="250"> <tbody><tr> <td align="center" bgcolor="#ffffff">[​IMG]</td></tr></tbody></table>


    ก็หากว่า พสกนิกรชาวไทยทั้งนั้น มีความ"จงรักภักดี" อันแท้ที่ถึง พร้อมด้วย"ซื่อตรง","บริสุทธิ์"และ"เสียสละ" แม้เพียงส่วนเสี้ยวหนึ่งดังที่หลวงปู่สิมได้เคยถวาย ด้วย"ชีวิต"ในช่วง ท้ายสุดแห่งชาติและภพแด่ องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวดัง กล่าวมาแต่ต้นโดยทั่วกันแล้ว ก็เป็นที่เชื่อแน่ได้ว่า ประเทศชาติไทยก็คงจะร่มเย็นเป็นสุขและสถิตวัฒนาสถาพรอย่างไม่มีประมาณ อันจะพึงยังความสงบเย็นแห่งพระราชหฤทัยในองค์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงเจริญพระ ชนมพรรษาสูงถึง 80 พรรษาแล้วให้พึงบังเกิดขึ้นโดยสวัสดีโดย แน่อย่างไม่ต้องสงสัยเลย.... <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table align="center" bgcolor="#f4f4f4" border="0" bordercolor="#ffffff" cellpadding="5" cellspacing="1" width="250"> <tbody><tr> <td align="center" bgcolor="#ffffff">[​IMG]</td></tr></tbody></table>


    http://www.gmwebsite.com
     
  8. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,359
    อ่านแล้วปิติมากเลยครับ ขนลุกมาก พระอริยเจ้าทุกองค์รักในหลวงมากจริงๆ แต่คนไทยบางกลุ่มกลับหาเรื่องทะเลาะกันเป็นเหตุให้พระองค์ไม่สบายใจ ถึงกับประชวร น่าหนักใจจริง
     
  9. dhamaskidjai

    dhamaskidjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,855
    ค่าพลัง:
    +5,727
    ขนาดพระอริยยังจงรักภักดีในหลวง
    คนที่ไม่เห็นความดีของในหลวง
    ก็ไม่รู้จะพูดยังไงละ

    สาธุ
     
  10. อวิชานาคา

    อวิชานาคา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    268
    ค่าพลัง:
    +345
    อ่านแล้ว ทราบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ แห่งพระอรหันต์เจ้า ผู้ทรงคุณอันประเสริฐยากจะหาผู้ใด เสมอเหมือนได้ จับใจเลยครับ
     
  11. cabin

    cabin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    207
    ค่าพลัง:
    +828
    ขอโมทนาสำหรับข้อความดี ๆ อ่านแล้วปีติน้ำตาไหล
    ขอกราบบูชาพระอริยเจ้าแทบเท้าของหลวงปู่สิมด้วยชีวิต
     
  12. Nutthawut

    Nutthawut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    162
    ค่าพลัง:
    +479
    กราบอนุโมทนาเป็นอย่างสูงครับคุณเต้ เป็นพระคุณอย่างยิ่งครับ
     
  13. ผู้ตามหา

    ผู้ตามหา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2009
    โพสต์:
    408
    ค่าพลัง:
    +818
    ปีติอย่างที่สุด วางอุเบกขาไม่ได้เลยครับ

    อนุโมทนาสาธุ พระอริยเจ้าผู้ทรงคุณวุฒิ และพระเจ้าอยู่หัวผู้อริยะ แห่งชาติไทย
     
  14. Tsunayoshi

    Tsunayoshi สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +22
    ปิติน้ำตาไหลพรากๆเลยค่ะ

    เคยไปวัดหนหนึ่ง สงบหยั่งกะอยู่คนละโลก จะหาโอกาสไปเคารพท่านอีกครั้งค่ะ
     
  15. พงศ์กฤต

    พงศ์กฤต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    5,699
    ค่าพลัง:
    +33,737
    กราบ กราบ กราบ หลวงปู่ครับ อนุโมทนากับธรรมะดีๆๆครับ
     
  16. anoldman

    anoldman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    1,950
    ค่าพลัง:
    +4,558
    สาธุๆ

    ลูกหลานขอกราบพ่อแม่ครูบาอาจารย์ด้วยเคารพยิ่ง ขอรับ __/|\__
    ขออนุโมทนากับทุกๆ ท่านครับ

    ______________________________
    hello9
    กลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ สายอีสาน
    กลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ สายอีสาน มารายงานตัวกันหน่อยครับ

    โครงการถวายพระบรมสารีริกธาตุทั่วทุกวัดฯ ทั่วภาคเหนือตอนล่าง
    โครงการถวายพระบรมสารีริกธาตุทั่วทุกวัด สำนักสงฆ์สำนักปฏิบัิติธรรม ทั่วภาคเหนือตอนล่าง<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
  17. SOMDEJ

    SOMDEJ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    611
    ค่าพลัง:
    +353
    อนุโมทนา
    วาระมงคลแผ่นดินของ จอมทัพธรรม - จอมทัพไทย
     
  18. นักธรรมเอก

    นักธรรมเอก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +761
    สาธุ ขอกราบบูชาคุณองค์หลวงปู่ด้วยความเคารพอย่างสูงสด
    เพิ่งได้อ่านเรื่องราวของหลวงปู่เป็นครั้งแรก เสียดายเกิดไม่ทันกาลสมัยหลวงปู่ครับ
     
  19. ทางตรง

    ทางตรง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +16
    รู้แล้วตัด..ปล่อยวาง..อย่าผูกยึด..สังเกตุจิตใจตัวเอง..สุขได้ก็หายสุขได้ ..ปิติได้ก็หายปิติได้..มันเป็นๆหายๆ เกิดๆดับๆ..จงตัดวงจรเหล่านี้เสียจิตก็จะเข้าสู่อิสระที่แท้จริง..หลายคนกลัว กลัวจะเจอสิ่งที่ไม่เคยเจอกลัวจะพบสิ่งที่ไม่เคยพบต้องใช้ความกล้าอย่างยิ่ง..ต้องมุ่งมั่นอย่างที่สุด..จะเรียกว่าเอาชีวิตเข้าแลกก็คงไม่ผิดอะไร..ความอิสระที่แท้จริงนั้นมันกว้างใหญ่ เว้งว้างเกินที่จะพรรณาเป็นภาษามนุษย์ให้เข้าใจได้ง่ายๆเปรียบดั่งน้ำร้อน..ร้อนเพียงไร..ร้อนแค่ไหน ..น้ำหวาน..หวานเพียงไร..หวานแค่ไหน..นั้นต้องรับรู้ด้วยตัวเอง..รู้สึกด้วยตัวเองนั่นแหละ..ความหลุดพ้นจากพันธนาการ..ความอิสระที่แท้จริงก็เช่นกัน..ต้องสำผัสและรับรู้ด้วยตัวเอง..เหล่านี้คือความจริงพระพุทธองค์ทรงสอนเรื่องความจริง..
     
  20. ทางตรง

    ทางตรง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +16
    ขอกราบเรียนเชิญสาธุชนผู้มุ่งมั่นสู่ความหลุดพ้น..ทั้งหลายร่วมสนธนาธรรมไ้ด้เพื่อความรู้จริง
    ไม่ว่าจากการศักษาหรือปฏิบัติจริงเพื่อเป็นวิทยาทานและเป็นหนทางในการปฏิบัติตามสมควรแก่บุญบารมีของแต่ละคนแต่ละท่านเหมือนคนว่ายน้ำข้ามฝั่งต้องช่วยกันแนะนำกันเป็นกำลังใจให้แก่กัน..วันนี้ขอสาธุแค่นี้ก่อน..
     

แชร์หน้านี้

Loading...